Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1382-1387

 ตอนที่ 1382 สิ่งที่ได้เห็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ศูนย์บัญชาการ เคจเมาเธ่น


“หัวหน้า จดหมายแบบเดียวกันอีกแล้ว..” คลาวน์หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ฮิลล์ ฟ็อกส์


ถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เหล่าสมาชิกคณะกายกรรมในตอนแรกเหล่านั้นยังคงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าหัวหน้าอยู่


“ส่งมาจากไหน?” ฮิลล์รับเอากระดาษมากวาดตามอง “หาแหล่งที่มาได้ไหม?”


“นกส่งจดหมายบินมาจากทางใต้ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ ทางนั้นมีเมืองอยู่ทั้งหมดสามเมือง นอกจากนี้แล้ว บนจดหมายไม่ได้เขียนอะไรอย่างอื่นเอาไว้เลย”


ฮิลล์ขมวดคิ้วอยู่ครู่ จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นมา “ไปแจ้งท่านขวานเหล็กกับท่านเอดิธส์ พวกเราอาจจะมีปัญหาแล้ว”


……


หลังจากนั้นสิบห้านาที


เอดิธส์วางจดหมายลง ก่อนจะเคาะโต๊ะเบาๆ “…พูดอีกอย่างก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ของอีเทอร์นอลวินเทอร์พร้อมๆ กัน?”


ฮิลล์พยักหน้า “ถึงแม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีเมืองไหนที่ทำตามคำสั่งนี้บ้าง แต่เมื่อดูจากการกระจายตัวของจดหมายแล้ว จะบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวทั่วทั้งอาณาจักรก็คงจะได้”


ในหลายวันมานี้ หน่วยข่าวกรองได้รับจดหมายลับที่มีเนื้อหาเหมือนกันหลายฉบับ


ในจดหมายบอกว่าขุนนางกำลังใช้วิธีการบังคบชาวบ้านในพื้นที่ให้อพยพออกจากเมือง


และทิศทางในการอพยพของพวกเขาล้วนแต่เป็นทางเหนือ


จดหมายที่มีเนื้อหาเหมือนกันแบบนี้ แต่กลับส่งมาจากคนละที่นั้นแทบจะไม่มีทางส่งผิดหรือทำปลอมขึ้นมาได้ พูดอีกอย่างคือขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์กำลังทำภารกิจที่เหมือนกัน


ถึงแม้ในจดหมายจะบอกแค่ว่า ‘เคลื่อนย้าย’ แต่มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แน่นอน ขีดความสามารถในการรองรับของเมืองมีขีดจำกัด การที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไปหรือมากเกินไปล้วนแต่ทำให้เมืองเกิดการอัมพาตได้ อีกทั้งการจะเคลื่อนย้ายประชากรก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องคำนึงถึง อย่างเช่นอาหารที่จะให้ชาวบ้านกิน ที่อยู่อาศัยชั่วคราว ทรัพย์สมบัติที่พกติดตัว…เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างมาก เรียกได้ว่าเมืองที่ปกครองด้วยระบบขุนนางแบบเก่านั้นไม่มีความสามารถที่จะทำการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ได้ ถ้าไม่มีความสามารถและทรัพยากรที่มากพอที่จะสนับสนุน การเคลื่อนย้ายที่ว่านั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย


จริงอยู่ที่ขุนนางส่วนใหญ่นั้นไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้าน แต่นั่นมันเป็นแค่ตอนที่มองชาวบ้านในระดับตัวบุคคล การเก็บภาษีและการปกครองของเจ้าเมืองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวเมือง ถ้าไม่มีชาวเมืองอยู่ภายใต้การปกครองเลย มีอำนาจที่แข็งแกร่งไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ทันทีที่ชาวบ้านเหล่านี้พบว่าตัวเองไม่มีทางได้รับประโยชน์อะไรจากการเคลื่อนย้าย พวกเขาก็จะสูญเสียความเชื่อใจของชาวบ้านไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่คนจำนวนมากมารวมตัวอยู่ด้วยกันก็จะทำให้เกิดการจลาจลได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นขุนนางที่อวดดีแค่ไหนก็ไม่มีทางทำเรื่องที่น่าตกใจแบบนี้ง่ายๆ แน่


แต่ตอนนี้ไม่ได้มีขุนนางแค่คนเดียวที่ทำแบบนี้ หากแต่ทั่วทั้งดินแดนทางเหนือต่างกำลังทำแบบนี้อยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากทางอื่น


ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ คนที่มีความสามารถที่จะทำแบบนี้ได้ก็มีแต่ปีศาจเท่านั้น


“แต่ทำไมปีศาจต้องทำแบบนี้?” เอดิธส์พูดกับตัวเองอย่างสงสัย “ถ้าแค่ต้องการตัดกำลังของเกรย์คาสเซิล ก็แค่ฆ่าชาวบ้านให้หมดก็ได้…ถ้ามีปีศาจแมงมุม ต่อให้พวกขุนนางไม่ยอมก็ไม่มีทางที่จะหยุดอีกฝ่ายได้”


“บางทีปีศาจอาจจะคิดว่า…พวกเขายังมีประโยชน์อยู่ก็ได้” เฟร์รานพยายามตั้งสมมติฐาน


“ถ้ามีประโยชน์ก็ไม่ควรบังคับพวกเขาอพยพ” ฮิลล์ส่ายหัว “อีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเป็นอาณาจักรที่มีจำนวนเมืองใหญ่น้อยที่สุดในสี่อาณาจักรใหญ่ ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวง แต่ถ้าไม่เตรียมตัวล่วงหน้าก็รองรับคนได้แค่ 2 – 3 หมื่นคน แถมจุดหมายปลายทางในการอพยพก็ไม่ใช่เมืองหลวงด้วย”


“เมืองใหญ่ที่อยู่เหนือสุดคือ…” เอดิสธ์มองดูแผนที่


“เมืองรีเฟล็คสโนว์ ด้านหลังติดกับปลายสุดของเทืองเขาสิ้นวิธี พื้นที่แค่ครึ่งเดียวของเมืองหลวง” เฟร์รานรีบรายงานข้อมูล “เนื่องจากลักษณะทางภูมิประเทศที่มีความพิเศษ คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นจึงมีจำนวนไม่มาก แถมยังเป็นจุดแรกที่มีหมอกแดงปรากฏขึ้นมาด้วย”


“ถ้าปีศาจคิดจะเคลื่อนย้ายคนมาที่มีทั้งหมดจริงๆ นั่นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการฆ่าพวกเขาเลย” ฮิลล์พูด


“ซึ่งศัตรูไม่มีทางทำอะไรวุ่นวายแน่” เอดิธส์พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าคิดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่พวกเรายังไม่รู้แน่ ถึงทำให้ปีศาจทำอะไรที่เราไม่เข้าใจแบบนี้”


“แล้วการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคืออะไร?” ขวานเหล็กถาม


“ข้าไม่รู้…” เอดิธส์ค่อยๆ พูด “แต่จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แจ้งแนวหน้า ให้พวกเขาเพิ่มการเฝ้าระวัง”


…..


“หมอกแดงนี่…หรือว่าจะเป็นที่ตั้งเสาโอเบลิสของพวกปีศาจ?” ทิลลีพูดงึมงำ


‘ไม่ใช่เพคะ’ ไลต์นิ่งตอบด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ‘จากตรงนี้ พวกเราควรจะมองไม่เห็นหมอกแดงถึงจะถูก…’


“มองไม่เห็น? ทำไม?”


‘เพราะว่าหมอกแดงมันจะไหลลงข้างล่างจิ๊บ!’ คนที่ตอบคือเมซี่ ‘หม่อมฉันเคยเห็นหมอกแดงมันไหลลงมาจากขอบของเทือกเขาสิ้นวิถี ดูแล้วเหมือนกับน้ำตกเลยจิ๊บ!’


‘ถูกต้อง หม่อมฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะหมอกแดงหนักกว่าอากาศหรือเปล่า ถึงได้ทำให้พวกมันตกลงมารวมกันอยู่ในที่่ต่ำได้ง่าย แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือตอนที่หมอกแดงไหลจากสันหลังของทวีปเข้าไปในอีเทอร์นอลวินเทอร์ บนยอดเขาไม่มีหมอกแดงแบบนี้เลย’ ไลต์นิ่งพูดเสริม


“เจ้าหมายความว่า ตอนนั้นพวกมันไหลลงมาจากหุบเขางั้นเหรอ?” ทิลลีเลิกคิ้วขึ้นมา


ดังนั้นเธอถึงได้พูดว่าไม่มีทางมองเห็นหมอกแดงจากในระยะนี้ ตอนนี้พวกเธออยู่ห่างจากเทือกเขาที่สูงที่สุดนี้อยู่หลายร้อยกิโลเมตร ถ้าหมอกแดงไม่ลอยขึ้นมา พวกมันจะต้องถูกยอดเขาที่สลับซับซ้อนบดบังเอาไว้แน่


‘ไม่ใช่เท่านี้เพคะ’ ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ ‘เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หม่อมฉันได้บินเลียดเทือกเขาสิ้นวิถีขึ้นไปทางเหนือเพื่อลาดตระเวน แล้วก็ได้เข้าไปใกล้พื้นที่หมอกแดงด้วย แต่ในตอนนั้นบนสันหลังของทวีปยังไม่มีเมฆแดงนี้เลย มัน…ดูแล้วไม่เหมือนว่าขึ้นมาจากรอยแตกเพคะ’


ทิลลีรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมา ในเวลานี้เธอค่อยๆ สังเกตเห็นว่าสีแดงบนยอดเขานั้นไม่ได้เป็นชั้นบางๆ หากแต่ก่อตัวเป็นก้อนตั้งแต่บนลงมาข้างล่าง พูดให้ถูกคือมันเหมือนกับเสาเมฆขนาดยักษ์ที่ไหลทะลักลงมาจากชั้นเมฆด้านบน


เธอจ้องมองภาพแปลกประหลาดที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงพูดขึ้นมาว่า “มีวิธีหนึ่งที่อาจจทำให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้น”


ไลต์นิ่งเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่หนาแน่นที่อยู่บนหัว ‘หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเพคะ’


บินยิ่งสูงก็ยิ่งมองเห็นได้ชัด


ขอเพียงพวกเธอสามารถเก็บภาพสันหลังแห่งทวีปได้ทั้งหมด พวกเธอก็อาจจะเห็นหน้าตาที่แท้จริงของก้อนเมฆสีแดงนั้น


“อย่างนั้นก็ลองดูกันเถอะ..” ทิลลีเหยียบคันเร่งจนสุดอีกครั้ง แล้วดึงหัวเครื่องบินให้ไต่ระดับขึ้นไปบนก้อนเมฆ ไลต์นิ่งเองก็บินเข้าไปประชิดห้องคนขับเพื่อให้การสอดประสานพลังเวทมนตร์ครอบคลุมไปถึงตัวทิลลีให้ได้มากที่สุด


ภายใต้ความร่วมมือกันของทั้งสองคน เข็มวัดระดับความสูงของฟินิกส์ค่อยๆ หมุนไปด้านหลัง


ในตอนที่ขึ้นไปถึงระดับความสูง 7,500 เมตร พื้นดินได้กลายเป็นทรงโค้งอย่างชัดเจน ก้อนเมฆดูเบาบาง ไม่ได้รวมกลุ่มกันเป็นก้อนเหมือนด้านล่าง ขอบของพื้นดินก็มีสีน้ำเงินบางๆ ปรากฏขึ้นมา


หน้าผากของไลต์นิ่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าระดับความสูงนั้นสร้างภาระให้กับการสอดประสานพลังเวทมนตร์ของเธอไม่น้อย เมื่อมองผ่านกระจกออกไป ทิลลีมองเห็นบนตัวเครื่องมีผลึกน้ำแข็งจับตัวแข็งอยู่ ถ้าไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายใช้การสอดประสานพลังเวทมนตร์มาช่วยลดความรู้สึกไม่สบายใจตนแล้วล่ะก็ เกรงว่าเธอคงไม่มีทางที่จะมีสมาธิขับเครื่องบินเหมือนอย่างตอนนี้แน่


“พอแล้วล่ะ” ทิลลีสัมผัสได้ว่าแรงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว “เราหาที่สังเกตการณ์กันเถอะ”


“เดี๋ยวข้าจัดการเองจิ๊บ!” เมซี่ยื่นหัวออกมา ก่อนจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นเหยี่ยว


ประมาณ 5 นาที เธอก็เจอจุดที่เหมาะสำหรับสังเกตการณ์ ในรอยแตกของเมฆที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ สามารถมองเห็นเค้าโครงของสันหลังของทวีปได้พอดี


แต่ในตอนที่ภาพที่อยู่ด้านบนหมอกแดงสะท้อนเข้าในกล้องส่องทางใกล้ ทั้งสามคนก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง


พวกเธอมองเห็นแผ่นดินผืนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่


ตอนที่ 1383 ส่งข่าว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พระองค์ทรงแน่ใจว่าพ่ะย่ะค่ะ ว่าพระองค์ทรงไม่ได้ดูผิดไป?”


ในตอนที่ขวานเหล็กได้ยินข่าวนี้ สีหน้าเขาพลันแสดงความตกใจออกมา เขากับเอดิธส์สบตากัน ทั้งสองคนต่างมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย


ความจริงแล้วทิลลีเองก็ลังเลอยู่ว่าจะบอกขวานเหล็กเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะว่าเรื่องนี้มันใกล้เคียงกับคำว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว ถ้าปีศาจสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ขวัญกำลังใจและความมั่นใจของนายทหารระดับสูงจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน คนที่ใจไม่แข็งพออาจจะเกิดความคิดที่จะยอมแพ้ขึ้นมาก็ได้


“ทุกคนไม่ได้มองผิดไปจิ๊บ” เมซี่พูดพร้อมกับตบหน้าอกตัวเอง “ข้ากับไลต์นิ่งเคยไปที่สันหลังของทวีป ที่นั่นไม่มีภูเขาแบบนี้อยู่เลยจิ๊บ!”


จากนั้นไลต์นิ่งจึงค่อยๆ พยักหน้า “มันจะใช่สิ่งที่ปีศาสร้างขึ้นมาหรือไม่ ตอนนี้พวกเรายังไม่อาจแน่ใจได้ แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือมันเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาตรงนั้นเมื่อประมาณครึ่งเดือนนี้เอง”


“อย่างนี้นี่เอง..” เอดิธส์เหมือนอยากจะพูดอะไร “แบบนี้มันก็เข้าใจได้แล้ว”


“เจ้าเชื่อเหรอ?” ทิลลีรู้สึกแปลกใจอย่างมาก


เดิมเธอคิดว่าอีกฝ่ายต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจสักพัก จากนั้นออกคำสั่งสังเกตการณ์แล้วค่อยทำการตัดสินใจต่อไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดของพวกเธอ เพราะถึงแม้จะเป็นพวกเธอสามคนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะแน่ใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอคิดไปเอง


“ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฝ่าบาทโรแลนด์นั่นแหละเพคะ” เอดิธส์ถอนใจออกมา “หากเป็นเมื่อสามปีก่อน หม่อมฉันเกรงว่าคงจะมองเรื่องแบบนี้เป็นคำพูดของคนบ้า…แต่ตอนนี้หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าหม่อมฉันยังอยู่ในเมืองเล็กๆ แบบนั้น หม่อมฉันคงไม่รู้ว่าโลกนี้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน”


“นอกจากนี้ ปฏิบัติการแปลกๆ ของปีศาจในช่วงนี้ก็ช่วยยืนยันเรื่องนี้เหมือนกัน” เธอหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องจดหมายที่ฮิลล์ ฟ็อกส์ได้รับมาให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ “เมืองของพวกขุนนางไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ แต่ถ้าเป็นแผ่นดินลอยฟ้าล่ะก็ อันนั้นมันก็ไม่แน่”


“ปีศาจ…เอาคนไปอยู่ด้วยเหรอ?” ไลต์นิ่งพูดอย่างประหลาดใจ


“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อกาธาก็เคยบอกไม่ใช่เหรอว่าตอนที่เกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง มนุษย์ส่วนหนึ่งและปีศาจเคยก่อตั้ง ‘กองทัพพันธมิตร’ ขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับแม่มด” เอดิธส์ยักไหล่ “ตอนนั้นสิ่งที่พวกเขากลัวคือพลังของแม่มด ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนเป็นพลังของฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้น พวกเขาไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของการถูกเปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงมีทางเลือกไม่มากนัก”


“พวกเขาไม่คิดว่าคำเตือนเรื่องสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องจริง…” ทิลลีกำหมัดขึ้นมา


“ไม่เพคะ..” เอดิธส์ยิ้มแปลกๆ ขึ้นมา “ต่อให้พวกขุนนางรู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริง พวกเขาก็ยังจะตัดสินใจแบบนี้อยู่ดี สงครามกว่าจะจบอาจจะใช้เวลาหลายปีหรืออาจจะหลายสิบปี แต่เรื่องที่ฝ่าบาททรงริบเอาอำนาจและที่ดินของขุนนางกลับมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้ สำหรับคนพวกนี้แล้ว นี่มันไม่ได้ต่างอะไรกับการเอาชีวิตพวกเขาเลย ทางหนึ่งคือตายทันทีตอนนี้ อีกทางหนึ่งคือค่อยตายทีหลัง แน่นอนว่าเลือกอย่างหลังย่อมต้องดีกว่า”


“เอาล่ะ” ขวานเหล็กพูดตัดบทขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ เขารู้ว่าทันทีที่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเริ่มเข้าสู่โหมดพูดจาส่อเสียดขึ้นมา เธอจะไม่มีวันหยุดลงง่ายๆ แถมยังอาจจะลามไปถึงคนอื่นหรือตัวเองด้วยซ้ำ “เข้าเรื่องกันดีกว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือพวกเราจะรับมือกับแผ่นดินลอยฟ้านี่ยังไง?”


สีหน้าของเอดิธส์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ไม่ พวกเราจัดการไม่ได้ ถ้ามันตั้งอยู่ที่สันหลังของทวีปมาตั้งแต่แรกก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเจ้าสิ่งนั้นมันเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นจริงๆ อย่างนั้นพวกเราก็มีปัญหาใหญ่แล้ว การที่องค์หญิงทิลลีสามารถมองเห็นมันได้จากระยะหลายร้อยกิโลเมตร ขนาดของมันคงจะใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้มาก ท่านคิดว่าอาศัยแค่เฮฟเว่นเฟลมจะสามารถทำลายมุมหนึ่งของเทือกเขาสิ้นวิถีได้ไหมล่ะ?”


“ต้องรีบเอาเรื่องนี้บอกท่านพี่” ทิลลีพูดเสียงคร่ำเคร่ง


“หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” เอดิธส์พยักหน้า “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับแผนการและกลยุทธ์ มีเพียงฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้นถึงจะสามารถคิดแผนรับมือได้”


“เสียดายที่หอสื่อสารอันใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เราคงคุยกับฝ่าบาทได้แล้ว” ขวานเหล็กเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมาย “ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องให้นกเอาจดหมายส่งกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าเป็นคนเอาจดหมายไปส่งเอง” ทิลลีก้าวออกมา “ด้วยความเร็วของฟินิกส์ ถ้าออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า ตอนเที่ยงก็ถึงเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าก็อยากไปขอบคุณเขาเรื่องของขวัญชิ้นใหม่พอดี”


พอพูดจบเธอก็มองไปทางไลต์นิ่งกับเมซี่ “เรื่องการสอดแนมทางตะวันตกของเทือกเขาสิ้นวิธี ข้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ”


“หม่อมฉันจัดการเองเพคะ” ทั้งสองคนรับปากอย่างจริงจัง


…..


วันถัดมา ทิลลีขับฟินิกส์ออกมาเดินมาคนเดียว เธอบินไปทางทะเลตะวันออกก่อน จากนั้นค่อยบินเลียบชายฝั่งลงมาทางใต้ ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเธอก็ร่อนลงจอดที่โรงเรียนอัศวินอากาศในเมืองหลวง


ในวันนี้หลายคนต่างได้เห็นเจ้าเครื่องบินสีแดงที่เหมือนดาวตกนี้บินผ่านท้องฟ้าไป


เธอกระโดดลงมาจากเครื่องบิน ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ปราสาท เมื่อเห็นผมสีเทาที่กำลังปลิวไสว เหล่าทหารยามไม่มีใครกล้ารั้งตัวเธอไว้แม้แต่คนเดียว


เมื่อผลักประตูห้องทำงานเข้าไป โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาแปลกใจที่เห็นเธอปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้


“เอ่อ…เครื่องบินใหม่มีปัญหาเหรอ?”


ฝีเท้าของทิลลีหยุดชะงักไปทันที ภายในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา ตัวเองบีบเขาเรื่องเครื่องบินมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ถึงขนาดเจอหน้ากันก็ถามเรื่องเครื่องบินขึ้นมาก่อนเลย “ไม่ เครื่องบิน…ข้าหมายถึงฟินิกส์ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก เอ่อ…ขอบคุณนะ ท่านพี่”


“ฟู่ว” โรแลนด์โล่งใจ แต่สีหน้าเขากลับคร่ำเคร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อย่างนั้นที่เจ้ามา เป็นเพราะว่า…มีเรื่องสำคัญใช่ไหม?”


“ใช่ ตอนที่ข้าเอาฟินิกส์ไปลองบิน ข้าบังเอิญไปเจอความเคลื่อนไหวของปีศาจ” ทิลลีเล่าเรื่องที่ทั้งสามคนไปเจอมาอย่างละเอียด


โรแลนด์ฟังจบพลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ถ้าอยากจะมองเห็นวัตถุอย่างนั้นจากระยะไกล นอกจากจะต้องไม่มีอะไรมาบดบังแล้ว ขนาดของมันยังต้องใหญ่มากพอด้วย เหมือนอย่างพระจันทร์กับดวงดาวบนท้องฟ้า เมื่ออยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แม้แต่เทือกเขาสิ้นวิถีก็ยังกลายเป็นเส้นยาวๆ ที่คดเคี้ยว สันหลังของทวีปก็กลายเป็นเพียงเนินเขาสีเทาๆ การที่สามารถมองเห็นมันได้จากระยะไกลขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องใหญ่อย่างมากแน่นอน


ตอนนี้ปีศาจสามารถเคลื่อนย้ายแผ่นดินขนาดใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้าได้แล้วงั้นเหรอ?


แต่เทคโนโลยีในยุคสมัยนี้ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้


ถ้ามันเป็นแผ่นดินจริงๆ อย่างนั้นอานุภาพทำลายล้างของอาวุธทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้จะต้องลดลงอย่างมากแน่นอน — เพราะการที่สามารถยกเอาสิ่งที่มีน้ำหนักมากขนาดนั้นลอยขึ้นไปได้มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังที่น่าตกตะลึงในตัวของมันเองแล้ว


พลังเวทมนตร์นี่ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ…


แต่โรแลนด์เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาเจออันนาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือทำการหาข้อมูลของเจ้าวัตถุยักษ์นี้


เขาคิดถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา


เมื่อเข้าไปในโลกแห่งความฝัน โรแลนด์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาวัลคีรีย์


ตอนที่ 1384 ก้าวไปข้างหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉันไปล่ะ”


“ไปโรงฝึกอีกแล้วเหรอ?” วัลคีรีย์ที่สวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องนอน ก่อนจะเห็นเฟยอวี่หานกำลังจัดของอยู่หน้าประตู


“อื้อ ศึกสุดท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว ฉันต้องรีบแล้วล่ะ” อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวเธอจะตามมาไหม?”


เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย สีหน้าเธอจึงเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมา “ถ้าไม่มีธุระอื่นล่ะก็”


“อย่างนั้นฉันไปล่ะ”


ประตูถูกเปิดออกก่อนจะปิดลง ไอเย็นที่พุ่งเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว วัลคีรีย์ก้มหน้ามองดูฝ่ามือของตน ก่อนจะค่อยๆ กำมันเข้ามา


บ้าเอ้ย ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?


ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธอแทบจะรวมเข้าโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น แต่เธอยังออกไปสู้กับฟอลเลนอีวิลพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย


เพื่อที่จะทำให้โลกนี้ไม่ดับสลาย ดังนั้นเธอจึงต้องสู้กับพระเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่ในใจวัลคีรีย์รู้ดีว่านั่นเป็นแค่วิธีบรรเทาความกดดันเท่านั้น ปัญหาที่เธอต้องเผชิญจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากแต่อยู่ที่ด้านนอกของโลกแห่งจิตสำนึก เธอไม่ชอบถูกขังอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้ทำอะไร ด้วยเหตุนี้เธอถึงใช้วิธีนี้มาทำให้ตัวเองดูเหมือนว่ากำลังช่วยแก้ไขปัญหาสงครามแห่งโชคชะตาอยู่


ถ้าการต่อสู้มันโหดร้ายทารุณหรือยากลำบากก็ว่าไปอย่าง เพราะว่าพวกเขากำลังสู้กับ ‘พระเจ้า’ อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าการกำจัดฟอลเลนอีวิลนั้นเกิดขึ้นแค่ในที่ที่ทุกคนมองไม่เห็น ทั้งเมืองยังคงดูสงบเรียบร้อย เวลาที่ไม่มีภารกิจ ทุกคนก็จะมีเวลาดื่มชาตอนบ่ายซักแก้ว หรือไม่ก็ไปหาอะไรกินกันตอนกลางคืน


นี่แตกต่างกับสงครามที่เธอเคยชินอย่างมาก


แต่สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกแย่ก็คือตัวเองกลับเคยชินกับชีวิตแบบนี้ได้อย่างรวดเร็ว…


ยิ่งเค้กจากคาบสมุทรคาร์การ์ดยิ่งอร่อย เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ในใจ อนาคตของเผ่าพันธุ์จะเป็นยังไงก็ยังไม่อาจทราบได้ เพื่อที่จะเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาแล้ว เผ่าพันธุ์ของเธอแทบจะทุ่มเททุกอย่างที่มี แต่เธอกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นี่ ความรู้สึกแตกต่างแบบนี้ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก บางครั้งเธออยากจะระบายความโกรธภายในใจใส่คนที่อยู่รอบข้าง


แต่ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือสติสัมปชัญญะของเธอยังคงมีอยู่ แล้วก็ไม่ได้บิดเบี้ยวไปเพราะความกดดันมหาศาลที่มีอยู่ในตอนนี้ — สติได้บอกเธอว่าถึงทำแบบนี้ไปมันก็ไม่ได้ทำให้โลกแห่งความฝันแตกสลาย แล้วก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด มันมีแต่จะทำให้สถานการณ์ของเธอแย่ลงไปอีก


ขณะเดียวกัน สิ่งที่หยุดไม่ให้ไนท์แมร์ทำเช่นนี้ก็คือเธอพบว่าตัวเองไม่ได้เกลียดเฟยอวี่หานอย่างที่คิดเอาไว้


ถึงแม้มนุษย์ผู้หญิงคนนี้จะแอบฟังเธอคุยกับโรแลนด์ แต่อีกฝ่ายก็ทำไปเพราะต้องการควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง ยิ่งไปกว่าเธอยังเล่าสิ่งที่ตัวเองทำออกมาในภายหลัง แถมยังยอมรับความจริงที่ว่าตัวเธอมีตัวตนอยู่แค่ในโลกแห่งความฝันได้อย่างสบายๆ ความกล้านี้ทำให้ไนท์แมร์รู้สึกประทับใจทีเดียว


เธอทั้งบริสุทธ์และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จิตใจมุ่งมั่น มีเป้าหมายที่ชัดเจน…จุดเด่นเด่นเหล่านี้ทำให้วัลคีรีย์อดนึกถึงทรานฟอร์มเมอร์ขึ้นมาไม่ได้


แสงที่เปล่งประกายของคนบางคนเพียงพอที่จะก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเผ่าพันธุ์มาได้ ก็เหมือนกับที่ทรานฟอร์มเมอร์ถูกสำนักซีคลาวด์ยอมรับอย่างไรอย่างนั้น


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังไม่ย้ายออกไปจากที่นี่


เพียงแต่แสงสว่างนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความรู้สึกกดดัน แต่มันกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกสับสนด้วย


ความจริงแล้ววัลคีรีย์พอจะรู้ว่าอะไรกันแน่ถึงจะเป็นการทำประโยชน์ที่แท้จริงเพื่อเผ่าพันธุ์ แต่เธอกลับไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันอย่างสบายๆ ได้ ทันทีที่เธอก้าวเท้าออกไป เธอก็จะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก ถ้าจะให้เธอแบกรับความกดดันและความเสี่ยงทั้งหมดคนเดียว ต่อให้เป็นเธอก็ยากที่จะตัดสินใจได้


ถ้าพูดถึงการเผชิญหน้ากับชะตาชีวิตตรงๆ แล้ว เธอยังสู้มนุษย์ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ


ในเวลานี้นี่เอง เสียงโทรศัพท์พลันดังขึ้นมา


บนหน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อโรแลนด์


วัลคีรีย์ลังเล แต่สุดท้ายก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา “มีอะไรอีก? ถ้าจะมาพูดเรื่องแนวหน้าที่แต่งขึ้นมาฝ่ายเดียวนั่นล่ะก็ ข้าว่าอย่าดีกว่า ถ้าไม่มีเฮคซอดมายืนยัน ข้าไม่มีทาง..”


“ข้าอยากจะถามหน่อย แผ่นดินที่ลอยอยู่บนฟ้ามันคืออะไรกันแน่?”


คำพูดปะโยคแรกของอีกฝ่ายทำให้เธอตกตะลึงไปทันที


….


ร้านกาแฟโรสคาเฟ่


หลังฟังโรแลนด์เล่าจบ วัลคีรีย์ก็นั่งพิงไปบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เธอถอนใจออกมาเบาๆ “พระผู้สร้าง…”


“พระผู้….อะไรนะ?”


เธอมองดูอีกฝ่ายเงียบๆ เหมือนอย่างจะหาอะไรบางอย่างจากในดวงตาของเขา แต่ผลลัพธ์ที่ได้บอกเธอว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา โรแลนด์ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองเห็นแม้แต่น้อย การเปิดเผยของพระผู้สร้างนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ความบังเอิญแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วก็ไม่มีทางสร้างผลกระทบอะไรต่อสถานการณ์การรบด้วย ในฐานะที่เป็นไพ่ตายของเผ่าพันธุ์ พวกราชาระดับสูงนั้นกลับอยากจะให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์นี้เร็วๆ ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ได้เห็นมันล่วงหน้า พวกเขาก็จะมีแต่หวาดกลัวและสิ้นหวังเพิ่มขึ้นเท่านั้น


แต่วัลคีรีย์กลับคิดไปมากกว่านั้น


เดิมพระผู้สร้างควรจะเป็นอาวุธสุดยอดที่ใช้สู้กับอาณาจักรซีสกาย แต่ตอนนี้จู่ๆ มันกลับมาปรากฏอยู่ที่แนวรบตะวันตก นี่แสดงให้เห็นถึงเรื่องๆ หนึ่ง


สถานการณ์การรบของแนวรบตะวันตกนั้นยากที่จะก้าวต่อไปได้แล้ว


เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนี้ จักรพรรดิก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะเอาพระผู้สร้างมาใช้รับมือมนุษย์แน่


นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้


มีแต่แนวรบประสบความพ่ายแพ้ เหล่าราชาถึงได้ใช้พระผู้สร้างมากอบกู้สถานการณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้ แม่มดถึงได้มีโอกาสเจอพระผู้สร้างเข้า นี่หมายความว่ารายงานสถานการณ์การรบที่โรแลนด์ส่งมาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งนี่ก็เป็นการแสดงให้ถึงความจริงใจของอีกฝ่ายอย่างอ้อมๆ ด้วย


นอกเสียจากว่าโรแลนด์จะไปถามเรื่องพระผู้สร้างมาจากราชาตัวอื่น


แต่ความเป็นไปได้นี้มันน้อยอย่างมาก ถ้ามีราชาปีศาจตัวอื่นยินดีที่จะร่วมมือจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหาตนเพื่อเล่นละครแบบนี้เลย


ความเจ็บปวดภายในใจทำให้วัลคีรีย์กำหมัดแน่น


แต่สติสัมปชัญญะทำให้เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้


เท้าของเธอเหมือนกำลังยืนอยู่ริมหน้าผ้า ด้านหน้ามีเพียงท่อนไม้ท่อนเดียวที่สามารถเดินไปได้ ความรู้สึกขัดแย้งแทบจะกลืนกินเธอ ในขณะที่ความกดดันอันมหาศาลกำลังจะกดทับเธอ ภาพเฟยอวี่หานที่อยู่ในห้องประชุมวันนั้นพลันลอยขึ้นมาในหัวของเธอ


ตอนนั้นเธอได้ยินเสียงอีกฝ่ายกำลังโต้แย้งอย่างไม่ยอมถอยผ่านประตูห้องประชุม


‘การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว!’


ก้าวไปข้างหน้า…โดยไม่หวาดกลัวอะไรอย่างนั้นเหรอ….


วัลคีรีย์จ้องมองโรแลนด์อยู่นาน จากนั้นจึงหลับตาลง


“สิ่งที่เจ้าเห็นคือพระผู้สร้าง” เธอพูดซ้ำ “นั่นคือไพ่ตายที่เผ่าพันธุ์ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อขึ้นไปบนอาณาจักรซีสกาย แล้วก็เป็นการแสดงสิ่งที่พวกข้าดูดซับมาจากชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมใต้ดินออกมา เมื่อหลายร้อยปีก่อนเผ่าพันธุ์ของข้านั้นมีความคิดที่อยากจะหลุดพ้นออกจากข้อจำกัดของละอองชีวิตหรือก็คือหมอกแดงที่พวกเจ้าว่า วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการทำให้หอคอยแห่งการให้กำเนิดซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหมอกแดงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ยากจะเป็นจริงได้มากที่สุด เพียงแค่จะทำให้หอคอยขนาดใหญ่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมันก็ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสายแร่หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ใต้ดินเลย”


“จนกระทั่งเดอะแมสก์ได้ศึกษาเทคโนโลยีทางเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินจนหมดแล้ว เผ่าพันธุ์ข้าจึงเริ่มมองเห็นแสงสว่างจากแผนการที่ว่านี้ ข้าไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มันเป็นจริงได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการเอาหอคอยแห่งการให้กำเนิดมาเปลี่ยนให้เป็นแกนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ แล้วก็ทำให้แกนเวทมนตร์นี้มีพลังเพิ่มมากขึ้น ขอเพียงมีพลังเวทมนตร์เพียงพอ ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่ที่มันสร้างขึ้นมาก็เรียกได้ว่าไม่ได้ต่างอะไรจากปาฏิหาริย์เลย ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิจึงตั้งชื่อให้มันว่า พระผู้สร้าง”


วัลคีรีย์ได้ก้าวเท้าก้าวนั้นออกไปแล้ว


ตอนที่ 1385 พื้นฐานข้อตกลง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ครั้งนี้กลายเป็นโรแลนด์ที่ตกตะลึงไป


การนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานของอีกฝ่ายทำให้เขาคิดว่าการสอบถามครั้งนี้คงจะไม่ได้อะไรกลับมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอไนท์แมร์เอ่ยปาก เธอจะอธิบายเรื่องแผ่นดินลอยฟ้าออกมาจนหมด แถมยังอธิบายอย่างละเอียดด้วย ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างมากนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ติด


“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่ายังไง?” วัลคีรีย์ถลึงตาใส่เขา “ข้าไม่ได้ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ซักหน่อย ข้าแค่เห็นด้วยกับความคิดของทรานฟอร์มเมอร์เท่านั้น สงครามแห่งโชคชะตาไม่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดสืบต่อไปได้ ถ้าปล่อยให้สงครามดำเนินต่อไป พวกเราก็มีแต่จะกลายเป็นหมากของพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น…การหยุดมันจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด”


เอ่อ นั่นมันความคิดของเขาไม่ใช่เหรอ โรแลนด์เกาหัว เมื่อพันปีก่อนทรานฟอร์มเมอร์ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันได้อย่างสมบูรณ์ แล้วมันจะไปรู้เรื่องละเอียดขนาดนี้ได้ยังไง แต่ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหน เขาก็รู้ว่าในเวลาแบบนี้สิ่งที่เขาควรทำก็คือไหลไปตามคำพูดของอีกฝ่าย


“ถูกต้อง ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจในเรื่องนี้ซักที” เขาทำสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ แล้วก็พยายามทำท่าให้ดูสบายมากที่สุด จากนั้นจึงยื่นมือออกไป “ถึงแม้ตอนนี้พระเจ้าจะสังเกตเห็นพวกเราแล้ว แต่ข้าเชื่อว่าทุกอย่างมันยังไม่สายเกินไป…”


แต่วัลคีรีย์กลับไม่ได้จับมือเขาตอบ


“ก่อนหน้านั้น ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้าข้อหนึ่ง”


“อะไร?”


“ถ้าสุดท้ายทั้งหมดมันเป็นเหมือนอย่างที่เทวทูตพูดจริงๆ อย่างนั้นเจ้าคิดจะจัดการเรื่องระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ข้ายังไง?”


สีหน้าของไนท์แมร์คร่ำเคร่งอย่างมาก โรแลนด์รู้ว่าคำถามนี้จะตัดสินทุกสิ่ง เธอถามประเด็นสำคัญแบบนี้ออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือและเส้นทางในอนาคตที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ เขาแอบสังหรณ์ใจว่าถ้าเขาตอบคำถามไม่ถูกใจอีกฝ่าย เธออาจจะฝืนที่จะออกไปจากโลกแห่งความฝัน ถึงแม้เธอจะต้องตายก็ตาม


“บอกตามตรง ข้ายังไม่ได้คิดเหมือนกัน” หลังนิ่งเงียบไปครู่ โรแลนด์จึงค่อยๆ ตอบออกมา


วัลคีรีย์ขมวดคิ้วพร้อมถามเสียงเยือกเย็นขึ้นมา “ก็แสดงว่าตั้งแต่แรกเจ้าก็แค่พูดๆ มาเท่านั้น แต่ภายในใจไม่ได้คิดที่จะเชื่อว่าข้าจะร่วมมือกับเจ้าใช่ไหมล่ะ?”


“เปล่า ไอคิดน่ะมันคิด เพียงแต่เรื่องนี้มันซับซ้อนมากเกินไป” เขายิ้มแห้งๆ คำตอบนี้ไม่ถือเป็นคำตอบที่ดี แต่เขากลับไม่อยากจะประดิษฐ์คำพูดที่ดูดีออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งการสร้างความหวังก็ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองถนัดด้วย แทนที่จะแสร้งทำเป็นฉลาด สู้พูดสิ่งที่ในใจคิดออกมาตรงๆ ดีกว่า “สงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจดำเนินมาเป็นเวลานานนับพันปี ความแค้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสลายหายไปในเวลาสั้นๆ ได้ ถ้าอยากจะทำให้โลกแห่งความจริงกลายเป็นเหมือนโลกแห่งความฝันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย วิธีที่ข้าคิดออกในตอนนี้ก็ก็คือแยกทั้งสองเผ่าพันธุ์ออกจากกัน ให้พวกเจ้าออกไปจากโลกของมนุษย์ตลอดกาล”


“ไปที่ไหน?”


“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคิด แต่ว่าโลกข้างนอกกว้างใหญ่ขนาดนั้น ข้าว่ายังไงก็ต้องมีที่ให้พวกเจ้าอยู่แหละ”


ทั้งสองจ้องตากันอยู่นาน จนกระทั่งในตอนที่ควันในถ้วยกาแฟจางหายไป วัลคีรีย์จึงได้พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “ถ้าเจ้าตอบออกมาแบบไม่ทันคิด แถมยังตอบแบบเป็นห่วงเป็นใยทุกๆ อย่าง แบบนั้นมันอาจจะเป็นกับดักได้ แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเหมือนจะทำแบบนั้นจริงๆ”


“เอ่อ…การที่ยังไม่ได้คิด ถือเป็นคำตอบที่ดีงั้นเหรอ?”


“จะคิดแบบนั้นก็ได้” ไนท์แมร์ถอนหายใจออกมา “ข้ายอมรับว่านี่เป็นเหมือนสะพานไม้บนหุบเหว ไม่ว่าจะไปข้างหน้าหรือลงไปด้านล่างก็ล้วนแต่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ถึงแม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิด ข้าก็ต้องลองดู เพราะว่าในเผ่าพันธุ์มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำเรื่องนี้ได้”


โรแลนด์สังเกตเห็นว่าในตอนที่เธอพูดคำพูดนี้ออกมา สองมือของเธอกำแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


เห็นได้ชัดว่าภายในใจของเธอไม่ได้หนักแน่นเหมือนอย่างคำพูดของเธอ


แต่เขาเองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่ายๆ สำหรับใครหลายคน การตกลงไปด้านล่างหุบเหวต่างหากถึงจะเป็นเรื่องปกติ ในตอนที่มองไม่เห็นความต่างของจุดจบ การยอมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้ากลับกลายเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง


“เจ้าเองก็อย่าได้ใจเกินไป” วัลคีรีย์กวาดตามองดู “พระเจ้าที่เป็นคนวางแผนสงครามแห่งโชคชะตาขึ้นมาไม่มีทางนั่งมองเจ้าอยู่เฉยๆ แน่ ถ้าทั้งโลกถูกมันสร้างขึ้นมา ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมีโอกาสเอาชนะมันได้ เผลอๆ สุดท้ายพวกเราทั้งสองเผ่าพันธุ์อาจจะถูกทำลายจนไม่เหลือซากเลยก็ได้”


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” โรแลนด์ตอบอย่างสบายใจ ข้ายื่นมือไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง “ดังนั้นพวกเราจึงลงเรือลำเดียวกันแล้ว”


ครั้งนี้ ไนท์แมร์ค่อยๆ ยื่นมือขวามาจับมือเขาไว้


“อย่างนั้นก็รีบจัดการเรื่องพระผู้สร้างกันเถอะ” เมื่อเห็นข้อตกลงประสบผลสำเร็จ โรแลนด์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งกาแฟของคาบสมุทรคาร์การ์ดให้เธอใหม่ จากนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “มีวิธีไหนที่จะติดต่อเฮคซอดไหม? บอกให้มันเอาแผ่นดินลอยฟ้าถอยกลับไป หรือไม่ก็ให้ความร่วมมือกับพวกข้า ปล่อยให้กองทัพที่หนึ่งเข้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็ไม่เลวเหมือนกัน”


“สายไปแล้ว” วัลคีรีย์ส่ายหัว


“อะไรนะ?”


“ก่อนหน้านี้ที่ข้าอยากให้เฮคซอดเข้ามาในโลกแห่งความฝัน หนึ่งก็เพราะอยากจะได้ข่าวคราวของโลกภายนอกจากมัน สองก็เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะกล่อมมัน แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ มันเชื่อคำแนะนำของอุรูคแล้ว พระผู้สร้างก็น่าจะเป็นมันนี่แหละที่ขอมา สถานการณ์ดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว”


“เจ้าหมายความว่า..”


“เจ้าคิดหรือว่าอาศัยแค่สกายลอร์ดเพียงตัวเดียวจะสามารถควบคุมไพ่ตายของเผ่าพันธุ์ได้? ทันทีที่พระผู้สร้างมาถึงทางตะวันตก การที่จะทำให้มันกลับไปนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย อย่าว่าแต่เฮคซอดเลย ต่อให้เป็นข้าก็ไม่มีทางทำให้จักรพรรดิกับราชาทั้งหมดเชื่อได้แน่” วัลคีรีย์พูดตรงๆ “ยิ่งไปกว่านั้นการที่สกายลอร์ดขอเอาพระผู้สร้างมาใช้ มันจะต้องได้รับความกดดันอย่างมากแน่ ตอนนี้โอกาสที่จะดึงมันมาเป็นพวกนั้นเรียกได้ว่าเหลือน้อยเต็มที พูดอีกอย่างคือคนที่ตกลงจะร่วมมือกับเจ้านั้นมีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นแบบนี้”


“ตอนนี้?” โรแลนด์จับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว “เจ้ามีวิธีอื่นที่จะกล่อมเฮคซอดได้เหรอ?”


วัลคีรีย์ไม่ได้ปฏิเสธ “ข้ารู้จักมันดี ถ้าจะให้มันก้าวออกมาแบกรับความเสี่ยงทั้งหมด ด้วยการต่อต้านคำสั่งของจักรพรรดทั้งๆ ที่หนทางข้างหน้ายังไม่ชัดเจนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ถ้าเตือนมันหลีกเลี่ยงอันตรายนั้นกลับไม่ใช่เรื่องยาก ปกติแล้วมันมักจะเป็นคนที่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากที่สุด…”


มุมปากของโรแลนด์กระตุกขึ้นมา คำพูดนี้ถ้าจะแปลให้ฟังดูดีก็คือระมัดระวัง แต่จะแปลให้แย่ก็คือขี้ขลาดนั้นแหละ


“ข้าจะเขียนจดหมายบอกให้มันออกห่างจากพระผู้สร้าง นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าสามารถทำได้ ขอเพียงเจ้าเอาจดหมายไปส่งถึงมันได้ มันก็เป็นไปได้สูงที่เฮคซอดจะทำตาม แต่สงครามที่กำลังจะระเบิดขึ้นนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากเอาชนะพระผู้สร้างได้แล้ว เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินอีก” วัลคีรีย์พูดช้าๆ ชัดๆ “มีแต่ต้องถล่มให้มันร่วงตกลงมา เฮคซอดถึงจะรู้ว่าสงครามแห่งโชคชะคานั้นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง โอกาสที่ข้าจะพูดกล่อมมันก็จะเพิ่มขึ้น”


“ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ จนกว่าสงครามแห่งโชคชะตา…จะจบสิ้นลง และนั่นก็คือพื้นฐานของการร่วมมือกันของพวกเรา” เธอเบือนสายตาหนี ทำให้โรแลนด์ไม่สามารถสังเกตดูสีหน้าเธอได้ “ถ้าเจ้าทำไม่ได้ อย่างนั้นก็คิดซะว่าข้าไม่เคยพูดอะไร”


ตอนที่ 1386 ทางออก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งความฝัน โรแลนด์ก็รีบเรียกทิลลีเข้ามาทันที


“รายละเอียดเกี่ยวกับแผ่นดินลอยฟ้าข้าพอจะเข้าใจแล้ว มันเป็นสิ่งที่ปีศาจสร้างขึ้นมาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกเรียกว่า ‘พระผู้สร้าง’”


ทิลลีตกตะลึง จากตอนที่เธอนำข่าวนี้มาแจ้งจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แล้วเขาไปได้ข้อมูลนี้มาจากไหน?


“เอาเป็นว่า ข้ามีแหล่งข่าวพิเศษ” โรแลนด์ย่อมต้องมองเห็นความสงสัยในใจของอีกฝ่าย เพียงแต่เรื่องที่ไนท์แมร์ถูกขังอยู่ในโลกแห่งความฝันมันซับซ้อนมากเกินไป เขาเลยเลือกที่จะข้ามไป “ข้อมูลนี้อาจจะมีผิดพลาด ดังนั้นจึงแค่ใช้อ้างอิงได้เท่นั้น ในสถานการณ์จริงพวกเจ้าต้องไปสำรวจยืนยันดูด้วยตัวเองอีกที”


จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่มาของพระผู้สร้างออกมาคร่าวๆ


“อย่างนั้น ความจริงแล้วมันก็คือเมืองลอยฟ้าอย่างนั้นเหรอ?” ทิลลีพูดอย่างตกตะลึง


“อื้อ” โรแลนด์พยักหน้า “แต่มันใหญ่กว่าเมืองๆ หนึ่งมาก”


จากที่วัลคีรีย์บอกมา มันคือการเอาเสาโอเบลิสที่ผลิตหมอกแดงได้กับแกนพลังเวทมนตร์มารวมกัน จนทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้มันจะไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างพระผู้สร้าง แต่มันกลับรู้เรื่องแผนการนี้ทั้งหมดเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้ตัวเลขพารามิเตอร์ต่างๆ ที่น่าเชื่อถือออกมา ปีศาจได้ทำการทดลองอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนในการทดลองที่เมืองทาพูไนซ์เมื่อร้อยปีก่อน มันได้ทำลายเมืองจนพังพินาศเกือบทั้งเมือง พลังเวทมนตร์ที่ระเบิดออกมาฉีกแผ่นออกในพริบตา สิ่งก่อสร้างกระเด็นลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ ปีศาจชั้นต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนถูกโยนขึ้นไปข้างบน ก่อนจะร่วงตกลงมากลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ


เพื่อที่จะปิดบังข่าวนี้ สุดท้ายจักรพรรดิได้บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุทางเวทมนตร์ ถึงแม้ความเสียหายจะรุนแรง แต่แผนการกลับไม่หยุดลง แถมยังก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้นด้วย นอกจากสงครามแห่งโชคชะตาที่คืบใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว การที่ปีศาจเร่งรีบที่จะหลุดพ้นจากข้อจำกัดของหมอกแดงก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้แผนการนี้ยังคงเดินหน้าต่อไป อย่างน้อยความเสียหายในครั้งนี้ก็ทำให้ปีศาจระดับสูงมองเห็นว่าแผนการนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริงอยู่


และพระผู้สร้างก็คือผลลัพธ์ที่พวกมันได้รับ


พลังเวทมนตร์แทรกซึมลงไปใต้พื้นดินหลายพันเมตร ก่อนจะยกพื้นดินรัศมีหลายสิบกิโลเมตรให้ลอยขึ้นมา เมื่อมองลงมาจากบนฟ้า มันคือแผ่นดินที่ลอยอยู่บนฟ้า แต่ถ้ามองจากด้านล่าง ลักษณะที่ด้านบนกว้างด้านล่างแคบของมัน ทำให้มันดูเหมือนยอดเขากลับหัวที่ลอยอยู่ข้างบน เมื่อทำการปรับพลังเวทมนตร์ของแกนพลังเวทมนตร์ พระผู้สร้างไม่เพียงแต่จะสามารถลอยขึ้นลงได้ แต่มันยังลอยไปมาในอากาศได้เหมือนเรือด้วย


และก็เป็นเพราะจุดเด่นตรงนี้ ปีศาจระดับสูงถึงได้มองว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะใช้โจมตีกลับอาณาจักรซีสกายได้ ทันทีที่ช่วงชิงดินแดนของมนุษย์มาได้ พวกมันก็จะมีเวลาให้พักผ่อนอีกรอบหนึ่ง พอในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งหน้ามันก็จะมีพระผู้สร้างจำนวนมากลอยอยู่บนฟ้า แล้วพวกมันก็จะพาปีศาจคุ้มคลั่งจำนวนมหาศาลบุกไปยังอาณาจักรซีสกาย


ข้อมูลเหล่านี้ทำให้โรแลนด์รู้ว่าในช่วงเวลา 400 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถดูถูกได้เช่นเดียวกัน พวกมันเดินไปบนเส้นทางแห่งเทคโนโลยีที่แต่งต่างจากมนุษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเป็นฝ่ายล้าหลัง


พลังเวทมนตร์นั้นเป็นพลังที่มีพลังแฝงอย่างมากชนิดหนึ่ง จากแผนการพระผู้สร้างจะสามารถเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีกแผ่นดิน การทำให้สิ่งก่อสร้างจำนวนนับไปถ้วนลอยขึ้นไปบนฟ้า หรือว่าการทำให้แผ่นดินยกขึ้นมา ปริมาณพลังเวทมนตร์ที่ต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานล้วนแต่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก ตอนนี้การทดลองของปีศาจเหมือนจะยังเป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์อยู่  แต่การเปลี่ยนแปลงทางปริมาณมักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ทันทีที่ประสบการณ์เหล่านี้กลายเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระบบ ความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว


ซึ่งในจุดนี้ก็เหมือนกับมนุษย์


เอาไว้สงครามจบสิ้นลงเมื่อไร เขาต้องรีบสร้างสถาบันศึกษาเวทมนตร์ขึ้นมาเสียแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถชักนำให้คนรุ่นหลังทำการศึกษาพลังชนิดนี้ได้


ซึ่งนี่คือแก่นของวิทยาศาสตร์


ขอเพียงสิ่งๆ นั้นมีอยู่ มันก็จะถูกสังเกตและทำการทดลองด้วยวิทยาศาสตร์ได้


“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านได้ข้อมูลมาอย่างไร แต่ฟังดูแล้วเหมือนมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” ทิลลีพูดเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ “อย่างนั้น ท่านคิดวิธีที่จะจัดการกับพระผู้สร้างได้หรือยัง?”


“อันดับแรก เจ้าสิ่งนี้มันไม่กลัวปืนใหญ่ ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งควรจะรักษากำลังของตัวเองเอาไว้เป็นสำคัญ อันดับต่อมา หลังจากนี้อัศวินอากาศจะเป็นหัวใจสำคัญในการรบ” โรแลนด์ค่อยๆ พูด “วิธีที่จะจัดการกับมันไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่มันจะสำเร็จหรือเปล่านั้น เราก็ยังไม่อาจรู้ได้”


เมื่อต้องเจอกับแผ่นดินลอยฟ้า ต่อให้ใช้แสงแห่งอาทิตย์ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลดีอย่างที่ดีคิดเอาไว้ ในจุดนี้เคยมีการยืนยันมาก่อนแล้วในประวัติศาสตร์ ในปฏิบัติการครอสโรดส์ ระเบิดพลูโตเนียมขนาด 23 กิโลตันสองลูกถูกจุดระเบิดกลางอากาศและในน้ำ โดยระเบิดที่ถูกจุดกลางอากาศไม่สามารถจมเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปจากจุดศูนย์กลางของระเบิด 300 กว่าเมตรได้ ส่วนขอบเขตความเสียหายของระเบิดที่ถูกจุดขึ้นใต้น้ำก็ไม่ถึงหนึ่งพันเมตร ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าในตอนที่ต้องเผชิญกับเป้าหมายขนาดใหญ่ อานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์จะลดลงอย่างมาก


แถมพระผู้สร้างยังใหญ่กว่าเรืออย่างมากด้วย


มันก็เหมือนกับการเอาระเบิดต้นแบบที่เขามีอยู่ในตอนนี้ไประเบิดเทือกเขาสิ้นวิถี ถึงจะโยนลงไป 100 ลูก แต่ก็คงจะทำลายได้แค่เสี้ยวหนึ่งของเทือกเขาเท่านั้น


ถ้าหากระเบิดมีน้ำหนักมากพอ ปัญหาทุกอย่างก็จะสามารถแก้ไขได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ น้ำหนักของระเบิดที่ผลิตได้มากที่สุดเกรงว่าจะอยู่ที่ 10 กิโลตันเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้นอกจากต้องใช้พลังของแสงแห่งอาทิตย์แล้ว เขายังต้องคิดแผนการขึ้นมาอีกแผนหนึ่งเพื่อใช้สำหรับการโจมตีครั้งนี้


หัวใจสำคัญของพระผู้สร้างนั้นอยู่ที่เสาโอเบลิสต้นนั้น จากสิ่งที่วัลคีรีย์บรรยายมา มันตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางเมือง เพื่อเป็นการสะดวกต่อการเก็บหมอกแดง พวกปีศาจชั้นต่ำจะล้อมรอบเสาโอเบลิสแล้วขุดหลุมลึกลงไป ซึ่งนี่คืองานที่พวกปีศาจที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ต้องทำไปตลอดชีวิต หมอกแดงที่มีน้ำหนักมากกว่าอากาศจะค่อยๆ จมลงไปด้านล่าง แล้วรวมกันเป็นบ่อละอองชีวิต พอนานวันเขามันก็จะค่อยๆ สะสมจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่


นี่ทำให้โรแลนด์นึกถึงภาพเมืองปีศาจที่เขาเคยเห็นในเศษเสี้ยวความทรงจำมา หอคอยจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสร้างเรียงไปตามหน้าผา กลางหลุมคือหมอกแดงที่รวมตัวกันเป็นเหมือนผลึก หลังผ่านการสะสมมาเป็นเวลาพันปี ความลึกของทะเลสาบหมอกแดงเกรงว่าคงจะลึกจนน่าตกใจ แรงกดดันอันมหาศาลทำให้ความเข้มข้นของหมอกแดงที่อยู่ด้านล่างเพิ่มขึ้นจนทำให้ทำมันเปลี่ยนจากของเหลวกลายเป็นผลึก


เมืองที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นพระผู้สร้างก็เป็นเมืองเก่า ด้านล่างของเสาโอเบลิสเองก็มีทะเลสาบหมอกแดงอยู่ และตรงนั้นก็คือทางออกของปัญหาในครั้งนี้


‘ทฤษฎีละอองชีวิต’ ของวัลคีรีย์เองก็ช่วยพิสูจน์การทดลองและสมมติฐานของลิลลีที่ผ่านมาก ตัวตนที่้แท้จริงของหมอกแดงคือปรากฏการณ์หมอกที่เกิดขึ้นมากลุ่มสิ่งมีชีวิตเล็กๆ รวมตัวกัน ขนาดของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก แล้วก็ยากที่จะสำรวจมันด้วยกล้องจุลทรรศน์ได้ ขณะเดียวกันมันยังมีพลังเวทมนตร์ แล้วก็สร้างการกัดกร่อนอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ปีศาจ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ลิลลีไม่สามารถใช้พลังในการควบคุมหมอกแดงได้เสียที


หมอกแดงมีลักษณะพิเศษของสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย อย่างเช่นกลัวไฟ เมื่ออยู่ภายใต้อุณหภูมิสูง มันจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง มันจะลุกติดไฟได้ นี่ไม่ได้ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีธาตุคาร์บอนเป็นธาตุพื้นฐาน การที่มันมีจุดติดไฟ 800 – 900  องศาเซลเซียสก็ถือว่าแปลกประหลาดอย่างมากแล้ว


มีเพียงสิ่งเดียวที่มันไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่น นั่นคือมันมีขนาดเล็กมาก ด้วยเหตุนี้เวลาที่มันผสมเข้ากับอากาศ มันจะเกิดการระเบิดขึ้นมา ขวานเหล็กเคยทำการระเบิดหมอกแดงที่เมืองทัสก์ที่เป็นเมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ทมาแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือจุดไฟเผาท้องฟ้า


การเผาไหม้ของละอองชีวิตจะทำให้พลังงานลดลงอย่างรวดเร็ว แล้วก็เผาไหม้ออกซิเจนที่อยู่รอบๆ ไปจนหมด ด้วยเหตุนี้อุณหูมิตอนตั้งต้นจึงต้องสูงมากพอถึงจะได้ ตามหลักแล้วระเบิดเพลิงจำนวนมากก็ทำให้เกิดผลเช่นนี้ได้เหมือนกัน แต่การจะขนเอาระเบิดนาปาล์มจำนวนนับร้อยนับพันถังขึ้นไปบนพระผู้สร้าง เขาจำเป็นต้องมีหน่วยเครื่องบินทิ้งระเบิดถึงจะทำได้


ส่วนแสงแห่งอาทิตย์ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก อุณหภูมิตรงใจกลางของมันก็จะไม่ถูกลดลง


ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องแก้ไขคือจะทำยังไงถึงจะฝ่าแนวป้องกันที่มีปีศาจและอสูรสยองจำนวนมากคอยเฝ้าอยู่ แล้วตรงเข้าไปด้านบนของเสาหินโอเบลิสเพื่อทิ้งระเบิดลงมา


“มีวิธีก็ดี” สีหน้าของทิลลีเหมือนจะเบาใจขึ้น “ไม่ว่าโอกาสสำเร็จมันจะมีมากน้อยเท่าไร ทุกคนก็จะช่วยทำให้มันกลายเป็นจริงให้ได้ เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราเป็นคนจัดการเองท่านพี่ เดี๋ยวข้าจะเอาข่าวดีนี้ไปแจ้งทางศูนย์บัญชาการ”


ความรู้สึกที่ได้รับความเชื่อใจอย่างเต็มที่อย่างนี้ทำให้โรแลนด์เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา


เขาชะงักไปเล็กน้อย หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงหยิบเอาปากกาขนนกขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนกระดาษ “แล้วก็ ข้ามีของบางอย่างอยากจะให้เจ้าเอาไปให้เอดิธส์ เคนท์หน่อย”


หลังเขียนเสร็จเขาก็ไม่ได้เอาจดหมายใส่เข้าไปในซอง หากแต่ส่งไปให้ทิลลีดู


อีกฝ่ายกวาดตามอง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่มัน…”


“ภาษาของปีศาจ” โรแลนด์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ตอนที่ 1387 สถานีวิทยุไร้สาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“น่าเกลียดจริงๆ เลย” ทิลลีมุ่ยปาก


โรแลนด์ยิ้มแห้งๆ ถ้าบอกว่าตัวหนังสือของสี่อาณาจักรใหญ่ดูยึกยือเหมือนกับไส้เดือน อย่างนั้นตัวหนังสือของปีศาจก็ดูวุ่นวายอย่างมาก ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับสัญลักษณ์เวทมนตร์อย่างไรอย่างนั้น บวกกับเขาอาศัยความจำล้วนๆ ในการเขียนออกมา ทำให้เขียนออกมาแล้วดูยุ่งเหยิงอย่างมาก ไม่รู้ว่าเฮคซอดจะอ่านเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า


เขาเองก็เคยถามวัลคีรีย์เหมือนกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายโต้กลับมา


เธอคิดว่าถ้าให้มนุษย์เป็นคนเขียนมันจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะนี่จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอยังไม่ได้หายไปในโลกแห่งจิตสำนึก แล้วก็ยังแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังลำบาก ถึงได้ต้องใช้วิธีแบบนี้ในการส่งข่าวออกมา ถ้าให้เธอเขียนจดหมายออกมาด้วยตัวเองเลย มันกลับจะทำให้เฮคซอดที่เป็นคนระมัดระวังตัวเองสงสัยได้ว่าอาจจะเป็นกับดัก เพราะในเมื่อสามารถส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองออกมาได้ ทำไมถึงไม่ออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกเลย?


“อย่างนั้นจดหมายมันเขียนว่ายังไง?”


“มันบอกให้สกายลอร์ดพยายามหลีกเลี่ยงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นจดหมายฉบับนี้ต้องให้ทางทีมที่ปรึกษาคิดหาทางเอาไปส่งให้ถึงมือปีศาจให้ได้”


“ท่านพี่ ท่านสบายดีหรือเปล่า?” ทิลลีพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง “ราชาของศัตรูมันจะมาฟังท่านได้ยังไง?”


“ลองดูหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่…” โรแลนด์แสร้งทำหน้าไม่ใส่ใจ “ถ้าเกิดมันสำเร็จล่ะ?”


ความจริงปัญหานี้เขาก็เคยถามไนท์แมร์เหมือนกัน อีกฝ่ายตอบเขากลับมาว่าอายุขัยของปีศาจระดับสูงมักจะยาวนานเป็นหลายร้อยปี ในช่วงเวลานี้นิสัยและวัฒนธรรมของพวกมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ตัวหนังสือจึงมักจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวอยู่ ซึ่งเอกลักษณ์ตรงนี้จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าตราประทับหรือสัญลักษณ์เสียอีก


“เอาล่ะ” ทิลลีรับจดหมายมาอย่างเหนื่อยใจ “ในเมื่อท่านขอร้องมาแบบนี้ล่ะก็”


ในขณะที่เธอกำลังจะบอกลา โทรศัพท์จากห้องทดลองเนินทิศเหนือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นมา


โรแลนด์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา คนที่โทรมาคืออันนา


หลังฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาพลันยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพูดกับทิลลีว่า “วันนี้เจ้ายังไม่ต้องรับกลับไปหรอก พักอยู่ที่ปราสาทซักคืน ข้ามีของเล่นชิ้นใหม่อยากจะให้เจ้าพอดี”


….


ภายในห้องทดลอง ทิลลีได้เห็นกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่โรแลนด์เรียกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่แห่งการปฏิบัติอยู่สองกล่อง


จะบอกว่ามันเป็นกล่องก็คงไม่ผิด ขอบด้านข้างของมันไม่เพียงแต่จะมองเห็นช่องและบานพับของแผ่นปิดได้อย่างชัดเจน แต่ขนาดของมันแค่ประมาณ 30 เซนติเมตรเท่านั้น เหมือนว่าสามารถถือเอาไว้ในมือได้เลย ขนาดนี้เมื่อเทียบกับเครื่องจักรที่น่าตกตะลึงก่อนหน้านี้แล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันมาก


และจุดที่กล่องสองกล่องนี้แตกต่างจากกล่องธรรมดาทั่วไปน่าจะอยู่ที่ด้านหน้าของมันมีปุ่มกดและปุ่มหมุนตั้งเรียงรายอยู่บนแผ่นโลหะที่ส่องประกายแวววาว


“นี่มัน..”


“สถานีวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่แบบไร้สาย” อันนาอธิบาย “มันเป็นเหมือนกับหอคอยโทรเลขที่ย่อส่วนลง ข้อดีของมันคือสามารถส่งเสียงพูดคุยกันได้เลย แต่ระยะทางก็จะสั้นกว่าโทรเลขมาก”


“อย่างนี้นี่เอง..เดี๋ยวๆ” ทิลลีตกตะลึงไปทันที เธอมองไปทางโรแลนด์ “นี่คืออุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?”


ถึงแม้อีกฝ่ายจะเคยเล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้แล้ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วมันจะมีขนาดเล็กกะทัดรัดแบบนี้! ต่อให้ติดตั้งไปบนเครื่องบินได้ มันก็น่าจะกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของใต้ท้องเครื่องบินไปถึงจะถูก เพราะว่าขนาดของหอส่งโทรเลขมันยังใหญ่ขนาดนั้น แค่ย่อให้มันเล็กลงมาเท่ากับเฮฟเว่นเฟลมได้ก็ถือว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว


โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเธอ เขายื่นมือออกไปเปิดฝาปิดกล่องไม้


สายไฟที่พันกันไปมาและชิ้นส่วนต่างๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอทันที ถึงแม้จะไม่เข้าใจหลักการทำงานของมัน แต่ทิลลีก็รู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้มันไม่เหมือนกับอุปกรณ์เครื่องจักรที่ผ่านมา


“มันถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงเครื่องแรกของโลก ถึงแม้มอเตอร์ หลอดไฟ โทรศัพท์และเครื่องโทรเลขก่อนหน้านี้จะใช้กระแสไฟฟ้า แต่ความจริงแล้วมันเป็นแค่การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าและปล่อยออกไปในรูปแบบอื่นเท่านั้น” โรแลนด์พูด “แต่เจ้าวิทยุสื่อสารมีระบบวงจรของมันเอง สามารถใช้กระแสไฟฟ้ามาควบคุมกระแสไฟฟ้าได้ มันก็เหมือนกับการเปลี่ยนฟันเฟือง สกรูและตลับลูกปืนให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้า ขนาดในตอนนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่แล้ว”


“พระองค์ทรงกำลังโทษว่าหม่อมฉันฝีมือไม่ดีพออย่างนั้นเหรอเพคะ?” อันนาเหลือบมองเขา


“แค่กๆ…ไม่ใช่แบบนั้น” โรแลนด์รีบกระแอม “เป็นเพราะแปลนของศูนย์ออกแบบมันยังไม่ประณีตพอน่ะ”


“เป็นเพราะพี่อันนาทำงานจนมืดทุกคน ตัวอย่างทดลองถึงได้สร้างเสร็จเร็วขนาดนี้” ลูเซียที่เป็นผู้ช่วยพูดเสริมขึ้นมา “หลักๆ แล้วเป็นเพราะในหลอดสุญญากาศมันต้องมีสภาพสุญญากาศ แล้วก็ต้องใส่ชิ้นส่วนเข้าไปหลายชิ้น ถ้าไม่มีไฟสีดำ เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้”


หัวใจสำคัญของวิทยุสื่อสารนั้นอยู่ที่หลอดสุญญากาศที่รวมเอาการขยาย การดีมอลดูเลทและการสั่นสะเทือนเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้มันยังเป็นสัญลักษณ์ว่ามนุษย์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยอิเล็กทรอนิกส์ โรแลนด์ย่อมต้องดูว่ามันยากลำบากแค่ไหน ตัวอย่างที่พังเสียหายที่วางกองอยู่ด้านนอกห้องทดลองเนินทิศเหนือคือเครื่องยืนยัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ถนัดในเรื่องวิทยาศาสตร์ไฟฟ้าด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงต้องให้อันนาเป็นคนค่อยๆ ทดลองและปรับเปลี่ยนดูด้วยตัวเอง


และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสถานีวิทยุคลื่นสั้นที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้มันคือความคิดที่ยอดเยี่ยม หลังจากนี้งานของอันนาจะต้องเน้นไปที่เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ หลอดสุญญากาศที่เจียดเวลาว่างในการสร้างขึ้นมาสามารถทำให้อัศวินอากาศพึงพอใจได้นั้นถือว่าดีมากแล้ว


“ข้าขอลองดูได้ไหม?” ทิลลีรีบถามขึ้นมาทันที


“ได้สิ” อันนาพยักหน้ายิ้มๆ


ไม่นานทั้งสามคนก็ทดลองเล่นเครื่องวิทยุสื่อสาร ภายในห้องทดลองเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข


ต้องขอบคุณที่ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นมารบกวน ขอบเขตการส่งสัญญาณภาคพื้นดินของสถานีวิทยุตัวต้นแบบจึงสามารถส่งสัญญาณออกไปได้ไกลมากกว่า 2 กิโลเมตรอย่างสบายๆ หากเอาไปใช้บนท้องฟ้านั้นย่อมต้องส่งออกไปได้ไกลขึ้นอย่างแน่นอน แม้จะเป็นตอนที่เครื่องโทรเลขแบบสปาร์คส่งโทรเลขออกไป สถานีวิทยุก็จะได้รับสัญญาณรบกวนอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่มีเหตุด่วนฉุกเฉินอะไร เจ้าหน้าที่ส่งโทรเลขก็จะเลือกส่งโทรเลขตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ไปซ้อนทับกับเวลาออกปฏิบัติการของอัศวินอากาศ


ในสายตาของโรแลนด์ การสร้างสถานีวิทยุไร้สายออกมาได้สำเร็จนั้นมีความสำคัญต่ออัศวินอากาศมากกว่าการสร้างปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม.ออกมาเสียอีก การสื่อสารแบบเรียลไทม์จะช่วยขยายขอบเขตในการจัดรูปแบบการบินได้ ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์การรบทางอากาศออกมาได้อย่างเต็มที่ ภายใต้การประสานงานกันอย่างถูกต้องแม่นยำ ความแข็งแกร่งในการรบแบบเป็นทีมจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ด้าน เรียกได้ว่าอัศวินอากาศที่ทำแบบนี้ต่างหากถึงจะถือว่าเป็นกองทัพอากาศที่แท้จริง


เห็นได้ชัดว่าทิลลีมองออกถึงจุดนี้ หลังจบการทดสอบแล้ว การเร่งเร้าของเธอก็เปลี่ยนจากเครื่องบินมาเป็นวิทยุไร้สาย


เช้าวันถัดมา เธอพกเอาวิทยุตัวอย่างขึ้นฟินิกส์ไปด้วย


ในตอนที่เครื่องบินสีแดงส้มหายลับไปในขอบฟ้า แสงแดดที่เจิดจ้าพลันทะลุชั้นเมฆ จากนั้นลำแลงอันอบอุ่นนับพันนับหมื่นเส้นก็แผ่กระจายลงมา


ในที่สุดเดือนแห่งปีศาจที่ดำเนินมา 4 เดือนก็สิ้นสุดลง


ในขณะเดียวกัน พระจันทร์สีแดงที่ลอยอยู่เหนือหัวก็หายไปด้วย ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน


แต่โรแลนด์รู้ว่านี่ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของสงครามแห่งโชคชะตา


เมื่อหลายร้อยปีก่อน ปีศาจฉวยโอกาสตั้งเสาโอเบลิสตอนที่พระจันทร์สีแดงส่องแสงลงมาบนพื้นโลก แล้วก็รอคอยให้มันเติบโตอย่างเงียบๆ กระทั่งทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกมันถึงจะเปิดฉากโจมตีอย่างเป็นทางการ


สงครามแห่งชะตาชีวิตมักจะเผยโฉมที่แท้จริงออกมาในช่วงเวลานี้


ตอนนี้ มนุษย์กลับมายืนอยู่บนจุดเดิมอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้ โฉมหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว


เขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย


…………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)