Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1368-1373
ตอนที่ 1368 ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
อันดับต่อมาคือสายการผลิตกระสุนที่มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ถึงแม้สายการผลิตที่โรแลนด์ออกแบบจะถือว่าเป็นกระบวนการผลิตต่อเนื่องได้ แต่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมทหารนั้นยังถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย อีกฝ่ายบอกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีโครงสร้างและขั้นตอนการผลิตที่ค่อนข้างเรียบง่ายแบบนี้นั้นสามารถใช้เครื่องจักรมาทดแทนแรงงานคนได้ถึง 95% ยิ่งไปกว่านั้นถ้าใช้อุปกรณ์ควบคุมเชิงกล มันก็แทบจะทำการผลิตได้ 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก
เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรมทหารเหล่านั้นบอกว่า ในช่วงแรกสายการผลิตต้องลงทุนเป็นจำนวนเงินที่สุด แต่มันจะช่วยประหยัดแรงงานคนได้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการผลิตกระสุนก็จะเพิ่้มขึ้นมากกว่า 10 เท่า ถ้าหากจำนวนแรงงานที่อยู่ในสายการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการผลิตก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เอาไว้ ‘โครงการรากฐาน’ ของโปรเจคหนี่วาเข้าที่เข้าทางเมื่อไร อุปกรณ์ที่สายการผลิตใหม่ต้องการใช้ก็จะไม่ใช่ปัญหาทางเทคโนโลยีอีก เมื่อรวมกับดินปืนที่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น ความแม่นยำและอานุภาพทำลายก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นรายงานส่วนนี้ โรแลนด์ได้แต่แอบชื่นชมความมีวิสัยทัศน์ของอีกฝ่าย
จำนวนกระสุนที่มีไม่พอนั้นเป็นปัญหาสำคัญของกองทัพที่หนึ่งมาโดยตลอด
หลังจากที่บุกเบิกที่ราบลุ่มบริบูรณ์ออกไปแล้ว จำนวนคนงานในสายการผลิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาเรื่องจำนวนกระสุนที่ไม่พอใช้กลับไม่มีแนวโน้วที่จะดีขึ้นเลย อย่างเช่นอัศวินอากาศที่แค่ฝึกซ้อมก็ใช้กระสุนไปเป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ แต่การฝึกซ้อมจะให้ไปยกเลิกก็ทำไม่ได้ เขาได้ยินขวานเหล็กรายงานถึงปัญหาของแนวหน้าให้ฟังหลายครั้งแล้ว
ถ้าความสามารถในการผลิตกระสุนสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก โอกาสที่ปีศาจจะอาศัยความได้เปรียบในเรื่องจำนวนมาทำลายแนวรับของกองทัพที่หนึ่งก็จะลดลง พูดอีกอย่างก็คือพวกมันจะสูญเสียความสามารถในการสู้รบแบบซึ่งๆ หน้าไป
ส่วนในเรื่องอาวุธเบา เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างไม่ได้ให้ความเห็นอะไรนัก ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรให้ปรับ แต่พวกเขาคิดว่าผลที่ได้รับมันไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป แค่ปืนกล ปืนยาวลูกเลื่อนและปืนยาวกึ่งอัตโนมัติที่มีในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะรับมือกับการโจมตีของ ‘ฟอลเลนอีวิลที่เสื่อมสภาพ’ แล้ว ส่วนหน้าที่ในการบุกโจมตีนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ดีกว่า
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงเอาปืนใหญ่ยิงถล่มศัตรูจนราบเป็นหน้ากลอง ทหารราบก็จะสามารถยึดพื้นที่ได้โดยง่าย
แทนที่จะเอาทรัพยากรไปใช้ในการปรับเปลี่ยนตัวปืน สู้เอามันไปใช้สร้างปืนใหญ่ให้มากขึ้นดีกว่า ภารกิจทุกอย่างจะใช้ปืนใหญ่เป็นตัวเปิดทาง ไม่ว่าจะเป็นการบุก การถอย การสนับสนุน ก็ใช้กระสุนปืนใหญ่กระหน่ำยิงเข้าไป แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน
แต่แน่นอน นี่เป็นแค่แผนไตรมาสที่เห็นผลเร็วและให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
เมื่อเป็นแผน 5 ปี อาวุธเบาจะกลายเป็นโครงการใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างมาก
สำหรับโรแลนด์แล้ว สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ ‘แผน 1 ปี’
ประโยชน์ที่ได้รับจากมันนั้นน้อยกว่าดินปืนและกระสุนปืน ทรัพยากรที่ต้องใส่ลงไปก็ค่อนข้างเยอะ แต่มันกลับเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะของสงคราม
เนื้อหาในแผนการนั้นครอบคลุมไปถึงอาวุธหนักที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ ซึ่งมันประกอบไปด้วยโครงการที่ต้องทำการปรับเปลี่ยนสองโครงการและโครงการใหม่อีกสองโครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการของทหารราบและอัศวินอากาศอย่างละครึ่ง
อันดับแรกคือโปรเจคเก่าของศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิล รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบและรถถังหุ้มเกราะที่พัฒนาขึ้นมาจากรถแทรกเตอร์ ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่อาจารย์เซี่ยจะโชว์ตัว ที่น่าแปลกใจก็คือหลังจากได้ดูแบบแปลนแล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญไม่ได้มองว่ามันไร้ค่า แต่พวกเขากลับคิดว่าภายใต้เงื่อนไขที่มีเทคโนโลยีที่ต่ำ แผนการนี้มีประโยชน์ให้ใช้งานได้อยู่ เมื่อเทียบกับการติดเกราะให้กับรถแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจมากกว่าก็คือ ‘แกนพลังงานนิวเคลียร์’
ในตอนที่โรแลนด์เอาลูกบาศก์เวทมนตร์ของจริงออกมาให้ดู บรรยากาศภายในที่ประชุมนั้นเปลี่ยนไปทันที แม้แต่ตัวแทนจากรัฐบาลที่รู้เรื่องความลับอีกโลกหนึ่งก็ยังต้องอ้าปากค้าง
จนถึงตอนนี้ เขายังจำภาพเหตุการณ์ตอนนั้นได้อย่างชัดเจน
เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ก้อนหินสี่เหลี่ยม’ ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ สีหน้าของทุกคนในตอนแรกดูสับสน เพราะในตอนแรกที่มีการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ต่อให้มันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อแค่ไหนทุกคนก็ยังพอยอมรับได้เพราะเห็นแก่หน้าบุ๊ค แต่การที่เอาก้อนหินก้อนหนึ่งออกมาแล้วบอกว่ามันเป็นแกนพลังงานนิวเคลียร์ แบบนี้ไม่เท่ากับมองผู้เชี่ยวชาญที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้เป็นคนโง่หรอกเหรอ
ร็อครีบส่งสายตาให้เขาทันที ส่วนหัวหน้าหลิวเองก็คิดที่จะพักการประชุมชั่วคาว เพื่อป้องกันไม่ให้บรรยากาศความร่วมมือที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องพังทลายลง
แต่ด้วยการดึงดันขอร้องของเขา สุดท้ายหัวหน้าวิศวกรเครื่องยนต์คนหนึ่งก็เอามันไปส่งที่ห้องทดสอบแบบเสียไม่ได้ ในตอนที่ผู้ช่วยหัวหน้าวิศวกรเดินออกไป เขายังทำสีหน้าประหลาดใจและรังเกียจด้วย แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เขาก็พุ่งกลับเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก
จากนั้นทั่วทั้งห้องประชุมก็พากันแตกตื่นขึ้นมาทันที
เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ โรแลนด์พบว่าในสายตาของทุกคนที่มองมาที่ตัวเองนั้นมีเปลวไฟที่ลุกโชน ผู้อำนวยการอู๋นั้นถึงกับลากตัวหัวหน้าหลิวออกไปนอกห้องประชุม ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปคุยอะไรกันข้างนอก แต่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการป้องกันในเขตโรงงานวันถัดมานั้นถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จากเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถูกเปลี่ยนกองทัพ ตรงประตูทางเข้าหลักมีการตั้งป้อมและบังเกอร์เอาไว้ ถ้าไม่เป็นเพราะว่าอาวุธธรรมดาทั่วไปไม่อาจทำอะไรเขาได้ เผลอๆ อาจจะมีการใช้รถนำทางกับจัดบอดี้การ์ดมาให้เขาด้วยซ้ำ
เขาไม่ได้ตั้งใจเอามันมาโชว์ให้ทุกคนดู หากแต่นี่เป็นความคิดของอันนา
หลังจากที่เขาเอาเรื่องการประชุมในวันแรกเล่าให้เธอฟัง เธอก็ค่อยข้างโมโหทีเดียว จากนั้นเธอก็คิดแผนการเอาคืนขึ้นมาได้ นั่นก็คือใช้วัตถุที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ไปเปิดหูเปิดตาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ซึ่งผลที่ออกมานั้นดีกว่าที่โรแลนด์คิดเอาไว้มาก จากนั้นทุกคนไม่เพียงแต่จะให้ความเคารพบุ๊คมากขึ้น ทว่ายังตอบรับคำขอของโรแลนด์มากขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยพวกเขาหวังว่าโรแลนด์จะแบ่งลูกบาศก์เวทมนตร์ให้พวกเขาซักก้อนไปใช้ในการทดลองมาก ส่วนเวลาในการเลิกประชุมหลังจากนั้นก็ช้าขึ้นทุกวัน
เมื่อมีวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ การจะออกแบบแผนการพื้นฐานที่ใช้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับทีมที่มีเทคโนโลยียุคปัจจุบันคอยสนับสนุน
เครื่องยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์สามสูบรุ่นแรกจึงถูกเขี่ยทิ้งด้วยเหตุนี้
สิ่งที่เข้ามาแทนที่เครื่องยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์แรงดันสูงที่มีการออกที่สมเหตุสมผลมากกว่าและมีแรงดันภายในลูกสูบที่สูงกว่า ตามทฤษฎีแล้วมันไม่เพียงแต่จะปล่อยพลังงานออกมาได้มากกว่าเดิมเท่านึง แต่ขนาดและการสั่นสะเทือนก็ยังลดลงเกือบสามเท่าด้วย โดยมันจะถูกเอาไปติดตั้งอยู่ในรถบรรทุกและรถแทรกเตอร์ที่ถูกสร้างเลียนแบบขึ้นมาเพื่อทำการทดสอบจริง ใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ก็สามารถยืนยันแล้วว่ามันสามารถใช้งานได้หรือไม่
นอกจากเรื่องการปรับปรุงเครื่องยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์แล้ว ทางทีมโปรเจคนี้ยังได้ให้แบบแปลนของรถบรรทุกขนาดเล็กมาด้วย รถบรรทุกขนาดเล็กแบบนี้มีแรงม้าแค่ 20 – 30 แรงม้าเท่านั้น ใช้การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ส่วนน้ำมันที่ใช้ก็เป็นน้ำมันที่เหลือหลังจากสกัดน้ำมันของเครื่องบินปีกสองชั้นออกมาแล้ว น้ำหนักที่บรรทุกได้อยู่ระหว่าง 1 – 2 ตัน โครงสร้างเรียบง่าย แม้แต่ห้องคนขับก็ไม่มี ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับรถแทรกเตอร์สี่เหลี่ยมที่มีสี่ล้อ
ไม่นานโรแลนด์ก็รับรู้ได้ถึงประโยชน์ของรถบรรทุกขนาดเล็กแบบนี้ เพียงแค่เรื่องความยากในการผลิตเพียงเรื่องเดียวมันก็ถือว่าสร้างได้ง่ายกว่ารถบรรทุกไอน้ำอย่างมกา สามารถสร้างออกมาได้เป็นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ การใช้รถบรรทุกไอน้ำในการขนส่งในระยะทางสั้นๆ นั้นถือเป็นการสิ้นเปลืองอย่างไม่ต้องสงสัย …..
และในส่วนสุดท้ายของแผนการหนึ่งปีก็คือหัวใจสำคัญที่แท้จริงของแผนการ
โดยมันประกอบขึ้นมาจากสองโครงการ นั่นคือปรับปรุงเฮฟเว่นเฟลมที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำให้มันมีความได้เปรียบเหนืออสูรสยองขึ้นไปอีกขั้น แล้วใช้มันเป็นฐานในการพัฒนาเครื่องบินรุ่นต่างๆ ออกมาเพื่อปรับใช้ในสถานการณ์ที่่ต่างกัน
สองคือสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกลรุ่นใหม่ออกมา
ตอนที่ 1369 ยึดครองท้องฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
นอกจากนี้ทีมโปรเจคยังมีการพูดถึงเครื่องบินรบรุ่นใหม่ด้วย ในสถานการณ์ที่ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขีดจำกัดของเครื่องบินปีกชั้นเดียวย่อมต้องสูงกว่าเครื่องบินปีกสองชั้น แต่สุดท้ายสิ่งที่เขียนลงไปในแผนการก็ยังคงเป็นการปรับปรุงเครื่องบินที่มีอยู่เดิม
คนที่ทำการตัดสินใจออกมาคือผู้อำนวยการอู๋ที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเทคโนโลยี
โรแลนด์เองก็ได้เรียนรู้แนวคิดใหม่จากการประชุมนี้ นั่นคือ ‘ประสิทธิภาพของเวลา’
ผลิตภัณฑ์ทางวิศวกรรมใดๆ ก็ตามบนสายการผลิตที่มีความต่อเนื่องจะมีประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ต่อให้ตัวผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ปรากฏการณ์นี้ก็ยังคงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ สาเหตุนั้นเป็นเพราะความเชี่ยวชาญในการแปรรูปที่เพิ่มขึ้น คนงานจะค่อยๆ เคยชินกับวิธีการดำเนินงานของสายการผลิต รวมไปถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักรและคนกับคนด้วย นี่ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ความสามารถ หากแต่เป็นสัญชาตญาณการอู้งานตามธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนจะพยายามหาทางลัดที่จะทำงานให้เสร็จได้โดยง่ายที่สุด แล้วก็จะทำการปรับเปลี่ยนลำดับการทำงานที่มันไม่สมเหตุสมผลไปโดยอัตโนมัติ
ด้วยเหตุนี้ความเร็วและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมในการผลิตช่วงหลังจึงมักจะสูงกว่าช่วงแรก ยิ่งไปกว่านั้นต้นทุนก็จะลดลงอย่างมากด้วย
ถ้าอยากจะให้อัศวินอากาศเป็นรูปเป็นร่างโดยเร็ว อย่างนั้นก็ต้องรักษาสายการผลิตที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างยากลำบากนี้เอาไว้ นี่จะเป็นประโยชน์ต่อคนงานในการทำความเคยชินกับการทำงานของเครื่องจักรและการดำเนินงานผลิต แล้วก็ไม่ทำให้การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ กลายเป็นตัวถ่วงการทำสงคราม
ทิศทางการปรับปรุงเฮฟเว่นเฟลมหลักๆ แล้วจะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนรูปร่าง ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นและระบบอาวุธใหม่
ในจุดแรกนั้นไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ เฮฟเว่นเฟลมนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่โรแลนด์ค่อยๆ สร้างขึ้นมาโดยอิงจากแปลนเครื่องบินรุ่นเก่าในโลกแห่งความฝัน ถึงแม้สำหรับเครื่องบินสองปีกที่มีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว เรื่องอากาศพลศาสตร์จะไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไร แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอากาศพลศาสตร์จะไม่มีประโยชน์ เมื่อมีอุโมงค์อากาศและเทคโนโลยีจำลองการบินคอยสนับสนุน งานปรับเปลี่ยนรูปแบบปีกเครื่องบินจึงกลายเป็นงานที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดและทำสำเร็จได้ง่ายที่สุด
เครื่องยนต์นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุด ว่ากันว่าถ้ามีแรงขับเคลื่อนมากพอ แม้แต่ก้อนหินก็ยังบินขึ้นไปบนฟ้าได้ ทันทีที่เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ แต่ต่อให้เป็นเครื่องยนต์ลูกสูบที่เป็นพื้นฐานที่สุด เมื่อต้องมาคำนึงถึงปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีหลังวันสิ้นโลกที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงเรื่องความทนทานและคุณสมบัติในการใช้งาน การออกแบบเครื่องยนต์ขึ้นมาใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย โรแลนด์ได้ยินว่าทางทีมที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ลองสร้างเครื่องยนต์ขึ้นมาใหม่ 7 – 8 แบบ ส่วนสุดท้ายจะเลือกเครื่องยนต์แบบไหนมาใช้นั้นก็ต้องรอไปอีกสักพักหนึ่งกว่าจะตัดสินใจได้
ส่วนระบบอาวุธใหม่นั้นไม่มีอะไรที่ต้องคิดมาก
สรุปแล้วก็คือมันไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอะไรมากนัก ทางกองทัพมีโปรเจคอาวุธที่พัฒนาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และถูกโละทิ้งไปแล้วหลายอัน อย่างเช่นปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม. หรือตัวยึดระเบิดบนเครื่องบินแบบถอดเก็บได้ ส่วนจะติดตั้งอะไร ติดตั้งอย่างไร นั่นก็คืออยู่กับว่าการปรับปรุงในสองข้อแรกนั้นเป็นอย่างไร ระบบอาวุธนี้คือว่าเป็นส่วนที่สามารถเพิ่มเติมเข้าไปได้ทุกเมื่อ
จากดัชนีทางด้านเทคโนโลยีที่ทีมโปรเจคให้มา เครื่องบินสองปีกรุ่นสองนั้นจะมีความเร็วในการบินสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร สามารถบรรทุดถังน้ำมันสำรองขนาก 100 กิโลกรัมได้สองถัง ระยะทางในการบินมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วในการบินไต่ระดับหรือเพดานบินก็ล้วนแต่เหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลม
นี่หมายความว่าหลังการปรับปรุงแล้วเครื่องบินสองปีกจะสามารถบินจากแนวหลังไปยังแนวหน้าได้ภายในวันเดียว หรือไม่ก็บินจากแนวหน้าไปยังรอยแตกที่อยู่บนสันหลังของทวีป เมื่อคิดถึงเรื่องลักษณะภูมิประเทศที่เป็นยอดเขาสูงของปลายสุดของเทือกเขาสิ้นวิถี กองทัพธรรมดายากที่จะเดินทางผ่านไปได้ ตัวเลขพารามิเตอร์ตรงนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก
สุดท้ายก็คือเครื่องบินทิ้งระเบิด
มันเป็นส่วนที่ต้องลงทุนมากที่สุดในแผนการนี้ แล้วก็เป็นรายการที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด
เพียงแค่ถกเถียงกันว่าจำเป็นต้องใช้เครื่องบินแบบนี้ในการรับมือกับฟอลเลนอีวิลที่กลายสภาพหรือไม่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันแล้ว — เหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านนั้นง่ายมาก ถ้าต้องการโจมตีเป้าหมายที่อยู่บนพื้นละก็ เครื่องบินปีกสองชั้นก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพียงแค่ลดปริมาณเชื้อเพลิงลงเท่านั้น แต่เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่นั้นจำเป็นต้องมีลานบินโดยเฉพาะ ต้องมีคนบำรุงรักษาที่มากขึ้น ซึ่งมันจะสร้างภาระให้กับทางหน่วยสนับสนุนอย่างมาก
นอกจากนี้ถึงแม้มันจะมีความได้เปรียบในเรื่องการทิ้งระเบิดที่มากกว่า แต่เวลาที่มันออกไปทำการรบก็จำเป็นต้องมีเครื่องบินคุ้มกัน ซึ่งมันกลับจะเป็นการลดอัตราการใช้ประโยชน์ของกองทัพอากาศในภาพรวมเสียมากกว่า อสูรสยองที่ิบินได้นั้นทำอะไรเครื่องบินรบที่มีความคล่องแคล่วได้ไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีความเชื่องช้าล่ะก็ ขอแค่มันพุ่งโจมตีเข้าใส่เครื่องบินอย่างไม่คิดชีวิต แค่นั้นมันก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินได้อย่างมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่ศัตรูยังมีฟอลเลนอีวิลชนิดพิเศษที่คล้ายๆ กับผู้ฝึกยุทธ์อยู่ด้วย นั่นยิ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้น
เพราะความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียเครื่องบินทิ้งระเบิดลำหนึ่งนั้นมากกว่าเครื่องบินปีกสองชั้นมากนัก
ซึ่งทรัพยากรของมนุษย์ที่รอดชีวิตมาได้นั้นสามารถสร้างเครื่องบินขนาดใหญ่ออกมาได้กี่ลำก็ยังไม่อาจรู้ได้
สุดท้ายก็เป็นโรแลนด์ที่ดึงดันจะเอาโปรเจคนี้เอาไว้
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีระดับเทคโนโลยีที่ค่อนข้างต่ำ จริงอยู่ที่มันยังมีข้อบกพร่องอะไรอยู่อีกหลายอย่างและไม่มีทางที่จะทำให้มันมีความสามารถทั้งการโจมตีและป้องกันที่สมบูรณ์แบบได้ แต่เขากลับมีความคิดของตัวเองอยู่
นั่นก็คือเมืองเนเวอร์วินเทอร์จำเป็นต้องมีเครื่องบินที่สามารถบินทางไกล เพื่อที่จะได้โจมตีใส่บอทธ่อมเลสแลนด์ในเวลาที่จำเป็นได้
ไม่มีใครรู้ว่าอีกนานเท่าไรกว่าที่โลกแห่งความฝันจะกัดกินเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าเองก็ไม่มีทางที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ แน่ จากคำพูดของมิสต์ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจำเป็นต้องเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าพร้อมกันจากทั้งสองโลก ถ้าเกิดทางโลกแห่งความฝันสามารถเปิดอุโมงค์แห่งการกัดกินได้แล้ว แต่เขากลับไม่สามารถไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์ได้ทันเวลา อย่างนั้ินความพยายามทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า
จริงอยู่ที่การฝ่าการโจมตีของศัตรูเข้าไปในพื้นที่ที่ศัตรูยึดครองอยู่ถือเป็นทางเลือกที่สิ้นคิด แต่มีทางให้เลือกมันก็ย่อมดีกว่าไม่มี ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดนั้นก็แผนการที่เป็นไปได้มากที่สุดภายใต้เงื่อนไขทางเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้
อีกเรื่องหนึ่งก็คือโปรเจคแสงแห่งอาทิตย์
ด้วยขีดความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักของเฮฟเว่นเฟลม ต่อให้ทำการปรับปรุงยังไงก็ไม่มีทางที่มันจะรับผิดชอบภารกิจนี้ได้ เมื่อไม่มีวิธีโยนระเบิดลงไป ต่อให้สร้างระเบิดที่ดีออกมามันก็ทำประโยชน์ไม่ได้มาก ความจริงถ้าใช้ซีกัลร่วมกับพลังในการลดน้ำหนักของฮัมมิ่งเบิร์ดมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถโยนระเบิดลงไปจากบนอากาศได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นในระเบิดที่จะโยนลงไปก็จะไม่สามารถบรรจุหินอาญาสิทธิ์เท่าไปได้ ในระหว่างที่มันร่วงตกลงไปด้านล่าง มันอาจจะถูกปีศาจระดับสูงเข้ามาทำลายได้อย่างง่ายดาย
อย่างเช่นถ้าสกายลอร์ดมาพบเข้า ทันทีที่เปิดประตูมิติแล้วส่งระเบิดไปยังที่อื่น แบบนั้นมันจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
ดังนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือสร้างมันให้ป้องกันพลังเวทมนตร์ได้ แล้วให้อัศวินอากาศเป็นคนเอามันไปโยนใส่ศัตรู
ซึ่งวิธีนี้ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องบิน ขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกระเบิดได้
แผนการขั้นแรกที่ทีมโปรเจคให้มาก็คือเครื่องยนต์ทิ้งระเบิดแบบสี่เครื่องยนต์ เครื่องยนต์นี้จำเป็นต้องทำการสร้างขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ที่ต้องสร้างขึ้นมาสี่เครื่องก็เพื่อความปลอดภัย ถ้าเกิดมีเครื่องยนต์ 1 – 2 เครื่องไม่ทำงาน มันก็ยังสามารถบินกลับมาได้อย่างปลอดภัย เมื่อดูจากแบบร่างแล้ว เครื่องบินทิ้งระเบิดนี้เป็นเหมือนกับอสูรกายยักษ์เลยทีเดียว มันมีปีกที่ยาว 30 กว่าเมตร ด้านหลังก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหางสองชั้น ถึงแม้โครงสร้างทางอากาศพลศาสตร์ที่มีความเสถียรของมันจะทำให้ความคล่องแคล่วลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือระยะทางที่ไกลขึ้นและการควบคุมที่ง่ายขึ้น
เมื่อบินด้วยน้ำมันเต็มถัง มันจะสามารถบรรทุกระเบิดหนักประมาณ 4 ตันบินไปได้ไกล 2,000 กิโลเมตร ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องการบินกลับ มันสามารถบินไปได้ไกลมากกว่านั้นอีกเท่าหนึ่ง เรียกได้ว่าเพียงพอต่อความต้องการของโรแลนด์ที่ต้องการข้ามไปยังสันหลังของทวีป แต่ระดับความซับซ้อนของมันนั้นเหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลมมาก ต่อให้มีทีมโปรโจคคอยชี้แนะให้คำแนะนำ มันก็เป็นไปได้ยากที่จะสามารถทำการผลิตอย่างต่อเนื่องออกมาได้
พูดอีกอย่างก็คือปริมาณการผลิตของมันไม่มีทางสูงอย่างแน่นอน
แต่อย่างน้อยนี่ก็ทำให้มนุษย์มีสิ่งที่จะใช้จุดแสงแห่งอาทิตย์ขึ้นมาได้
………………………………………………………………
ตอนที่ 1370 กลับบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังประชุมเสร็จ ตัวแทนจากรัฐบาลทั้งสองคนได้รั้งตัวโรแลนด์เอาไว้ก่อน จากนั้นก็ได้ให้สัญญาว่าทางรัฐบาลจะผลักดันโครงการช่วยเหลืออกมามากขึ้น รวมไปถึงข้อมูลที่ได้จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์รุ่นแรกด้วย
แน่นอน สิ่งที่ทำให้พวกเขาให้สัญญาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพราะคำพูดของทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น วัตถุเวทมนตร์ที่มหัศจรรย์เหล่านั้นเองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทางรัฐบาลกระตือรือร้นที่จะสนับสนุนเขาเช่นนี้ด้วย สรุปแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างที่ผู้คุมร็อคว่าเอาไว้ การประชุมนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่วัน ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลได้ทำการอุดจุดอ่อนทั้งหมดในสิ่งต่างๆ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ทำมาจนถึงตอนนี้ ทุกๆ โครงการจะมีคนหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันคอยครุ่นคิดและปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น สงครามแห่งโชคชะตานั้นไม่ใช่ชะตาชีวิตของโลกเพียงโลกเดียวอีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์รับรู้ได้ว่ามนุษย์ที่หลงเหลือไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไป เบื้องหลังเขายังมีพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้คอยสนับสนุนอยู่ ถึงแม้ทั้งสองโลกจะยังไม่เคยติดต่อกันอย่างแท้จริงมาก่อน แต่ชะตาชีวิตของทั้งสองโลกก็ได้ผูกเข้าไว้ด้วยกันแล้ว
โรแลนด์ฉวยโอกาสนี้สั่งการให้สำนักบริหารเกณฑ์คนงานเพิ่มขึ้น แล้วก็สั่งให้สร้างโรงงานใหม่อีกสิบกว่าโรงงานเพื่อทำการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่ดินปืนผสมประสิทธิภาพสูงไปจนถึงเครื่องจักรที่ทำงานกึ่งอัตโนมัติ หลังจากแก้ไขข้อจำกัดเรื่องจำนวนประชากรและเศรษฐกิจไปได้แล้ว เมืองเนเวอร์วินเทอร์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วก็ได้สร้างและพัฒนาตัวเองไปได้ตามที่เขาต้องการ อย่างน้อยก่อนที่ปัญหาความขัดแย้งว่าอีกโลกหนึ่งมีจริงหรือไม่ การพัฒนาอันนี้ก็ไม่มีทางหยุดลง
ในระหว่างที่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆ โรแลนด์ก็ได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจและน่าดีใจข่าวหนึ่ง
โจนที่หายตัวไปปีหนึ่งกลับมาแล้ว
หลังได้รับแจ้งข่าวนี้ เขากับไนติงเกลก็รีบเดินทางมาที่หน่วยพยาบาลที่หนึ่งของเนเวอร์วินเทอร์ทันที นับตั้งแต่ที่ออกคำสั่งขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานและขนาดของการรักษาพยาบาลภายในเมืองหลวงไป สำนักบริหารก็ได้สร้างหน่วยพยาบาลขึ้นมาอีก 3 แห่ง ได้แก่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของแม่น้ำแดง ช่วงกึ่งกลางของถนนหลวงของอาณาจักรและที่ป้อมปราการลองซอง โดยหน่วยพยาบาลพวกนี้จะรับผิดชอบการรักษาโรคง่ายๆ และการป้องกันโรคระบาด ส่วนหน่วยพยาบาลหน่วยแรกสุดที่สร้างปรับปรุงขึ้นมาจากคฤหาสน์ของขุนนางและมีนาน่าคอยประจำการอยู่ก็ได้ถูกเรียกว่าหน่วยพยาบาลที่หนึ่ง
เมื่อเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย คามิล่า แดริลก็ได้โค้งตัวคำนับเขาเล็กน้อย
เวนดี้และทิลลีได้กลับมาจากแนวหน้า บุ๊คยุ่งอยู่กับการคัดลอกเอกสาร หัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งย่อมต้องรับหน้าที่ในการดูแลทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนเหตุการณ์ตอนที่โจนหายตัวไปด้วย ภายในใจเธอย่อมต้องรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอย่อมต้องรู้สึกดีใจที่ได้เห็นโจนกลับมาย่อมต้องมากกว่ากว่าใคร ในจุดนี้จะเห็นได้จากการที่เธอเป็นฝ่ายทำความเคารพเขา
เพราะที่ผ่านมาเธอคิดว่าโรแลนด์เป็นคน ‘ขโมย’ ทิลลีไป แล้วก็เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แอชเชสต้องสละชีวิต ถ้าไม่เป็นเพราะได้รับรายงานแจ้งมาว่าอาณาจักรซีสกายอาจจะบุกโจมตีฟยอร์ดและเกาะสลีปปิ้ง เธอคงไม่มีทางที่จะย้ายมาอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แน่นอน
โรแลนด์ไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไรกับเรื่องนี้ เขาโบกมือเล็กน้อย “อาการของนางเป็นยังไงบ้าง?”
“บอกได้แค่ว่า…ไม่ร้ายแรงอะไรมากเพคะ”
“บอกได้แค่ว่า?” โรแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ สำหรับเขาแล้ว การที่โจนกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
“นาง…กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพคะ” คามิล่าลูบหัวโจน ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ
หลังจากได้ฟังเธอเล่าเรื่องจนจบ โรแลนด์ถึงได้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
โจนไม่ได้ว่ายกลับมายังท่าเรือน้ำตื้นด้วยตัวเอง
คนที่เจอเธอเป็นคนแรกคือชาวประมงชาวเนเวอร์วินเทอร์ที่เลี้ยงชีพด้วยการจับปลาคนหนึ่ง จากที่ชาวประมงคนนั้นรายงานมา เขาบอกว่าในขณะที่ตัวเองกำลังออกไปจับปลาที่นอกทะเล มีอยู่วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงกระแทกของวัตถุหนักๆ ที่ดังมาจากท้ายเรือ เมื่อเดินออกไปก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรกำลังแทะอาหารอยู่ เดิมเขาคิดว่านั่นเป็นปีศาจทะเล ในตอนที่กำลังคิดจะออกไปสู้ตาย เขากลับเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็น ‘ปลายักษ์’ ที่มีรูปร่างเป็นคน
ตอนนั้นเธอกำลังแทะปลาที่ตุ๋นอยู่ในหม้อ ท่าทางเธอเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เมื่อเห็นชาวประมงที่กำลังตกใจกลัว เธอก็ไม่ได้โจมตีใส่เข้า หากแต่ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา จากนั้นก็ขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือเหมือนกับหลับไปอย่างไรอย่างนั้น
เนื่องจากเคยได้ยินเมืองเนเวอร์วินเทอร์ป่าวประกาศมาเป็นเวลานานแล้ว ชาวประมงจึงลองพาเธอกลับมายังท่าเรือน้ำตื้น ค่าตอบแทนจากการช่วยเหลือแม่มดนั้นสูงกว่าการจับปลามาก การที่อีกฝ่ายมาอยู่กลางทะเลแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ปีศาจทะเลก็ต้องเป็นแม่มดเท่านั้น
และ ‘ปลายักษ์’ ตัวนี้ก็คือโจน
“ลิลลี่ได้ทำการตรวจนางดูแล้วเพคะ ทั่วทั้งร่างกายมีอาการติดเชื้อจากปรสิตอยู่หลายแห่ง แถมยังมีแมลงบางส่วนที่ไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ กำจัดออกมาได้” คามิล่าพูดอย่างเจ็บปวด “เพื่อที่จะรีบกำจัดหนอนพวกนั้นออกไป หม่อมฉันเลยให้เฟิร์นหลับใหลแก่นางที่กำลังสลบอยู่ จากนั้นก็ใช้มีดเผ่าเอาหนอนมีเปลือกที่ฝังตัวอยู่ใต้ผิวหนังเหล่านั้นออกมา ตามหลักแล้ว หนอนพวกนี้มันจะปรากฏตัวอยู่บนเรือเก่าๆ หรือไม่ก็บนตัวปลาวาฬเท่านั้นเพคะ”
“พูดอีกอย่างก็คือโจนไม่ได้ว่ายกลับมาจากหมู่เกาะชาโดว์เหรอ?”
“ระยะทางแค่นั้นไม่สามารถทำให้หนอนพวกนี้มาฝังอยู่ในตัวนางได้เพคะ” เธอส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเร็วในการว่ายน้ำของโจน ถ้าจะว่ายน้ำจากซากโบราณสถานกลับมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ไม่มีทางใช้เวลานานขนาดนี้ หม่อมฉันกังวลว่า..นางอาจจะไปเจออะไรบางอย่างที่น่ากลัวมา จนทำให้นางกลับไปเป็นเหมือนอย่างเก่าเพคะ”
ไม่สนแมลงปรสิตที่มาฝังอยู่ในตัว หิวจนขึ้นเรือชาวบ้านมาหาของกิน เหนื่อยจนเกือบจะสลบ นี่แสดงให้ว่าเส้นทางที่เธอกลับมานั้นเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน สภาพจิตใจของแม่มดอาจจะเกิดความเสียหายจนไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมซีนั้นคือตัวอย่างที่ดีที่เห็นได้ชัด
คามิล่ามีความสามารถในการเชื่อมต่อกับวิญญาณ เธอย่อมไม่กลัวอีกฝ่ายจะพูดไม่ได้ สิ่งที่เธอกังวลจริงๆ ก็คือโจนจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนตอนแรกได้ และหลังจากนี้ก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ทั่วๆ ไป
โรแลนด์นิ่งเงียบไปทันที
ถูกต้อง การที่ร่างกายไม่เป็นไรไม่ได้หมายความว่าเธอจะสบายดี ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันแผลของนาน่าหรือว่าน้ำยาวิเศษของลิลลี่ก็ล้วนแต่ไม่สามารถรักษาบาดแผลในจิตใจของเธอได้
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะพลันทำลายความเงียบภายในห้องขึ้นมา
ไนติงเกลเดินไปเปิดประตูด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นลูน่าชะโงกหน้าเข้ามา
“เออ…ข้าได้ยินว่าโจนกลับมาแล้ว? เดี๋ยว เฮ้ พวกเจ้าอย่าเบียดสิ..”
ประตูถูกผลักจนเปิดออก แม่มดสามสี่คนเบียดเสียดกันเข้ามาในห้อง นอกจากลูน่าแล้ว คนอื่นๆ ก็ยังมีแอ็กเซีย ชารอนและเอมี่ คนที่เดินเข้าประตูมาเป็นคนสุดท้ายคือลิลลี่
“ข้าไม่รู้จะทำยังไง นางรู้เรื่องแล้ว” ลิลลี่พูดอย่างจนปัญญา
“อะแฮ่มๆ! ก่อนอื่นข้าขอบอกไว้ก่อนว่า ข้าแค่ได้ยินว่าโจนไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยมนาง!” ลูน่าพูดเสียงหนักแน่น “ถึงแม้นางจะเป็นคนของทีมนักสำรวจ แต่ตอนนี้ไลต์นิ่งกับเมซี่ไม่อยู่ ก็เลยมีแต่พวกข้าที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางได้ ข้าไม่ได้คิดที่จะฉวยโอกาสนี้ดึงนางมาอยู่ในทีมนักสืบเลย…อื้อ….”
แอ็กเซียยื่นมือมาปิดปากนางเอาไว้
“นี่เป็นความคิดของนางคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ” ชารอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอ๋ มีสมาชิกเพิ่มอีกคนไม่ดีเหรอ?” เอมี่เกาหัวอย่างงุนงง
“ชู่วว!” ลิลลี่ทำมือบอกให้เงียบ
เมื่อเห็นเหล่าแม่มดเถียงกันไปมา โรแลนด์จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขามองไปทางคามิล่า แดริล ก่อนจะผายมือแล้วยักไหล่ อีกฝ่ายงงไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าจึงดูผ่อนคลายลง
บางทีโจนอาจจะเจอเรื่องอะไรที่น่ากลัวมา แต่เมื่อมีผองเพื่อนเหล่านี้อยู่ เขาเชื่อว่าช้าเร็วเธอจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่
….
“เฮ้ นี่มันคืออะไรเนี่ย?”
“เหมือนจะเป็นผ้าไหม…”
“ทำไมในศูนย์พยาบาลถึงมีผ้าไหมด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังเป็นผ้าไหมชั้นดีด้วย”
“ถ้าไง ลองไปถามคุณน้าคามิล่าดูดีไหม”
“…แล้วทำไมเจ้าไม่ไปถามเล่า?”
“ข้าไม่กล้า”
ข้าได้ยินนะ คามิล่าที่ยังอยู่ข้างเตียงกุมขมับขึ้นมา “นั่นมันเป็นผ้าที่โจนใช้พันแผล ตอนนั้นรีบๆ ก็เลยไม่เอาออกไม่หมด ระวังนะ บนนั้นมีเชื้อโรคอยู่ ในหนังสือของฝ่าบาทเคยบอกใช่ไหมล่ะว่าอย่าไปซี้ซั้วจับสิ่งที่อาจจะเป็นแหล่งของเชื้อโรค”
หลังจากโรแลนด์กับไนติงเกลเดินออกไป ภายในห้องพักผู้ป่วยก็เหลือแค่เธอกับเหล่าสมาชิกทีมนักสืบ เหล่าแม่มดห้อมล้อมเตียงคนไข้คอยช่วยทำนั่นทำนี่ ทั้งวันถือว่าช่วยงานได้ไม่น้อยทีเดียว โจนมีเพื่อนที่ดีแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นอยู่ที่ว่าพวกเธอพูดมากไปหน่อยเท่านั้น
“บนนี้มีเชื้อโรคด้วยเหรอ? ลิลลี่ เจ้าลองดูหน่อยว่ามีไหม?”
“เอามัน ออกไป จากหน้า…ข้า!”
“เฮ้ เจ้าอย่าฉีกมันสิ หืม? เจ้านี่เหมือนจะฉีกไม่ขาดแฮะ…ชารอน เจ้าช่วยข้าหน่อย”
“เหมือนจะเหนียวมากเลย…แอ็กเซียมาลองดูไหม?”
ไม่ เธอขอถอนคำพูด เจ้าพวกนี้ไม่ได้พูดเยอะไปหน่อย แต่โคตรพูดมากเลยต่างหาก! ในขณะที่คามิล่ากำลังจะใช้ข้ออ้างว่า ‘วันนี้มืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน’ เพื่อไล่พวกนางกลับไปที่ปราสาท จู่ๆ หนังตาของโจนพลันกระตุกขึ้นมา
เธอรีบกลั้่นหายใจ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สาวน้อยที่ก่อนหน้านี้นอนสลบพลันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ยา..”
โจนอ้าปาก พร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงออกมา
ภายในห้องเงียบเสียงทันที
เธอพูดไม่ได้จริงๆ ด้วย…
คามิล่าสะกดความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ ก่อนจะยื่นมือไปวางไว้บนหน้าอกของโจน
ทันใดนั้นเอง ภาพความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันไหลทะลักเข้ามาในหัวของเธอ! ทันทีที่เธอถามคำถาม เธอก็จะได้รับคำตอบกลับมาทันที นี่คือเสียงสะท้อนแห่งวิญญาณ!
เธอมองเห็นตัวเองถูกดึงจนตัวยืดยาวอยู่ในท้องทะเลที่มืดมิด ราวกับเป็นภาพลวงตาที่บิดเบี้ยว
เธอมองเห็นท้องฟ้ากับทะเลกลับหัวกลับหาง น้ำทะเลไหลทะลักลงไปจากบนท้องฟ้า
เธอมองสัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่ดำทะมึนกระจายอยู่เต็มทะเลกลายเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ พร้อมกับโจมตีใส่แผ่นดิน
เธอมองเห็นแผ่นหินที่ตั้งเรียงเป็นชั้นๆ อยู่ท่ามกลางหมอก และหญิงสาวในชุดสีขาวที่เดินเข้ามาหาเธอ
สิ่งสุดท้ายที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคือหลุมวงกลมขนาดยักษ์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและลึกจนมองไม่เห็นก้น
ตอนที่ 1371 หน้าตาของโลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หลุมที่เจ้าเห็นมันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?” โรแลนด์ยืนขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“ขออภัยเพคะ…” คามิล่าพูดอย่างอายๆ “ฝีมือการวาดภาพของหม่อมฉันมันได้แค่นี้จริงๆ เพคะ”
ภาพที่กางอยู่บนโต๊ะคือภาพที่คามิล่าวาดออกมาจากความทรงจำ อย่าว่าแต่จะเทียบกับบุ๊คหรือโซโรย่าเลย แม้แต่พวกเด็กฝึกหัดในพิพิธภัณฑ์รูปภาพก็ยังวาดได้ดีกว่าเธอมาก เส้นขีดเล็กๆ จำนวนมากนั้นคือพื้นหญ้า เส้นวงกลมคดไปคดมาคือหลุมบนพื้น เนินดินที่ปูดขึ้นมาด้านข้างคือภูเขา ส่วนเส้นยึกยือเหล่านั้นคือน้ำทะเล ในสายตาคนอื่นนี่ไม่ได้ต่างอะไรกับการวาดเล่นๆ ที่ไม่สามารถใช้อ้างอิงอะไรได้เลย
แต่สำหรับโรแลนด์นั้นไม่เหมือนกัน
เขาเคยเห็นบอทธ่อมเลสแลนด์ที่เล่าลือกันในโลกแห่งความฝัน
ซึ่งนั่นเป็น ‘จุดหมายปลายทาง’ ในสงครามแห่งโชคชะตา เป็นอุโมงค์แห่งการยกระดับของเผ่าพันธุ์ที่ชนะ ถึงแม้สุดท้ายมันจะถูกคลื่นยักษ์และพายุกลืนกิน เมืองที่สร้างขึ้นมาด้านบนของมันก็ถูกทำลายจนราบคาบ แต่ลักษณะภูมิประเทศโดยคร่าวๆ ของมันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างเช่นด้านหนึ่งราบเรียบ อีกด้านหนึ่งยกตัวสูงขึ้นมา และแผ่นดินที่สูงชั้นที่สามารถมองเห็นได้ลางๆ
ในตอนที่ยังไม่ได้เห็นมัน มันก็เป็นแค่ตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา เพราะปลายด้านเหนือของดินแดนรุ่งอรุณนั้นทอดยาวออกไปหลายพันกิโลเมตร คนในยุคก่อนสมาพันธ์เองก็ไม่สามารถวาดแผนที่อย่างละเอียดออกมาได้ มันมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
สิ่งที่เขามีก็มีแค่ตำแหน่งของบอทธ่อมเลสแลนด์ที่มิสต์บอกมาเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ประสบการณ์ของโจนได้เปลี่ยนให้มันกลายเป็นจริงแล้ว
“ไม่ แค่นี้ก็พอแล้ว” โรแลนด์รีบหยิบเอาแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาจากชั้นหนังสือ ก่อนจะเอามันกางไปบนพื้นหน้าโต๊ะทำงาน แล้วเอาแผนที่้แผ่นนั้นวางไปตรงตำแหน่งทางเหนือค่อนไปทางตะวันออกจากแผ่นดิน “มันน่าจะอยู่ตรงนี้”
“นี่มันคืออะไรกันแน่เพคะ?” คามิล่าอดถามขึ้นมาไม่ได้ “หม่อมฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นหลุมที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ”
“ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” โรแลนด์ถามกลับ
“มันก็เห็นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอเพคะ?” เธอกอดอกพร้อมพูดว่า “หลุมที่ไหนมันจะเรียบร้อยขนาดนี้ แถมยังมีภาพใต้ทะเลแปลกๆ แล้วก็แผ่นดินกับน้ำทะเลที่อยู่บนท้องฟ้านั่นอีก ดูยังไงมันก็แปลกประหลาดเพคะ”
โรแลนด์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “แต่ข้ากลับคิดว่า…แต่เดิมมันก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอยู่แล้ว”
“หมายความ…ว่ายังไงเพคะ?”
“อย่างเช่นป่าเร้นลับกับทุ่งหญ้าที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองเนเวอร์วินเทอร์มันก็อาจจะเคยเป็นแค่ที่รกร้างธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มีนกหรือสัตว์บางอย่างเอาเมล็ดพันธุ์พืชมาที่นี่ จากนั้นมันจึงค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสภาพเหมือนอย่างทุกวันนี้ ขอเพียงมีเวลานานมากพอ สมมติฐานแบบนี้มันก็เป็นจริงได้ แต่คนรุ่นหลังกลับคิดว่าแต่ไหนแต่ไรมาโลกก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
คามิล่าขมวดคิ้วขึ้นมา “หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไรเพคะ”
ก็จริง โรแลนด์แอบถอนใจ สำหรับคนในยุคสมัยนี้ หลักการอันนี้มันค่อนข้างซับซ้อนเกินไปจริงๆ การที่เธอจะไม่เข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“อย่างนี้นี่เอง” จู่ๆ ไนติงเกลที่คาบปลาแห้งอยู่อีกด้านก็ตบมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “พระองค์อยากจะบอกว่าพวกเราไม่ได้ต่างอะไรกับนกหรือสัตว์ใช่ไหมเพคะ?”
“นี่กำลังเล่นทายปริศนาอยู่เหรอ?” คามิล่านวดขมับอย่างปวดหัว
“เจ้าลองคิดดูนะ” ไนติงเกลชี้ไปยังเมืองที่ตกอยู่ในความมืดที่อยู่นอกหน้าต่าง “พวกนกเอาเมล็ดพันธุ์มาที่นี่ กลายเป็นป่ากับทุ่งหญ้า มนุษย์อพยพมาที่ด้านล่างเนินเขาทิศเหนือ สร้างเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมา สำหรับโลกนี้แล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนแต่เหมือนกัน สิ่งที่พวกเราเรียกว่าธรรมชาติ นั้นก็เป็นแค่การมองมันในมุมของพวกเรา ต่อให้เปลี่ยนเป็นนก มันก็ไม่มีทางคิดว่าหลังคานั้นมีความเป็นธรรมชาติมากกว่ากิ่งไม้ ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงไปสร้างรังอยู่บนต้นไม้? จากการอนุมานอันนี้ หลุมวงกลมกับน้ำทะเลที่ไหลย้อนกลับนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับป่าเร้นลับหรือเมืองเนเวอร์วินเทอร์ พวกมันล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ไม่แน่พระจันทร์และหมู่ดาวที่อยู่เหนือหัวพวกเราก็อาจจะเกิดขึ้นมาด้วยหลักการนี้เหมือนกัน!”
“นี่มัน…” คามิล่า
โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา ปกติเรียนไม่เอาไหน แต่ในเรื่องบางเรื่องกลับหัวไวอย่างน่าประหลาด…ควรจะบอกว่านิสัยเอาตัวรอดทำให้เป็นแบบนั้น หรือว่าความคิดซื่อบื้อมันขยายตัวมากขึ้น?
ภายในหัวเขามีภาพก้อนหินที่พุ่งเข้าชนไม่หยุด จนสุดท้ายรวมกันเป็นดวงดาวทรงกลม
พระเจ้าเอาพลังเวทมนตร์มาสู่โลกนี้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา โลกก็ได้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เรากลับมาที่คำถามที่เจ้าถามก่อนหน้านี้ดีกว่า” เขากระแอมเล็กน้อยแล้วเรียกคามิล่าให้ตื่นขึ้นมาจากความสับสน “เกาะที่โจนไปถึงนั้นน่าจะเป็นบอทธ่อมเลสแลนด์ ส่วนหลุมดำนั้นคือประตูแห่งการยกระดับของเผ่าพันธุ์ ในตอนที่มรดกของพระเจ้ารวมเป็นหนึ่ง ถนนที่จะขึ้นไปบนท้องฟ้าจะปรากฏขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่การหลุดพ้นที่แท้จริง แล้วก็ไม่ใช่การเอาชนะรอยยิ้มของพระเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องไปที่นั้น บอทธ่อมเลสแลนด์คือสถานที่ที่อยู่ใกล้ดินแดนของพระเจ้ามากที่สุด บางทีอาจจะมีแค่ที่นั่นถึงจะมีวิธีที่จะหลุดพ้นจากสงครามแห่งโชคชะตาก็ได้”
คามิล่าลืมตาโต เธอเหมือนอยากจะถามออกมาว่า “พระองค์ทรงไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหนเพคะ” แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ถามออกมา
“ส่วนแผ่นดินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นอาณาจักรซีสกายที่พวกปีศาจพูด” โรแลนด์เดินกลับมาหยิบกระป๋องใส่ดินสอแล้วเอามันไปวางไว้ตรงตะวันตกของดินแดนรุ่งอรุณ “ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงทำให้ที่ด้านล่างของทะเลชาโดว์กลายเป็นอุโมงค์มิติที่บิดเบี้ยว ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของมันก็เชื่อมต่อกับอาณาจักรซีสกาย โจนถึงได้เคลื่อนที่จากทะเลชาโดว์ไปยังอีกด้านหนึ่งของทะเลในชั่วพริบตา ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่นาง แต่ใต้ทะเลของทั้งสองที่นั้นเชื่อมต่อกันอยู่ และเมื่อผ่านไปทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง น้ำทะเลปริมาณมหาศาลก็จะไหลจากที่นี่เข้าไปยังอาณาจักรซีสกาย ก่อนจะไหลตกลงมาใหม่ กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อย่างที่โจนเห็น”
คามิล่าพูดอย่างตกใจ “หรือว่าน้ำทะเลที่ไหลจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนเส้นทะเลที่ธันเดอร์เห็นจะเป็นเพราะสาเหตุนี้?”
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “น้ำทะเลไม่จำเป็นต้องไหลย้อนกลับทางเดิม เพราะว่าพื้นที่สูงกับพื้นที่ต่ำนั้นเชื่อมต่อถึงกัน ขณะเดียวกันการที่น้ำทะเลขึ้นลงอย่างรวดเร็วมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับดวงดาวที่อยู่บนฟ้าด้วย หากแต่ขึ้นอยู่กับความถี่และจำนวนของอุโมงค์ที่เปิดออก”
“พระองค์ทรงหมายความว่า ทะเลเหมือนอย่างหมู่เกาะชาโดว์ไม่ได้มีที่เดียวเหรอเพคะ?”
“ถ้าอยากจะทำให้ทั้งทะเลน้ำวนขึ้นๆ ลงๆ อุโมงค์เพียงแค่แห่งเดียวเกรงว่าคงจะไม่พอแน่ ส่วนอุโมงค์เหล่านั้นจะมีโบราณสถานอยู่หรือเปล่านั้นก็ยังไม่อาจรู้ได้” โรแลนด์รู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ภายในหัวค่อยๆ ต่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา “ส่วนสิ่งที่หอคอยโบราณที่อยู่ตรงกลางหมู่เกาะชาโดว์เฝ้ามองอยู่ก็น่าจะเป็นอาณาจักรซีสกาย”
“อย่างนั้นประตูที่อยู่ในกล้องส่องทางไกลมันหมายความว่าอะไรเหรอเพคะ?” ไนติงเกลถามแทรกขึ้นมา
“อันนี้เกรงว่าคงมีแต่ผู้สร้างเท่านั้นถึงจะรู้ได้” เขาส่ายหัว “แต่ข้าคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นหอคอยสำหรับเฝ้ามองดู เวลาส่วนใหญ่มันมักจะจมอยู่ใต้น้ำ บอกตามตรงข้าไม่คิดว่ามันเป็นตำแหน่งสำหรับสังเกตการณ์เท่าไร ดังนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ทะเลชาโดว์มันอาจจะไม่ได้มีสภาพเหมือนอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า ส่วนอาณาจักรซีสกายก็ไม่ได้สูงขนาดนี้? จนกระทั่งสงครามแห่งโชคชะตาได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป ผู้เฝ้ามองกับผู้ถูกเฝ้ามองล้วนแต่ไม่มีอยู่อีก มีเพียงแค่กล้องส่องทางไกลที่ถูกชักนำด้วยพลังเวทมนตร์ที่ยังคงจับตามองไปทางเป้าหมายเดิมที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”
“ขออภัยที่หม่อมฉันพูดตรงๆ นะเพคะ นี่มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยเหรอเพคะ” คามิล่าสูดหายใจ “เปลี่ยนแปลงระดับความสูงของแผ่นดินสองแห่ง? พระองค์ทรงทราบไหมเพคะว่ามันจะส่งผลกระทบต่อทะเลทั้งทะเลมากแค่ไหน?”
“น่าจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งทวีปได้เลยล่ะมั้ง” โรแลนด์นึกถึงภาพคลื่นยักษ์ที่สูงยิ่งกว่าภูเขาลูกนั้นขึ้นมา “บางทีความตั้งใจเดิมของพระเจ้าอาจจะเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้วก็ได้…แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น มันอาจจะไม่เป็นเป็นอย่างนั้นก็ได้” เขาสะกดความคิดฟุ้งซ่าน “สุดท้ายก็เป็นแผ่นดินสีดำที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรรุ่งอรุณที่โจนมองเห็นปีศาจทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโจมตีใส่มันอยู่ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ดูแล้ว นั่นน่าจะเป็นดินแดนของพวกปีศาจ”
เขาเดินไปยังด้านบนของแผนที่ ก่อนจะใช้ดินสอชาโคลเขียนชื่อที่วัลคีรีย์บอกมาลงไปบนพรม
‘แบล็คสโตน’
ตอนที่ 1372 ฆาตกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่คือ…หน้าตาของโลกอย่างนั้นเหรอเพคะ?” คามิล่าเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ถูกต้อง ถ้าม้วนพื้นขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นแผนที่โลก” โรแลนด์วางดินสอลง ก่อนจะก้มลงมองเท้าของตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ในประวัติศาสตร์ก็มีทีมสำรวจทีมหนึ่งเดินทางออกจากท่าเรือแห่งหนึ่งของสเปน หลังจากล่องเรือไปได้ 70 วัน สุดท้ายพวกเขาก็เดินทางไปถึงทวีปอเมริกา แล้วก็ได้เขียนแผนที่โลกขึ้นมาใหม่ ตอนนี้โจนเองก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ค้นพบหน้าตาคร่าวๆ ของโลกเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ความตั้งใจเดิมของทั้งสองคนจะไม่เหมือนกัน แต่ผลจากการค้นพบของพวกเขากลับเหมือนกัน ประวัติศาสตร์ไม่เพียงแต่จะจารึกชื่อของโจนไว้ แต่ทีมสำรวจเองก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะ ‘การเดินทางรอบโลก’ ของเธอเช่นเดียวกัน
แต่นั่นเป็นแค่ความหมายในมุมกว้างเท่านั้น
สำหรับโรแลนด์แล้ว การที่สามารถระบุตำแหน่งบอทธ่อมเลสแลนด์กับอาณาจักรซีสกายได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างแรก
การค้นพบของโจนทำให้เขามันใจว่าตำแหน่งที่ตั้งจริงๆ ของโลกแห่งจิตสำนึกนั้นไม่ได้อยู่ไกลเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการไว้ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวดีทีเดียว อย่างน้อยในด้านพารามิเตอร์ที่จะใช้ออกแบบของโปรเจคเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่กับการปรับปรุงเฮฟเว่นเฟลมก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
ตอนนี้เขายากที่จะทำอะไรอาณาจักรซีสกายที่อยู่เหนือทะเลได้ แต่ที่โชคดีก็คือพวกมันกำลังสู้กับปีศาจอยู่ ต่อให้พวกมันบุกเข้ามาทางตะวันออก สิ่งที่พวกมันต้องเจอเป็นอันดับแรกหลังจากขึ้นฝั่งก็คือชายฝั่งด้านตะวันตกของดินแดนรุ่งอรุณ ซึ่งนั่นยังคงอยู่ห่างไกลจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์อย่างมาก
“อย่างนั้นก็เหลือปัญหาสุดท้าย” ไนติงเกลพูด “ผู้หญิงบนเกาะที่โจนเจอเป็นใคร? ที่นั่นไม่มีร่องรอยว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ถ้านางเป็นคนของพระเจ้าจริงๆ นางก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่จะช่วยโจนหรือเปล่าเพคะ?”
โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ “ความจริงแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาที่แย่ที่สุดแล้วก็ได้”
“ทำไมล่ะเพคะ?” คามิล่าถามอย่างไม่เข้าใจ
“ตามหลักแล้ว ถ้าไม่ว่าใครจะชนะสงครามแห่งโชคชะตา สุดท้ายแล้วโลกเราก็ต้องพังพินาศจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นพระเจ้าก็คือศัตรูของพวกเรา” เขาพูดอย่างค่อนข้างลังเล “ แต่ผู้เฝ้ามองไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นศัตรูอย่างที่ควรจะมีออกมา อาจจะเป็นเพราะนิยามความดีและความชั่วของพวกมันแตกต่างจากเรา หรือไม่ก็….พวกมันไม่ได้มองเราอยู่ในสายตาแต่แรกแล้ว ที่มันทำแบบนี้ ก็น่าจะเหมือนกับที่พวกเราทำแผลให้นกที่บาดเจ็บนั่นแหละ”
แม่มดทั้งสองคนสบตากัน สีหน้าทั้งคู่ดูงุนงง
แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความรู้สึกหนาวเย็นที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้า
ทุกคนต่างรู้ว่าเวลาที่พวกนกกระจิบแห่กันมากินรวงข้าวกันเป็นฝูง มนุษย์ก็จะฆ่าพวกมันอย่างไม่ลังเล แต่ไม่มีใครที่จะมองว่านกเป็นศัตรูที่้แท้จริง แถมบางครั้งมนุษย์ยังจะช่วยมันออกมาจากกรงเล็บแมวด้วยซ้ำ ซึ่งการที่มนุษย์ช่วยเหลือมันนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความดีหรือความชั่ว หากแต่เป็นแค่ความชื่นชอบส่วนตัวเท่านั้น
สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินไปรอบแล้วรอบเล่า ไม่รู้ว่ามีอารยธรรมมากน้อยเท่าไรที่ต้องดับสิ้นไปตรงหน้าผู้เฝ้ามอง พระเจ้าไม่ได้มีความลังเลต่อการเกิดดับของอารยธรรมแม้แต่นิดเดียว และที่พวกมันช่วยโจนเอาไว้ มันก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษสำหรับพวกมัน
“นี่มัน…ช่างน่ากลัวจริงๆ” คามิล่า แดริลพูดงึมงำขึ้นมา
“แต่ข้ากลับหวังว่าตัวเองจะเดาผิด” โรแลนด์ถอนใจออกมา “แต่ในเมื่อเราต้องการจะหยุดสงครามแห่งโชคชะตา ข้าเกรงว่าสุดท้ายยังไงเราก็หนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับพระเจ้า”
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
‘รีบหยุดการกระทำที่โง่เง่าของพวกเจ้าซะ พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!’
‘…ทุกสรรพสิ่งจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ทุกสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบล้านปีจะดับสิ้นภายในพริบตา’
‘เจ้าแบกรับความผิดนี้ไม่ไหวหรอก’
คำพูดประโยคแล้วประโยคเล่าดังสะท้อนขึ้นมาในหู
หลังจากมันจ่ายค่าตอบแทนนี้ออกมา สงครามแห่งโชคชะตาถึงได้ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วมันจะไปหยุดลงง่ายๆ ได้ยังไง?
ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งความฝัน สงครามครั้งนี้ก็ล้วนแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
…..
ท่าเรืออ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ที่นี่เคยถูกปีศาจบุกเข้ายึดครองช่วงหนึ่ง เขตที่อยู่อาศัยที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยผู้คนเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง แต่หลังจากที่กำลังพลและอาวุธของกองทัพที่หนึ่งค่อยๆ เพียบพร้อมขึ้น อีกทั้งศัตรูถูกรถบรรทุกกับปืนใหญ่โจมตีจนรับมือไม่ถูก เพียงแค่เดือนเดียว ปีศาจก็ถูกไล่ออกไปจากเมืองท่าแห่งนี้
ซากหอเก็บหมอกแดงที่ถูกปืนใหญ่ป้อมระเบิดจนเป็นจุลตรงกลางจัตุรัสคือเครื่องยืนยัน พวกมันใช้ให้มนุษย์ขนเอาหินสีดำที่ถูกตัดแต่งเรียบร้อยมาจากทางเหนือทีละก้อนๆ แล้วค่อยให้ปีศาจชั้นต่ำที่ไม่จำเป็นต้องใช้หมอกแดงประกอบมันขึ้นมา จนกระทั่งมันเชื่อมต่อกับหอเก็บหมอกแดงที่เมืองอื่นจนกลายเป็นเขตหมอกแดงที่น่ากลัว แต่หอเก็บหมอกแดงถูกสร้างไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกปืนใหญ่ระเบิดจนพังพินาศ
เมื่อมนุษย์ค่อยๆ โจมตีกลับ ความสามารถในการควบคุมพื้นที่ของปีศาจก็ลดความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปซักระยะชาวบ้านที่อพยพออกไปก็เริ่มกลับเข้ามา ถึงแม้เมืองจะตายไปแล้ว แต่บริเวณท่าเรือกลับเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถึงแม้ก่อนที่ปีศาจจะถอยกลับไป พวกมันจะทำลายสะพานและถนนส่วนใหญ่จนเสียหาย แต่ทีมก่อสร้างก็ยังซ่อมแซมมันให้กลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์
สำหรับคนที่หนีออกมาจากพื้นที่หมอกแดงได้อย่างยากลำบากแล้ว นี่คือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ใช่คนที่หนีไปทางใต้ทุกคนจะคิดเช่นนี้
“บ้าเอ้ย ข่าวลือเป็นจริงจริงๆ ด้วย” นีแกน เมอร์เรย์มองดูด่านที่ตั้งอยู่บนถนน พร้อมพูดอย่างแค้นใจ “ตอนแรกนึกว่าจะให้ปีศาจมันไปจัดการกับพวกเกรย์คาสเซิลซักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าพวกมันเองก็พึ่งไม่ได้เหมือนกัน”
“พวกมันก็สัตว์ประหลาดทั้งคู่นั่นแหละ แค่ฝั่งหนึ่งมันโหดร้ายกว่าเท่านั้น” ทาร์ลอส เมอร์เรย์ตอบสีหน้าราบเรียบ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาแอบซ่อนอยู่ในผ้าโพกหัว รอยแผลเป็นหลายแห่งยืดขยายออกมาจากเงามืด เหมือนกับไส้เดือนที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง “แต่เมื่อเสียการสนับสนุนของขุนนางไป ช้าเร็วตระกูลวิมเบิลดันก็จะสูญเสียทุกอย่างที่มี พวกเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งวุ่นวายอะไร” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปทางกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวอยู่ น้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความชั่วร้าย “เป้าหมายที่พวกเราต้องจัดการ ตอนนี้มีมากพอแล้ว…”
“ว่าไปมันก็ใช่” นีแกนเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าพวกที่ไปเข้ากับพวกเกรย์คาสเซิลล้วนแต่เป็นศัตรูของเรา ข้าจะให้พวกมันชดใช้”
“แต่ตอนนี้เราต้องอดทนไว้ก่อน” ทาร์ลอสกดไหล่ของเขาลง “เอาไว้พอถึงตอนเช้ามืด เราจะล่ายังไงก็ได้”
ถึงแม้ปีศาจจะไม่เคยยอมรับออกมาจากปากว่าพวกมันพ่ายแพ้ แต่สัตว์ปะหลาดในเมืองอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ นั้นคือเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว พวกขุนนางแค่ใช้วิธีการนิดหน่อยก็สามารถทราบข่าวจากแนวหน้าได้แล้ว หลังรู้ว่าปีศาจที่มาจากนรกไม่อาจสู้คนเกรย์คาสเซิลได้ ความตื่นตระหนกก็แผ่กระจายไปในหมู่ขุนนาง
เมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางในตระกูลใหญ่โตพวกนั้นแล้ว ทาร์ลอสที่เป็นอัศวินไม่มีภาระความรับผิดชอบอะไรมากขนาดนั้น เดิมเขาไม่คิดที่จะขายชีวิตให้กับพวกปีศาจที่น่าเกลียดพวกนี้อยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีทางไปเข้ากับพวกเกรย์คาสเซิลที่เป็นศัตรูคู่แค้นด้วย ในเมื่อไม่มีทางออกไปจากอีเทอร์นอลวินเทอร์ อย่างนั้นการรีบลงใต้ไปยังพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเกรย์คาสเซิลต่างหากถึงจะเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด
แน่นอนว่าการไล่ล่าชาวบ้านผู้อพยพแบบนี้จะทำที่ไหนก็ได้ เขายังมีเวลาอีกมากที่จะแก้แค้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ….หาความสุข ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้เขาชื่นชอบความรู้สึกที่ได้เป็นผู้ตัดสินชีวิตคนอื่นไปเสียแล้ว ความรู้สึกที่ได้เห็นชาวบ้านคุกเข่าขอร้องชีวิต กลิ้งไปมา ส่งเสียงร้องโหยหวน มันทำให้เขารู้สึกยากจะถอนตัวได้
ทุกครั้งที่ได้อาบเลือดสดๆ แม้แต่ความเจ็บปวดบนบาดแผลเก่าบนใบหน้าก็ยังทุเลาลง เหมือนกับว่ามันตอบรับต่อการบูชายัญด้วยเลือดอย่างไรอย่างนั้น
การฟื้นฟูตระกูลคงเป็นไปไม่ได้แล้ว สู้ดื่มด่ำกับความสุขที่ีมีในตอนนี้ดีกว่า
เพราะบนโลกนี้ไม่มีน่าสนุกกว่านี้อีกแล้ว
……………………………………………………………
ตอนที่ 1373 กลิ่นคาวเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ชื่ออะไร? มาจากไหน?”
“โนแลน คนนี้คือพี่ชายของข้า บรูนอส พวกข้ามาจากเมืองไอซ์บาวด์”
เมื่อเจอการถามคำถามของเจ้าหน้าที่ประจำด่าน นีแกน มอร์เรย์จึงซี้ซั้วตอบไป
ถึงแม้ก่อนจะมาที่อ่าวดีพพูลทั้งสองคนจะได้ยินมาแล้วว่าหากจากเจอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของเกรย์คาสเซิล ทางที่ดีที่สุดคือพูดความจริง ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากไปถึงทางใต้เมื่อไรอาจจะเจอปัญหาใหญ่ได้ แต่พวกเขาไม่ได้คิดที่จะไปที่เกรย์คาสเซิลตั้งแต่แรกแล้ว
ขอเพียงข้ามเคจเมาเธ่นไปก็จะเป็นดินแดนของอาณาจักรดอว์น ที่นั่นมีเมืองและหมู่บ้านมากมายให้ซ่อนตัว ด้วยฝีมือที่มีอยู่ พวกเขาสองคนไม่กังวลเรื่องการใช้ชีวิตหลังจากนี้
ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกับการอ้างตัวเป็นขุนนางแล้ว การปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ กลับจะทำให้สะดุดตาน้อยกว่า
พวกเขาตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะไปเป็นทหารยามอยู่ในคฤหาสน์ของผู้ปกครองซักแห่งหรือไม่ก็ไปเป็นหน่วยลาดตระเวน เวลากลางวันทำงานมีเกียรติ พอตกกลางคืนก็เป็นช่วงเวลาอิสระของพวกเขา ขอเพียงเฝ้าอยู่ตรงปากทางที่รกร้างห่างไกล พวกเขาจะต้องเจอกับชาวบ้านที่หลบหนีมาคนเดียวแน่
เหมือนกับที่พวกเขาเคยทำที่อีเทอร์นอลวินเทอร์
“โอ้? ที่นั่นไกลจากอ่าวดีพพูลมากเลยนะ” เจ้าหน้าที่พูดไปพลางพร้อมบันทึกไปพลาง “ข่าวปีศาจพ่ายแพ้แพร่ไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ในบรรดาชาวบ้านที่หลบหนีมามีคนทางเหนืออย่างพวกเจ้าแค่ไม่กี่คนเอง”
นีแกนตกใจเล็กน้อย เมื่อดูจากท่าทางและการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง และคนธรรมดาจำนวนมากที่เขาเคยเห็นว่าก็มักจะรู้จักแต่ที่ๆ ตัวเองอยู่เท่านั้น แต่ชาวเกรย์คาสเซิลที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่เพียงแต่จะรู้จักเมืองไอซ์บาวด์ แถมยังบอกระยะทางของเมืองเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักแห่งนี้ออกมาด้วย!
“งั้นเหรอ…ขอรับ? ข้าเองก็ฟังมาจากเพื่อนพ่อค้าคนหนึ่ง น่าจะอีกไม่นาน คนจากอีเทอร์นอลวินเทอร์คงจะมาที่นี่กันเยอะขึ้นขอรับ”
ภายในใจเขาเองรู้สึกโชคดี ยังดีที่เขาเลือกเมืองที่ไม่ไกลจากวูล์ฟฮาร์ทมากนัก ถ้าเขาบอกว่ามาจากเมืองรีเฟลคสโนว์ที่อยู่ทางเหนือของอีเทอร์นอลวินเทอร์ล่ะก็ เกรงว่าคงจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยมากกว่านี้แน่
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เจ้าหน้าที่มองมาทางทาร์ลอส “เออใช่ หน้าของพี่เจ้า ช่วยเอาผ้าคลุมหัวออกหน่อยได้ไหม?”
“เขาถูกสัตว์ป่าทำร้ายมาน่ะก็รับ ไม่ค่อยสะดวกให้คนอื่นดู…”
“ขอโทษด้วย แต่นี่เป็นกฎ ถ้ามีลักษณะพิเศษอะไร ข้าก็จำเป็นต้องจดลงไป”
นีแกนขมวดคิ้วขึ้นมา
บัดซบ แกเป็นแค่หมาเฝ้าประตูเท่านั้น
แต่พี่ข้าเป็นอัศวินที่ได้รับการอวยยศมานะ!
ถ้าตอนนี้อยู่นอกเมือง เขาคงจะตัดลิ้นของอีกฝ่ายออกมาแล้ว!
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร” ทาร์ลอส มอร์เรย์พูดอย่างใจเย็น “แต่ว่าให้ดูแค่แวบเดียวเท่านั้นนะ” เขาเลิกผ้าคลุมหัวขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้าซีกหนึ่งที่บิดเบี้ยว น่าจะเป็นเพราะตกใจกลัว เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว คนที่อยู่รอบๆ เองก็ส่งเสียงอุทานตกใจขึ้นมา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังจดบันทึกลงไปจนเสร็จเรียบร้อย
“อย่างนั้น…นี่คือป้ายชื่อของพวกเจ้า” เขายื่นแผ่นโลหะสองแผ่นให้นีแกน “นี่เป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่จะใช้แลกสถานะ อย่าทำหายล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าไปรอในพื้นที่กักกันก่อน”
เจ้านี่มันกลัว
นีแกนรับเอาป้ายชื่อมาพร้อมกับแอบหัวเราะอยู่ในใจ
สีหน้าของพี่ชายดูเรียบเฉยๆ แต่ความจริงกลับแผ่จิตสังหารออกมา จิตสังหารที่ฝึกฝนมาจากการผ่านความเป็นความตายมาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะแบกรับได้ บวกกับสีหน้าที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวในตอนนี้ จึงยิ่งทำให้น่ากลัวขึ้นไปอีกหลายเท่า อีกฝ่ายไม่ล้มก้นกระแทกไปกับพื้นก็ถือว่าดีมากแล้ว
เสียดายที่ตรงนี้ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ด้านข้างของด่านมีทหารของเกรย์คาสเซิลยืนถือปืนอยู่ ต่อให้พวกเขาสองคนจะมีฝีมือแค่ไหนก็ยากที่จะหลบลูกดอกเหล็กที่มองไม่เห็นพวกนั้นได้
“ไปกันเถอะ” ทาร์ลอสปล่อยผ้าคลุมหัวลง ก่อนจะพยักหน้าสงสัญญาณ
“อื้อ” นีแกนแหวกทางออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปในพื้นที่ท่าเรือเป็นคนแรก แต่ไม่นานฝีเท้าของเขาก็ช้าลง “พี่ พวกมันจะเอาทุกคนไปหมดเลย..”
ทาร์ลอสเองก็สังเกตเห็นการจัดการของคนเกรย์คาสเซิลอย่างรวดเร็ว
แผนการที่จะผ่านเข้ามาในด่าน แล้วค่อยหาโอกาสแอบหนีไปที่คิดเอาไว้ในตอนแรกนั้นฟังดูไม่เลว แต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยให้ผู้อพยพมีโอกาสที่จะแยกตัวออกไปเลย ตั้งแต่ผ่านเข้าด่านมาจนถึงพื้นที่กักกันล้วนแต่มีแถบผ้าสีสดใสกั้นเอาไว้อยู่ ขอเพียงผู้อพยพเดินไปตามแถบผ้านี้ พวกเขาก็จะต้องเข้าไปในท่าเรือ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเรือที่จอดอยู่ริมฝั่งอย่างแน่นอน
ถึงแม้แถบผ้าพวกนี้จะไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ แต่บริเวณรอบๆ นั้นมีทหารของเกรย์คาสเซิลเคยเดินลาดตระเวนอยู่ ถ้าทั้งสองคนข้ามแถบหน้านี้แล้วหนีออกไป ทหารพวกนั้นไม่มีทางนั่งมองพวกเขาหนีเฉยๆ แน่
แต่สิ่งที่แตกต่างจากที่คิดเอาไว้มากที่สุดก็คือตัวเมือง
พื้นที่ในอ่าวดีพพูลล้วนแต่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง อย่าว่าแต่ชาวเมืองเลย แม้แต่บ้านที่อยู่ในสภาพดีๆ ซักหลังก็ยังไม่มี นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพรางตัวปะปนเข้ากับพวกชาวเมือง แต่มันยังจะทำให้การปิดบังร่องรอยกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากอีก
ในจุดนี้ไม่เหมือนกับอีเทอร์นอลวินเทอร์เลย!
ทั้งสองที่ต่างก็เป็นที่ๆ ปีศาจเข้ามายึดครอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเมืองรีเฟลคสโนว์หรือว่าเมืองอื่นก็ล้วนแต่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ คิดไม่ถึงเลยว่าทางทิศใต้กลับกลายเป็นสภาพแบบนี้
“พวกเราจะทำยังไงดีพี่?” นีแกนแสดงสีหน้าร้อนใจออกมา ทันทีที่ขึ้นไปบนเรือ หลังจากนี้พวกเขาก็ได้แต่ต้องฟังโชคชะตาเท่านั้น ถ้าเกิดเรือพวกนั้นล่องไปที่เกรย์คาสเซิลเลย อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่มีที่ให้หนีอีก
ส่วนการหยุดอยู่กับที่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความคิดที่ดี สำหรับผู้อพยพแล้ว พวกเขาล้วนแต่อยากจะหนีไปจากดินแดนของปีศาจให้เร็วที่สุด ถ้าพวกเขาสองคนหยุดเดิน แบบนั้นก็จะตกเป็นเป้าสายตาของหน่วยลาดตระเวนอีกเหมือนกัน
“ก็เพราะใจร้อนอย่างนี้ เจ้าถึงไม่ได้รับการอวยยศจากฝ่าบาทซักที” ทาร์ลอสสบถออกมา “ค่อยๆ เดินไปก่อน อย่าหยุด ท่าเรือใหญ่ขนาดนี้ คนเกรย์คาสเซิลมันดูแลได้ไม่ทั่วหรอก แค่ดูจำนวนของพวกมันก็รู้แล้ว อย่างมากมีไม่เกินร้อยคน ขอเพียงค่อยๆ หา พวกเราจะต้องมีโอกาสหนีออกไปแน่นอน”
เมื่อได้ยินพี่ชายพูดเช่นนี้ นีแกนก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
ไม่ว่าเวลาที่พี่ชายฆ่าคนจะบ้าคลั่งแค่ไหน แต่เวลาปกติเขามักจะสงบเยือกเย็นเหมือนดั่งน้ำแข็ง ขอเพียงทำตามที่เขาบอก ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้
หลังจากนั้นสิบห้านาที นีแกนก็มองเห็นโอกาส
“พี่ ดูนั่น!” เขาอุทานออกมาเบาๆ
“….น่าเหลือเชื่อ” ทาร์ลอสสังเกตอยู่ครู่ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยออกมา “ต้องยอมรับเลยว่า คนเกรย์คาสเซิลเก่งเรื่องพวกนี้จริงๆ แม้แต่รถม้าที่ใช้ขนของก็ยังสร้างออกมาได้แบบนี้”
ตรงมุมหนึ่งของท่าเรือมีรถสี่ล้อขนาดใหญ่สิบกว่าคันจอดอยู่ ขนาดของพวกมันใหญ่จนน่าตกตะลึง ของที่บรรทุกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่รถม้าธรรมดาจะขนมาได้ ข้าวของเครื่องใหญ่อื่นๆ และอาหารที่ผู้อพยพต้องการเหมือนว่ามันจะเป็นคนขนมา อย่างน้อยตรงพื้นที่ระหว่างท่าเรือกับรถก็มีคนงานขนของวิ่งไปวิ่งมาอยู่จำนวนไม่น้อยเพื่อขอของไปขึ้นเรือ
คนงานที่อยู่ตรงนั้นค่อนข้างวุ่นวาย แถมพื้นที่ยังทับซ้อนกับพื้นที่กักตัวด้วย การจะเข้าใกล้รถจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ถึงแม้จะไปถึงข้างรถก็ไม่ได้หมายความว่าจะหนีออกไปจากพื้นที่ควบคุมของคนเกรย์คาสเซิลได้ นอกเสียจากจะวิ่งเร็วกว่าอาวุธของพวกเขา ไม่อย่างนั้นช้าเร็วก็จะถูกหน่วยลาดตระเวนที่รู้ตัวไล่ตามมา
วิธีเดียวที่จะหนีไปได้ก็คือขโมยรถหนีไป
รถสี่ล้อเหล่านี้ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่มันก็ยังต้องใช้คนขับอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่เหมือนกับรถม้าตรงที่ว่าคนขับเหมือนจะถูกหัวรถห่อหุ้มเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือในเวลาเดียวกับที่พวกเขาชิงเอาตำแหน่งคนขับมา พวกเขาก็มั่นใจได้ว่าตัวเองจะไม่ถูกคนอื่นเห็น
นีแกนกับทาร์ลอสสบตากัน ก่อนจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นคิดเหมือนกับตน
ใช้ประโยชน์จากตัวรถที่ใหญ่โตมาเป็นที่กำบังให้ตัวเอง แล้วค่อยหารถที่พร้อมจะออกเดินทาง จากนั้นใช้มีดไปจ่อที่คอหอยคนขับ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะกลายเป็นคนเรื่องง่าย
ทั้งสองคนลงมือทันที
การหลบหนีของพวกเขาเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร
ถึงแม้จะมีคนงานจำนวนไม่น้อยที่สังเกตเห็นคนสองคนที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ แต่อย่างมากพวกเขาก็ทำได้แค่เตือนเรื่องทิศทางที่จะไปขึ้นเรือ ไม่มีใครที่จะมาสอบถามพวกเขาให้มากความ พวกเขาเองก็แสร้งทำเป็นถูกรถขนาดยักษ์ดึงดูดความสนใจเอาไว้ แล้วก็หลอกเหล่าคนงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานได้อย่างง่ายดาย เพราะทุกคนต่างมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่มีใครที่อยากจะมาเสียเวลากับเรื่องอื่น
เมื่อเข้ามาในพื้นที่ลับตาคน นีแกนกับทาร์ลอสก็รีบย่อตัวแล้ววิ่งเลียบตัวรถไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็เข้ามาใกล้รถที่จอดอยู่ด้านนอกซึ่งขนของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อีกเพียงก้าวเดียวแผนการของพวกเขาก็จะสำเร็จ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ด้านหลังของพวกเขาพลันมีเสียงถามอย่างสงสัยดังขึ้นมา
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
นีแกนขนลุกขึ้นมาทันที
เขารีบหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังมีผู้หญิงสวมเสื้อคลุมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
อีกฝ่ายเอียงหัวเล็กน้อย หมวกเสื้อคลุมตกลงมาปกคลุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
เขาเอื้อมมือไปที่เอว แต่ทาร์ลอสกลับแอบส่งสัญญาณห้ามเขาไว้ “ขอโทษที…พวกข้าเป็นผู้อพยพมาจากเมืองไอซ์บาวด์ ตอนแรกแค่อยากจะมาดูเจ้ารถพวกนี้หน่อย แต่เดินไปเดินมาไม่รู้เดินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง”
“อย่างนี้นี่เอง ผู้อพยพเหรอ…” หญิงสาวยิ้มๆ แต่กลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะเดินจากไป “แต่ว่า ทำไมบนตัวพวกเจ้าถึงได้เหม็นคาวเลือดขนาดนี้ล่ะ?”
………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น