Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1380-1381

 ตอนที่ 1380 ปีกของฟินิกส์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลำตัวมันดูเรียวยาว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นเส้นโค้งที่ดูราบเรียบ ผิวที่เป็นมันวาวสามารถสะท้อนเงาคนออกมาได้


ตรงห้องคนขับเครื่องบินมีกระจกใสครอบเอาไว้เหมือนฟองอากาศที่ปูดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามีการคิดถึงเรื่องผลกระทบจากกระแสอากาศในตอนที่บินด้วยความเร็วสูง ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่นั่งคนขับยังค่อนไปทางด้านหลัง ด้านท้ายฟองอากาศสูงกว่าด้านหน้า แล้วก็ผสานเข้ากับตัวเครื่องบินได้อย่างแนบสนิท ข้อดีของการออกแบบเช่นนี้นั้นเรียกได้ว่าแค่มองดูก็รู้ การที่ด้านหน้าต่ำด้านหลังสูงนั้นจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้กับนักบิน ด้านท้ายกระจกครอบรับไปกับหางของเครื่องบินได้อย่างพอดิบพอดี ทำให้ทุกๆ ส่วนของลำตัวเครื่องบินดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


ส่วนจุดที่แตกต่างจากเครื่องบินรุ่นเก่ามากที่สุด แล้วก็เป็นจุดที่นักเรียนทุกคนต่างสังเกตเห็น นั่นก็คือส่วนหัวเครื่องบินไม่มีใบพัด!


เมื่อไม่มีเครื่องยนต์แบบสูบนอน ส่วนหัวเครื่องบินทั้งหัวก็ลู่กลายเป็นทรงกรวยเรียวยาว ให้ความรู้สึกทะลุทะลวงไปในหมู่เมฆ ลำตัวเครื่องบินส่วนใหญ่ถูกทาด้วยสีแดงส้ม ทำให้มันดูเหมือนเปลวเพลิงที่เรียวยาว เส้นตัดสีขาวสามสี่เส้นลากยาวตั้งแต่ส่วนหัวไปจรดปลายหาง นี่ยิ่งทำให้เครื่องบินเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องเครื่องบินก็ยังสัมผัสได้ถึงความสวยงามและสง่างามของมัน


แวบแรกที่ได้เห็นเครื่องบิน ทิลลีก็พบว่าตัวเองตกหลุมรักมันในทันที


แต่ว่า…ถ้าไม่มีใบพัด เจ้าเครื่องบินนี้มันจะบินขึ้นไปได้ยังไง?


ไม่ใช่แค่ทิลลีเท่านั้น หลายๆ คนที่มองดูมันต่างก็คิดเช่นนี้ด้วย


จนกระทั่งตู้คอนเทนเนอร์อีกสองตู้ถูกเปิดออก ข้อสงสัยนี้จึงได้รับคำตอบ


ตู้คอนเทนเนอร์ตู้ที่สองบรรจุปีกกับหางเครื่องบินเอาไว้ เมื่อดูจากจำนวนแล้ว มันมีแค่ปีกคู่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับเฮฟเว่นเฟลมที่มีสองคู่ ด้านใต้ปีกมีข้อต่อที่สมมาตรกันอยู่สองแห่ง เห็นได้ชัดว่าเอาไว้ต่อเข้ากับอุปกรณ์อื่น


ในตู้คอนเทนเทอร์ใบสุดท้ายมีเครื่องยนต์สองเครื่อง


แต่ถ้าบอกว่ามันเป็นแค่เครื่องยนต์ ขนาดของมันก็ดูจะใหญ่ไปเสียหน่อย


เมื่อเทียบกับเฮฟเว่นเฟลมแล้ว มันเหมือนเป็นเครื่องยนต์สำเร็จรูปที่สามารถทำการเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทิลลีสังเกตมันอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นว่าผิวของมันถูกทาสีเป็นสีแดงเหมือนกับตัวเครื่องบิน ด้านบนมีรูสำหรับมองเข้าไปดูในเครื่องยนต์อยู่หลายรู ส่วนรูที่อยู่ใต้เพลามีอาวุธสีดำติดตั้งเอาไว้อยู่


เมื่อคิดถึงเรื่องข้อต่อที่เหลือเอาไว้ตรงปีกเครื่องบิน ภายในหัวเธอก็ค่อยๆ มีหน้าตาคร่าวๆ ของเครื่องบินรุ่นใหม่ปรากฏขึ้นมา


ตัวเครื่องไม่ต้องแบกรับระบบขับเคลื่อน ปีกที่เรียวยาวติดตั้งอยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่อง ทำให้มีแรงต้านลดลง เครื่องยนต์สองเครื่องติดตั้งอยู่ที่ปิดเครื่องบินทั้งสองด้าน ทำให้เพิ่มแรงดันให้เครื่องบินเป็นสองเท่า…


เธออยากจะขึ้นไปขับมันในตอนนี้เลย!


“เออใช่” มอลลี่หยิบเอาจดหมายออกมาจากกระเป๋ากางเกง “นี่เป็นจดหมายที่ฝ่าบาททรงส่งมาพร้อมกับของเพคะ บนจดหมายเขียนว่าต้องให้พระองค์เป็นคนเปิดจดหมายเองเพคะ”


ทิลลีหยิบเอาจดหมายออกมากางอ่าน


‘น้องสาวที่รัก’


‘นี่คือของขวัญที่ข้าสัญญาเอาไว้ หวังว่าเจ้าจะชอบมันนะ’


‘เรื่องรายละเอียดและวิธีการใช้งานอย่างละเอียดของมันอยู่ในคู่มือที่อยู่ในห้องคนขับแล้ว แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรีบขึ้นไปขับมันโดยไม่ได้อ่านมันอย่างละเอียด’


‘ถ้ามันขึ้นบินตอนนี้ได้ อย่างนั้นแม้แต่จดหมายฉบับนี้เจ้าก็คงโยนทิ้งไม่อ่านแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าส่งมันไปที่อาณาจักรดอว์น อย่างน้อยในตอนที่คนงานประกอบมัน เจ้าก็จะได้มีเวลาอ่านคู่มือของมัน’


‘เพราะโครงสร้างและความสามารถของมันแตกต่างจากเฮฟเว่นเฟลมโดยสิ้นเชิง ถึงแม้เจ้าจะเป็นอมนุษย์ แต่การทำความเข้าใจมันก่อนที่จะขึ้นบินก็ไม่มีอะไรเสียหาย’


อะไรเนี่ย…ทิลลีมุ่ยปากอย่างเขินๆ ข้ามองออกง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?


“ฝ่าบาทบอกว่าอะไรเหรอเพคะ? ข้าก็อยากอ่านบ้าง…” มอลลีชะโงกหน้าขึ้นมา


เธอรีบหันตัวบังเอาไว้ “แค่กๆ ไม่มีอะไร ไม่ต้องอ่านหรอก”


“เอ๋..”


“อยากกินเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไหม?”


“อยาก!”


“ไปเอาที่ห้องทำงานข้าสิ”


ทิลลีชี้บอกทาง มอลลีรีบวิ่งไปยังทิศทางที่เธอชี้อย่างดีใจ


เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันกลับมาอ่านจดหมายอีกครั้ง


‘นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องชื่อของเครื่องบินลำนี้’


‘เดิมข้าอยากจะใช้ชื่อยูนิคอร์นก่อนหน้านี้ แต่มันดูไม่ค่อยเข้ากับสีแดงที่เป็นสีของผู้ปกครองท้องฟ้าเท่าไร ด้วยเหตุนี้ข้าก็เลยเปลี่ยนชื่อให้มันใหม่’


และนั้นก็เป็นชื่อที่ทิลลีไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่เป็นชื่อที่โรแลนด์สร้างขึ้นมาใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย


เธอพยายามอ่านมันออกมา


“ฟินิกส์..”


‘ที่โลกของข้า ฟินิกส์คือนกวิเศษชนิดหนึ่ง มันมักจะเกี่ยวข้องกับไฟ ซึ่งเข้ากับสีแดงพอดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตำนานบอกว่าฟินิกส์ไม่มีวันตาย ทุกๆ 4,600 วันฟินิกส์จะสร้างรังไหมสีทองขึ้นมา และหลังจากนั้นอีก 4,600 วันมันจะเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง’


‘และนี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะบอก ไม่ว่าจะเจอกับศัตรูแบบไหน ข้าก็หวังว่าเจ้าจะรอดกลับมา’


‘เหมือนกับนกฟินิกส์’


‘ข้าจะพาแอสเชสกลับมาให้เจ้า ดังนั้นเจ้าเองก็ต้องรักษาคำสัญญาเหมือนกัน’


‘พวกเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมล่ะ?’


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทิลลีพลันรู้สึกกระบอกตาของตัวเองชื้นขึ้นมา


เธอกะพริบตาแรงๆ เพื่อหยุดไม่ให้น้ำตาไหลออกมา พร้อมกับสูดหายใจลึกๆ


“ฟินิกส์ที่ไม่มีวันตายงั้นเหรอ…” เธอใช้เสียงที่มีแต่ตัวเองที่ได้ยินบ่นพึมพำขึ้นมา “เป็นชื่อที่ไม่เลวนี่ ของขวัญชิ้นนี้ข้าขอรับไว้แล้วกันท่านพี่”


“…องค์หญิง?” องครักษ์งุนงง


“ไม่มีอะไร” ทิลลีโบกมือ “ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน บอกให้พวกเขาประกอบฟิสิกส์ให้เร็วที่สุด ข้าอยากจะลองขับมันแล้ว”


….


หลังจากนั้นสามวัน เครื่องบินลำใหม่ที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยก็เคลื่อนตัวออกมาจากโรงจอดเครื่องบิน ก่อนจะค่อยๆ ไถลไปบนรันเวย์


‘โอ้? นี่คือเครื่องบินของพระองค์ที่ว่าเหรอเพคะ? ดูแล้วไม่เลวจริงๆ ด้วย’


ในรูนสดับมีเสียงไลต์นิ่งดังขึ้นมา


ทิลลีเงยหน้าขึ้น เมื่อมองผ่านกระจกฝาครอบออกไป เธอก็มองเห็นนักสำรวจทั้งสองคนบินวนอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ในฐานะที่เป็นการบินครั้งแรกของฟินิกส์ เธอจึงเรียกตัวไลต์นิ่งกับเมซี่มาเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


ต้องยอมรับเลยว่าการออกแบบภายในเครื่องบินลำนี้ดูดีกว่าภายนอกเสียอีก


ในตอนที่เธอเข้าไปประจำที่นั่งคนขับ เธอพลันเกิดความรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแค่เครื่องบินรบธรรมดาๆ เท่านั้น อย่างเช่นที่นั่งที่ทั้งหนาและนุ่ม เวลานั่งไปนานๆ ก็ไม่รู้สึกปวดเอวปวดหลัง คันบังคับและปุ่มกดต่างๆ ล้วนแต่ออกแบบมาให้ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังมีช่องเอาไว้สำหรับใส่รูนสดับโดยเฉพาะด้วย ถึงแม้จะทำการรบอยู่ ก็ยังสามารถพูดคุยกับคนอื่นๆ ที่ถือรูนสดับดูได้อย่างสบายๆ


เมื่อเทียบกับยูนิคอร์นแล้ว มันเหมือนเป็นเครื่องบินที่ออกแบบมาเพื่อเธอโดยเฉพาะจริงๆ


“อีกเดี๋ยวลองมาแข่งกันดูหน่อยไหมว่าใครเร็วกว่า?” ทิลลีตอบยิ้มๆ


‘อย่าเลยเพคะ ก่อนหน้านี้แม้กระทั่งร่างนกนางแอ่นทะเลของเมซี่ เฮฟเว่นเฟลมก็ยังสู้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาแข่งกันหม่อมฉันเลยเพคะ’ น้ำเสียงของไลต์นิ่งแฝงเอาไว้ความภูมิใจที่ไม่มีการปิดบัง ‘ข้าพูดถูกไหม?’


‘ใช่ แม้แต่ข้าก็ยังสู้ไม่ได้เลยจิ๊บ!’


“ไม่ลองแข่งแล้วจะรู้ได้ยังไง?” ทิลลีเร่งเครื่อง เสียงของเครื่องยนต์ทั้งสองด้านพลันดังขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อเทียบกับการเร่งความเร็วที่เชื่องช้าของเฮฟเว่นเฟลมแล้ว ตัวเครื่องของฟินิกส์เบาจนเหมือนกับไม่มีน้ำหนักอย่างไรอย่างนั้น ภาพทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆ ถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เธอแค่ดึงคันบังคับเบาๆ เครื่องบินก็ส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า


ตอนที่ 1381 ขีดจำกัดความเร็ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังทั้งสามคนข้ามภูเขาเคจเมาเธ่น พวกเธอก็มุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสิ้นวิถีที่อยู่ทางตะวันตก


หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมซี่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปก่อน


บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไป 1,500 เมตร ฟินิกส์ที่มีเครื่องยนต์สองตัวสามารถทำความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบายๆ


“เป็นยังไงบ้าง?” ทิลลีเอามือปิดปาก


‘…หม่อมฉัน หม่อมฉันยังบินไหว…แฮ่ก!’ เมซี่หอบหายใจ


‘เจ้าพยายามเต็มที่แล้ว ต่อไปเดี๋ยวข้าจัดการเอง’


ไลต์นิ่งจับเมซี่ที่สีหน้าไม่ยอมแพ้ยัดใส่เข้าไปในหน้าอก ก่อนจะรับช่วงต่อมาจากเธอ


หนึ่งคนกับหนึ่งเครื่องบินเปิดฉากบินไล่ครั้งใหม่ขึ้นมาบนท้องฟ้าที่อึมครึม


ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ใต้เท้าหดเล็กลงเรื่อยๆ เทือกเขาที่แบ่งเขตอาณาจักรของมนุษย์เองก็ค่อยๆ กลายเป็นเส้นหมึกที่คดเคี้ยว ทิลลีมองเห็นหมอกแดงที่ไหลลงมาจากสันหลังของทวีปเข้าปกคลุมอยู่เหนืออีเทอรืนอลวินเทอร์และวูล์ฟฮาร์ทเหมือนเป็นบาเรียหนาๆ แต่ขอเพียงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บนพื้นดินที่อยู่ในบาเรียนั้นย่อมต้องเต็มไปด้วยละอองสีแดง แต่ขอเพียงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็จะสามารถมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของโลกได้


‘พระองค์เร็วสุดได้แค่นี้เหรอเพคะ?’ เสียงของไลต์นิ่งดังขึ้นมา ‘หม่อมฉันยังบินได้เร็วกว่านี้อีกนะเพคะ!’


ถ้าพูดถึงเรื่องความเร็วเพียงอย่างเดียว ความสามารถของอีกฝ่ายนั้นไม่มีใครจะมาเทียบได้จริงๆ ต่อให้เป็นสกายลอร์ดที่มีพลังประตูมิติก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้เธอ


แต่สำหรับทิลลีแล้ว ชัยชนะนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด


การขับเจ้าเครื่องจักรที่ใหญ่โตแต่คล่องแคล่ว แล้วก็แสดงประสิทธิภาพของมันออกมาให้ถึงขีดสุดนั้นคือความสุขอย่างหนึ่ง


เธอหันสายตากลับมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเชิดหัวเครื่องบินขึ้นยังท้องฟ้าด้านบน


ไลต์นิ่งเองก็ตามขึ้นไป เธอยังรักษาระยะห่างนำอยู่หน้าเครื่องบินประมาณ 100 เมตร


ตามที่คู่มือระบุเอาไว้ ฟินิกส์นั้นได้รับการปรับปรุงจากเทคโนโลยีในโลกแห่งความฝัน ชิ้นส่วนสำคัญๆ ล้วนแต่ได้อันนาเป็นคนทำขึ้นมา คุณภาพของมันเรียกได้ว่าเหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลมมาก ความเร็วสูงสุดในการบินแนวระนาบอยู่ที่ 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางในการบินสูงสุดอยู่ที่ 1,500 กิโลเมตร เครื่องยนต์สูบดาวสองตัวที่วางซ้อนกันยังมีการติดตั้งระบบเทอร์โบเอาไว้ ทำให้มันสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไป 3,000 กิโลเมตรได้โดยที่ความเร็วไม่ลดลง นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เฮฟเว่นเฟลมไม่อาจเทียบได้


แต่ว่านี่ไม่ใช่จุดเด่นที่สุดของฟินิกส์


โครงสร้างตัวเครื่องของมันถูกแคนเดิลและดอริสทำให้แข็งแกร่งขึ้น ความแข็งแรงและความทนทานของมันเรียกได้ว่าเหนือกว่าตัววัสดุมาก ถือได้ว่าเป็นเครื่องบินลำแรกที่มีการผสานเข้าด้วยกันระหว่างเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมและพลังเวทมนตร์


ทิลลีรู้ดีว่าใบพัดจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้มากที่สุดในตอนที่บินด้วยความเร็วต่ำ แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนของมันก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าอยากอาศัยแรงขับเคลื่อนของตัวใบพัดในการไล่ตามไลต์นิ่งให้ทันนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


เธอต้องยืมแรงอื่นมาช่วย


หลังบินขึ้นไปบนชั้นเมฆที่อยู่เหนือขึ้นไปแล้ว ทิลลีก็เหยียบคันเร่งจนสุด พร้อมกับกดคันเร่งลง


เครื่องยนต์ระเบิดเสียงคำรามออกมาทันที!


ฟินิกส์พุ่งดิ่งลงไปข้างล่าง


เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา ไลต์นิ่งเองก็ได้ปรับทิศทางและรีบดิ่งตามลงไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน เธอจึงบินห่างออกไปด้านข้างประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ระยะที่นำอยู่ยังคงอยู่ที่ประมาณ 100 เมตรเหมือนเดิม ภายใต้ความเร็วกับความสูงนี้ ม่านพลังที่เกิดจากการสอดประสานพลังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาให้เห็นรอบตัวเธออย่างชัดเจน คลื่นลำแสงที่สว่างวูบวาบขึ้นมาช่วยปกป้องเธอเอาไว้จากลมหนาวและความกดดันต่ำที่อยู่ภายนอก


เมื่ออยู่ในสภาพนี้ การใช้พลังเวทมนตร์ของเธอจะมากกว่าเวลาบินปกติอย่างมาก


ในตอนที่ทดสอบพลังโรแลนด์ก็เคยเตือนแล้ว ที่ไลต์นิ่งไม่สามารถบินในสภาพความเร็วเหนือเสียงได้เป็นระยะเวลานาน บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะว่าการบินด้วยความเร็วสูงนั้นต้องใช้พลังเวทมนตร์เยอะ หากแต่เป็นเพราะการสอดประสานพลังเวทมนตร์ที่ทำให้ร่างกายสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ต่างหากที่ใช้พลังเวทมนตร์เยอะ


ด้วยเหตุนี้เวลาลาดตระเวนปกติเธอจึงไม่ค่อยบินด้วยความเร็วเสียง


สำหรับแม่มดแล้ว การใช้พลังเวทมนตร์สุ่มสี่สุ่มห้าจนหมดถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก


แต่แน่นอน ในเวลานี้ทิลลีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านั้น อากาศที่เบาบางทำให้เธอหายใจได้ลำบากอย่างมาก การหมุนด้วยความเร็วสูงสุดของเครื่องยนต์และลมอันรุนแรงที่ปะทะเข้ามาทำให้ห้องโดยสารมีเสียงรบกวนและสั่นสะเทือนขึ้นมา เมื่อไม่มีการสอดประสานพลังเวทมนตร์ช่วยปกป้องร่างกายเอาไว้ เธอก็ได้แต่ต้องพึ่งร่างกายตัวเองเท่านั้น


บนหน้าปัดแสดงความเร็วแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ฟินิกส์บินด้วยความเร็วเกือบ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว


นี่มันเกินกว่าขีดจำกัดความเร็วของมันไปมากแล้ว


ถึงแม้ไลต์นิ่งจะยังคงบินนำหน้าเครื่องบินอยู่ แต่เธอก็ไม่มีเวลาที่จะใช้รูนสดับในการพูดกับทิลลีอีก


ถูกต้อง แรงที่ทิลลียืมก็คือแรงโน้มถ่วง


ก่อนหน้านี้ตอนที่จับเครื่องบินปีกสองชั้น เธอพบว่าในตอนที่ระดับความสูงที่สะสมเอาไว้เปลี่ยนเป็นความเร็ว มันจะสามารถทำลายขีดจำกัดของเครื่องบินได้


แต่การทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามได้เหมือนกัน น้อยหน่อยก็จะไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้ หนักหน่อยก็อาจจะเครื่องบินแยกส่วนกลางอากาศ


ถ้าไม่เป็นเพราะเธอสามารถใช้ความสามารถในการรับรู้ขีดจำกัดนั้นได้ เธอคงไม่กล้าใช้การพุ่งลงมาในการเพิ่มความเร็วในระหว่างที่ทำการทดลองบินแบบนี้ได้


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะไล่ตามไลต์นิ่งได้ทันก็ยังน้อยนิด


เธอจำคำพูดที่โรแลนด์เคยบอกเธอได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดของใบพัด การที่เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ลูกสูบจะบินเร็วกว่าความเร็วเหนือเสียงได้นั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงมาก พูดอีกอย่างก็คือได้ไม่คุ้มเสีย จนกระทั่งภายหลังเมื่อมีเครื่องยนต์ไอพ่นออกมา ใบพัดจึงได้ถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว แต่ไลต์นิ่งกลับเร่งความเร็วทะลุกำแพงเสียงได้ทุกเมื่อ ความแตกต่างของทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน


ดังนั้นเธอจึงต้องใช้สิ่งอื่นมาช่วย


เมื่อพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง ชั้นเมฆที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น ณ ระดับความสูง 2,500 เมตรนั้นเป็นเหมือนแผ่นดินที่พุ่งขึ้นมาชนทั้งสองคน


ฟินิกส์พุ่งเข้าไปในก้อนเมฆ บนชั้นเมฆมี ‘เสาหมอก’ พุ่งขึ้นมา!


ความเร็วของเครื่องบินในเวลานี้มากกว่า 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การสั่นสะเทือนเริ่มลามจากตัวเครื่องไปยังปีกทั้งสองข้าง เธอสามารถรับรู้ถึงปีกเครื่องบินที่กำลังผ่ากระแสอากาศที่อยู่ด้านหน้าเหมือนใบมีดได้ การเสียดสีด้วยความเร็วสูงทำให้อากาศไม่ได้เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป หากแต่เหมือนกำแพงหนาๆ


ไลต์นิ่งหายไปจากสายตาของเธอแล้ว


ทิลลีรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว


ถ้าเป็นคนทั่วไป สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เครื่องบินเชิดหน้าขึ้นมาใหม่ได้ แต่ไม่ได้คิดที่จะทำให้มันพุ่งลงไปให้เร็วขึ้น มีแต่ทิลลีเท่านั้นที่ยังควบคุมเครื่องบินที่อยู่ในสภาพที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้อย่างแม่นยำ แล้วก็ใช้ประโยชน์จากการปรับหางเสือมาเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น


ถึงแม้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจะไม่ได้มาก แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ร่นระยะห่างจากคนที่บินนำอยู่ข้างหน้าได้


ในตอนที่ฟินิกส์เข้าใกล้ขีดจำกัด เครื่องบินของเธอก็พุ่งออกมาจากชั้นเมฆ!


แผ่นดินที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง


สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกันยังมีไลต์นิ่งด้วย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เธอบินนำอยู่ 100 เมตรมาโดยตลอด ในเวลานี้เธอบินอยู่ในระนาบเดียวกับเครื่องบินรุ่นใหม่แล้ว ทิลลีรู้ว่าตัวเองได้เข้าสู่ความเร็วเสียงแล้ว แต่จากนั้นเธอก็ลดความเร็วลง ก่อนจะเอียงตัวไปพิงกระจกด้านหนึ่งในห้องคนขับ


‘สมแล้วที่เป็นองค์หญิงทิลลี’ สีหน้าของไลต์นิ่งไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจ หากแต่เผยให้เห็นถึงความนับถือ ‘แม้แต่ชั้นเมฆก็ยังเอาไปคิดคำนวณด้วย’


“ถ้ามันบางกว่านี้อีกนิด ข้าคงตามไม่ทันเจ้าแล้ว” ทิลลีด้านหนึ่งก็ดึงเครื่องบินให้กลับมาอยู่ในแนวราบ อีกด้านก็ยิ้มๆ พูดตอบกลับไป


แผนการตั้งแต่แรกของเธอคือใช้ประโยชน์จากการพุ่งลงมาทำให้ไลต์นิ่งเคยชินกับการเร่งความเร็วที่คงที่ ก่อนที่สุดท้ายเธอจะทำการโจมตีกลับโดยใช้ก้อนเมฆบดบังตัวเองเอาไว้ ถึงแม้มันจะแค่ชั่วพริบตา แต่ฟินิกส์ก็สามารถไล่ตามขึ้นมาได้จริงๆ


‘เดี๋ยวๆ นี่พวกเราบินมาที่ไหนเนี่ยจิ๊บ?’ เมซี่ยื่นหน้าออกมาจากอกของไลต์นิ่ง


“เอ่อ…” ทิลลีเอียงตัวก้มมอง ก่อนจะพบว่าภาพทิวทัศน์ด้านล่างล้วนแต่เป็นภาพที่เธอไม่เคยเห็น ส่วนเทือกเขาสิ้นวิถีนั้นถูกพวกเธอสลัดทิ้งไปไกลแล้ว เมื่อครู่นี้เธอทุ่มสมาธิอยู่กับการไล่ตามจนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอบินมาทางตะวันตกเฉียงเหนือไกลเท่าไร “ที่นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ล่ะมั้ง?”


‘น่าจะใช่เพคะ’ ไลต์นิ่งหยิบเอากล้องส่งทางไกลขึ้นมา ‘แต่ว่าเป็นที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าไปมาก่อน ถ้าวิเคราะห์ดูตามเส้นทางล่ะก็ ด้านตะวันออกของพวกเราน่าจะเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ ส่วนตรงหน้าเราก็คือสันหลังของทวีป…’


พอพูดถึงตรงนี้เสียงของเธอพลันหยุดชะงักไปทันที


“ทำไมเหรอ?”


ทิลลีมองไปตามทิศทางที่ไลต์นิ่งบอก จากนั้นเธอพลันตกตะลึงไปทันที


อีกด้านหนึ่งไกลออกไปมีเทือกเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก ดูแล้วสูงใหญ่กว่าเทือกเขาสิ้นวิถีมาก แต่เนื่องจากเธอเคยได้ยินเรื่องของมันจากปากอกาธากับทีมนักสำรวจมานานแล้ว เธอจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากในตอนที่เห็นมันเป็นครั้งแรก


สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงคือด้านบนเทือกเขา


เธอเห็นชั้นเมฆสีแดงคล้ำที่หนาแน่นจับตัวอยู่เหนือยอดเขา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบแปลบๆ อยู่ในหมู่เมฆ ดูแล้วเหมือนเป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นมาจากเลือดสดๆ


นั่นไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน


เมฆสีแดงเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก


…………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)