Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1360-1363
ตอนที่ 1360 โน้มน้าว (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนต่างสบตากันด้วยสีหน้าสับสน ยกเว้นแต่เพียงเฟยอวี่หานเท่านั้น นี่ทำให้โรแลนด์แอบรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนในตอนที่เขาไม่รู้ตัว อีกฝ่ายคงรู้เรื่องโลกอีกโลกหนึ่งและความเป็นมาของเขามาบ้างแล้ว
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ร็อคจึงพูดขึ้นมาอย่างคร่ำเคร่งว่า “โลกแห่งความฝัน…หมายความว่ามันสามารถหายไปได้ทุกเมื่อเหมือนความฝันอย่างนั้นเหรอ?”
“เปล่า มันเป็นแค่คำเรียกที่ผมเรียกอยู่บ่อยๆ เท่านั้น เพราะว่าผมจะเข้ามาที่โลกนี้ได้เฉพาะตอนที่ผมนอนหลับ” โรแลนด์ตอบอย่างสบายๆ “ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนกับความฝัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้เจอในโลกนี้ได้เปลี่ยนแปลงความคิดของผม พวกคุณเองจะเรียกโลกที่ผมอยู่ว่าโลกแห่งความฝัน แล้วเรียกที่นี่ว่าโลกแห่งความจริงก็ได้ ผมเชื่อว่าในตอนที่ความรู้เกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ของทั้งสองโลกพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง การเชื่อมต่อของทั้งสองโลกก็จะก้าวขึ้นไปอีกระดับ”
หางตาของเขามองเห็นเฟยอวี่หานกำลังยิ้มมุมปาก
ถึงแม้จะไม่พูดอธิบายต่อ แต่คนที่อยู่ที่นี่ก็สามารถเข้าใจความหมายของเขาได้
นั่นคือสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองโลกจะหายไป
ผู้คนจะสามารถข้ามไปมาระหว่างทั้งสองที่ได้
“นั่นมันก็ต้องรอให้กลายเป็นจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชายอาวุโสคนหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นมา “ปัญหาตอนนี้ก็คือพวกเรายังไม่มีวิธีพิสูจน์คำพูดของคุณได้ เรื่องที่คุณพูดมามันน่าเหลือเชื่อเกินไป ขอโทษด้วยที่ผมไม่อาจเชื่อได้จริงๆ!”
“คุณโรแลนด์ ผมไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าคุณนะ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่คุณได้มาล้วนแต่มาจากเทวทูตที่ทรยศ ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกมันมีอะไรแอบซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า?” มีคนรีบพูดสำทับต่อขึ้นมาทันที “แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าคืออะไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับปิดบังข้อมูลตรงนี้เอาไว้เพราะกลัวพระเจ้าจะรู้เรื่อง นี่มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดมันคือพลังของพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อมันสามารถทำลายโลกนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ลงมือซักที? ไม่แน่หากพวกเราทำอะไรผลีผลามไป มันอาจจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้มันทำลายโลกจริงๆ ก็ได้”
ทันทีที่มีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คำถามต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาราวกับหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก
“แต่ผมกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้เลย จากคำพูดของเทวทูต ถ้าหากเราไม่ทำอะไร โลกก็จะพังทลายลง แต่ถ้าเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าแล้วสู้แพ้ โลกของเราก็จะถูกทำลายอยู่ดี เช่นนั้นปัญหามันก็ออกมาแล้ว คุณโรแลนด์ คุณคิดว่าตัวคุณมีโอกาสที่จะเอาชนะพระเจ้าเหรอ?”
“คำพูดของเทวทูตจะเชื่อถือได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ผมว่านะ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่นักล่าคนนี้แต่งขึ้นมาเพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการยกสถานะของตัวเองก็ได้? แน่นอน พวกยุคเก่าเองก็น่าสงสัยเหมือนกัน”
“คุณว่าอะไร? อย่าลืมสิว่าฝ่ายที่สนับสนุนเขามากที่สุดคือดาราที่เป็นฝ่ายยุคใหม่ของพวกคุณนะ!”
ห้องประชุมที่ตอนแรกยังปรึกษาหารือกันเริ่มค่อยๆ กลายเป็นสนามรบ โรแลนด์เองก็ไม่พูดแทรกอะไร หากแต่ยกแก้วชาขึ้นมาแล้วนั่งพิงไปบนเก้าอี้ พร้อมกับมองดูทุกคนถกเถียงกันอย่างเงียบๆ
เขาคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องมีเหตุการณ์แบบนี้
กลับกันถ้าเป็นตัวเขาได้ยินเรื่องแบบนี้ การตอบสนองของเขาก็คงไม่ดีไปกว่าคนเหล่านี้เท่าไร ซึ่งข้อสงสัยของคนเหล่านี้เขาเองก็เคยคิดเอาไว้แล้ว อย่างเช่นการที่เทวทูตที่ทรยศให้เบาะแสมาเพียงนิดหน่อย แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามออกมาตรงๆ มันน่าเชื่อถือแค่ไหน แล้วก็หลังเจอพระเจ้าแล้ว เขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง คำถามเหล่านี้โรแลนด์ไม่เพียงแต่จะตอบไม่ได้ ต่อให้ไปถึงตอนนั้นแล้ว เกรงว่าเขาก็ยังไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจปิดบังเรื่องที่ว่ามิสต์คือเทวทูตที่ทรยศเอาไว้
แบบนี้ตอนที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมทะเลาะกัน พวกเขาจะได้ไม่โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่อาจารย์ของการ์เซีย
ส่วนสุดท้ายผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เขาไม่ได้หวังอะไรเอาไว้มากนัก
คนที่มีความมุ่งมั่น พอตัดสินใจแล้วก็จะพุ่งไปข้างหน้าเหมือนอย่างเฟยอวี่หานนั้นกลับกลายเป็นตัวประหลาด
การทำให้โลกแห่งความฝันรับรู้ได้ถึงวิกฤติที่กำลังคืบใกล้เข้ามาได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้แล้ว
โรแลนด์ดื่มชาจนหมด ในขณะที่เขากำลังจะหันหน้าไปบอกเฟยอวี่หานว่าตัวเขาจะออกไปก่อน จู่ๆ เธอกลับยกมือขวาขึ้นมา
จากนั้นแสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุง่ออกมาจากปลายนิ้วของเธอ
“เฮ้ย…”
โรแลนด์อยากจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน ลำแสงผ่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าขาดเป็นสองส่วน!
แก้วชาที่อยู่บนโต๊ะถูกตัดออกเป็นสองส่วน ก่อนจะตกลงไปที่พื้น เสียงแก้วแตกดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
พริบตานั้นเอง สายตาทุกคนหันไปมองดูเธอ
“พวกคุณลืมไปแล้วเหรอว่าเจตจำนงเดิมในการตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมาคืออะไร?”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่มันกลับแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“ในช่วงเวลานับพันปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกยุทธ์รวมตัวเข้าด้วยกันโดยมีเป้าหมายร่วมกันคือต่อสู้กับการกัดกิน เพื่อปกป้องไม่ให้โลกนี้ถูกฟอลเลนอีวิลกลืนกิน! ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร? มีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าฟอลเลนอีวิลปรากฏตัวขึ้นมาจากการกัดกิน เมืองปริซึมถูกทำลายลงในพริบตา ผู้คุมฟิวเรียสเฟลมถูกฆ่าตาย อาศัยแค่ผู้ตื่นรู้นั้นไม่สามารถสู้กับมันได้ ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าวิกฤติเช่นนี้ แต่พวกคุณกลับมัวแต่เถียงกันว่าโลกอีกใบหนึ่งมันน่าเชื่อถือหรือไม่ พวกคุณไม่คิดว่าน่าตลกเหรอ?”
“คุณเฟยอวี่หาน อย่าลืมสถานะของคุณ!” ชายแก่คนนั้นหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที
ร็อคเข้าไปห้ามเขาเอาไว้ ก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าเรื่องนี้มันไม่สำคัญ?”
“ถูกต้อง” เฟยอวี่หานพูดอย่างไม่ลังเล “ฉันมองเห็นแค่เรื่องเดียว — นั่นคือผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีทางเอาชนะเทวทูตได้ แต่โรแลนด์ทำได้ อย่างนั้นในเมื่อเราปกป้องโลกนี้ไม่ได้ เราก็ควรจะช่วยคนที่สามารถปกป้องโลกนี้ได้ไม่ใช่เหรอ! ทุกคนอย่าได้เข้าใจผิดไป การที่เขาอธิบายเรื่องพลังเวทมนตร์กับอีกโลกหนึ่งนั้นก็เพื่อที่จะคลายความอยากรู้อยากเห็นของพวกคุณเท่านั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะใช้มันมาเป็นข้ออ้างในการสงสัยเขาได้!”
“พูดอีกอย่างก็คือต่อให้โรแลนด์เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ขอเพียงเขาสามารถฆ่าเทวทูตที่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถกำจัดได้ เช่นนั้นสมาคมก็ควรจะให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แล้วก็ให้ความสำคัญกับเขาในระดับเดียวกับผู้ปกป้องโลก นี่ต่างหากถึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์เดิมของสมาคมเรา ไม่อย่างนั้นพวกเราจะยังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ปกป้องโลกนี้อยู่อีกเหรอ?”
“แล้วก็เป็นเพราะว่าเรายากที่จะเอาชนะพระเจ้าได้ พวกเราต้องได้ต้องการความร่วมมือกันของทั้งสองโลก การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว!”
“บางทีอาจจะยังมีคนสงสัยเรื่องที่ว่า ‘ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถสังหารเทวทูตได้’ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ฉันเองก็เข้าใจพวกคุณเหมือนกันที่จะคิดแบบนั้น เพราะคนที่อยู่ตรงนั้นในตอนนั้นมีแค่ฉันกับซีโร่ แต่ฉันก็พร้อมยินดีที่จะให้ทุกท่านได้พิสูจน์—“ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทั่วทั้งร่างของเฟยอวี่หานพลันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน แม้แต่น้ำเสียงก็เบาลงไม่น้อย “ขอเพียงพวกคุณสามารถสู้กับฉับแบบตัวต่อตัวแล้วทำให้ฉันบาดเจ็บแบบนั้นได้ ฉันก็จะถอนคำพูดที่พูดไปทั้งหมด ว่าไง?”
เธอกวาดตามองทุกคน สายต่อเธอแหลมคมเหมือนดั่งคมมีด ส่วนคนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นไม่ว่าจะเป็นอายุหรือว่าตำแหน่งก็ล้วนแต่อยู่สูงกว่าเฟยอวี่หาน แต่พวกเขากลับไม่มีใครที่จะรับคำท้าของเธอเลย
“สมแล้วที่เป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่…” ร็อคพลันหัวเราะขึ้นมา เขาปรบมือแล้วพูดว่า “ฉันไม่ควรจะไปสนใจเรื่องอื่นจนลืมไปสิ่งที่สมาคมให้ความสำคัญอยู่จริงๆ ในตอนนี้ เธอพูดถูก ไม่ว่าคุณโรแลนด์จะมาจากไหน แต่เขาก็ทำประโยชน์ให้กับสมาคมเอาไว้มาก ไม่ว่าจะในฐานะที่เป็นตัวอย่างของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ หรือว่าผลงานในการกำจัดฟอลเลนอีวิลก็ล้วนแต่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาคมอย่างมาก เพียงแค่จุดนี้ ทุกคนก็ไม่ควรจะไปตั้งแง่และมองเขาในแง่ร้าย”
ผู้คุมมองไปทางทั้งสองคน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “นับตั้งแต่ที่เมืองปริซึมถูกโจมตี ฉันก็เคยสงสัยว่ามนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการกัดกินได้หรือไม่ บางทีสถานการณ์ในตอนนี้มันอาจจะเลวร้ายกว่าที่ฉันคิด แต่อย่างน้อยทุกคนก็ยังมีเป้าหมายที่มองเห็นได้ ส่วนโลกอีกใบหนึ่ง เอาไว้พวกเรารอดพ้นจากวิกฤตินี้ไปแล้วค่อยมาสำรวจมันดูก็ได้ ทุกท่านคิดว่ายังไงบ้าง?”
“นี่…ถือเป็นวิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้เล้ว”
“ใช่ ควรจะพุ่งเป้าไปที่การเอาชนะศัตรูจากการกัดกินก่อนดีกว่า
“ฉันเห็นด้วย”
เสียงของคนที่เห็นด้วยค่อยๆ กลบเสียงของคนที่สงสัย
เพราะการกำจัดการกัดกินต่างหากถึงจะเป็นภารกิจด่วนของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ หากอยากจะล้มข้อสรุปนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือผ่านด่านเฟยอวี่หานไปให้ได้เสียก่อน
ใครก็ตามที่รู้เรื่องการลอบโจมตีบนสะพานทางด่วนว่ามีความรุนแรงขนาดไหนล้วนแต่เข้าใจว่าการก้าวออกมาในเวลานี้นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน
ต่อให้เอาชนะได้ มันก็เป็นแค่การประลองเท่านั้น
แม้แต่ชายแก่คนนั้นก็ยังหุบปากลงไปอย่างไม่เต็มใจ
เฟยอวี่หานเก็บพลังแห่งธรรมชาติแล้วนั่งลงไปเหมือนเดิม จากนั้นเธอหันมายิ้มๆ ให้โรแลนด์ “เห็นไหม ฉันทำตามที่รับปากนายเอาไว้ได้แล้ว”
โรแลนด์กุมขมับ วิธีการของมันฝ่ายมันออกจะวุ่นวายไปเสียหน่อย ถึงแม้แบบนี้มันจะทำให้เมืองปริซึมมีความเป็นที่ตรงกัน แต่มันจะทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่พอใจได้ เธอไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ในจุดนี้ แต่ดูแล้วเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจในจุดนี้แม้แต่นิดเดียว “ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย?”
“เพราะว่า…” เฟยอวี่หานมองไปยังมือที่ถูกพันแผลเอาไว้ สีหน้าดูซึมๆ “สิ่งที่ฉันทำได้ ก็มีแค่เรื่องนี้่เท่านั้น”
…………………………………………………………………….
ตอนที่ 1361 เปลี่ยนความคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
รู้สึกผิดหวังเพราะคิดว่าตัวเองไม่สามารถกำจัดเทวทูตได้เหรอ
โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรจะปลอบเธอดีหรือควจะกรอกตาใส่เธอดี คนธรรมดาถ้าเจอกับเรื่องแบบนี้คงจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไปแล้ว แต่นี่เฟยอวี่หานกลับรู้สึกเศร้าใจที่ตัวเองไม่สามารถเข้าร่วมในศึกที่ตัวเองอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ต้องยอมรับเลยว่าความคิดของอัจฉริยะนั้นมักจะแตกต่างกับคนธรรมดา
จากนั้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมก็ได้ข้อตกลงร่วมกันอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตากับโลกทั้งสองนั้นถูกจัดให้เป็นความลับสูงสุด ก่อนที่ภัยอันตรายจากการกัดกินจะถูกแก้ไข สมาคมยังไม่อาจเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ออกไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความแตกตื่นโดยไม่จำเป็น
ส่วนข้อสรุปเรื่องประวัติและที่มาของโรแลนด์นั้นต้องมีการพูดคุยตกลงกันอีก ถ้าว่าตามคำพูดของเฟยอวี่หาน ความสำคัญของเขานั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าประธาณสมาคมเสียอีก ซึ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เมืองปริซึมเพียงเมืองเดียวจะทำการตัดสินใจได้ พวกเขาจำเป็นต้องปรึกษากับทางเมืองสกายซิตี้และสมาคมอื่นๆ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนาน
แต่เพื่อที่จะไม่เป็นการขัดขวางการต้อสู้กับศัตรูจากการกัดกิน ทางเมืองปริซึมจึงอำนวยความสะดวกและให้การสนับสนุนโรแลนด์เท่าที่เมืองปริซึมจะทำได้อย่างเต็มที่
ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันแล้ว เนื้อหาในการประชุมหลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องรายละเอียดในการสนับสนุน
ซึ่งในส่วนนี้โรแลนด์แค่รออยู่เฉยๆ ก็พอ
หลังเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมเฟยอวี่หาน โรแลนด์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นวัลคีรีย์กำลังรอเขาอยู่ด้านนอก
เธอมองพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ตัวโรแลนด์ “ข้าอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย”
เฟวยอวี่หานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากไปมา “อย่างนั้นฉันไปก่อนล่ะ ซีโร่ยังหลับอยู่ในห้อง”
กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะออกไปแล้ว โรแลนด์จึงเดินตามวัลคีรีย์ไปที่สวนด้านหลังตึก
ถึงแม้นี่จะเป็นฤดูหนาว แต่ภายในสวนก็ยังมีสีเขียวของต้นไม้อยู่ บนพื้นหญ้าสองข้างทางของทางเดินมีหิมะที่ยังไม่ละลายเกาะอยู่ ปลายหญ้าแหลมๆ โผล่ขึ้นมา เหมือนกำลังเตือนผู้คนว่าฤดูหนาวได้มาถึงช่วงท้ายแล้ว ปีใหม่กำลังจะมาถึง
ถ้าจะมาเดินเล่นล่ะก็ ที่นี่นับเป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว แต่จุดประสงค์ที่วัลคีรีย์พาเขามาที่นี่นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การมาดูวิวทิวทัศน์
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” โรแลนด์พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “รู้ว่าตัวเองคิดผิด ก็เลยตัดสินใจที่จะเชื่อข้างั้นเหรอ?”
“เปล่า ข้ายังไม่อาจเชื่อเจ้าได้” วัลคีรีย์ส่ายหัว “ผลลัพธ์ของสงครามแห่งโชคชะตามันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเผ่าพันธุ์ ข้าไม่สามารถทำการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำการยืนยันได้”
“เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่นาว่าเทวทูตมันกำลังพยายามหยุดข้าไม่ให้หาความจริง นี่มันก็แสดงให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราเดินมาถูกทาง? ต่อให้ข้าจะแต่งเรื่องผลการรบทางตะวันตกขึ้นมา แต่มันไม่มีทางที่ข้าจะแต่งเรื่องการต่อสู้บนสะพานขึ้นมาได้ใช่ไหมล่ะ”
“ถูกต้อง ข้ายอมรับในเรื่องนี้” วัลคีรีย์ตอบอย่างใจเย็น “แต่ความคิดของข้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี”
โรแลนด์หยุดฝีเท้าด้วยความรู้สึกโมโหนิดหน่อย “นี่เจ้ากำลังช่วยพระเจ้าให้ทำลายอารยธรรมของตัวเองอยู่นะ”
“การกล่าวโทษบนข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกันมันไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ว่าจะพูดยังไง โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงมันก็มีโลกแห่งจิตสำนึกคั่นกลางอยู่” วัลคีรีย์หมุนตัวเล็กน้อย “ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะสามารถตัดสินใจร่วมมือกับศัตรูที่สู้รบกันมาเกือบพันปีในตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าได้รับในตอนนี้ มันก็มีแต่คำสัญญาที่เป็นเพียงลมปากเท่านั้ัน”
โรแลนด์อ้าปาก แต่กลับพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกไปไม่ได้
สุดท้ายเขาจึงถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“ข้าไม่สามารถตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำการพิสูจน์ได้ แต่ว่า…” วัลคีรีย์ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าสามารถพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องจริงได้ ข้าก็จะคิดเรื่องข้อเสนอของเจ้าใหม่อีกครั้ง”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”
“ตอนที่ไปช่วยเฟยอวี่หาน แม่มดที่นั่งรถมาคนนั้นคือสุดยอดอมนุษย์ใช่ไหม?” เธอค่อยๆ พูด “แถมนางยังไม่เหมือนกับพวกแม่มดที่เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าด้วย ความแตกต่างตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ หากแต่เป็นเรื่องกิริยาท่าทางของนาง พวกแม่มดที่เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจ แต่สุดยอดอมนุษย์คนนั้นกลับทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย คิดไปคิดมาแล้ว คนที่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยได้ก็มีแค่คนที่อยู่ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สองเท่านั้น เพราะหลังจากที่มนุษย์ถอยมาที่ชายขอบของทวีปแล้ว ข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์อีกเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าแม่มดคนนี้คงจะยังอายุไม่เยอะ แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”
อายุไม่เยอะ…น่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับปีศาจที่มีอายุไม่กี่ร้อยปีล่ะมั้ง เพียงแค่เจอหน้ากันก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้แล้วว่าบุ๊คกับแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นไม่ใช่คนในยุคสมัยเดียวกัน? โรแลนด์ตอบกลับไปว่า “แล้วนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าพูดยังไง? ถ้าเจ้าถามนางแล้วได้คำตอบแบบเดียวกัน เจ้าก็จะคิดว่าข้ากับนางเคยแอบตกลงกันเอาไว้”
“มันต้องเกี่ยวแน่นอน อายุขัยของแม่มดสมาพันธ์นั้นไม่ถึงร้อยปี การที่พวกนางสามารถมีชีวิตตั้งแต่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ได้นั้นจะต้องอาศัยเทคโนโลยีของอารยธรรมใต้ดินอย่างแน่นอน หลังจากที่ถูกเจ้าวางกับดักครั้งนั้น เขาก็คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าทำไมพวกนางถึงเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ คำตอบหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็มีแต่โบราณสถานของอารมยธรรมใต้ดินเท่านั้น”
วัลคีรีย์เดินไปยืนหน้าบ่อหน้าที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะมองดูภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ “ถึงแม้เงื่อนไขในการใช้งานมันจะลำบากอย่างมาก แตการใช้งานพลังเวทมนตร์ที่มีความพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้ก็ช่วยลดความยากลำบากในการเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้จริงๆ ซึ่งการที่สมาพันธ์ซึ่งช่วงหนึ่งเคยยืดครองที่ราบลุ่มบริบูรณ์จะขุดพบซากโบราณสถานการณ์ของอารยธรรมใต้ดินมันก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร เดิมข้าคิดว่าพวกนางทิ้งร่างในโลกความเป็นจริง แล้วผูกวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่พอได้เห็นแม่มดคนนั้น ข้าจึงคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีข้าอาจจะเดาผิดแล้ว”
“การที่ทำให้สุดยอดอมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เข้ามาในโลกแห่งความฝันได้โดยไม่อาศัยแรงภายนอกอื่นๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เทคโนโลยีทางเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินจะทำได้” เธอพูดต่อไปว่า “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าใช้วิธีอะไรกันแน่ แต่อย่างนั้นมันก็ช่วยพิสูจน์เรื่องหนึ่งได้ ถ้าแม่มดที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้สามารถใช้วิธีนี้เข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ อย่างนั้นผู้ยกระดับระดับสูงของเผ่าพันธุ์ข้าก็น่าจะใช่วิธีเดียวกันในการเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้เช่นเดียวกัน!”
“อย่าบอกนะว่า…” โรแลนด์ตกใจ
“ให้สกายลอร์ดมาเจอข้า” วัลคีรีย์เงยหน้าขึ้นมา “ต่อให้เจ้าเป็นผู้สร้างโลกแห่งความฝัน แต่เจ้าก็ไม่สามารถสร้างสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้จักขึ้นมาได้ เฮคซอดเป็นแม่ทัพตะวันตก มันจะช่วยข้าพิสูจน์คำถามทุกอย่างที่ข้าอยากรู้ได้”
โรแลนด์กะพริบตา ก่อนจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมา “นั่นมันราชาปีศาจเลยนะ ถ้าข้าสามารถสั่งการมันได้จริงๆ ข้ายังจะให้กองทัพที่หนึ่งไปสู้ในวูล์ฟฮาร์ททำไม?
“ข้าจะช่วยเจ้าสร้างโอกาสนี้เอง” เธอพูดช้าๆ ชัดๆ
“…” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าพูดจริงเหรอ?”
“แต่เจ้าต้องรับปากข้าสองเรื่องข้อ ข้อแรก ห้ามใช้โอกาสนี้โจมตีเฮคซอด ข้อที่สอง ไม่ว่าสุดท้ายข้าจะตัดสินใจอย่างไร เจ้าก็ต้องปล่อยมันไป”
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเรื่องนี้มันเสี่ยงอย่างมากสำหรับข้า?”
“พวกเราก็เสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น!” วัลคีรีย์ตอบเสียงคร่ำเคร่ง “ถูกต้อง เจ้าคิดว่าทำแบบนี้มันอาจจะเปิดเผยความลับเรื่องการสืบทอดของมนุษย์ได้ แล้วข้าไม่เสี่ยงเหรอ? ให้ราชาเข้ามาเสี่ยง ถ้าเจ้าผิดคำสัญญา นอกจากเสียใจแล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีก? เจ้าคิดว่าข้าตัดสินใจเรื่องนี้ออกมาได้ง่ายๆ เหรอ!”
น่าจะเป็นเพราะรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มพุ่งพล่าน เธอจึงค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เอาเป็นว่าข้าถอยให้ได้มากที่สุดเท่านี้ ส่วนเจ้าอยากจะเสี่ยงหรือไม่นั้น อันนั้นเจ้าเป็นคนตัดสินใจเอง”
โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถามกลับไปว่า “ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนความคิดที่มีอยู่ในตอนแรก?”
‘การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว’ วัลคีรีย์ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ “การที่มนุษย์พูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ มันทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ”
นั่นคือคำพูดของเฟยอวี่หานตอนที่อยู่ในห้องประชุม
ตอนนั้น…นางยืนอยู่นอกห้องประชุมเหรอ?
“นอกจากนี้ ตอนแรกเจ้าเคยถามคำถามข้าข้อหนึ่งใช่ไหมล่ะ?” วัลคีรีย์จ้องมองไปที่สายตาของเขา
เจ้าคิดว่าสิ่งที่ทรานฟอร์มเมอร์ทำเมื่อพันปีก่อนมันผิดหรือไม่?
โรแลนด์พยักหน้า
“ข้าคิดว่ามันไม่ได้ทำผิด” เธอหันหน้าเดินไปนอกสวน “นี่คือคำตอบของข้า”
…………………………………………………
ตอนที่ 1362 กลับตาลปัตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เดลต้ากับยิปซีรอนแพ้แล้ว” แกมมาเงยหน้าขึ้นมามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังในห้องใต้ดิน เข็มบอกเวลาเลยเวลาที่วางเอาไว้ตามแผนมา 12 ชั่วโมงแล้ว
การที่เทวทูตตายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการที่ไปเป็นศัตรูกับผู้สร้างโลกนั้นย่อมต้องเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงอยู่แล้ว ขอเพียงพวกมันทำภารกิจสำเร็จ ถึงตายไปก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะช้าเร็วพวกมันก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ในดินแดนของพระเจ้า
แต่นี่ผ่านไป 12 ชั่วโมงแล้ว โลกนี้กลับไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ในพื้นที่ที่สร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ มันสัมผัสถึงคลื่นกระเพื่อมไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทั้งดินแดนจะพังทลายลงมาเลย นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนไม่สามารถสังหารร่างจิตสำนึกตรรกะที่ชื่อ ‘ซีโร่’ คนนั้นได้สำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้
“ถึงแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่พวกเรายังมีภารกิจของตัวเองที่ต้องทำให้สำเร็จ” เบต้าเอาแกนพลัง 5 อันสุดท้ายใส่เข้าไปในร่างกาย จากนั้นมันกางแขนทั้งสองข้างออก
ลำแสงสีแดงสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นรอยแตกการกัดกินสีแดงสดก็ปรากฏขึ้นตรงกลางห้อง
“สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายจนถึงขนาดแก้ไขไม่ได้ ขอเพียงพวกเราทำเป้าหมายให้สำเร็จ เรื่องนี้มันก็ยังพอมีโอกาสอยู่…ไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวพลังเวทมนตร์ของที่นี่ก็จะหมดลงแล้ว แล้วการทับซ้อนกันของทั้งสองก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อถึงตอนนั้นผู้ฝึกยุทธ์อาจจะสัมผัสถึงร่องรอยของพวกเราได้”
มันไม่แม้แต่จะคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้กับสาเหตุของความพ่ายแพ้ ในฐานะที่เป็นเทวทูตของพระเจ้า มันไม่มีทางรู้สึกผิดหวังเพราะความพ่ายแพ้ แล้วก็ไม่มีทางกังวลถึงผลที่ตามมาหลังจากพ่ายแพ้ สิ่งเดียวที่มันคิดถึงมีเพียงแค่พยายามทำตามคำสั่งของพระเจ้าอย่างเต็มที่เท่านั้น
แกมม่าพยักหน้าอย่างเงียบๆ
เบต้าหมุนตัวเดินเข้าไปในรอยแตกเป็นคนแรก
นี่ไม่ใช่รอยแตกธรรมดาๆ
แต่เป็น ‘อุโมงค์’ ที่ใช้แกนพลังของฟอลเลนอีวิลจำนวนมากในการสร้างขึ้นมา และปลายทางอีกด้านหนึ่งที่เชื่อมต่อกับมันก็คือสนามรบสุดท้ายที่จัดขึ้นมาเพื่อรับมือกับผู้สร้างหลัก
ในตอนที่แกมม่ากำลังเตรียมจะเข้าไปในอุโมงค์ตามอีกฝ่าย จู่ๆ ตรงปากทางขึ้นบันไดพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
มันงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามองตามเสียงไป ที่นี่ถูกพลังเวทมนตร์ปิดบังเอาไว้ เครื่องมือตรวจจับต่างๆ ไม่สามารถใช้งานได้ อีกทั้งด้านนอกยังมีฟอลเลนอีวิลจำนวนมากเฝ้าอยู่ ปกติแล้วไม่มีทางที่จะมีคนนอกเข้ามาได้
ไม่นาน ร่างผู้มาเยือนก็ปรากฏตัวขึ้นในความมืด
“ทำไมถึงเป็นเจ้า?” แกมม่าถามอย่างงุนงง
อีกฝ่ายคือยิปซีรอนที่อยู่ในร่างของมนุษย์
ตามแผนการแล้ว มันควรจะรับผิดชอบในการถ่วงคนที่มาช่วยเหลือเพื่อยื้อเวลาให้เดลต้าให้ได้มากที่สุด ถ้าหากเดลต้าทำภารกิจไม่สำเร็จ ยิปซีรอนก็ยิ่งไม่มีทางที่จะรอดมาได้
แต่สิ่งที่มันได้รับกลับมากลับไม่ใช่คำตอบ หากแต่เป็นแขนพร้อมกับกรงเล็บทั้งห้า
มือข้างนี้พุ่งทะลุหน้าอกมันอย่างรวดเร็ว!
หน้ากากตกลงพื้น วงแหวนดวงดาวที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมศีรษะปรากฏขึ้นมา
แกมม่ามองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ สติเริ่มเชื่องช้าขึ้นมาทันที “เจ้า…ทำไม…”
“ต่างกันจริงๆ ด้วย” ยิปซีรอนดึงมือกลับ พร้อมกับปล่อยให้แกมม่าล้มลงมาบนร่างกายของตน “….เจ้ากับมิสต์”
“เจ้า…คิดจะหักหลังพระเจ้าเหรอ?”
หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ยิปซีรอนจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “พระเจ้าคือใคร?”
“พระเจ้าคือ…” แกมม่าอ้าปาก แต่เสียงมันกลับดังซ้ำๆ ไม่หยุดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง สุดท้ายมันก็ไม่สามารถพูดคำตอบที่แน่ชัดออกมาได้
“ถูกต้อง…พวกเราไม่เคยคิดถึงปัญหาแบบนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถตอบมันออกมาได้ หลังจากที่ฆ่ามิสต์ จู่ๆ ข้าก็มีความคิดเยอะแยะมากมายผุดขึ้นมา เหมือนกับว่ามันถูกฝังเอาไว้ในหัวข้ามาโดยตลอด เพียงแต่ถูกอะไรบางอย่างปิดเอาไว้ ซึ่งในนั้นก็มีคำถามอยู่คำถามหนึ่งด้วย นั่นคือ ‘มิสต์ทรยศพระเจ้าจริงหรือเปล่า?’” ยิปซีรอนกระซิบอยู่ข้างๆ หูมัน “ซึ่งคำตอบที่ได้คือข้าไม่รู้ เทวทูตคือร่างจำแลงของพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าหากเราไม่ทำตาม เรายังถือเป็นแทวทูตอยู่หรือเปล่า?”
แกมม่าไม่ตอบ พูดอีกอย่างคือมันไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
“ภารกิจต่อไปต้องการคนแค่สองคน อย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นใครก็เหมือนกัน ถ้าเจ้ามีโอกาสได้เจอท่านพระเจ้า อย่างนั้นข้าฝากเจ้าถามคำถามนี้ด้วยแล้วกัน?”
ยิปซีรอนกางผ้าคลุมขึ้นมาคลุมตัวแกมม่าเอาไว้ จากนั้นครู่หนึ่ง ร่างกายของมันก็กลายร่างกลายเป็นแกมม่า
มันหยิบหน้ากากขึ้นมาใส่ไว้บนหน้าตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในรอยแตก
ในตอนที่ยิปซีรอนเดินผ่านอุโมงค์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์และลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่แตกต่างกันออกไปก็ปรากฏขึ้นมาสู่สายตาของมัน
โครงสร้างรูปถังที่สร้างขึ้นมาจากคอนกรีตเสริมเหล็กตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้ามันราวกับหอคอย
ด้านในหอคอยมีทางเดินเรียงเป็นชั้นๆ และเชื่อมต่อกันด้วยลิฟท์ทรงกระสวย
บนทางเดินแต่ละชั้นมีช่องสี่เหลี่ยมจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งเรียงราย มันรู้ว่าในช่องสี่เหลี่ยมพวกนั้นคือเป้าหมายในการลงมือครั้งนี้ — นั่นคือแกนพลังเวทมนตร์ที่โลกนี้ขโมยมาจากดินแดนของพระเจ้า
ด้วยแกนพลังเหล่านี้ เทวทูตถึงจะมีพลังมากพอที่จะวางกับดักเพื่อสังหารผู้สร้าง
“ทำไมช้าขนาดนี้” เบต้าหันกลับมาเหลือบมองดูมัน “ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลย”
“ได้เลย เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ยิปซีรอนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
….
หลังจากนั้นทั้งวันโรแลนด์ก็เอาแต่นั่งฟุบถอนใจอยู่ที่โต๊ะทำงาน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความฝันทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน การตื่นขึ้นมาไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดคิดเรื่องพวกนั้นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เขาเห็นตอนที่หลอมรวมเข้ากับวงแหวนดวงดาว หรือว่าการพูดคุยกับวัลคีรีย์ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ล้วนแต่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวทั้งนั้น
โดยเฉพาะเรื่องแรก
ก่อนที่เขาจะเข้าไปในบอทธ่อมเลสแลนด์และได้เจอกับพระเจ้า ภาพเหล่านั้นคือแหล่งข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวของเขา จากคำพูดของมิสต์ทำให้เขารู้ว่าข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญมากแค่ไหน แต่เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็คิดไม่ถึงว่าภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้มันเกี่ยวข้องกับภาพที่เขาเห็นครั้งล่าสุดอย่างไร
แล้วก็ยังมีตัวหนังสือแถวนั้นที่ทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก
‘‘นับแต่นี้เป็นต้นไป แรงดึงดูดจะไม่ใช่แรงที่น่าบูชาที่สุดในโลกนี้อีกต่อไป’
ทำไมต้องเป็นแรงดึงดูด?
ในบรรดาแรงทั้งสี่ แรงดึงดูดนอกจากจะมีขอบเขตการใช้งานที่กว้างที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรอย่างอื่นเลย ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้งานมันก็ไม่อาจสู้แรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ถ้าพูดถึงเรื่องความเข้มข้นก็ไม่อาจรู้แรงนิวเคลียร์ชนิดเข้มได้ มันมักจะเป็นแรงพื้นฐานแรงที่อารยธรรมสังเกตเห็น นั่นจึงทำให้มันมีความลี้ลับน้อยที่สุด
ส่วนเรื่องหลัง หลังจากที่ไนท์แมร์ลอร์ดแสดงออกถึงความร่วมมือ ทั้งสองคนก็กลับไปยังภัตตาคารหรูที่เจอกันครั้งแรกเพื่อพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงหน้า และกลายเป็นที่จับตามองของแขกคนอื่นๆ อีกครั้ง
จากที่วัลคีรีย์บอกมา ทันทีที่มันได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในแนวหน้าเป็นเรื่องจริง มันก็จะเปลี่ยนเป้าหมายจาก ‘เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา’ เป็น ‘หยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตา’ นี่รวมไปถึงการพูดกล่อมสกายลอร์ดให้ช่วยเหลือมนุษย์ในการเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ด้วย
เมื่อเทียบกับการล้วงเอาข้อมูลจากอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวแล้ว การร่วมมือแบบนี้ดูจะให้ประโยชน์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ปัญหาอยู่ที่สกายลอร์ดจะให้ความร่วมมือหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นราชาปีศาจไม่ได้มีแค่ตัวเดียวด้วย และเหนือจากราชาขึ้นไปยังมีจักรพรรดิอยู่อีก แค่เฮคซอดเพียงตัวเดียวจะสามารถกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพตะวันตกได้หรือเปล่าก็เป็นปัจจัยที่ยังไม่อาจมั่นใจได้
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1363 เมื่อนานมาแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้ตรงหน้าโรแลนด์มีทางเลือกอยู่สามทางเลือก หนึ่งคือใช้ประโยชน์จากโอกาสที่วัลคีรีย์สร้างขึ้นมาในการลอบสังหารเฮคซอด ตัวเลือกนี้ความเสี่ยงแทบจะเป็นศูนย์ เท่ากับว่าเขาสังหารราชาปีศาจตัวหนึ่งได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย
เมื่อคิดถึงความยากในการยกระดับเป็นปีศาจระดับสูงและความสามารถพิเศษของเฮคซอด วิธีนี้เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์ให้กับแนวหน้าอย่างมาก หลังจากนั้นค่อยบอกไปว่าที่อีกฝ่ายไม่สามารถมาตามนัดได้นั้นเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือไม่เป็นปัจจัยอื่น ซึ่งโอกาสที่วัลคีรีย์จะรู้ความจริงนั้นมีน้อยมาก ถ้าโชคดีมากพอก็อาจจะล่อราชาตัวหนึ่งมาได้อีก
ตัวเลือกที่สองคือปล่อยให้เฮคซอดเข้ามาในโลกแห่งความฝันเพื่อพูดคุยกับวัลคีรีย์ เนื่องจากวัลคีรีย์ได้บอกแผนการที่จะร่วมมือออกมาคร่าวๆ แล้ว ด้วยเหตุนี้ปัจจัยสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวไนท์แมร์ หากแต่อยู่ที่สกายลอร์ด สถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เขาอยากให้เกิดขึ้นคือหลังจากไนท์แมร์ได้รับการยืนยันเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็พูดกล่อมสกายลอร์ดให้ถอนทัพออกไปจากอาณาจักรของมนุษย์ แล้วก็ป่าวประกาศเรื่องที่จำเป็นต้องหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรับรู้ แบบนี้เส้นทางจากอีเทอร์นอลไนท์ไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็เรียกได้ว่าไร้อุปสรรค ขอเพียงกำจัดเทวทูตตัวสุดท้ายแล้ว เขาก็จะได้เจอกับพระเจ้าในบอทธ่อมเลสแลนด์
ถ้านี่เป็นเพียงสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจ โรแลนด์คงจะเลือกทางเลือกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหากกำจัดเฮคซอดไป เขากลับจะมีแต่ได้ไม่มีเสีย กองทัพที่หนึ่งก็จะได้เปรียบในการรบทางเหนือ ยิ่งเวลาทอดออกไปยาวมากขึ้น ศักยภาพของสงครามที่ถูกทำให้เป็นอุตสาหกรรมก็จะยิ่งแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่
แต่หากมองออกไปให้กว้างขึ้น สถานการณ์มันก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นอกจากปีศาจกับอาณาจักรซีสกายแล้ว ภัยคุกคามของพระเจ้านั้นคืบใกล้เข้ามาอย่างเห็นได้ชัด การสังหารสกายลอร์ดเพียงตัวเดียวไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากขนาดนั้น ต่อให้เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้แล้ว อารยธรรมของมนุษย์ก็หนีไม่พ้นผลลัพธ์ที่ต้องถูกทำลายอยู่ดี
อย่างน้อยโรแลนด์ก็คิดไม่ออกว่าเขาจะหนีรอดไปจากหายนะที่น่าหวาดกลัวนี้ได้อย่างไร
เวลาไม่ได้ยืนอยู่ข้างพวกเขาเลย
น่าจะเป็นเพราะมองเห็นในจุดนี้ วัลคีรีย์ถึงได้เลือกที่จะเสี่ยง
ต้องยอมรับเลยว่าการทำแบบนี้ได้เผยให้เห็นถึงความจริงใจของมัน อย่างน้อยหลังจากที่มันได้เห็นการกัดกินและการลอบโจมตีของเทวทูตด้วยตาตัวเอง มันก็เริ่มมองคำเตือนของมิสต์เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องกลับมาครุ่นคิด
ปัญหาคือทรานฟอร์มเมอร์นั้นมีอิทธิพลต่อไนท์แมร์อย่างมาก เรียกได้ว่ามันได้ปลูกความคิดนี้ลงไปในหัวไนท์แมร์ตั้งแต่ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะอุบัติขึ้น การที่ไนท์แมร์สามารถวางเรื่องแพ้ชนะในการทำสงครามเอาไว้ก่อน แล้วมองดูสถานการณ์จากในมุมมองที่สูงขึ้นไปเพื่อช่วงชิงโอกาสที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มีชีวิตรอดนั้นเรียกได้ว่าความพยายามของทรานฟอร์มเมอร์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว
แต่เฮคซอดยังไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านนี้ หลังจากพูดคุยกันแล้วมันจะเห็นด้วยกับวัลคีรีย์หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ปกติแล้วเรื่องที่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสรุปได้ในการพูดคุยเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเมื่อจำนวนครั้งที่มาเจอหน้ากันในโลกแห่งความฝันยิ่งมากขึ้น ความเสี่ยงที่ตามมาก็จะยิ่งมากขึ้น ซึ่งนี้เป็นเรื่องที่โรแลนด์ยากที่จะยอมรับได้
ซึ่งในตอนนี้เขาค่อนข้างเอนเอียงไปทางตัวเลือกที่สามมากกว่า
นั่นก็คือรักษาสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้เอาไว้ แล้วพยายามใช้กำลังของมนุษย์ในการเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ปลายสุดของทวีป
บอกตามตรง ตัวเลือกนี้เหมาะกับสไตล์ของโรแลนด์มากที่สุด เขาก็เป็นเป้าหมายที่เขาพยายามไล่ตามมาตลอด — ไม่ว่าปีศาจจะตอบโต้กลับมาอย่างไร มนุษย์ก็มีความสามารถที่จะเดินทางเป็นพันๆ กิโลเพื่อไปยังจุดหมายที่ต้องการ นั่นต่างหากถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
เพียงแต่สภาพภูมิประเทศทางเหนือของอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเป็นเทือกเขาทอดยาวติดๆ กัน ถ้าอยากจะข้ามสันหลังของทวีปไป เขาก็จำเป็นต้องสร้างเครื่องบินที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่าเฮฟเว่นเฟลมออกมา ขณะเดียวกันมันก็ต้องมีความสามารถในการป้องกันการซุ่มโจมตีทางอากาศด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก และในระหว่างนี้สถานการณ์ในแนวหน้าจะเปิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้
ก็เหมือนกับที่เขาเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อต้องเจอกับการคุกคามของเจตจำนงของพระเจ้า ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากทางเลือกสองข้อก่อนหน้านี้คือความเสี่ยงของทางเลือกนี้อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้ความพยายามของมนุษย์มาชดเชยความเสี่ยงได้
ครั้งหน้าตอนที่เข้าไปในโลกแห่งความฝันค่อยพยายามขอความสนับสนุนจากทางสมาคมแล้วกัน
โรแลนด์คิดในใจ
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ อันนาก็หอบเอาแปลนออกแบบเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วนั่งลงตรงด้านตรงข้ามของโต๊ะทำงาน นี่เป็นช่วงเวลาพูดคุยกันตามปกติของทั้งสองคน แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างผ่อนคลายด้วย ขอเพียงศูนย์วิจัยไม่มีการทำงาน เธอก็มักจะมาอยู่ที่ห้องทำงาน 2 – 3 ชั่วโมง เนื้อหาที่คุยเล่นกันก็มีตั้งแต่การทำงานในวันนั้นไปจนถึงความคิดแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว
ในตอนนี้ไนติงเกลเองก็ปรากฏกายขึ้นมา เธอจะไปนั่งอยู่ตรงโต๊ะชากินของว่างพร้อมดูสมุดภาพที่คัดลอกออกมาจากโลกแห่งความฝัน บางครั้งก็จะมีพูดแทรกขึ้นมาบ้าง บรรยากาศดูแล้วอบอุ่นทีเดียว
หลังจัดการปัญหาทางด้านเทคโนโลยีเสร็จ โรแลนด์ก็พูดถึงปัญหาที่ตัวเองเจอในโลกแห่งความฝันขึ้นมา
“ที่แท้พระองค์ทรงถอนใจทั้งวันเพราะเรื่องนี้เอง..” ไนติงเกลมุ่ยปากขึ้นมา “ภาพทั้งสองอันมันต้องเกี่ยวข้องกันด้วยเหรอเพคะ? ถ้าเกิดภาพที่โลกแห่งความฝันให้พระองค์เห็นเป็นแค่ภาพที่สุ่มขึ้นมาล่ะเพคะ? ยิ่งคิดมากผมก็ยิ่งหงอกเร็ว ทำไมบางคนถึงไม่เข้าใจซักทีนะเนี่ย”
โรแลนด์กรอกตาใส่ “สมองถ้าไม่ได้ใช้มันก็จะฝ่อ ถ้าทุกคนเป็นแบบเจ้า โลกนี้คงจบเห่ไปนานแล้ว”
“แต่ถ้าพระองค์ยังคิดแบบนี้ต่อไป พระองค์นั่นแหละที่จะจบเห่ลงก่อนโลกนี้”
“…” เขาตัดสินใจถอนคำพูดที่บอกว่าบรรยากาศอบอุ่นก่อนหน้านี้
แต่อันนากลับไม่พูดอะไร เธอนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “แต่หม่อมฉันคิดว่าครั้งนี้ไนติงเกลอาจจะพูดถูกนะเพคะ”
ไนติงเกลกับโรแลนด์มากันส่งเสียงตกตะลึงออกมาพร้อมกัน “เอ๋?”
อันนายิ้มขึ้นมา “ที่หม่อมฉันบอกไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คิด หากแต่หมายความว่าบางที…ความสัมพันธ์ของภาพเหตุการณ์ทั้งสองมันอาจจะไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่พระองค์คิดเอาไว้ก็ได้เพคะ”
“หรือว่าเจ้าเจออะไร?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ
อันนาส่ายหัว “แค่เดาเท่านั้นเพคะ ยังไม่แน่ว่าจะถูกต้อง” เธอสางผมขึ้นมาทัดเอาไว้ที่หู ก่อนจะจ้องมองดูโน้ตที่ตัวเองขึ้นมา “อย่างเช่น…ลำดับการเกิดก่อนหลังของทั้งสองเหตุการณ์ พูดอีกอย่างคือ… ‘เวลา’”
“สิ่งที่เชื่อมโยงกัน…คือเวลาเหรอ?” โรแลนด์คิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ถ้าภาพที่สองมันเกิดขึ้นก่อนภาพที่หนึ่งล่ะก็…”
“พวกมันก็จะเชื่อมต่อกันกลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ๋ใช่ไหมล่ะเพคะ” อันนาพูดต่อ
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
ค่าตอบแทนที่ว่าไม่ได้หมายถึงเผ่ากัมมันตรังสีที่ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วสุดท้ายไม่รู้ไปที่ไหน
แล้วก็ไม่ใช่พวกที่ยังอยู่บนโลกแล้วถูกคลื่นยักษ์กับพายุกลืนกิน
ช่วงเวลาที่เกิดทั้งสองเหตุการณ์ขึ้นต่างกันเป็นหลายหมื่นปี…หลายล้านปี…หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น
ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายหมายถึงสิ่งของอะไรอย่างอื่น
และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือแรงโน้มถ่วงไม่ใช่สิ่งที่น่าบูชาอีกต่อไป ในจักรวาลมีโพรงสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
และถ้าสิ่งที่ตัวหนังสือกำลังบอกใบ้คือพลังเวทมนตร์ล่ะก็ อย่างนั้นคำว่า ‘ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป’ ก็จะหมายถึงข้อสรุปที่น่าตกใจอย่างหนึ่ง
โรแลนด์กับอันนาสบตากัน
“เมื่อก่อนโลกนี้ไม่เคยมีเวทมนตร์”
ทั้งสองคนแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน
ถ้าไม่มีพลังเวทมนตร์ ก็หมายความว่าจะไม่มีสรรพสิ่งที่ต้องใช้พลังเวทมนตร์ในการคงอยู่
อย่างเช่นปีศาจ
แล้วก็…แม่มด
……………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น