Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1366-1367
ตอนที่ 1366 ทางแยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ศึกนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็จบลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่มันเอาหางตะขอที่วิวัฒนาการออกมาแทงเข้าไปในร่างกายของดวงตารังย่อยอีกตัวหนึ่ง การแพ้ชนะก็ได้ถูกกำหนดออกมาเรียบร้อยแล้ว พิษที่ทำลายระบบประสาทที่กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วได้ทำลายการรับรู้ที่มีอยู่น้อยนิดของอีกฝ่าย ส่วน ‘มีด’ กับ ‘ขา’ ที่สูญเสียการควบคุมก็พากันหนีออกมา
เมื่อเห็นร่างกายที่พังทลายลงของดวงตารังย่อย มันก็เก็บหางตะขอเข้าไปอย่างถึงพอใจ
ในอดีตมันก็เป็นเหมือนกับแมลงที่น่าสงสารพวกนี้ ต้องไปรวมตัวอย่างไร้จุดหมายซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็รอคอยให้นางพญาที่รังหลักกำหนดชะตาชีวิตของพวกมัน ตอนนี้ดวงตาพวกนั้นยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก แต่มันกลับกลายเป็นนักล่าแห่งเนสต์อายแล้ว
เมื่อเทียบกับร่างกายในตอนแรกของมัน การเปลี่ยนแปลงของมันเรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
มันใช้ฟีโรโมนจากพวกปลาทะเลลึกบางส่วนมาแยกดวงตาออกจากเครื่องใน แล้วเอาดวงตาไปไว้ที่ผิวด้านนอก ขณะเดียวกันตรงกระดูกซี่โครงก็สร้างเกราะที่เต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ขึ้นมา นี่ทำให้ความสามารถในการป้องกันของร่างกายมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ต่อให้เจอกับแมลงสองขาที่น่ารังเกียจพวกนั้น อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้ามาในร่างกายมันได้ง่ายๆ อีก
นอกจากนี้ การทำศึกระยะไกลก็มีความปลอดภัยมากกว่าการต่อสู้ระยะใกล้อย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้มันสามารถสร้างสารระเบิดที่รุนแรงขึ้่นมาในร่างกายเพื่อใช้โจมตีผลึกหินกับหอกกระดูก ถึงแม้นี่จะเป็นแนวคิดที่ยืมมาจากแมลงชั้นต่ำอีกชนิดหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าใช้ได้ผลอย่างมาก อย่างน้อยเวลาโจมตีมันก็ไม่ต้องพึ่งพาพลังเวทมนตร์ แล้วก็ไม่ถูกหินศักดิ์สิทธิ์รบกวนด้วย และเพื่อที่จะรับเอาอวัยวะเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย ขนาดของร่างกายมันจึงขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 3 เท่า ซึ่ง ‘มีด’ ปกตินั้นไม่มีทางทำอะไรมันได้เลย
สุดท้ายก็เป็นหางตะขอที่มีพิษ มันสามารถสังหารเป้าหมายขนาดใหญ่ได้ในการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วก็ยังรักษาสภาพร่างกายของเหยื่อเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อสะดวกต่อการเก็บฟีโรโมน เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่ใช้งานครั้งนึงทำประโยชน์ได้หลายอย่าง
มันกับดวงตาแห่งรังย่อยพวกนั้นไม่อาจถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันอีกแล้ว
เพื่อที่จะแยกแยะตัวมันในตอนนี้จากตัวมันในอดีต มันจึงได้เลียนแบบวิธีของแมลงพวกนั้นด้วยการตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘สวอลโลว์’
กลืนกินทุกสิ่ง แล้ววิวัฒนาการตัวเอง
และดวงตาแห่งรังย่อยที่กระจายตัวเก็บฟีโรโมนอยู่ทั่วทุกที่ในทะเลนั้นคือเหยื่อที่คู่ควรแก่การล่ามากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อไปก็เป็นช่วงเวลาที่จะได้มีความสุขกับการกินเหยื่อ
‘สวอลโลว์’ เปิดเปลือกออก หนวดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ก่อนจะค่อยๆ ลากอีกฝ่ายเข้ามาในร่างของมัน
ทันใดนั้นเอง มันพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นกระเพื่อมที่แปลกประหลาด
การกระเพื่อมที่แผ่กระจายออกมาจากคลื่นมีความรุนแรงอย่างมาก เหมือนกับว่าท้องฟ้ากับพื้นดินส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน!
มันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นอกจากเมฆครึ้มๆ กับพระจันทร์สีแดงแล้ว ด้านบนก็เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่ในสายตาของมัน ท้องฟ้าที่ดูอึมครึมนั้นกลับเหมือนมีคลื่นกระเพื่อมกระจายออกไปไม่หยุด
ความไม่สบายใจอย่างรุนแรงห่อหุ้มตัวมันเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟใต้ทะเล หรือว่าการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของพื้นดินก็ล้วนแต่ก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมรูปแบบต่างๆ แต่มันไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน มันทั้งบริสุทธิ์และมีความเป็นจังหวะ ด้วยเหตุนี้มันจึงดูน่ากลัว
ไม่นานการกระเพื่อมก็หายไปจากท้องฟ้า แต่ยังไม่ทันที่ ‘สวอลโลว์’ จะได้สติคืนมา กลิ่นที่คุ้นเคยกลิ่นหนึ่งก็ได้ทะลักเข้ามาในร่างกายผ่านจากหนวดของมัน
นี่คือคำสั่งวิวัฒนาการที่นางพญาที่รังหลักส่งออกมา!
เป็นเพราะคำสั่งจำนวนมากถูกร่างกายของดวงตาแห่งรังย่อยรับเอาไว้ แล้วก็การเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นมาใหม่จากการกลืนกิน มันคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะได้ยินเสียงเรียกของเผ่าพันธุ์ใหม่อีกครั้งด้วยวิธีนี้หลังจากที่มันสูญเสียการเชื่อมต่อกับรังหลักไปเป็นเวลานานแล้ว
ไม่ใช่เท่านี้ ร่างกายของมันยังแยกข้อมูลที่อยู่ในฟีโรโมนเหล่านี้ได้ทันที แถมยังคิดอยากจะปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้ด้วย!
ไม่!
มันไม่ใช่เนสต์อายธรรมดาๆ อีกต่อไป!
มันคือร่างที่เป็นอิสระเพียงหนึ่งเดียว!
หลังคายร่างของดวงตาแห่งรังย่อยออกมา ‘สวอลโลว์’ ก็กลิ้งไปกลิ้งมาเพื่อต่อต้านการตอบสนองตามสัญชาตญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วน ‘มีด’ กับ ‘ขา’ ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ นั้นตกใจจนไม่กล้าขยับ มี ‘มีด’ กับ ‘ขา’ หลายตัวที่ถูกหางตะขอของมันฟาดจนกลายเป็นเศษเนื้อ น้ำทะเลที่อยู่รอบๆ ฟุ้งกระจายขึ้นมา ‘สวอลโลว์’ พยายามจนแทบจะหมดแรงกว่าจะควบคุมความคุ้มคลั่งภายในใจที่มีต่อความเย้ายวนของการวิวัฒนาการเอาไว้ได้
หลังตั้งสติได้มันก็ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายมันก็สั่งให้ ‘ขา’ ไปลากเอาร่างเนสต์อายที่จมอยู่กลับมา เพราะถ้ามันรู้ทิศทางการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ เวลาที่ล่าเนสต์อายตัวอื่นๆ หลังจากนี้ก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น
มันเอาหนวดแทงเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวังเพื่อรับรู้ถึงความปรารถนาของรังหลัก แล้วก็จดจำคำสั่งแต่ละคำสั่งที่อยู่ในฟีโรโมน
แต่ผลที่ออกมากลับทำให้มันรู้สึกตกใจอย่างมาก!
คำสั่งนี่มัน…เยอะเกินไปหน่อยหรือเปล่า!
เพราะที่ผ่านมาการวิวัฒนาการนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างระมัดระวังอย่างมาก การประกอบร่างขึ้นมาใหม่นั้นไม่มีทางที่สมบูรณ์แบบได้ด้วยคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว ก็เหมือนกับความยืดหยุ่นที่อยู่ตรงข้ามกับความตายตัว การระเบิดอย่างรุนแรงก็หมายถึงความต่อเนื่องที่ต่ำ ถ้าอยากจะทำให้มีความสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องความสมดุลในภาพรวมได้ และก็เป็นเพราะจุดนี้ ในการออกคำสั่งวิวัฒนาการทุกครั้ง รังหลักจึงจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์และคัดกรองซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะทำการตัดสินใจออกมา ส่วนใหญ่แต่ละครั้งไม่มีทางออกคำสั่งมาเกินสองคำสั่ง ยิ่งไปกว่านั้นเนสต์อายยังจะได้วิวัฒนาการก่อนพวกบริวารด้วย
แต่ครั้งนี้มันกลับได้รับคำสั่งจำนวนมากที่ให้เนสต์อายและบริวารวิวัฒนาการพร้อมกัน
อย่างเช่นคำสั่ง ‘อดทนต่อความเจ็บปวด’ ‘เลือดแข็งตัวอย่างรวดเร็ว’ ‘การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว’ ‘เกราะแหลมคม’…แถมฟีโรโมนบางอันก็เป็นฟีโรโมนที่ถูกส่งมาโดยไม่ผ่านการกรอง นี่มันไม่เหมือนกับที่นางพญาที่รังหลักเคยทำก่อนหน้านี้เลย! ไม่ใช่เท่านี้ ในคำสั่งบางคำสั่งยังมีฟีโรโมนกลายพันธุ์ของอสูรดั้งเดิมด้วย เรียกได้ว่าเป็นวิธีการที่ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเลย!
จริงอยู่ที่การวิวัฒนาการเหล่านี้จะทำให้ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น แต่มันยังเป็นการทำลายอนาคตของเผ่าพันธุ์ด้วย มันพอจะจำได้ลางๆ ว่าความจริงแล้ว เป้าหมายสุดท้ายของการวิวัฒนาการของพวกมันนั้นไม่ใช่การอยู่รอด หากแต่เป็นการบินขึ้นไปยังท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป
แต่ทันทีที่การวิวัฒนาการเสร็จเรียบร้อย มันจะทำให้เกิดจุดอ่อนที่เกิดขึ้นจากฟีโรโมนของพวกชั้นต่ำ ซึ่งความเสี่ยงตรงนี้ถือว่าค่อนข้างสูงไปเสียหน่อย
มันไม่เข้าใจว่าทำไมนางพญาที่ัรังหลักถึงทำการตัดสินใจแบบนี้ออกมา
ที่โชคดีก็คือชะตาชีวิตของมันได้แยกออกมาจากเผ่าพันธุ์อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะหมายถึงอะไรก็ล้วนแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับมัน
หลังแยกชิ้นส่วนเนสต์อายเสร็จเรียบร้อย สวอลโลว์ก็มุ่งหน้าตรงไปยังทะเลลึก ก่อนจะหายลับไปในคลื่นใต้ทะเล
…..
คงจะไม่ทันแล้วมั้ง…
ผู้เฝ้ามองยืนอยู่ริมทะเลที่เงียบสยอง สายตาทอดมองออกไปทางเหนือ
เกลียวคลื่นที่ซัดสาดขึ้นมาบนชายหาดของเกาะจนเกิดเป็นเสียงซ่าๆ ที่ฟังดูเป็นจังหวะและอ่อนโยน แต่เธอรู้นี้ว่านี่คงเป็นความเงียบสงบของท้องทะเลแห่งนี้
ขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปถูกย้อมไปด้วยสีแดงคล้ำ บ่อยครั้งจะสามารถมองเห็นแสงรัศมีที่เกิดขึ้นจากพลังเวทมนตร์สว่างวาบขึ้นมาเหมือนกับเมฆพายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาอีกไม่นาน เมฆสีแดงที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ก็จะลอยไปถึงทองฟ้าเหนือดินแดนรุ่งอรุณ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามแห่งชะตาชีวิต
ส่วนอีกด้านหนึ่งที่ไกลออกไป บนผิวทะเลมี ‘คลื่น’ สีดำยกตัวขึ้นมา มันขยายตัวออกไปหลายร้อยกิโลเมตร กลายเป็นเหมือนหินโสโครกที่เคลื่อนที่ได้
ภายใต้การชี้นำของเจตจำนงของพระเจ้า ในที่สุดพวกมันก็มารวมตัวกัน
ภาพแบบนี้เธอเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ครั้งนี้เกรงว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
แน่นอน นั่นไม่ได้หมายว่ามันจะจบสิ้น สำหรับโลกทั้งโลกแล้ว มันก็แค่การเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่การเริ่มต้นแบบนั้นมันก็เป็นแค่วัฏจักรหลายสิบล้านปีอีกรอบหนึ่งเท่านั้น และคนที่จะมาเป็นผู้เฝ้ามองอยู่ที่นี่ก็จะไม่ใช่เธออีก
ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนั้นหาทางกลับเจอหรือเปล่า เธอหันมองไปทางใต้ ถ้าหลังจากนี้มีโอกาสได้เจอกันอีกก็คงจะดี
เร็วอีกหน่อยสิ เธอบ่นพึมพำอยู่ในใจ
………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1367 ฐานของการพัฒนา
โดย
Ink Stone_Fantasy
การประชุม ‘โปรเจคหนี่วา’ ดำเนินมาเป็นเวลาหลายวัน ระดับความเป็นมืออาชีพของผู้เข้าร่วมประชุมทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากกว่านั้นก็คือความกระตือรือร้นของทุกคน
ตลอดทั้งการประชุมมีการโต้เถียงและอภิปรายอยู่ตลอดเวลา เวลาในการประชุมมักจะเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปจนถึงหนึ่งทุ่ม เวลาที่เจอปัญหาที่ยากจะตัดสินใจได้ก็มักจะลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืนอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่จะสวมชุดสูท แต่ในเรื่องเทคโนโลยีแล้วเรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใครเลย ระดับความร้อนแรงของการประชุมนั้นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะออกไปรบด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30 – 40 เท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสที่ผมหงอกทั้งหัวแล้วก็ยังโต้เถียงอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกัน
คนปกติเมื่ออายุเท่านี้ ทั้งการพูดจาการครุ่นคิดที่เชื่องช้าล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ แต่พวกเขานอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วก็แทบจะมองไม่เห็นถึงความแก่เลย เสียงไม่เพียงแต่จะดังชัดเจน แต่ในดวงตายังดูชีวิตชีวาอย่างมาก เวลาที่ถกเถียงปัญหาก็มักจะเอาชนะคนหนุุ่มๆ ได้เสมอ นี่ทำให้โรแลนด์เชื่อว่าสมองคนเรา ยิ่งใช้บ่อยๆ ก็จะยิ่งพัฒนา
ในโลกแห่งความฝัน เขายังสามารถใช้พลังแห่งธรรมชาติในการรักษาระดับสมาธิเอาไว้ได้ แต่หลังจากตื่นขึ้นมาเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ดังนั้นเพื่อที่จะรับมือกับเนื้อหาในการประชุมแล้ว เขาจึงต้องเพิ่มจำนวนครั้งในการนอนหลับในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อชดเชยเรี่ยวแรงที่เสียไป
ที่จริงแล้วบรรยากาศในการประชุมไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก อย่างน้อยในตอนแรกทุกคนก็ไม่ได้แสดงความสนใจออกมามากแบบนี้ การถกเถียงส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ ‘การสมมติ’ ของโรแลนด์มากกว่า
อย่างเช่น ‘คู่ต่อสู้’ ชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพของฟอลเลนอีวิลหลังจากที่อารยธรรมมนุษย์ถูกทำลาย และการเปลี่ยนสภาพของพลังแห่งธรรมชาติ อย่างเช่นไฟสีดำ หรือการสกัดเอาธาตุต่างๆ ออกมาซึ่งดูไม่สอดคล้องกับระดับของเทคโนโลยีในภาพรวม…ถึงแม้ผู้เข้าร่วมการประชุมจะเห็นแก่หน้าผู้นำของทางสมาคมกับทางรัฐบาล พวกเขาจึงไม่ได้แสดงความสงสัยออกมาอย่างเปิดเผยว่าแนวคิดเหล่านั้นมันเป็นไปได้หรือไม่ แต่พวกเขากลับแสดงอาการต่อต้านกับการทำแบบขอไปทีออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นถ้าไม่นั่งอยู่เงียบๆ ก็มักจะถามเรื่องรายละเอียดซ้ำไปซ้ำมาโดยอ้างว่าเพื่อ ‘สะดวกต่อการทำงาน’ ซึ่งน้ำเสียงที่พวกเขาใช้ในระหว่างนี้ย่อมไม่ดีแน่นอน
ถ้าไม่เป็นเพราะโรแลนด์คอยส่งสายตาบอกพวกหลิงอยู่หลายครั้ง เกรงว่าเหล่าแม่มดทาคิลาคงจะลงมือกับผู้เข้าร่วมประชุมไปแล้ว
จนกระทั่งในตอนที่กำลังจะจบการประชุมของวันแรก ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ได้ระเบิดออกมา
หัวหน้าวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเครื่องจักรคนหนึ่งได้พูดออกมาตรงๆ ว่าต่อให้ถกปัญหากันเยอะกว่านี้ แต่ถ้าจำไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่คุยกันในหนึ่งวันนี้ก็มากพอที่จะให้ทางสมาคมครุ่นคิดไปได้หลายสัปดาห์แล้ว การประชุมครั้งหน้าควรจะเลิกเร็วกว่านี้หน่อยจะดีกว่า ซึ่งโรแลนด์จำได้แม่นเลยว่าจู่ๆ บุ๊คที่นั่งเงียบมาตลอดพลันตบโต๊ะขึ้นมาอย่างโมโห
จากนั้นภายในห้องประชุมก็กลายเป็นเวทีของเธอ
ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่พูดคุยกันในที่ประชุมเท่านั้น แต่กระทั่งใครพูดอะไรออกไปกี่ครั้ง ตั้งแต้ต้นจนจบถามคำถามออกมากี่ครั้ง แล้วก็ใครทำประโยชน์ต่อโปรเจคนี้มากน้อยแค่ไน ทุกอย่างถูกลิสต์ออกมาทั้งหมด ความสามารถในการจดจำอันน่าเหลือเชื่อแบบนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมตกตะลึงไปทันที หัวหน้าวิศวกรที่แสดงการคัดค้านออกมาก็เป็นใบ้ไปเหมือนกัน พริบตานั้นเอง ทุกคนเหมือนกลายเป็นนักเรียน ส่วนบุ๊คกลายเป็นคุณครูเพียงหนึ่งเดียว
น่าจะเป็นเพราะเธอช่วยตอกย้ำว่าสมมติฐานที่ว่าพลังแห่งธรรมชาติอาจจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้แขนขาและกล้ามเนื้อ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเหล่าวิศวกรที่ฉลาดหลักแหลมมักจะมีความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่ฉลาดเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว บวกกับท่าทีและหน้าตาที่โดดเด่นของบุ๊ค จึงทำให้สถานการณ์หลังจากนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมทันที
ในการประชุมวันถัดมา การถกเถียงยังคงเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ประเด็นที่ถกเถียงกันนั้นเปลี่ยนไปอยู่ที่ตัวโปรเจคหนี่วาแล้ว
ไม่ใช่เท่านี้ ในตอนนี้ไม่มีปัญหาทั้งเรื่องคนและเรื่องเงิน ประเด็นที่ถกเถียงกันทุกๆ ประเด็นในที่ประชุมจะถูกส่งไปให้แผนกวิจัยและพัฒนาทำการทดสอบจริงทันที เพื่อดูว่ามันปฏิบัติได้จริงหรือไม่
สำหรับโรแลนด์แล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาได้ประโยชน์จากโลกแห่งความฝันมากที่สุด
จากคำแนะนำของผู้อำนวยการอู๋ที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเทคโนโลยีของโปรเจค เขาได้แนะนำว่าตอนนี้โรแลนด์ควรจะเน้นไปที่การปรับปรุงเครื่องมือ
อีกฝ่ายบอกว่า “เห็นๆ อยู่ว่ามีวิธีการแปรรูปที่มีความแม่นยำสูงแล้ว แถมยังมีวัตถุดิบโลหะคุณภาพดี ทว่ากลับยังคงใช้เครื่องจักรที่ล้าหลังแบบนี้อยู่ เรียกได้ว่าน่าเสียดายมาก ต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีการควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ เขาก็สามารถใช้วิธีเชิงกลมาทำให้เกิดการควบคุมแบบกึ่งอัตโนมัติได้ ถ้าโรแลนด์พูดเรื่องนี้เร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่ต้องทนใช้เครื่องจักรกระป๋องเหล่านี้มาจนถึงตอนนี้
โรแลนด์เมื่อได้ฟังแบบนี้ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เครื่องจักรกระป๋องที่อีกฝ่ายว่านั้นเป็นสิ่งที่เขาใช้ความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาทั้งชีวิตออกแบบออกมา ทว่าโรแลนด์ก็เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของผู้อำนวยการอู๋เหมือนกัน
ก่อนที่เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นที่แพร่หลาย อุปกรณ์เครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยวิธีเชิงกลเพียงอย่างเดียวเคยถูกยกย่องว่าเป็นผลงานศิลปะ อย่างเช่นคอมพิวเตอร์เชิงกล และเครื่องหาผลต่างที่พัฒนาขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์เชิงกล แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ ไม่ว่าใครเมื่อได้มาเป็นฟันเฟืองและสกรูที่หมุนทับกันไปทับกันมาก็ย่อมต้องสัมผัสได้ถึงความงดงามที่บริสุทธ์ แต่การพัฒนาของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นเหมือนกับน้ำที่หลากลงมา แต่พริบตาก็พัดพาเอาเครื่องจักรที่ใหญ่โตและซับซ้อนเหล่านั้นลงไปในแม่น้ำประวัติศาสตร์ ต่อให้เขาพลิกตำราเรียนทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าจะเจอเนื้อหาที่เกี่ยวกับการออกแบบอุปกรณ์เหล่านั้น
ตอนนี้เมื่อมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเขาปรับปรุงแก้ไขเครื่องมือในการผลิต แถมยังคืนชีพให้กับเครื่องจักรที่หายไปจากประวัติศาสตร์เหล่านี้ขึ้นมาใหม่ เขาย่อมต้องรู้สึกอยากได้แน่นอน
ทันทีที่ระดับของเครื่องมือถูกยกระดับขึ้น สิ่งที่ตามมานั้นไม่ได้มีเพียงแค่ประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่มันยังช่วยลดความต้องการในการใช้แรงงานลงไปด้วย นี่เท่ากับว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะสามารถทำงานได้มากขึ้นด้วยจำนวนแรงงานที่เท่าเดิม สำหรับอาณาจักรที่มีจำนวนประชากรจำกัดแล้วถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
นอกจากเครื่องจักรสำหรับการผลิตแล้ว ทางศูนย์ออกแบบก็ได้ผลิตเครื่องมือสำหรับการบริหารออกมาไม่น้อยเหมือนกัน อย่างเช่นคอมพิวเตอร์เชิงกลแบบง่ายๆ เครื่องพิมพ์ดีดกับเครื่องพิมพ์แบบอัตโนมัติ…พวกมันส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แค่มีพวกมันไม่กี่เครื่องก็สามารถเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับสำนักบริหารได้อย่างมากแล้ว
ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้ก็ได้กลายเป็นฐานรากของโปรเจคหนี่วา
เนื้อหาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานนี้ได้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
หลายๆ คนภายในที่ประชุมต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งนั้นคือภารกิจสำคัญอันดับแรกของการปกป้องมนุษย์ชาติไม่ให้สูญพันธุ์ และจำเป็นต้องมีพลังที่จะใช้ต่อต้านเหล่าฟอลเลนอีวิลที่กลายสภาพ มนุษย์ถึงจะมีต้นทุนที่จะใช้พัฒนาต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ประเด็นการพูดคุยหลักๆ ในช่วงที่สองจึงเน้นไปที่อาวุธ
เมื่อคิดถึงเงื่อนไขที่โรแลนด์ให้มา เหล่าผู้เข้าร่วมประชุมจึงได้แบ่งแผนการออกไปสามช่วง ได้แก่แผนการไตรมาส แผนการหนึ่งปีและแผนการห้าปี
ประวัติศาสตร์การทำสงครามในโลกแห่งความฝันได้ให้คำตอบที่ดีที่สุดของคำถามบางคำถามออกมาแล้ว แต่เนื่องจากจำนวน ‘ผู้รอดชีวิต’ ที่สมมติเอาไว้นั้นมีจำนวนไม่พอที่จะสนับสนุนระบบอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบทั้งระบบได้ การจะลอกเลียนแบบประวัติศาสตร์ออกมาทั้งหมดนั้นไม่มีทางจะเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้เชี่ยวชาญจึงเน้นให้ความสำคัญกับโปรเจค 3 – 4 โปรเจคที่มีประโยชน์ต่อการโจมตีศัตรูมากที่สุด เพื่อทำให้ความสามารถในการทำสงครามของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปให้มากที่สุดในเวลา 3 เดือนถึง 1 ปี
เรื่องแรกที่ถูกพูดถึงก็คือสิ่งที่ทำการพัฒนาได้ง่ายที่สุด นั่นก็คือระเบิดแรงสูงและดินปืน
ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้
ถ้าหากดินปืนไนเตรตยังพอจะหาวิธีผลิตจากหนังสือเคมีได้ อย่างนั้นข้อมูลของ TNT และ RDX ที่จะหาได้นั้นก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนประกอบและสัดส่วนของดินปืนผสมสมัยใหม่เลย ในตอนนี้เมื่อตัวแทนของทางรัฐบาลเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ในที่สุดจุดอ่อนตรงนี้ก็ถูกอุดเสียที
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น