Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1378-1379
ตอนที่ 1378 รางวัลและการลงโทษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน ในระหว่างที่ฟาร์รีน่ากับโจกำลังทำการส่งของอยู่ พวกเขาก็ได้รับแจ้งจากคนของทางกองทัพที่หนึ่ง
ผู้บังคับบัญชาการของกองทัพที่หนึ่งต้องการพบพวกเขา
พวกเขาขับรถตรงมาที่ศูนย์บัญชาการภูเขาเคจเมาเธ่น เมื่อเดินเข้าในห้องประชุม ฟาร์รีน่าเห็นว่าด้านในมีคนอยู่หลายคน เมื่อดูจากสัญลักษณ์บนบ่าแล้ว คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่ง
โจกลืนน้ำลายอย่างประหม่า
แต่ฟาร์รีน่ากลับมีสีหน้าสบายๆ เธอวันทยหัตถ์ให้ทุกคน “ฟาร์รีน่าจากหน่วยรถบรรทุกที่ 2 กองขนส่งที่ 1 รายงานตัว”
ขวานเหล็กยิ้มเล็กน้อยพร้อมทำความเคารพกลับไป ดูแล้วไม่ได้มีการวางอำนาจของผู้บังคับบัญชาเลย
นี่ทำให้ฟาร์รีน่ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
สไตล์การทำงานของเฮอร์มีสทำให้เธอมองข้ามความต่างกันของระดับชั้นและทำงานอย่างตรงไปตรงมา คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหน้าที่ระดับบนๆ ของกองทัพของเกรย์คาสเซิลจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
ที่เธอมีสีหน้าดูสบายๆ เป็นเพราะเธอรู้ว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะลืมอดีตของตัวเองที่เคยเป็นทหารพิพากษาของศาสนจักร ต่อให้โดนเย็นชาใส่ มันก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ทุกคนในที่นี่ไม่ได้แสดงความดูถูกใดๆ ออกมาเลย ต่อให้เป็นศาสนจักรก็ไม่มีทางที่จะดีต่อคนที่ไม่ใช่สาวกของตัวเองขนาดนี้
“ไม่ทราบว่าท่านเรียกตัวข้ามา…เป็นเพราะเรื่องใดเจ้าคะ?” สุดท้ายสายตาของฟาร์รีน่าก็ไปหยุดอยู่ที่ขวานเหล็ก
“ยังจำอัศวินของอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่พวกเจ้าจับได้ที่อ่าวดีพพูลเมื่อกลายวันก่อนไหม?” ขวานเหล็กเปิดประเด็นขึ้นมาตรงๆ “พวกข้าได้ทำการตรวจสอบฐานะของอีกฝ่ายดูแล้ว แล้วก็ความผิดที่ทั้งสองคนได้ทำด้วย”
ฟาร์รีน่าคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที “พวกเขาสำคัญของกองทัพที่หนึ่งอย่างมากหรือเจ้าคะ?”
“ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่” ขวานเหล็กค่อยๆ พูด “สำหรับสงครามในภาพรวมทั้งหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่สำหรับคนที่ต้องสละชีวิตเพื่อสงครามครั้งนี้แล้ว การจับกุมพวกเขาได้นั้นหมายความว่าสุดท้ายแล้วคนผิดก็ไม่อาจหนีการลงโทษไปได้ แบบนี้คนที่สละชีวิตก็สามารถตายตาหลับได้แล้ว”
จากนั้นฟาร์รีน่าก็ได้ฟังเรื่องข่าวกรองย้อมเลือด
ตอนแรก ข่าวคนแหกด่านนั้นไม่ได้ทำให้เบื้องบนสนใจอะไรมากนัก เพราะว่าทุกวันจะมีผู้อพยพที่พยายามจะแหกด่านแบบนี้อยู่ 3 – 4 คน พวกเขาถ้าไม่ใช่ขุนนางก็เป็นพ่อค้าที่พอจะมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่บ้าง เหตุผลที่หนีก็เพราะกลัวตัวเองมีความผิดติดตัวหรือไม่ก็กลัวจะถูกยึดทรัพย์สมบัติ
จากรายงานของโลก้า อัศวินอีเทอร์นอลวินเทอร์ทั้งสองคนจัดอยู่ในประเภทแรก แต่ว่าเนื่องจากทั้งคู่มีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงและซับซ้อน เจ้าหน้าที่สอบสวนจึงทำการสอบสวนให้ละเอียดขึ้นไปอีก
หลังผ่านการเล่นเกมทางจิตวิทยาและจับแยกตัวสอบสวน สุดท้ายคนที่เป็นน้องชายก็รับสารภาพความผิดที่ทั้งคู่ทำออกมาก่อน เขาบอกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน เขาและพี่ชายได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองให้ไปตามจับชาวบ้านที่หลบหนีกลับมา แต่พี่ชายตัวเองมีความแค้นอยู่กับคนเกรย์คาสเซิล สุดท้ายเขาก็เลยเปลี่ยนจากการตามจับกลายเป็นไล่ฆ่า
ถ้าเป็นแค่การฆาตกรรมธรรมดา การตัดสินโทษก็จะเป็นการแขวนคอหรือไม่ก็ไปทำงานในเหมืองตลอดชีวิต แต่เรื่อง ‘การไล่ล่าผู้อพยพ’ นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบในการสอบสวนรู้สึกสงสัย สุดท้ายจึงทำการส่งเรื่องนี้ไปในหน่วยข่าวกรองเพื่อให้ทางฮิลล์ ฟ็อกซ์เป็นคนสอบสวน
แต่คดีนี้มีจุดบอดที่สำคัญที่สุดอยู่สองข้อ หนึ่งคือจนถึงตอนนี้กองทัพที่หนึ่งยังไม่รู้ว่าคนที่ส่งจดหมายคนนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นใคร พวกเขารู้เพียงว่าผู้ตายเป็นคนของแบล็คมันนี่ สองคือเนื่องจากอีกฝ่ายฆ่าคนตามใจชอบ ต่อให้ทั้งคู่จะเกี่ยวข้องกับการตายของคนส่งข่าวกรองคนนั้นจริงๆ ทั้งคู่ก็ไม่มีทางจำได้แน่นอน พูดอีกอย่างก็คือต่อให้ไนติงเกลอยู่ตรงนี้ เธอก็ไม่มีทางใช้การจับโกหกในคำพูดของทั้งคู่มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้
สิ่งเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้เหมือนจะเหลือแค่กลิ่นเลือดที่หมาป่าสาวพูดถึงเท่านั้น
แต่เสียงได้ที่โลก้าทำได้เพียงแค่บอกว่ามีเลือดอยู่หลายกลิ่นเท่านั้น แต่เธอไม่อาจแยกแยะกลิ่นเลือดที่ผ่านมาเป็นเวลานานได้ สรุปแล้วก็คือประสาทรับกลิ่นของเธอเป็นแค่ความสามารถพิเศษที่ได้เพิ่มมาจากการแปลงร่าง ถึงแม้มันจะไม่ได้รับผลกระทบจากหินอาญาสิทธิ์ แต่มันกลับไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดทางโครงสร้างทางสรีระวิทยาได้
สุดท้ายทางสโมสรแม่มดจึงได้ส่งคนมาช่วยเหลือ นั่นคือวานิลลาและโบรคเคนซอร์ด
เมื่อได้รับพลังของโบรคเคนซอร์ดเข้ามาช่วยเพิ่มพลังให้ตัวเอง วานิลลาก็หาฟีโรโมนที่ตรงกับของคนส่งจดหมายอยู่บนเกราะของทาร์ลอส มอร์เรย์ ถึงแม้มันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ก็ถือเป็นหลักฐานที่แน่นหนา
ถ้าทั้งสองคนไม่เคยเจอหน้ากัน แล้วจะมีกลิ่นฟีโรโมนที่เหมือนกันเปื้อนอยู่บนตัวได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้สองพี่น้องมอร์เรย์จึงเป็นฆาตกรที่สังหารคนส่งข่าวกรอง
“ที่แท้ในหมู่ชาวบ้านยังมีคนแบบนี้อยู่ด้วย..” หลังฟังขวานเหล็กอธิบายจบ โจจึงทอดถอนใจออกมา
“ตอนนี้อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ยังคงเป็นพื้นที่ของปีศาจอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถประกาศเรื่องราวความดีความชอบของเขาออกไปได้ แต่ประวัติศาสตร์จะไม่มีทางลืมคนแบบเขาแน่” ขวานเหล็กถอนใจออกมา “พวกเจ้ามีความดีความชอบในการช่วยจับฆาตกร แต่พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในกองทัพ ดังนั้นที่ข้าเรียกพวกเจ้ามานอกจากจะบอกเรื่องนี้แล้ว ข้ายังอยากจะถามว่าพวกเจ้าอยากจะได้อะไรเป็นรางวัล”
“แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟาร์รีน่าพูดตรงๆ “คนที่สังเกตเห็นเป็นคนแรกคือแม่มดหมาป่าคนนั้น ข้าเพียงแค่ได้ยินเสียงพวกเขาต่อสู้กัน ก็เลยตามเข้าไปช่วยเท่านั้น”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนขึ้นมา
“วางใจได้ ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงตอบแทนคนที่ทำความดีความชอบทุกคน” ขวานเหล็กอธิบาย “สโมสรแม่มดกับกองทัพนั้นเป็นหน่วยงานคนละส่วนกัน ดังนั้นรางวัลของมิสโลก้านั้นมีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ตามหลักแล้วคนที่จะมอบรางวัลให้เจ้าคือสำนักบริหาร แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ พวกข้าก็เลยเป็นตัวแทนมาสอบถามเจ้าแทนทางสำนักบริหาร”
“ข้าเข้าใจแล้ว..” ฟาร์รีนาลังเลอยู่ครู่ “ข้าเคยเห็นทหารพิพากษาของศาสนจักร แล้วก็เคยตามืดบอดเพราะคำพูดโกหก แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าข้าจะได้รับโอกาสในการชดเชยความผิด”
“ชดเชยความผิด?”
“ถูกต้อง” เธอสูดหายใจ “เข้าร่วมกองทัพที่หนึ่ง นั่นคือรางวัลที่ข้าอยากได้”
ภายในห้องเงียบไปทันที ทุกคนต่างสบตากันเหมือนกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ขวานเหล็กจึงพูดขึ้นมาว่า “กฎการเกณฑ์ทหารของกองทัพที่หนึ่งฝ่าบาททรงเป็นคนกำหนด ข้าไม่สามารถรับปากคำขอของเจ้าได้”
“อย่างนั้นเหรอ…” มือที่กำแน่นของฟาร์รีน่าคลายออกทันที
“แต่ว่า” อีกฝ่ายพูดเปลี่ยนประเด็น “ข้าสามารถเขียนความดีความชอบและความต้องการของเจ้าลงไปในรายงานเพื่อให้ฝ่าบาททรงพิจารณาได้ — ถ้าเจ้ายังยืนยันเช่นนั้นล่ะก็นะ”
ฟาร์รีน่าเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “รับทราบ!”
เธอย่อมต้องรู้ว่าทันทีที่เข้ากองทัพ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเธอหลังจากนี้จะถูกจำกัดมากขึ้น ความเสี่ยงในการปะทะกับศัตรูซึ่งๆ หน้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่นั่นคือเส้นทางที่เธอปรารถนา บนถนนยิ่งเต็มไปด้วยขวากหนาม เธอก็ยิ่งสามารถชดเชยความผิดของตัวเองได้
….
หลังฟาร์รีน่ากับโจออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ ก็พากันแยกย้ายออกไป ไม่นานภายในห้องประชุมก็เหลือเพียงขวานเหล็กกับเอดิธส์สองคน ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือที่นิ่งเงียบมาตลอดถอนหายใจออกมา “ศาสนจักรนี่น่ากลัวจริงๆ …ในเมื่อไม่ได้ถูกตัดสินโทษ แล้วจะไปมีความผิดได้ยังไง ยอมแบกรับความยากลำบากเมื่อที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ เกรงว่าคงมีแต่พวกสาวกของเมืองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหละถึงจะทำอะไรแปลกๆ แบบนี้”
ขวานเหล็กยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขารู้มานานแล้วว่าเอดิธส์นั้นเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ชาญฉลาด การที่บางครั้งเธอยอมถอยก็เพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่มากกว่า ในตอนที่ผลประโยชน์ลงตัว เธอคือคู่หูที่ไร้ที่ติ แต่ในตอนนี้มีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ เขาก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่ การตัดสินใจที่จะอุทิศตัวเองเหมือนอย่างฟาร์รีน่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเอดิธส์แน่นอน
แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเรื่องนี้
เมื่อเทียบกับคนเห็นแก่ตัวที่โง่ อวดดีและโลภมากพวกนั้นแล้ว อย่างน้อยเอดิธส์ก็สามารถแยกแยะเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างชัดเจน ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรโง่ๆ เพียงเพราะผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แน่
“อย่างนั้น…ควรจะจัดการกับนักโทษสองคนนี้ยังไงดี?” ขวานเหล็กดึงการสนทนากลับเข้าสู่ประเด็น ฝ่าบาททรงตรัสเรื่องนี้ในจดหมายตอบกลับมาว่า ‘ถ้าพิสูจน์แล้วว่าอัศวินอีเทอร์นอลวินเทอร์เป็นคนทำจริง ก็ให้พวกเขาตัดสินใจได้เลย’ ตามการลงโทษที่ผ่านมา ทั้งสองคนคร่าชีวิตคนมาเกือบร้อยชีวิต โทษของพวกเขามีแค่แขวนคอเพียงสถานเดียวเท่านั้น
“ถ้าแค่แขวนคอล่ะก็ ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่สั่งกำชับมาเป็นพิเศษแบบนี้หรอก” เอดิธส์ยิ้มเยือกเย็นออกมา “ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอถ้าปล่อยให้พวกมันตายง่ายๆ แบบนี้?”
“แล้วเจ้าคิดว่าไง?”
“ในเมื่อไม่สามารถประกาศออกไปได้ อย่างนั้นก็ส่งส่งพวกมันไปให้แบล็คมันนี่เป็นของขวัญดีกว่า ข้าคิดว่าพวกเขาต้องต้อนรับเจ้าสองคนนี่อย่างดีแน่นอน”
ตอนที่ 1379 สินค้าพิเศษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองธอร์น อาณาจักรดอว์น
ตอนนี้เมืองเล็กๆ ที่อยู่ตรงตีนเขาเคจเมาเธ่นแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่คึกคักอย่างยิ่ง
มันนอกจากจะเป็น ‘ด่านหน้า’ ของศูนย์บัญชาการเคจเมาเธ่นแล้ว ค่ายฝึกซ้อมแนวหน้าของโรงเรียนอัศวินอากาศก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย
เพื่อจะรองรับการจับจ่ายใช้สอยปริมาณมหาศาลของอัศวินอากาศแล้ว ทีมวิศวกรจึงได้สร้างถนนซีเมนต์ที่กว้างขวางขึ้นมาอีกหลายสาย ปลายด้านหนึ่งก็เชื่อมต่อกับถนนหลักที่ทอดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ ปลายอีกด้านหนึ่งก็เชื่อมกับท่าเรือทางเหนือสุดของอาณาจักรดอว์น การบริโภคทรัพยากรจำนวนมากย่อมต้องดึงดูดความสนใจของพ่อค้าในอาณาจักรดอว์น หลังจากสูญเสียเส้นทางการค้าที่วูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ไปแล้ว เกรย์คาสเซิลจึงกลายเป็นความหวังที่จะค้าขายของพวกเขา บริการที่เสนอมาก็มีตั้งแต่การขนของไปจนถึงสุรา เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ต้องการ
เมื่อมีโอกาสทางการค้าก็ย่อมมีคน ในเวลาสั้นๆ แค่เกือบปี ขนาดของเมืองก็ขยายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ร้านเหล้า โรงแรมที่ปกติมักจะเห็นได้แต่ในเมืองใหญ่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ ทิลลีที่มักจะขับเครื่องบินขึ้นไปบนฟ้านั้นเป็นคนที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุด
ก่อนที่หิมะจะตกลงมา ถ้ามองลงมาจากบนฟ้าก็จะเห็นเค้าโครงของเมืองได้อย่างชัดเจน ส่วนที่มีสีหม่นๆ นั้นคือที่อยู่อาศัยเดิมของชาวเมือง แผ่นกระเบื้องบนหลังคาที่ตากแดดตากฝนมาเป็นเวลาหลายสิบปีกลายเป็นสีน้ำตาลและสีเทากระดำกระด่าง พวกมันมีจำนวนไม่เยอะ แต่ยังคงรักษาสภาพเดิมของเมืองธอร์นเอาไว้ได้อยู่ แต่พอขยับออกมารอบนอก บ้านเรือนพลันกลายเป็นสีสันสดใส
บ้านใหม่เหล่านั้นมีทั้งบ้านไม้เตี้ยๆ บ้านอิฐ แล้วก็มีบางส่วนที่เป็นบ้านซีเมนต์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เกรย์คาสเซิลถ่ายทอดวิธีผลิตซีเมนต์ให้กับอาณาจักรดอว์น ขุนนางและพ่อค้าส่วนหนึ่งของอาณาจักรดอว์นก็ได้ยอมรับและเริ่มใช้วัสดุก่อสร้างชนิดใหม่นี้่ในการก่อสร้าง
ตอนนี้หิมะในเดือนแห่งปีศาจได้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเขตที่อยู่ใหม่กับเขตที่อยู่เก่าดูแตกต่างกันน้อยลง แต่มันก็ยังพอจะมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงคร่าวๆ ของเมืองได้จากการตั้งเรียงรายของบ้านเรือนที่แตกต่างกัน
เมื่อก่อนเมืองชายแดนก็คงจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแบบนี้เหมือนกัน
หลังส่งวานิลลาและโบรคเคนซอร์ดแล้ว ทิลลีก็เริ่มทำการฝึกซ้อมทุกวัน — เฮฟเว่นเฟลมรุ่นสองที่ทำการปรับปรุงตามคำแนะนำของเธอได้เดินทางมาถึงเมืองธอร์นเกือบ 40 ลำแล้ว เมื่อรวมกับเฮฟเว่นเฟลมรุ่นหนึ่งอีก 20 กว่าลำ ตอนนี้อัศวินอากาศได้กลายเป็นหนึ่งในพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ของกองทัพไปแล้ว
ความจริงแล้ว สาเหตุที่กองทัพที่หนึ่งสามารถโจมตีกลับได้อย่างรวบรื่นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะว่ามีเฮฟเว่นเฟลมคอยคุ้มครองจากบนอากาศ เมื่อเทียบกับปืนกลต่อต้านทางอากาศแล้ว เฮฟเว่นเฟลมนั้นสร้างความเสียหายให้กับอสูรสยองได้มากกว่า และเมื่อปีศาจไม่ได้มีวิธีที่จะบุกเข้ามา ทหารหน่วยปืนใหญ่จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการยิงระยะไกลในการโจมตีใส่ปีศาจได้อย่างสบายใจ แล้วก็รีบสลายแนวยิงก่อนที่ศัตรูจะโอบล้อมเข้ามา ขอเพียงปีศาจระดับสูงไม่ได้ปรากฏตัว ศัตรูก็แทบจะไม่สามารถบุกเข้ามาหากองทัพที่หนึ่งได้
ในตอนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เฮฟเว่นเฟลมจำนวนหลายสิบลำจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปบนรันเวย์ ก่อนจะทยอยบินขึ้นตามๆ กันขึ้นไป เครื่องยนต์ส่งเสียงดังกระหึ่มจนแม้จะมีเมืองเล็กๆ คั่นกลางอยู่ก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้ ต่อให้อัศวินรวมกลุ่มห้อม้าตะบึงเข้ามาก็ยังไม่อาจเทียบได้ ไม่ว่าใครถ้าได้มาเห็นภาพแบบนี้ก็ต้องรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลอย่างแน่นอน
และภาพนี้ก็ได้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองธอร์น ขุนนางชาวดอว์นจำนวนมากที่ทราบข่าวต่างก็แห่มาดูอัศวินอากาศที่เล่าลือกัน ไม่นาน แม้แต่ในเวลาที่ทำการฝึกซ้อมปกติ บนดาดฟ้าของบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ๆ ลานบินต่างก็มีผู้คนมานั่งรอดูฝูงนกเหล็กที่กางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหล่านี้
แถมทิลลีได้ยินมาว่าที่นั่งพวกนั้นเก็บเงินด้วย
แต่แน่นอน การพัฒนาโรงเรียนอัศวินอากาศเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค อย่างน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตของเฮฟเว่นเฟลมแล้ว ปัญหาจำนวนนักบินที่เพิ่มขึ้นช้าเกินไปก็ค่อยๆ แสดงออกมาให้เห็น
เพราะเกณฑ์การคัดตัวนักบินนั้นค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่จะต้องมีพื้นฐานความรู้ แต่ยังต้องมีสมรรถภาพทางร่างกายที่สามารถปรับตัวเข้ากับการบินได้ หลังครบตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้วถึงจะเข้าสู่การฝึกได้ ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไรถึงจะเข้าร่วมการรบได้ก็ต้องดูพรสวรรค์ของพวกเขา พวกที่ตอนฝึกซ้อมทำได้ดี แต่พอขึ้นไปบนฟ้ากลับมือไม้ปั่นป่วนทิลลีเห็นมาเยอะแล้ว สุดท้ายนักเรียนพวกนั้นก็ต้องไปเป็นกองหนุนแทน
ถ้าไม่เป็นเพราะเฮฟเว่นเฟลมรุ่นสองลดจำนวนนักบินเหลือคนเดียว ทำให้ช่วยแก้ปัญหานักบินขาดแคลนไปได้ชั่วคราว เกรงว่าตอนนี้อัศวินอากาศคงจะประสบปัญหามีแต่เครื่องบินแต่ไม่มีนักบินแล้ว
เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้แล้ว นอกจากการเพิ่มจำนวนรับสมัครเพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียนฝึกหัดแล้ว ทิลลีเองก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้อีก
โชคดีที่พี่ชายของเธอเองก็ให้ความสำคัญกับอัศวินอากาศอย่างมากเหมือนกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาแทบจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอแนะของเธอ ปัญหานี้น่าจะได้รับการแก้ไขในตอนที่นักเรียนฝึกหัดกลุ่มต่อไปเดินทางมาถึงเมืองธอร์น
กระทั่งในตอนกลางวัน การฝึกซ้อมบินและการลงจอดก็สิ้นสุดลง
ทิลลีซึ่งเป็นอมนุษย์ไม่จำเป็นต้องนอนกลางวันเพื่อฟื้นฟูกำลัง ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่ต้องรับหน้าที่เป็นครูฝึกนี้ เธอมักจะบินขึ้นไปบนฟ้าคนเดียวเพื่อที่จะพิสูจน์ความคิดที่ผุดขึ้นมาในตอนที่ทำการฝึกสอน แล้วก็เพื่อดื่มด่ำกับการบินด้วย
แต่ว่าครั้งนี้เธอสังเกตเห็นตรงพื้นที่ลานเก็บเครื่องบินในลานบินมีความผิดปกติบางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือว่าเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินก็ล้วนแต่ไม่ได้แยกย้ายกันไปไหน หากแต่ไปรวมตัวกันอยู่บริเวณรอบๆ โรงเก็บเครื่องบิน เหมือนว่าถูกอะไรบางอย่างดึงดูดความสนใจเอาไว้
ไม่นานก็มีองครักษ์คนหนึ่งมารายงานสถานการณ์ให้เธอทราบ
“ทูลองค์หญิง ทางเนเวอร์วินเทอร์เหมือนจะส่งของล็อตใหม่มา พวกเขาต้องการให้พระองค์ไปตรวจสอบดูพ่ะย่ะค่ะ”
“ของล็อตใหม่?” ทิลลีเลิกคิ้วขึ้นมา เธอจำได้ว่าในตารางวันนี้ไม่ได้มีนัดอะไรแบบนี้เอาไว้ แต่ว่าที่นี่กับเนเวอร์วินเทอร์ห่างกันเป็นพันกิโลเมตร ถ้าทางนั้นจะทำการปรับเปลี่ยนอะไรกะทันหันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เธอเดินไปถึงพื้นที่โรงเก็บเครื่องบิน ทุกคนต่างหลีกทางให้เธอ แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นของที่ส่งมา เธอพลันได้ยินเสียงตะโกนเรียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“ท่านทิลลี!”
จากนั้นเธอเห็นมอลลีวิ่งเข้ามาหาเธอ ก่อนจะกางแขนออกแล้วกอดเธอเอาไว้
ทิลลีลูบหัวสาวน้อยอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเห็นว่าคนที่รับหน้าที่ขนของลงมาคือผู้ช่วยวิเศษ มันขยายตัวเองจนเป็นเหมือนบอลลูนสีน้ำเงิน จากนั้นจึงค่อยๆ ‘กลืน’ ตู้คอนเทนเนอร์ที่อยู่บนรถบรรทุกไอน้ำลงไปในท้องอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ ขนเข้าไปในโรงจอดเครื่องบิน
นี่คือสาเหตุที่ทุกคนต่างมาล้อมที่นี่เอาไว้งั้นเหรอ?
ไม่สิ…ไม่ได้มีแค่นี้…
ในตอนที่สายตาของทิลลีเลื่อนไปยังตู้คอนเทนเทอร์ เธอพลันคิดถึงมาได้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ตู้คอนเทนเนอร์มีทั้งหมด 3 ตู้ เมื่อดูจากวัสดุโลหะของตู้คอนเทนเนอร์แล้ว เห็นได้ชัดว่าตู้เหล่านี้เหมือนกับตู้ที่ใช้ขนเฮฟเว่นเฟลมมา เพียงแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้น ตัวตู้ค่อนข้างยาว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองด้านของตัวตู้ยังมีการวาดลายเมฆสีแดงสดเหมือนกับปีที่กำลังกางออกอย่างไรอย่างนั้น
การตกแต่งตู้คอนเทนเนอร์นั้นเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่ก็เพราะเหตุนี้มันถึงได้ดูพิเศษ
ทิลลีใจเต้นขึ้นมาทันที
‘เออใช่ เจ้าอยากได้เครื่องบินสีอะไร? ถ้าไม่มีสีที่ชอบเป็นพิเศษ อย่างนั้นก็สีแดงแล้วกัน?’
หูของเธอมีเสียงโรแลนด์ดังขึ้นมา
‘มันต่างกันยังไง?’
‘ปกติผู้ที่เป็นเจ้าแห่งท้องฟ้าก็มักจะใช้สีนี้’
เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเปิดสลักตู้คอนเทนเทอร์ตู้แรกอย่างชำนาญ จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยแผ่นที่ปิดตู้ลงมา กลุ่มคนที่มองดูมันอยู่พากันอุทานตกใจออกมา
โครงสร้างลำตัวเครื่องบินแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนลำหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น