Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1396-1401
ตอนที่ 1396 ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
การโจมตีของปีศาจถูกหยุดเอาไว้
ถึงแม้เสาหินสีดำจะใหญ่จนน่าตใกจ แต่เมื่อดูจากโครงสร้างที่ซับซ้อนภายในแล้ว ปีศาจแมงมุมขนาดเล็กที่มันพามาได้นั้นต้องมีอยู่อย่างจำกัดแน่นอน บวกกับทีมโจมตีเตรียมอาวุธมาอย่างครบครัน ปืนกลเอนกประสงค์ก็มีอยู่ 20 กว่ากระบอก การยิงในระยะนี้เรียกได้ว่าปีศาจไม่สามารถเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้เลย
ภายใต้สถานการณ์ที่มีความได้เปรียบเช่นนี้ ไม่นานจำนวนทหารที่ถอยมารวมกันจึงมีมากกว่า 300 คนอย่างรวดเร็ว นี่เกือบจะเท่ากับจำนวนรวมทั้งหมดของทีมโจมตีต่อต้านแล้ว มีทหารเพียงบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บในตอนที่หนีเสาหิน หลังจากเสาหินที่ถูกยิงเข้ามาในแนวรบแตกออก คนที่ได้รับความกดดันมากที่สุดก็คือคนที่อยู่ห่างจากทางลงเขาค่อนข้างไกลเหล่านั้น นอกจากจะเจอปีศาจแมงมุมคอยโจมตีแล้ว กระสุนของเพื่อนทหารที่ปลิวว่อนก็เต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกัน พวกเขาได้แต่ต้องพยายามก้มตัวให้ต่ำเอาไว้เพื่อหลบกระสุนของเพื่อนแล้ววิ่งอ้อมมา
ที่โชคดีก็คือหลังจากกระสุนส่องวิถีถูกใช้อย่างแพร่หลาย ประสิทธิภาพและความแม่นยำในการสกัดศัตรูของหน่วยปืนกลก็พัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีแสงคอยนำทาง พลยิงก็สามารถเลือกเป้าหมายที่ตัวเองต้องยิงได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ไม่มีทางยิงเบี้ยวออกไปไกลแต่ก็ยังไม่รู้เหมือนเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการแจ้งเตือนของไลต์นิ่งที่มาทันเวลา — ถ้าพวกเขาถูกเสาหินยิงเข้าใส่ในตอนที่กำลังยิงปืนใหญ่อยู่ ตัวเลขผู้เสียชีวิตคงไม่ได้มีแค่นี้แน่
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่เธอบินลงมา ทุกคนจึงส่งเสียงปรบมือให้เธอดังสนั่น
แต่สีหน้าของไลต์นิ่งกลับไม่ได้ดูผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย “ผู้บังคับบัญชาของทีมอยู่ที่ไหน?”
“ข้าแคทคลอว์เป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการครั้งนี้ขอรับ” แคทคลอว์ก้าวออกมาทำวันทยหัตถ์ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมากขอรับ”
“เจ้าต้องรีบพาทุกคนถอยออกมาเดี๋ยวนี้” ไลต์นิ่งรีบพูดขึ้นมา “ในเสาหินสีดำที่โจมตีแนวรบปลอมก่อนหน้านี้ก็มีปีศาจแมงมุมอยู่เหมือนกัน พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ นอกจากนี้บนแผ่นดินลอยฟ้ายังมีเสาหินพร้อมยิงอยู่อีกจำนวนมาก ศัตรูอาจจะยิงเสาหินมาใหม่ได้ทุกเมื่อ!”
แคทคลอว์ตกใจทันทีที่ได้ฟัง
ตอนนี้ภารกิจการยิงปืนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แผนการต่อไปหลังจากนี้คือการถอยออกไปจากที่นี่ แต่จะถอยออกไปอย่างไรนี่สิคือปัญหา — เดิมเขาคิดจะกำจัดปีศาจที่หลงเหลืออยู่บนสนามรบให้หมดก่อน แล้วค่อยพาเพื่อทหารทุกคนออกไปจากเทือกเขาสิ้นวิถีไม่ว่าพวกเขาจะเป็นหรือตาย แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว สถานการณ์เหมือนจะแย่กว่าที่เขาคิดเอาไว้
แนวรบทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้นตรงเชิงเขายังมีถนนเชื่อมต่อเอาไว้ด้วย ถ้าข่าวของไลต์นิ่งนั้นไม่ผิดพลาด อย่างนั้นยิ่งพวกเขาอยู่บนเขานานเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจแมงมุมระหว่างทางก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เส้นทางบนภูเขานั้นไม่ได้เรียบเหมือนพื้นแนวรบที่แม่มดกลบให้มันเรียบ ช่วงที่แคบๆ ก็กว้างพอแค่ให้ทหารยืนเรียงแถวหน้ากระดานแค่สองคนเท่านั้น บวกกับหิมะที่ทับถมและความสูงของเนิน ทำให้พวกเขาแทบจะไม่สามารถตั้งแนวป้องกันขึ้นมาได้เลย ทางเลือกนั้นมีอยู่แค่สองทางเท่านั้น หนึ่งคือรีบพาทีมหนีลงเขาไป หนีไปได้เท่าไรก็เท่านั้น พยายามรีบไปยึดพื้นที่ตรงเชิงเขาเอาไว้ให้ได้ก่อนที่ปีศาจแมงมุมจะมาถึง สองคือเรียกกองหนุนให้มาสกัดศัตรูแทนพวกเขา
ปัญหาคือ ‘เสาหินพร้อมยิง’ ที่ไลต์นิ่งบอกมานั้นไม่ได้มีแค่สองหรือสามอัน ถ้าตำแหน่งของกองหนุนถูกเปิดเผน พวกเขาอาจจะต้องเป็นเป้าหมายโจมตีของศัตรูได้ เพราะจำนวนคนในกองหนุนนั้นมีมากกว่า 800 คน ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นกองกำลังหลัก ด้วยเหตุนี้วิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดคือแจ้งพวกเขาให้อยู่กับที่อย่าขยับไปไหน แล้วก็ใช้กำลังของตัวเองในการหยุดศัตรูเอาไว้
แต่เหตุผลมันก็ส่วนเหตุผล เวลาที่ต้องทำการตัดสินใจจริงๆ นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตอนนี้ยังมีคนหายไปอีก 20 – 30 คน พวกเขาบางทีอาจจะได้รับบาดเจ็บขยับไปไหนไม่ได้ หรือไม่ก็คอยหาโอกาสอยู่ด้านหลังเสาหิน ถ้าทีมถอยหนีไป คนเหล่านี้ก็ได้แต่ต้องหาทางรอดด้วยตัวเองเท่านั้น
อีกทั้งโพเมโล่ก็ยังไม่โผล่มาด้วย…
แคทคลอว์สับสนขึ้นมาทันที
“หัวหน้า!” ข้างๆ มีเสียงทหารดังขึ้นมา
แคทคลอว์ได้สติกลับมาทันที ใช่แล้ว ตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบของทีมนี้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง การทำภารกิจให้เรียบร้อยคือสิ่งที่เขาต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก และภารกิจในตอนนี้ก็คือพยายามทหารของกองทัพที่หนึ่งหนีออกไปจากเทือกเขาสิ้นวิถีให้ได้มากที่สุด
“ทหารสื่อสาร ใช้โทรศัพท์แจ้งไปยังกองหนุน บอกให้พวกเขาซ่อนตัวเอาไว้เหมือนเดิม” แคทคลอว์กัดฟันออกคำสั่ง “คนอื่นๆ ให้รีบถอยไปจากที่นี่ พวกเราไปเจอกันตรงปากทางเชิงเขา!”
จากนั้นเขาก็หยิบแตรขึ้นมาเป่า นี่คือสัญญาณให้ถอยอย่างรวดเร็ว
ภายใต้คำสั่งนี้ ทหารหน่วยปืนกลที่รับผิดชอบเรื่องป้องกันจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ คอยคุ้มครองทหารปืนใหญ่ลงมาจากเขาจนกว่าทุกคนจะหนีออกมาจนหมด
“คุณหนูไลต์นิ่ง ข้าขอวานท่านเรื่องหนึ่งได้ไหม?” หลังจากออกคำสั่งไปแล้ว แคทคลอว์จึงหันไปมองไลต์นิ่ง “ทหารที่ไม่สามารถมาที่นี่ตอนนี้ได้…”
“วางใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ไลต์นิ่งมองดูสีหน้าเขาก็รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร
“ฝากท่านด้วยนะขอรับ!” แคทคลอว์ทำวันทยหัตถ์อีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสั่งให้ทหารปืนใหญ่ถอยไปยังถอยไปยังจุดถอยต่อไป
….
‘นี่คือผลงานที่เจ้าภาคภูมิใจงั้นเหรอ?’
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์หันไปสบตาเดอร์แมสก์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่นาซเพลเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะอยู่ในคำพูดอีกฝ่าย
การตอบโต้ของแมลงนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้ระยะการต่อสู้จะถูกร่นเข้ามาจนแทบจะประชิดหน้าแล้ว แต่ร่างซิมไบออนท์ ‘เอ็กซ์ติงกวิชเชอร์’ ก็ยังไม่สามารถกำจัดมนุษย์ทั้งหมดลงได้ นี่ทำให้มันรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่มันเพิ่งแสดงความอวดรู้ออกไปต่อหน้าอีกฝ่าย
เพราะการที่มันตั้งชื่อให้ร่างซิมไบออนท์ว่า ‘เอ็กซ์ติงกวิชเชอร์’ ก็เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผลงานที่มันสร้างขึ้นมานั้นแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะกระบอกเพลิง ลูกดอกเพลิงและฝนเพลิงของมนุษย์ได้ แต่กองกำลังของพวกแมลลงไม่เพียงแต่จะหยุดการบุกระลอกแรกของเอ็กซ์ติงกวิชเชอร์เอาไว้ได้ แต่พวกเขายังตั้งแนวป้องกันขึ้นมาตรงเชิงเขาและสกัดร่างซิมไบออนท์ขนาดเล็กที่ไล่ตามมาเอาไว้ที่ด้านนอกถนน
ผลลัพธ์นี้ทำให้นาซเพลยากที่ยอมรับได้!
เห็นๆ อยู่ว่าผลงานของตัวเองนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างระดับต้น ไม่เพียงแต่โจมตีและป้อมกันได้ แต่มันยังไม่จำเป็นต้องพึ่งพาละอองชีวิตด้วย นอกจากนี้มันยังไม่กลัวตาย ไม่มีวันเหนื่อยล้าจนกว่าพลังเวทมนตร์จะถูกใช้ไปจนหมด เรียกได้ว่าเป็นอาวุธสงครามที่สมบูรณ์แบบ สมมติว่ามันประดิษฐ์เจ้าสิ่งนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกสมาพันธ์ไม่มีทางที่จะมีหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน+
แต่เมื่อนำมันมาใช้จริงในสงคราม มันกลับแสดงประสิทธิภาพออกมาไม่ได้ดีไปกว่าร่างต้นแบบเท่าไร แล้วจะไม่ให้มันโมโหได้อย่างไร?
“ร่างซิมไบออนท์ในพระผู้สร้างยังมีอยู่อีกเยอะ ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าแมลงพวกนี้มันจะทนไปได้นานแค่ไหน!” เดอะแมสก์ยกแกนเวทมนตร์ที่อยู่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์คว้าแขนของมันเอาไว้
“เจ้าอยากจะบอกว่าพลังเวทมนตร์มีจำกัดงั้นเหรอ…” นาซเพลพูดอย่างไม่พอใจ สิ่งที่มันรังเกียจมากที่สุดก็คือพวกที่ชอบใช้กำลังเข้า ‘แทรกแซง’ คนอื่น แทนที่จะพูดคุยกับด้วยเหตุนี้ บลัดดี้คองเคอเรอร์เป็นแบบนี้ สกายลอร์ดก็เป็นแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่ไม่พูดไม่จาจะเป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
ถูกต้อง ที่ร่างซิมไบออนท์ ‘ลองสเปียร์’ ที่ปรับปรงขึ้นมามากสามารถยิงออกไปได้แรงขนาดนั้นเป็นเพราะพลังเวทมนตร์มหาศาลที่เสาหินโอเบลิสที่ทำการปรับปรุงให้มา การยิงแต่ละครั้งของมันจะใช้พลังเวทมนตร์เป็นจำนวนมาก ถ้ายิงติดๆ กันหลายครั้งในเวลาสั้นๆ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการบินของพระผู้สร้างได้ นอกจากนี้มันจะทำให้สายแร่หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างเสาโอเบลิสหมดอายุเร็วขึ้นด้วย นั้นเป็นการทำให้อายุขัยของพระผู้สร้างลดลงในทางอ้อม “แต่ว่าถ้าไม่กำจัดแมลงพวกนี้ อย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้พวกมันได้ใจเข้าไปใหญ่น่ะสิ? อย่าลืมสิว่าแมลงที่เฮคซอดพามาก็กำลังดูศึกนี้อยู่ เพื่อแผนการต่อไปของเผ่าพันธุ์เราแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องกำจัดพวกมันให้ได้!”
“ให้ข้าไป”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ตอบง่ายๆ
เดอะแมสก์มองตามนิ้วมือของมันไป ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา “เจ้าจะเข้าไปข้างในลองสเปียร์แล้วให้ข้ายิงออกไปงั้นเหรอ? ข้าเคยทำการทดลองมาแล้วหลายครั้ง พริบตาที่เจ้าสิ่งนั้นมันตกกระแทกลงไปบนพื้น แรงกระแทกของมันมากพอที่จะบดขยี้ร่างมีชีวิตที่อยู่ในท้องให้แหลกละเอียดได้เลย ต่อให้หุ้มด้วยห่อกันกระแทกเอาไว้ก็ยากที่จะมีชีวิตรอดได้ ขอแค่ร่างซิมไบออนท์มาส่วนถึงจะรับแรงกระแทกที่รุนแรงขนาดนี้ได้
“แต่เจ้าไม่เคยลองกับข้าใช่ไหมล่ะ?” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เดินไปทางแผ่นหินที่เตรียมพร้อมโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“เฮคซอดไม่อยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าช่วยเจ้าไม่ได้นะ!”
อีกฝ่ายโบกมือ เหมือนไม่ได้สนใจคำเตือนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เดอะแมสก์ได้แต่ต้องปรับแกนเวทมนตร์ควบคุมให้ร่างซิมไบออท์ลองสเปียร์เปิดเปลือกด้านนอกออก
ในขณะที่ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์มุดเข้าไปในแผ่นหิน เดอะแมสก์พลันเรียกมันเอาไว้
“เฮ้ อย่าตายนะ”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยกแขนขึ้นมา บนแขนของมันมีเศษผ้าสีขาวพันเอาไว้ชิ้นหนึ่ง นั่นเหมือนเป็นเศษผ้าจากชายกระโปรง
เดอะแมสก์ขมวดคิ้วขึ้นมา ในเผ่าพันธุ์มีปีศาจน้อยตนมากที่จะสนใจเรื่องเครื่องแต่งตัว ผ้าสีขาวที่เบาบางแบบนี้ทำให้มันอดนึกถึงภาพวัลคีรีย์ที่มักจะเห็นในหอเจ้าชีวิตอยู่บ่อยๆ ขึ้นมาไม่ได้
“ถ้ายังไม่ได้ฆ่าพวกมนุษย์จนหมด ข้าไม่มีทางตายหรอก” มันค่อยๆ พูด ก่อนที่จะหายตัวไปในแผ่นหิน
ตอนที่ 1397 ศึกนองเลือดบนภูเขา (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ระวังนะ ทางหลังจากนี้มันจะตกลงไปค่อนข้างเร็ว ถ้ากลัวก็หลับตาได้”
หลังไลต์นิ่งสั่งกำชับ เธอก็หิ้วทหารเกรย์คาสเวิลคนหนึ่งบินออกไปจากขอบภูเขา ในวินาทีที่เท้าลอยอยู่เหนือพื้น ทั้งสองคนพลันตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อึดใจเร็วก็ร่วงลงมาหลายสิบเมตร ก่อนจะค่อยๆ ลงสู่พื้นอย่างช้าๆ
ในตอนที่เท้าแตะพื้นใหม่อีกครั้ง ทหารคนนั้นใบหน้าขาวซีด “ขะ…ขอบคุณคุณหนู ไลต์นิ่ง ข้า…อ็อก….”
“หายใจลึกๆ พักผ่อนซักเดี๋ยว เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
จากนั้นเธอก็บินขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อตามหาทหารที่ตกหล่นใหม่
ก็เหมือนกับที่แคทคลอว์คิดเอาไว้ หลังจากที่เสาหินพุ่งตกลงมาในแนวยิง ทหารบางส่วนก็ถูกกันเอาไว้อีกด้านหนึ่งของสนามรบ หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกปีศาจแมงมุมโจมตีจนแตกกระสานซ่านเซ็น ถึงแม้ทหารส่วนหนึ่งจะฝ่าแนวยิงกลับมารวมกับคนอื่นๆ ได้สำเร็จ แต่ยังคงมีทหารอีกหลายคนที่ถูกขังเอาไว้ตรงที่เดิม ไม่สามารถขยับไปไหนได้ พวกเขาบางคนก็ไม่ยอมทิ้งเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ บางคนก็ถูกปีศาจแมงมุมดักทางเอาไว้ ถึงแม้จะได้ยินเสียงสัญญาณแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถถอยกลับมาได้
ในสถานการณ์ที่ตอนนี้ทีมต่างแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง การปรากฏตัวของไลต์นิ่งได้มอบความหวังในการรอดชีวิตให้กับพวกเขา
ถึงแม้การวิวัฒนาการในวันบรรลุนิติภาวะจะไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแบกน้ำหนักให้เธอมากนัก แต่การบินที่ความสูงเหนือพื้น 10 เมตรก็เพียงพอที่จะพาทุกคนออกมาจากอันตรายได้
สิ่งที่น่าเสียดายคือเธอพาคนออกมาได้แค่ครั้งละคน ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่บินข้ามหน้าผา ระดับความสูงก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว สำหรับไลต์นิ่งที่เคยชินกับการบินขึ้นลงด้วยความเร็วสูงนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับทหารที่เธอหิ้วขึ้นมา นั่นไม่ได้ต่างอะไรกับการร่วงตกลงไปด้านล่างเลย
เสียงปืนในแนวรบค่อยๆ เบาลง เห็นได้ชัดว่าทั้งปีศาจและเหล่าทหารต่างเหลืออยู่แค่ไม่เท่าไร ไลต์นิ่งเองก็หาทหารเจอสิบกว่าคน แล้วก็พาพวกเขามาปล่อยไว้บนถนนเล็กๆ ที่อยู่บนเนินด้านหลัง
“ฟู่ว คนสุดท้ายแล้ว” เธอถอนหายใจออกมาหลังจากปล่อยทหารคนสุดท้ายลง “พวกเจ้าน่าจะหาทางลงเขาไปเองได้ใช่ไหม?”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือมากขอรับ!” ทุกคนพากันทำวันทยหัตถ์ “ไม่ทราบว่าตอนนี้ทีมโจมตีอยู่ที่ไหนกันหรือขอรับ?”
“พวกเขากำลังสู้กับปีศาจแมงมุมที่แห่มาจากทางเหนืออยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา” ไลต์นิ่งเล่าสถานการณ์ออกมาคร่าวๆ “พวกมันไม่สามารถอ้อมมาทางนี้ได้แล้ว พวกเขาลงไปจากเขาก็พอ รีบไปให้ถึงเมธัลสโตนให้ได้ก่อนที่แผ่นดินลอยฟ้าจะข้ามเทือกเขาสิ้นวิถีมา”
“อย่างนี้นี่เอง…พวกเราเข้าใจแล้วขอรับ” สีหน้าทุกคนดูคร่ำเคร่ง ที่พวกเขายังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ล้วนแต่เป็นการเสียสละอย่างกล้าหาญของผองเพื่อน ตอนนี้ทุกคนกำลังสู้กับศัตรูอยู่ แต่พวกเขากลับไม่สามารถไปช่วยได้ ความรู้สึกเจ็บใจและเสียใจที่ปะปนกันแสดงออกมาทางสีหน้าของทุกคน
เพียงแต่ต่อให้เสียใจแค่ไหน พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าเรื่องเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ในตอนนี้คืออย่าเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆ ที่กำลังสู้อยู่
“เออใช่ คุณหนูไลต์นิ่ง” ในขณะที่กำลังจะแยกจากนั้น นายทหารที่อาเจียนออกมาคนนั้นพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าลังเล “ตอนที่เสาหินแท่งนั้นตกลงมา มันไปกระแทกถูกหลุมหลบภัยตรงปืนใหญ่หมายเลขสามจนถล่มลงมา ก่อนหน้านี้ข้าเองทหารหลายคนเข้าไปหลบอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าข้างในยังมีคนรอดอยู่หรือเปล่า…”
“หลุมหลบภัยหมายเลขสามหรอ” ไลต์นิ่งพยักหน้า “เดี๋ยวข้าไปดูเอง”
เมื่อเห็นทุกคนวิ่งลงเขาไปแล้ว เธอก็ลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า แค่พริบตาก็บินไปอยู่เหนือแนวรบ
ในขณะเดียวกัน เมซี่เองก็แจ้งเตือนเธอผ่านทางรูนสดับ
“ระวังจิ๊บ ปีศาจจะยิ่งเสาหินต้นที่สามมาแล้ว!”
“วิเคราะห์จุดตกได้ไหม?”
“ไม่แน่ใจ แต่น่าจะไม่ใช่ยอดเขาจิ๊บ!” เสียงเมซี่พลันสั่นขึ้นมา “เสาหินมาแล้วจิ๊บ!”
ไลต์นิ่งบินขึ้นไปข้างบนทันที ก่อนจะเห็นเสาหินสีดำลอยเป็นเส้นโค้งไปทางเทือกเขาสิ้นวิถี
ในเมื่อสิ่งที่ปีศาจเล็งไม่ใช่แนวยิงบนภูเขา อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทีมที่ล่าถอยลงไปด้านล่างภูเขา — สภาพภูมิประเทศตรงนั้นไม่ดีเท่าไร ถ้าหากถูกปีศาจแมงมุมบุกเข้ามา จำนวนผู้เสียชีวิตจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน ข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวก็คือสองข้างทางของทางเดินตรงเชิงเขาเป็นเทือกเขาที่ัตั้งสลับสับเปลี่ยนเป็นแนวยาว ถ้าอยากจะยิงลงมาให้ตกลงตรงกลุ่มทหารนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เธอรีบทำการวิเคราะห์และตัดสินใจลงไปช่วยทีมทหารที่อยู่ตรงเชิงเขาก่อน
ในขณะเดียวกัน ซิลเวียที่อยู่บนซีกัลเองก็ลืมตาโตขึ้นมาทันที “พระเจ้า…”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แอนเดรียถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพื่อที่จะป้องกันไม่ใช่ปีศาจพบเห็น ก่อนหน้านี้ซิลเวียจึงหลับตาอยู่ตลอด ตามหลักแล้วเธอไม่มีทางมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างได้
“ปฏิกิริยาของพลังเวทมนตร์ที่รุนแรง!” เธอพูดพึมพำขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “มันกำลังมุ่งหน้ามาทางเทือกเขาสิ้นวิถีด้วยความเร็ว!”
ปฏิกิริยาเวทมนตร์? แอนเดรียตกตะลึงไปเล็กน้อย
นี่ทำให้เธอคิดถึงอุรูคขึ้นมา ในศึกครั้งสุดท้ายตรงทาคิลา อีกฝ่ายได้ใช้ปีศาจตัวแทนปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาเพื่อล่อหน่วยซุ่มโจมตีให้ติดกับ
แต่ว่าตอนนั้นด้วยระยะทางที่ไกลสิบกว่ากิโลเมตร ทำให้ซิลเวียไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดว่าพลังเวทมนต์ที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของร่างจริงหรือร่างปลอม แต่ในระยะนี้ เธอน่าจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแหล่งพลังเวทมนตร์ที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของจริงหรือปลอม
พูดอีกอย่างก็คือสิ่งที่ดวงตาแห่งเวทมนตร์มองเห็น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นปีศาจระดับสูงตัวจริง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมศัตรูถึงได้เลือกที่จะเปิดเผยตัวออกมาในเวลานี้ แต่ในเมื่อมันลงมือแล้ว อย่างนั้นซีกัลก็ไม่มีความจำเป็นต้องรอดูอยู่เฉยๆ อีก
เป้าหมายของพวกเธอคือเจ้าปีศาจที่รับมือได้ยากที่สุดบนสนามรบพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว
แอนเดรียรอคอยเวลานี้มานานแล้ว
“หลังจากนี้ถึงเวลาพวกเราออกโรงแล้ว!”
แต่ซิลเวียที่จ้องมองด้านล่างเครื่องบินมีเหงื่อเล็กๆ ผุดขึ้นมาที่หน้าผาก “นี่มันใช่ปีศาจจริงๆ งั้นเหรอ…ทำไมพลังเวทมนตร์ของมันถึงได้รุนแรงขนาดนั้น…”
“เอ่อ…รุนแรงแค่ไหน?”
“รุนแรงกว่าอุรูคมาก” ซิลเวียกัดริมฝีปาก “เกรงว่ามีแต่ลีฟที่อยู่ในสถานะหัวใจแห่งป่าเท่านั้นถึงจะรับมือมันได้…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” แอนเดรียตกตะลึง
เธอเคยเห็นว่าลีฟที่ควบคุมมุมหนึ่งของป่าเร้นลับว่ามีพลังเวทมนตร์มากแค่ไหน จะบอกว่ามากมายมหาศาลก็ยังได้ แต่นั้นเป็นผลที่เกิดจากการหลอมรวมตัวเองเข้ากับวัตถุภายนอก แต่ปีศาจอาศัยพลังของตัวเองอย่างเดียวก็สามารถมีพลังเวทมนตร์ระดับนี้ได้? “เฮ้ๆ…มันจะมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เวนดี้กระตุ้นรูนสดับทั้งหมดขึ้นมา “องค์หญิงทิลลี ไลต์นิ่ง เมซี่ นี่คือซีกัล! ซิลเวียตรวจพบศัตรูใหม่กำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขา เมื่อดูจากปฏิกิริยาเวทมนตร์แล้ว อีกฝ่ายอาจจะเป็นปีศาจระดับราชา! อย่าปะทะกับมันตรงๆ เด็ดขาด!”
“อย่างนั้นพวกเราจะทำยังไง?” ซาวีรีบถามทันที
“ยังต้องให้บอกอีกเหรอ?” แอนเดรียกำหมัดแน่น “มีแต่ปีศาจแบบนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรกับกระสุนที่หลอมรวมเข้ากับเลือดของเหล่าพี่น้องที่อยู่ในมือข้านัดนี้”
…..
“ฟิ้ว!”
เสาหินแทงที่สามพุ่งผ่านช่องว่างระหว่างยอดเขาสองแห่ง มันกวาดต้นไม้จนหักโค่นเป็นแถบ ก่อนที่สุดท้ายจะไปไถลไปตกอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่ง ด้านหลังของมัน ดินโคลนและรากไม้ที่ถูกขุดขึ้นมาผสมกันจนกลายเป็นทางเดินสีน้ำตาลดำขึ้นมา ดูแล้วตัดกับภาพหิมะสีขาวที่อยู่รอบๆ อย่างชัดเจน
แคทคลอว์เองก็ค่อยๆ โล่งใจขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าการออกคำสั่งให้ถอยอย่างรวดเร็วนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ช่วงเวลาในการยิงเสาหินรอบนี้เว้นนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ศัตรูที่โจมตีมาจากทางเชิงเขาก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัว ในเวลานี้พวกเขามีเวลามากพอที่จะรับมือกับศัตรูที่มาใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่เสาหินตกลงมายังตกลงมาระหว่างพวกเขากับกองหนุนพอดี ระดับความสูงที่ต่างกันของทั้งสองฝ่ายทำให้มือยิงมีตำแหน่งยิงที่ดี ด้วยระยะที่ห่างกันพันกว่าเมตร ทำให้พวกเขาไม่ต้องเร่งรีบตั้งแนวยิงเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
เสียดายที่ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้มีปืนใหญ่สนามขนาด 75 มม.ติดมาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้กระหน่ำยิงใส่เสาหินยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเนิน ให้แมลงบ้าๆ พวกมันกินกระสุนปืนใหญ่ทันทีที่โผล่หน้าออกมาไปแล้ว
ตอนที่ 1398 ศึกนองเลือดบนภูเขา (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หัวหน้า พวกมันปีนขึ้นมาแล้ว!”
“ปล่อยให้มันเข้ามาใกล้ๆ ก่อนแล้วค่อยยิง พวกเราไม่ได้เอากระสุนมาเยอะเหมือนพวกหน่วยปืนกล!”
แคทคลอว์เจอตำแหน่งที่เหมาะแก่การยิง จากนั้นจึงยกปืนยาวแวนนาที่อยู่ในมือขึ้นมา ในขณะเดียวกับที่กวาดตามองศัตณู เขาก็มองดูตำแหน่งของแผ่นดินลอยฟ้าไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่แผ่นดินลอยฟ้านั้นเหมือนจะลอยสูงขึ้น ก่อนหน้านี้เขายังพอมองเห็นขอบของมันได้ แต่ตอนนี้เขามองเห็นแค่ขอบด้านหลังกับใต้ท้องด้านล่างของมันเท่านั้น
แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสามารถมั่นใจได้ นั่นคือในช่วงเวลานี้แผ่นดินลอยฟ้านั้นเข้ามาใกล้เทือกเขาสิ้นวิถีไม่น้อย เงาขนาดใหญ่กลืนกินมุมหนึ่งของเทือกเขาไป เมื่อคิดถึงว่าตัวเองจะต้องทำศึกอยู่ภายใต้เงาของมัน แคทคลอว์พลันเกิดความรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกขึ้นมา เหมือนด้านหลังของเขามีก้อนหินขนาดใหญ่ทับอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จะต้องรีบจัดการปีศาจพวกนี้แล้วรีบออกไปจากภูเขาก่อนที่แผ่นดินลอยฟ้าจะมาถึง
น่าจะเป็นเพราะคิดเหมือนกับเขา ในตอนที่ปีศาจแมงมุมปีนขึ้นมาถึงระยะ 500 เมตร ในที่สุดหน่วยปืนกลก็ปลดล็อก พวกเขากระหน่ำยิงใส่เป้าหมายที่อยู่บนเนิน
ทันใดนั้นภายในหุบเขาก็มีเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
แคทคลอว์รอให้ศัตรูมาถึงระยะ 150 เมตรก่อนแล้วจึงเหนี่ยวไก
“ยิงได้!”
ปากกระบอกปืนของทุกคนมีหมอกหิมะฟุ้งขึ้นมาทันที
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นพลยิงมืออาชีพ แต่เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากท่านแวนนา พวกเขาจึงถือเป็นกลุ่มทหารที่กระตือรือร้นเรื่องการปรับเปลี่ยนปืนมากที่สุด ภายใต้รูปแบบกึ่งอัตโนมัติ ขอเพียงไม่ขัดลำกล้อง ปืนแวนนา 5 – 6 กระบอกก็สามารถสาดกระสุนออกมาได้ไม่แพ้ปืนกล
เมื่อต้องเจอกับปีศาจแมงมุมขนาดเล็กที่ทนกระสุน ความสำคัญของการระดมยิงจึงได้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ถ้าเป็นกองทหารธรรมดาของกองทัพที่หนึ่งที่ถืออาวุธธรรมดาคงยากที่จะจัดการกับพวกปีศาจแมงมุมที่ไม่กลัวตายพวกนี้ได้
ทันใดนั้นเอง แสงสีดำพลันระเบิดออกมาจากในป่าเหมือนกับคลื่นน้ำที่กระเพื่อมออกมา แค่พริบตาก็กวาดผ่านตัวทุกคนไป
มันมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไปแค่ประมาณ 1 วินาทีเท่านั้น ถ้าไม่เป็นเพราะเพื่อนที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย แคทคลอวยังนึกว่าตัวเองคิดไปเองด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้…เจ้าเห็นอะไรไหม?”
“เหมือนจะเป็นคลื่นสีดำ?”
แคทคลอว์คลำร่างกายของตัวเอง ก่อนจะพบว่าเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แนวป้องกันเองก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไร ในตอนนี้สามารถฟังจากเสียงปืนที่ยังคงดังต่อเนื่องได้
“น่าจะมาจากเสาหินแปลกๆ นั่นล่ะมั้ง” เพื่อนทหารเอาแม็กกาซีนอันใหม่เสียบเข้าไปในปืน “เจ้าของพวกนั้นเดิมมันก็ประหลาดอยู่แล้ว เห็นๆ อยู่ว่าด้านนอกเป็นหิน แต่ด้านในกลับมีก้อนเนื้อ”
แคทคลอว์เองก็ไม่ได้ไปครุ่นคิดอะไรต่อ เมื่อเทียบกับแสงสีดำที่ไม่มีพิษมีภัยแล้ว การกำจัดปีศาจแมงมุมที่ปีนขึ้นมานั้นก่อนต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า แต่ไม่นานเขาก็พบว่าภาพทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะที่อยู่ตรงหน้าพลันมืดลง เหมือนกับว่าแสงอาทิตย์ถูกก้อนเมฆบดบังเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
บ้าเอ้ย หรือว่าแผ่นดินลอยฟ้ามันลอยเข้ามาในเขตภูเขาแล้ว?
เขาเงยหน้าขึ้นไป จากนั้นจึงตกตะลึงไปทันที
แผ่นดินลอยฟ้ายังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังสดใส ในเวลานี้ได้มีเมฆครึ้มเข้าปกคลุม แสงสีทองแลบแปลบปลาบอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ เหมือนกับว่ามันกำลังสะสมอะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น การเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วจนเกินกว่าที่จะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ ภายในใจเขาพลันมีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
คนอื่นๆ เองก็ทยอยรับรู้ถึงความผิดปกติที่อยู่บนศีรษะ
ในเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าวินาที ก้อนเมฆก็เข้าปกคลุมจนเต็มท้องฟ้า
ส่วนแสงสีทองนับหมื่นนับพันก็มารวมตัวกัน ดูแล้วเหมือนจะระเบิดออกมา
ภาพแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
แคทคลอว์หยิบเอาแตรขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังเตรียมจะเป่า สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ผ่าลงมาจากชั้นเมฆ ก่อนจะแผ่กระจายออกไปเป็นรูปพัด แค่พริบตาก็ลงมาลงยังแนวป้องกันของทีมโจมตี!
เสียงปืนหยุดลงทันที
…..
“นั่นมัน…รูนแห่งโชคชะตาเหรอ?” เวนกี้ที่อยู่บนซีกัลสูดหายใจขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ต่อให้ไม่ใช่รูนก็คงจะเป็นหินเวทมนตร์ที่คล้ายๆ กัน” แอนเดรียตอบด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “ไลต์นิ่ง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ข้าไม่เป็นไร” ในรูนสดับมีเสียงแหบแห้งของอีกฝ่ายดังขึ้นมา “ศัตรูน่าจะสังเกตเห็นข้าแล้ว”
“เจ้าอยู่ข้างบนก็พอ นี่ไม่ใช่ศึกที่เจ้าจะเข้ามายุ่งได้” แอนเดรียสั่งกำชับ คลื่นสีดำเมื่อครู่นี้นั้นนั้นพุ่งเข้าไปหาไลต์นิ่งอย่างเห็นได้ชัด สำหรับภาพปรากฏการณ์แปลกๆ แบบนี้ แม่มดที่เข้าร่วมการซุ่มโจมตีที่ทาคิลาล้วนแต่คุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือพลังของผู้พิฆาตเวทมนตร์
พลังพิฆาตเวทมนตร์ที่ขยายตัวเป็นวงกว้างนั้นคือดาวพิฆาตสำหรับแม่มดที่มีความคล่องแคล่วเหมือนอย่างไลต์นิ่ง ทันทีที่สัมผัสถูกคลื่น เพียงแค่ความเร็วจากแรงเฉื่อยก็ทำให้เธอได้รับอันตรายได้แล้ว ศัตรูนั้นคิดจะตัดขาดความสามารถของเธอก่อน จากนั้นค่อยให้เธอตกลงไปในขอบเขตการโจมตีของรูนอาญาสิทธิ์
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ ครั้งนี้หลังจากไลต์นิ่งได้ยินเสียงเตือนของเวนดี้ เธอก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นพุ่งเข้าไปเหมือนเมื่อก่อนนี้ นี่ทำให้เธอบินหนีคลื่นสีดำได้สบายๆ
“ให้เมซี่ไปแจ้งกองหนุนว่าทีมโจมตีอาจจะเจอปัญหาแล้ว” จากนั้นแอนเดรียก็มองมาทางซิลเวีย “หาเป้าหมายได้ไหม?”
อีกฝ่ายสูดหายใจ “มันพุ่งไปบนยอดเนินแล้ว ความเร็วเร็วมาก บริเวณใกล้เคียงไม่มีปีศาจดวงตา มันน่าจะยังไม่ทันสังเกตเห็นพวกเรา แต่แนวป้องกันถูกสายฟ้าเมื่อกี้นี้ทำลายไปแล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถป้องกันปีศาจแมงมุมที่ตามมาหลังจากนี้ได้อีก”
นั่นหมายความว่าจะถูกเข็มของปีศาจแมงมุมพ่นใส่ในระยะใกล้
แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาจะมานั่งห่วงเรื่องนี้
ด้วยการชี้นำของซิลเวีย แอนเดรียใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก็จะมองเห็นภาพผู้พิฆาตเวทมนตร์ในเป้าเล็ง ขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยเช่นเดียวกัน ความเร็วนี้ไม่ใช่แค่เร็ว แต่เรียกได้ว่าบินเลยต่างหาก! ขอเพียงช้าแม้แต่นิดเดียว เธอก็จะสูญเสียเป้าหมายไป ถ้าอยากจะหาโอกาสเหนี่ยวไก ก็มีแต่ต้องเข้าไปใกล้มันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้พลังของเธอจะช่วยเธอเลือกเหรียญที่จะยิงถูกเหรียญนั้น แต่เวลาที่กระสุนต้องใช้เดินทางก็นานพอที่จะทำให้มันหนีออกไปจากจุดตกของกระสุนได้
ส่วนอีกจุดหนึ่งที่ทำให้แอนเดรียสังเกตเห็นก็คือตอนที่เธอทำศึกร่วมกับกองทัพที่หนึ่ง บนร่างที่สวมเกราะของผู้พิฆาตเวทมนตร์นั้นแทบจะไม่เคยมีลำแสงบาเรียสีน้ำเงินปรากฏขึ้นมาเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ด้วยความเร็วเพียงอย่างเดยว
ในช่วงเวลาที่กำลังสังเกตดูเป้าหมายนี้ ก้อนเมฆบนท้องฟ้าไม่ได้สลายหายไป สายฟ้าสีทองรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง ก่อนจะผ่าลงมาจากบนฟ้า
อีกฝ่ายใช้พลังแห่งโชคชะตาออกมาอีกครั้ง!
นี่ยิ่งเป็นการตอกย้ำคำเตือนของซิลเวีย
ถ้าพูดถึงพลังเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว เรียกได้ว่าพลังเวทมนตร์ของมันมหาศาลจนไม่อาจคาดคะเนได้
ไม่มีเวลาลังเลอีกแล้ว!
แอนเดรียสะกดความสงสัยภายในใจ ก่อนจะตะโกนบอกเวนดี้ “พวกเราต้องลงไป เหมือนกับที่ซุ่มโจมตีเฮคซอดเมื่อครั้งที่แล้ว มีแต่ต้องเข้าไปใกล้เป้าหมายมากพอ ข้าถึงจะมั่นใจได้ว่าจะยิงถูกเป้าหมาย!”
“ต้องใกล้เท่าไร?”
“ขอเพียงไม่เข้าไปในเขตพิฆาตเวทมนตร์ ยิ่งใกล้ยิ่งดี!”
“อย่างนั้นมันยากนะนั่น…” เวนดี้ถอนใจออกมา “ถ้าคนขับเครื่องบินเป็นองค์หญิงทิลลีก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ซาวีเป็นคนบังคับเครื่องบิน ข้าไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมลม แต่ยังต้องคอยดูซาวีด้วย นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ…”
“ไม่ได้เหรอ?” แอนเดรียกังวลใจเล็กน้อย
“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ มันก็แค่ต้องรวบรวมสมาธิอย่างมากเท่านั้น….” เธอหลับตา ก่อนจะค่อยๆ ตอบว่า “ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่นานๆ ทีทำแบบนี้บ้างมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
แอนเดรียงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มมุมปากขึ้นมา
เธออดนึกถึงคำพูดของไลต์นิ่งขึ้นมาไม่ได้ ใครๆ ต่างก็คิดว่าเวนดี้เป็นพี่สาวที่แสนอบอุ่น แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอกของเวนดี้เท่านั้น ความจริงแล้วนางแอบซ่อนหัวใจที่หนักแน่นและมั่นคงเอาไว้อยู่
ไม่อย่างนั้นตอนนั้นเธอก็ไม่คงไม่ใช้กระแสอากาศอันแม่นยำทำลายหินอาญาสิทธิ์ต่อหน้าฮัคคาลาเพื่อช้วยไนติงเกลออกมาหรอก
“ซาวี กดคันบังคับลง!” แอนเดรียตะโกนเสียงดัง “พวกเราจะบุกแล้ว!”
ตอนที่ 1399 ศึกนองเลือดบนภูเขา (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของซีกัลคือมันไม่มีเสียงเวลาที่เร่งความเร็ว ดังนั้นมันจึงเหมาะที่จะแอบโจมตีจากทางด้านหลังของศัตรูอย่างมาก
หลังซีกัลป์บินทะลุชั้นเมฆลงมา มันก็บินอ้อมยอดเขายอดแล้วยอดเล่าเหมือนกับวิญญาณ ก่อนจะเข้าไปใกล้ด้านหลังของสนามรบอย่างไร้ซุ่มเสียง ในเวลานี้แนวป้องกันของทีมโจมตีถูกทำลายจนราบคาบแล้ว เหล่าทหารได้แต่ต้องพึ่งตัวเองสู้ไปถอยไป ถ้าเปลี่ยนเป็นกองทัพอื่น เกรงว่าในเวลานี้พวกเขาคงจะหนีทัพไปแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ของกองทัพที่หนึ่งก็ยังไม่สู้ดีเท่าไร ทันทีที่สูญเสียความได้เปรียบในเรื่องอาวุธไป ถ้าอยากกำจัดปีศาจแมงมุมที่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกลเหมือนกัน ค่าตอบแทนที่พวกเขาต้องจ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แถมตอนนี้ยังมีปีศาจเกราะดำที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาด้วย
เมื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกล ตอนนี้แอนเดรียสามารถมองเห็นหน้าตาของเป้าหมายได้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว นอกจากเกราะที่เต็มไปด้วยลวดลายและรูปร่างดูแปลกๆ แล้ว ในมือมันยังถือง้าวอันใหญ่ยักษ์เอาไว้ด้วย ดูยังไงก็เหมือนเป็นอัศวินเกราะหนัก แต่การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของอีกฝ่ายกลับเหนือกว่าอัศวินเหล่านั้น แถมยังสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ทันทีด้วย ราวกับว่าเกราะและอาวุธบนร่างกายของมันไม่มีน้ำหนักอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับแอนเดรียแล้ว นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากมากที่สุด
“ตอนนี้ห่างเท่าไรแล้ว?”
“1,900 เมตร…” น้ำเสียงของซิลเวียเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เป็นยังไงบ้าง ยิงถูกไหม?”
“ไม่ได้” เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผาก “ต้องเข้าไปใกล้อีกหน่อย”
ในระหว่างที่สังเกตดูศัตรูนี้ แอนเดรียได้แอบใช้พลังไปหลายครั้งแล้ว จากตอนแรกที่มีเส้นสีเงินปรากฏขึ้นมา 1 – 2 เส้นก็กลายเป็นมีเส้นสีเงินอยู่ทั่วทุกที่ นี่หมายความว่ามีหลายสิบวิธีที่เธอจะยิงถูกเป้าหมาย ขอเพียงเป้าหมาย ‘ให้ความร่วมมือ’ มากพอ ทันทีที่เธอเหนี่ยวไก จุดตกก็จะถูกกำหนดทันที แต่ในช่วงเวลาหลายวินาทีที่กระสุนใช้เดินทาง ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร
ถ้าเป็นปืนธรรมดา เธอคงจะยิงออกไปรัวๆ เพื่อใช้จำนวนมาเพิ่มความน่าจะเป็น แต่ปืนสไนเปอร์ที่มีลำกล้องขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือกระบอกนี้มีระยะห่างในการยิงแต่ละนัดค่อนข้างนาน เธอไม่สามารถเอากระสุนหินอาญาสิทธิ์ที่ลำค่ามาวัดดวงได้
ด้วยเหตุนี้วิธีที่ปลอดภัยมากที่สุดก็คือพยายามลดระยะเวลาที่กระสุนใช้เดินทางในอากาศลง ทำให้เป้าหมายอยู่ในสถานะ ‘หยุดนิ่ง’ ในช่วงเวลาที่กระสุนถูกยิงออกไปจนกระทั่งถึงเป้าหมาย
“1,500 เมตร!” ซิลเวียกำชายเสื้อของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ซีกัลเปลี่ยนทิศทาง ระวังเครื่องเอียง!” เวนดี้พูดเตือน
ภายในระยะนี้สามารถแยกแยะความต่างของเครื่องร่อนและนกขนาดใหญ่ได้ ถึงแม้จะอยู่บนสนามรบที่ดุเดือด แต่ก็ไม่มีใครที่จะสนใจความเคลื่อนไหวที่อยู่บนฟ้า แต่ภายในใจแม่มดทุกคนก็ยังรู้สึกลุ้นอยู่ดี ต่อให้รู้ว่าศัตรูไม่ได้ยินเสียงที่มาจากบนฟ้า แต่พวกเธอก็ยังกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“1,300 เมตร!” ซิลเวียตะโกน
“เข้าไปใกล้อีกหน่อย!” แอนเดรียวางนิ้วไว้บนไกปืน สำหรับเป้าหมายส่วนใหญ่แล้ว เวลา 1 วินาทีถือว่าเหลือเฟือ แต่ครั้งนี้เป้าหมายคือปีศาจระดับราชา เธอไม่อยากจะให้มีอะไรผิดพลาด
“1,100 เมตร!”
“ซาวี ระวังมุมคันบังคับ ข้าใกล้จะดึงไม่ไหวแล้ว!”
“900”
ทันใดนั้นเอง แอนเดรียได้ใช้พลังออกมา
แสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเต็มไปหมด ก่อนที่สุดท้ายจะรวมกันเป็นสายสีเงินที่เจิดจ้าเส้นหนึ่ง — ภายในระยะนี้ ผลกระทบจากทิศทางลมและแรงโน้มถ่วงถือว่าน้อยอย่างมาก
“เสร็จข้าล่ะ” เธอพูดงึมงำ จากนั้นจึงเหนี่ยวไกปืน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็สังเกตเห็นความผิดปกติจากการตอบสนองของทหารกองทัพที่หนึ่ง มันรีบหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นเครื่องร่อนบินโฉบผ่านหัวมันไป พริบตาที่ประกายไฟแลบออกมาจากปากกระบอกปืน กระสุนหินอาญาสิทธิ์ที่บินมาอยู่ตรงหน้ามันแล้ว ต่อให้มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแค่ไหน การจะหลบกระสุนนัดนี้มันก็สายไปเสียแล้ว!
เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่นขึ้นมา ตรงหน้าผู้พิฆาตเวทมนตร์มีคลื่นอากาศระเบิดออกมา แรงปะทะอย่างรุนแรงทำให้ตัวมันกระเด็นลอยออกไป ก้อนเมฆบนฟ้าเองก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับหิมะที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง
“ยิงโดนแล้วเหรอ?” เวนดี้รีบถาม
แต่ใบหน้าซิลเวียกลับขาวซีดขึ้นมา “ไม่…นัดเมื่อกี้เหมือนจะยิงไม่ถูก”
“เป็นไปได้ยังไง” แอนเดรียกัดฟันพร้อมกับเอาผ้าพันแผลเวทมนตร์แปะไปบนหัวไหล่ “ตอนที่ยิงออกไป ข้าเห็นอยู่ว่ามันไม่ได้สังเกตเห็นเลย—“
ซิลเวียไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ความสามารถของเธอไม่สามารถมองผ่านม่านพลังหินอาญาสิทธิ์ได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าในเสี้ยววินาทีเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ต่อเธอมั่นใจว่าเธอเห็นในตอนที่แสงสีดำของกระสุนหินอาญาสิทธิ์เข้าไปใกล้ผู้พิฆาตเวทมนตร์ ภาพทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆ มันบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนมีอะไรบางอย่างมากั้นระหว่างมันกับหัวกระสุนเอาไว้ จากนั้นแสงสีดำก็แดงเป็นเสี่ยงๆ แทนที่จะพุ่งตรงทะลุเข้าไปในหน้าอกของศัตรูเหมือนอย่างเมื่อก่อน
“อย่าเพิ่งเถียงกัน ตอนนี้เป้าหมายเป็นยังไงบ้าง?” ซาวีพูดแทรกขึ้นมา
“มัน….ลุกขึ้นมาแล้ว”
ซิลเวียพูดอย่างยากลำบาก
ด้วยดวงตาเวทมนตร์ เธอมองเห็นการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายเอาไว้บนเกราะสีดำอยู่หลายแห่ง นั่นน่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากที่หินอาญาสิทธิ์แตกเป็นเสี่ยงๆ รอยความเสียหายที่ชัดเจนที่สุดอยู่ตรงส่วนหัว หมวกเหล็กปลายแหลมของผู้พิฆาตเวทมนตร์มีรอยถูกโจมตีจนแตกไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าที่เยือกเย็นภายใต้หมวกเหล็ก
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เป็นแบบนี้ แต่การที่อีกฝ่ายยังยืนขึ้นมาได้มันก็ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์แล้ว
“ซิลเวีย ช่วยข้าใส่กระสุน!” แอนเดรียตะโกน
“พวกเราไม่มีกระสุนหินอาญาสิทธิ์แล้ว…”
“อย่างนั้นก็ใช้กระสุนธรรมดา” เธอยังคงยืนกราน “ในเมื่อผู้พิฆาตเวทมนตร์มันยังเคลื่อนไหวได้ อย่างนั้นจะใช่กระสุนหินอาญาสิทธิ์หรือเปล่ามันก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่ยิงออกไปได้ก็พอ!”
“ท้องฟ้ามืดลงอีกแล้ว!” ซาวีตะโกนขึ้นมา “เจ้านี่มันยังไม่ยอมหยุดอีกเหรอเนี่ย?”
ซิลเวียเอา ‘กระสุน’ ที่ยาวครึ่งแขนใส่เข้าไปในรังเพลิง “แต่ตอนนี้มันสังเกตเห็นเราแล้ว ถ้ายังลองยิงอีกล่ะก็…”
“ข้าถึงต้องยิงอีกนัดไง!” แอนเดรียคำรามออกมา “ถ้าหนีไปแบบนี้ เราไม่มีทางบินออกไปพ้นตรงนี้แน่!”
ผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่ยืนขึ้นมาใหม่ยกง้าวขึ้นสูง ดวงตาของมันเปล่งแสงสีแดงที่ดุร้าย
เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา
“ใส่กระสุนเรียบร้อย!”
“เวนดี้ บินแบบนี้ไปเรื่อยๆ” แอนเดรียเล็งเป้า เส้นสีเงินเชื่อมต่อเป้าหมายเข้ากับปากกระบอกปืนอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเหนี่ยวไกลงไปโดยไม่สนใจอาการเจ็บที่หัวไหล่
น่าจะเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึง ผู้พิฆาตเวทมนตร์กระโดดไปด้านข้างพร้อมกับเหวี่ยงง้าวออกไป!
ครั้งนี้ ในที่สุดซิลเวียก็มองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของสิ่งที่บิดเบี้ยวนั่นแล้ว
พวกมันบางเบาและโปร่งใสเหมือนกับปีกจักจั่น แต่นั่นไม่ใช่ปีกจักจั่นจริงๆ อย่างแน่นอน พวกมันที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์คมกว่ามีดดาบใดๆ อีกทั้งยังหมุนวนอยู่รอบตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์
ถึงแม้จุดที่กระสุนตกจะไม่มีใครอยู่ แต่พวกมันก็ยังทำการตอบสนองออกมา พวกมันบางส่วนบินตัดเข้าไปในเส้นทางที่หัวกระสุนบินเข้ามา ส่วนที่เหลือก่อตัวเป็นกำแพงมีดอยู่รอบตัวราชาปีศาจ
คลื่นอากาศระเบิดออกมาอีกครั้งจนทำให้หิมะฟุ้งกระจายขึ้นมา ส่วนแสงสีทองที่บิวเบี้ยวก็ผ่าลงมาจากบนฟ้า ผ่าปีกซ้ายของซีกัลจนหัก
เครื่องร่อนสูญเสียสมดุลทันที ก่อนจะหมุนควงตกลงไปตรงตีนเขา
….
หลังจากนั้นชั่วโมงนึง เงาของพระผู้สร้างก็เข้าปกคลุมเทือกเขาสิ้นวิถี
เมื่อประตูที่อยู่ด้านล่างแผนดินลอยฟ้าถูกเปิดออก ละอองชีวิตจำนวนมากพลันไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำตก ก่อนจะไหลไปทางตะวันออกและตะวันตกของหุบเขา
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถอดหมวกเหล็กที่เสียหายออก ก่อนจะไปแช่อยู่ในอากาศที่ทั้งชื้นและสบาย
ถึงแม้ในเวลานี้จะมีมนุษย์บางส่วนที่ยังต่อสู้อยู่ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อสถานการณ์โดยรวมแล้ว หลังจากเห็นว่ามีศัตรูกลุ่มใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา เดอะแมสก์จึงยิงลองสเปียร์ออกมาอีกสามแท่ง เกรงว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ถึงว่าด้านล่างของพระผู้สร้างจะมีช่องยิงแอบซ่อนอยู่ แถมการยิงเสาหินลงมาตรงๆ ยังมีพลังทำลายมากกว่าการโยนด้วย หลังถูกเสาหินขนาดใหญ่สามแท่งบดขยี้ มนุษย์ก็ยากที่จะรวมกลุ่มเพื่อทำการโจมตีกลับได้อีก
หลังจากนั้นร่างซิมไบออนท์เหล่านี้ก็จะค้นหาทหารที่หลบหนีไปเหล่านั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยจนกว่าจะกำจัดพวกเขาทิ้งจนหมดหรือไม่ก็ใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมด
นกเหล็กเหล่านั้นเองก็พยายามที่จะปกป้องมนุษย์ที่กำลังหลบหนีอยู่ ในนั้นมีนกเหล็กสีแดงอยู่ตัวหนึ่งที่สร้างปัญหาให้กับมันไม่น้อย พลังอาญาสิทธิ์ถูกยิงไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถยิงเป้าหมายให้ร่วงลงมาได้ แถมยังถูกการกราดยิงของอีกฝ่ายทำให้สูญเสียพลังเวทมนตร์ไปจำนวนมากด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือความคล่องแคล่วก็ล้วนแต่เหนือกว่านกเหล็กตัวอื่นๆ แต่พวกมันเหมือนจะไม่เหมาะที่จะทำศึกในระยะยาว สุดท้ายพวกมันยังคงถูกตัวเองกับอสูรโบเกิ้ลโจมตีจนล่าถอยไป
ชัยชนะในศึกครั้งนี้เป็นของเผ่าพันธุ์มันอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่ 1400 เรื่องที่ทำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?’
ในหัวไซเลนท์ดิสเอสเตอร์มีเสียงเดอะแมสก์ดังขึ้นมา นั่นคือเสียงสะท้อนจิตสำนึกที่ส่งมาจากห่อคอยแห่งการให้กำเนิด
มันก้มหน้าลงมองดูเศษผ้าสีขาวในมือที่ดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ‘ข้าเคยบอกแล้วไง ถ้ายังฆ่ามนุษย์ไม่หมด ข้าไม่มีทางตายเด็ดขาด’
‘ดีมาก แต่อย่าลืมซะล่ะ คนที่ตัดสินแพ้ชนะในศึกนี้คือข้านาซเพล! ถ้าไม่มีร่างซิมไบออนท์ใหม่กับพระผู้สร้างล่ะก็ ต่อให้เพิ่มร่างระดับต้นเข้าไปอีก 2 – 3 พัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก…’
‘ข้าไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้’
‘…..’ น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงมันจะตอบออกมาง่ายๆ แบบนี้ อีกฝั่งจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ‘เอาเป็นว่า ถ้าจักรพรรดิถามเกี่ยวกับศึกทางตะวันตกขึ้นมา ข้าก็หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดที่ตัวเองพูดเอาไว้ได้ นอกจากนี้ เฮคซอดก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าเห็นด้วยตาตัวเอง ถึงแม้มันจะมีเหตุผลของมัน แต่เรื่องความดีความชอบก็ควรจะแบ่งให้มันชัดเจนหน่อยจะดีกว่า’
‘ข้าเห็นด้วย’
‘…..’ อีกฝ่ายเงียบไปทันที ‘คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจง่ายขนาดนี้ อย่างนั้นตรงที่ตั้งฝนเพลิงของพวกแมลงเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้พระผู้สร้างไปรวมกับเจ้าที่นั่น’
‘เจ้าอยากจะเก็บเอาอาวุธของพวกมันได้ด้วยงั้นเหรอ?’
‘ถูกต้อง’ นาซเพลพูดอย่างภูมิใจ ‘มันเป็นทั้งหลักฐานของชัยชนะ แล้วก็เป็นของสะสมชั้นยอดบนเส้นทางค้นคว้าความลี้ลับของข้าด้วย’
…….
ในตอนที่ลอยขึ้นไปบนยอดเขา พระผู้สร้างก็ได้ปิดประตูด้านล่างลง พร้อมกับค่อนๆ เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์จำต้องยอมรับเลยว่าเดอะแมสก์นั้นเป็นราชาที่ไม่มีใครจะมาแทนที่ได้จริงๆ เมื่อยืนอยู่ด้างล่างแผ่นดินลอยฟ้าที่กว้างกว่าเทือกเขาสิ้นวิถี ไม่ว่าใครก็ต้องเกิดความรู้สึกเหมือนภูเขากำลังจะหล่นลงมาทับทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วมันจะหยุดทันทีที่สัมผัสถูกพื้น เหมือนกับของหนาๆ ที่ทับลงมาบนไข่ไก่ แต่กลับไม่ทำให้ไข่แตกอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทรัพยากรต่างๆ หรือว่าส่งกำลังพลก็ล้วนแต่จะกลายเป็นเรื่องง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พระผู้สร้างไม่ลงมาแตะพื้น มันก็สามารถใช้แท่นลอยฟ้าที่สามารถลอยขึ้นลงได้มาใช้ในการ และระยะในแนวดิ่ง 100 เมตรนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูทำได้แค่มอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คูน้ำรอบเมืองอย่างในอดีตจะมาเทียบได้เลย
เรียกได้ว่าถ้าอยากจะโจมตีพระผู้สร้างจากด้านนอกนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ในขณะที่รอรวมตัว ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเบาๆ ดังมาจากใต้เท้า
พวกมนุษย์ทิ้งแนวรบตรงนี้ไปแล้ว ต่อให้ยังมีคนที่ยังหลงเหลืออยู่ ร่างซิมไบออนท์ก็น่าจะจัดการพวกเขาไปแล้ว
มันเดินตามเสียงไปจนถึงปากหลุมที่ยุบตัวลงไป
นั่นน่าจะหลุมหลบภัยที่อีกฝ่ายขุดเอาไว้ พอถูกลองสเปียร์กระแทกใส่ก็เลยยุบตัวลงไป ทำให้ทางลับใต้ดินกลายเป็นกรง เสียงเบาๆ ที่มันได้ยินน่าจะมาจากที่นี่
ถ้าไม่ทำอะไร ไม่ว่าคนที่ถูกขังอยู่ด้านล่างจะเป็นใครก็ต้องตายแน่นอน
แต่ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กลับย่อตัวลงไป ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเปิดเพดานที่ยุบตัวลงไปออก
มันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกสนใจในตังคนเกรย์คาสเซิลของเดอะแมสก์เข้าแล้ว ไม่นานมันก็จัดการเปิดรูขนาดใหญ่พอที่คนๆ หนึ่งจะสอดตัวเข้าไปได้ตรงพื้นที่ยุบตัวลงไปขึ้นมารูหนึ่ง
ทางเดินลับไม่ยาวเท่าไร หลังเดินเลี้ยวไปสองครั้ง ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็เดินมาถึงสุดทางเดินแล้ว ขณะเดียวกันมันก็มองเห็นต้นกำเนิดเสียง ที่ปลายสุดของทางเดินเป็นห้องมืดๆ ที่ค่อนข้างกว้างห้องหนึ่ง ตรงปากประตูมีตะเกียงไฟแขวนเอาไว้ ภายใต้แสงไฟที่สลัว มนุษย์ตัวผู้คนหนึ่งกำลังนั่งเอาหลังพิงกำแพงพร้อมหอบหายใจ บนพื้นมีรอยเลือดที่เหมือนถูกลากไปลากมา
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์สังเกตเห็นว่าขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายนั้นขาดจนเหลือเศษเนื้อและหลังอยู่ไม่เท่าไร น่าจะเป็นเพราะเขาถูกหลังคาที่ถล่มลงมาทับเอาไว้ จากนั้นจึงตัดขาตัวเองเพื่อหนีออกมา
แต่ว่าคนๆ น่าจะรู้ถึงโครงสร้างของอุโมงค์ลับนี้ดีนี่นา ต่อให้ตัดขาทั้งสองข้างทิ้ง เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมเขายังต้องดิ้นรนแบบนี้อีก?
“น่าเสียดาย…” มนุษย์ตัวผู้เงยหน้าขึ้นมามองมัน “สุดท้ายคนที่มาก็เป็นปีศาจ”
“บอก ข้อมูลที่เจ้ารู้มา ไม่อย่างนั้น ความตายจะเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าได้รับ” ไซเลนท์พูดเสียงแข็ง มันไม่เหมือนกับวัลคีรีย์ นับตั้งแต่ที่มีจิตสำนึกขึ้นมา เวลาส่วนใหญ่ของมันก็สู้อยู่กับอาณาจักรซีสกาย มันจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาษามนุษย์เท่าไร
แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนไม่ได้ฟังที่มันพูดอย่างไรอย่างนั้น
“ก่อนหน้านี้ข้ากำลังคิดว่า…ถ้าคนที่มาเป็นเพื่อนก็คงจะดี แต่ถ้าเกิดคนที่มาเป็นปีศาจล่ะก็….อย่างนั้นก็เท่ากับข้านั่งรอความตายอยู่เฉยๆ น่ะสิ” เขาหัวเราะขึ้นมาอย่างหมดแรง “ยังดีที่ที่นี่มีดินปืนอยู่พอดี ถ้าใช้มันคู่กับตัวจุดระเบิดล่ะก็ ข้าก็ยังสามารถทำภารกิจสุดท้ายได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะล่อปลาตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้…”
น่าจะถามอะไรไม่ได้แล้วมั้ง ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าราบเรียบ จับตัวกลับไปให้เดอะแมสก์จัดการแล้วกัน
ในขณะที่มันกำลังจะทำให้อีกฝ่ายสลบ เชือกเส้นหนึ่งพลันหลุดออกมาจากมือของอีกฝ่าย
ส่วนที่ปลายอีกด้านหนึ่งของเชือกก็เหมือนเชื่อมต่อกับวัตถุหนักๆ เอาไว้ หลังสูญเสียที่ยึดไป เชือกก็พุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงมุมหนึ่งของห้องนั้นมีสิ่งของลักษณะเหมือนแพนเค้กวางกองอยู่เต็มไปหมด วัตถุสีดำอันหนึ่งตกลงมาจากบนเพดานเตี้ยๆ ส่วนด้านล่างนั้นมีวัตถุสี่เหลี่ยมที่ทำจากโลหะวางอยู่อันหนึ่ง และตรงนั้นก็เป็นตำแหน่งที่มีรอยเลือดเยอะที่สุดด้วย
ไม่…อีกฝ่ายไม่ได้พยายามดิ้นรนเพื่อจะหนีออกไปจากที่นี่
ตรงประตูมีตะเกียงไฟแขวนอยู่ ทำให้เขาเห็นหน้าคนที่มาได้ในทันที
เชือกที่อยู่ในมือคือหลักประกันว่าไม่ว่าเขาจะหมดสติไปหรือว่าถูกฆ่าตายก็ล้วนแต่จะจุดชนวนกับดักที่เขาทำเอาไว้ได้
เขาลากสังขารของตัวเองคลานไปคลานมาอยู่ในห้องเล็กๆ เพียงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถอยไปข้างหลังด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด!
มนุษย์ตัวผู้ยิ้มมุมปากขึ้นมา
“มนุษย์….จงเจริญ!”
แสงสว่างที่เจิดจ้าระเบิดออกมาจากมุมห้อง ภายในห้องสว่างขึ้นมาเหมือนในเวลากลางวัน!
จากนั้นก็เป็นเสียงดังกัมปนาท พื้นดินตรงตำแหน่งที่ยุบตัวลงไปพลันยกตัวสูงขึ้นมาเหมือนถูกกำปั้นขนาดยักษ์ต่อยขึ้นมาจากด้านล่าง เศษหินเศษดินและเศษหิมะจำนวนมากปลิวกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้า
….
“เกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ย?”
เดอะแมสก์มองดูไซเลนท์ลอร์ดถูกหาบขึ้นมาบนพระผู้สร้าง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมถามผู้ช่วย
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าจู่ๆ บนภูเขาระเบิดขึ้นมา…น่าจะไปเหยียบถูกกับดักของพวกแมลงเข้าน่ะขอรับ”
นาซเพลส่งเสียงเหอะออกมา “หมดสภาพเลย ถ้าเป็นราชาตัวอื่นคงจะตายไปนานแล้วนะเนี่ย”
สภาพของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ในเวลานี้เหมือนกับถูก ‘ฮอร์น’ เหยียบมาอย่างไรอย่างนั้น เกราะที่แตกเป็นชิ้นกับเศษเนื้อผสมเข้าด้วยกัน ใบหน้าที่ดูคล้ายมนุษย์ตัวผู้ก็เหลือเพียงแค่เค้าโครงนิดหน่อย พลังเวทมนตร์เองก็เหลืออยู่แค่ไม่เท่าไร
“นี่มันก็แสดงให้เห็นว่าความคิดของท่านถูกต้องไม่ใช่หรือขอรับ?” ผู้ช่วยพูดพร้อมก้มหน้า
“ถูกต้อง” นาซเพลหัวเราะขึ้นมา “ต่อให้เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ ในทางกลับกัน ร่างซิมไบออนท์คต่างหากถึงจะเป็นการวิวัฒนาการในอุดมคติ เมื่อเสียหายก็สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา การเติบโตก็ไม่มีขีดจำกด นั่นต่างหากถึงจะเป็นร่างกายที่พวกเราควรจะไล่ตามหา!”
มันไม่สนใจราชาที่นอนสลบอยู่อีก หากแต่หมุนตัวเดินไปยังหอคอยแห่งการให้กำเนิด “เอาเจ้านี้ไปแช่ในบ่อละอองชีวิต หลังจากนี้คงไม่ต้องให้มันลงมือแล้ว แมลงพวกนั้นคงจะคิดไม่ถึงแน่ว่าวูล์ฟฮาร์ทที่แค่เอื้อมมือไปหยิบก็ได้มานั้นจะไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของพระผู้สร้าง การกลืนกินทุกอาณาจักรทั้งหมดในทีเดียวต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการจะได้ชิ้นส่วนสืบทอดมา”
“ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป ปรับเส้นทางการเดินทาง มุ่งหน้าไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีสเต็มกำลัง!”
ตอนที่ 1401 บอทธ่อมเลสแลนด์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เป็นแค่เรื่อง…หลอกลวงจริงๆ งั้นเหรอ
เฮคซอดลอยอยู่บนอากาศ สายตามองดูทะเลทางเหนือ
หลายวันมานี้มันเที่ยวเสาะหาไปตามชายฝั่งของอาณาจักรรุ่งอรุณเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ไม่เพียงแต่ที่ปลายสุดของสันหลังแห่งทวีปเท่านั้น แต่กระทั่งทั้งสองด้านของสันเขามันก็ตรวจดูจนหมด
เนื่องจากเนื้อความบนจดหมายนั้นบรรยายเอาไว้ไม่ชัดเจน เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้บอทธ่อมเลสแลนด์ในตำนานหลุดรอดสายตาไป ขอบเขตการค้นหาของมันจึงแทบจะครอบคลุมพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมด จนกระทั่งไปถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างแบล็คสโตนกับซีคลาวด์โรดมันถึงได้หยุดลง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ยังหา ‘เกาะที่โดดเดี่ยว‘ ที่ระบุเอาไว้ในจดหมายอันนั้นไม่เจอ
พอมาคิดๆ ดูมันก็ใช้ ทะเลกว้างใหญ่อีกทั้งยังไม่มีอะไรมาปิดกั้น เวลาที่อยู่บนท้องฟ้า แค่แวบเดียวก็สามารถมองเห็นภาพที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตรได้แล้ว ถ้ามันมีเกาะแบบนั้นอยู่ตรงๆ ตอนที่เผ่าพันธุ์มันยกทัพมาบุกอาณาจักรรุ่งอรุณก็น่าจะเห็นเกาะที่ว่าแล้วสิ จะเป็นไปได้ยังไงที่จะรอให้มันเป็นคนมาเจอ
เฮคซอดกำหมัดแน่น
พวกมนุษย์บัดซบ กล้าใช้วิธีนี้มาหลอกสกายลอร์ดเรอะ! แต่สิ่งที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือพวกเขาใช้ชื่อของวัลคีรีย์มากอ้างด้วยนี่สิ!
วัลคีรีย์ไม่มีทางทรยศต่อเผ่าพันธุ์ การที่มนุษย์ทำแบบนี้ได้ ก็อาจจะเป็นไปได้มาพวกเขาดึงเอาความทรงจำของมันออกมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพวกแม่มดมีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่จุดจบของวัลคีรีย์ในตอนนี้ก็น่าจะเดาได้ไม่ยากแล้ว
ความรู้สึกโกรธอย่างถึงขีดสุดไหลทะลักออกมาจากในหน้าอกของมัน
มันเปิดประตูมิติออกมาทันที ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนทะเลอันกว้างใหญ่
“บอทธ่อมเลสแลนด์? โลกแห่งจิตสำนึกอยู่ที่นี่? เหลวไหลทั้งเพ!”
เฮคซอดส่งเสียงคำรามพร้อมเดินทะลุไปบนทะเลอันกว้างใหญ่ เหมือนมันอยากระบายเอาความรู้สึกไม่พอใจที่เก็บกดมานานออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ดินแดนที่เป็นของพระเจ้ามันมาอยู่ในที่ธรรมดาแบบนี้ได้ยังไง ข้าควรจะคิดได้แต่แรกแล้ว!”
“ใช้พระผู้สร้างบดขยี้พวกมนุษย์จนราบคาบก็ได้แล้ว…ทำไมต้องเสี่ยงลงไปในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกด้วย! แล้วดูตอนนี้ซิ เป็นถึงราชาปีศาจแต่กลับต้องถูกมนุษย์ใช้เป็นเหยื่อล่อ แถมยังจะทำให้ข้าถูกสงสัยด้วย ช่างโง่เง่าเสียจริง!”
“แค้นนี้ ข้าจะต้อง…!”
จู่เฮคซอดพลันยืนนิ่งไปกับที่
ก่อนหน้านี้บนท้องทะเลยังส่องประกายระยิบระยับ แต่ตอนนี้กลับขมุกขมัวขึ้นมา รอบๆ ตัวมันไม่รู้มีไอน้ำสีขาวลอยขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร สายตามองเห็นภาพได้แค่ในระยะไม่กี่ก้าวเท่านั้น
มันเข้ามาในหมอกงั้นเหรอ?
ไม่ใช่…ต่อให้เป็นหมอก ก่อนหน้านี้มันก็น่าจะสังเกตเห็นถึงจะถูก
เฮคซอดเดินกลับไปทางเดิมหนึ่งก้าว ท้องทะเลพลันดูชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง มันหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นบนท้องทะเลในระยะหลายกิโลเมตรยังคงเงียบสงบ เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นปลายสุดของเส้นทะเลได้เลย
ความโกรธภายในใจพลันหายไปทันที
สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ที่นี่ถือว่าอยู่ไม่ไกลจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณและแบล็คสโตนนัก แต่ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมากลับไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้งั้นเหรอ?
หลังลังเลเล็กน้อย มันก็ใช้พลังเข้าไปในน่านน้ำนั้นอีกครั้ง
แต่ว่าครั้งนี้มันเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอย่างมาก
หลังเดินทะลุประตูไป หมอกหนาๆ เปียกชื้นก็เข้าปกคลุมมันทันที
เฮคซอดลดระดับความสูงลงแล้วค่อยๆ เดินสวนคลื่นเข้าไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็เพิ่มความระวังตัวจนถึงระดับสูงสุด หลังจากนั้นไม่นาน เงาดำลางๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงด้านหน้ามัน
นั่นคือเกาะๆ หนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อดูจากเค้าโครงของมันแล้ว ขนาดของมันเกรงว่าจะใหญ่ไม่น้อยทีเดียว
เมื่อบินไปถึงชายขอบของเกาะ มันก็ลอยลงไปด้านล่าง สองเท้าของมันเหยียบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าสีเขียว
ที่นี่…คือที่ๆ วัลคีรีย์พูดถึงอย่างนั้นเหรอ?
เฮคซอดมองไปรอบๆ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก
มันคาดคะเนดูสภาพของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเดินสำรวจดูรอบๆ เกาะรอบหนึ่งก่อน — ก่อนหน้านี้ไม่นานมันเพิ่งจะเปลี่ยนถังสำหรับหายใจมาใหม่ ปริมาณละอองชีวิตยังมีพอเพียง บนซีคลาวด์โรดยังคงมีท่อขนส่งหมอกแดงของเผ่าพันธุ์ลอยอยู่ ตรงพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างดินแดนรุ่งอรุณกับแบล็คสโตนก็มีหอสังเกตการณ์อยู่อีกสองแห่ง สำหรับมันแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นมีน้อยมา
เมื่อเดินไปได้หลายร้อยแล้ว ภาพทิวทัศน์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บนพื้นหญ้ามีแผ่นหินเพิ่มขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเดินเข้าไปก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เมื่อมีสิ่งที่ถูกแกะสลักขึ้นมาโดยสิ่งมีชีวิตแบบนี้ก็หมายความว่าเกาะแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาก่อน เฮคซอดตรวจสอบดูแผ่นหินสองสามแผ่น ก่อนจะพบว่าตัวอักษรที่อยู่บนนั้นไม่ใช่อักษรที่มันรู้จักเลย
“สวัสดี” จู่ๆ พลันมีเสียงคนพูดขึ้นมา
พริบตานั้นเอง สกายลอร์ดพลันรู้สึกขนลุกเกรียว! มันเปิดประตูมิติขึ้นมา ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวที่จะโจมตีกลับ
แต่ผู้พูดกลับไม่ได้ทำการโจมตีมาจากด้านหลัง
คนที่พูดคือผู้ที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
เมื่อดูจากลักษณะแล้ว อย่างน้อยก็เป็นผู้ยกระดับระดับสูง รูปร่างหน้าตาของมันได้ขจัดลักษณะอันน่าเกลียดของร่างระดับต้นและร่างยกระดับระดับต้นไปหมดแล้ว แม้แต่นิ้วมืและเส้นผมก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน มันสวมใส่ชุดสีขาวดูเบาสบาย เท้าทั้งสองข้างเปลือยเปล่า สองมือไพล่หลัง น้ำเสียงและสีหน้าดูผ่อนคลาย ดูไม่ได้มีการวางท่ายกตนข่มท่านแม้แต่น้อย
“ข้าคือสกายลอร์ด เจ้าคือใคร? แล้วมาอยู่บนเกาะนี้ตั้งแต่เมื่อไร?” เฮคซอดถามโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ “ที่นี่ก็มีละอองชีวิตเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?”
“ข้าเป็นแค่ผู้เฝ้ามองเท่านั้น” มันหัวเราะเบาๆ “ส่วนเวลาที่มาอยู่ที่นี่ มันก็ยาวนานจนข้าทำไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
“ผู้เฝ้ามอง?” เฮคซอดย้อนนึกดู ก่อนจะว่าในความจำไม่มีผู้ยกระดับชื่อนี้อยู่ ส่วนที่บอกว่ายาวนานจนนำไม่ได้นั้นก็ยิ่งฟังดูไร้สาระ เพราะก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจะอุบัติขึ้น เผ่าพันธุ์ของมันยังไม่ได้ย่างกรายเข้ามาทางเหนือของดินแดนรุ่งอรุณเลย แล้วมันจะมายังเกาะแห่งนี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร?
“ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า คนที่กำหนดรูปร่างหน้าตาอันนี้ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นตัวเจ้า” ผู้เฝ้ามองตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ว่านี่มันยากที่จะเข้าใจ แต่ความจริงมันเป็นเช่นนี้จริงๆ”
ในเมื่อไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน พูดอีกอย่างก็คืออาจจะเป็นศัตรู ยิ่งไปกว่านั้นเฮคซอดยังสังเกตเห็นอีกว่า อีกฝ่ายไม่ได้สวมชุดเกราะ บนร่างกายไม่ได้มีร่องรอยที่จะให้ใส่ถังสำหรับใช้หายใจ นี่เท่ากับเป็นการตอกย้ำคำพูดของมัน
ด้วยเหตุนี้เฮคซอดจึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก
“ที่นี่คือบอทธ่อมเลสแลนด์งั้นเหรอ? โลกแห่งจิตสำนึกอยู่ที่ไหน?”
ผู้เฝ้ามองส่ายหัว “ที่นี่เป็นแค่สะพานเท่านั้น มันจำเป็นต้องใช้กุญแจถึงจะเปิดได้”
“กุญแจแบบไหน?”
มันชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดอยู่เหมือนกัน “…ถ้าเรียกตามที่พวกเจ้าเรียกล่ะก็ มันก็คือ ‘ชิ้นส่วนสืบทอด’ ที่สมบูรณ์”
ในตอนที่ชิ้นส่วนสืบทอดรวมกันเป็นหนึ่ง เส้นทางที่จะไปยังแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ก็จะปรากฏขึ้นมา นี่มันก็เหมือนกับสิ่งที่บอกต่อๆ กันมาในเผ่าพันธุ์ไม่ใช่เหรอ! เฮคซอดตกตะลึง เขามองออกแล้วว่าเจ้านี่ไม่มีทางพูดจาดีๆ แน่ มันเอาแต่ใช้คำพูดประหลาดๆ มาเพื่อแสดงความแตกต่างของตัวเอง ในจุดนี้เรียกได้ว่าเหมือนกับเดอะแมสก์เลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นสะพานก็ดี หรือเส้นทางก็คือ มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน! เฮคซอดรู้สึกหัวสมองตัวเองหมุนอย่างรวดเร็ว “พาข้าไปดู…สะพานที่ว่านั่นหน่อยได้ไหม?”
ผู้เฝ้ามองลังเลเล็กน้อย มันมองไปทางเหนือ “ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าเร็วหน่อยนะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว….”
หลังเดินตามอีกฝ่ายไปไม่กี่นาที หลุมขนาดยักษ์หลุมหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเฮคซอด
“นี่…คือสะพานงั้นเหรอ?” มันตกตะลึง
“อื้อ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะข้ามสะพานนี้ไปได้ เจ้าไม่มีกุญแจ ดังนั้นเจ้าจึงมองไม่เห็นมัน”
สะพานกับเส้นทางอะไรกันเนี่ย คำพูดของเผ่าพันธุ์เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย…
นี่มันเป็นแค่หลุมใหญ่ๆ แค่นั้นเอง!
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องบอทธ่อมเลสแลนด์ นี่มันก็ดูเข้าเค้าทีเดียว
อย่างนั้นโลกแห่งจิตสำนึกอยู่ที่ด้านล่างหลุมอย่างนั้นเหรอ?
เฮคซอดย่อมไม่คิดที่จะกระโดดลงไปดูในหลุมอย่างแน่นอน ใครจะไปรู้ล่ะว่าลงไปแล้วยังจะบินขึ้นมาได้อยู่หรือเปล่า
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการพิสูจน์มันจะจบลงเพียงเท่านี้
มันหยิบเอาหินเวทมนตร์หลากสีออกมาจากในเกราะก้อนหนึ่ง
จากการศึกษาของอารยธรรมใต้ดิน เจ้าสิ่งสีสามารถแสดงความสัมพันธ์ของผู้ตื่นรู้กับแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ด้วย ถ้าบอทธ่อมเลสแลนด์คือแหล่งกำเนิดและแหล่งสิ้นสุดของสรรพสิ่งจริงๆ อย่างนั้นมันก็ต้องมีปฏิกิริยาอะไรออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน
เฮคซอดกลั้นหายใจ พร้อมกับเอาหินเวทมนตร์ขึ้นมาส่องดู
จากนั้นมันมองเห็นเสาลำแสงที่เจิดจ้าแท่งหนึ่ง!
ไม่สิ…พูดให้ถูกคือจำนวนนับไม่ถ้วน!
พวกมันมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนที่สุดท้ายจะมารวมกันอยู่ที่นี่ ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับ ‘ต้นไม้แห่งแสง’ ที่บดบังท้องฟ้า เสาลำแสงที่แผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางถักทอกันจนกลายเป็นเหมือนพุ่มไม้และกิ่งใหม่ของมัน ส่วนเสาลำแสงที่มารวมกันอยู่ที่นี่แล้วพุ่งตรงลงไปยังด้านล่างหลุมนั้นคือส่วนลำต้นของมัน เนื่องจากมันสว่างมากเกินไป จึงทำให้แสงส่วนที่เป็นลำต้นของมันสว่างจนเกือบจะเป็นสีขาวที่เจิดจ้าจนแทบจะมองตรงๆ ไม่ได้!
ต่อให้มันจะไม่รู้ความหมายของเสาลำแสงเหล่านี้ แต่มันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกตกตะลึงในส่วนลึกของหัวใจมัน
ภาพตรงหน้านั้นอยู่เหนือจินตนาการของเฮคซอด!
…………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น