Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1402-1403
ตอนที่ 1402 เปล
โดย
Ink Stone_Fantasy
จดหมายฉบับนั้นเป็นของจริง!
วัลคีรีย์ไม่ได้โกหก
ด้านล่างหลุมลึกคือแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ที่พวกมันเฝ้าตามหามาตลอด!
ความรู้สึกสับสนพุ่งทะลักขึ้นมาในหัวเฮคซอดจนมันทำอะไรไม่ถูก
ในเมื่อเรื่องบางเรื่องกลายเป็นเรื่องจริง อย่างนั้นเรื่องบางเรื่องก็ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องโกหก
อย่างเช่นเรื่องการยกระดับของเผ่าพันธุ์
ในบันทึกของผู้ตื่นรู้ระบุเอาไว้ว่าแหล่งกำเนิดเวทมนตร์นั้นสูงส่งอยู่เหนือทุกสิ่ง ถือเป็นดินแดนของพระเจ้า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ล้วนแต่บอกอย่างกลายๆ ว่ามันคือสิ่งเดียวกันกับพระจันทร์สีแดง เผ่าพันธุ์ที่ไม่สามารถรวบรวมชิ้นส่วนสืบทอดมาได้ครบนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสัมผัสดินแดนแห่งนั้น ดังนั้นสำหรับเผ่าพันธุ์ของมันจึงมองว่าท้องฟ้าคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้เมืองที่สามารถลอยไปบนท้องฟ้าได้ถึงถูกเรียกว่าพระผู้สร้าง
แต่ตอนนี้ แหล่งกำเนิดเวทมนตร์ไม่ได้พิเศษขนาดนั้นอีกแล้ว — มันอยู่บนเกาะที่มีพลังในการปกปิดตัวเอง เรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ เผลอๆ อาจจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน การมาที่นี่ก็ไม่ได้มีประโยชนอะไรเลย เฮคซอดสัมผัสไม่ได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่ขยายตัวขึ้น แล้วก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายไม่ได้ ถ้าเอาหินเวทมนตร์หลากสีออก ที่นี่ก็เป็นแค่หลุมลึกธรรมดา ดูไม่ได้เข้ากับคำว่ายิ่งใหญ่หรือศักดิ์สิทธิ์เลย
หลุมนี่ทำให้เผ่าพันธุ์ยกระดับได้งั้นเหรอ?
ต่อให้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา มันก็น่าจะทำให้ดูเหมือนหน่อยหรือเปล่า?
ถ้าทั้งหมดเป็นเหมือนที่วัลคีรีย์พูดมา อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าความพยายามในช่วงเวลานับพันปีของเผ่าพันธุ์กลายเป็นเรื่องน่าขันหรอกเหรอ…
“….สกายลอร์ด?”
เสียงของผู้เฝ้ามองดังแทรกความคิดมันขึ้นมา
ใช่แล้ว ที่นี่ยังมีสัตว์ประหลาดที่บอกว่าตัวเองเฝ้าอยู่ที่นี่มานับพันปีอยู่ แถมยังปลอมตัวเป็นปีศาจระดับสูงอยู่ด้วยนี่นา — เมื่อดูจากท่าทีของมันแล้ว มันน่าจะรู้อะไรอย่างอย่างเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตาก็ได้!
เพราะว่าถ้าสงครามที่ช่วงชิงชิ้นส่วนสืบทอดเป็นสงครามที่วนเวียนไม่รู้จบจริงๆ มันก็น่าจะเคยเห็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับ ‘กุญแจยกระดับ’ มาแล้วแน่นอน
หรือยิ่งไปกว่านั้น….ตำนานเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตาอาจจะแพร่กระจายไปจากที่นี่ก็ได้
เฮคซอดไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบออกมาตามตรง
มันจึงตัดสินใจที่จะเปิดฉากเล่นงานอีกฝ่าย
ประตูมิติสองบานวาดผ่านร่างกายของอีกฝ่าย ตัดแขนทั้งสองข้างของผู้เฝ้ามองจนขาด จากนั้นจึงเป็นขาทั้งสองข้าง!
อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องสูญเสียแขนขาไปแล้ว สีหน้ามันยังคงดูงุนงงอยู่ จากนั้นจึงล้มลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ก่อนหน้านี้เฮคซอดได้แอบใช้หินเวทมนตร์หลากสีสังเกตดูอีกฝ่ายแล้ว ก่อนจะพบว่าบนหัวของผู้เฝ้ามองไม่ได้มีเสาลำแสงที่ชัดเจน นี่หมายความว่าพลังเวทมนตร์ของอีกฝ่ายไม่ได้พิเศษอะไร ขอเพียงตัดแขนตัดขา มันก็แทบจะทำอะไรตนไม่ได้แล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สกายลอร์ดก็ยังลอยตัวอยู่บนอากาศเมื่อสังเกตดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง หลังแน่ใจว่าอีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนร้องด้วยความเจ็บปวด มันจึงลอยกลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง มันขวานตัวผู้เฝ้ามองที่นอนจมกองเลือดขึ้นมา ในเวลานี้ชุดสีขาวของมันชโลมไปด้วยเลือดสีน้ำเงิน ไม่ได้มีท่าทีที่ดูสง่างามเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
“เจ้าตอบข้ามาตามตรงจะดีกว่า แบบนั้นข้าอาจจะยังไว้ชีวิตเจ้าได้” เฮคซอดพูดข่มขู่ “ถึงที่สุดแล้วการยกระดับมันจะกลายเป็นยังไง? พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่? ทำไมมันถึงแต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมา? ความอดทนของข้ามีจำกัด รีบตอบคำถามทั้งหมดออกมาซะ!”
ที่น่าแปลกก็คือบนใบหน้าของผู้เฝ้ามองม่ได้มีความหวาดกลัวหรือความเจ็บแค้นเลย มันหอบหายใจแล้วพูดว่า “ทำไม…เจ้าต้องทำแบบนี้?”
“ซากโบราณสถานที่แอบซ่อนอยู่ใต้ดินล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมสงครามแห่งโชคชะตาครั้งก่อนๆ หน้านี้เหลือทิ้งเอาไว้ใช่ไหม? ตอนนี้เผ่าพันธุ์ข้ากำลังเดินตามรอยที่ว่า กลายเป็นเศษฝุ่นที่ถูกทำลาย แต่เจ้ากลับยังมาถามข้าว่าทำไมอย่างนั้นเหรอ? ให้พวกข้ามาสู้กันเองแล้วก็ตายไปเหมือนกับสัตว์ โลกนี้มันป็นแค่ของเล่นของพระเจ้าหรือยังไง!”
หลังคำรามเสร็จ เฮคซอดพลันตกตะลึง
ผู้เฝ้ามองจ้องตามัน ในสายตาแฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าสร้อย
“อย่างนี้นี่เอง…เจ้าไม่ได้หลงทางมา หากแต่ตั้งใจมาที่นี่ เสียดายที่เมื่อเทียบกับการหายไปโดยไม่รู้อะไรแล้ว บางครั้งการรู้คำตอบมันกลับจะทำให้รู้สึกสิ้นหวังมากกว่า — โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จริงอยู่ที่บนโลกนี้ัยังมีข้อบกพร่องอยู่อีกมาก แต่สำหรับพวกเจ้าแล้ว มันคือเปลที่ดีที่สุด”
“ปะ…เปล?” สกายลอร์ดคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากอีกฝ่าย
ลมหายใจของผู้เฝ้ามองค่อยๆ แผ่วเบาลง มันยกแขนที่อาบเลือกขึ้นมา เหมือนพยายามจะจับหน้าของเฮคซอดอย่างไรอย่างนั้น “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นลูกของพระเจ้า แล้วมันมองพวกเจ้า…เป็นเครื่องหาความสุขให้ตัวเองได้ยังไง? ตอนนี้…ถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้ว รีบไปเถอะ….ถ้ายังไม่ได้กุญแจมา อย่ากลับมาที่เกาะนี้เด็ดขาด”
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย!”
แต่เฮคซอดยังไม่ทันพูดจบ ร่างกายของผู้เฝ้ามองก็เริ่มหายไป ราวกับว่ามันไม่มีแรงเหลือพอที่จะคงร่างเอาไว้ได้อีก ในเวลาไม่กี่อึดใจ ร่างกายมันก็หายไปจนหมด ส่วนสิ่งที่หายตามมันไปยังมีแผ่นหินเหล่านั้น — ไม่นาน บริเวณรอบๆ ก็เหลือเพียงแต่ทุ่งหญ้าและหลุมขนาดยักษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เหมือนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น
แต่รอยเลือดที่ยังคงเหลืออยู่บนมือเฮคซอดกลับบอกมันว่า ‘ผู้ยกระดับระดับสูง’ ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ตัวผู้นั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้มันรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมากก็คือเห็นๆ อยู่ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นร่างจำแลงมา และหลังจากที่มันหายไป มันกลับทำให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวด
เฮคซอดส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป
อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ความจริงเรื่องหนึ่งได้ นั่นคือวัลคีรีย์ไม่ได้โกหก แถมมันยังเข้าใกล้ความจริงของสงครามแห่งโชคชะตามากกว่าคนอื่นๆ ด้วย
สิ่งที่มันต้องทำหลังจากนี้ก็คือหาช่องทางที่สามารถใช้ติดต่อกับวัลคีรีย์ได้
มันมีคำถามมากมายที่ต้องถามอีกฝ่าย
เฮคซอดลุกขึ้นยืน ในขณะที่มันกำลังเตรียมตัวจะออกไปจากที่นี่ หน้าอกมันพลันมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมา!
มันเกิด…อะไรขึ้นกันแน่?
มันก้มหน้าลง ก่อนจะมองเห็นบนเกราะของตัวเองมีรอยแตก กรงเล็บกระดูกที่แหลมคมค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
นี่คือ — ‘มีด’ ของอาณาจักรซีสกาย
พวกมันแทบจะโปร่งใสเวลาเคลื่อนไหวและมีความสามารถในการซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก มีแต่ต้องใช้สัมผัสเวทมนตร์ถึงจะรับรู้ถึงพวกมันได้
บ้าเอ้ย….ตอนที่ตัวเองเหม่อลอย อาณาจักรซีสกายก็แอบเข้ามาบนเกาะนี้เหมือนกันเหรอ?
เฮคซอดรับรู้ได้ว่าพลังของตัวเองกำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ประมาทเกินไป…มันเอาสมาธิทั้งหมดไปอยู่ที่ตัวผู้เฝ้ามอง บวกกับคำตอบที่เหนือความคาดคิดของอีกฝ่ายได้ทำให้มันไม่ทันได้ระวังตัว จนทำให้มันไม่ทันรับรู้ถึงศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอก แต่สิ่งที่มันไม่เข้าใจก็คือ ในอดีตศัตรูแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำลายบาเรียของผู้ยกระดับระดับสูงได้ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะแทงทะลุชุดเกราะเลย
‘มีด’ เป็นแค่กรงเล็บที่เนสต์อายใช้จับเหยื่อเท่านั้น นอกจากการซ่อนตัวแล้วก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วมันสามารถโจมตีราชาได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ความเจ็บปวดที่บาดแผลได้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟเผาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่านอกจากความแหลมคมแล้ว เจ้ากรงเล็บนี้มันยังมีพิษอยู่ด้วย
เฮคซอดค่อยๆ หันหน้ากลับไป ก่อนจะเป็นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ยืนอยู่ด้านหลังตน นอกจากกรงเล็บกระดูกที่เป็นรูปเคียวกับส่วนท้องที่เอาไว้ใช้ห่อหุ้มเหยื่อแล้ว เฮคซอดก็ยากที่จะเชื่อมโยงมันเข้ากับมีดในอดีตได้
และตรงพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปซึ่งเต็มไปด้วยหมอกก็ยังมีเงาสีดำอีกจำนวนมากที่กำลังคืบคลานเข้ามาทางนี้
ที่แท้ที่ผู้เฝ้ามองบอกว่า ‘เหลือเวลาไม่มากแล้ว’ มันหมายถึงแบบนี้อย่างนั้นเหรอ….
สายตาของเฮคซอดเริ่มพร่ามัว ทันใดนั้นเอง มีดที่แทงทะลุตัวมันพลันอ้าปากกว้าง ก่อนจะงับลงมาที่มัน
อีกด้านหนึ่ง ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พลันลืมตาขึ้นมา
ตอนที่ 1403 สนามรบแห่งใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจิตสำนึกเชื่อมต่ออีกครั้ง ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างก็กลับคืนมา
แต่สำหรับไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ นี่เป็นเรื่องที่มันเคยชินมานานแล้ว ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับศัตรูที่แห่กันเข้ามาเหมือนสายน้ำ หลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาในบ่อละอองชีวิต นี่คือวิธีการใช้ชีวิตของมันมาแต่ไหนแต่ไร การเข้าใกล้ขีดจำกัดทุกๆ ครั้งทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ส่วนความเจ็บปวดที่ต้องแลกมานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน…
มันมองดูละอองชีวิตที่คละคลุ้งอยู่ตรงหน้า ภายในหัวยังคงนึกถึงความรู้สึกในตอนที่ตื่นขึ้นมาอยู่
คิดไปเองงั้นเหรอ?
เมื่อครู่นี้โลกแห่งจิตสำนึกเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา
ถ้าไม่เป็นเพราะมันอยู่ใต้หอคอยแห่งการให้กำเนิดพอดี แล้วก็ยังอยู่ในสภาพฟื้นตัวแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น เกรงว่ามันคงจะยากที่จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดนี้ได้
ซึ่งการกระเพื่อมแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก ผู้ที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมแบบนี้เมื่อครั้งที่แล้วก็คืออุรูคผู้เป็นแม่ทัพอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์
นั่นหมายความว่า…มีราชาตายไปอีกตน
ทางเหนือเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ตัวเองคิดไปเองหรือว่าการกระเพื่อมนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
ไม่ได้ มันต้องไปถามนาซเพลเรื่องนี้ แล้วก็ถามด้วยว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไรกับสถานการณ์ทางตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์สะกดความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นมาจากบ่อละอองชีวิต ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงในตอนที่เดินผ่านร่างของวัลคีรีย์ — ถึงแม้สกายลอร์ดจะคิดว่าการเอาร่างของไนท์แมร์ไปไว้ที่เมืองสกายก็ปลอดภัยเหมือนกัน แต่มันยังคงยืนยันที่จะเอาร่างอีกฝ่ายไว้บนพระผู้สร้าง นอกจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัยแล้ว มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
แบบนี้แล้ว ขอเพียงมันไม่ได้ลงไปอยู่ในสนามรบ มันก็จะสามารถอยู่ข้างกายอีกฝ่ายแบบนี้ไปตลอด
“วางใจได้ ข้าจะต้องเอาหัวของมันมาให้เข้าแน่นอน”
ไซเลน์พูดเสียงเบาๆ
มันจำหน้าของมนุษย์ตัวผู้ที่เจอในดินแดนของพระเจ้าคนนั้นได้แม่น
คนๆ นี้คือต้นเหตุที่ทำให้ไนท์แมร์ต้องหลงทางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก
มีแต่ต้องฆ่าคนๆ ด้วยตัวเอง ถึงจะทำให้วัลคีรีย์ได้รับความสงบอย่างแท้จริง
…..
ในลานทดลอง ไซเลน์ดิสแอสเตอร์มาหานาซเพล
“ฟื้นตัวเร็วมากนี่นา” อีกฝ่ายพูดอย่างแปลกใจ “ความเร็วในการฟื้นตัวนี้ ต่อให้อยู่ในหมู่ราชาก็ถือว่าหาได้ยากมาก…บางครั้งข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าเอาเจ้าไปรวมร่างเข้ากับร่างซิมไบออนท์ มันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน”
“….” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่อยากจะสนใจคำพูดไร้สาระของมัน “ข้าอยู่ในบ่อละอองชีวิตมานานเท่าไร?”
“ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้พระผู้สร้างได้เข้ามาในอาณาจักรดอว์นแล้ว ข้าไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางที่แตกตื่นลนลานของพวกแมลง ข้าแค่ยิงลองสเปียร์ออกไปไม่กี่แท่งก็ทำให้เมืองของพวกมันพังพินาศได้แล้ว” นาซเพลหัวเราะชั่วร้ายออกมาอีกครั้ง “เปลวไฟ เหยียบย่ำ กรีดร้อง หวาดกลัว…นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พวกแมลงควรจะเป็น!”
“ช่วงนี้เฮคซอดได้ติดต่อเจ้ามาบ้างไหม?”
“มันบอกว่ามันจะไปตรวจดูซีคลาวด์โรดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งของสันหลังของทวีปไม่ใช่เหรอ? ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นฝ่ายติดต่อข้ามาหรอกนะ” เดอะแมสก์พูดพร้อมส่ายหัวของมัน “บอกตามตรง นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่มันควรจะทำ ตำแหน่งแม่ทัพตะวันตกอะไรนั้นไม่ได้เหมาะกับมันเลย จักรพรรดิแค่ไม่อยากให้ความแข็งแกร่งของกองทัพในการทำศึกแบบซึ่งๆ หน้าลดลงเท่านั้น ถึงได้ให้สกายลอร์ดรับผิดชอบในการทำศึกตะวันตก แต่สุดท้ายก็ยังต้องให้ข้านาซเพลมาเก็บกวาดอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
ไซเลนท์ตกใจขึ้นมาทันที
ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ บวกกับตอนที่ตัวเองออกเดินทางก่อนสลบไป นั่นมันก็สองอาทิตย์กว่าแล้ว ต่อให้ระยะทางจากสันหลังของทวีปมาถึงที่นี่จะค่อนข้างไกล แต่สำหรับเฮคซอดแล้ว เวลาเท่านี้เพียงพอที่จะให้มันไปกลับได้ 2 – 3 ครั้งเลย
“ตามข้าไปที่หอคอยแห่งการให้กำเนิด” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่ลังเลอีกต่อไป “ข้าต้องพบจักรพรรดิ”
ตอนนี้อาการบาดเจ็บของมันยังไม่หายดี มันจำเป็นต้องยืมพลังของผู้ควบคุมพระผู้สร้างถึงจะสามารถเชื่อมต่อทางจิตสำนึกกับจักรพรรดิได้จากระยะนี้
ในเวลานี้นาซเพลก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติเช่นเดียวกัน “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“โลกแห่งจิตสำนึกเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา” ไซเลนท์พูดออกมาตรงๆ
“เอ่อ…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องของที่ัจับต้องไม่ได้พวกนั้น”
“ข้าถึงต้องติดต่อจักรพรรดิไง ถ้านั่นเป็นแค่ความรู้สึกที่คิดไปเอง จักรพรรดิจะต้องรู้ความหมายของการกระเพื่อมนั้นดีกว่าข้าแน่นอน” ไซเลนท์ตอบ
บนยอดหอคอยแห่งการให้กำเนิด นาซเพลวางมือลงไปบนตัวหอคอยพร้อมเริ่มตั้งสมาธิรวบรวมพลังเวทมนตร์ พรสวรรค์ของราชาแต่ละตัวนั้นไม่เหมือนกัน มีทั้งราชาที่ยอดเยี่ยมอย่างวัลคีรีย์ที่สามารถเข้าไปยังส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วก็มีพวกที่โง่จนเกือบจะตาบอดเหมือนอย่างเดอะแมสก์ที่ถ้าไม่ยอมพลังจากหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็แทบจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้
ไซเลนท์อดทนรออยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยินเสียงตอบของอีกฝ่าย
“เกิดอะไรขึ้น” มันขมวดคิ้วขึ้นมา “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
ถ้าไม่เป็นเพราะรู้สึกร้อนใจ ปกติมันไม่มีทางที่จะถามคำถามออกมาเยอะแยะขนาดนี้
แต่นาซเพลหันหน้ากลับมา น้ำเสียงฟังดูตกใจอย่างมาก
“ไม่มี….”
“อะไรไม่มี?”
“หอเจ้าชีวิต ข้าหาร่องรอยของจักรพรรดิไม่เจอแล้ว”
ไซเลนท์ตกตะลึงไปทันที
จักรพรรดิคือศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์ หอคอยเจ้าชีวิตเป็นเหมือนหอประภาคารกลางทะเลอันกว้างใหญ่ ตอนนี้สูญเสียตัวนำทางไป ก็หมายความว่าพวกมันจะไม่สามารถติดต่อกับแบล็คสโตนได้ชั่วคราว
จักรพรรดินั้นไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน ไม่อย่างไรคงจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นจนปีศาจทุกตัวรู้สึกได้
ปัญหาเพียงหนึ่งเดีวก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้จักรพรรดิปิดดินแดนจิตสำนึก?
เห็นได้ชัดว่าก่อนที่หอคอยเจ้าชีวิตจะกลับมาอีกครั้ง มันไม่มีทางรู้คำตอบแน่
…..
อาณาจักรดอว์น ปราสาทเมืองกลอรี
“นั่นคือพระผู้สร้าง…” โรแลนด์ที่ยืนอยู่ชั้นบนของปราสาทมองไปทางเงาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจากขอบฟ้าพร้อมพูดเสียงเบาๆ
ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในตอนที่ได้เห็นมันด้วยตาจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ดี
นี่ไม่ใช่สเปเชี่ยลเอฟเฟคที่อยู่ในภาพยนตร์ หากแต่เป็นของจริง แผ่นดินลอยฟ้าที่ใหญ่ถึงขนาดใส่เมืองเนเวอร์วินเทอร์และลองซองเข้าไปได้ เพียงแค่มองดูไกลๆ ก็ทำให้รู้สึกตกตะลึงได้แล้ว ถ้าหากติดโครงเหล็กและท่อไอน้ำเข้าไปตรงหินสีดำพวกนั้น นั่นจะยิ่งทำให้เหมือนของที่สร้างออกมาจากความฝันเลย
มิน่าปีศาจระดับสูงถึงได้มั่นใจนัก
ไนติงเกลขยับเข้ามาใกล้เขาด้วยสีหน้าระแวดระวังอย่างมาก
“วางใจได้” โรแลนด์พูดอย่างจนปัญญา “แค่ดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรอันตรายหรอก”
“อยู่ในต่างแดนมันก็หมายถึงความเสี่ยงแล้วเพคะ” ไนติงเกลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หม่อมฉันสามารถตรวจสอบคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้ามาในปราสาทเนเวอร์วินเทอร์ได้ แต่หม่อมฉันไม่สามารถตรวจสอบขุนนางทุกคนในอาณาจักรดอว์นได้เพคะ ทำไมพระองค์ต้องเสด็จมาที่แนวหน้าด้วยเพคะ?”
“เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันทำให้ข้ารออยู่เฉยที่ดินแดนตะวันตกไม่ได้แล้วน่ะสิ” โรแลนด์ส่ายหัว กองทัพที่หนึ่งล้มเหลวเป็นครั้งแรก จู่ๆ พระผู้สร้างก็เปลี่ยนทิศทางไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีส ความตื่นตระหนกที่เป็นเหมือนโรคระบาดแพร่กระจายไปในอาณาจักรเพื่อนบ้าน ข่าวที่ถูกส่งกลับมาเหล่านี้ทำให้เขาตัดสินใจ เขาจำเป็นต้องก้าวออกมา เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของกองทัพที่หนึ่ง และรักษาความเชื่อมั่นของอาณาจักรดอว์นที่เป็นพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหลังอารยธรรมไหน นี่เป็นวิธีการให้กำลังใจที่ง่ายและได้ผลมากที่สุด
จากนั้นเขาก็มองไปทางฮอว์ฟอร์ด ควินท์ “เสนาบดีของเจ้าน่าจะมากันครบแล้วใช่ไหม?”
“พวกเขารออยู่ในห้องประชุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันดีกว่า…ว่าหลังจากนี้ควรทำยังไง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ผู้นำแห่งดอว์นยกมือขึ้นมาทาบที่อก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น