Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1392-1395
ตอนที่ 1392 ประสานงานการรบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สภาพอากาศบนภูเขามักจะช้ากว่าด้านล่างภูเขา
เมื่อก่อนแคทคลอว์ไม่เคยเข้าใจคำพูดประโยคนี้เลย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันแล้ว
เมื่อเดือนแห่งปีศาจจบลง ในเมืองหลายๆ เมืองก็เริ่มเข้าสู้ช่วงเวลาที่หิมะละลาย เวลาเดินไปที่ไหนก็มักจะได้ยินเสียงน้ำดังเปาะแปะๆ ในดินโคลนที่เฉอะแฉะข้างทางก็จะมองเห็นต้นอ่อนของต้นไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ แต่บนเทือกเขาสิ้นวิถี ทุกอย่างมันยังคงเหมือนเดิม พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวโพลน ริมขอบหน้าผามีเสาน้ำแข็งที่สูงกว่าตัวคน เวลาเดินผ่านทางเล็กๆ ที่อยู่ด้านล่างเขามักจะเกิดความรู้สึกกังวลว่าแท่งน้ำแข็งเหล่านี้มันจะตกลงมาใส่หัวหรือเปล่า
ถ้าไม่เป็นเพราะมีฮัมมิ่งเบิร์ดกับแม่มดอาญาสิทธิ์คอยช่วย พวกเขาก็อย่าหวังเลยว่าจะขนเอาอาวุธขึ้นไปบนแนวรบด้านบนภูเขาได้
แต่สิ่งที่ทำให้ภายในใจแคทคลอว์รู้สึกกลัวว่ากว่านั้นก็คือเป้าหมายของภารกิจครั้งนี้ ป้อมปราการเคลื่อนที่ของพวกปีศาจ
มันใหญ่โตมโหฬารเสียจริงๆ
เห็นๆ ว่าอยู่ห่างกันตั้ง 20 กว่ากิโลเมตร แต่เขากลับมองมันได้ตรงๆ โดยไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกล มันกินพื้นที่เกือบครึ่งของท้องฟ้าทางเหนือ รูปร่างหน้าตาของมันดูไม่ได้เข้ากับโลกที่อยู่รอบๆ เลย หินสีดำที่งอกออกมาเป็นเหลี่ยมเป็นมุมเหมือนถูกมีดแกะสลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วช่างแตกต่างจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อย่างมาก
เหนือแผ่นดินลอยฟ้ามีหมอกแดงปกคลุมอยู่เต็มไปหมด พวกมันลอยสูงสุดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของป้อมปราการลอยฟ้า จากนั้นค่อยๆ ไหลกระจายออกมารอบข้าง มองไกลๆ แล้วเหมือนมีริบบิ้นสีแดงมาแขวนอยู่รอบๆ แผ่นดิน
ความใหญ่โตของมันทำให้แคทคลอว์รู้สึกกดดันอย่างมาก
ที่ผ่านมาระยะห่าง 20 กิโลเมตรนั้นหมายถึงความปลอดภัย ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูนั้นเป็นเพียงจุดดำเล็กๆ บนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นอีกฝ่ายหรือปะทะกันก็ล้วนแต่ยากจะเกิดขึ้นได้ แต่ตอนนี้ระยะทางนี้กลับเหมือนอยู่ใกล้แค่คืบ เขารู้สึกเหมือนตัวเองอาจจะถูกภูเขาลอยฟ้าลูกนี้ลอยเข้ามาบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
เมื่อเทียบกับป้อมปราการของศัตรูแล้ว แนวรบและปืนใหญ่ของฝั่งตัวเองนั้นดูเล็กนิดเดียว
น่าจะเป็นเพราะทางกองบัญชาการเองก็คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ ทางนั้นถึงได้สั่งให้พวกเขามารวมตัวอยู่ด้วยกัน
เขาหดตัวกลับเข้าไปในป้อมพร้อมกับถอนหายใจเอาควันสีขาวออกมา
การสูดหายใจลึกๆ จะช่วยผ่อนคลายความตื่นเต้นได้ นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงสอนพวกเขาอยู่บ่อยๆ
“ทำไม กลัวเหรอ?” โพเมโลเอี้ยวตัวเข้ามา
“ถุย!” แคทคลอว์ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “อย่างข้าเนี่ยนะจะกลัว!”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าอะไรนี่นา” อีกฝ่ายหยิบเอากล้องส่องทางไกลออกมา ก่อนจะยื่นหน้าออกมาจากช่องสังเกตการณ์ “บอกตามตรง นี่ทำให้ข้านึกถึงตอนที่กองพันปืนใหญ่เจอกองทัพอัศวินของลองซองบุกเข้ามาครั้งแรกเลย”
แคทคลอว์ตะลึงไปเล็กน้อย
เขาย่อมต้องไม่มีทางลืมประสบการณ์การรบครั้งแรก ตอนนั้นเดือนแห่งปีศาจเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานเหมือนกัน แล้วก็เจอกับศัตรูที่โหมกระหน่ำบุกเข้ามาเหมือนกัน มีอยู่หลายครั้งที่เขาเกือบทำปืนใหญ่ที่ขนมาทับใส่เท้าตัวเอง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกองทัพ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองออกมายืนขวางหน้าอัศวินที่พุ่งทะลวงเข้ามาแล้วสู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้า แทนที่จะหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตหรือว่าวิ่งหนีไป
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะนึกว่าตัวเองคงต้องจบเห่แล้ว ขาทั้งสองข้างเองก็สั่นจนยืนแทบจะไม่ไหวก็ตาม
แต่ครั้งนี้ ศัตรูก็แค่เปลี่ยนเป็นแผ่นดินลอยฟ้าเท่านั้น
ในตอนที่ความทรงจำในหัวมันซ้อนทับกับภาพความจริง แคทคลอว์ก็พบว่าใจที่กำลังเต้นแรงของตนพลันสงบลง
“ข้าจำได้แล้ว ตอนนั้นเจ้ากลัวจนพูดไม่เป็นคำเลย”
“เหอะ อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่หัวหน้าแวนนาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าไร” โพเมโลมองดูเป้าหมายพร้อมพูดต่อว่า “แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ลืมที่จะยิงปืนใหญ่ แค่นั้นก็พอแล้ว”
แคทคลอว์พยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย
ถูกต้อง ความกลัวมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ขอเพียงพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จก็พอ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอัศวินของขุนนางหรือว่าแผ่นดินลอยฟ้า สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำก็คือยิงปืนใหญ่ออกไป
“เดี๋ยวๆ บนป้อมปราการมีความเคลื่อนไหว!” จู่ๆ โพเมโลพูดเสียงเบาลง “นั่นมันอสูรสยอง ปีศาจมีความเคลื่อนไหวแล้ว!”
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ!” แคทคลอว์ตกใจ
“จำนวนเยอะมาก…พระเจ้า” โพเมโลกลืนน้ำลาย “อาจจะมากกว่า 100 ตัว!”
เขารีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่าในหมอกแดงมีจุดสีดำบินออกมาอย่างต่อเนื่อง แถมยังตั้งเป็นแถมอยู่ริมแผ่นดินลอยฟ้า แคทคลอว์คุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังรวมพลอยู่ การโจมตีกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว แต่ว่าตำแหน่งรวมพลของปีศาจมันดูแปลกๆ….
ทั้งสองคนสบตากัน พวกเขาแทบจะคิดขึ้นมาได้พร้อมๆ กัน “พวกมันเจอค่ายหลอกแล้ว!”
เมื่อเทีบกับแนวรบที่แท้จริง แนวรบที่ปลอมขึ้นมาอีกที่หนึ่งก็มีปืนใหญ่ตั้งอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ว่าปืนใหญ่เหล่านั้นล้วนแต่ใช้ไม้ทาสีปลอมขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้ใช้ตาข่ายพรางตาคลุมทับด้วย ตอนนี้ดูแล้วแผนการนี้เหมือนจะได้ผลทีเดียว!
ตามแผนการที่วางไว้ ทางอัศวินอากาศจะเป็นจนหยุดศัตรูที่มาจากบนท้องฟ้า
ยิ่งเพื่อนต่อสู้ได้ดี ศัตรูก็จะยิ่งรู้ตัวช้าว่าพวกมันถูกหลอก
“ไม่รู้ว่าพวกเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของศัตรูหรือยัง…” แคทคลอวพูดงึมงำ เนื่องจากแผ่นดินลอยฟ้านั้นมีหมอกแดงอยู่บนนั้น ทางกองทัพที่หนึ่งจึงไม่ได้จัดให้แม่มดมาเข้าร่วมทีมโจมตีด้วย นี่จึงทำให้ทหารหน่วยปืนใหญ่ไม่สามารถติดต่อกับทั้งกองทัพได้ เมื่อเทียบกับตอนที่มีไลต์นิ่งกับเมซี่ค่อยช่วยสนับสนุนแล้ว ตอนนี้ทัศนวิสัยของพวกเขาแคบลงกว่าเดิมมาก แต่เมื่อคิดถึงว่าหลังจากนี้จะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้แต่ต้องพยายามทำความเคยชินกับการเปลี่ยนแปลงนี้
“วางใจได้” โพเมโลกำหมัดขึ้นมา “เจ้าก็รู้นี่ว่าใครเป็นคนนำกองทัพอัศวินอากาศ!”
…..
“นี่คือเมซี่ ศัตรูมีความเคลื่อนไหวผิดปกติจิ๊บ!” ในเครื่องบินของทิลลีมีเสียงรายงานของทีมนักสำรวจดังขึ้นมา “ทิศทาง สามนาฬิกาตะวันออก จำนวน 103 ตัว ในขบวนมีอสูรสยองขนาดใหญ่ มากกว่า 1 ตัวจิ๊บ!”
“รับทราบ” ทิลลีใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในรูนสดับอีกอัน “ศัตรูเคลื่อนไหวแล้ว มีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีปีศาจดวงตาที่เคลื่อนไหวได้ ให้ซีกัลป์บินวนไปก่อน รอฟังคำสั่งต่อไป”
“รับทราบ” คนที่ตอบเธอคือแอนเดรีย “พระองค์จะออกไปแล้วเหรอเพคะ?”
“อืม” เธอตอบอย่างสบายๆ “ฝากถามซาวีแทนข้าหน่อย ความรู้สึกที่ได้ขับเครื่องบินไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“องค์หญิง…เมื่อไรพระองค์จะเสด็จกลับมาเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกเหมือนมันจะตกลงไปอยู่ตลอดเลยเพคะ!” ในรูนสดับมีเสียงเหมือนจะร้องไห้ของซาวีดังขึ้นมา
“ตั้งสมาธิเข้าไว้!” จากนั้นก็มีเสียงเวนดี้ดังขึ้นมา “จับคันบังคับให้แน่น ทำเหมือนตอนที่ฝึกซ้อมนั่นแหละ เรื่องอื่นเดี๋ยวข้าช่วยเจ้าเอง”
หลังจากที่ได้ฟินิกส์มา ทิลลีนก็เริ่มมองหาคนที่จะมาแทนตน เมื่อเทียบกับการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังแล้ว เธออยากจะแก้แค้นให้แอชเชสด้วยมือตัวเองมากกว่า สุดท้ายซาวีก็เป็นคนรับหน้าที่นี้แทน แถมยังสร้างสถิติใช้เวลาตั้งแต่ฝึกบินจนถึงบินจริงสั้นที่สุดด้วย แน่นอนว่านอกจากเป็นเพราะว่าเธอตั้งใจสอนอย่างมากแล้ว เวนดี้ที่ควบคุมลมได้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซาวีสามารถควบคุมซีกัลได้เร็วขนาดนี้ เมื่อมีเวนดี้คอยช่วยเหลือ ขอเพียงไม่ประหม่าจนบังคับผิดพลาดก็ยากที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นได้
“เอ่อ…สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้แหละเพคะ” แอนเดรียกุมขมับ “นอกจากซิลเวียที่เวียนหัวเล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่“ดีมาก อย่างนั้นข้าออกเดินทางล่ะ
“องค์หญิง!” จู่ๆ เสียงของแอนเดรียพลันดังขึ้นมา
“ข้าฟังอยู่”
“รักษาตัว…ด้วยนะเพคะ”
ทิลลียิ้มเล็กน้อย “อื้อ ทุกคนก็เหมือนกันนะ”
เธอยื่นมือไปเปิดวิทยุ ก่อนจะหมุนปรับความถี่ไปยังช่องรวม จากนั้นจึงหยิบไมค์วิทยุขึ้นมา “ทุกคนฟัง ตอนนี้อสูรสยองได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ ทำการสกัดมันตามแผนที่วางเอาไว้ ท้องฟ้าผืนนี้เป็นของพวกเรา!”
ถึงแม้ตอนนี้จะมีเฮฟเว่นเฟลมเพียงสองลำที่ทำการติดตั้งวิทยุเอาไว้ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะให้แบ่งออกเป็นสามทีมเพื่อใช้การโจมตีสกัดรูปแบบกรรไกรแล้ว
“หัวหน้าทีมสอง กู๊ดรับทราบ”
“หัวหน้าทีมสาม ไฮส์รับทราบ”
“ตอนนี้ ออกโจมตีได้!” ทิลลีเหยียบคันเร่งนำเฮฟเว่นเฟลมทีมละ 25 ลำออกมาจากเส้นทางการลาดตระเวนของซีกัล พร้อมบินมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 1393 ไพ่ตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้การสั่งการด้วยวิทยุ ถึงแม้จะอยู่ห่างกันเป็นพันเมตร แต่ก็ยังสามารถสามารถจัดรูปขบวนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
เฮฟเว่นเฟลมที่แบ่งออกเป็น 3 ทีมจำนวนทั้งหมด 75 ลำได้ไปถึงน่านฟ้าที่จะใช้เป็นจุดสกัดอสูรสยองพร้อมกัน จากนั้นจึงเปิดฉากโจมตีใส่อสูรสยองจาก 3 ทิศทาง วิถีการบินของเฮฟเว่นเฟลมเป็นเหมือนกับกรรไกลที่ตัดขบวนรบของศัตรูจนขาดในพริบตา!ห
ศึกกลางอากาศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่มีสงครามแห่งโชคชะตาอุบัติขึ้นมาได้เปิดฉากขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาสิ้นวิถีในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ในเวลานี้เอง เสียงคำรามของปีศาจและเสียงของเครื่องยนต์ดังสลับกันไปมา
อสูรสยองที่ถูกยิงหมุนร่วงตกลงไปข้างล่างเหมือนกับใบพัด ส่วนปีศาจที่ขี่มันต่อให้มีพลังที่แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในเวลานี้พวกมันก็ได้แต่ต้องปล่อยให้ร่างกายร่วงตกลงไปข้างล่างโดยไม่อาจทำอะไรได้ สุดท้ายก็กลายเป็นจุดสีน้ำเงินอยู่บนพื้น
หลังทั้งสองฝ่ายปะทะกัน รูปขบวนที่เป็นระเบียบก่อนหน้านี้แตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง
จากวิธีการรบที่ระบุเอาไว้ในคู่มือการบิน อัศวินอากาศควรจะพยายามสลัดการไล่ตามของศัตรู แล้วใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบในเรื่องความเร็วทิ้งระยะห่างจากศัตรูออกมา จากนั้นค่อนวกกลับไปโจมตีใหม่อีกครั้ง
“ยิงอิสระ ยิงอิสระ!” ทิลลีออกคำสั่งพร้อมเปิดฉากยิงเป็นคนแรก จากนั้นจึงอาศัยความเร็วของฟินิกส์ในการพุ่งออกมาจากวงปะทะเป็นคนแรก — น่าจะเป็นเพราะสีของเครื่องบินสะดุดตาบางเกินไป อสูรสยองจำนวนหลายตัวตึงบินไล่ตามเธอมา ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เธอคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว
ถ้าเธอสามารถดึงดูดศัตรูมาได้มาก ความกดดันของพวกตัวเองก็จะยิ่งลดลง
ขอเพียงสร้างพื้นที่ได้มากพอ อัศวินก็จะมีความได้เปรียบในศึกชิงน่านฟ้ามากกว่าอสูรสยอง
“องค์หญิง ระวังพ่ะย่ะค่ะ! มีอสูรสยองตัวใหญ่ตัวหนึ่งตามพระองค์ไปพ่ะย่ะค่ะ!” ในหูฟังมีเสียงเตือนของกู๊ดดังขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วง ข้าเห็นแล้ว” ทิลลีเอี้ยวหัวไปกวาดตามอง “คอยระวังตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือเดี๋ยวข้าเรียกเจ้าเอง!”
เนื่องจากสมรรถภาพของฟินิกส์ในแต่ละด้านนั้นล้วนแต่เหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลมที่ทำการปรับปรุงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้เตรียมนักบินผู้ช่วยให้ตัวเอง เพราะไม่มีเครื่องบินปีกสองชั้นลำไหนจะไล่ตามเธอทัน ดังนั้นการสู้ตามลำพังจึงกลับเป็นการแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้เต็มที่มากกว่า
ทิลลีบินขึ้นไปด้านบนพร้อมทั้งเปลี่ยนทิศทาง อสูรสยองที่ไล่ตามเธอมายังคงพยายามที่จะกระพือปีกเพื่อจะร่นระยะห่างให้สั้นลง ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอีกครั้ง ศัตรูไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันได้เปลี่ยนจากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าแล้ว
ฟินิกส์พุ่งลงมา ทิลลีเหนี่ยวไกยิงออกไปอย่างไม่ลังเล!
ในระยะยิงที่ดีแบบนี้ เธอแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้ปืนกลที่ปีกสองข้างมาช่วยเลย
ลำแสงสีเงินที่เจิดจ้าสี่สายพุ่งออกมาจากหัวเครื่องบิน ก่อนจะลอยเป็นเส้นโค้งไปในอากาศแล้วตกลงไปในฝูงของอสูรสยอง
หลังจากที่เธอแจ้งปัญหาเรื่องพลังทำลายล้างที่ไม่เพียงพอของปืนกลเอนกประสงค์ 8 มม.เวลาที่กราดยิงเป้าหมายบนพื้น โรแลนด์ก็เอาการผลิตอาวุธปืนที่มีขนาดลำกล้องใหญ่ขึ้นใส่เข้าไปในวาระการประชุม เพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็นปืนกลที่รวมเอาทุกสุดยอดเทคโนโลยีเอาไว้ในตัว ซึ่งฟินิกส์ย่อมต้องเป็นเครื่องบินลำแรกที่ได้ทดสอบใช้มัน ในหัวเครื่องบินขนาดใหญ่สามารถใส่ปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 20 มม.เอาไว้ได้ 4 กระบอก ทุกหนึ่งนาทีสามารถยิงกระสุนปืนใหญ่ออกมาได้เกือบ 3,000 นัด ทำให้พลังทำลายล้างของมันขยับขึ้นไปอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถึงแม้ครั้งนี้เป้าหมายของเธอจะไม่ใช่ปีศาจคุ้มคลั่งและปีศาจแมงมุมที่อยู่บนพื้นดิน แต่อสูรสยองที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าพวกเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดนั้นกำลังบอกเธอว่าเจ้านายของมันคือปีศาจระดับสูง
วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้รับมือศัตรูที่มีความสามารถหลากหลายเช่นนี้คือรีบจัดการพวกมันก่อนที่พวกมันจะใช้พลัง!
อสูรสยองที่พุ่งมาข้างหน้าถูกปืนใหญ่อัตโนมัติยิงทะลุในทันที หัวกระสุนที่ยิงทะลุหน้าอกและอวัยวะส่วนอื่นๆ ลากเอาเศษเลือดกระเด็นตามออกไปเหมือนสายฝน ในตอนที่ลำแสงสีเงินพุ่งเข้าไปใกล้ปีศาจระดับสูง อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ บาเรียสีน้ำเงินจำนวนหลายชั้นถูกกางออกมาห่อหุ้นตัวมันเอาไว้เหมือนเกราะที่แข็งแกร่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เกราะที่ว่านั่นก็ค่อยๆ จางลง ปริแตกและพังทลายลง จากนั้นแรงปะทะอันรุนแรงก็กระแทกมันจนกระเด็นลอยออกไป ก่อนจะหมุนควงร่วงไปลงด้านล่าง ที่ระดับความสูงระดับนี้ ถ้าไม่มีหินโบยบินหรือรูนสำหรับรักษาชีวิตอื่นๆ แล้วล่ะก็ มันไม่มีทางที่จะรอดไปได้เลย
อสูรสยองที่สูญเสียเจ้านายไปพยายามหนีออกไปอย่างลนลาน แต่ทิลลีไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสทำแบบนั้นแน่นอน หลังเธอกลับมุมของหัวเครื่องบินเสร็จเรียบร้อย เธอก็กระหน่ำยิงใส่มันอีกครั้งหนึ่ง
ในเวลานี้ระยะห่างของทั้งสองห่างกันไม่ถึงสิบเมตร เศษเลือดและเศษเนื้อที่ถูกห่ากระสุนฉีกจนเป็นชิ้นๆ กระเด็นมาเปื้อนกระจกกันลมของฟินิกส์
เมื่อเห็นรอยเลือดที่อยู่ตรงหน้า ทิลลีพลันยิ้มมุมปากขึ้นมา ภายในใจรู้สึกมีความสุขอย่างมาก
ท้องฟ้าผืนนี้คือเวทีสำหรับการล้างแค้นของเธอ เธอยิ่งปรารถนาการแก้แค้นมากขึ้น
เสียงร้องของอสูรสยองยักษ์ที่ตายไปก่อนหน้านี้ได้ดึงดูดศัตรูกลุ่มใหม่มา ปีศาจเองก็รู้ว่านกเหล็กสีแดงลำนี้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลังทำลายล้างก็ล้วนแต่เหนือกว่านกเหล็กตัวอื่นๆ แล้วก็เป็นอุปสรรคสำคัญของพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อดูจากชุดเกราะของอสูรสยองแล้ว อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็มีปีศาจระดับสูงมากกว่าสองตัว
ในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกมันล้วนแต่เป็นแม่ทัพของกองทัพหรือไม่ก็เป็นหัวใจสำคัญของการโจมตี แต่ตอนนี้พวกมันกลับถูกส่งให้มาอยู่ในทีมโจมตีธรรมดา ในอีกแง่หนึ่งนี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกปีศาจ
แต่ภายในใจทิลลีไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกในหน้าอกของเธอมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่
ในระหว่างที่กำลังยึดตำแหน่งโจมตีใหม่อีกครั้ง เธอคอยจ้องปีศาจระดับสูงของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกฝ่ายเองก็กำลังจ้องมองเธออยู่เหมือนกัน ทิลลีสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโจมตีของพวกมันครั้งนี้มีความระมัดระวังขึ้นมา พวกมันไม่ได้ดูถูกเธอเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
เธอเลียริมฝีปาก ก่อนจะกดคันบังคับลง
“เข้ามา!”
…..
“ช่าง….งดงามเสียจริงๆ” เดอะแมสก์ยืนอยู่บนที่ราบนอกเมือง สายตามองออกไปยังสนามรบที่อยู่อีกฟากพร้อมกับยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กวาดตามองมองอย่างประหลาดใจ
“เจ้ากำลังสงสัยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกสนใจพวกแมลงถึงขนาดนี้ใช่ไหม?” เดอะแมสก์หันหน้ามา หน้ากากที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ส่งเสียงเสียดสีแสบแก้วหูออกมา
“ไม่…”
“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้…สิ่งที่เป็นตัวกำหนดความยอดเยี่ยมของเผ่าพันธุ์ไม่ใช้พวกที่ไร้ความสามารถพวกนั้น หากแต่เป็นคนที่กุมความรู้ทั้งหมดเหล่านั้นต่างหาก! ที่ข้าชื่นชมนั้นไม่ใช่แมลงที่ขี่เจ้านกเหล็กนั่น หากแต่เป็นคนที่รู้หลักการทำงานของนกเหล็กต่างหาก” เดอะแมสก์ผายมือออก “ถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ทั้งสองกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน พวกแรกคือแมลง แต่พวกหลังต่างหาก…ที่เป็นมนุษย์! การที่สามารถเอาโลหะพวกนี้มาประกอบเข้าด้วยกันแล้วทำให้มันเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หรอกเหรอ? สมองของคนแบบนี้ ข้าอยากจะผ่ามันออกมาลิ้มรสดูจริงๆ เลย!”
“….” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
“แต่นั่นเป็นเรื่องที่เอาไว้คิดหลังจากนี้” เดอะแมสก์ถอนหายใจออกมาที่ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเห็นด้วยได้ “เรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้ก็คือกำจัดพวกแมลงที่น่ารำคาญพวกนี้…”
มันล้วงเอาแกนเวทมนตร์ขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก ก่อนจะใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปที่มัน ตรงกลางของแกนเวทมนตร์ปล่อยคลื่นกระเพื่อมออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นพื้นดินใต้เท้ามันพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา!
แผ่นหินขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งงอกออกมาจากใต้ดิน หินสีดำที่แตกออกร่วงตกลงมาด้านล่างส่งเสียงโครมคราม ปลายด้านหนึ่งของมันยังคงฝั่งอยู่ใต้ดิน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งงอกสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากเศษฝุ่นกระจายหายไปแล้ว เมื่อมองทะลุผนังโปร่งใส่ด้านนอกเข้าไปจะมองเห็นเส้นเลือดและเส้นประสาทของร่างซิมไบออนท์กระจายอยู่เต็มแผ่นหิน ลำแสงของพลังเวทมนตร์ไหลไปทั่วทั้งแผ่นหิน ทำให้แผ่นหินเหมือนมีชีวิตขึ้นมา
และแผ่นหินแบบนี้ไม่ได้มีแค่อันเดียว
บนพระผู้สร้างมีแผ่นหินอีกจำนวนมากทยอยผุดขึ้นมาเหมือนกับได้รับสัญญาณอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจะใช้สงครามแห่งโชคชะตาพิสูจน์ให้เห็นว่าความรู้นั้นอยู่เหนือกำลัง สิ่งที่เรียกว่าพลังเวทมนตร์นั้นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความรู้เท่านั้น!” เดอะแมสก์ยืนอยู่ใต้เงาของแผ่นหิน พร้อมกับชูแกนเวทมนตร์ที่ส่องแสงอยู่ในมือขึ้นมา “และคนที่เหมาะจะเป็นราชาที่ถูกโจษขานมากที่สุดในเผ่าพันธุ์ก็คือตัวข้านาสเพล!”
ตอนที่ 1394 แสงดาวกลางเทือกเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บ้าเอ้ย….นั่นมันคืออะไรเนี่ย?”
ไลต์นิ่งที่บินวนอยู่เหนือพระผู้สร้างมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนนั้นในทันที
“จิ๊บ….พวกมันขุดเอาเสาหินที่อยู่ในดินขึ้นมาเหรอ?” เมซี่หรี่ตามองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดออกมา
เมื่อมองลงไปจากทองฟ้า แผ่นหินสีดำพวกนั้นมันเหมือนกับเสาหินที่ตั้งขึ้นมาจริงๆ แต่การที่มันโผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งออกจะดูแปลกไปเสียหน่อย แถมมันยังตั้งล้อมแผ่นดินลอยฟ้าเป็นวงกลมด้วย ดูแล้วเหมือนว่าตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
ภายในใจไลต์นิ่งเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
เธอกระตุ้นรูนสดับ “นี่คือทีมนักสำรวจ! เจอความเคลื่อนไหวผิดปกติบนแผ่นดินลอยฟ้า! ย้ำ เป้าหมายมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ!”
“ฟินิกส์รับทราบ!” ทิลลีรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ข้าเองก็สังเกตเห็นควันที่ลอยขึ้นมาเหมือนกัน ทำการจับตามองต่อไป ข้าจะแจ้งทางอัศวินอากาศให้เพิ่มการเฝ้าระวัง”
“นี่คือซีกัล” เสียงของแอนเดรียดังขึ้นมา “อธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเห็นอะไร?”
“เอ่อ…” ไลต์นิ่งเรียบเรียงคำพูด “เสาสีดำพวกนั้นมันงอกขึ้นมาจากขอบของแผ่นดิน ดูแล้วคล้ายๆ กับหอคอยที่อยู่ในเมืองของปีศาจ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่….”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เธอก็ตกตะลึงไปทันที
เสาหินแท่งหนึ่งพลันส่องแสงสีน้ำเงินที่เจิดจ้าขึ้นมา และแสงนั้นก็เหมือนจะเปล่งออกมาจากด้านในและสะท้องผนังด้านนอกที่เป็นเหมือนผลึกของมันจนสว่างขึ้นมา จากนั้นอะไรบางอย่างก็พุ่งออกมาจากเสาหิวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบินตรงขึ้นไปบนฟ้า!
“ข้างในเสาหินมันกลวงจิ๊บ!” เมซี่อุทานตกใจ
“หา? อะไรกลวง?” แอนเดรียยังคงไม่เข้าใจ
ไลต์นิ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ฝูงบิน รีบถอย!”
เจ้าของสิ่งนั้นพุ่งผ่านหน้าทั้งสองคนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเป็นเส้นโค้งตกลงไปตรงพื้นที่สู้รบของทั้งสองฝั่ง ครั้งนี้เธอมองเห็นได้อย่างชัดเจน เจ้าสิ่งที่ถูกยิงออกมามันเป็นเสาหินเหมือนกัน ลักษณะของมันเหมือนกับ ‘เข็มหิน’ ที่อสูรยักษ์แมงมุมยิงออกมาไม่มีผิด เพียงแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลายเท่า! ขณะเดียวกันรอบๆ มันยังมีคลื่นพลังเวทมนตร์ปกคลุมเอาไว้อย่างชัดเจน ตอนที่บินด้วยความเร็วสูงมันส่องแสงวูบวาบออกมาเหมือนกับแสงที่สะท้อนอยู่บนผิวที่ถูกลมพัด
เมื่อเจอกับการโจมตีที่มาอย่างกะทันหันแบบนี้ ทั้งอัศวินอากาศและอสูรสยองต่างพากันแตกตื่นทันที ทั้งสองฝ่ายต่างพากันหันหัวพุ่งลงไปด้านล่าง โดยหวังว่าจะหลบเจ้าสิ่งที่โจมตีมาให้ได้เร็วที่สุด
แต่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเฮฟเว่นเฟลมหรือว่าอสูรสยองก็ล้วนแต่เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น ระยะห่าง 10 กว่ากิโลเมตรเองก็ทำให้เวลาบินของเสาหินนั้นนานขึ้น ในตอนที่เสาหินบินผ่านพื้นที่สู้รบไป มันกระแทกถูกอสูรสยองที่ได้รับบาดเจ็บและความเร็วในการบินช้าลงจนเละเพียงแค่ตัวเดียว ก่อนจะพุ่งตรงลงไปที่พื้นด้านล่าง
แค่นี้เหรอ? ไลต์นิ่งงุนงง
ยิงเสาหินขนาดใหญ่จากระยะที่ไกลขนาดนี้ แถมยังไม่ระเบิดออกแล้วก็ไม่แตกกลายเป็นฝนเข็มหิน หรือศัตรูคิดจะใช้การโจมตีแบบนี้ยิ่งเฮฟเว่นเฟลมทั้งหมดให้ร่วงลงไป? นี่มันจะต่างอะไรกับการใช้ท่อนไม้ไปตียุง?
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะโล่งใจ เมซี่ที่อยู่บนหัวพลันใช้กรงเล็บดึงหัวของเธอให้หันไปทางที่เสาหินตกลงไป
“ดูนั่นจิ๊บ!”
ในตอนที่สายตาของไลต์นิ่งไปบรรจบกับแท่นที่ปลอมเป็นแนวยิงปืนใหญ่ เธอพลันเข้าใจทันที
เป้าหมายของปีศาจคือแนวยิงปืนใหญ่ตั้งแต่แรกแล้ว!
เสาหินพุ่งตกลงไปด้านล่าง ก่อนจะระเบิดแสงสีน้ำเงินที่สว่างจ้าออกมา แค่มันกระแทกลงไปก็ทำให้บนภูเขามีหมอกหิมะฟุ้งขึ้นสูงหลายเมตร เสียงกระแทกทึบๆ ที่ดังขึ้นมาไม่ได้ด้อยไปกว่าเสียงปืนใหญ่เลย เนื่องจากขนาดที่ใหญ่โต เสาหินจึงไม่ได้หยุดลงทันทีที่ตกลงไป หากแต่กลิ้งกระเด็นออกไปไกลเกือบร้อยเมตร บดขยี้สิ่งที่ขวางหน้ามันจนกลายเป็นชิ้นๆ
ทันใดนั้นเอง พื้นที่ตรงนั้นพลันดูวุ่นวายขึ้นมา
ไลต์นิ่งสูดหายใจ
ถ้าตรงนั้นเป็นแนวโจมตีจริงๆ จะทำยังไงเนี่ย?
“ไลต์นิ่ง รีบตอบมา ด้านล่างเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” แอนเดรียรีบถามอย่างร้อนใจ “หรือว่าองค์หญิงทรงมีอันตราย?”
“ไม่ ฝูงบินยังคงปลอดภัยดี แต่ตอนนี้เจ้าอย่าไปรบกวนพระองค์จะดีกว่า” ไลต์นิ่งมองไปทางแนวรบบนอากาศ หลังเสาหินบินผ่านไป ทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นั้นยังไม่จบลง จากนั้นก็เธอก็เลื่อนสายตากลับไปยังแนวรบปลอมอีกครั้ง จากนั้นจึงพูดเสียงคร่ำเคร่งขึ้นมาว่า “ทีมที่อยู่ด้านล่างนี่สิ…ข้าเกรงว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาคงจะต้องเจอปัญหาหนักแล้ว!”
นั่นไม่ใช่เสาหินธรรมดา
ท่ามกลางหมอกที่ฟุ้งกระจาย แสงสีน้ำเงินค่อยๆ มืดลง จดสุดท้ายก็หายไป ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผิวที่อยู่บนเสาหินก็ค่อยๆ หลุดร่อนออก ก่อนจะเผยให้เห็นโครงสร้างที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อที่อยู่ข้างใน
เธอเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างคลานออกมาจากด้านใน
“เจ้ามองเห็นไหม?” ไลนต์นิ่งตีเมซี่ที่อยู่บนหัว
เมซี่เชิดหน้าขึ้นมา ก่อนจะหรี่ตามองไปบนพื้นอยู่ครู่ใหญ่ “อื้อ…นั้นมันปีศาจแมงมุมจิ๊บ! ปีศาจแมงมุมขนาดเล็กจิ๊บ!”
….
แคทคลอว์กับโพเมโล่เองก็เห็นเหตุการณ์ที่แนวรบปลอมถูกทำลาย ถึงแม้มุมมองพวกเขาจะมีจำกัด อีกทั้งยังมองไม่ชัดว่าสิ่งที่ตกลงมาจากฟ้ามันคืออะไร แต่หิมะที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาบนยอกเขากับเสียงที่ยังคงดังสะท้อนต่างแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ระยะห่าง 18 กิโลเมตรจากแผ่นดินลอยฟ้านั้นไม่ใช่ระยะที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ปีศาจสามารถยิงถูกแนวรบหลอกได้ อย่างนั้นพวกมันก็ยิงถูกเขาได้เช่นเดียวกัน
“หัวหน้า ศัตรูเข้ามาในระยะยิงแล้ว!” เสียงเตือนของทหารสังเกตการณ์อีกคนดังขึ้นมา “แผ่นดินลอยฟ้าไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนทิศทาง ปืนใหญ่สามกระบอกสามารถยิงได้ทันที!”
แคทคลอว์กัดริมฝีปากพร้อมกับสบตากับโพเมโล่
ถ้าเลือกที่จะเปิดฉากยิงตอนนี้ นั่นเท่ากับพวกเขาต้องเสี่ยงอย่างมาก แต่ถ้าเลือกที่จะถอย การออกไปสู้อย่างกล้าหาญของอัศวินอากาศและแผ่นการที่กองบัญชาการวางเอาไว้ก็จะไร้ความหมาย
“บางครั้ง มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะไปคิดว่าทำแล้วจะมีประโยชน์อะไร” โพเมโล่ค่อยๆ พยักหน้า
ความกลัวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ความล้มเหลวเองก็เช่นกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะทหารให้เรียบร้อย
และหน้าที่ของพวกเขาก็คือ…ยิงปืนใหญ่
แคทคลอว์สูดหายใจ ก่อนจะมุดตัวออกไปนอกป้อม พร้อมกับเป่าแตรให้สัญญาณ!
“ทุกคนเข้าประจำที่ ยิงใส่ศัตรูก่อนที่มันจะรู้ตัว! เร็วๆๆๆ รีบวิ่งเร็วเข้า ทำให้อัศวินอากาศพวกนั้นเห็นหน่อยว่าใครกันแน่ที่เป็นไพ่ตายที่แท้จริง!”
ในแนวรบที่ไม่มีคนพลันมีคนจำนวนมากแห่ออกมา ผ้าพรางตาสีขาวถูกดึงออก เผยให้เห็นกระบอกปืนใหญ่ที่มีมันวาวอยู่ด้านล่าง รูปร่างของมันไม่เหมือนกับปืนใหญ่ปลอมที่ทำขึ้นมาจากไม้ ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน อาวุธสงครามที่ทำขึ้นมาจากเหล็กกล้าเหล่านี้ก็ล้วนแต่มีความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนต่างบรรจุกระสุนเรียบร้อยโดยไม่ต้องให้แคทคลอว์เร่งแต่อย่างไร ขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปอย่างลื่นไหล เรียกได้ว่าแตกต่างกับตอนที่เจอกองทัพอัศวินลองซองเมื่อหลายปีก่อนอย่างสิ้นเชิง
ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เติบโต
กองทัพนี้เป็นก็กลายเป็นพลังที่สามารถควบคุมชะตาชีวิตมนุษย์ได้เหมือนกัน
“รายงาน ปืนใหญ่หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง หมายเลขสามพร้อมยิงแล้ว!”
แคทคลอว์มองไปทางแผ่นดินลอยฟ้าที่เคลื่อนที่เข้ามาเหมือนดั่งภูเขาพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ยิงได้!”
เสียงยิงดังสนั่นไปทั่วทั้งภูเขา
เปลวไฟที่พ่นออกมาจากปากกระบอกปืนใหญ่กลายเป็นแสงดาวที่เจิดจ้าบนเทือกเขา!
ตอนที่ 1395 ปะทะระยะใกล้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ทำเป็นต้องทดสอบยิง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรับทิศทาง สิ่งที่ทีมโจมตีต่อต้านต้องทำก็คือยิงกระสุนปืนใหญ่ออกไปให้ได้มากที่สุด
ทุกคนงัดเอาทุกทักษาที่เคยฝึกออกมาใช้จนหมด
ถึงแม้การออกแบบกระสุนปืนใหญ่แบบแยกบรรจุจะทำให้ความเร็วในการยิงลดลง แต่เหล่าทหารปืนใหญ่ก็ยังทำให้ปืนใหญ่ทั้ง 3 กระบอกยิงออกมาได้นาทีละ 4 นัด การยิงที่เหลื่อมกันเล็กน้อยทำให้เกิดความรู้สึกในการยิงที่ต่อเนื่องขึ้นมา ในเทือกเขามีเสียงสะท้อนดังสนั่นซ้ำๆ เหมือนกับเสียงพายุอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเขายิงปืนใหญ่แล้วจิ๊บ!” เมซี่กอดหัวไลต์นิ่งเอาไว้
“อื้อ” อีกฝ่ายตอบรับเบาๆ แต่ภายในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงแทนกองทัพที่หนึ่ง พวกเขาจะต้องมองเห็นภาพแนวรบที่ปลอมขึ้นมาถูกบดขยี้แน่นอน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทีมโจมตีต่อต้านก็ยังเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองจนถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเธอเองก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ด้วยการทำการสอดแนมครั้งนี้ให้ดีที่สุด
ถึงแม้จำนวนปืนใหญ่จะมีไม่เยอะ แต่พวกเขายังคงดูน่าเกรงขามอยู่ น่าจะเป็นเพราะศัตรูคิดไม่ถึงว่าบนพระผู้สร้างจะถูกศัตรูโจมตีกลับได้ ในตอนที่กระสุนปืนใหญ่ไปตกบริเวณรอบๆ เมือง เธอเห็นปีศาจจำนวนไม่น้อยวิ่งแตกตื่นลนลานออกมา เห็นได้ชัดว่าบนป้อมปราการเคลื่อนที่แห่งนี้นอกจากจะมีกองทัพประจำอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว มันยังมีปีศาจชั้นต่ำอยู่อีกเป็นจำนวนมากด้วย
นอกจากนี้ไลต์นิ่งยังมองเห็นมนุษย์อยู่ในหมอกแดงด้วย
นี่เป็นการยืนยันสิ่งที่ทางทีมที่ปรึกษาตั้งสมมติฐานเอาไว้ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าปีศาจทำการเคลื่อนย้ายประชากรในพื้นที่ที่พวกมันควบคุมอย่างมีเป้าหมาย เพียงแต่เธอไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก เพราะเกรย์คาสเซิลทำการประกาศและทำการอพยพผู้คนมานานกว่าครึ่งปีแล้ว คนที่ยังยืนกรานที่จะอาศัยอยู่ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ต่อส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของขุนนาง และขุนนางพวกนั้นก็เป็นกลุ่มคนที่ต่อต้านฝ่าบาทโรแลนด์ พวกเขายอมที่จะต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันแล้วไปเข้าพวกกับปีศาจ
จากที่เอดิธส์บอกว่า สายตาของพวกเขานั้นมองอยู่แค่ผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อให้ต้องขายอนาคตเผ่าพันธุ์ของตัวเองก็ไม่เสียดาย
เมื่อพระผู้สร้างเคลื่อนที่เข้ามาเรื่อยๆ กระสุนปืนใหญ่ที่ยิงออกไปก็ไปตกยังใจกลางเมืองปีศาจได้เสียทีแต่เนื่องจากหมอกแดงหนาแน่นมากเกินไป ทำให้ไลต์นิ่งยากจะสังเกตดูผลการยิงได้
ตอนนี้ซิลเวียอยู่บนซีกัลป์ ความจริงเธอสามารถเรียกอีกฝ่ายให้ช่วยได้ตลอด แต่ในเมืองปีศาจอาจจะมีปีศาจดวงตาแอบซ้่อนอยู่ ทันทีที่ดวงตาของทั้งสองฝ่ายสบกัน ตำแหน่งของซีกัลก็จะถูกเปิดเผย ตอนนี้การโจมตียังดำเนินมาจนถึงตอนนี้ได้ แต่ความไม่สบายใจของไลต์นิ่งยังคงไม่จางหายไป เธอมักจะรู้สึกว่าการโจมตีที่เตรียมตัวมาเป็นเวลานานของปีสาจไม่มีทางที่จะจบลงง่ายๆ แบบนี้แน่
ในขณะที่เธอกำลังสงสัย จู่ๆ พระผู้สร้างก็ค่อยๆ หมุนขึ้นมา
เสาหินสูงใหญ่แท่งหนึ่งเล็งไปทางแนวยิงปืนใหญ่
ไลต์นิ่งใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที ในที่สุดสิ่งที่เธอกังวลก็มาถึงแล้ว อาศัยเพียงแค่ปืนใหญ่ไม่กี่กระบอกกับซีกัลนั้นไม่มีทางที่จะหยุดหยั้งการยิงของศัตรูได้ ส่วนอัศวินอากาศก็ยังคงสู้กับอสูรสยองอยู่ ช้าเร็วแนวยิงปืนใหญ่ก็จะต้องถูกเสาหินโจมตีใส่อย่างแน่นอน
“เมซี่ เจ้าจัดการเรื่องการสอดแนมต่อด้วยนะ” เธอกัดฟัน
“จิ๊บ?”
ไลต์นิ่งไม่อธิบาย เธอโยนนกพิราบที่อยู่บนหัวขึ้นไป จากนั้นจึงพุ่งตัวบินลงไปแล้วเร่งความเร็วไปจนถึงความเร็วเสียง — ทีมทหารที่อยู่บนพื้นไม่ได้พกรูนสดับเอาไว้ คนที่จะไปแจ้งข่าวพวกเขาได้ทันเวลามีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น!
ระยะพันกว่าเมตรมาถึงในพริบตา ส่วนอีกด้านหนึ่ง เสาหินขนาดใหญ่เองก็ส่องแสงลอยขึ้นไปบนฟ้า!
“ทุกคน —- รีบหาที่ซ่อนตัว!” ไลตืนิ่งตะโกนอยู่ด้านบนแนวยิงจนสุดเสียง “ศัตรูมันสังเกตเห็นที่นี่แล้ว เสาหินจะยิงมาถึงแล้ว รีบหาที่ซ่อนตัวเร็ว!”
“ขอรับ คุณหนูไลต์นิ่ง…” แคทคลอว์รีบเป่านกหวีด “ทุกคน รีบหนีออกไปจากตรงนี้! นี่คือคำสั่ง รีบหนีออกไปจากตรงนี้!”
เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งพากันหมุนตัวแล้วใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดวิ่งไปยังบังเกอร์ และในเวลานี้เงาของเสาหินก็ได้ปรากฏขึ้นตรงกลางแนวยิงแล้ว
กระทั่งทุกคนวิ่งหนีออกไปจนดหมดแล้ว แคทคลอว์ถึงจะวิ่งไปยังที่ซ่อนตัว ในขณะเดียวกัน เสาหินส่องแสงสีน้ำเงินก็กระแทกตกลงมาตรงกลางแนวยิงปืนใหญ่ป้อม! แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ภูเขาสั่นสะเทือนขึ้นมา ปืนใหญ่ที่ถูกกระแทกกลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระเด็นกระจัดกระจาย
เพียงแต่ครั้งนี้เสาหินไม่ได้กลิ้งกระเด็นไปบนพื้นเหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่กระแทกจนพื้นเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นมา — นั่นเกิดจากการที่หลุมเพลาะและบังเกอร์ใต้ดินบางส่วนพังทลายลงมา
“แค่กๆ…” แคทคลอว์ส่งเสียงไอพร้อมกับปีนขึ้นมาจากกองหิมะ ความรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ส่งผ่านจากพื้นแล้วกระจายไปทั่วทั้งร่างกายนั้นย่อมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีซักเท่าไร มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนอวัยวะข้างในร่างกายมันเคลื่อนออกจากที่ แต่ที่โชคดีก็คือนอกจากเท้าทั้งสองข้างที่ยังคงสั่นอยู่ ร่างกายของเขานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป!” แคทคลอว์ดึงตัวทหารคนหนึ่งมาสั่งกำชับ “นับจำนวนผู้บาดเจ็บ จากนั้นถอยไปจากที่นี่ตามแผนที่วางไว้”
“รับทราบ หัวหน้าหน่วย!”
“โพเมโล่ เจ้าอยู่ไหน? แค่กๆ …. ได้ยินแล้วตอบด้วย!” เขาเงยหน้าตะโกน แต่หูของเขากลับได้ยินเสียงปืนดังสนั่นขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าศัตรูบุกขึ้นมาบนเขาแล้ว?
ยังไม่ทันที่แคทคลอว์จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงเตือนของไลต์นิ่งพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ระวัง ในเสาหินมีปีศาจซ่อนตัวอยู่! นั่นต่างหากถึงจะเป็นการโจมตีที่แท้จริงของศัตรู!”
ปีศาจ…ซ่อนอยู่?
แคทคลอว์รีบหยิบปืนออกมาจากข้างหลังพร้อมปลดล็อก ก่อนจะวิ่งไปยังจุดถอยที่กำหนดเอาไว้ —- ส่วนใหญ่ทหารหน่วยปืนใหญ่จะอยู่ด้านหลังของแนวป้องกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ค่อยได้พกอาวุธปืนติดตัวซักเท่าไร แต่เนื่องจากภารกิจโจมตีระยะใกล้ครั้งนี้มีความเสียงอย่างมาก ทหารทุกคนไม่เพียงแต่จะพกอาวุธปืนติดตัว แต่ทางกองทัพยังส่งทหารจากกองพันปืนมาช่วยคุ้มครองด้วย
เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำการตอบโต้ออกมาคนแรกนั้นคือทหารจากกองพันปืนที่มีประสบการณ์โชกโชนพวกนั้น
กระทั่วหมอกควันค่อยๆ จางหายไป แคทคลอว์ถึงได้เห็นหน่วยปืนกลหลายหน่วยได้ใช้ปืนกลยิงปิดตายพื้นที่ตั้งแต่ช่วงทางลงเขาจนถึงกึ่งกลางแนวยิงเอาไว้
ส่วนศัตรูนั้นคือปีศาจแมงมุมขนาดเล็กที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
พวกมันคลานออกมาจากเสาหินที่เปิดออก ก่อนจะวิ่งฝ่าห่ากระสุนเข้ามา — ปีศาจแมงมุมชนิดนี้สูงแค่ครึ่งตัวคนเท่านั้น รูปร่างของมันเหมือนกับปีศาจแมงมุมเกราะที่เคยเจอตรงอ่าวนอร์ทเธิร์นโมสต์ ส่วนหัวกับขาหน้าของมันมีแผ่นหินสีดำหนๆ ป้องกันเอาไว้อยู่ ต่อให้ถูกกระสุนยิงเข้าไปจังๆ นัดสองนัดก็ไม่เป็นอะไร การเคลื่อนไหวของมันยังคงดูคล่องแคล่วอยู่
นอกจากนี้มันยังสามารถพ่นเข็มหินออกมาโจมตีระยะไกลได้เหมือนกับปีศาจแมงมุมธรรมดา เพียงแต่ก่อนที่มันจะยิง มันจำเป็นต้องเปิดเกราะส่วนหัวออก นี่ทำให้เหล่าทหารมีโอกาสในการโจมตีมันเหมือนกัน
แคทคลอว์มารวมตัวกับหน่วยปืนกลและร่วมกันยิงสกัดปีศาจแมงมุมเอาไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในเสาหินมีสัตวประหลาดแบบนี้ซ่อนตัวอยู่กี่ตัว แต่เส้นทางลงเขาเส้นนี้คือทางออกเพียงหนึ่งเดียวในแผนการ เพื่อนทหารคนอื่นที่ยังเคลื่อนไหวได้จะต้องมารวมตัวกันที่นี่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บหรือรอให้กองหนุนมาช่วยก็ล้วนแต่จำเป็นต้องรักษาเส้นทางนี้เอาไว้
“ระวังลำกล้องปืนของพวกเจ้า อย่าเหนี่ยวไกปืนค้างเอาไว้!”
“กระสุน ตรงนี้ต้องการกระสุน!”
“กระสุนระเบิดต่อต้านปืนใหญ่ระวัง — ยิงได้!”
เสียงตะโกนและเสียงปืนกลดังสลับขึ้นมารอบบริเวณ บนแนวรบมีปีศาจแมงมุมอยู่หลายตัวที่หยุดเคลื่อนไหว
แคทคลอว์กราดยิงจนกระสุนหมดคลิปก่อนจะเปลี่ยนกระสุนคลิปใหม่ เขาสังเกตเห็นว่าถึงแม้อสูรยักษ์แมงมุมกลุ่มนี้จะทนกระสุนมากกว่าปีศาจคุ้มคลั่ง แต่พวกมันก็ยังบุกเข้ามาได้อย่างยากลำบากเมื่ออยู่ต่อหน้าห่ากระสุนที่กระหน่ำยิงเข้าไป เกราะหินสีดำบนร่างกายของมันไม่สามารถทนต่อกระสุนที่ยิงเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่ามกลางพายุกระสุนนี้ เกราะของมันเกิดการร้าวและปริแตกออกอย่างรวดเร็ว ถ้ายิงนัดหนึ่งไม่พอ อย่างนั้นก็ยิงสิบนัด ร้อยนัก สำหรับทีมโจมตีที่เตรียมอาวุธและกระสุนมาพร้อม นี่ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้นการกระหน่ำยิงเข้าไปเหมือนพายุยังเป็นการสกัดความสามารถในการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายได้อย่างดี การป้องกันหลักๆ ของปีศาจแมงมุมขนาดเล็กนั้นอยู่ที่ส่วนหัวและขาหน้าของร่างกาย เวลาที่วิ่งเร็วๆ จะทำให้ร่างกายในส่วนที่ไม่มีเกราะป้องกันเปิดเผยออกมา ด้วยเหตุนี้เวลาที่พวกมันเจอกับม่านกระสุน พวกมันจึงได้แต่ต้องค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า และนี่ก็ทำให้กระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจได้มีโอกาสยิง
หลังรู้ถึงลักษณะเด่นและหลักการเคลื่อนไหวของศัตรูแล้ว การใช้ปืนกลยิงสกัดกาเคลื่อนไหวของศัตรูเอาไว้ แล้วค่อยใช้กระสุนระเบิดสังหารมันจึงกลายเป็นวิธีการสู้รบที่ช่วยประหยัดแรงและกระสุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของปีศาจแมงมุมพวกนี้นั้นอยู่ที่ด้านหลังของพวกมัน
พวกเขาเห็นหญิงสาวผมสั้นสีทองคนหนึ่งพุ่งลงมาจากบนฟ้าแล้วโฉบผ่านหัวของศัตรูไปเหมือนวิญญาณ สองมือของเธอถือปืนกระหน่ำยิงไปที่ปีศาจแมงมุม น่าจะเพื่อทำให้ตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ปีศาจแมงมุมที่อยู่ด้านหลังจึงแทบจะไม่ได้ทำการป้องกันเลย ต่อให้เป็นกระสุนปืนพกก็สามารถฉีกเนื้อของมันได้สบายๆ ไม่ต่างอะไรกับปีศาจคลุ้มคลั่ง ร่างกายและเส้นประสาทของพวกมันถูกยิงจนเละเหมือนแป้งเปียกเหนียวๆ
ทุกครั้งที่เธอลงมือ ในแนวป้องกันจะมีเสียงเฮแสดงความดีใจดังระเบิดขึ้นมา
ทุกคนคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วแบบนี้เป็นอย่างดี
นี่คือคุณหนูไลต์นิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจ!
……………………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น