Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1376-1377
ตอนที่ 1376 เห็นปาฏิหาริย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองหลวงของอีเทอร์นอลวินเทอร์
“นายท่าน…ท่านมาร์เวน…” มีคนผลักแขนเขา
มาร์เวนลืมตาขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ผ่านไปครู่หนึ่งผ่านที่ดูเลือนรางจึงซ้อนทับกันอีกครั้งหนึ่ง ภาพใบหน้าพ่อบ้านที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้ามาร์เวน
“เอ่อ…ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?” เขาดันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะไม่ระวังไปปัดถูกขวดเหล้า 3 – 4 ขวดที่วางอยู่บนโต๊ะ ขวดใบหนึ่งร่วงตกลงมาที่พื้นก่อนจะส่งเสียงแตกดังเพล้ง
เสียงนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นอาการปวดหัวจากอาการเมาค้าง
ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เขาบังคับให้ผู้หญิง 2 – 3 คนดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาจนกระทั่งถึงตอนตี 4 – 5 สุดท้ายเขาถึงผล็อยหลับไปบนเตียงตั่ง มาร์เวนหรี่ตามองดูเตียงตั่ง ก่อนจะเห็นหยดเหล้าชนิดต่างๆ และของเหลวอื่นๆ กระจัดกระจายเต็มไปหมด หลังถูกเตาผิงให้ความร้อนมาทั้งคืนมันก็ส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแปลกๆ ออกมา ส่วนผู้หญิงเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว
บ้าเอ้ย ทำไมเมื่อวานตัวเองถึงมานอนอยู่บนนี้ได้?
“เอามันไปเผา” มาร์เวนเช็ดคราบน้ำลายที่อยู่ตรงมุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งเพื่อให้คลายความปวดหัว “อย่างนั้น ท่านพ่อบ้านของข้า วันนี้มีข่าวร้ายอะไรจะมาแจ้งให้ข้าทราบล่ะ? มีอัศวินของตระกูลไหนที่อยากจะหนีไปอีก หรือว่าคนของเกรย์คาสเซิลมันบุกเข้ามาในอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว?”
“ไม่ขอรับ นายท่าน” พ่อบ้านรีบก้มหัวลง คนที่ออกความคิดให้บุกไปโจมตีกองทัพของเกรย์คาสเซิลก็คือตัวเขา ในเวลาแบบนี้เขาย่อมไม่อยากให้เจ้านายโยนความผิดมาที่ตนแน่นอน “คนของเกรย์คาสเซิลยังคงสู้กับปีศาจอยู่ที่วูล์ฟฮาร์ทขอรับ ช่วงนี้พวกมันไม่มีทางมาที่อีเทอร์นอลวินเทอร์แน่นอน ขอท่านโปรดวางใจได้ขอรับ..”
“เหอะ แต่ช้าเร็วมันก็ต้องมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” มาร์เวนพูดตัดบท ในเวลานี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหล้าในปากของตนมันค่อนข้างฉุนไปหน่อย “ปีศาจไม่เห็นจะส่งกองทัพมาเพิ่ม แม้แต่สกายลอร์ดอะไรนั่นก็หายไปเลย คนมีตาต่างก็มองออกทั้งนั้นว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง เจ้ามาปลอบข้ามันจะมีประโยชน์อะไร?”
“ไม่ นายท่าน..”
“ฟังข้านะ!” มาร์เวนคำราม “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร ขอให้ฮึกเหิมเข้าไว้ อย่ายอมแพ้….แต่วันนั้นเจ้าก็เห็นแล้วนี้ เห็นๆ อยู่ว่าใช้อาวุธแบบเดียวกัน แต่คนของพวกเรากลับถูกคนเกรย์คาสเซิลเล่นงานจนเละกลับมาไม่เป็นท่า นี่มันหมายความว่าไง? ความต่างกันมันไม่ได้อยู่ที่ตัวขุนนาง และอยู่ที่พวกลูกน้องกับชาวบ้าน! พวกเกรย์คาสเซิลมันกล้าที่จะวิ่งฝ่าปืนเข้ามา แล้วคนของเราล่ะ? มีแต่กุมหัววิ่งหางจุกตูดกลับมาเท่านั้น!”
“ตอนนี้คนที่ยังอยู่ที่เมืองหลวงของอีเทอร์นอลวินเทอร์มีอยู่เท่าไร? วิสเคาท์นาร์นอสล่ะ? ไม่สิ ที่ดินที่เขามีอยู่ในตอนนี้เรียกได้ว่าเท่ากับท่านเคาท์แล้ว ดยุคเรมีล่ะ? ทรัพย์สินของเขากว่าครึ่งอยู่ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ อยากจะไปไหนก็ไปไม่ได้ แล้วก็ยังมีตระกูลนั้นตระกูลนี้…ใช่ ตระกูลใหญ่ๆ ยังอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาไม่อยากไปจากที่นี่งั้นเหรอ! ก็ไม่ใช่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาพลันดังขึ้นมา
“พวกเขาไปไหนไม่ได้! พวกเขาไม่อยากจะโยนทรัพย์สินที่สะสมมารุ่นต่อรุ่นเข้าไปในกองไฟ แล้วไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์! ถ้ามีวิธีอื่น พวกเขาไม่มีทางนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ หรอก! แต่พวกอัศวินที่ข้าจ้างมาพวกนั้นมันไม่คิดถึงเรื่องแบบนี้ โฉนดที่ดินแค่ใบเดียวไม่สามารถรั้งพวกมันเอาไว้ได้ คนพวกนี้มันเอาโฉนดติดตัวหนีไปได้ พอสงครามสงบแล้วพวกมันก็ค่อยกลับมา ข้าถึงต้องทำเป็นมองไม่เห็น แล้วก็ใช้งานเลี้ยงมารั้งตัวพวกมันเอาไว้!”
“นี่ไม่ใช่การดูถูกตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่การหลบหนีด้วย เจ้าเข้าใจไหม?” มาร์เวนเอื้อมมาไปหยิบไวน์มาขวดหนึ่ง ก่อนจะกรอกมันเข้าปาก “ถ้าตอนนี้ข้าทำสัญญาด้วยการมอบโฉนดที่ดินให้พวกมัน พวกมันก็จะรีบหนีไปทันที! ในเมื่อลูกน้องกับชาวบ้านสู้พวกเกรย์คาสเซิลไม่ได้ อย่างนั้นสิ่งเดียวที่เราจะพึ่งพาได้ก็เหลือแค่ปีศาจเท่านั้น ขอเพียงพวกมันเอาชนะโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ คนพวกนี้ก็จะกลับมาเชื่อฟังเราใหม่ เมื่อถึงตอนนี้ค่อยตบรางวัล อัศวินพวกนี้ก็จะกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า!”
นายท่าน…ข้าทราบดี แต่ข้าจำเป็นต้องแจ้งท่านว่า สกาย..”
“หุบปาก เจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” น้ำเสียงของมาร์เวนฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แผนการของข้าไม่ได้ผิดพลาด คนที่ผิดพลาดก็คือพวกปีศาจที่พ่ายแพ้! แม้แต่พวกมันก็ยังเอาชนะเกรย์คาสเซิลไม่ได้ แล้วข้าคนเดียวจะไปทำอะไรได้? คนอื่นๆ หนีไปไม่ว่า แต่กระทั่งฟูลเลอร์ที่ข้าฝากความหวังเอาไว้ก็จะหนีไปด้วย ต่อให้ข้ากลายเป็นราชาแห่งอีเทอร์นอลวินเทอร์มันจะไปมีความหมายอะไร? สู้ดื่มเหล้ารสเยี่ยมให้มากหน่อยดีกว่า…เพราะว่า หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ดื่มมันแล้ว”
“ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ต้องเอาข่าวร้ายมาบอกข้าอีก แค่เจ้ารู้เรื่องคนเดียวก็พอแล้ว ตอนเย็นช่วยเตรียมเหล้าดีๆ เอาไว้ให้ข้าด้วย ข้าจำได้ว่าคลังใต้ดินในเมืองหลวงมีเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่ไม่น้อยใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้…เจ้าออกไปได้แล้ว”
พอพูดจบมาร์เวนก็เอามือปิดหน้าแล้วนอนลงไปบนตั่ง
“นายท่าน ที่ข้าอยากจะบอกก็คือตอนนี้ท่านสกายลอร์ดรอท่านอยู่ในห้องรับแขกของปราสาทขอรับ มันบอกว่ามีคำสั่งใหม่ต้องการมอบหมายให้ท่าน” ในที่สุดพ่อบ้านก็มีโอกาสได้เอ่ยปาก เขาจึงรีบพูดมันออกไปทันที
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ?” มาร์เวนกระเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที “สกายลอร์ดมาแล้วเหรอ? ทำไมถึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้? รีบเตรียมน้ำร้อนให้ข้า เดี๋ยวข้าล้างหน้าหน่อยแล้วค่อยไป!”
“ไม่ต้องแล้ว” ทันใดนั้นเอง เสียงที่ทุ้มต่ำเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากประตู ทั้งสองคนพากันมองไปตามเสียงอย่างตกตะลึง ก่อนจะเห็นปีศาจผิวสีน้ำเงินร่างกายสูงใหญ่ผลักประตู แล้วค่อยๆ เดินเข้ามา
อีกฝ่ายคือเฮคซอร์ด
มันกวาดสายตามองดูข้าวของและขวดเหล้าเปล่าที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งห้อง สีหน้าแสดงความดูถูกออกมาอย่างเปิดเผย “ข้านึกว่าเจ้ายุ่งอยู่กับเรื่องสำคัญเสียอีก ที่ไหนได้ ทำไม เจ้าคิดว่าศึกนี้มันรู้ผลแพ้ชนะแล้วงั้นเหรอ?”
บ้าเอ้ย มันได้ยินที่ตัวเองบ่น! มาร์เวนรีบคุกเข่าลงพร้อมกับตบหน้าตัวเอง “ไม่ ท่านสกายลอร์ด ข้าเพียงแค่…”
“เห็นแก่ความฉลาดของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า แต่อย่าได้มีครั้งต่อไปนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกมา” เฮคซอดพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ศัตรูแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้เหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ แต่มันก็แค่ก่อนหน้านี้เท่านั้น อันที่จริง เวลาของพวกมันเหลืออีกแค่ไม่เท่าไรแล้ว ไม่ใช่แค่วูล์ฟฮาร์ทเท่านั้น แต่อีกไม่นานทั้งวูล์ฟฮาร์ท ดอว์นและเกรย์คาสเซิลก็จะถูกไฟแห่งสงครามกลืนกิน นี่คือชะตาชีวิตของผู้ที่ต่อต้าน”
“ท่านสกายลอร์ด ไม่ทราบว่า…นี่เป็นความจริงหรือขอรับ?” มาร์เวนพูดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เดิมเขาคิดว่าอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว แล้วก็คิดอยากจะขอที่ให้ตัวเองได้อยู่อาศัยจากราชาปีศาจ แต่จากที่อีกฝ่ายว่ามา สถานการณ์เหมือนจะยังไม่ถือว่าแย่เกินไป อย่างน้อยก็ยังไม่แย่จนถึงขั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกปีศาจเองก็คิดว่าพวกเกรย์คาสเซิลนั้นไม่ได้ร้ายกาจอะไร คำพูดนี้มีความน่าเชื่อถืออยู่เท่าไรจึงยังไม่อาจรู้ได้
เฮคซอดหัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “นี่เจ้านึกสงสัยมันก็พอจะยกโทษให้ได้อยู่ แต่เอาไว้หลังจากได้เห็น ‘พลัง’ ของเผ่าพันธุ์ข้าด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเข้าใจคำพูดของข้าแน่” พอพูดจบมันก็ยกมือขึ้นมาเปิด ‘ประตู’ ที่ส่งแสงสีม่วงแปลกๆ “ตามข้ามา
มาร์เวนกลืนน้ำลาย ก่อนจะมุดตามเข้าไปในประตู
อีกด้านหนึ่งของประตูยังคงเป็นห้องโถงห้องหนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของใครหลายคน อย่างเช่นนาร์นอสกับเรมี
เห็นได้ชัดว่าสกายลอร์ดเรียกขุนนางส่วนใหญ่ของอีเทอร์นอลวินเทอร์มาที่นี่กันหมด
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร ราชาปีศาจพลันเปิดประตูบานใหม่ขึ้นมา
เจตนาของมันคืออะไรไม่บอกก็คงจะรู้
เหล่าขุนนางต่างสบตากัน จากนั้นจึงต่อแถวเดินเข้าไปในประตู
เขาใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งวัน
มาร์เวนจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินผ่านประตูไปกี่บาน ภาพข้างกายตัวเองบางครั้งก็เป็นถ้ำ บางครั้งก็เป็นยอดเขา ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าหากปีศาจอยากจะฆ่าเขา มันไม่จำเป็นต้องลำบากทำอะไรแบบนี้เลย แต่การที่ฝืนบังคับให้เขาเดินไปยังที่ๆ ไม่รู้จุดหมายมันก็ยังทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี
หลังตกกลางคืน ในที่สุดเหล่าขุนนางก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
ในขณะที่ประตูบานสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังพวกเขาค่อยๆ หายไป มาร์เวน ไพค์พลันดวงตาเบิกโพลงขึ้นมาทันที!
“นี่มัน..”
เขามองเห็นปาฏิหาริย์!
ถูกต้อง ต่อให้ใช้คำพูดทั้งหมดที่มี เขาก็ไม่สามารถนิยามสิ่งที่ตัวเองกำลังมองเห็นอยู่นี้ได้ นอกจากปาฏิหาริย์แล้ว เขาคิดคำอื่นไม่ออกจริงๆ!
ขุนนางคนอื่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ต่างคนต่างอ้าปากค้าง
“ตอนนี้ พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้ว” เฮคซอดพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
…………………………………………………..
ตอนที่ 1377 พายุที่มารวมตัวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชาไม่ได้โกหก นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเทียบได้เลย
มาร์เวนจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนเกรย์คาสเซิลจะรับมือกับปาฏิหาริย์แบบนี้ได้ยังไง นอกจากเงยหน้ามองแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำได้เกรงว่าคงมีแค่สวดภาวนาเท่านั้น
ปีศาจจะต้องชนะศึกนี้แน่นอน
ตอนนี้เขาไม่ลังเลอีกแล้ว
ความท้อแท้และความหวาดกลัวก่อนหน้านี้สลายหายไปจนหมด สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความตื่นเต้นที่ยากจะบรรยายได้ ในเมื่อปีศาจสามารถเอาชนะสงครามได้ อย่างนั้นสิ่งตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับก็จะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ความรู้สึกกลับตาลปัตรแบบนี้เรียกได้ว่าเหมือนกับหลุดพ้นออกมาจากทางตันที่สุดหวังไปสู่ยอดเขาใหม่!
ส่วนอัศวินที่หนีไปพวกนั้น ต่อไปพวกมันคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ ไม่ ไม่สิ พวกมันไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่จนแก่ เอาไว้ตนเองได้เป็นราชาแห่งอีเทอร์นอลวินเทอร์เมื่อไร พวกทรยศพวกนั้นต้องได้เห็นดีกัน
มาร์เวนรีบคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งอย่างตื่นเต้น พร้อมกับก้มหัวให้เฮคซอด “ขอรับ พวกข้าได้เห็นแล้ว”
ขุนนางคนอื่นๆ พากันทำตาม
“นี่คือพระผู้สร้างของเผ่าพันธุ์ข้า แล้วก็เป้นวิธีในการแสดง ‘พลัง’ ที่เห็นได้ชัดมากที่สุด” สกายลอร์ดพูดพร้อมเอามือไพล่หลัง “ที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อทำให้พวกเจ้าคลายความสงสัยเพียงอย่างเดียว แต่ข้ายังมีภารกิจให้พวกเจ้าไปทำด้วย”
“ได้โปรดสั่งการมาเลยขอรับ!” ทุกคนรีบตอบ
“พระผู้สร้างต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงเทือกเขาสิ้นวิถี แต่ดินแดนที่พวกเจ้ารับผิดชอบดูแลนั้นเหมือนจะสูญเสียการควบคุมแล้ว ผู้ที่หลบหนีไปทุกคนต่างก็อาจจะกลายเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์ข้าได้ ข้าไม่อยากให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” มันกวาดตามองดูทุกคนอีกรอบ “นับแต่นี้ไป พวกเจ้าต้องรวบรวมคน แล้วก็เคลื่อนย้ายทุกคนที่อยู่ในเมืองมาที่นี่ ขณะเดียวกันข้าจะแบ่งพื้นที่บนพระผู้สร้างให้พวกเจ้าใช้อยู่อาศัยจนกว่าสงครามแห่งโชคชะตาจะจบลง”
“ท่าน..จะให้ชาวบ้านชั้นต่ำพวกนั้นขึ้นไปบนปาฏิหาริย์ด้วยเหรอขอรับ?” นาร์นอสพูดอย่างแปลกใจ
“แล้วเจ้าว่านี่มันเป็นความผิดของใครล่ะ?” เฮคซอดเหลือบมองดูเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
อีกฝ่ายหุบปากทันที
“อีกไม่นานข่าวการหลบหนีของอัศวินจะต้องแพร่กระจายออกไปถึงคนระดับล่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นระเบียบของอีเทอร์นอลวินเทอร์จะพังทลาย แทนที่จะให้พวกมันไปอยู่กับเกรย์คาสเซิล สู้ควบคุมพวกมันมาไว้ที่นี่ดีกว่า ข้ามีคนขัดขืน ก็ใช้มีดกับดาบทำให้พวกมันหุบปาก สำหรับพวกเจ้าแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะยากลำบากอะไร”
“แน่ แน่นอนขอรับ” มาร์เวนตอบออกมาเป็นคนแรก “ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ขุนนางคนอื่นๆ เองก็พากันรับคำขึ้นมาเหมือนกัน
“วางใจได้ ดินแดนของพวกเจ้าไม่มีทางรกร้างแน่ เพราะว่าสงครามไม่มีทางยืดเยื้อไปนานขนาดนั้น” เฮคซอดเหมือนจะมองเห็นถึงความกังวลของพวกเขา “นอกจากนี้ การติดตามพระผู้สร้างก็หมายความว่าพวกเจ้ามีส่วนร่วมในการทำสงครามด้วย ซึ่งนี่จะเป็นการเพิ่มความดีความชอบให้กับพวกเจ้า เมื่อถึงตอนที่แบ่งอาณาจักรของมนุษย์ ความดีความชอบของพวกเจ้าตรงนี้ไม่มีทางถูกมองข้ามแน่นอน พวกเจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม?”
เหล่าขุนนางพากันดีใจขึ้นมาทันที การพ่ายแพ้จากการลอบโจมตีกองทัพของเกรย์คาสเซิลก่อนหน้านี้ทำให้ราชาปีศาจรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้มีโอกาสที่จะได้ชดเชยความผิด แถมเผลอๆ อาจจะสร้างความดีความชอบได้มากกว่าด้วย พวกขุนนางจึงพากันตื่นเต้นขึ้นมา
“ขอรับ ขอรับ! พวกเราจะต้องทำเต็มที่แน่นอนขอรับ!”
เฮคซอดเปิดประตูบานใหม่ขึ้นมา “เข้าใจก็ดี ข้ามีเรื่องที่ต้องการแค่สองเรื่องเท่านั้น หนึ่งคือยิ่งเคลื่อนย้ายคนได้เร็วเท่าไรยิ่งดี กับห้ามแพร่งพรายเรื่องการมีอยู่ของพระผู้สร้างออกไป ถ้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นก็เริ่มลงมือได้”
…..
หลังส่งขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์ไปแล้ว มันก็กลับมายังด้านล่างของรอยแตกยักษ์
เฮคซอดต้องแบกรับความกดดันไม่น้อยจากการที่ให้ ‘แมลงชั้นต่ำ’ ในสายตาปีศาจตัวอื่นๆ มาเข้าใกล้พระผู้สร้าง อย่างน้อยเหล่าราชาต่างก็มีความเห็นในเรื่องนี้ที่ไม่ตรงกัน เดอะแมสก์มองว่ามันเป็นการลบหลู่ แต่เฮคซอดก็ยังคงทำเช่นนี้โดยอ้างฐานะ ‘แม่ทัพตะวันตก’ ของตน
สกายลอร์ดค่อยๆ เข้าใจแล้วว่านักรบของเกรย์คาสเซิลนั้นไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะเป็นชาวนา หรืออาจจะเป็นนายพราน แต่หลังจากผ่านการฝึกมาเป็นเวลาหลายเดือน พวกเขาก็จะเข้าสู่กองทัพในฐานะทหารใหม่ อาวุธในมือพวกเขาเพียงพอที่จะใช้สังหารร่างระดับที่ผ่านการฝึกฝนมาได้
พูดอีกอย่างก็คือประสิทธิภาพในการสร้างนักรบของอีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของเผ่าพันธุ์มัน แม้แต่ร่างซิมไบออนท์ที่เดอะแมสก์ภูมิใจก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนร่างเร็วขนาดนี้ได้ ดังนั้นคนของเกรย์คาสเซิลถึงได้เข้ามาเกณฑ์คนในอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ เพราะว่านั่นไม่ใช่ภาระหน้าที่ แล้วก็ไม่ใช่การวางแผนระยะยาว หากแต่เป็นผลประโยชน์ในระยะสั้นที่เห็นได้ชัด!
ถ้าหากปล่อยให้ระเบียบที่ขุนนางรักษาไว้พังทลาย มันก็จะเป็นการส่งนักรบกลุ่มใหญ่ให้กับศัตรู นี่เป็นเรื่องที่เฮคซอดไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็ยังทำงานได้ดีไม่แพ้พวกร่างชั้นต่ำด้วย ถ้าฆ่าพวกเขาจนหมดมันก็น่าเสียดายไปหน่อย สู้เอาพวกเขามาอยู่บนพระผู้สร้างเพื่อทำงานให้เผ่าพันธุ์ดีกว่า ดังนั้นนี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดูเหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้ว
แต่แน่นอน ปีศาจตัวอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่นั้น มันไม่ได้สนใจเลย
ไม่ว่าจะเป็นพระผู้สร้างหรือดินแดนศักดิ์ิสิทธิ์อะไรนั่นก็ล้วนแต่ไม่สำคัญเท่ากับชัยชนะ มันทุ่มเททุกอย่างเพื่อแผนการตะวันตก ไม่ใช่แค่ให้สัญญากับจักรพรรดิเอาไว้แล้วเท่านั้น แต่กระทั่งพระผู้สร้างมันก็ขอให้จักรพรรดิส่งมาแล้วด้วย คำคัดค้านและคำวิจารณ์เหล่านี้มันจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย
เมื่อเทียบกับแรงกดดันจากเบื้องบนแล้ว สิ่งที่ทำให้เฮคซอดปวดหัวมากกว่ากลับอยู่ที่เมืองสกาย
มันค่อยๆ เดินลงบันไดหินมายังชั้นล่างสุดของหอคอยแห่งการให้กำเนิด ในบ่อละอองชีวิตที่มีหมอกหนาจนเหมือนเป็นของเหลวมีร่างสีดำเพิ่มขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง มันนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าไนท์แมร์ สองมือของมันประคองมือของอีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ดูแล้วเหมือนรูปปั้นหินอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?” เฮคซอดขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ถ้าสามารถหาตัวมันด้วยร่องรอยเพียงน้อยนิดในโลกแห่งจิตสำนักได้ ข้าคงทำแบบนั้นไปนานแล้ว”
มันไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ซวยแบบนี้ ทำไมคนที่มาช่วยมันแต่ละคนถึงดูพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย
คนที่อยู่ตรงนี้ก็คือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่มาช่วยเหลือทางตะวันตก
เวลาส่วนใหญ่มันจะสวมชุดเกราะที่ปิดมิดชิด น้อยครั้งที่จะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ค่อยพูดอะไร ก็เหมือนกับฉายาของมัน ไม่มีใครรู้ว่าในหัวของมันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันไม่เหมือนกับราชาคนอื่นๆ ความสามารถของมันเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ราชา นี่จึงเป็นเหตุที่สกายลอร์ดไม่กล้าต่อว่าอะไรมันมาก
ถ้าเปลี่ยนราชาคนอื่น มันคงจะด่าไปนานแล้ว
เพราะกว่ามันจะขอกองหนุนมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอมาถึงเมืองสกาย อีกฝ่ายกลับไม่ถามเรื่องสถานการณ์รบหรือเรื่องของศัตรูเลย หากแต่ตรงดิ่งไปหาร่างของไนท์แมร์ในบ่อละอองชีวิต
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าถ้าหากหลงทางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก ก็จะไม่มีโอกาสกลับออกมาได้อีก บนทะเลที่กว้างใหญ่ยังมีกระแสน้ำทะเล มีพระอาทิตย์และดวงดาวคอยนำทาง แต่ในโลกแห่งจิตสำนึกไม่มีอะไรเลย ที่นั่นวุ่นวายและไร้ระเบียบ กระแสจิตสำนึกที่อยู่ด้านล่างเชี่ยวกรากเหมือนพายุ แม้แต่จะทรงตัวก็ยังทำได้ยิ่ง นอกจากนี้ยังจะถูกกัดกินจากจิตสำนึกอื่นอยู่ตลอดเวลา
ไนท์แมร์หายตัวไปในโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ต่อให้หาตัวกลับมาได้ มันก็ไม่ใช่ ‘ไนท์แมร์’ ตัวก่อนหน้านี้แล้ว
“มันจะต้องเจอเบาะแสอะไรบางอย่างแน่ ถึงได้ยอมเสี่ยงแบบนี้” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ตอบกลับมา “ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไนท์แมร์ ข้าจะต้องเป็นคนมาตรวจสอบด้วยตัวข้าเอง”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เชื่อใจมันเต็มร้อย เฮคซอดนวดขมับอย่างจนปัญญา ถึงแม้ไนท์แมร์จะถือเป็นราชาที่มีความพิเศษอย่างมากสำหรับราชาตนอื่น แต่สำหรับราชาบางตัวแล้ว ไนท์แมร์ถือว่ามีความพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น ถ้ามันจำไม่ผิดล่ะก็ คนที่จัดพิธียกระดับเป็นราชาของอีกฝ่ายก็คือไนท์แมร์นี่แหละ
“ตอนนี้เจ้าตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยหรือยัง?”
“ใกล้แล้ว แต่ข้อสรุปที่ได้ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้า” มันตอบออกมาสั้นๆ “ข้าคิดว่าไนท์แมร์ไม่ได้หลงทาง หากแต่ถูกขังเอาไว้สักแห่งในโลกแห่งจิตสำนึก”
“เหตุผลล่ะ?”
“สัญชาตญาณ”
หา…สัญชาตญาณ เฮคซอดแอบถอนใจออกมา ถ้าจะมีอะไรที่น่าเชื่อถือน้อยกว่าคำสัญญาของเดอะแมสก์ สิ่งนั้นก็น่าจะเป็นสัญชาตญาณของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์นี่แหละ “ผลจากข้อสรุปนี้มีประโยชน์อะไรไหม? สุดท้ายเจ้าก็หาร่องรอยของไนท์แมร์ไม่เจอ แล้วก็ไม่สามารถทำให้มันตื่นขึ้นมาได้ด้วย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แทนที่จะมาเสียเวลาตรงนี้ สู้มาช่วยข้าคิดดีกว่าว่าจะจัดการกับมนุษย์ยังไง”
“ตัวผู้ตัวนั้น” ไซเลนท์มองดูมัน
“อะไร?”
“ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดมนุษย์ นี่คือเป้าหมายที่ข้ามาที่นี่” จู่ๆ มันลุกขึ้นมาจากบ่อละอองชีวิต ภายใต้หมวกเหล็กมีแสงสีแดงอันตรายสว่างวาบขึ้นมา “แต่ตัวผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงแห่งการสืบทอดจะต้องให้ข้าเป็นคนจัดการ ข้าคิดว่าเบาะแสของไนท์แมร์จะต้องเกี่ยวข้องกันมันแน่”
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น