Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1390-1391
ตอนที่ 1390 วิธีที่ถูกต้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนจดหมายนั้นคือภาษาของเผ่าพันธุ์มันอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่าดูแล้วค่อนข้างแปลกอย่างมาก เหมือนจงใจเขียนลอกตามออกมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถ้าอ่านให้ละเอียดเข้าไปอีกก็จะพบความพิเศษของมัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างภาษาหรือการเลือกใช้คำ มันก็ล้วนแต่มีสไตล์ของภาษาโบราณอยู่อย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่ภาษาที่เผ่าพันธุ์มันใช้อยู่ในตอนนี้
เฮคซอดเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หลังครุ่นคิดอยู่อยู่ ความรู้สึกตกใจและขนลุกก็ทะลักออกมาจากในหัวใจของมัน!
“จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาจากไหน?” สกายลอร์ดคว้าตัวมาร์เวนมาตะคอกเสียงดัง อารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้มันลืมรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้ามนุษย์
มาร์เวนตกใจจนตัวแข็งไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมาว่า “นะ นายท่าน ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…ตอนนี้คนที่ส่งจดหมายก็อยู่บนปาฏิหาริย์นี่ ข้า..ข้าไปเรียกเขามาให้พบท่านดีไหมขอรับ..”
“รีบไป!” เฮคซอดตะคอกใส่เขาจนหน้าแทบจะชิดกัน
ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น มาร์เวนก็รีบวิ่งเข้าไปยังเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทันที แม้แต่น้ำลายที่เปื้อนอยู่บนหน้าก็ไม่กล้าที่จะเช็ดออก
บ้าเอ้ย!
เฮคซอดรู้ว่าการที่ตัวเองทำเช่นนี้มันเสียมารยาท แต่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้จริงๆ
นี่มันรูปแบบการเขียนของวัลคีรีย์ชัดๆ!
ถึงแม้ลายมือของคนที่คัดลอกมาจะค่อนข้างแย่จนตอนแรกมันมองไม่ออกมาว่าเจ้าของจดหมายคือใคร แต่พอได้อ่านดูอีกซักสองสามรอบ มันก็มั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิด มันคือรูปแบบประโยคที่เหล่าผู้ตื่นรู้ของเผ่าพันธุ์ใช้เมื่อพันกว่าปีก่อน ขณะเดียวกันยังมีกลิ่นอายของภาษามนุษย์ด้วย
ผู้ยกระดับระดับสูงที่สามารถมีชีวิตรอดตั้งแต่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจนมาถึงตอนนี้ได้นั้นมีจำนวนน้อยจนแทบจะนับนิ้วมือได้ แต่ปีศาจที่สามารถหลอมรวมภาษาของตัวเองเข้ากับท่วงทำนองภาษาของมนุษย์ได้นั้น นอกจากทรานฟอร์มเมอร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักซีคลาวด์มาเป็นเวลานาน มันก็ไม่มีทางเป็นใครได้อื่นนอกจากวัลคีรีย์
วัลคีรีย์…ยังรักษาจิตสำนึกของตัวเองเอาไว้ได้อยู่เหรอ?
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
มันอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว!
ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก อย่างนั้นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือเนื้อหาในจดหมาย
สงครามแห่งโชคชะตาคือเรื่องหลอกลวงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ?
โลกแห่งจิตสำนึกอยู่ที่บอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ตรงปลายสุดของสันหลังของทวีป?
พระผู้สร้างไม่ปลอดภัย?
แค่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยข่าวสารที่สำคัญยิ่งจนทำให้เฮคซอดรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ความสงสัยจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในหัวสมอง แต่กลับไม่มีคำถามไหนที่มันสามารถตอบได้เลย
วัลคีรีย์รักษาจิตสำนึกตัวเองเอาไว้ในทะเลพลังเวทมนตร์ที่เชี่ยวกรากนั้นได้อย่างไร?
มันส่งข้อความนี้ออกมาได้อย่างไร?
จดหมายฉบับนี้เขียนออกมาจากความต้องการของวัลคีรีย์จริงๆ งั้นเหรอ?
ตัวเองควรจะรายงานจักรพรรดิหรือไม่?
“ท่านสกายลอร์ด…คนที่ท่านต้องการ ข้าพามาแล้วขอรับ…” ในขณะที่เฮคซอดกำลังยืนงง ข้างกายของมันพลันมีเสียงพูดอย่างระมัดระวังของมาร์เวนดังขึ้นมา
มันหมุนตัวไปมองดูทั้งสองคนด้วยสายตาเยือกเย็น “ข้าอยากจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้ เล่าทุกอย่างที่เจ้ารู้มาให้ข้าฟัง”
หลังจากนั้นสิบห้านาที
หลังเฮคซอดได้ฟังทุกอย่างอย่างละเอียดก็พบว่าอาจจะสืบหาแหล่งที่มาของจดหมายฉบับนี้จากพวกมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย — จดหมายที่มีความลับที่น่าตกตะลึงนี้มีผู้อพยพคนหนึ่งส่งมาให้ขุนนาง ส่วนผู้อพยพคนนั้นก็รับหน้าที่เป็นคนส่งจดหมายนี้เพื่อเงินแค่ไม่กี่เหรียญทอง พวกเขาไม่ได้สนใจเลยว่าเนื้อหาในจดหมายนี้มันคืออะไร ต่อให้ถามต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์
ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่ามันจริงหรือหลอก แต่การใช้วิธีการมักง่ายแบบนี้มาส่งจดหมายที่มีความสำคัญฉบับนี้ มันควรจะบอกว่าอีกฝ่ายใจกล้าจนน่าตกใจหรือว่าวัลคีรีย์ใช้คนผิดกันแน่?
“ที่นี่หมดเรื่องของเจ้าแล้ว” เฮคซอดโบกมือ “เรื่องจดหมายนี้ห้ามเอาไปบอกให้คนอื่นรู้ ต่อไปถ้ามีจดหมายแบบนี้มาอีกต้องเอามาส่งให้ข้าทันที เข้าใจไหม?”
“ขอรับๆ พวกเราจะทำตามที่ท่านสั่งขอรับ!” ขุนนางทั้งสองคนรีบทำความเคารพเพื่อแสดงออกว่าตัวเองจะไม่ทำให้ผิดหวัง
หลังไล่มนุษย์ออกไปแล้ว สกายลอร์ดก็มองไปทางเหนือพร้อมครุ่นคิด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้มันกลับพบว่าตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างน่าประหลาด
ความรู้สึกกดดันอันหนักอึ้งที่กดทับอยู่บนไหล่ของมันนับตั้งแต่วันที่ไนท์แมร์ลอร์ดหายตัวไปพลันรู้สึกลดน้อยลงไปไม่น้อย
น่าจะเป็นเพราะทุกคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีอิทธิพลให้เผ่าพันธุ์มากแค่ไหนล่ะมั้ง…
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือสิ่งที่คิดอยู่ในใจ เฮคซอดค่อนข้างเชื่อว่านี่เป็นจดหมายที่วัลคีรีย์เขียนขึ้นมา สไตล์ของแต่ละคนนั้นยากที่จะเลียนแบบได้ ต่อให้มนุษย์รู้ภาษาของเผ่าพันธุ์มัน แต่มันเขาก็ไม่มีทางปลอมจดหมายแบบนี้ขึ้นมาได้ ส่วนเรื่องที่ทำไมไนท์แมร์ไม่มาส่งจดหมายฉบับนี้ด้วยตัวเอง คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือมันยังถูกขังอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก จึงได้แต่ต้องให้มนุษย์ส่งข่าวนี้มาให้
ส่วนเหตุผลที่ทำไมถึงเลือกมนุษย์นั้นก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ที่มันเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแล้วยังไม่กลับมาก็เป็นเพราะมันต้องการจะไขความลับเรื่องการสืบทอดของมนุษย์ เป้าหมายในการไล่ตามคือชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ เมื่อคิดถึงว่าในกลุ่มแม่มดอาจจะมีคนที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้ เบาะแสนี้มันก็ดูมีเหตุมีผลขึ้นมาทีเดียว
เฮคซอดยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดาไม่ผิด
แต่ว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ…วัลคีรีย์พูดกล่อมแม่มดให้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ หรือว่าเธอถูกศัตรูบังคับให้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมากันแน่?
บอกตามตรง มันไม่เชื่อว่าไนท์แมร์จะถูกมนุษย์บังคับได้
แต่ในโลกแห่งจิตสำนึกนั้นไม่เหมือนกัน
หากล่องลอยอยู่บนทะเลพลังเวทมนตร์ แล้วก็ถูกรุกรานจากจิตสำนึกอื่นอยู่ตลอดเวลา การที่จะรักษาสติให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก หากมันถูกฉวยโอกาสเล่นงานในเวลาแบบนี้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ได้
ความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนั้นเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก
หากแต่เป็นอย่างหลัง เช่นนั้นอย่างมากมันก็เป็นแค่กับดักเท่านั้น
แต่ถ้าหากเป็นอย่างแรก อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเผ่าพันธุ์ของมันเดินมาผิดทางหรอกเหรอ?
และคนที่ชี้นำทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์มัน…
ดังนั้นไนท์แมร์จึงได้เลือกที่จะส่งจดหมายนี้ให้ตนแทนที่จะส่งให้คนที่สร้างพระผู้สร้างขึ้นมา?
เฮคซอดรู้สึกขนลุกขึ้นมา มันฝืนสั่งให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องนี้ต่อไป
สกายลอร์ดเปิดประตูมิติขึ้นมาแล้วก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้า
เทือกเขาสิ้นวิถีที่เป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติของมนุษย์เป็นเหมือนเส้นสีเทาที่คดเคี้ยวไปมาปรากฏอยู่ตรงชายขอบของแผ่นดิน
อย่างมากอีกหนึ่งสัปดาห์ สงครามครั้งใหม่จะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง
พระผู้สร้างที่อยู่ใต้เท้าเป็นเหมือนป้อมปืนใหญ่ขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้สถานการณ์ที่ฝนเพลิงและกระบองเพลิงไม่สามารถทำอะไรได้ มันยากที่จะจินตนการได้ว่ามนุษย์จะต้านทานการรุกคืบของเผ่าพันธุ์มันได้อย่างไร
เดิมนี่เป็นศึกที่พวกมันต้องชนะอย่างแน่นอน
แต่วัลคีรีย์กลับคิดว่าพระผู้สร้างไม่ปลอดภัย…
ถ้าบอกว่าคำเตือนเรื่องสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องหลอกลวง อีกทั้งต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพิสูจน์ได้ อย่างนั้นคำเตือนเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างมาก
มันไม่อยากจะเชื่อว่าศัตรูจะสามารถเล่นงานวัตถุเวทมนตร์ขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้ แต่เมื่อมานึกย้อนดูดีๆ ความพ่ายแพ้ที่ผ่านมาก็ล้วนแต่ตั้งอยู่บนคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นคำเตือนนี้ยังมาจากไนท์แมร์ลอร์ดด้วย
ต่อให้จดหมายฉบับนี้เป็นกับดัก มันก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร เพราะตอนนี้แนวหน้ามีทั้งพระผู้สร้างและไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ มันแค่ดูแลเรื่องการสนับสนุนด้านหลังให้ดีก็พอ
ด้านหนึ่งไม่มีความเสี่ยง อีกด้านมีอันตรายแอบแฝงอยู่ จะเลือกอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่
แต่เฮคซอดกลับคิดไปมากกว่านั้น
มันหันหน้ามองไปทางทิศเหนือ
จากคำพูดในจดหมายบอกว่า ‘โลกแห่งจิตสำนึก’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของสรรพสิ่งและเป็นแหล่งกำเนิดเวทมนตร์อยู่ตรงปลายสุดของขอบฟ้า
ขอเพียงหาบอทธ่อมเลทแลนด์เจอ มันก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นเป็นจริงหรือปลอม
สันหลังของทวีปก็คือเส้นทางขนส่งที่สำคัญที่สุดในแผนการโจมตีมนุษย์ในตอนนี้ ดังนั้นมันจะไปปรากฏตัวอยู่ตรงไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
และในตอนที่ไปค้นหาบอทธ่อมเลสแลนด์ มันก็ไม่มีทางได้รับผลกระทบอะไรจากพระผู้สร้าง
ต่อให้จักรพรรดิถามมันในภายหลัง มันก็มีข้ออ้างที่จะแก้ตัวได้
บางที นี่อาจจะเป็นวิธีที่ถูกต้องก็ได้
ตอนที่ 1391 โจมตีปาฏิหาริย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ศูนย์บัญชาการเคจเมาเธ่น อาณาจักรดอว์น
ภายในห้องประชุมมีการตั้งแผนที่กลยุทธ์ขึ้นมาตรงกลางห้องประชุมเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิถีการเคลื่อนที่ของ ‘แผ่นดินลอยฟ้า’ ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่จากทีมที่ปรึกษาและหน่วยข่าวกรองมาเปลี่ยนข้อมูลใหม่ และนี่ก็เป็นข้อมูลที่กองทัพที่หนึ่งให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้
เส้นสีแดงใหญ่ๆ บนแผนที่แสดงให้เห็นว่าแผ่นดินอยฟ้านี้ไม่ได้ลอยเลียดสันหลังแห่งทวีปลงมาทางใต้แล้วจตรงเข้ามาในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ หากแต่เปลี่ยนทิศทางกลางวันเข้าไปในที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ระดับความสูงของมันลดลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มันอยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงหนึ่งพันเมตรแล้ว
เมื่อดูจากวิถีการบินของมัแล้ว หลังจากนี้อีกสี่วันมันจะลอยข้ามเทือกเขาสิ้นวิถีแล้วเข้ามาในดินแดนวูล์ฟฮาร์ท
เนื่องจากเป้าหมายใหญ่เกินไป ตอนนี้ขอเพียงยืนอยู่บนยอดเขาแล้วส่องกล้องส่องทางไกลออกไปก็จะมองเห็นเงาสีเทาลางๆ นี้ได้ มันเป็นเหมือนเมฆก้อนใหญ่ที่แต่งเติมไปบนท้องฟ้าหลังจากเพิ่งจบเดือนแห่งปีศาจได้
การประชุมเพื่อรับมือกับ ‘พระผู้สร้าง’ ของปีศาจก็ได้ถูกจัดขึ้นมา
ถึงแม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงจะเห็นพ้องต้องกันว่าด้วยพลังของกองทัพที่หนึ่ที่มีอยู่ในตอนนี้นั้นแทบจะไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของแผ่นดินลอยฟ้าได้เลย แต่ถ้าจะให้วิ่งหนีทันทีที่เห็นมันก็ไม่ใช่สไตล์ของกองทัพที่หนึ่งเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องสังเกตดูพลังของมันและลองพยายามโจมตีมัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีข้อมูลไม่เจอ การประมือนั้นคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจอีกฝ่าย
ก่อนที่ิวิธีการแก้ปัญหาของฝ่าบาทจะมาถึง การพยายามเตรียมพร้อมรับมือกับมันให้มากที่สุดคือภารกิจที่สำคัญที่สุดของกองทัพที่หนึ่งในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูก็มอบโอกาสนี้ให้กับพวกเขาพอดีเลย
“จากข้อมูลที่ได้มาใหม่แสดงให้เห็นว่าระดับความสูงของป้อมปราการของปีศาจลดลงมามากกว่า 2,000 เมตรแล้ว ระดับความสูงนี้ถือว่าสูงได้ประมาณครึ่งหนึ่งของสันหลังแแห่งทวีป” เอดิธส์ “เมื่อเทียบกับระดับความสูงในการบินก่อนหน้านี้แล้ว ระดับความสูงที่ลดลงนี้ถือว่ามีความผิดปกติอยู่ ข้อสรุปจากการวิเคราะห์ของทีมที่ปรึกษาคือการจะทำให้ป้อมปราการลอยอยู่ได้นั้นจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ แถมยังมีความสัมพันธ์กับระดับความสูงโดยตรงด้วย และระดับความสูงตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นตรงตำแหน่งที่มันลอยอยู่ในตอนนั้น มันถึงได้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้น”
ถึงแม้ในข้อมูลที่ฝ่าบาททรงให้มาจะบอกว่าปีศาจเรียกแผ่นดินที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้านี้ว่าพระผู้สร้าง แต่เอดิธส์กลับชอบเรียกมันว่าป้อมปรากการกับปราสาทเคลื่อนที่มากกว่า อย่างน้อยในตอนที่วางกลยุทธ์ก็ไม่ควรจะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังสู้อยู่กับพระเจ้า
นายทหารระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งล้วนแต่จบการศึกษาระดับกลาง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจสมมติฐานของทีมที่ปรึกษา
“พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่ลอยข้ามเทือกเขาสิ้นวิถีมา เจ้าสิ่งนี้มันจะลอยขึ้นไปอีกครั้ง?” ไบรอันถาม
“ถ้าพวกเราเดาไม่ผิดล่ะก็นะ” เอดิธส์ยักไหล่
“เหตุผลไม่สำคัญ” ขวานเหล็กพูด “สิ่งสำคัญคือตอนนี้มันอยู่ห่างจากเทือกเขาสิ้นวิถีเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น แวนนา สถานการณ์ทางนั้นของเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
“ทีมคำนวณทำการยืนยันแล้วขอรับ” แวนนาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าแผนที่ “จากเมธัลสโตนจนมาถึงเคจเมาเธ่นมีตำแหน่งอยู่สอตำแหน่งที่เหมาะจะยิงปืนใหญ่ ขอเพียงเจ้าสิ่งนี้มันไม่เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน พวกเราก็จะสามารถยิงกระสุนปืนใหญ่ขึ้นไปด้านบนได้ ยิ่งเมื่อมีปืนใหญ่รุ่นใหม่ เราต้องยิงถูกเมืองของปีศาจแน่นอนขอรับ”
ในช่วงเวลาสงครามที่มีการแทนที่ของอาวุธอย่างรวดเร็ว ปืนใหญ่ป้อม 152 มม.เองก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนเหมือนกัน อย่างเช่นเปลี่ยนแปลงตัวปืนให้สะดวกในการผลิตเป็นจำนวนมากและเหมาะที่จะใช้ลากไปรถมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของมันก็คือการขยายขนาดรังเพลิงและกระสุนแยกบรรจุชนิดใหม่
นับตั้งแต่ที่เปลี่ยนจากที่ให้อันนาเป็นคนรับผิดชอบในการแปรรูปปืนใหญ่ในขั้นตอนสุดท้ายเป็นการผลิตโดยโรงงานทั้งหมด คุณภาพโดยรวมของปืนใหญ่ก็ลดลง โดยคุณภาพที่ลดลงนั้นแสดงให้เห็นในเรื่องของความแม่นยำและความทนทานของปืนใหญ่ แต่ปืนใหญ่รุ่นใหม่ที่สามารถบรรจุดินปืนได้มากขึ้นและมีดินปืนที่ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้สามารถยิงออกไปได้ไกลมากกว่า 18 กิโลเมตรซึ่งมากกว่าเดิมอีกเท่าหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณการผลิตหลังจากที่ทำการผลิตโดยไม่ต้องพึ่้งพาแม่ก็เพิ่มขึ้นด้วย ตอนนี้ต่อให้ปืนใหญ่เสียหายไปซัก 2 – 3 บอกก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งตีอกชกลมอีกต่อไปแล้ว
“ข้าคิดว่าเป็นไปได้มากที่ีปีศาจมันจะบุกมาที่วูล์ฟฮาร์ท ถึงแม้แผ่นดินลอยฟ้าจะสามารถผลิตหมอกแดงได้ แต่ทันทีที่มันเคลื่อนที่ หมอกแดงก็จะสลายไป ด้วยเหตุนี้ถ้าศัตรูคิดอยากจะยึดครองพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจริงๆ พวกมันก็จะต้องสร้างหอเก็บหมอกแดงขึ้นมาอย่างแน่นอน” ขวานเหล็กนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “ครั้งนี้เมื่อมีการสนับสนุนของเสาโอเบลิสเคลื่อนไป แผนการสร้างหอเก็บหมอกแดงของมันก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรอีก อีเทอร์นอลวินเทอร์และวูล์ฟฮาร์ทก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียว ด้วยเหตุนี้โอกาสที่เราจะหยุดยั้งศัตรูก่อนที่มันจะทำการกำหนดเส้นทางได้สำเร็จจึงมีค่อนข้างสูง มีเพียงสิ่งเดียวที่เราต้องคุยกันก็คือผลลัพธ์ที่ออกมา
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่เหมือนกับการโจมตีอสูรยักษ์ป้อมปราการก่อนหน้านี้ เป้าหมายก่อนหน้านี้มีความชัดเจน นั้นคือกำจัดอสูรยักษ์ให้ได้ก่อนที่ศัตรูจะรู้ตัว ขอเพียงกระหน่ำยิงเข้าไป ยังไงก็ต้องสร้างความเสียหายให้กับมันได้อย่างแน่นอน แต่ผลจากการกระหน่ำไปที่แผ่นดินลอยฟ้านั้นสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ถึงแม้จะยิงถูกเมืองของปีศาจ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นคงจะไม่มากเท่าไรอย่างแน่นอน ส่วนปืนใหญ่ที่มีอสูรสยองคอยรบกวน ระยะยิง 18 กิโลเมตรก็ไม่ถือว่าเป็นระยะที่ปลอดภัย เมื่อคำนึงถึงว่าใจกลางของแผ่นดินลอยฟ้าอยู่ค่อนข้างห่างจากขอบของแผ่นดิน ดังนั้นการจะยิงให้ถูกกึ่งกลางนั้นก็หมายความว่าทีมโจมตีจะต้องเข้าไปให้ใกล้มากขึ้น
“ข้าคิดว่ามันคุ้มที่จะลองดูขอรับ ท่านผบ.” แวนนาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมา “หลังจากแผ่นดินลอยฟ้าเข้ามาในวูล์ฟฮาร์ท ก็จะมีแต่อัศวินอากาศเท่านั้นที่สามารถสู้กับศัตรูแบบตรงๆ ด้วย ส่วนกองทัพที่หนึ่งก็จะกลายเป็นตัวประกอบ ดังนั้นนี่จึงเรียกว่าเป็นโอกาสลงมือเพียงหนึ่งเดียวของกองพันปืนใหญ่ ต่อให้พวกเราสร้างความเสียหายได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยเราก็ยังแสดงออกให้พวกปีศาจเห็นว่ามนุษย์ไม่มีทางหวาดกลัวต่อปาฏิหาริย์ของพวกมัน!”
ขวานเหล็กหันไปมองเอดิธส์ “เจ้าคิดว่าไง?”
เอดิธส์นิ่งเงียบไปค่อนข้างนาน หลังผ่านไปหลายนาทีเธอจึงพยักหน้าออกมา “ข้าไม่มีความเห็น”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” ขวานเหล็กสูดหายใจ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับนายทหารระดับสูง “เริ่มหารือเรื่องแผนโจมตีตามที่เราคุยกันได้ เวลาเหลือไม่มากแล้ว ข้าอยากจะเห็นข้อสรุปโดยเร็ว”
“รับทราบ!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
ผลการหารือถูกรายงานออกมาอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งสองตำแหน่งที่เหมาะจะเป็นจุดยิงถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวยิงปืนใหญ่ เพียงแต่จุดหนึ่งเป็นจุดยิงจริง อีกจุดหนึ่งเป็นจุดยิงปลอม โดยจุดยิงปลอมจะวางไว้ใกล้กับเส้นทางที่แผ่นดินลอยฟ้าจะเคลื่อนเข้ามาเพื่อทำให้ศัตรูเกิดความสับสน ส่วนแนวยิงปืนใหญ่ของจริงจะอยู่ที่เทือกเขาเฮอร์มีส โดยมีฮัมมิงเบิร์ดเป็นคนรับผิดชอบขนปืนใหญ่ไป เวลาถอยออกมาก็ให้ทำลายปืนใหญ่ทิ้ง เพื่อไม่ให้ศัตรูเก็บอาวุธกลับไปได้
นอกจากกองทัพที่หนึ่งแล้ว อัศวินอากาศกับทีมแม่มดอาญาสิทธิ์จะรับผิดชอบภารกิจช่วยเหลือและคุ้มกัน
เมื่อมีแการวางเป้าหมาย หลังจากนี้ก็จะเป็นขั้นตอนการปรับแผนการให้ดีขึ้นและลงมือปฏิบัติจริง สำหรับกระบวนการนี้ ทางกองทัพค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไรมาก ทุกๆ ฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าตัวเองต้องทำอะไร
เมื่อกลับมาที่ห้องทำงานของทีมที่ปรึกษา เฟร์รานอดถามเอดิธส์ขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านเอดิธส์ ในการประชุมเมื่อครู่นี้….มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าขอรับ?”
เอดิธส์หยุดฝีเท้า “ทำไมถามแบบนี้?”
“เพราะว่าท่านพูดน้อยกว่าทุกทีขอรับ…”
“อย่างนี้นี่เอง” เธอเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าคิดเรื่องๆ หนึ่งอยู่น่ะ ปีศาจเรียกแผ่นดินลอยฟ้าว่าพระผู้สร้าง เห็นได้ชัดว้่พวกมันฝากความหวังไว้กับเจ้าสิ่งนี้อย่างมาก แต่ดูจากตอนนี้แล้ว มันเป็นแค่เพียงแท่นสำหรับจ่ายหมอกแดงให้พวกปีศาจใช้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลย ดังนั้น….บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะแอบซ่อนอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้เอาไว้อยู่ก็ได้”
“แล้วทำไมท่านถึงไม่พูดขึ้นมาในที่ประชุมล่ะขอรับ?” เฟร์รานถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะนอกจากทำให้ไม่สบายใจแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรน่ะสิ ในเมื่อไม่รู้อะไรเลย อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถคิดแผนรับมือได้ ข้าไม่สามารถวางแผนโดยอาศัยแค่เพียงการคาดเดาได้ แต่ทีมโจมตีตอบพวกเราได้ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เฟร์รานพลันขนลุกขึ้นมา
น้ำเสียงของเอดิธส์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงราบเรียบเหมือนดั่งผิวน้ำ “ภารกิจที่สำคัญที่สุดของกองทัพในตอนนี้คือพยายามเตรียมพร้อมสำหรับกลยุทธ์การรบหลังจากนี้ให้มากที่สุด และการลองผิดลองถูกก็เป็นหนึ่งในการเตรียมตัวเหมือนกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น