Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1388-1389
ตอนที่ 1388 ขัดแย้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พระผู้สร้าง น่านฟ้าเหนือสันหลังของทวีป
สกายลอร์ดเดินลงมาด้านล่างหอคอย ก่อนจะก้าวอาดๆ เข้าไปในถ้ำใต้ดินที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่
ก่อนที่เมืองแห่งนี้จะกลายมาเป็นพระผู้สร้าง มันเคยเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงของแบล็คสโตน และมีประวัติศาสตร์มาเกือบพันปี มันเคยเข้ามาที่นี่หลายครั้ง โครงสร้างถ้ำที่สลับซับซ้อนไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับมันได้ สิ่งเดียวที่ทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดก็คือเดอะแมสก์ นาซเพล
“ท่านสกายลอร์ด นายของข้ากำลังทำการทดลองที่สำคัญอยู่ ไม่ทราบว่าท่านได้แจ้งนายท่านเอาไว้ก่อนหรือเปล่าขอรับ?” ตรงหน้าประตูลานทดลอง ร่างระดับต้นตัวหนึ่งมายืนขวางหน้าเฮคซอดเอาไว้ ในฐานะที่เป็นข้ารับใช้ของเดอะแมสด์ มันย่อมต้องเลือกทางเดินเดียวกับราชาที่ตัวเองรับใช้ หัวสองหัวถูกหินเวทมนตร์เชื่อมต่อเอาไว้ ดูแล้วทั้งแปลกประหลาดและน่าเกลียด
“ไสหัวไป!” เฮคซอดไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มันยกมือขึ้นมาเตรียมจะตบข้ารับใช้ให้กลิ้งลงไปกับพื้น
หากเป็นร่างระดับต้นสายต่อสู้ บางทีมันอาจจะมีการลังเลอยู่บ้าง แต่เดอะแมสก์ที่หมกมุ่นอยู่กับการเปลี่ยนสภาพร่างกาย หินเวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่หลอมรวมเข้ากับร่างกายของมันจึงไม่เหมาะกับการต่อสู้ ดังนั้นความสามารถของร่างระดับต้นที่ติดตามมันจะเป็นอย่างไรก็คงพอจะรู้ๆ กันอยู่
น่าจะเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงความโกรธของสกายลอร์ด ข้ารับใช้จึงหุบปากทันที
เฮคซอดผลักประตูบานใหญ่เข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปในลานทดลองโดยไม่หันหน้ากลับมามอง การที่มันไม่เปิดประตูมิติแล้วโผล่ไปอยู่หน้าเดอะแมสก์เลยก็ถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายมากแล้ว
ด้านหลังประตูคือถ้ำที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
ด้านบนเพดานถ้ำมีหินเรืองแสงถูกฝังเอาไว้ ดูแล้วเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ส่วนใต้เท้านั้นคือร่างชั้นต่ำที่เบียดเสียดยัดเยียดกัน จำนวนของพวกมันมีมากกว่าหินเวทมนตร์ ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะมีรูปร่างเหมือนหนอน และตอนนี้พวกมันถูกขังอยู่ในรั้วเหมือนสัตว์ ทนทุกข์ทรมานจากการถูกกระตุ้นซ้ำๆ ด้วยแกนพลังเวทมนตร์
เฮคซอดขมวดคิ้วขึ้นมา
ถึงแม้จะเป็นร่างชั้นต่ำ แต่พวกมันก็เป็นร่างชั้นต่ำที่ไร้ประโยชน์มากที่สุด เมื่อไม่มีแขนขาก็หมายความว่าไม่สามารถทำงานได้ สติปัญญาอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินทำให้แม้แต่จะฝึกให้เชื่องก็ยังไม่สามรถทำได้ แต่จากการค้นพบโดยบังเอิญในระหว่างทดลอง ทำให้พบว่าพวกมันมีเปอร์เซ็นต์ในการรวมร่างเข้ากับสิ่งมีชีวิตอื่นสูงที่สุด มันคือร่างปรสิตในอุดมคติ
แต่แน่นอน ไม่ใช่ว่าร่างชั้นต่ำพวกนี้จะมีชีวิตอยู่ตรงกระทั่งสงเสียงสะท้อนตอบรับกับหินอาญาสิทธิ์ที่เติบโตขึ้นมาได้ พวกที่ตายไปจะกลายเป็นปุ๋ยให้กับร่างชั้นต่ำกลุ่มต่ำไป ส่วนพวกที่สามารถปรับตัวได้สำเร็จก็จะกลายเป็นอาวุธ
สกายลอร์ดย่อมไม่มีทางเห็นใจพวกชั้นต่ำที่ไม่สามารถแม้กระทั่งสื่อสารได้พวกนี้ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนี้ที่พวกมันไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้ อย่างน้อยในตอนนี้พวกมันก็สามารถกลายเป็นกำลังให้กับเผ่าพันธุ์ได้ สิ่งที่มันรู้สึกไม่พอใจก็คือรสนิยมแปลกๆ ของเดอะแมสก์
เห็นๆ อยู่ว่ากระบวนการแปลงสภาพสามารถทำในถ้ำที่ปิดได้ แต่อีกฝ่ายกลับจงใจทำมันในที่ๆ สะดุดตา สะพานสูงใหญ่สี่สะพานจากทั้งสี่ด้านทอดผ่านด้านบนร่างชั้นต่ำจำนวนนับหมื่นพวกนี้ ก่อนจะเชื่อมต่อกับเสาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางถ้ำ ทุกครั้งที่ต้องเข้าไปในกลางลานทดลอง ก็จะถูกบังคับให้ต้อง ‘ชื่นชม’ ผลงานที่อีกฝ่ายภาคภูมิใจพวกนี้
ร่างที่คืบคลานกลิ้งไปกลิ้งมาของพวกชั้นต่ำ เสียงร้อยโหยหวนจากความเจ็บปวด กลิ่นที่แสบจมูกของปฏิกูล และกองชิ้นส่วนที่เหม็นเน่าของผลงานการทดลองที่ล้มเหลว ทำให้ทั่วทั้งถ้ำเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าสะอิดสะเอียน คนปกติทั่วไปไม่มีใครชื่นชอบสถานที่แบบนี้แน่นอน แต่เดอะแมสก์กลับเอาห้องทดลองมาตั้งไว้บนเสาหิน เฮคซอดถึงขนาดสงสัยว่าสมองของมันเกิดความเสียหายระหว่างที่ทำการวมร่างกับหินเวทมนตร์หรือเปล่า มันถึงได้ยิ่งดูเลอะเทอะขึ้นทุกวัน
เมื่อเดิมข้ามสะพานมา มันจึงมองเห็นนาซเพลอยู่ในห้องแปลงสภาพชั้นบน
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สกายลอร์ดพลันรู้สึกได้ถึงไฟแห่งความโกรธที่ปะทุขึ้นมา มันเห็นเดอะแมสก์กำลังเดินไปรอบๆ ซากนกเหล็กที่ลูกน้องของมันลากกลับมา รอบๆ มีขุนนางมนุษย์ที่ไม่รู้เป็นหรือตายนอนอยู่หลายคน ขุนนางคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกอีกฝ่ายคว้าจับเอาไว้ในมือ สีหน้าดูหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด บนกางเกงมีรอยเปียกซึมอย่างชัดเจน
“นาซเพล!” มันส่งเสียงคำราม “ใครอนุญาตให้เจ้าลงมือกับคนที่ข้ามาพา? ต่อให้เจ้าอยากจะทำการทดลอง เจ้าก็ควรจะได้รับอนุญาตจากข้าก่อนถึงจะถูก!”
ไม่แปลกที่มันจะโกรธเช่นนี้ มันลำบากแทบตายกว่าจะเคลื่อนย้ายมนุษย์ไปที่รอยแตก จากนั้นจึงส่งพวกเขาขึ้นมาที่พระผู้สร้าง เพื่อเป็นการตัดกำลังของพวกเกรย์คาสเซิล แล้วก็ยังเป็นการเพิ่มแรงงานภายในเมืองด้วย เรียกได้ว่าแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่พามนุษย์มนุษย์กลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนพระผู้สร้าง ขุนนางจากอีเทอร์นอลวินเทอร์คนหนึ่งพลันวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา บอกว่าเพื่อนขุนนางหลายคนถูกทหารยามลากตัวไป จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
นี่คือการทำลายระเบียบที่มันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่ทำให้เฮคซอดรู้สึกไม่พอใจมากที่สุดก็คือแทนที่จะจำเอาชาวบ้านธรรมดามาทำการทดลอง อีกฝ่ายกลับเลือกจับมาแต่ขุนนาง — ขุนนางนั้นคือหัวใจสำคัญในการควบคุมชาวเมืองระดับล่าง ถ้าไม่มีขุนนางคอยเป็นตัวแทนแล้วล่ะก็ อาศัยมันเพียงตัวเองคิดอย่างจะออกคำสั่งมนุษย์จำนวนหลายหมื่นคนนี้ มันจะต้องเสียแรงและเสียเวลาเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างแน่นอน
“ท่านเฮคซอด…ช่วยข้าด้วย!” ขุนนางที่ยังมีชีวิตอยู่ร่ำไห้ขอร้องเขา
“หืม…ที่แท้ก็ท่านสกายลอร์ดนี่เอง” เดอะแมสก์หันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดอย่างไม่แยแสว่า “ข้าต้องขอบอกก่อนว่านี่เป็นการเข้าใจผิดกัน จริงอยู่ที่ข้าชื่นชอบความยอดเยี่ยมของการรวมร่าง แต่นั่นไม่ได้รวมถึงพวกแมลง ส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกมัน ข้าได้มาตั้งแต่เมื่อ 600 ปีก่อนแล้ว”
อีกฝ่ายถอดหน้ากากอันหนึ่งที่อยู่บนหัวออกมา ก่อนจะเผยให้เห็นโครงหน้าที่เหมือนกับมนุษย์ผู้หญิงอยู่ภายใต้หน้ากาก นั่นมันจะเป็นใบหน้าของแม่มดซักคน แต่ว่าตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้ว
ซึ่งหน้ากากแบบนี้ยังมีอยู่อีก 10 กว่าอัน ถ้าหากถอดหน้ากากออกมาทั้งหมด นั่นจะต้องเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างมากแน่ จากที่นาซเพลเคยบอกมา สมองคือจิตวิญญาณของปัญญา มันสำคัญมากกว่าส่วนอื่นๆ ในร่างกาย ถ้ายิ่งมีสมองเยอะก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการครุ่นคิดที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยก็ควรจะมีสองหัว แบบนี้จะได้ครุ่นคิดปัญหาในเวลาที่พักผ่อนได้ เป็นการใช้ประเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่ในสายตาของเฮคซอด มีแต่สัตว์อสูรที่อัปลักษณ์และสัตวประหลาดอาณาจักรซีสกายเท่านั้นถึงจะมีหน้าตาแบบนั้น
ลำแสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หน้ากากในมือเดอะแมสก์แยกออกเป็นสองส่วนในพริบตา จากนั้นเส้นเลือดเส้นหนึ่งที่อยู่บนใบหน้ามนุษย์ตัวเมียก็ค่อยๆ แยกออก เลือดสีน้ำเงินเข้มไหลออกมาจากรอยแตก
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเฮคซอดจะลงมือ นาซเพลจึงตื่นตกใจทันที มันปล่อยขุนนางที่อยู่ในมือ ก่อนจะเอามือปิดใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บแล้วเดินถอยหลังไป 4 – 5 ก้าว “สกายลอร์ด นี่เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? ลงมือกับราชาเพราะแมลงเนี่ยนะ? อย่าลืมสิว่าข้าคือคนที่สร้างพระผู้สร้างขึ้นมานะ แล้วก็เป็นความหวังในการเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาของเผ่าพันธุ์ด้วย หรือว่าเจ้าคิดจะหักหลังจักรพรรดิ?”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่าย เฮคซอดยิ่งรู้สึกมีความสุข
หลังกลายเป็นแม่ทัพตะวันตก มันก็ต้องเจอกับเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งไนท์แมร์ที่จู่ๆ ก็หายตัวไป กองทัพของมันที่ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของมนุษย์เข้าไปได้ซักที แม้แต่ตอนนี้ที่มันพยายามอย่างหนักเพื่อชัยชนะของเผ่าพันธุ์ ก็ยังมาถูกเดอะแมสก์สร้างปัญหาลับหลังอีก นี่มันช่างน่าขันเสียจริงๆ!
นาซเพลไม่มีทางไม่รู้ว่ามันเป็นคนพามนุษย์เหล่านี้ขึ้นมายังพระผู้สร้าง การที่มันลงมือโดยไม่ขออนุญาตนั้นคือการดูหมิ่นอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าหลังสูญเสียอะไรหลายๆ อย่างติดต่อกัน ตอนนี้เฮคซอดโดนดูถูกแล้ว
ที่นี่ไม่ใช่หอเจ้าชีวิตของจักรพรรดิ เดอะแมสก์เองก็ไม่ใช่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ ถ้าไม่แสดงฝีมือให้อีกฝ่ายเห็นบ้าง เกรงว่ามันคงจะคิดว่าตัวเองนั้นจะรังแกได้ง่ายๆ
เอาแต่พูดอยู่นั่นแหละว่ามีหัวเยอะถึงจะได้เปรียบ
เมื่ออยู่ต่อหน้าความต่างชั้นกันของความแข็งแกร่ง ต่อให้มีหัวเยอะแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ มันต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สำนึกว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ทัพตะวันตก
“ถ้าเจ้าจงรักภักดีต่อจักรพรรดิจริงๆ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” เฮคซอดสลายพลังประตูมิติที่เหมือนคมมีด ก่อนจะพูดเสียงเยือกเย็นว่า “มนุษย์เหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้าเท่านั้น แต่พวกมันยังมีประโยชน์อย่างมากต่อเผ่าพันธุ์ด้วย หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในจุดนี้”
หลังจากราชาทั้งสองสบตากัน ก็เป็นเดอะแมสด์ที่เป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อก่อน “เป็นข้าที่สะเพร่าเอง…ครั้งหน้าข้าจะถามความเห็นจากเจ้าก่อน”
“อย่างนั้นก็ดี” เฮคซอดพยักหน้า มันเองก็ไม่คิดที่จะบีบอะไรอีกฝ่ายมากนัก เพราะว่าพระผู้สร้างต้องอาศัยผู้ยกระดับที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้แกนพลังเวทมนตร์มาเป็นคนบังคับ และส่วนใหญ่พวกมันก็ล้วนแต่เป็นลูกน้องของนาซเพล ขณะเดียวกันอีกฝ่ายยังเป็นผู้สร้างร่างซิมไบออนท์ที่ต้องใช้ในสงครามด้วย มันไม่อาจทำอะไรเดอะแมสก์จริงๆ ได้ ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิไม่มีทางปล่อยมันไปแน่
“นาย นายท่าน…ฮือ ได้เจอท่านช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ …” ขุนนางรีบคลานเข้ามากอดขาสกายลอร์ดเอาไว้
“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน” เฮคซอดกวาดตามองเขา ก่อนจะหันกลับไปถามเดอะแมสก์ว่า “ในเมื่อไม่ได้เอามาร่วมร่าง อย่างนั้นเจ้าพามนุษย์มาที่นี่ทำไม?”
เดอะแมสก์มุ่ยปากไปทางซากนกเหล็ก “ข้าแค่อยากจะถามพวกมันว่าแกนของเจ้าสิ่งนี้มันทำงานยังไงกันแน่”
เฮคซอดมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป ก่อนจะเห็นเครื่องจักรที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตเครื่องหนึ่งถูกวางเอาไว้หน้านกเหล็ก
ตอนที่ 1389 ความลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แกน?”
เฮคซอดเดินไปที่เครื่องจักร ก่อนจะก้มลงไปหยิบชิ้นส่วนโลหะที่ถูกถอดออกมาขึ้นมาดู มันพบว่าชิ้นส่วนโลหะเหล่านี้ดูมีความละเอียดมากกว่าจากที่เห็นจากภายนอก จากเปลือกที่ถูกขรุขระไปจนถึงโครงสร้างที่แอบซ่อนอยู่ด้านในนั้นไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจได้ด้วยการดูเพียงครั้งเดียว มันหยิบเอากระบอกโลหะแท่งหนึ่งขึ้นมา ด้านในนั้นมีชิ้นส่วนเล็กๆ อยู่นับร้อยชิ้น เมื่อเทียบกับปืนใหญ่แล้วถือว่ามีความซับซ้อนกว่ามาก “ความหมายของเจ้าคือ…”
“นกเหล็กบินได้เพราะมัน” เดอะแมสก์พูดอย่างมั่นใจ
“เดี๋ยวๆ เจ้าจะบอกว่าพลังขับเคลื่อนของเจ้าสิ่งที่บินเร็วกว่าอสูรโบเกิลมาจากกองเหล็กพวกนี้งั้นเหรอ?” เฮคซอดขมวดคิ้วขึ้นมา ในฐานะที่เป็นราชาที่เคยเผชิญหน้ากับนกเหล็ก มันย่อมต้องเคยเห็นนกเหล็กอย่างชัดเจน ที่เจ้าสิ่งนั้นบินได้ ไม่ได้เป็นเพราะการกระพือปีก หากแต่เป็นเพราะใบพัดที่อยู่ตรงส่วนหัวต่างหาก
ในอีกแง่หนึ่งมันดูคล้ายกับกังหันลม เพียงแต่กังหันลมนั้นถูกลมพัดให้ขยับ ทว่าเจ้าใบพัดนั่นกลับสร้างลมออกมา เพียงแต่ใบพัดนั้นรักษาการหมุนด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานานได้อย่างไรนั้น นี่เป็นคำตอบที่สกายลอร์ดยังไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าอาศัยแรงคนนั้นไม่มีทางที่จะทำได้เลย ด้วยเหตุนี้มันจึงคิดว่าอาจจะเป็นรูนเวทมนตร์ หรือไม่ก็ระบบหินเวทมนตร์อื่นที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมมนุษย์ตัวผู้ถึงขี่นันขึ้นไปบนท้องฟ้าได้โดยที่ไม่ต้องมีแม่มด
แต่ตอนนี้ เดอะแมสก์กลับบอกมันว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนนกเหล็กนั้นเป็นแค่วัตถุโลหะหนักๆ กองหนึ่งเท่านั้น?
“น่าเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ? ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ทันทีที่พูดถึงเรื่องที่ตัวเองสนใจ สีหน้าของนาซเพลก็เปลี่ยนไปทันที มันยื่นนิ้วอันเรียวยาวเข้าในล้วงๆ ในกระบอกเหล็ก จากนั้นจึงยื่นนิ้วมาข้างหน้าสกายลอร์ด “จะลองชิมดูหน่อยไหม?”
เฮคซอดมองดูครอบสีดำที่อยู่บนปลายนิ้ว ก่อนจะพูดเสียงน้ำเสียงเยือกเย็นออกมาว่า “เจ้าอยากจะลองรสชาติเวลามือขาดดูไหม?”
“อะแฮ่มๆ…เรื่องบางเรื่องมันต้องสัมผัสดูด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ” อีกฝ่ายเก็บนิ้วกลับมาก่อนจะเอาใส่เข้าไปในปากตัวเอง “มีกลิ่นไหม้ แต่ก็มีรสหอมหวาน เป็นไปได้สูงว่าเจ้านี่จะใช้สำหรับบรรจุเปลวไฟ”
“ไฟไม่สามารถขับเคลื่อนนกเหล็กได้”
“นั่นมันก็ต้องดูว่าเป็นไฟแบบไหน ถ้าการเผาไหม้มันรุนแรงมากพอ อันนั้นมันก็ไม่แน่!” เดอะแมสก์พูดแย้ง “เจ้าเคยเห็นกระบองไฟที่พวกแมลงใช้ใช่ไหมล่ะ ข้าเคยผ่ามันออกมาดูอย่างละเอียดแล้ว หลักการทำงานของพวกมันคือการเผาไหม้ เพียงแต่เป็นเพราะมันเร็วเกินไป มันถึงได้ดูเหมือนเป็นการระเบิด! ในเมื่อพลังแบบนี้สามารถขับเคลื่อนลูกดอกเหล็กให้ออกมาได้ อย่างนั้นมันก็น่าจะขับเคลื่อนใบพัดได้เหมือนกัน”
“การระเบิดของกระบองไฟนั้นเกิดขึ้นในพริบตา ถ้ามันเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ อย่างนั้นก็ต้องเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกระบอกเหล็กโดยไม่หยุด แถมความเร็วยังต้องเร็วเป็นพันครั้งในอึดใจเดียวด้วย มันต้องจะทำให้ใบพัดสามารถหมุนด้วยความเร็วแบบนั้นได้ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย” สกายลอร์ดพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“นี่ก็เป็นจุดที่ข้ายังคิดไม่เข้าใจเหมือนกัน” นาซเพลยอมรับออกมาตรงๆ “ดังนั้นข้าถึงได้เรียกแมลงพวกนี้มาเพื่อจะฟังความเห็นของมันหน่อย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าระดับความโง่ของพวกมันจะไม่ได้ต่างอะไรกับร่างชั้นต่ำที่อยู่ด้านนอกเลย เดิมข้านึกว่าพวกแมลงมันจะจงใจปิดบังอะไรไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เดอะแมสก์ก็โบกไม้โบกมือขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าเชื่อไหมล่ะ? คนที่สร้างสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าแมลงพวกนี้! ความลับที่แอบซ่อนอยู่ในเครื่องจักรวางอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังเอาแต่บอกว่าเป็นฝีมือของแม่มด ข้าตื่นเต้นก็เลยใช้แรงมากไปหน่อยเท่านั้น..”
“นะ นายท่าน…” ขุนนางคนนั้นถูกนาซเพลถลึงตาใส่ ใบหน้าเขาขาวซีดไปทันที ก่อนจะไปนั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมกำแพง
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงไม่มองมนุษย์เป็นแมลง แต่ข้าขอบอกเลยว่าเจ้าพวกที่เจ้าพาขึ้นมานี้ยังคงเป็นแมลงอยู่ แถมยังเป็นพวกชั้นต่ำที่สุดด้วย” เดอะแมสก์หันหน้าไปทางเฮคซอด “เออใช่ ข้าได้ยินมาว่าคนเกรย์คาสเซิลเป็นคนสร้างนกเหล็กกับกระบองไฟขึ้นมาใช่ไหมล่ะ? เจ้าจับช่างของเกรย์คาสเซิลมาให้ข้าซักคนสองคนได้ไหม? ข้าอยากจะดูว่าโครงสร้างสมองของพวกมันแตกต่างจากแมลงพวกนี้ใช่หรือเปล่า เพราะถ้าใช่ บางทีการเอาสมองของมนุษย์มารวมอีกซักคนก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน…”
“พอได้แล้ว!” เฮคซอดพูดตัดบท “ข้าไม่ได้มาเพื่อฟังเจ้าพูดเรื่องพวกนี้! เอาไว้ได้ชิ้นส่วนสืบทอดของพวกมันมาเมื่อไร ข้อสงสัยของเจ้าก็จะได้รับคำตอบเอง สิ่งสำคัญคือเอาชนะสงคราม พระผู้สร้างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์กว่าจะเข้าไปในดินแดนของพวกมนุษย์ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าสร้างปัญหาอะไรอีก รีบสร้างร่างซิมไบออนท์ให้มากกว่านี้ นี่คือหน้าที่ของเจ้าในตอนนี้ เข้าใจไหม? นอกจากนี้ อย่ามายุ่งกับคน…พวกนี้…อีก”
เดอะแมสก์เงียบไป หลังจากนั้นมันจึงผายมือแล้วพูดว่า “…ได้สิ”
สกายลอร์ดจ้อมไปในตาของมัน จากนั้นจึงคว้าจับขุนนางผู้โชคดีคนนั้นขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องแปลงสภาพ
หลังจากประตูหินปิดลง นาซเพลจึงส่ายหัวออกมาเล็กน้อย
“เจ้าก็มีดีเท่านี้แหละ เฮคซอด”
“ความลี้ลับคือกุญแจที่จะไขความจริง แต่เจ้ากลับไม่สนใจมันแม้แต่นิดเดียว” มันหยิบเอาหน้ากากอันใหม่ออกมาจากในเสื้อคลุม ก่อนจะค่อยๆ ปิดมันลงไปบนหน้าแม่มด “พลังเวทมนตร์ไม่ใช่กฎเพียงหนึ่งเดียวที่ขับเคลื่อนโลกนี้ สงครามแห่งโชคชะตานั้นยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ ต่อให้ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากผู้แพ้ผ่านทางชิ้นส่วนสืบทอด แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะถึงไปสู่จุดสูงสุดได้ นี่จึงเหตุผลว่าทำไมข้าถึงสามารถสร้างร่างซิมไบออนท์ได้ แต่เจ้ากลับต้องไปวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนสนามรบ”
“เจ้าไม่ได้รู้ถึงความหมายที่แอบซ่อนอยู่ในวัตถุโลหะพวกนี้เลย…”
เดอะแมสก์หมุนตัวไปมองดูซากนกเหล็กพร้อมกับพูดพึมพำออกมา
การที่มนุษย์ใช้การระเบิดมาขับเคลื่อนเจ้าวัตถุยักษใหญ่นี่ ทำให้มันเกิดแรงบันดาลใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงของพลัง การเปลี่ยนจากพลังที่เสถียรไปเป็นพลังที่ไม่เสถียรนั้นสามารถเห็นได้บ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นการใช้การเผาไหม้อย่างรุนแรงที่ไม่เสถียรมาทำให้เกิดนการหมุนที่มีความเสถียร ตั้งแต่การระเบิดไปจนถึงการบิน ระหว่างนี้มันจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรอยู่แน่ ถึงได้ทำให้รูปแบบของพลังงานเกิดการเปลี่ยนแปลง
ในเมื่อทั้งสองอย่างสามารถสลับกันได้ อย่างนี้แสดงว่าโดยเนื้อแท้แล้วพวกมันเหมือนกัน?
แล้วพลังเวทมนตร์ล่ะ?
เมื่อก่อนเผ่าพันธุ์มันไม่เคยคิดถึงวิธีการแสดงของพลังเวทมนตร์อย่างละเอียดมาก่อน พลังเวทมนตร์แสดงออกมาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น…แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว พลังเวทมนตร์จะสามารถเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ อย่างนี้ได้หรือเปล่า?
สมมติว่าใช้พลังเวทมนตร์ที่ใช้ยกพระผู้สร้างขึ้นมาเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังที่ระเบิดได้ อานุภาพของมันจะน่ากลัวแค่ไหน?
มันเหมือนจะมองเห็นเส้นทางใหม่กำลังทอดยาวอยู่ข้างหน้าตัวเอง
ถ้าสามารถไขความลับนี้ได้ อย่าว่าแต่สกายลอร์ดเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิ….ก็ไม่อาจจะเทียบมันได้อีก
ความรู้ต่างหากถึงจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
อยากจะรู้จัง…อยากรู้ความลับของพวกมนุษย์จัง!
นาซเพลเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะแปลกๆ ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
….
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังลอยมาจากด้านหลัง เฮคซอคพลันเบือนหน้านี้ด้วยความรังเกียจ
“นายท่าน…โชคดีที่ท่านมา!” ขุนนางที่ถูกแบกเอาไว้บนบ้าพูดด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คนอื่นๆ ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมันเจาะรูบนหัว ข้าเกือบจะเป็นคนต่อไปแล้ว…”
“ข้ารู้ สบายใจได้ ทุกอย่างมันจบแล้ว”
มันปล่อยขุนนางลง แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไป มันคว้าจับคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะยื่นตัวขุนนางออกไปนอกราวสะพาน
“เดี๋ยวก่อน…ท่าน ท่านสกายลอร์ด ท่านจะทำอะไร?” เมื่อเห็นร่างชั้นต่ำที่น่าหวาดกลัวด้านล่าง สีหน้าขุนนางพลันลนลานขึ้นมา
“ไม่…ไม่!”
เฮคซอดไม่ได้พูดอะไรอีก มันปล่อยมือโยนออกไป ขุนนางผู้โชคดีร้องเสียงหลงพร้อมกับร่วงตกลงไปในด้านล่างหลุมที่ลึกสิบกว่าเมตร เมื่อเห็น ‘อาหาร’ ที่ร่วงตกลงมาอย่างกะทันหัน ร่างชั้นต่ำพลันกรูเข้ามา พวกมันตอบสนองต่อของขวัญนี้ด้วยการขยับร่างกายไปมาอย่างตื่นเต้น
สิ่งที่มันต้องการคือแรงงานที่สามารถควบคุมได้
ขุนนางที่เห็นห้องทดลองและใบหน้าที่แท้จริงของเดอะแมสก์นั้นไม่ได้อยู่ในนี้
แม้แต่มันยังคิดว่านาซเพลไม่ได้ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์พวกนั้นเลย
แทนที่จะให้เขากลับไปร้องไห้ว่าตัวเองไปเจอกับอะไรมาบ้าง สู้ให้พวกเขาหุบปากไปตลอดกาลที่นี่ดีกว่า
ถึงแม้มันจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้วุ่นวายจนแก้ไขอะไรไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงเขตที่พักอาศัยของมนุษย์ มาร์เวน ไพค์รีบเดินเข้ามาหาเขาเป็นคนแรก “ท่านสกายลอร์ด…ไม่ทราบว่าคนที่โดนจับไปพวกนั้น..”
“ข้าไปตรวจสอบมาแล้ว พวกเขาถูกจับไปเพราะว่าแอบติดต่อกับเกรย์คาสเซิล เพราะว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องส่งข่าวเป็นอีกคนหนึ่ง ข่าวเลยมาถึงข้าช้าไปก้าวหนึ่ง” เฮคซอดพูดกล่อมอย่างใจเย็น “แต่ว่ายังดีที่ข้าไปถึงทันเวลา ข้าได้จัดการพวกเขาตามธรรมเนียมของพวกเจ้า คนพวกนั้นไม่ได้ถูกประหาร หากแต่ถูกจับไปขังเอาไว้ที่เมืองสกาย เอาไว้สงครามจบเมื่อไร พวกเขาก็สามารถใช้เงินคือของมีค่าอื่นมาไถ่ตัวได้ นอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกข่าวหนึ่ง นั่นคือขุนนางที่เหลือล้วนแต่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก”
“งั้นเหรอขอรับ…” มาร์เวนถอนหายใจ “ที่แท้อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณท่านมากขอรับที่ช่วยดูแล”
“ไม่เป็นไร ขอเพียงพวกเจ้าทำงานที่ข้ามอบหมายให้อย่างเต็มที่ โลกของมนุษย์หลังจากนี้จะต้องมีที่ของพวกเจ้าแน่นอน”
“ได้ขอรับ ได้ขอรับ” จู่ๆ มาร์เวนรีบหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในหน้าอก “เออใช่ ท่านสกายลอร์ด ตอนที่ท่านเข้าไปในเมือง มีคนส่งจดหมายฉบับนี้มาให้ข้า เขาบอกว่าให้มอบมันให้กับท่าน ถึงแม้จะมีโอกาสที่จะส่งผิด แต่ในเมื่อมันส่งเข้ามาในปาฏิหาริย์แล้ว ข้าเลยคิดว่าเอามาให้ท่านดูซักหน่อยจะดีกว่า”
“โอ้?” เฮคซอดเปิดจดหมายออกอ่าน ดวงตาของมันหรี่เล็กลงทันที!
…………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น