Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1364-1365
ตอนที่ 1364 ความร่วมมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“โลกที่ไม่มีพลังเวทมนตร์?” ไนติงเกลถามอย่างสงสัย “อย่างนั้นโลกมันยังจะเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า? พวกท่านสองคนคิดมากไปหรือเปล่า?”
“…ก็จริง” อันนาได้สติกลับมา “แรงมันจะส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ต่อให้เป็นแรงขนาดเพียงนิดเดียว แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในระบบที่มีความสมดุล มันก็ทำให้ระบบทั้งระบบเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังเวทมนตร์ที่มีอยู่ทั่วทุกที่เลย ถ้าเกิดพลังเวทมนตร์มันจู๋ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นสภาพของโลกก่อนหน้านี้มันก็ควรจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิงถึงจะถูก แต่เมื่อดูจากสิ่งที่พระองค์บรรยายมา ที่นี่แทบจะไม่แตกต่างจากโลกที่พระองค์ทรงเคยอาศัยอยู่เลย น้ำสามารถเดือดได้ หิมะสามารถละลายได้ แสงแดดให้ความอบอุ่น พื้นดินสามารถให้กำเนิดชีวิต นอกจากพลังเวทมนตร์แล้ว มันก็แทบจะเหมือนกันทุกอย่าง”
“ดังนั้นมันถึงน่าบูชาไง ข้าคิดว่าตัวหนังสือนั้นบางทีอาจจะหมายความอย่างนี้ก็ได้” แผ่นหลังของโรแลนด์รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา “ไม่ได้อยู่ในกรอบของแรงพื้นฐานทั้งสี่ แต่กลับสามารถเข้ามาอยู่ในแรงเหล่านี้ได้อย่างแนบเนียน และก่อให้เกิดอิทธิพลต่อโลกนี้ทุกๆ ด้าน เหมือนกับว่ามันอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งอย่างไรอย่างนั้น”
“มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอเพคะ?” อันนาขมวดคิ้วขึ้นมา
“ตอนนี้ก็ได้แค่เดาแบบนี้เท่านั้นแหละ” โรแลนด์กุมมือตัวเอง “ยิ่งไปกว่านั้นการปรากฏขึ้นมาของพลังจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่สิ่งที่คิดฝ่ายคาดคิดเอาไว้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ดังนั้นมันถึงได้เรียกสิ่งนี่ว่า ‘ค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’”
“ฟังดูแล้วค่อนข้าง..น่ากลัวนะเพคะ” มุมปากไนติงเกลกระตุกขึ้นมา
“ไม่ นี่กลับเป็นเรื่องดีต่างหาก”
“หา? ทำไมล่ะเพคะ?”
“โลกในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขค่าตอบแทนนี้ได้เหมือนกัน ถ้าคิดแบบนี้ หลังจากนี้พลังเวทมนตร์ก็จะยังคงอยู่แบบนี้ไปตลอด” โรแลนด์อธิบายอย่างจริงจัง “และเมื่อมีพลังเวทมนตร์อยู่ พวกเจ้าก็จะไม่มีทางที่จู่ๆ ก็หายไป”
“อะแฮ่มๆ” ไนติงเกลเบือนหน้าไปอีกทาง “ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผลนะเพคะ”
“แต่ปีนี้เดือนแห่งปีศาจผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่กลับยังไม่มีแม่มดที่ตื่นรู้ขึ้นมาใหม่แม้แต่คนเดียว แบบนี้ควรจะโทษใครดีล่ะเพคะ” อันนาพูดเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
“เอ่อ อันนี้ก็…” เขาพูดไม่ออกไปทันที
“เอาล่ะ ไม่ล้อเล่นแล้วเพคะ” อันนายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าเราคิดตามสมมติฐานที่ว่านี้ อย่างนั้นก็เท่ากับว่าสงครามแห่งโชคชะตากับการยกระดับของเผ่าพันธุ์ล้วนแต่เกิดขึ้นหลังจากที่พลังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมา แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นโลกที่พวกเราคุ้นเคยใบนี้อย่างนั้นเหรอเพคะ?”
“ถ้ามองจากเรื่องตรรกะเพียงอย่างเดียวก็คิดแบบนี้ได้ เพราะว่าชิ้นส่วนสืบทอดกับโลกแห่งจิตสำนึกล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนตร์ ซึ่งโบราณสถานต่างๆ ที่ขุดค้นพบตอนนี้ก็ล้วนแต่พิสูจน์ว่าที่นี่เคยมีอารยธรรมที่อยู่มาก่อนที่พวกเราจะปรากฏขึ้นมา” โรแลนด์ถอนใจออกมา “ตอนนี้เรื่องที่ข้าค่อนข้างสนใจมีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือวัตถุทรงกลมที่อยู่ด้านหลังโพรงสีแดงที่ค่อยๆ ประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างแล้วถูกผลึกปกคลุม กับสองคือการปลดปล่อยเทวทูตผู้ทรยศเฝ้าตามหา”
“พระองค์ทรงสงสัยว่ามันจะเป็นโลกที่พวกเราอาศัยอยู่เหรอเพคะ?”
เขาพยักหน้า “ถ้าสามารถบินขึ้นไปดูได้ก็คงจะดี…เสียดายที่ด้วยระดับเทคโนโลยีของเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้นั้นยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ส่วนการปลดปล่อยที่มิสต์พูดถึงจะต้องเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามันหมายความว่าอะไร เกรงว่าคงต้องรอให้เข้าไปในบอทธ่อมเลสแลนด์แล้วถึงจะรู้ได้”
….
เดิมโรแลนด์คิดว่าองค์กรขนาดใหญ่อย่างสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะทำงานช้า ถึงแม้จะเห็นพ้องต้องกันในขั้นแรกแล้ว แต่กว่าจะออกระเบียบการต่างๆ ก็น่าจะใช้เวลาอีกเป็นสิบวัน แทนที่จะรอผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคม สู้เขาเป็นฝ่ายยื่นขอเสนอไปทางสมาคมเลยดีกว่า อย่างเช่นขอข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีให้กับบุ๊คหรือขอให้ทางแม่มดทาคิลาอย่างเซนต์มิลานกับโดโด้ได้รับการฝึกซ้อมพิเศษ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับแตกต่างจากที่เขาคิดไว้มาก
เพียงแค่วันเดียว หรือก็คือในเย็นวันนั้นตอนที่เขาเข้าไปในโลกแห่งความฝันอีกครั้ง เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากการ์เซีย
“เลขาของคุณร็อคให้ฉันมาแจ้งนายว่าทางเมืองปริซึมได้หารือกันแล้ว และได้อนุมัติแผนการสนับสนุนแรกออกมา รายละเอียดในการปฏิบัติของแผนการนี้จำเป็นต้องให้นายมีส่วนร่วมด้วย สถานที่ในการจัดประชุมคือแผนกโครงการเมืองยานยนต์พลังงานใหม่ของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ ถ้าไม่มีแผนอะไรอื่น พวกเราก็ออกเดินทางตอนนี้เลย”
“เดี๋ยวๆ ตอนนี้เหรอ?” ขณะที่โรแลนด์กำลังงุนงง อีกฝ่ายก็วางสายไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นประตูด้านนอกห้องรับแขกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
โรแลนด์รีบใส่เสื้อคลุมแล้วเดินออกไปเปิดประตู
คนที่ยืนอยู่นอกประตูก็คือการ์เซีย
“ทำไมเรื่องนี้ถึงต้องให้เลขาของร็อคแจ้งเธอ จากนั้นค่อยให้เธอมาแจ้งฉันล่ะ?” โรแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณผู้คุมโทรหาฉันโดยตรงเลยก็ได้นี่นา? ทำไมถึงต้องลำบากเธอมาแจ้งฉันด้วย”
“นายนี่มันไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ” การ์เซียพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่แสดงให้เห็นว่าทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ให้การยอมรับนาย และนี่ก็เป็นมาตรฐานในการติดต่อสื่อสารกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสมาคมด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มาร่วมประชุมครั้งนี้ก็มีหลายคนที่ไม่ใช่คนของสมาคม ถ้าให้นายไปคนเดียว อย่างนั้นไม่เท่ากับทำให้สมาคมขายหน้าหรอกเหรอ? แล้วก็นะ หลังจากนี้ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบติดต่อประสานงานในการประชุมแบบนี้ ถ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ไปได้แล้ว”
“เอ่อ…ฉันยังไม่ได้ล้างหน้าเลย”
เธอกรอกตาใส่เขา “อย่างนั้นก็รีบไปสิ!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คิดจะออกไป โรแลนด์จึงได้แต่ต้องปฏิบัติตาม แต่เมื่อเดินลงมาข้างล่างตึก ทั้งสองคนก็คิดขึ้นมาได้ทันที รถหรูสองประตูของการ์เซียได้ชนจนกลายเป็นเศษเหล็กไปในการช่วยเหลือเมื่อครั้งก่อนแล้ว
สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้แต่ต้องขับรถตู้เก่าๆ ของโรแลนด์ออกมา
“รถของเธอ…เอาไว้ฉันจะใช้คืนให้นะ” โรแลนด์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับพูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน “แต่ว่าเราขับรถคันนี้ไป…มันจะไม่ทำให้สมาคมขายหน้าจริงๆ เหรอ?”
“นายเงียบปากซะ” การ์เซียพูดด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
โรแลนด์เบี่ยงสายตามองไปทางอื่น
หลังขับรถออกมานอกเขตเมือง สีหน้าของเธอจึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ “เรื่องก่อนหน้านี้ ในเมื่อมันเป็นการช่วยคน แล้วก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องด่วนอย่างมาก ฉันก็จะไม่เอาเรื่องนาย ส่วนตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ฉันก็จะทำตามกฎของสมาคมด้วยการไม่ถามนายในตอนนี้”
โรแลนด์งุนงง เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดออกไปว่า “ขอบคุณนะ”
“แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหนี้ที่นายติดฉันมันจะหายไปนะ เข้าใจไหม?” การ์เซียเปลี่ยนประเด็น ก่อนจะพูดเน้นย้ำว่า “เอาไว้คำสั่งรักษาความลับถูกยกเลิกไปแล้ว นายจะต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทั้งหมดให้ฉันฟัง รวมไปถึงสถานะของซีโร่กับประวัติความเป็นมาของญาติๆ นายด้วย”
เธอสังเกตเห็นถึงความผิดปกติจริงๆ ด้วย
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่โรแลนด์คิดเอาไว้แล้ว ตอนที่ช่วยเฟยอวี่หานการ์เซียก็ยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นด้วย เธอย่อมต้องเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เฟยอวี่หานฟื้นขึ้นมาจากความตาย ไม่ว่าจะเป็นบุ๊คที่นำเอาไหมเย็บแผลเวทมนตร์มาหรือว่าจะเป็นเหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ไม่รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนปกติธรรมดาแน่นอน
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้เธอก็ยังยินดีที่จะรอฟังเขาอธิบาย ความเชื่อใจตรงนี้ทำให้โรแลนด์รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
แล้วก็ยังมีเฟยอวี่หาน ร็อค….ภายใต้การผลักดันของหลายๆ คน โลกนี้กำลังก้าวไปยังทิศทางที่เขาที่เขาไม่รู้จักจริงๆ ด้วย
แต่ก็เป็นเพราะความรู้นี่แหละถึงได้ทำให้น่าปกป้อง
“เอาไว้ทุกอย่างจบลงแล้ว ฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟังแน่นอน” โรแลนด์ตอบอย่างจริงจัง
หลังรถขับเข้ามาในเขตโรแงงาน โรแลนด์ก็พบว่าป้ายโครงการเมืองยานยนต์พลังงานใหม่อันสะดุดตาที่เดิมตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าโรงงานนั้นหายไปเสียแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่มันกลับเป็นป้ายสีทองใหม่เอี่ยม
เขาตกตะลึงไปทันที
ตัวหนังสือบนป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิล’
…………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1365 ศูนย์ออกแบบแห่งใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่โรงงานไม่ได้มีเพียงเท่านี้
โรแลนด์สังเกตเห็นว่าบนถนนมีคนงานจำนวนไม่น้อยกำลังเปลี่ยนป้ายโฆษณาที่อยู่สองข้างทางออก ในไซต์ก่อสร้างที่ปกติจะมีเสียงก่อสร้างดังอยู่ตลอดเวลาเงียบสงบลง ราวกับว่าผู้คนในโครงการเมืองยานยนต์ขนาดใหญ่ได้ย้ายออกไปในชั่วพริบตาอย่างไรอย่างนั้น นอกกำแพงเตี้ยๆ ที่้ใช้สำหรับกั้นพื้นที่ก่อสร้างก็มีนั่งร้านตั้งขึ้นมา เหมือนว่าพวกเขามีความคิดว่าจะก่อกำแพงด้านนอกขึ้นมาใหม่
ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นก็คือเขายังเห็นตำรวจติดอาวุธจริงอยู่หลายนายด้วย แล้วก็มีการตั้งเส้นกั้นพื้นที่กับป้อมตำรวจขึ้นมา คนที่เข้าออกจำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนเสียก่อน รถยนต์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้ตึกหลักเลยแม้แต่คันเดียว
หลังตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตนของเขากับการ์เซียเสร็จ ตำรวจก็ทำวันทยหัตถ์ จากนั้นจึงเปิดประตูให้ทั้งสองคน
“พระเจ้า…” การ์เซียพูดพึมพำขึ้นมา “นายไปขอให้สมาคมทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
“บอกตามตรง ตอนนี้ฉันเองก็ไม่ได้รู้ไปมากกว่าเธอเลย” โรแลนด์ส่ายหัว “ฉันยังไม่ได้ไปขออะไรเลย”
ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินผ่านประตูหลักเข้าไปในตึก ฝีเท้าของการ์เซียพลันชะงักเล็กน้อย คิ้วของเธอขมวดขึ้นมา
คนที่ยืนต้อนรับพวกเขาอยู่ด้านนอกคือการ์โดซึ่งเป็นหนึ่งในประธานของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ แล้วก็เป็นพ่อของเธอ
“ผมรอคุณมานานแล้ว” อีกฝ่ายหันไปพยักหน้าให้ลูกสาวก่อน จากนั้นจึงยื่นมือไปทางโรแลนด์ “คุณโรแลนด์ ถึงแม้ในครั้งแรกที่ผมเจอคุณจะรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา แต่ผมก็คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ขนาดนี้ นับแต่นี้เป็นต้นไป โรงงานแห่งนี้เป็นของคุณแล้วครับ”
ถึงแม้การ์โดจะพูดแสดงความยินดี และน้ำเสียงของเขากลับไม่ได้มีความยินดีเท่าไรเลย สีหน้าของเขาดูสับสน ราวกับว่ารวบรวมความขัดแย้งต่างๆ เอาไว้ในตัว ถ้าบอกว่าตอนเจอหน้ากันครั้งแรกชายวัยกลางคนคนนี้มีท่าทีที่ดูถูกเขาอย่างชัดเจน พอครั้งที่สองก็แสดงทำเป็นให้ความร่วมมือเพราะความสัมพันธ์ของผู้คุม อย่างนั้นอารมณ์ที่แสดงออกมาในครั้งนี้คงจะเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเขาแล้วล่ะมั้ง
“เดิมโครงการเมืองยานยนต์พลังงานใหม่เป็นโครงการที่กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ให้ความสำคัญอย่างมากไม่ใช่เหรอ? แล้วเอามายกให้คนอื่นแบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ?” การ์เซียพูดเสียดสี “ทีก่อนหน้านี้ยังจะไล่ที่ตึกถึงจึโดยไม่สนใจความรู้สึกชาวบ้านอยู่เลย หนูนึกว่ากลุ่มทุนโคลฟเวอร์จะใจแข็งกว่านี้ซะอีก”
ที่น่าแปลกใจก็คือการ์โดไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธแค้นแต่อย่างใด หากแต่ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาแทน “สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เสนอเงื่อนไขที่ทางตระกูลไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา ถึงแม้พ่อจะเป็นหนึ่งในประธานบริษัท แต่ก็ไม่สามารถหยุดการตัดสินใจนี้ได้ นอกจากนี้กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ยังหยุดโครงการไล่ที่และปรับปรุงชุมชนถงจึแล้ว อีกเดี๋ยวจะมีการประกาศในงานต้อนรับ หลังจากนี้ลูกก็ไม่ต้องไปยืนโบกธงตะโกนเพื่อชาวบ้านพวกนั้นแล้วนะ”
การ์เซียตกตะลึง
“หยุด…ไล่ที่แล้ว?”
“อื้อ หยุดแล้ว” การ์โดค่อยๆ พูด “พ่อรู้ว่าถึงเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ลูกก็คงไม่ให้อภัยพ่อ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ใช่ ‘ศัตรู’ กันอีก ต่อไปถ้าลูกอยากจะมาเจอน้อง ก็มาที่บ้านได้ตลอดเลยนะ แน่นอน…” เขามองไปทางโรแลนด์ “พาเขามาด้วยก็ได้”
หลังพาทั้งสองคนที่มีสีหน้างุนงงเข้ามาส่งให้ห้องโถงแล้ว การ์โดก็โบกมือแล้วเดินออกจากตึกไป
ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้สติกลับมา เลขาที่มีหน้าที่ต้อนรับก็พาพวกเขาเข้าไปในห้องประชุมหลัก
ภายในห้องขนาดเกือบร้อยตารางเมตรมีคนนั่งล้อมโต๊ะอยู่ 40 – 50 คน แทบจะทุกคนสวมชุดสูท ดูแล้วไม่เหมือนการประชุมที่จัดขึ้นในไซต์ก่อสร้างเลย ตรงหัวโต๊ะมีเก้าอี้วางอยู่ 4 ตัว นอกจากผู้คุมร็อคแล้วก็ยังมีคนนั่งอยู่อีก 2 คน คนหนึ่งเป็นชายอายุ 40 – 50 ปี ใบหน้าดูเต็มไปด้วยความสามารถและประสบการณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งถึงแม้จะมีผมขาวแล้ว แต่สายตากลับยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ส่วนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งนั้นเห็นได้ชัดว่าเหลือเอาไว้ให้เขา
ในเวลานี้การ์เซียเหมือนตื่นขึ้นมาจากความงุนงง เธอดันหลังของโรแลนด์เบาๆ
โรแลนด์พยักหน้า จากนั้นจึงก้าวเข้าไปนั่งลงข้างๆ ผู้คุมร็อค
หลังจากมีประสบการณ์ได้เป็นราชาของอาณาจักรมา เขาย่อมไม่รู้สึกกลัวต่อสถานการณ์แบบนี้ ภายในใจเขากลับรู้สึกแปลกใจขึ้นมา — เพราะเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าทางสมาคมกำลังสร้างเซอร์ไพรส์ให้เขา
แต่ว่าหลังจากที่เลขาของผู้คุมกล่าวเปิดการประชุมและแนะนำผู้เข้าร่วมประชุมทีละคนแล้ว โรแลนด์ก็รู้สึกตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปทันที ถึงแม้จะรู้ว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีประวัติมายาวนาน แล้วก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อรัฐบาล แต่ ‘เซอร์ไพรส์’ ที่ว่านี้ก็ยังเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ตั้งแต่โลหะวิทยาไปจนถึงวัสดุศาสตร์ ตั้งแต่การออกแบบเครื่องจักรไปจนถึงการควบคุมอัตโนมัติ คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้แทบจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจในสาขานั้นๆ ในนั้นมีทั้งศาสตราจารย์จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ แล้วก็มีผู้นำทางเทคโนโลยีจากบริษัทเอกชน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือทั้ง 40 – 50 คนนี้เป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น เบื้องหลังของพวกเขายังมีทีมขนาดใหญ่อยู่อีก เรียกได้ว่าครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการวิจัยพัฒนาไปจนถึงการผลิตเลย
ส่วนอีกสองคนที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของเขาคือผู้อำนวยการอู๋และหัวหน้าหลิว โดยผู้อำนวยการอู๋จะรับผิดชอบในด้านเทคโนโลยี คอยวางแผนเรื่องการวิจัยแต่ละโครงการ ส่วนหัวหน้าหลิวซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายธุรการจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องคนและทรัพยากร จากจุดนี้จะเป็นได้ถึงความเป็นมืออาชีพของทั้งระบบ ซึ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลเล็กๆ ก่อนหน้านี้จะเทียบได้เลย
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ สมาคมถึงได้ขอที่ดินผืนนี้มา เพราะถ้าไม่มีที่ดินที่ใหญ่พอ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำการวิจัยหลายๆ โครงการพร้อมกันได้
นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นตัวแทนของรัฐบาล แล้วก็เป็นคนส่วนน้อยในห้องนี้ที่รู้ข้อมูลเชิงลึก
โปรเจคนี้ถูกตั้งชื่อว่า ‘หนี่วา[1]โปรเจค’ ซึ่งการใช้ตำนานหนี่วาซ่อมฟ้ามาเปรียบเปรยกับการต่อสู้กับการกัดกินนั้นถือว่าเหมาะสมอย่างมาก แต่ว่าเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้ข้อมูลการมีอยู่ของอีกโลกหนึ่ง ด้วยเหตุนี้บนเอกสารการประชุมจึงเขียนอธิบายลงไปว่าโปรคเจคนี้เป็นการ ‘ซักซ้อมเพื่อการกลับมา’ โดยเป็นการสมมติว่าสุดท้ายอารยธรรมของมนุษย์ถูกการกัดกินทำลายลง ผู้ที่มีชีวิตรอดได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่หลงเหลืออยู่ในการสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่
โดยมีปูมหลังที่สำคัญของเรื่องนี้คือภายใต้ผลกระทบของการกัดกิน ผู้ตื่นรู้บางส่วนได้วิวัฒนาการความสามารถพิเศษที่แตกต่างไปจากพลังแห่งธรรมชาติที่มีอยู่ในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้โครงการวิจัยต่างๆ จึงได้คำโดยคำนึงถึงปัจจัยในจุดนี้ ส่วนรายละเอียดของความสามารถพิเศษที่ว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ก็จะให้ทางโรแลนด์ซึ่งเป็นประธานนักไล่ล่าของทางสมาคมเป็นคนกำหนด
เมื่ออ่านถึงตรงนี้โรแลนด์ก็เกือบจะสำลักชาที่กินเข้าไป
พูดอีกอย่างก็คือเนื้อหาหลักของการประชุมครั้งนี้คือฟังเขาพูดเรื่องความสามารถและถกเรื่องวิธีใช้งานของมัน ต่อให้มันเป็นสิ่งที่เขาแต่งขึ้นมา ทุกคนก็ต้องคิดอย่างจริงจังว่าพลังอันนี้มันจะสร้างผลกระทบต่อการสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่อย่างไรบ้าง
แล้วก็ต้องขอบคุณที่ทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จัดการประชุมแบบนี้ขึ้นมา ถ้าให้ตัวเขาไปเที่ยวประกาศเรื่องนี้เอง เกรงว่าพวกนักวิชาการคงจะเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีแน่
“ไม่ทราบว่าคุณโรแลนด์พอใจแผนการนี้หรือเปล่าครับ?” ร็อคหันมามองเขายิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณมาขอร้องผม คุณเคยบอกว่ามันสำคัญต่อโลกนี้อย่างมาก ตอนนั้นผมยังนึกว่ามันเป็นแค่การพูดให้ดูเกินจริง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดคุณในตอนนั้นแล้ว เมื่อคิดถึงว่ารูปแบบการแสดงออกมาของพลังเวทมนตร์ของทั้งสองโลกนั้นไม่เหมือนกัน แบบนี้ไม่ว่าคำขอร้องของคุณมันจะฟังดูแปลกแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางว่าอะไรได้แล้วล่ะครับ”
โรแลนด์เลิกคิ้ว “คุณเชื่อ…ที่ผมบอกเหรอครับ?”
“บอกตามตรง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาหันกลับไป “แต่ขอเพียงพวกเขาสามารถร่วมมือกันเอาชนะการกัดกินได้ ต่อไปยังไงก็ต้องมีโอกาสได้พิสูจน์มันแน่นอนใช่ไหมล่ะครับ? และศูนย์ออกแบบแห่งใหม่แห่งนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
…………………………………………………….
[1] หนี่วา คือเทพเจ้าองค์หนึ่งของจีน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น