Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1404-1407
ตอนที่ 1404 ความสามารถที่ยังไม่ถูกมองเห็น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ห้องประชุมในปราสาทของอาณาจักรดอว์นนั้นใหญ่ความห้องประชุมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์มาก ถึงแม้จะมีคนเข้ามานั่งอยู่ร้อยกว่าคนก็ยังไม่เบียดเลยซักนิด
บนโต๊ะประชุมยาว ผู้เข้าร่วมประชุมถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกรย์คาสเซิลโดยมีโรแลนด์เป็นผู้นำ อีกด้านหนึ่งคือขุนนางและตัวแทนของพ่อค้าของอาณาจักรดอว์น ทั้งสองฝ่ายสีหน้าคร่ำเคร่ง ฝ่ายแรกนั่งนิ่งๆรอการประชุมเริ่ม อีกฝ่ายดูกระวนกระวายอย่างชัดเจน หลายๆ คนมีสีหน้าร้อนใจ บางคนก็กระซิบกระซาบกัน มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวขึ้นมาของพระผู้สร้างได้สร้างความตื่นตระหนกให้พวกเขาอย่างมาก
ถ้าไม่สามารถหยุดการขยายตัวของความกลัวเอาไว้ได้ ระเบียบของอาณาจักรเพื่อนบ้านอาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
โรแลนด์รู้ดีว่าตัวเองจำเป็นต้องรักษาความเชื่อมั่นของพันธมิตรไว้
จากรายงานของสำนักบริหาร หลังจากที่ฮอว์ฟอร์ดกลายเป็นราชาของดอว์น การค้าของทั้งสองอาณาจักรก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฟลิตภัณฑ์โลหะอย่างเหล็ก ทองแดง ตะกั่วและน้ำมันดิบที่เข้ามาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มีอยู่เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ที่มาจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างหนังสัตว์ สิ่งทอ เนื้อหมัก เนยแข็งก็มีมากกว่าครึ่ง
ถึงแม้เขาจะพยายามในด้านนี้อย่างมากเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากอาณาจักรดอว์น การที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้ในสภาวะที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวเขาก็ไม่สามารถทิ้งอาณาจักรดอว์นไปได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลควินท์ซึ่งเป็นพันธมิตรก็ยังแสดงออกถึงความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม — โรแลนด์ไม่รู้ว่าหากไม่มีฮอว์ฟอร์ด ควินน์แล้ว ยังจะมีใครมาเป็นผู้สนับสนุนเขาแทนหรือเปล่า แต่น่าจะไม่มีใครที่สามารถเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างแอนเดรีย ควินน์อีกแล้ว
เขานั่งมองดูขุนนางทั้งซ้ายและขวาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเสียงพูดคุยของพวกเขาค่อยๆ เงียบลง โรแลนด์จึงพูดขึ้นมาว่า “นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่มขึ้นมา ข้าก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับความดีความชอบของพวกเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นข้าจึงอยากจะขอพูดอะไรตรงนี้หน่อย ขอบคุณทุกคนมาก”
เหล่าขุนนางพากันทำสีหน้าประหลาดใจ
แต่สำหรับโรแลนด์แล้ว นี่ไม่ใช่คำพูดโกหก
อาศัยเพียงแค่กองทัพที่หนึ่งไม่มีทางทำให้ถนนเส้นเลือดใหญ่ที่ตัดผ่านอาณาจักรจากเหนือลงใต้ใช้งานได้เร็วขนาดนี้แน่ รถม้าและคนขนของที่วิ่งไปวิ่งมาบนถนนนั้นสร้างประโยชน์ได้อย่างมาก ในยุคสมัยนี้ เวลาพวกขุนนางออกไปรบมักจะยกโขยงกันออกไป แล้วก็ใช้การปล้นแทนการขนส่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ความสำคัญของการขนส่ง แล้วก็ยากจะรู้ด้วยว่าตัวเองทำประโยชน์ให้กับสงครามขนาดไหน
“สำหรับสงครามแห่งโชคชะตา ข้าคิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจดี — ก็เหมือนกับที่ข้าได้เน้นย้ำเอาไว้ ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะถูกกำจัดทิ้ง ไม่มีโอกาสให้ยอมแพ้ ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่ต้องสู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีก”
“ข้าได้เตรียมตัวรับมือกับสงครามนี้มาตั้งแต่ 4 – 5 ปีก่อนแล้ว แต่อาณาจักรของมนุษย์ไม่ได้มีเกรย์คาสเซิลแค่อาณาจักรเดียว สงครามนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์ทุกคน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเอาชนะสงครามแห่งชะตาชีวิตนี้ได้ ข้าดีใจมากที่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้นี้”
โรแลนด์พยักหน้าไปทางบารอฟ อีกฝ่ายพลิกเปิดสมุดบันทึกเล่มหนา ก่อนจะอ่านออกเสียงดังๆ
นั่นบันทึกการขนส่งเบื้องหลังบางส่วนของกองทัพที่หนึ่งและสัดส่วนที่ทางอาณาจักรมีส่วนช่วยเหลือในด้านนี้
เขาไม่คิดที่จะใช้คำพูดสวยหรูอย่างพวกการปกป้องบ้านปกป้องอาณาจักรหรืออุทิศตัวเองเพื่อมนุษยชาติมาโน้มน้าวจิตใจขุนนางเหล่านี้ แค่คิดๆ ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่มีทางทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกใดๆ ได้
วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ผลประโยชน์และการกดดัน
ยิ่งไปกว่านั้นถ้ายิ่งบรรยายได้ชัดเจน คำพูดมันก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือ
อันดับแรกเขาต้องทำให้ขุนนางพวกนี้เข้าใจว่าต่อให้ไม่ขึ้นไปยังแนวหน้าของสนามรบ พวกเขาก็ยังทำประโยชน์ให้กับสงครามได้ อันดับต่อมาคือความดีความชอบเหล่านี้จะถูกจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ หลังสงครามจบสามารถเอามาแลกเป็นรางวัลได้ สุดท้ายขุนนางผู้ต่อต้านและหักหลังมนุษยชาติจะได้รับการลงโทษสูงสุด — ในช่วงเวลาสำคัญนี้ โรแลนด์ไม่มีเวลามานั่งให้พวกเขาตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองอีก
ฮอว์ฟอร์ดแอบพยักหน้าเงียบๆ
ลำดับก่อนหลังชัดเจน เนื้อหาละเอียดถี่ถ้วน ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเรียกได้ว่าจับประเด็นสำคัญได้ตั้งแต่เริ่ม การที่เขาดึงขุนนางที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพเข้าไปร่วมสงครามที่จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์และเล่าสืบต่อไปอีกเป็นพันปีนั้นเป็นการเพิ่มความรู้สึกมีส่วนร่วมให้กับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย การทำให้ประวัติศาสตร์ของตระกูลเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์นั้นคือหนึ่งในเป้าหมายที่เหล่าขุนนางไล่ตามหามาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นจากคำอธิบายของอีกฝ่าย ความเสียงกับผลประโยชน์ที่ได้รับก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างกันมากเกินไป อย่างน้อยเหล่าขุนนางก็ไม่มีทางถูกทอดทิ้งแน่นอน
การจัดสรรผลประโยชน์นั้นเป็นปัญหายากที่ใช้ทดสอบผู้นำมาโดยตลอด
เสนาบดีหลายคนเคยทักท้วงเขาว่าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคำสั่งของโรแลนด์ วิมเบิลดันขนาดนี้ก็ได้ เขาควรจะวางตัวให้เหมือนเป็นราชาของอาณาจักรดอว์นหน่อย ซึ่งเขาเองมักจะหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลที่สร้างปืนใหญ่ สร้างเครื่องบิน สร้างเรือเหล็กขึ้นมานั้นย่อมควรค่าแก่การยกย่องนับถือ แต่มันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำเขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายขนาดนี้ ผลประโยชน์ที่ตระกูลได้รับต่างหากที่ทำให้เขาตัดสินใจจงรักภักดี — ในการทำการค้าระหว่างอาณาจักรดอว์นกับอาณาจักรเกรย์คาสเซิล อีกฝายไม่ได้ใช้อำนาจและความสัมพันธ์ของแอนเดรียมาเอาเปรียบเขาเลย แถมบางครั้งยังจะแบ่งกำไรให้ส่วนหนึ่งด้วย ทำให้คนที่มีส่วนร่วมทุกคนต่างได้รับผลประโยชน์อย่างมาก นี่ถือว่ามีความสำคัญมากกว่าความแข็งแกร่งเสียอีก
แอนเดรียน่าจะมองออกถึงจุดนี้ เธอถึงได้แนะนำเขาแบบนั้น
เมื่อเทียบกับลูกชายอีกคนหนึ่งของเขาแล้ว ทั้งสองคนช่างแตกต่างกันจริงๆ
“ฝ่าบาทโรแลนด์ แต่จากที่พระองค์ตรัสมาทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญอย่างแรกคือมนุษย์ต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หลังบารอฟบรรยายจนจบก็มีคนลุกขึ้นถาม “แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเกรย์คาสเซิลจะสามารถเอาชนะปีศาจได้จริงๆ หรือไม่? กระหม่อมได้ยินมาว่า…” เขาลังเลไปเล็กน้อย “กองทัพของพระองค์เหมือนจะแพ้ในศึกที่วูล์ฟฮาร์ทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง…พวกเราต่างรู้ถึงความแข็งแกร่งของกองทัพที่หนึ่ง” ขุนนางอีกคนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล “แต่แผ่นดินลอยฟ้านั่นมันน่ากลัวจริงๆ…ถ้ามันทับลงมา เกรงว่าพวกเราคงแม้แต่จะหนีก็คงไม่ทันนะพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์ยกแก้วชาขึ้นมาค่อยๆ จิบชาแดง เขารู้ว่าช้าเร็วผลการรบที่เทือกเขาสิ้นวิถีจะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน เพราะว่าในกลุ่มคนที่เข้าไปช่วยเหลือ มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นชาววูล์ฟฮาร์ทซึ่งรู้จักสภาพภูมิประเทศเป็นอย่างดี ในศึกนี้มีทหารที่ขาดการติดต่อไปพันกว่าคน ไม่ใช่แค่หน่วยปืนใหญ่เท่านั้น แม้แต่กองหนุนที่รับผิดชอบรอรับตัวทหารที่ถอนกำลังมาก็ยังได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นเดียวกัน
อัศวินอากาศเองก็เสียเครื่องบินไป 40 กว่าลำจากการทำศึกหนักติดต่อกัน ในนั้นมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ถูกศัตรูโจมตีจนตก อีกครึ่งหนึ่งเสียหายจากอุบัติเหตุทางเครื่องยนต์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทิลลีต้องชะลอการออกไปทำศึกเอาไว้ก่อน
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ ถึงแม้ซีกัลจะถูกพลังอาญาสิทธิ์ของไซเลนท์โจมตี แต่ไม่ว่าจะเป็นเวนดี้หรือว่าซาวีก็ล้วนแต่มีฝีมือในการบังคับเครื่องบิน บวกกับมีไลต์นิ่งกับเมซี่เคยเฝ้าอยู่ไม่ไกล จึงทำให้สามารถช่วยแม่มดที่อยู่บนเครื่องบินทุกคนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้วตอนที่ได้เห็นรายงานนี้ครั้งแรก โรแลนด์เองก็รู้สึกตกใจอย่างมากเหมือนกัน เมื่อดูจากตัวเลขความเสียหายแล้ว นี่คือได้ว่าเป็นศึกที่มีตัวเลขบาดเจ็บและเสียชีวิตของทหารมากที่สุด แต่เขาเองก็เห็นด้วยกับวิธีของทีมที่ปรึกษา — วัลคีรีย์นั้นรู้เพียงแค่หลักการทำงานของพระผู้สร้าง แต่มันไม่รู้เรื่องรายละเอียดของร่างซิมไบออนท์ที่อยู่บนนั้น ถ้าไม่ลองสู้ดู เขาก็จะไม่มีทางรู้ว่าศัตรูแอบซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง
“ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเรายังไม่รู้จักแผ่นดินลอยฟ้าดีพอ” โรแลนด์ตอบออกมาตรงๆ “มันดูแล้วเหมือนจะยิ่งใหญ่และไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น เอดิธส์ เดี่ยวหลังจากนี้เจ้ามาอธิบายให้ทุกคนฟังหน่อย”
“เพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเอาภาพวาดอย่างละเอียดของพระผู้สร้างติดไปบนกำแพง จากนั้นอธิบายอย่างละเอียดว่า “จากการสังเกตการณ์ของกองทัพที่หนึ่ง มันมีลักษณะคร่าวๆ เป็นทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 – 60 กิโลเมตร เรียกได้ว่าพอๆ กับเทือกเขาสิ้นวิถี พื้นที่ชั้นบนกับพื้นที่แกนกลางสามารถยิงเสาหินขนาดยักษ์ออกมาได้ ระยะยิงอย่างน้อยมากกว่า 50 กิโลเมตร ซึ่งนี่เป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องมือไม้ปั่นป่วน แต่ขณะเดียวกันมันก็หมายความว่าหากเลยออกไปจากระยะนี้ มันก็จะเป็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาวางแผนเพื่อจัดการกับศัตรูได้…”
ความหวาดกลัวมักจะมาพร้อมกับความไม่รู้
คนเราจะหวาดกลัวต่อประสบการณ์ทางด้านความรู้สึกและการบรรยายแบบคลุมเครือ แต่จะไม่หวาดกลัวต่อตัวเลข แทนที่จะมัวแต่คิดหาเหตุผลมาปิดบังความพ่ายแพ้หรือใช้คำพูดสวยหรูมาหลอกทุกคน สู้เอาข้อมูลที่กองทัพที่หนึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักกว่าจะได้มาออกมาบอกทุกคน เพื่อขจัดความกลัวของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนจะดีกว่า
“….และที่กล่าวมาก็คือรายละเอียดทั้งหมดของแผ่นดินลอยฟ้าของพวกปีศาจ” เอดิธส์พูดพร้อมหันไปทำความเคารพโรแลนด์
โรแลนด์องไปทางขุนนางของดอว์นที่ถามคำถามออกมา “สุดท้ายข้าอยากจะเสริมอีกเรื่องหนึ่ง การหลบออกไปจากระยะโจมตีของเสาหินนั้นเป็นเพียงวิธีรับมือชั่วคราวเท่านั้น การถล่มป้อมปรากการลอยฟ้านี้ให้ราบคาบต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของกองทัพ”
ขุนนางกลืนน้ำลาย “นั่นมันเป็นภูเขากลับหัวเลยนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“มนุษย์เองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความสามารถแบบนี้ เพียงแต่พวกเจ้ายังไม่รู้เท่านั้น —- ก็เหมือนกับก่อนที่เครื่องบินจะถูกสร้างออกมาก็ไม่มีใครที่คิดว่าตัวเองจะขึ้นไปบินบนฟ้าเหมือนกับนกได้…” โรแลนด์ยิ้มๆ “ในจุดนี้ เดี๋ยวข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็นเอง”
ตอนที่ 1405 แผนสอง : มาจากฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขุนนางที่สามารถเข้ามาในห้องประชุมภายในปราสาทได้ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นผู้สนับสนุนสามตระกูลใหญ่ในเมืองกลอรี ในนั้นมีอยู่ไม่น้อยที่เข้าร่วมการสร้างถนนตัดผ่านอาณาจักร บางส่วนหากำไรจากเครื่องจักรไอน้ำที่นำเข้าไปและการผลิตซีเมนต์ บางส่วนก็ไปที่เมืองธอร์นเพื่อดูการฝึกซ้อมของอัศวินอากาศในระยะใกล้ เมื่อได้ยินราชาแห่งเกรย์คาสเซิลมั่นใจขนาดนี้ ความกังวลบนสีหน้าพวกเขาพลันผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
ไม่ว่ายังไง การประชุมที่เปิดเผยและพูดถึงแต่ตัวเลขสถิติและรายละเอียดแบบนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากสำหรับขุนนางอาณาจักรดอว์น เมื่อเทียบกับการพูดปลอมด้วยความหวังแล้ว การบรรยายที่สามารถมองเห็นภาพได้นั้นกลับมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
“อย่างนั้น…พวกเราต้องทำอะไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?” มีคนถามขึ้นมา
“ทำทุกอย่างไปเหมือนเดิมก็พอ” โรแลนด์ตอบตรงๆ “อาณาจักรดอว์นที่อยู่ในความสงบนั้นถือเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดแล้ว”
“แต่ตอนนี้ความหวาดกลัวได้เริ่มขยายตัวไปแล้ว ถ้าหากใช้มาตรการบังคับ กระหม่อมเกรงว่ามันอาจจะส่งผลต่อผู้อพยพในทางตรงกันข้ามก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
“นั่นเป็นเพราะปีศาจใช้หมอกแดงรุกล้ำเข้ามาในเขตแดน แต่สถานการณ์มันจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้” โรแลนด์พูดปลอบ “ทางเกรย์คาสเซิลเองก็พยายามช่วยเหลือพวกเจ้าในการรักษาความสงบอย่างเต็มที่”
“พื้นที่ที่ได้ถูกปีศาจโจมตี ทางเมืองหลวงจะละเว้นการเก็บส่วยและให้เงินสนับสนุนไปตามสถานการณ์” ฮอว์ฟอร์ดพูดเสริมขึ้นมา “ทุกท่าน ที่เป็นสงครามที่เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครที่จะปัดความรับผิดชอบนี้ได้ ข้าฮอว์ฟอร์ด ควินน์ขอสาบานในนามบรรพบุุรุษว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ข้าก็ไม่จากเมืองกลอรีไปแม้แต่ก้าวเดียว! ถ้าอาณาจักรดอว์นถูกปีศาจทำลาย อย่างนั้นปราสาทแห่งนี้จะกลายเป็นหลุมฝังศพของข้า!”
…..
หลังได้รับการรับประกัน เหล่าขุนนางที่ใจเย็นลงพากันออกไปจากห้องประชุม ไม่นานภายในห้องประชุมก็เข้าสู่การประชุมช่วงที่สอง
คนที่ัยังอยู่ภายในห้อง นอกจากราชาแห่งดอว์นแล้ว คนที่เหลือล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกรย์คาสเซิล
“ฝ่าบาท ศึกโจมตีก่อนหน้านี้ กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดชอบ…” ขวานเหล็กและเอดิธส์ลุกขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะสบกับอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าพระผู้สร้างมันมีวิธีการโจมตียังไง” โรแลนด์ส่ายหัว “ถ้าบอกข้านะว่าตอนที่พวกเจ้าวางแผนนี้ขึ้นมา พวกเจ้าไม่เคยคิดเรื่องที่กองหนุนจะถูกโจมตีหรือถูกทำลายมาก่อน”
“…..” ทั้งสองคนได้แต่นิ่งเงียบไป
กองทหารทีมหนึ่งเข้าไปหยั่งเชิง กองทหารที่เหลือรับมือไปตามสถานการณ์ นี่ถือเป็นวิธีปกติในการวางกลยุทธ์ แต่การที่คิดว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นแต่เฉพาะทีมที่เข้าไปหยั่งเชิงต่างหากถึงจะเป็นความคิดที่โง่เขลา เขาเชื่อว่าทีมที่ปรึกษาไม่มีทางทำอะไรผิดพลาดแบบนั้นแน่
“พูดอีกอย่างในวินาทีที่ตัดสินใจที่จะใช้แผนการนี้ พวกเจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าแผนการนี้มันมีความสำคัญอยู่เหนือความเสี่ยงที่ทีมสองทีมนี้ต้องเจอ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคงไม่อนุมัติแผนการนี้ตั้งแต่แรกหรอก วางใจได้ ข้าไม่มีทางใช้จำนวนผู้เสียชีวิตมาเป็นตัวชี้วัดความดีความชอบหรือความผิดพลาดของพวกเจ้าหรอก ต่อให้มันจะเป็นศึกที่กองทัพที่หนึ่งเสียหายมากที่สุดก็ตาม”
“ฝ่าบาท….”
“แต่อย่าลืมซะล่ะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าที่ดูผ่อนคลายของโรแลนด์เมื่อครู่นี้พลันเปลี่ยนไป น้ำเสียงเองก็ฟังดูคร่ำเคร่งขึ้นด้วย “ทหารเหล่านี้ก็มีครอบครัวเหมือนกัน อย่ามองการเสียสละของพวกเขาเป็นเพียงตัวเลขที่อยู่บนกระดาษ ข้าหวังว่าทุกครั้งที่พวกเจ้าวางแผนอะไรจะจำในจุดนี้เอาไว้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ขวานเหล็กกับเอดิธส์รับคำพร้อมกัน
“อย่างนั้นต่อไปก็มาคุยเรื่องสงครามหลังจากนี้ดีกว่า”
“เพคะฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเปลี่ยนแผนที่อันใหม่ขึ้นไปบนกำแพง “จากที่ทำการวิเคราะห์ดูแล้ว ทีมที่ปรึกษาคิดว่าสถานที่ที่ป้อมปราการลอยช้าอาจจะเคลื่อนที่เข้าไปหานั้นมีอยู่สองที่ หนึ่งคือชายขอบของภูเขาเคจเมาเธ่น สองคือที่ราบสูงเฮอร์มีส ถ้ามันเคลื่อนที่ไปตรงชายขอบเคจเมาเธ่น มันก็จะสามารถยึดเอาวูล์ฟฮาร์ทมาได้ ขณะเดียวกันก็จะแผ่อิทธิพลมาถึงอาณาจักรดอว์นด้วย แต่ถ้ามันยึดที่ราบสูงเฮอร์มีส หมอกแดงก็จะปกคลุมลงมายังสี่อาณาจักรใหญ่ ทำให้เทือกเขาสิ้นวิถีเชื่อมต่อกับสันหลังของทวีปกลายเป็นเส้นทางเดียวกัน ถ้าว่าตอนนี้มันได้ลอยข้ามชายแดนของอาณาจักรดอว์นมาแล้ว เมื่อดูจากวิถีการเคลื่อนที่ มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเคลื่อนที่ไปยังเฮอร์มีสเพคะ”
โรแลนด์พยักหน้า “การอพยพตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“ราบรื่นอย่างมากเพคะ” อกาธาตอบ “ตอนนี้อิสซาเบลลาเป็นผู้นำที่แท้จริงของศาสนจักรแล้ว การเคลื่อนไหวของพวกเขามีประสิทธิภาพเหนือกว่าชาวบ้านทั่วไปมาก จากที่คำนวณเอาไว้ ภายใน 2 – 3 วันก็น่าจะอพยพออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก่าและใหม่ได้หมดเพคะ”
“อย่างนั้นก็ดี”
“ก่อนที่ ‘แสงแห่งอาทิตย์’ ของพระองค์จะเสร็จเรียบร้อย พวกเราไม่สามารถที่จะหยุดการเคลื่อนที่ของป้อมปราการลอยฟ้าได้เพคะ” เอดิธส์พูดต่อ “ทันทีที่มันยคดที่ราบสูงเฮอร์มีสได้ มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าหมอกแดงจะปกคลุมลงมาถึงเมืองซิลเวอร์ อาณาจักรดอว์นจะถูกกลืนกิน ถ้าสูญเสียการสนับสนุนของแม่มดไป พวกเราจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากเพคะ”
มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ
โรแลนด์แอบถอนหายใจ เพราะขนาดตั้งเสาโอเบลิสขึ้นที่ทาคิลานั้นยังสร้างปัญหาให้กับอาณาจักรของมนุษย์อย่างมากเลย แต่ตอนนี้มันเรียกได้ว่าแทบจะมาปักอยู่ตรงหน้าแล้ว
เสาโอเบลิสที่ตั้งอยู่ตรงทาคิลาจะสามารถรุกเข้ามาในเนเวอร์วินเทอร์ได้โดยตรง ส่วนเสาโอเบลิสบนที่ราบสูงเฮอร์มีสจะปกคลุมได้ถึงแค่เมืองซิลเวอร์เท่านั้น นี่คือเป็นความแตกต่างที่สำคัญที่สุด ทันทีที่เขตอุตสาหกรรมเพียงหนึ่งเดียวถูกหมอกแดงปกคลุม ผลที่ตามมาคงจะแย่อย่างมากแน่ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วนั้นล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับแม่มดทั้งนั้น ภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มนตร์แห่งสลีปปิ้งได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาทุกๆ ด้านของเมือง อย่างเช่นการกำจัดพวกปรสิตที่เกาะอยู่บนตัวเรือ คลายความผ่อนคลายให้กับคนงาน ช่วยเรื่องการแปรรูป ปลูกปะการังเพื่อเพิ่มพื้นที่น้ำตื่น…..ถึงแม้อุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างเช่นการถลุงเหล็กจะไม่ต้องการแม่มดในการช่วยเหลือแล้ว แต่ประสิทธิภาพในภาพรวมที่ลดลงอย่างมากนั้นคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรไอน้ำ เครื่องยนต์สันดาปภายในหรือว่าแหล่งกำเนิดพลังลูกบาสก์ก็ล้วนแต่สามารถทำให้อยู่ในหมอกแดงได้ นี่ทำให้มนุษย์มีไพ่ตายเอาไว้ใช่ต่อสู้กับปีศาจ
“ดูเหมือนก่อนที่พระผู้สร้างจะถูกทำลาย พวกเราต้องสู้กับศัตรูอยู่ในหมอกแดงไปพักหนึ่งนะเนี่ย” สายตาเขายังคงกวาดมองดูทุกคน “แต่ที่ข้ามาครั้งนี้ ข้ายังมีข่าวดีมาบอกทุกคนด้วย ตอนนี้ ‘แสงแห่งอาทิตย์’ ได้ทำการออกแบบเสร็จแล้ว อีกไม่นานการทดสอบตามทฤษฎีรอบใหม่จะเริ่มขึ้น ถ้าหากสำเร็จล่ะก็ ป้อมปราการลอยฟ้นี้ไม่มีได้อยู่ถึงวันที่หมอกแดงกลืนกินอาณาจักรดอว์นแน่!”
ทุกคนมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ดีจังเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
โรแลนด์เองก็ยิ้มออกมา “อย่างนั้น ตอนนี้เราก็มาคุยกันได้แล้วว่าจะทำการโจมตีครั้งนี้ยังไง”
…..
หลังคุยกันมาตลอดบ่าย แผนการคร่าวๆ ก็ถูกกำหนดออกมา
เนื่องจากความพิเศษของพระผู้สร้าง กองทัพที่หนึ่งจึงมีตัวเลือกไม่มากนัก ทางเลือกหนึ่งคือฝังระเบิดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยจุดระเบิดหมอกแดงที่อยู่บนพื้นด้านล่างเพื่อให้ระเบิดไหลย้อนขึ้นไปทำลายแกนหลักของพระผู้สร้าง อีกทางเลือกหนึ่งคือโยนระเบิดลงมาจากบนฟ้าให้มัทำให้เสาโอเบลิสในที่เดียว นอกจากสองวิธีนี้แล้ว วิธีอื่นๆ ล้วนแต่สร้างความเสียหายให้พระผู้สร้างได้น้อยมาก
ข้อดีของวิธีแรกคือสามารถทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะรับประกันได้ ที่ราบสูงเฮอร์มีสค่อนข้างกว้าง ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วพระผู้สร้างจะไปจอดอยู่ตรงตำแหน่งไหน ถ้าหากระเบิดอยู่ห่างจากช่องที่หมอกแดงไหลลงมา ผลจากระเบิดก็จะลดลงอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นแสงแห่งอาทิตย์จะสามารถทำให้น้ำตกหมอกแดงกลายเป็นเสาเพลิงที่มีอุณหภูมิสูงได้หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ยิ่งแผ่นดินลอยฟ้าอยู่ห่างจากพื้นดินมากเท่าไร ความไม่แน่นอนก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น บวกกับยูเรเนียมบริสุทธิ์ที่ลูเซียสกัดออกมาก็มีอยู่แค่นั้น สุดท้ายแผนการนี้จึงถูกปฏิเสธไป
ตอนนี้การโยนระเบิดลงมาจากฟ้ายังคงมีปัญหาทั้งในด้านเทคโนโลยีและการปฏิบัติจริง แต่ขอเพียงสำเร็จ ระเบิดก็จะจุดระเบิดขึ้นใกล้ทะเลสาบหมอกแดง ซึ่งจะทำให้ระเบิดแสดงประสิทธิภาพออกมาได้สูงที่สุด
“อย่างนั้นก็ทำตามแผนที่เราคุยกันนี้แล้วกัน” โรแลนด์ตบโต๊ะ “นอกจากนี้ การฝึกซ้อมโจมตีทางอากาศและการทดสอบระเบิดจะจัดขึ้นพร้อมกัน หนี้แค้นอันนี้ เราต้องให้พวกปีศาจมันชดใช้!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ทุกคนตอบพร้อมทำความเคารพพร้อมกัน
ตอนที่ 1406 ค่ำคืนในดอว์น
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับหลายๆ คนแล้ว นี่เป็นคืนที่ผ่อนคลายอย่างที่ยากจะหาได้
ถึงแม้แผ่นดินลอยฟ้าของปีศาจจะเคลื่อนที่ไปยังเฮอร์มีสไม่หยุด แต่อย่างน้อยที่เมืองหลวงของอาณาจักรดอว์นก็มองไม่เห็นมัน การอยู่ห่างออกมาจากแนวหน้าทำให้ทุกคนได้อยู่อย่างสงบเป็นช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะเมื่อวันที่สองพวกเขาต้องรีบไปที่สนามรบอีกครั้ง ความเงียบสงบแบบนี้จึงยิ่งมีค่าขึ้นไปอีก
ในตอนที่แอนเดรียเดินเข้ามาในสวนที่บ้าน ฮอร์ฟอร์ด ควินน์ก็มายืนรอเธออยู่ที่ประตูแล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ลูกสาว”
“อื้อ…” แอนเดรียพยักหน้าเล็กน้อย นี่เป็นการกลับมาบ้านอีกครั้งหลังผ่านไปหนึ่งปี ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่การบุกเข้ามา หากแต่เป็นการเดินเข้ามาโดยมีคนใช้ยืนรอต้อนรับ บอกตามตรง ความจริงเธออยากจะเอาช่วงเวลานี้ไปอยู่ข้างกายทิลลีมากกว่า แต่ในตอนที่ได้รับจดหมายเชิญจากอีกฝ่าย ภายในใจเธอพลันเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมา จนสุดท้ายก็รับปากไป
ความจริงแล้วเขามาช่วนเธอหลังประชุมเสร็จก็ได้นี่นา
น่าจะเป็นเพราะ…กลัวว่าเธอจะปฏิเสธล่ะมั้ง
แต่ในตอนที่ได้เจอกันจริงๆ เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เพราะครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ครั้งนั้นเธอมาพร้อมกับภาระหน้าที่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นแค่การเจอหน้ากันที่มีความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านอยาก…จะคุยอะไรกับข้าเหรอ?” ในตอนที่เดินอยู่ตรงระเบียง แอนเดรียพลันถามขึ้นมา
“หลายอย่าง อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าเจอในแนวหน้าของสนามรบ อย่างเช่นเพื่อนของเจ้า อย่างเช่นคุณโรแลนด์ วิมเบิลดันคนนั้น…”
“ก็แค่คนซื่อบื้อคนนึงเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรน่าคุย…” แอนเดรียตอบกลับไป ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะ “เอ่อ ข้าหมายความว่า…”
“ข้ามองออก เขาเป็นราชาที่ใจกว้างทีเดียว” ฮอว์ฟอร์ดยิ้มขึ้นมา “วางใจได้ ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ค่อยชิน ถ้าคุยกันแค่สองคน คืนนี้คงกลายเป็นคืนที่น่าทรมานอย่างมากแน่ ดังนั้นข้าเลยเตรียมอะไรไว้นิดหน่อย”
“เตรียม?”
“เดี๋ยวเข้าไปแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง” เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตู
แอนเดรียผลักประตูเข้าไปอย่างสงสัย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเห็นภายในห้องอย่างชัดเจน คนๆ หนึ่งพลันโผเข้ามาหาเธอ….
“ข้าคิดถึงท่านจังเลย พี่ควินน์!”
อย่างนี้นี่เอง…
เธอกางแขนอย่างขำๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามากอดตัวเองเอาไว้
คนที่ิิวิ่งเข้ามาหาคือเบลินดา โลซี
นอกจากนี้ บนโต๊ะตัวยาวยังมีคนอีกสองคน — อ๊อตโต โลซีและโอโร โทคัต ทั้งสองคนเองก็ดูค่อนข้างตื่นเต้น โดยเฉพาะอ็อตโตที่ดูประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
ภาพตรงหน้านี้ทำให้แอนเดรียเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นแม่มด
ความช่างพูดของเบรินดาและความเป็นกันเองของโอโรช่วยสลายความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่มีในตอนแรกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพ่อขอเธอที่แทบจะไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงกับเด็กๆ ก็เข้ามานั่งกับพวกเธอด้วย
เขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้คุยกับตัวเองซักประโยคสองประโยค…แอนเดรียพลันรู้สึกว่าความรู้สึกโกรธแค้นที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเหมือนจะหายไปเกือบหมดแล้ว
“เออใช่ เอาไว้สงครามจบแล้ว พวกเราเองก็จะไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์แหละ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว” เบลินดาหันมากะพริบตาให้เธอ
แอนเดรียเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ “พวกเราหมายถึง…”
“ก็ต้องหมายถึงพวกเราสามคนน่ะสิ!”
“อื้อ อื้อ!” โอโรพยักหน้า
“เดี๋ยวๆ…อ็อตโตกับโอโรเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไม่ใช่เหรอ? แล้วจากบ้านไปนานๆ ท่านเอิร์ลที่บ้านของพวกเจ้ายอมเหรอ?” แอนเดรียมองไปทางอ๊อตโตอย่างสงสัย หรือว่าเจ้านี้มันจะแอบยุทั้งสองคนนี้? มันจะไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“ไม่…มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ” อ็อตโตรีบโบกมือพร้อมพูดติดอ่าง “ถึงแม้ข้าเองก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ว่า นั่นมันเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่ง…เอา เอาเป็นว่า…”
“เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟังเองดีกว่า” เบลินดาบาไหล่พี่ชายอย่างสงสาร จากนั้นจึงพูดกับแอนเดรียว่า “ท่านไม่ค่อยได้อยู่ที่ดอว์น ก็เลยไม่รู้ว่าช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้ในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะในแวดวงขุนนางของเมืองกลอรีพากันบอกว่าถ้าตระกูลไหนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์แห่งธรรมชาติเลย สุดท้ายตระกูลนั้นก็จะตกต่ำและหายไป”
“ศาสตร์แห่งธรรมชาติ? อย่าบอกนะว่า…”
“ถูกต้อง” เบลินดาพยักหน้ายิ้มๆ “ตอนแรกมันก็หมายถึง ‘ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ธรรมชาติพื้นฐาน’ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ตีพิมพ์ออกมานั่นแหละ แต่ตอนนี้มันแบ่งยิบย่อยออกเป็นหลายวิชาแล้ว บางคนคิดว่ามันเป็นศาสตร์แห่งปราชญ์แขนงใหม่ บางคนคิดว่าการเล่นแร่แปรธาตุและโหราศาสตร์ต่างก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมัน แต่ไม่ว่ายังไง ในแวดวงขุนนางก็พากันคิดเช่นนี้จริงๆ ขอเพียงเป็นหนังสือศาสตร์แห่งธรรมชาติที่มาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็จะมีพ่อค้ามารับซื้อมันในราคาสูง”
“ท่านพ่อเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ในตอนที่พวกเราพูดความคิดนี้ขึ้นมา ท่านก็เลยไม่ได้คัดค้านอะไร — เพราะว่าการเรียนด้วยตัวเองยังไงมันก็สู้มีคนสอนไม่ได้อยู่แล้ว” เธอพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลายตระกูลที่เดินนำหน้าเราอยู่ พ่อน่าจะไม่อยากให้ตระกูลโลซีต้องล้าหลัง ดังนั้นนี่จึงไม่ได้เป็นการปัดความรับผิดชอบ! ท่านพ่อบอกว่าอีกซัก 3 – 4 ปีค่อยเกษียณก็ได้ ไม่มีปัญหา”
“เป็นเพราะพวกเขาเห็นเครื่องบินกับเรือเหล็กมาน่ะสิ” ออโรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แต่ก็นะ ขอเพียงข้าได้ออกไปเที่ยว ข้าก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ”
“ที่ข้าอยากจะพูด…ก็เรื่องพวกนี้แหละ” อ็อตโตถอนหายใจ “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังวางแผนจะตั้งชมรมเรียนหนังสือขึ้นมาด้วย”
“มันคืออะไร?” แอนเดรียถามอย่างสงสัย
“เนื้อหาในศาสตร์แห่งธรรมชาติมีตั้งเยอะ แค่เพียงเราสามคนมันไม่พอหรอก” เบลินดาผายมือ “ดังนั้นพวกเราเลยคิดที่จะเลือกพ่อค้าหรือชาวบ้านธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดีหน่อย แล้วให้พวกเขาได้มีโอกาสได้เรียนศาสตร์แห่งธรรมชาติ ถ้าพวกเขาเรียนได้ดี พวกเราก็รับเขาเข้ามาอยู่ในตระกูล เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว พี่คิดว่าไง?”
แอนเดรียไม่รู้จะตอบอะไรออกไป
ตอนนี้เธอพบว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อของเธอหรือว่าคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่
ในอดีตแม่มดที่ถูกมองว่าน่ารังเกียจและราชาแห่งเกรย์คาสเซิลผู้ชั่วร้ายที่คอยปกป้องแม่มดและริบเอาอำนาจศักดินาของขุนนางกลับไปนั้นไม่มีทางเป็นเป้าหมายที่ขุนนางระดับสูงของดอว์นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างเด็ดขาด ส่วนการเอาชาวบ้านที่มีสายเลือดธรรมดาเข้ามาอยู่ในตระกูลก็เป็นการทำผิดธรรมเนียมประเพณี แต่ตอนนี้เส้นที่แบ่งแยกเหล่านี้เหมือนจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว
เธอมองไปทางฮอว์ฟอร์ด ควินน์
ในนี้จะต้องมีคำชี้แนะของพ่อเธออยู่แน่นอน
เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยความผิดที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีทางหายไป แต่อย่างน้อยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้มันไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
นี่คือสิ่งที่ท่านอยากจะบอกข้าใช่ไหม ท่านพ่อ?
…..
ในช่วงเวลาหลายวันหลังจากนั้น เกรย์คาสเซิลและดอว์นได้มีปฏิบัติการร่วมกัน
เหล่าขุนนางได้ตั้งจุดช่วยเหลือขึ้นมาเกือบร้อยจุดบนถนนหลักที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อค่อยให้อาหารและที่เต็นท์ที่พักอาศัยแก่ชาวบ้านี่กำลังหวาดกลัว หน่วยพยาบาลของกองทัพที่หนึ่งออกให้การรักษาผู้บาดเจ็บโดยมีแม่มดอาญาสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง จุดที่มีผู้อพยพหนาแน่นที่สุดก็จะมีเสียงเพลงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา — ต่อให้เป็นคนที่กำลังคุ้มคลั่งก็จะสงบลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้
ศาสนจักรที่อยู่ภายใต้การนำของอิสซาเบลลาที่เป็นพระสันตะปาปาคนใหม่ได้ออกมาปลอบโยนเหล่าชาวบ้านที่ถูกบีบให้ต้องทิ้งบ้านเกิดตัวเองมา — ถึงแม้จะเจอกับวิกฤตต่างๆ แต่ศาสนจักรก็ยังมีอิทธิพลในหมู่ชาวบ้านอยู่ สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่มีความสามารถที่จะสู้กับปีศาจได้ นอกจากเกรย์คาสเซิลแล้วก็มีแต่ศาสนจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น
ด้วยความพยายามของหลายๆ ฝ่าย ในที่สุดคลื่นความหวาดกลัวนี้ก็ถูกควบคุมเอาไว้ได้ก่อนที่มันเลวร้ายจนแก้ไขไม่ได้ ถึงแม้ชาวบ้านจะไม่สามารถกลับไปยังเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่เดิมได้ช่วงหนึ่ง แต่ยังไงในพื้นที่ที่หมอกแดงยังปกคลุมไปไม่ถึงยังมีที่ๆ ให้พวกเขาอาศัยได้
และในตอนนี้ การทดสอบโจมตีทางอากาศของกองทัพที่หนึ่งก็เตรียมพร้อมแล้ว
ตอนที่ 1407 ออกเดินทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันรุ่งขึ้น ขอบฟ้าที่ยังสลัวมีแสงสว่างลอดออกมา
ในเวลานี้คนส่วนใหญ่ยังคงนอนหลับอยู่ แต่ในสนามบินแห่งใหม่ตรงชานเมืองกลอรี ทหารยามและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินนั้นยุ่งอยู่กับงานมาครู่ใหญ่แล้ว พวกเขาฝ่าลมหนาวในฤดูใบไม้ผลิวิ่งไปวิ่งมาบนรันเวย์จนเสื้อซับในเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เครื่อยบินลำแล้วลำเล่าถูกลากออกมาจากโรงเก็บเครื่องบินไปยังปลายสุดอีกด้านหนึ่งของรันเวย์ งานเติมน้ำมัน ประกอบและตรวจสอบขั้นสุดท้ายใกล้เสร็จเรียบร้อย
ภายในค่ายที่อยู่ข้างสนามบิน ทิลลีได้เรียกอัศวินอากาศที่มีประสบการณ์ในการรบจริงทั้งหมดให้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หลังผ่านการรับสมัครมาหลายครั้ง บวกกับวิธีการเรียนที่ให้คนเก่าเป็นคนนำคนใหม่ ทำให้จำนวนอัศวินอากาศที่สามารถลงสู่สนามรบได้ในตอนนี้มีมากกว่าร้อยคนแล้ว ส่วนนักเรียนที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามรบในตอนนี้ก็มีจำนวนถึงสองเท่ากว่า ในเวลานี้ ‘กองทัพใหม่’ ที่แยกเป็นอิสระออกมาจากกองทัพภาคพื้นดินเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
ในศึกโจมตีบนเทือกเขาสิ้นวิถีก่อนหน้านี้ ถึงแม้เครื่องบินจะเสียหายไปจำนวนมาก แต่เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของนักบินนั้นค่อนข้างสูงเลยทีเดียว —- เมื่อเทียบกับทหารภาคพื้นดินที่ยากจะหนีรอดจากการไล่ตามของปีศาจได้แล้ว เฮฟเว่นเฟลมเวลาที่ถูกปีศาจโจมตีจนเสียความสามารถในการรบไป มันก็ยังสามารถอาศัยการร่อนหนีออกมาจากสนามรบได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะถูกศัตรูโจมตีจนเครื่องตกหรือว่าเครื่องตกเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องยนต์ ขอเพียงไม่โชคร้ายจนเกินไป นักบินที่มีประสบการณ์ก็สามารถบังคับให้เครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัย
แต่แน่นอน ปัจจัยที่ทำให้นักบินมีโอกาสรอดชีวิตสูงมันยังมีเรื่องของความเร็วของเครื่องบินที่ไม่สูงนัก แรงยกตามธรรมชาติดีและการขว้างหอกของปีศาจที่ไม่รุนแรงพอจะทำให้เครื่องตกได้ในทันทีด้วย
และปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้ทั้งกองทัพเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
“รายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว” ทิลลีเอามือกอดอก ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยืนอยู่ด้านหน้าแถวทหาร — เธอสวมชุดกันลมหนาๆ สำหรับออกรบเหมือนนักรบที่กำลังจะออกรบ ผมยาวสีเทาถูกมัดรวบเอาไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ดูเรียบร้อยและสวยงาม “ทำลายแนวป้องกันของศัตรู เอาระเบิดไปโยนใส่ตรงพื้นที่ใจกลางของป้อมปราการลอยฟ้าเหมือนกับที่ฝึกกันมาก่อนหน้านี้”
“แต่ว่าน่านฟ้าที่พวกเจ้าจะบินในครั้งนี้ไม่ใช่ชานเมืองของเมืองกลอรีอีกต่อไป หากแต่เป็นด้านบนของป้อมปราการลอยฟ้า คนที่จะมาหยุดพวกเจ้าก็ไม่ใช่เพื่อนนักเรียน หากแต่เป็นอสูรสยองและปีศาจระดับสูง”
“องค์หญิง!” ในกลุ่มนักเรียนมีคนยกมือขึ้นมา
“ว่ามา”
“อย่างนั้นมันก็ง่ายน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ?”
คนที่พูดคือกู๊ด คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเพื่อนนักเรียนขึ้นมา
ทิลลีเองก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา เธอไม่ได้ปฏิเสธคำพูด ‘อวดดี’ นี้ ในทางกลับกัน คำพูดแบบนี้มันกลับจะช่วยคลายความตื่นเต้นให้กับทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้น กู๊ดเองก็เป็นคนที่ฆ่าอสูรสยองได้ 12 ตัว หากเขาเป็นคนพูดแบบนี้ นั่นกลับไม่ถือเป็นการหยิ่งผยอง
“ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ปีศาจระดับสูงที่อยู่บนหลังอสูรสยองยังคงเป็นศัตรูที่เราไม่อาจประมาทได้ หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับมาเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้นะ” ทิลลีพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนประเด็น “นอกจากนี้ข้าต้องขอเน้นย้ำว่าพื้นที่ของแผ่นดินลอยฟ้านั้นใหญ่อย่างมาก การเข้าไปพื้นที่ใจกลางของมันก็หมายความว่ารอบๆ ตัวพวกเจ้านั้นเป็นดินแดนของพวกปีศาจ ถ้าลงไปจอดด้านล่าง จุดจบจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าคงจะรู้ดี ดังนั้นปฏิบัติการครั้งนี้พยายามอย่าให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ความคิดที่จะวัดดวงให้ปีศาจปาหอกใส่ทีหนึ่งเพื่อที่จะได้ฆ่ามันนั้น ข้าอยากจะให้พวกเจ้าโยนมันทิ้งไปก่อน เข้าใจไหม!”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!”
“ดีมาก อย่างนั้นต่อไปก็จะเป็นการจัดกลุ่ม — คนที่ถูกจัดให้ขับ ‘ฟิวรี่ออฟเฟลม’ จะเป็นคนรับผิดชอบในการทิ้งระเบิด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อัศวินอากาศทุกคนพลันหูผึ่งขึ้นมา
ฟิวรี่ออฟเฟลมนั้นคือเฮฟเว่นเฟลมที่ถูกทำการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ตัวเครื่องมีความกระชับ ห้องคนขับมีกระจกครอบด้านบนเพิ่มขึ้นมา ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกที่มีความสวยงามกว่าเฮฟเว่นเฟลม แต่ประสิทธิภาพของมันก็ยังดีขึ้นอย่างมากด้วย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนั้นมาจากเครื่องยนต์สูบดาวรุ่นใหม่และระบบอาวุธภายนอก โดยเครื่องยนต์สูบดาวนั้นเป็นเครื่องยนต์ของฟินิกส์ในเวอร์ชั่นรองลงมา กำลังเครื่องถูกจำกัดเอาไว้ในระดับที่ค่อนข้างดำและไม่มีระบบเทอร์โบ เพื่อที่จะได้สะดวกในการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ส่วนระบบอาวุธนั้นก็สามารถติดตั้งไปตามภารกิจที่ต้องไปทำได้ ซึ่งประกอบไปด้วยปืนใหญ่อัตโนมัติและระเบิด
โดยฟิวรีออฟเฮฟเว่นสิบลำแรกที่ออกมาจากโรงงานนั้นถูกส่งมาถึงที่นี่ทางเรือ พวกมันคือหัวใจสำคัญในการทดสอบโจมตีทางอากาศในครั้งนี้ ใครได้ขับเครื่องบินรุ่นใหม่ ก็หมายความว่าคนนั้นคือสุดยอดนักบิยที่องค์หญิงทรงให้การยอมรับ
ทิลลีจงใจชะงักเล็กน้อยก่อนจะหยิบรายชื่อขึ้นมา “ตามแผนการที่วางไว้ เครื่องบินสิบลำนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยจะมีทีมเครื่องบินคุ้มกันคอยบินคุ้มกันด้วย หัวหน้ากลุ่มที่หนึ่งคือ — กู๊ด”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนต่างมองดูเขาด้วยสายตาอิจฉา ในฐานะที่เป็นอัศวินอากาศที่ทำผลงานได้ดีที่สุด จึงไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่เขาถูกเลือก
“หัวหน้ากลุ่มที่สองคือ — แมนเฟล”
อีกฝ่ายตกตะลึงเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงเลือกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ที่นี่มีแมนเฟลคนที่สองหรือไง?” ทิลลีเลิกคิ้ว
“พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
แมนเฟลตอบรับด้วยสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง
นี่ทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นมาทันที เมื่อเทียบกับอัศวินอากาศที่มีประสบการณ์จำนวนมากแล้ว จำนวนครั้งในการเข้าร่วมรบของเขาเรียกได้ว่าน้อยจนแทบจะนับครั้งได้ ถือได้ว่าเป็นนักบินหน้าใหม่ ในศึกโจมตีที่เทือกเขาสิ้นวิถีก่อนหน้านี้ เขาก็จัดการอสูรสยองไปได้แค่ตัวเดียว ถึงแม้เขาจะทำผลงานในการฝึกได้ยอดเยี่ยม แต่ตำแหน่งหัวหน้าทีมนี้มันค่อนข้างจะเหนือความคาดคิดของทุกคนไปหน่อย
แต่ทิลลีกลับรู้ดีว่านักบินหน้าใหม่คนนี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก พรสวรรค์ของเขาตรงนี้ไม่เพียงแต่จะแสดงออกมาในการขับเครื่องบิน แต่มันยังแสดงออกมาให้เห็นในระหว่างที่ทำศึกอย่างดุเดือดด้วย ถ้าพูดถึงทักษะการบินแล้ว แมนเฟลถือได้ว่าติดหนึ่งในสิบ แต่ถ้าพูดถึงเซนส์การต่อสู้แล้ว เขากลับเหนือกว่าคนอื่นมาก
ในการทำศึกบนเทือกเขา มีแค่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าเครื่องบินของแมนเฟลจะบินไปอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอที่สุดของทีมเสมอ แล้วก็ไล่ศัตรูที่พยายามฉวยโอกาสโจมตีเข้ามาในตำแหน่งนั้นหลายครั้ง ซึ่งนั่นเป็นการปลดปล่อยให้ฟินิกส์ของเธอได้บินอย่างอิสระมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องเพื่อนร่วมทีมให้เข้าไปโจมตี หรือว่ากำจัดอันตรายให้เพื่อนๆ อีกฝ่ายก็มักจะไปอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นที่สุดเสมอ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แน่นอน การทำศึกบนท้องฟ้านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า คนส่วนใหญ่มักจะระวังแค่ตัวเองกับคู่หูเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าต้องจัดรูปแบบการบินให้ละเอียดมากที่สุด การที่เขาสามารถสังเกตดูสถานการณ์โดยรวมได้ในระหว่างที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด อีกทั้งยังหาช่องโจมตีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดได้ ไหวพริบและสายตาของเขานั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าทักษะการบินของเขา
เมื่อเทียบกับกู๊ดที่มีทักษะส่วนตัวที่ดีเยี่ยมแล้ว ความได้เปรียบของแมนเฟลนั้นอยู่ที่การทำงานเป็นทีม ด้วยเหตุนี้บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่รู้ถึงพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา
ความจริงหลังศึกโจมตีจบลง ทิลลีก็รีบหาประวัติของคนๆ นี้มาอ่านอย่างละเอียด การเกิดอยู่ในตระกูลอัศวินสามารถอธิบายได้ว่าทักษะของเขาตรงนี้มาจากไหน แต่สิ่งที่น่าคิดก็คืออัศวินแบบนี้กลับไม่สามารถฟื้นฟูตระกูลที่ตกต่ำขึ้นมาได้ — ร่างกายและพละกำลังของแมนเฟลได้จำกัดความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาเอาไว้ ถ้าเป็นการสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เกรงว่าคาร์เตอร์ใช้แค่มือเดียวก็สามารถล้มเขาได้แล้ว
แต่เครื่องยนต์และปืนกลอัตโนมัตินั้นไม่สนใจว่าคนที่ขับเครื่องบินจะแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ ด้วยกำลังของเครื่องบินปีกสองชั้น ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ต่างหากถึงจะเป็นดินแดนที่เหมาะจะให้เขาได้แสดงฝีมือ
ทิลลีไม่ได้บอกเหตุผลที่เธอเลือกเขาออกมา เธอเชื่อว่าขอเพียงให้เขาได้มีประสบการณ์รบมากอีกหน่อย แมนเฟลและคนอื่นๆ จะต้องสังเกตเห็นถึงจุดๆ นี้เหมือนกันแน่
หลังส่งมอบรายชื่อสมาชิกของทั้งสองกลุ่มเสร็จเรียบร้อย เธอก็เงยหน้ามองดูตำแหน่งของพระอาทิตย์ ก่อนจะออกคำสั่งปฏิบัติการ
ภายใต้การให้สัญญาณของธง ฟินิกส์บินออกจากรันเวย์ไปเป็นลำแรก เมื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองอันเจิดจ้าของแสงแดดได้สะท้อนออกมาจากปีกเหล็กของมัน
ลำต่อมาคือซีกัล — หลังซีกัลลำแรกพังเสียหายไป อันนาก็รีบสร้างลำที่สองขึ้นมาตามแบบเดิมอย่างรวดเร็ว สำหรับเธอแล้ว งานสร้างที่เธอเคยชินแบบนี้นั้นใช้เวลาไม่นานนัก
สุดท้ายก็เป็นเฮฟเว่นเฟลม 40 ลำกับฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่บรรทุกระเบิดอีก 10 ลำ พวกมันจัดกลุ่มกลายเป็นฝูงบินขนาดใหญ่บินข้ามเมืองกลอรีไป ก่อนจะหายไปในชั้นเมฆทางตะวันตก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น