Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1352-1359
ตอนที่ 1352 ฉันจะปกป้องเธอเอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่ซีโร่ปีนออกมาจากกระจกรถที่แตก ร่างกายของเธอก็เต็มไปด้วยบาดแผล
รถที่ก่อนหน้านี้ยังดูใหม่เอี่ยม ในเวลานี้ไม่ได้ต่างอะไรจากผ้าขี้ริ้วเลย โครงเหล็กบิดเบี้ยวจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ตัวรถยุบเข้าไปเกือบครึ่ง น้ำมันสีเหลืองดำไหลนองออกมาเต็มพื้น ส่งกลิ่นแสบจมูก
เดิมทีควรจะเป็นอุบัติเหตุที่แทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ถ้าไม่เป็นเพราะมีพลังแห่งธรรมชาติคอยปกป้อง เกรงว่าเธอคงจะถูกตัวรถที่บิดเบี้ยวบดขยี้จนแหลกไปแล้ว
ซีโร่ฝืนความเจ็บปวดพยายามลุกขึ้นยืน บนสะพานตกอยู่ในสภาพเละเทะ ชิ้นส่วนตัวรถที่ถูกชนกระเด็นตกกระจายเกลื่อนเต็มพื้นถนน ตัวรถบรรทุกล้มคว่ำอยู่ไม่ไกล ถนนถูกปิดตายเอาไว้ เธอหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังก็ถูกรถผสมปูนสองสามคันปิดตายเอาไว้เหมือนกัน ต่อให้รถของเธอหลบการชนไปได้ เธอก็ไม่สามารถออกไปจากทางด่วนนี้ได้เหมือนกัน
ถ้าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญ คนขับรถที่อยู่ด้านหลังก็น่าจะรีบเข้ามาช่วยถึงจะถูก แต่จนถึงตอนนี้เธอกลับยังไม่เห็นใครเข้ามาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว บนสะพานตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว
ถ้าเป็นเวลาปกติ เกรงว่าเธอคงจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้ในเบ้าตาเธอจะมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา ร่างกายเองก็สั่นไม่หยุด แต่เธอก็ยังกัดฟันเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ซีโร่มักจะได้ยินคุณอาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าฟอลเลนอีวิลจะเล็งเป้ามาที่คนที่ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ บางทีนี่อาจจะเป็นการโจมตีที่มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า
เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู เธอจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้เด็ดขาด
มันไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งขึ้นด้วย
เธอไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว หากแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ!”
“แคร่ก”
เสียงที่ฟังดูเสียดหูเสียงหนึ่งทำลายความเงียบบนสะพานขึ้นมา
หัวรถบรรทุกที่ล้มคว่ำอยู่บนพื้นเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉีกออกมาจากด้านใน คนที่สวมหน้ากากคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้องคนขับ
การที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รุนแรงแบบนี้ อีกทั้งยังฉีกรถได้ด้วยมือเปล่า นี่เป็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้
ซีโร่เอาหลังไปแนบกับรถที่อยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
เธอสัมผัสได้ถึงไอเย็นเสียดกระดูกที่ลามขึ้นมาจากใต้เท้าผ่านทางหน้ากาก เธอมองไม่เห็นดวงตาของอีกฝ่าย แต่เธอกลับสัมผัสได้ว่าความสนใจของอีกฝ่ายนั้นพุ่งเป้ามาที่ตัวเอง เหมือนกับงูพิษที่จับจ้องเหยื่อของตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นี่คือเป้าหมายที่ท่านต้องการจัดการหรือขอรับ? นางดูแล้วก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น” จากนั้นก็มี ‘สัตว์ประหลาด’ อีกสองตัวปรากฏตัวขึ้นมาจากตู้บรรทุกสินค้า ตัวหนึ่งยังพอจะมองดูเป็นคนได้อยู่ เพียงแต่แขนกับขาของมันยืดยาวขึ้นจนผิดรูปไปหน่อยเท่านั้น ส่วนอีกตัวหนึ่งมีปีกกับเขี้ยวงอกออกมา ดูแล้วไม่ได้ต่างจากการ์กอยล์ที่อยู่ในตำนานเลย
แต่ตัวฟอลเลนอีวิลมันก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนรูปร่างอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จากพายุดวงดาวสีแดงที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าอกของมัน ทั้งสองตัวนี้คือฟอลเลนอีวิลอย่างไม่ต้องสงสัย
“เด็กน้อยแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้มันเอิกเกริกแบบนี้เลย แค่หาโอกาสขย้ำซักที นางก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ร้องขอชีวิตแล้ว ถ้าไงให้ข้าจัดการนางแทนท่านเทวทูตดีกว่า” ฟอลเลนอีวิลที่เหมือนการ์กอยล์ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา ก่อนจะกางปีกเตรียมบินเข้าไปมาซีโร่
แต่คนที่หยุดมันเอาไว้กลับเป็นคนที่ใส่หน้ากาก
อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาแล้วชี้ลงไปข้างล่างเล็กน้อย ศัตรูที่เพิ่งจะกระโดดขึ้นมาเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นกดลงไปที่พื้น แรกกระแทกรุนแรงจนทำให้พื้นสะพานมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา!
“เจ้าโง่ ใครอนุญาตให้เจ้าไป?” คนใส่หน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเจอกับคู่ต่อสู้แบบไหนอยู่”
“นายท่าน นางไม่ใช่…ผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งตื่นรู้หรือ?” สัตว์ประหลาดแขนยาวพูดอย่างแปลกใจ
“ใช่ แต่ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา พวกเจ้ามองเห็นแต่แกนพลังที่อ่อนแรงของนางเท่านั้น แต่ข้ากลับเป็นแสงที่ส่องสว่างอยู่รอบตัวของนาง” คนใส่หน้ากากโน้มตัวให้สาวน้อย “ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม? ท่านผู้สร้างโลก — คุณซีโร่?”
มันพูด…อะไรของมัน?
ผู้สร้าง….โลกงั้นเหรอ?
ซีโร่กลืนน้ำลาย “เจ้าจำคนผิดแล้ว”
“ที่แท้เจ้าไม่รู้เรื่องนี้” คนสวมหน้ากากงุนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “แต่ว่าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว ก่อนหน้านั้น ได้โปรดให้ข้าแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ข้าคือเทวทูตของพระเจ้า นามว่า ‘เดลต้า’ ข้ามาจากสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘การกัดกิน’”
“แกจะฆ่าฉันเหรอ?”
“พูดว่าฆ่าก็ไม่ถูกนัก ข้าเพียงแต่ทำให้ทุกอย่างมันกลับไปอยู่ในทางที่ถูกต้องตามคำสั่งของพระเจ้า แล้วก็เอาพลังที่ถูกขโมยมากลับคืนสู่แหล่งให้กำเนิด ซึ่งโลกที่พวกเจ้าอยู่นี่ก็คือส่วนหนึ่งของมัน”
“ท่านทูต…พวกเราฆ่านางไม่ได้หรือขอรับ?” เจ้าการ์กอยล์พยายามลุกขึ้นมาจากพื้น สีหน้าของมันดูสับสน
“ไม่ใช่ตอนนี้” เดลต้าค่อยๆ พูด “ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ พลังของนางไม่มีค่าให้พูดถึง แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ห้ามประมาทผู้สร้างโลกเด็ดขาด โดยเฉพาะในตอนที่นางอยู่ในดินแดนที่นางสร้างขึ้นมา การที่เจ้าประมาทมีแต่จะทำให้เสียแผนที่เราวางมานานได้ เพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของที่นี่ พลังที่ข้าใช้ได้นั้นมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่น แต่นางกลับใช้พลังได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นก่อนที่จะลงมือ เราจำเป็นต้องตัดการเชื่อมต่อของนางกับโลกนี้เสียก่อน เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อีกไม่นาน รอยแตกก็จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว”
ในเวลานี้ซีโร่ถึงได้สังเกตเห็นว่าท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นสีเทาหม่นๆ นั้นเต็มไปด้วยผลึกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แล้วก็โอบล้อมเข้ามายังกึ่งกลางของสะพานเรื่อยๆ ภาพด้านนอกผลึกค่อยๆ เลือนรางไป เหมือนกับว่ามันกำลังออกห่างจากโลกนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น
“วางใจได้ นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในสะพานนี้ เจ้าก็ไม่มีโอกาสที่จะหนีออกไปแล้ว ไอพวกร่างจิตสำนึกตรรกะโง่เง่าพวกนั้นคิดว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์คือเป้าหมายโจมตีของพวกข้า ช่างน่าขันเสียจริง! พวกมันยิ่งส่งผู้ฝึกยุทธ์ออกมามากเท่าไร การป้องกันของที่อื่นๆ ก็จะยิ่งอ่อนแอลง”
เดลต้ากางสองมือออก “ด้านล่างสะพานนี้มีแกนพลังเก็บซ่อนอยู่นับพันอัน แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์กลับไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย! เมื่อมีพลังเวทมนตร์จากพวกมัน ข้าถึงได้ดึงเอาพื้นที่นี้เข้าไปในรอยแตกที่ทับซ้อนกันระหว่างสองโลกได้ ในรอยแตก ดินแดนแห่งจิตสำนึกที่เจ้าอยู่นี้จะถูกพระเจ้าแทรกแซง และมันจะไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้อีก พวกเราจะสู้กันอย่างเท่าเทียมที่นี่ จนกระทั่งอีกฝ่าย กลับไปสู่แหล่งกำเนิดเดิม!”
ในขณะที่มันพูดเสร็จ ผลึกบนท้องฟ้าก็ประกบเข้าด้วยกัน จู่ๆ สรรพสิ่งที่อยู่ด้านนอกพลันมืดสลัวลง ก่อนที่จะทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืด เดิมสะพานที่สูญเสียแหล่งกำเนิดแสงไปควรจะตกอยู่ในความมืดเช่นเดียวกัน แต่กลับกลายเป็นว่าโลกนี้เหมือนถูกบังคับให้แยกออกมาอย่างไรอย่างนั้น แสงที่อยู่ที่นี่ยังคงมีอยู่ แล้วก็ส่องสว่างไปทั่วทุกซอกทุกมุมของรอยแตก
“ตอนนี้พวกเจ้าทำสิ่งที่พวกเจ้าอยากทำได้แล้ว” คนสวมหน้าพูดเสียงคร่ำเคร่ง
ฟอลเลนอีวิลทั้งสองสบตาอัน ก่อนจะกระโจนเข้าไปหาซีโร่พร้อมๆ กัน
ซีโร่จับโครงรถเอาไว้แน่นไม่ยอมขยับไปไหน ในสายตาคนอื่นเหมือนกับเธอตกใจกลัวจนแข้งขาอ่อนอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งสาวน้อยก็ตกใจกลัวจนถึงขีดสุดจริงๆ โดยเฉพาะในตอนที่ปากที่น่าเกลียดน่ากลัวของศัตรูมันอยู่ห่างจากเธอแค่คืบ ถ้าไม่เป็นเพราะเฟยอวี่หานสั่งกำชับเอาไว้ เกรงว่าเธอคงจะยืนอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่
ในหัวของเธอว่างเปล่า สิ่งที่เธอจำได้มีเพียงแค่สองเรื่อง
ในเสี้ยววินาทีที่รถถูกชน อาจารย์ได้เลี้ยวรถเพื่อเอาตัวรถด้านคนขับไปรับเอาตู้บรรทุกสินค้าที่ลอยมา พร้อมกับโอบตัวเธอเอาไว้ แสงสีขาวห่อหุ้มตัวเธอไว้ในพริบตา ทำให้ความรู้สึกกระแทกหลักจากนั้นเบาลงไปเยอะ
ส่วนเรื่องที่สองคือคำพูดกระซิบเบาๆ ที่นุ่มนวลที่เปล่งออกมาพร้อมกับลำแสงนั้น
“อย่าออกไปไกลจากตัวรถ ยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับศัตรู”
“ฉันจะปกป้องเธอเอง”
กระทั่งในตอนที่ฟอลเลนอีวิลการ์กอยล์อ้าปากกำลังจะงับซีโร่ เธอก็ไม่ได้ถอยแม้แต่ก้าวเเดียว!
ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากตัวรถที่บิดเบี้ยว ก่อนจะผ่าลงไปกลางหัวของศัตรู ลำแสงสว่างวาบขึ้นมาแล้วก็หายไป ฟอลเลนอีวิลที่อยู่หน้าสุดตัวแข็งไปทันที จากนั้นตรงกลางลำตัวค่อยๆ มีรอยแตกเล็กๆ ปริแตกออก ร่างกายของมันแยกออกเป็นสองซีก
………………………………………………………………………
ตอนที่ 1353 ศัตรูของโลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
สัตว์ประหลาดแขนยาวเปลี่ยนทิศทางทันที มันหักหลบเก้าสิบองศา พร้อมกับใช้หมัดทั้งสองข้างโจมตีไปข้างหน้าพร้อมกัน!
แขนของมันยืดออกไปจนสุด ก่อนจะเสียบเข้าไปในตัวรถที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร ตัวรถที่บิดเบี้ยวมีรูขนาดใหญ่สองรูปรากฏขึ้นมาทันที!
ถ้ามีคนแอบอยู่ในนั้น คนๆ นั้นจะต้องโดนหมัดนี้โจมตีเข้าอย่างจังแน่
และนี่ก็เป็นวิธีการโจมตีที่สัตว์ประหลาดแขนยาวภาคภูมิใจ
แขนขาที่สามารถยืดหดได้กับเรี่ยวแรงมหาศาลทำให้ที่ผ่านมามันไม่จำเป็นต้องใช้พลังแห่งธรรมชาติในการรับมือผู้ฝึกยุทธ์ ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่มันกำจัด มีน้อยคนนักที่จะสามารถตั้งตัวได้ก่อนที่มันจะลงมือ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อของพวกเขาในตอนที่ตายคือสิ่งที่ทำให้มันมีความสุข
แต่พริบตาที่มันโจมตีถูก สีหน้าของสัตว์ประหลาดแขนยาวพลันเปลี่ยนไปทันที
ด้านล่างตัวรถที่ถูกชกจนกระเด็นลอยออกไปมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง
ท่าทางของเธอดูไม่เหมือนว่าจะถูกหมัดโจมตีเลย หากแต่คุกเข่าลงไปเล็กน้อย ร่างกายโน้มเอียงไปด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมตัวโจมตีเอาไว้แต่แรกแล้ว
ตัวมันคิดว่าตัวเองตอบสนองได้เร็วพอ
แต่อีกฝ่ายเร็วกว่ามันอย่างเห็นได้ชัด
แถมยังเร็วกว่ามากด้วย!
แสงสีเงินเปล่งประกายของมาจากมือของเธออีกครั้ง ก่อนจะกลายสภาพกลายเป็นเหมือนน้ำวนที่หมุนอย่างรวดเร็ว ลำแสงที่แหลมคมไม่เพียงแต่จะฉีกรถเป็นชิ้นๆ แต่ยังฉีกแขนทั้งสองข้างของมันเป็นชิ้นๆ ด้วย
สัตว์ประหลาดแขนยาวส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา มันพยายามดิ้นรนที่จะถอยออกไป ก่อนที่สุดท้ายจะดิ้นหลุดออกมาจากน้ำวนนั้นได้
แต่ว่าแขนที่หดกลับมานั้นเหลือเพียงแต่แขนด้วนๆ เพียงเล็กน้อย เลือดสดๆ ที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งหยดกระจายเต็มพื้น
แค่ในพริบตา ฟอลเลนอีวิลประหลาดที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต้องปวดหัวก็ตายไปหนึ่งบาดเจ็บอีกหนึ่ง
“ที่บอกว่าสู้อย่างเท่าเทียมกันคือพวกแกสามตัวรุมเด็กผู้หญิงคนเดียวน่ะเหรอ?” เฟยอวี่หานสะบัดมือทีหนึ่ง แสงที่แสบตากระจายออกมาจากฝ่ามือกลายเป็นดาบยาว “ฉันคิดว่าตอนนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าเท่าเทียมกัน”
“อาจารย์…” ซีโร่รีบคว้ามือของเธอเอาไว้
“ฉันโทรหาคุณอาโรแลนด์ของเธอแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ” เฟยอวี่หานกะพริบตาพร้อมกับพูดเสียงเบาๆ
“เอ๋?” เธองุนงง “แต่เรื่องนี้เราต้องแจ้งทางสมาคมไม่ใช่เหรอคะ ถ้าจะโทรหาคุณอา สู้โทรหาพี่การ์เซียดีกว่า ปกติก็ทำอะไรไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ถ้ามาที่ีนี่ีมันจะยิ่ง..”
“เรื่องนี้เกรงว่าคงมีแต่เขาเท่านั้นถึงจะจัดการได้” เฟยอวี่หานลูบหัวเธอ “ส่วนหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้ก็คือรีบหนีออกไปจากที่นี่ เธอทำได้ไหม?”
เดิมสาวน้อยคิดอยากจะพูดอะไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่คร่ำเคร่งของอีกฝ่าย สุดท้ายเธอจึงได้แต่กัดฟันแล้วหมุนตัววิ่งออกไปยังชายขอบของม่านพลังที่อยู่ด้านหลัง
“บัดซบ เจ้ารอดจากการโจมตีแบบนั้นได้ยังไง!” สัตว์ประหลาดแขนยาวคำรามออกมา
“เหตุผลง่ายๆ….แค่เหมือนกับพวกแกก็พอ” เฟยอวี่หานยักไหล่ พลังแห่งธรรมชาติปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของเธอ
ดวงตาของสัตว์ประหลาดแขนยาวหดเล็กลง “ใช้พลังจากภายนอกทำให้การโจมตีไร้ผลเหรอ? นี่ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้คุมถึงจะทำได้ไม่ใช่เหรอ!” มันจ้องมองเธออย่างตกตะลึง “หรือว่า…แกคือคนที่ถูกสมาคมขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะคนนั้น…”
“ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรแปลก เพราะว่าแม้แต่ฟอลเลนอีวีลที่ระดับต่ำที่สุดก็ยังทำได้เลยไม่ใช่เหรอ?” เฟยอวี่หานพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ว่าแต่พวกเจ้านั่นแหละ เดิมฉันคิดอยากจะดูหน่อยว่ามีพวกแกซุ่มอยู่กี่คน แล้วค่อยคิดหาทางรับมือ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้มายินเรื่องที่น่าสนใจขนาดนี้ ฉันต้องขอขอบคุณนะ เป็นเพราะพวกแก ฉันถึงได้พิสูจน์ข้อสงสัยที่เก็บเอาไว้ในใจมานานได้”
“ท่านทูต เจ้านี่…” สีหน้าของสัตว์ประหลาดแขนยาวดูแย่ขึ้นมาทันที ความดุร้ายบนใบหน้าที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมด แถมยังเผลอถอยหลังต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัวด้วย
เดลต้ายกแขนขวาขึ้นมาคว้าจับฟอลเลนอีวิลเอาไว้ เสียงของอีกฝ่ายเหมือนค้างติดอยู่ในลำคอ ร่างกายมันแข็งทื่อขึ้นมาเหมือนกับถูกมือยักษ์บีบเอาไว้แน่นอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็มีเสียงกระดูกหักดังขึ้นมา แกนพลังสีแดงที่อยู่ตรงหน้าอกหลุดออกมาจากทางด้านหลัง ก่อนจะลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของเทวทูต
สัตว์ประหลาดแขนยาวที่สูญเสียแกนพลังไปนอนแน่นิ่งไปกับพื้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
ส่วนฟอลเลนอีวิลการ์กอยล์ที่ถูกเฟยอวี่หานสังหารก็ถูกดึงเอาแกนพลังกลับไปเหมือนกัน แกนพลังที่ตกอยู่บนพื้นของมันลอยขึ้นมา ก่อนจะไปรวมกันอยู่ที่มือของมัน
แกนพลังที่หยุดนิ่งหมุนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มันกลายสภาพเป็นหมอกสีแดงไหลเข้าไปในร่างกายของเดลตา
“ผู้ที่หวาดกลัวศัตรูไม่คู่ควรต่อพลังของพระเจ้า หน้าที่ของพวกเจ้าจบลงแต่พวกเท่านี้” เดลตาพูดโดยน้ำเสียงไม่เปลี่ยน เหมือนว่ามันแค่กำจัดขยะที่ติดอยู่บนมือทิ้งไปเท่านั้น มันมองมาทางเฟยอวี่หาน “ช่างน่าขันเสียจริง…เห็นๆ อยู่ว่าผู้ที่สร้างโลกต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงที่ต้องรีบกำจัด แต่พวกมันกลับถูกเปลือกนอกมาทำใหดวงตามืดบอด แล้วก็หวาดกลัวต่อผู้ฝึกยุทธ์เพียงแค่คนเดียว นี่เป็นเพราะว่าพวกมันเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเจ้า หรือเป็นเพราะสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมามักจะมีสายตาที่ั้สั้น? ก็เหมือนอย่างเจ้า…”
เฟยอวี่หานลงมือในเสี้ยววินาทีนั้นเอง
สิ่งที่เธอรออยู่นั้นไม่ใช่ว่ารอให้ศัตรูประมาท หากแต่รอให้ซีโร่ไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ยิ่งคิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นนั้นมักจะรู้สึกโกรธในตอนที่ถูกขัดจังหวะการพูด อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ เธอจำเป็นต้องใช้ทุกโอกาสที่เป็นไปได้ในการสู้กับศัตรู
การวิเคราะห์เพียงหนึ่งเดียวของเฟยอวี่หานในตอนนี้คือความสามารถของคนสวมใส่หน้ากากนี้อยู่คนละระดับกับพวกฟอลเลนอีวิลเมื่อครู่นี้ วิธีการโจมตีของมันเองก็ค่อนข้างอันตราย ถ้าอยากจะป้องกันมันไม่ให้โจมตีซีโร่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้โจมตีต่อเนื่องปิดตายการเคลื่อนไหวของมันเอาไว้!
เธอดึงแท่งเหล็กที่ถูกชนหักขึ้นมา ก่อนจะขว้างใส่เดลต้าสุดแรง
อีกฝ่ายจำต้องปิดปากลง ก่อนปัดแท่งเหล็กให้กระเด็นออกไป
แต่วินาทีต่อมาเฟยอวี่หานก็มาอยู่ตรงหน้ามันแล้ว
นับตั้งแต่ที่เธอเชี่ยวชาญการเปลี่ยนพลังเแห่งธรรมชาติให้มีรูปร่าง เธอก็แทบจะไม่พกอาวุธเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอาวุธจะไร้ประโยชน์ การเอาพลังไปเคลือบไว้บนวัตถุไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดแรงในการแปลงพลังให้เป็นรูปร่าง แต่มันยังช่วยเพิ่มระยะในการโจมตีให้กว้างขึ้นด้วย เนื่องจากบนเวทีประลองห้ามใช้อาวุธ จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วฝีมือของเธอในการฟันดาบเหนือกว่าการใช้หมัดและเท้ามาก!
มีดที่ถูกเคลือบด้วยพลังแห่งธรรมชาติฟันออกไป ต่อให้ร่ายกายของอีกฝ่ายทำขึ้นมาจากเหล็กก็จะต้องถูกพลังของเธอฟันจนขาด
แต่ปลายมีดยังไม่ทันถูกตัวอีกฝ่าย มันก็ถูกคลื่นพลังที่ไร้รูปร่างมากันเอาไว้
ถึงแม้มันจะไร้รูปร่าง แต่มันกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก!
นั่นจะต้องเป็นพลังที่มาจากแหล่งเดียวกับพลังแห่งธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย
เฟยอวี่หานยังคงตั้งท่าโจมตีเอาไว้ เธอยกเท้าซ้ายขึ้นมาก่อนจะบิดเอวไปทางเทวทูต
ครั้งนี้เธอเตะถูกเป้าหมาย
เอวของเทวทูตหักงอ ก่อนจะกระเด็นลอยออกไปกระแทกเข้ากับตู้บรรทุกสินค้าอย่างแรง
ศัตรูใช้พลังติดต่อกันไม่ได้? หรือว่า…มันจำเป็นต้องใช้คู่กับมือทั้งสองข้าง?
ความคิดภายในหัวของเธอวิ่งอย่างรวดเร็ว แต่ความเคลื่อนไหวของเธอกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เธอรีบพุ่งตามเข้าไปที่ตู้บรรทุกสินค้า
ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที เฟยอวี่หานได้ปะทะกับอีกฝ่ายไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว เทวทูตถูกฟันไปหลายครั้ง บนตัวของมันมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง แต่บาดแผลที่พอจะทำให้คนธรรมดาเสียชีวิตได้เหล่านี้กลับไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของมันได้เลย ดูเผินๆ แล้วเหมือนเธอจะโถมโจมตีใส่อีกฝ่าย แต่เธอรู้ดีว่าศัตรูไม่มีทางแพ้เพราะการโจมตีแบบนี้แน่
ต้องโจมตีใส่จุดตายเหรอ?
เมื่อดูจากร่างกายของเทวทูตแล้ว จุดที่น่าสงสัยที่สุดเกรงว่าคงจะเป็นหน้ากากอันนั้น อย่างน้อยในระหว่างการปะทะกันก่อนหน้านี้ การป้องกันที่ส่วนหัวของมันก็ดูจะแน่นหนามากที่สุด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฟยอวี่หานก็จงใจผ่อนการโจมตีลง แล้วถอยไปข้างหลังก้าวนึง
เดลต้าที่มีเวลาพักหายใจยื่นมือไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
เฟยอวี่หานกระทืบพื้นแล้วพุ่งตัวกลับไปข้างหน้า เธอเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นดาบ แล้วแทงเข้าไปที่ศัตรูด้วยความเร็วปานสาฟ้า การเปลี่ยนจากถอยกลายเป็นบุกดูเหมือนจะง่าย แต่การจะทำมันด้วยความเร็วสูงนั้นจำเป็นต้องเอาชนะแรงเฉื่อยอันมหาศาล อาศัยเพียงแค่ข้อต่อกับร่างกาย ยังไงก็ไม่มีวันที่จะทำได้ มีแต่ต้องควบคุมพลังแห่งธรรมชาติได้อย่างแม่นยำจนถึงขีดสุดจึงจะสามารถทำการเคลื่อนไหวแบบนี้ออกมาได้อย่างลื่นไหล ถ้าหากช้าไปแม้แต่เพียงเสี้ยววิเดียวก็อาจจะถูกพลังที่มองไม่เห็นนั้นคว้าจับเอาไว้ได้ เธอถึงขนาดสัมผัสได้ถึงลมที่กวาดผ่านแผ่นหลังของตัวเองไปเหมือนคมดาบ
เฟยอวี่หานฉวยโอกาสที่เทวทูตคว้าจับพลาด แทงดาบเข้าไปในหน้ากากมันเต็มแรง
“แคร่ก!”
หน้ากากที่มีลวดลายแปลกๆ ปริแตกออก
แต่เธอกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ตามหลักแล้วการโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะโจมตีถูกหน้ากาก หากแต่หัวของอีกฝ่ายก็น่าจะถูกแทงทะลุด้วย
วินาทีที่แสงเข้าไป เฟยอวี่หานสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรมาขวางกั้นดาบของเธอเอาไว้ ตัวดาบเองก็แทงทะลุหน้ากากไปมากกว่าครึ่ง แต่เธอกลับมองไม่เห็นปลายดาบที่แทงทะลุออกมาจากด้านหลังศีรษะของอีกฝ่าย ราวกับว่ามันจมหายไปในหัวของศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนที่หน้ากากร่วงหล่นลงมา เฟยอวี่หานถึงกับสูดปากด้วยความตกใจ
เธอเห็นหัวของมันเป็นสีดำมืดเหมือนกับหลุมดำที่มองไม่เห็นก้นหลุม และในหลุมดำนั้นก็มีดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหมุนวนกลายเป็นเหมือนกาแลคซี่ขนาดใหญ่ ดาบในมือของเธอจมหายไปในกาแลคซี่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ใช่แล้ว ในภารกิจกวาดล้างฟอลเลนอีวิลครั้งก่อน สัตว์ประหลาดที่ปรากฏตัวอยู่ในโรงงานร้างก็เหมือนจะมีของแบบนี้เหมือนกัน
ภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้ได้ทำให้การถอยของเฟยอวี่หานช้าไปจังหวะหนึ่ง
และการช้าไปเสี้ยววินาทีนี้เองก็ทำให้เธอไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งที่สองของเทวทูตได้
พลังที่ไร้รูปร่างกระแทกเข้ามาที่ร่างกายด้านข้างของเธอจนเธอกระเด็นลอยออกไป!
พลังแห่งธรรมชาติสามารถป้องกันอาวุธธรรมดาได้ แต่มันไม่สามารถป้องกันการโจมตีของพลังที่มาจากแหล่งเดียวกันได้
เธอรับรู้ได้ถึงอวัยวะภายในที่สั่นสะเทือน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจุกอยู่ที่ลำคอ แต่เธอกลับส่งเสียงร้องไม่ออก เธอกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบกว่าจะหยุดร่างกายตัวเองได้ เธอฝืนลุกยืนขึ้นมา เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากปากของเธอ!
……………………………………………………………..
ตอนที่ 1354 ต้องพยายามอีกหน่อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่ข้าบอกว่ายุติธรรม มันไม่ได้หมายถึงจำนวนคน หากแต่เป็นกฎเกณฑ์”
เดลต้าก้มลงเก็บหน้ากากที่แตกออกขึ้นมา แล้วเอากลับมาสวมไว้บนหน้าใหม่อีกครั้ง รอยแตกที่ถูกแทงทะลุสมานเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่หน้ากากเท่านั้น เสื้อผ้าที่ขาดกับร่างกายของมันก็ฟื้นตัวกลับเป็นเหมือนเดิมด้วย
“เมื่ออยู่ภายใต้กฎที่เท่าเทียมกัน ผู้สร้างจะไม่ได้รับการปกป้องจากดินแดนอีก ส่วนเทวทูตเองก็ไม่อาจใช้พลังที่เหนือไปกว่าขีดจำกัดของโลกนี้ในการต่อสู้ได้ นี่ต่างหากคือความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ส่วนจำนวนคนจะมากจะน้อย หรือว่าจะเป็นความได้เปรียบเสียเปรียบในการต่อสู้ก็ล้วนแต่เป็นผลที่อยู่ในการคำนวณของข้าแล้ว แล้วมันจะไม่เท่าเทียมกันได้ยังไง?”
“หึ…” เฟยอวี่หานเช็ดเลือดที่มุมปาก “ฉันไม่ยักรู้ว่าการถูกดาบแทงเข้าไปในหัวแล้วยังสามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของกฎด้วย”
“น่าเศร้า แต่นี่เป็นกฎที่ถูกจารึกเอาไว้จริงๆ” เดลต้ากางสองมือออกพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอทีละก้าว “ถ้าจะโทษก็ต้องโทษมิสต์เถอะ มันซึ่งเป็นผู้ทรยศได้เหลือประตูหลังเล็กๆ บานหนึ่งเอาไว้ในตอนที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา มีเพียงผู้สร้างกับเทวทูตเท่านั้นถึงจะทำลายเทวทูตได้ เจ้าสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ แต่สุดท้ายบาดแผลเหล่านี้ก็จะถูกพลังเวทมนตร์ของข้าฟื้นฟูกลับให้เป็นเหมือนเดิม การต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่ารู้ผลตั้งแต่เริ่มแล้ว”
“แกก็เลยต้องทำการป้องกันซีโร่?”
“พูดให้ถูกคือป้องกันนางก่อนที่รอยแตกจะเป็นรูปร่างขึ้นมา เมื่อไม่มีการปกป้องจากโลกแล้ว นางก็จะเป็นแค่ผู้ตื่นรู้ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น” เดลต้าชะงักไปเล็กน้อย “การที่ถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาได้ แสดงว่าเจ้าแตกต่างจากร่างจิตสำนึกตรรกะพวกนั้น เจ้าไปได้ยินอะไรมา? ในเมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากความว่างเปล่า แล้วยังจะฝืนดิ้นรนไปทำไม?”
“อะไรคือความว่างเปล่า อะไรคือความจริง แกคิดว่ามันสำคัญจริงๆ เหรอ?” เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากขึ้นมา
“อะไร?”
“มุมมองไม่เหมือนกัน คำตอบนี้มันก็ยังไม่แน่ชัดหรอก แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าตัวแกไม่ใช่ความว่างเปล่า?” เธอยกดาบขึ้นมา ก่อนจะทำให้พลังแห่งธรรมชาติปกคลุมไปทั่วทั้งตัวอีกครั้ง “แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่มีอะไรจะจริงไปกว่าโลกนี้อีกแล้ว!”
“ช่างโง่เง่าสิ้นดี” เดลต้าแค่นเสียงดูถูก ก่อนจะยกมือฟาดใส่เธอ
แต่เธอกลับไม่ถอย หากแต่เหวี่ยงดาบเข้าใส่อีกฝ่าย!
พลังทั้งสองสายปะทะกันจนเกิดเป็นเสียงดังกัมปนาท กระแสอากาศที่ระเบิดขึ้นมาทำเอารถที่พลิกคว่ำอยู่บนพื้นปลิวกระเด็นออกไป ภายใต้การต่อสู้แบบนี้เพียงแค่เดินเข้าไปในพื้นที่ที่ทั้งสองคนสู้กันอยู่ก็อาจจะทำให้รับบาดเจ็บจนตายได้เลย
ร่างกายของเทวทูตมีบาดแผลเกิดขึ้นหลายแห่ง แถมในการปะทะกันอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง มันถูกแสงสีเงินของผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่ระเบิดออกมาฟันจนร่างกายขาดสะพายแล่ง
แต่ก็อย่างที่มันได้ว่าเอาไว้ ถึงแม้จะถูกฟันจนบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ก็ยังไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวของมันเอาไว้ได้ เทวทูตใช้มือข้างหนึ่งจับร่างกายของตัวเองเอาไว้ จากนั้นบาดแผลที่ยาวตั้งแต่หัวไหล่จนมาถึงหน้าอกก็ค่อยๆ สมานกัน
แต่เฟยอวี่หานกลับทำเช่นนั้นไม่ได้
ถึงแม้ในเวลานี้เธอจะดูฮึกเหิมกว่าก่อนหน้านี้ แต่บาดแผลบนร่างกายก็ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จากรอยถลอกเล็กๆ จนค่อยๆ เป็นบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก สถานการณ์ของเธอดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ
ซีโร่เอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเฟยอวี่หานถึงเลือกที่จะสู้กับศัตรูซึ่งๆ หน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องบาดเจ็บ!
ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเอง!
ถ้าคิดอยากจะลดโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บ อย่างนั้นก็ต้องหลบการโจมตีของศัตรู แล้วมองหาจุดอ่อนของศัตรู จากนั้นค่อยโจมตีกลับไป ด้วยฝีมือของเธอ ถ้าหากจะคาดการณ์การโจมตีของมันล่วงหน้านั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าในรอยแตกมีเธอกับมันอยู่แค่สองคน การโจมตีของเธอคงจะเร็วกว่านี้แน่
แต่ตอนนี้เฟยอวี่หานกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น!
ถ้าหากเธอไม่กดดันศัตรู แล้วเลือกที่จะกระโดดหลบไปหลบมา ศัตรูคงจะไม่สนใจเธอ แล้วก็หันมาโจมตีตัวเองแทน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซีโร่ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจขึ้นมา
เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้ศัตรูเข้ามาทำร้ายตัวเอง เฟยอวี่หานจึงเลือกที่จะทิ้งวิธีสู้อย่างชาญฉลาด แล้วหันมาใช้การโจมตีที่ดุดันในการตรึงศัตรูเอาไว้ตรงกลางสะพาน
พูดอีกอย่างก็คือ อาการบาดเจ็บที่เธอแบกรับอยู่ในตอนนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เธอแบกรับแทนตัวเองอยู่
สาวน้อยรู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมา
หลังจากตื่นรู้ เธอก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับพลังในร่างกายของเธอบาง สาเหตุที่เฟยอวี่หานยังสู้ได้เหมือนไม่เป็นไรนั้นเป็นเพราะว่าผลจากการใช้พลังแห่งธรรมชาติออกมาจนถึงขีดสุด เพียงแต่พลังนี้มันไม่อาจขจัดความรู้สึกเจ็บปวดไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีขีดจำกัดด้วย เธอไม่อาจสู้แบบนี้ไปได้ตลอด สุดท้ายถ้าไม่ถูกความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเข้าเล่นงาน ก็อาจจะเหนื่อยจนขยับเขยื้อนไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนแต่สร้างความเสียหายให้กับร่างกายอย่างรุนแรง!
ไม่…ไม่ต้องสู้แล้ว เธออยากจะตะโกนออกไป แต่เธอกลับทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ
เดลตาฟันเข้าไปเต็มแรงอีกครั้ง มีเสียงแตกดังขึ้นมา ดาบที่เฟยอวี่หานใช้ป้องกันแตกออก เธอยังไม่ทันจะหาอาวุธใหม่ ข้อเท้าของเธอก็ถูกอีกฝ่ายคว้าจับเอาไว้แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ!
เมื่ออยู่กลางอากาศซึ่งไม่มีอะไรให้ใช้ยืมแรงได้ ต่อให้มีเทคนิคการต่อสู้ดีแค่ไหน มันก็ยากที่จะควบคุมทิศทางการตกลงมาได้
ส่วนด้านล่าง เทวทูตรอคอยเธออยู่นานแล้ว
หมัดที่เร็วปานสายฟ้าถูกเหวี่ยงออกไป เฟยอวี่หานลอยออกไปหลายสิบเมตรราวกับกระสุนปืนใหญ่ เสียงกระแทกพื้นดังสนั่นหวั่นไหว เธอกลิ้งไปหลายสิบตลบก่อนจะหยุดลง
ครั้งนี้ แสงสีขาวบนร่างกายเฟยอวี่หานดูเบาบางลงกว่าตอนแรกมาก
เธอคิดอยากจะลุกขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สำเร็จ เลือดไหลลงมาตามแก้มของเธอ ก่อนจะผสมกับน้ำเหงื่อแล้วย้อมชโลมไปบนเสื้อผ้า
“ไม่!”
ซีโร่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เธอพุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนแล้ววิ่งเข้าไปหาเฟยอวี่หาน
“อาจารย์…”
“รีบออกไป!” แต่เสียงตะคอกของอีกฝ่ายทำให้ร่างกายสาวน้อยที่พยายามจะพยุงเธอขึ้นมาต้องหยุดชะงักลง “รีบกลับไปที่ๆ เธอควรอยู่ แค่กๆ…อย่าเข้าใกล้ที่นี่!”
เป็นครั้งแรกที่เฟยอวี่หานทำสีหน้าร้อนใจออกมา
“แต่ว่าหนู…อ๊าาาา” ซีโร่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกมือที่มองไม่เห็นคว้าจับเอาไว้แล้วยกขึ้นไปกลางอากาศ
“จับได้แล้ว” มือข้างหนึ่งของเทวทูตจับเธอเอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็เตรียมที่จะเหวี่ยงออกมา ทันใดนั้นเอง เฟยอวี่หานกัดฟันแล้วถ่ายพลังแห่งธรรมชาติไปที่ขาทั้งสองข้าง ก่อนจะพุ่งเข้าไปชนศัตรูอย่างไม่คิดชีวิต
เสียงกระแทกดังสนั่น ทั้งสองคนกลิ้งกระเด็นออกไปด้วยกัน
ซีโร่ร่วงตกลงมา
“สามารถทนอยู่ได้ 30 นาทีในการต่อสู้แบบนี้ ความแข็งแกร่งของเจ้านี่น่านับถือจริงๆ แต่ฝืนยื้อต่อไปมันจะมีประโยชน์อะไร?” เดลต้าคว้าจับผู้ฝึกยุทธ์ที่นอนแน่นิ่งขึ้นมา “เจ้าน่าจะรู้นี่นาว่าการปรากฏขึ้นมาของโลกนี้มันเป็นความผิดพลาด มันเป็นเหมือนดอกไม้ในกระจก เป็นเหมือนพระจันทร์ในน้ำ จะเปิดใช้งานหรือหยุดใช้ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยความคิดของผู้สร้าง ข้าไม่คิดว่าเขาจะมองพวกเจ้าเป็นพวกเดียวกัน ที่เจ้าทำอยู่นี่มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ”
เฟยอวี่หานที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องบอบช้ำไปทั้งตัว ขาทั้งสองข้างของเธอหักเนื่องจากระเบิดพลังออกมาอย่างไม่คิด ไหล่และแขนขวาที่กระแทกซึ่งๆ หน้าเหมือนถูกวัตถุขนาดใหญ่บดขยี้ ผิวหนังที่เปิดออกกับกระดูกแยกออกจากหัน สภาพของเธอเรียกได้ว่าแทบจะทนดูไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้เธอก็ยังยิ้มมุมปากขึ้นมา แล้วใช้สายตาดูถูกมองดูอีกฝ่าย
“ฉัน…เคยบอกแล้ว แล้วมันยังไงล่ะ? ฉันไม่สามารถเลือก…โลกที่ตัวเองจะเกิดได้ แต่อย่างน้อยฉันก็เลือก…ที่จะทำในสิ่งที่ฉันอยากทำได้ แล้วแกล่ะ นอกจาก…พระเจ้าแล้ว แกยังมีอะไรอีก? เผลอๆ แม้แต่หน้าตาที่แท้จริงของพระเจ้าแกก็ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยมั้ง…” เธอหอบหายใจแล้วพูดต่อ “แล้วก็ ฉันไม่คิดว่าผู้สร้างจะคิดเหมือนอย่างแกหรอกนะ”
“หมายความว่าไง?” เดลต้าขมวดคิ้ว ไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ๆ มันพลันรู้สึกสับสนและหงุดหงิดขึ้นมา
“พวกเขาเป็นคนจากอีกโลกหนึ่ง…แค่กๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ แต่กลับพยายามอย่างหนักเพื่อโลกใบนี้ ถ้าพวกเขามองที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แล้วพวกเขาจะทำแบบนี้ไปทำไม คนต่างโลกยังพยายามขนาดนี้ แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่พยายามล่ะ? ถ้าไม่เชื่อ…เดี๋ยวรอพวกเขามาแล้วแกลองถามเขาดูก็ได้ ฉันคิดว่าคำตอบของเขาคงจะไม่ค่อยเหมือนกับที่แกคิดหรอกนะ”
“หรือว่าที่เจ้าอดทนมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อรอให้ผู้สร้างอีกคนหนึ่งมาช่วยงั้นเหรอ?” เดลตาส่ายหัว “เลิกหวังเถอะ ข้าวางแผนมานานขนาดนี้ ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้พวกแกมีโอกาสนั้นแน่ นอกรอยแตกยังมีเทวทูตอีกตนหนึ่งเฝ้าอยู่ ถึงแม้มันอาจจะไม่สามารถเอาชนะผู้สร้างหลักได้ แต่ถ้ายื้อเวลาเอาไว้ล่ะก็ มันกลับไม่เป็นปัญหา ส่วนตัวเจ้าตอนนี้ก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว”
มันปล่อยมือ เฟยอวี่หานร่วงตกลงมาบนพื้น “ข้าไม่ฆ่าเจ้า ถ้าตอนนี้ใช้พลังเวทมนตร์ปกป้องจุดสำคัญ บางทีเจ้าอาจจะรอดชีวิตได้ เอาไว้โลกนี้ได้กลับคืนสู่แหล่งกำเนิดเมื่อไร เจ้าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเอง”
พอพูดจบเดลตาก็ก้าวเข้าไปหาเป้าหมายที่แท้จริง
เพียงแต่มันยังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป จู่ๆ มันก็ต้องหยุดลง
มันหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นเฟยอวี่หานยื่นแขนซ้ายที่ยังใช้งานได้อยู่ออกมาคว้าจับเท้าของมันเอาไว้
“เจ้า….ช่างโง่เง่าเสียจริง!” มันคำรามออกมาอย่างโมโห ก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้วฟาดลงไปที่หลังของเฟยอวี่หาน ฝ่ามือที่มองไม่เห็นกระแทกร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์จนจมลงไปในพื้นดิน บริเวณรอบๆ มีรอยแตกลามออกไปเหมือนใยแมงมุม
ในที่สุดมือข้างที่จับมันเอาไว้ก็ค่อยๆ ตกลง
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วนะ”
“ม่ายยย! อาจารย์!” ซีโร่ตะโกนออกมาด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเจ้าจะเป็นคนต่อไป” เดลต้าสะกดอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาซีโร่อีกครั้ง ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นสะท้อนไปทั่วทั้งรอยแตก
ลำแสงสว่างวาบผ่านผลึกรอยแตกเหมือนกับคลื่นที่วาดผ่านผิวน้ำ จากนั้นก็เป็นระลอกที่สอง ระลอกที่สาม ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังกระแทกรอยแตกอยู่ จนทำให้ที่นี่สั่นสะเทือนขึ้นมาเป็นจังหวะ
“ทำไมถึง…เร็วขนาดนี้?” เดลต้าตกตะลึง เป็นไปไม่ได้! ถึงแม้หลุมกับดักการกัดกินที่ใช้แกนเวทมนตร์สร้างขึ้นมาจะไม่สามารถปัดกั้นจากโลกภายนอกได้เหมือนรอยแตก แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะขังอีกฝ่ายเอาไว้ได้ 2 – 3 ชั่วโมงนี่นา
“ยิปซีรอน ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?” มันตะโกนเสียงดัง
“ตอบข้า ยิปซีรอน!”
แต่อีกด้านของรอยแตกกลับไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
“บ้าเอ้ย!” เดลต้ายื่นมือเข้าไปหาซีโร่ ทันใดนั้นเอง ลำแสงที่สว่างเจิดจ้าพลันส่องทะลุลงมาจากด้านบนของรอยแตก บนผลึกมีร่องรอยเหมือนโดนไหม้เป็นแถบ
จากนั้นลำแสงก็ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทุกทาง ความมืดมิดของโลกถูกปัดเป่าออกไป ภาพทิศทัศน์สองฝั่งของสะพานที่ดูห่างออกไปในตอนแรกปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รอยแตกพังทลายลงแล้ว
………………………………………………………………….
ตอนที่ 1355 ฉากที่สอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลำแสงที่จับตัวกันกระจายหายไปทันที
ภายใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามาอีกครั้ง มือที่ไร้รูปร่างของเทวทูตที่จับซีโร่อ่อนยวบยาบและบิดเบี้ยวเหมือนกับโฟมสบู่ ลำแสงที่เจิดจ้าส่งลงมาจากท้องฟ้าและเข้ามาแทนที่แสงสีเงินอ่อนๆ ที่สาวน้อยใช้ป้องกันตัวเอง เมื่อไม่มีการแทรกแซงจากพระเจ้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงร่างจิตสำนึกที่เพิ่งตื่นรู้ มันก็ไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ แล้ว
ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกสองคนพุ่งเข้ามาในพื้นที่ที่ถูกปิดตาย
มันมองไม่เห็นยิปซีรอน แต่มันกลับเห็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่มันต้องทำลาย
นั่นก็คือผู้สร้างหลักของโลกนี้ โรแลนด์
เดลต้าเหวี่ยงมืออกไปโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
แต่การโจมตีนี้กลับไม่ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ยังไม่ทันจะได้สัมผัสถูกเขา พลังของมันก็หายไปจนหมด ราวกับว่ามันไม่เคยมีพลังนี้อยู่ก่อน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การกระโดดพุ่งเข้าไปจากระยะทางหลายร้อยเมตรนั้นใช้เวลาแค่เพียงชั่วพริบตา เดลต้ายังไม่ทันจะทำการตอบสนองออกมา โรแลนด์ก็พุ่งเข้ามาบดขยี้หน้ากากของมันจนเป็นชิ้นๆ จากนั้นจึงยื่นมือไปคว้าจับวงแหวนดวงดาวเอาไว้
ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร มันก็ไม่สามารถสลัดหลุดฝ่ามือของอีกฝ่ายไปได้ ถ้าพลังของมันจะลดลงอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าซีโร่ อย่างนั้นพลังของมันก็แทบจะไร้ประโยชน์ไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าโรแลนด์
“นี่มันไม่ยุติธรรม!”
จิตสำนึกของมันหลุดลอยออกไปพร้อมกับวงแหวนดวงดาวที่ถูกดึงออกไป
ส่วนโรแลนด์นั้นไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดเวทมนตร์หรือว่าศัตรูที่มาจากการกัดกินเหล่านี้ จุดตายของพวกมันก็ล้วนแต่อยู่ที่วงแหวนดวงดาวที่หมุนวนอยู่ในร่างกาย ขอเพียงดึงมันออกมา พวกมันก็จะสลายตัวหายไปเหมือนกับหิมะที่ละลายหายไปเมื่อต้องแสงตะวัน
พลังในร่างกายของโรแลนด์กำลังกู่ร้องแสดงความยินดี
จนกระทั่งถึงตอนนี้ โรแลนด์ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
หลังแยกจากวัลคีรีย์ได้ไม่ถึงครึ่งนาที เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเฟยอวี่หาน เพียงแต่ในสายเข้าไม่ได้ยินเสียงพูดใดๆ เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์จะมีก็แต่เสียงปะทะและเสียงเสียดสีที่ดังแสบแก้วหู ในตอนที่สายตัดไป เขาพลันมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตรงชานเมืองผ่านทางลิฟท์แก้ว
ฝาครอบโปร่งแสงรูปทรงประหลาดอันหนึ่งได้ครอบสะพานทางด่วนที่เชื่อมต่อเมืองชั้นในกับเมืองชั้นนอกเอาไว้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เทคโนโลยีในตอนนี้จะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่มันทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ดาราไม่ทันจะได้อธิบายเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นได้ นั่นแสดงว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
หลังเขาขับรถลงไปจอดในลานจอดรถใต้ดิน เขาก็บังเอิญเจอกับวัลคีรีย์ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นพอดี เขาจึงเดินทางมาพร้อมกับอีกฝ่าย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากทำลายฝาครอบนั่นลงแล้ว เขาจะเห็นซีโร่อยู่ในนั้นด้วย
ส่วนคนประหลาดที่ใส่หน้ากากกับสวมเสื้อคลุมยาวนั่นคือหนึ่งในเทวทูตอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เลือกที่จะกำจัดเทวทูตทิ้งอย่างไม่ลังเล สมาคมเฝ้าตามหาเบาะแสของศัตรูที่บุกรุกเข้ามาเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกมันเป็นฝ่ายโผล่หน้าออกมาเช่นนี้ แถมยังคิดที่จะลงมือกับซีโร่ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปแน่
ในวินาทีที่วงแหวนดวงดาวหลุดออกมา ลำแสงอันเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะปกคลุมตัวเขาเอาไว้!
ภาพที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณอาโรแลนด์!”
เมื่อเหลือบมองด้วยหางตา เขามองเห็นซีโร่ที่น้ำตานองหน้า
เขาทำมือบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องกังวล ลำแสงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งทองฟ้ากลืนกินทุกสรรพสิ่งเอาไว้
เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ครั้งนี้อย่างน้อยโรแลนด์ก็เตรียมตัวมาบ้าง เขาไม่ไปต่อต้านจิตสำนึกที่หลั่งไหลเข้ามาเหล่านั้นอีก หากแต่ปล่อยจิตใจไปตามสบาย และรับเอาจิตสำนึกเหล่านั้นเข้ามา
เพราะถึงจะต่อต้านไปมันก็ไม่มีประโยชน์
สู้ผ่อนคลายแล้วทุ่มสมาธิไว้กับจิตสำนึกที่ไหลทะลักเข้ามาดีกว่า
“ซ่า…ซ่า..”
ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเลือนรางไม่ชัดเจน เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไปมาจนกลายเป็นภาพขาวดำ
สิ่งที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับเกล็ดหิมะเหล่านั้นยังมีคำพูดที่แผ่วเบาของมิสต์ประโยคนั้น
‘เมื่อเทียบกับการให้ข้าบอกเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าเข้าใจมันด้วยตัวเองต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง’
….
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ลำแสงค่อยๆ หายไป ในที่สุดเขาก็มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน
นี่มัน…
โรแลนด์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นความว่างเปล่าอันดำมืดที่กว้างสุดลูกหูลูกตามีโพรงสีแดงขนาดยักษ์ลอยอยู่ มันไม่มีความหนา แต่กลับกว้างใหญ่จนน่าตกใจ เมื่อมองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่แล้ว ขนาดของโพรงอันนี้เกรงว่าคงต้องใช้หน่วยดาราศาสตร์มาวัดมันเท่านั้น
ตรงที่ๆ ไกลออกไปมีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายระยิบระยับ พวกมันหลอมรวมเข้ากับเกล็ดหิมะจนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นวัตถุจริงๆ อันไหนเป็นภาพที่เขาคิดไปเอง
ในความทรงจำของโรแลนด์ สิ่งเดียวที่พอจะตรงกับภาพที่เขาเป็นอยู่นี้ คิดไปคิดมาก็เหมือนจะมีอยู่แค่อย่างเดียว
ดำมืดไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแสง ว่างเปล่าไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไร หากแต่เป็นเพราะมันใหญ่เกินไปเท่านั้นเอง
จุดแสงที่ส่องแสงวิบวับๆ ที่คนธรรมดาต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่มีวันนับได้หมดนั้นกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ของมันเท่านั้น
‘จักรวาล’
นี่มันข้ามมาไกล…จนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
โรแลนด์อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
เดิมเขานึกว่าภาพบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ในตำนานที่ได้เห็นไปครั้งแรกมันตกใจมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามุมมองของภาพที่เขาได้เห็นในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่เล็กลง หากแต่ยังขยายใหญ่ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ปัญหาอยู่ที่ว่าสมมติว่าภาพที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันเป็นจักรวาลที่เขารู้จักอันนั้นจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกับภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ยังไง? หรือว่าอารยธรรมที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยการอาศัยลำแสงที่พุ่งขึ้นมาจากบอทธ่อมเลสแลนด์จะถูกส่งไปบนอวกาศจริงๆ? แบบนี้การที่ใช้คำว่ายกระดับมันก็เหมาะสมอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่ากัมมันตรังสีหรือมนุษย์ไม้ขีดก็ดูจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกๆ แบบนี้ได้เลย
ในเมื่อเปลวไฟและของมีคมสามารถทำให้พวกมันบาดเจ็บได้ อย่างนั้นก็แสดงว่าความสามารถในการต้านทานอุณหภูมิและแรงดันของมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ามนุษย์เท่าไร แต่ในตอนที่เกิดการ ‘ยกระดับ’ ขึ้น เผ่ากัมมันตรังสีที่ก้าวเข้าไปในลำแสงนั้นเหมือนไม่ได้ทำการเตรียมตัวที่จะขึ้นไปอาศัยอยู่บนอวกาศเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่…ไม่ใช่ เขารีบปฏิเสธการคาดเดานี้ไปทันที การคาดเดาที่พยายามเอาภาพเหตุการณ์ทั้งสองมาเชื่อมโยงกันมันดูฝืนมากเกินไป เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เรื่องที่ว่าเหตุใดพระเจ้าที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายแบบนี้มันก็อธิบายได้ยากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามแห่งโชคชะตาที่ไม่มีวันจบสิ้นหรือว่าเศษสิ้นส่วนที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการได้จริงๆ ก็ล้วนแต่ดูไม่เหมือนว่าถูกเตรียมขึ้นมาเพื่อเหตุการณ์นี้เลย
ที่นี่จะต้องมีความลับอื่นที่ลึกซึ้งมากกว่านี้อยู่แน่
ทันใดนั้นเอง โรแลนด์พลันสังเกตเห็นว่าด้านล่างของโพรงสีแดงมีอะไรกำลังขยับเขยื้อนขึ้นมา
ทัศนวิสัยของเขาเหมือนได้รับอิทธิพลจากความคิด ภาพตรงตำแหน่งที่มีการขยับเขยื้อนขยายใหญ่ขึ้นมา — ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านล่างของโพรงมีเศษหินจำนวนมากลอยกระจัดกระจาย มันเหมือนเศษชิ้นส่วนของดวงดาวที่แตกกระจายออมา แล้วก็เหมือนว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่แต่แรกแล้ว ดูเผินๆ แล้วเหมือนเศษซากที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ด้วยความรู้เท่าที่เขามีอยู่ในตอนนี้ มันเป็นการยากที่เขาจะตัดสินได้ว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้มันมาจากที่ไหน
และเศษหินเหล่านี้เหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงดูดเอาไว้ มันค่อยๆ เคลื่อนที่เข้าหาก้อนหินรูปทรงประหลาดที่อยู่ตรงกลางก่อนจะทับกันเป็นชั้นๆ ขนาดของก้อนหินใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่รับเอาเศษหินใหม่เข้าไปก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่ผิวนอกของมัน ในตอนนี้โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจ ถึงแม้ก้อนหินที่ลอยไปลอยมาเหล่านี้จะดูเหมือนเศษหิน แต่ขนาดของมันเกรงว่าคงไม่ใช่เล็กๆ แน่ ด้วยเหตุนี้การรวมตัวของหินพวกนี้จึงน่าตกตะลึงขนาดนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อไม่มีวัตถุอื่นให้ใช้อ้างอิง เหตุการณ์นี้จึงดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลาที่มันเกิดขึ้นจริงๆ มันคงจะยาวนานจนกระทั่งเขาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังตอกย้ำความคิดนี้อย่างไรอย่างนั้น เกล็ดหิมะเริ่มหนาเเน่นขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว
ท่ามกลางจุดขาวๆ ที่กระจายเต็มไปทั่ว ก้อนหินค่อยๆ กลายสภาพเป็นรูปทรงกลมแปลกๆ จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ จู่ๆ ก็มีผลึกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปรากฏขึ้นมา แล้วค่อยๆ กระจายตัวออกมาจากพื้นผิวของมัน ทุกที่ที่ผลึกกระจายตัวไปล้วนแต่ตกอยู่ในความมืด เหมือนกับมันกำลังกลืนกินวัตถุทรงกลมนั้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะยังมองพอมองเห็นแสงสะท้อนที่สะท้อนออกมา เขาคงจะคิดว่าจู่ๆ ก้อนหินก้อนนั้นได้หายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว
ในตอนที่มันถูกผลึกกลืนกินไปจนหมด ก้อนหินทรงกลมก็ได้จมหายไปในโพรงสีแดงขนาดใหญ่
จากนั้นเกล็ดหิมะก็เข้ามาบดบังจนเต็มเบื้องหน้า
และก่อนที่ทั้งหมดจะจบลง ตัวหนังสือที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาในหัวโรแลนด์
เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขากลับเข้าใจความหมายของมัน
พูดอีกอย่างก็คือนั้นไม่ใช่ตัวหนังสือ หากแต่เป็นการทอดถอนใจที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
‘นับแต่นี้เป็นต้นไป แรงดึงดูดจะไม่ใช่แรงที่น่าบูชาที่สุดในโลกนี้อีกต่อไป’
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1356 คำสัญญาของพระเจ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้ โรแลนด์”
“โรแลนด์ เจ้ายืนงงอะไรของเจ้า!”
“คุณอา รีบมาช่วยคนเร็ว!”
เสียงของทั้งสองคนดังสลับกัน สติของโรแลนด์ถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง เขากะพริบตา เสาลำแสงกับเกล็ดหิมะหายไปแล้ว ภาพสะพานที่ตกอยู่ในความโกลาหลปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ซีโร่กับวัลคีรีย์กำลังจัดการกับอะไรอยู่ตรงเศษซากรถ เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเธอแล้ว ความวุ่นวายครั้งนี้เหมือนจะยังไม่จบลง
ใช่แล้ว จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ ตอนที่โทรศัพท์ก่อนหน้านี้ คนที่ทำให้เขาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติก็คือเฟยอวี่หาน แต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนล่ะ?
หรือที่ซีโร่บอกว่า ‘ช่วยคน’ จะหมายถึง….
สีหน้าโรแลนด์คร่ำเคร่งขึ้นมาทันที
ในที่สุดตอนนี้ความคิดเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขาเอาภาพที่เห็นก่อนหน้านี้โยนทิ้งไป ก่อนจะก้าวอาดๆ เข้าไปหาทั้งสองคน จากนั้นเขาก็ต้องสูดปากด้วยความตกใจ!
เขาเห็นในหลุมที่ยุบตัวเพราะถูกของหนักๆ กระแทกลงไปมีร่างหญิงสาวที่ถูกเล่นงานจนเละเป็นก้อนเนื้อนอนอยู่ แขนขาของเธอยกเว้นแต่แขนซ้ายแทบจะถูกบดขยี้จนเละ กระดูกที่แตกหักผสมรวมเข้ากับก้อนเนื้อจนไม่เหลือรูปร่างเดิม ร่างกายของเธอเองก็เต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าแทบจะถูกเลือดสดๆ ชโลมจนเปียกชุ่ม กระดูกสันหลังคดงอจนปูดขึ้นมาจนกระดูกบางส่วนทะลุผิวหนังออกมา
ต่อให้อยู่ในสงคราม ภาพเหตุการณ์นี้มันก็ยังน่าสยดสยองอย่างมากอยู่ดี
และเมื่อดูจากใบหน้าที่เละไปแถบหนึ่งแล้ว คนๆ นี้คือเฟยอวี่หาน
ตอนนี้เธอยังมีลมหายใจอยู่ แต่มันก็รวยรินอย่างมากแล้ว
“ทำไมถึง…”
โรแลนด์คุกเข่าลงไป ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ปฐมพยาบาลเหรอ? ต่อให้มีผ้าพันแผล เขาก็ไม่สามารถเอาอวัยวะภายในที่ทะลักออกมาข้างนอกยัดกลับเข้าไปได้ ห้ามเลือดนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ทั่วทั้งร่างกายของเธอไม่มีตรงไหนเลยที่จะไม่มีบาดแผล การทำงานของอวัยวะภายในแทบจะล้มเหลว ตอนนี้เป็นเพราะพลังแห่งธรรมชาติที่ทำให้เธอยังประคองสติเอาไว้ได้
แต่พลังตรงนี้มันก็เหลือน้อยจนเหมือนกับแสงเทียนที่พร้อมจะดับลงทุกเมื่อ
ความจริงแล้ว การที่สามารถประคองสติเอาไว้ได้ในสถานการณ์แบบนี้นั้นต้องใช้พลังใจอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มันก็มีน้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้
“อาจารย์ปกป้องหนู ก็เลยกลายเป็นแบบนี้…” ซีโร่ร้องไห้โฮออกมา
“นางใกล้ตายแล้ว” วัลคีรีย์เองก็ดูออกเหมือนกัน “ถึงแม้จะเป็นราชาปีศาจ แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ต่อให้เอาไปแช่ไว้ในบ่อละอองชีวิตก็ทำได้เพียงแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นระดับการรักษาพยาบาลของโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบบ่อละอองชีวิตได้ ต่อให้นางมีพลังเวทมนตร์อยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็ยากที่จะรอดชีวิตได้ ในฐานะที่เป็นนักรบคนหนึ่ง นางได้อดทนมาจนถึงวินาทีสุดท้ายแล้ว”
“ในที่สุด….นายก็มาแล้ว” ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงของเขา เฟยอวี่หานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา “ฉันควรจะเรียกนายว่า…ท่านพระเจ้าใช่ไหม?”
ในน้ำเสียงของเธอแฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ขัน สีหน้าของเธอดูไม่เหมือนคนที่กำลังจะตายเลย
“เธอ…” โรแลนด์ตกตะลึง
“ขอโทษนะ…ที่แอบฟังพวกเธอคุยกัน” เธอหันไปกะพริบตาให้วัลคีรีย์ นี่คือความเคลื่อนไหวเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ “แต่ถ้ามีโอกาสอีกครั้งล่ะก็ ฉันก็ยัง…จะทำแบบนี้อยู่ ซีโร่…เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เธอเหมือนต้องใช้พลังอย่างมากในการพูดคำพูดแค่ไม่กี่คำ มีแต่ต้องกลั้นหายใจถึงจะได้ยินเสียงที่แทบจะเหมือนเสียงกระซิบกระซาบของเธอ
“อาจารย์ หนู…ไม่เป็นไร..” ซีโร่สะอึกสะอื้น
“อย่างนั้นโลกนี้…ตอนนี้ยังปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม?” เฟยอวี่หานพูดเสียงเบาๆ “แบบนี้ ฉันก็ถือว่ามีส่วนช่วยปกป้องกันแล้ว”
“อย่างนั้นเธอก็รู้อยู่แล้วว่าโลกนี้มันเป็นแค่ความฝัน..” วัลคีรีย์ขมวดคิ้วขึ้นมา
“บางทีสำหรับพวกเธอแล้ว โลกมันอาจจะมีอยู่หลายใบ แต่สำหรับฉันแล้ว…มันกลับมีเพียงแค่หนึ่งเดียว และการปกป้องโลกใบนี้ก็คือหน้าที่ที่ผู้ผึกยุทธ์ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ฉันว่านะ…ท่านพระเจ้า ในเมื่อนายสร้างมันขึ้นมาแล้ว นายก็ควรจะเชื่อใจทุกคนให้มากกว่านี้ ใช่หรือเปล่า?”
“เชื่อใจ…ทุกคน?”
“ฉันรู้ว่าฟังแล้วมันอาจจะ….น่าเหลือเชื่อ แต่ขอเพียงนายเอาหลักฐานออกมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคม…จะต้องรับฟังอย่างแน่นอน เรื่องที่พวกเราทำได้มีไม่เยอะ แต่พวกเราก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์…ต่อให้สู้เทวทูตไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระให้นายได้ไม่น้อย แบบนี้…การช่วยโลกมันก็จะง่ายขึ้นหน่อยไม่ใช่เหรอ?”
รวมพลังของทุกคน…
ภายในหัวโรแลนด์มีแสงสว่างวาบขึ้นมา
ถูกต้อง เขาคือผู้สร้างโลกนี้
แต่ไม่ใช่พระเจ้าที่จะทำได้ทุกสิ่ง
มีเรื่องบางเรื่องที่เขาเองก็ทำไม่ได้
แต่คนอื่นทำได้
ถ้าเอาพลังทุกคนมารวมเข้าด้วยกัน ไม่แน่อาจจะทำให้ปาฏิหาริย์ที่เหมือนไม่มีทางเกิดขึ้นกลายเป็นจริงได้
“สุดท้ายที่ฉันอยากจะพูดคือ…ขอบคุณนายมากนะ” เสียงของเฟยอวี่หานเบาจนแทบจะไม่ได้ยินแล้ว “ขอบคุณที่นายสร้างมันขึ้นมา ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม…”
“ไม่ โลกนี้ไม่ใช่ความฝัน” โรแลนด์พูดตัดบท “มันอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก แล้วก็จะคงอยู่ตลอดไปด้วย”
“ฉันรู้อยู่แล้ว….ว่านายจะพูดแบบนี้” เฟยอวี่หานหลับตาลงพร้อมยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“นอกจากนี้ ฉันคิดว่าต่อให้เอาหลักฐานออกมา แต่ถ้าให้ฉันเพียงคนเดียวไปประกาศว่าตัวเองเป็นคนสร้างโลกนี้ มันก็ยังไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ แต่ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะอีกซักคนมาช่วยพูดล่ะก็ บางทีมันอาจจะได้ผลก็ได้”
ริมฝีปากเธอขยับขึ้นมา “นายกำลัง…ปลอบใจฉันอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
“นี่ไม่ใช่การปลอบ แต่เป็นคำยืนยันจากผู้สร้าง” โรแลนด์ลุกขึ้นมา “ฟังนะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งยอมแพ้! ในเมื่อเธอพูดถึงความเชื่อใจขึ้นมา อย่างนั้นเธอก็ต้องเชื่อฉัน เรื่องนี้เรายังแก้ไขมันได้อยู่!”
“เพราะฉัน….คือพระเจ้า”
ความฝันถูกตัดขาด โรแลนด์กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว
ตอนนี้ยังคงเป็นเวลาบ่าย ด้านนอกยังมีหิมะตกโปรยปราย ไนติงเกลที่เฝ้าอยู่ในห้องทำงานหายตัวมาอยู่ตรงหน้าเขาทันที พร้อมกับถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลว่า “ทำไมถึงตื่นเร็วขนาดนี้ล่ะเพคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเพคะ?”
สองวันหลังเขาสลบไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ตามปกติแล้วเขาจะนอนตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงประมาณสี่โมง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลานั้น
“วางใจได้ ข้าไม่เป็นไร” โรแลนด์พูดอย่างหนักแน่น “เจ้าไปแจ้งบุ๊คกับฮันนี่ ให้พวกนางรีบมาที่ปราสาท ข้ามีภารกิจสำคัญจะให้พวกนางทำ”
ไนติงเกลตรวจดูอุณหภูมิและชีพจรเขาอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วเธอจึงพยักหน้า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
หลังอีกฝ่ายเข้าไปในหมอกมา โรแลนด์ก็กลับมาที่โต๊ะทำงาน พร้อมกับหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเตรียมวางแผน
ถ้าอยากจะช่วยชีวิตเฟยอวี่หาน เขาก็จำเป็นต้องทำให้การช่วยเหลือของทั้งสองโลกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
ทันทีที่ออกมาจากโลกแห่งความฝัน เวลาของที่นั่นก็จะหยุดลง ซึ่งนี่จะช่วยยื้อชีวิตให้เฟยอวี่หานได้ ต่อให้เหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ถ้าเขาไม่เข้าไปในโลกแห่งความฝัน ลมหายใจนี้ก็จะไม่หมดลง
หัวใจสำคัญที่จะช่วยยื้อชีวิตเธอกลับมาได้คือความสามารถใหม่ของนาน่า ถ้าหากใช้วัตถุเวทมนตร์ที่มีพลังในการรักษามากพอ มันก็จะช่วยหยุดยั้งการพังทลายของอวัยวะภายในร่างกายได้
จากนั้นก็เป็นดินแดนของบุ๊ค เขาไม่สามารถนำเอาสิ่งของเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้ แต่ห้องเอกสารเล็กๆ นั้นกลับทำได้ เมื่อคิดถึงว่าโลกแห่งความฝันสามารถรับเอาพลังของแม่มดเข้าไป แถมยังแสดงผลของมันออกมาในรูปแบบเดิมด้วย อย่างนั้นวัตถุเวทมนตร์ก็น่าจะไปถึงโลกแห่งจิตสำนึกได้เหมือนกัน
แต่แน่นอน มีแค่สองคนนี้ยังไม่พอ
อันดับแรกคือเขาจำเป็นต้องเอาวัตถุที่จะใช้ช่วยชีวิตเหล่านี้ส่งจากห้องเอกสารไปถึงสะพานทางด่วนให้เร็วที่สุด
อันดับต่อมา ไหมเย็บกับผ้าก๊อชที่ผ่านการใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปนั้นทำได้แค่ช่วยยื้อเฟยอวี่หานกลับมาจากความตายเท่านั้น แต่ถ้าอยากจะรักษาอาการบาดเจ็บอย่างพวกกระดูกที่หักนั้น เขาจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่มีความเฉพาะทางมากกว่านี้ ซึ่งนี่จำเป็นต้องมีความช่วยเหลือของแพทย์มืออาชีพ
มีแต่ต้องรวมพลังของทุกคนเข้าด้วยกัน ถึงจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์นี้ได้
………………………………………………………………..
ตอนที่ 1357 การร่วมมือช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน ซีกัลก็มาลงจอดที่โรงเรียนอัศวินอากาศของเมืองเนเวอร์วินเทอร์
ทิลลีพานาน่าเดินลงมาจากเครื่องบิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้ถามโรแลนด์ถึงเครื่องบินของเธอ หากแต่ถามเขาด้วยสีหน้าร้อนใจว่า “พวกข้ายังมาทันใช่ไหม?”
เนื่องจากตารางรหัสโทรเลขของโปรเจคไอรอนทาวเวอร์ยังทำขึ้นมาไม่เสร็จ อีกทั้งอัศวินอากาศฝึกหัดที่เรียนรู้ภาคทฤษฎีเสร็จเรียบร้อยแล้วต่างก็เดินทางไปทำการฝึกบินจริงที่เมืองธอร์นกันหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้วิธีการติดต่อสื่อสารที่เร็วที่สุดจึงเหลือเพียงแค่นกส่งจดหมายเท่านั้น ถึงแม้การใช้เวลาในการส่งข่าว 4 วันบวกกับเวลาเดินทางกลับมา 1 วันข้ามมาสองอาณาจักรครึ่งจะไม่ถือว่าช้า แต่สำหรับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแล้ว มันก็ยังถือว่าค่อนข้างช้าอยู่ดี
“ไม่ พวกเจ้ามาทันพอดี” โรแลนด์ตอบ
“งั้นเหรอ อย่างนั้นก็ดี…ครั้งหน้าข้าทิ้งอัศวินอากาศไว้ที่เนเวอร์วินเทอร์ซักคนดีกว่า เผื่อมีเหตุฉุกเฉินแบบนี้เกิดขึ้นอีก” ทิลลีถอนหายใจออกมา “เออใช่ แล้วคนเจ็บคือใครล่ะ?”
“เอ่อ…” โรแลนด์เป็นใบ้ไปทันที นกส่งจดหมายสามารถส่งจดหมายได้จำนวนจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อธิบายละเอียดมาก เขาเพียงแต่บอกให้ทิลลีรีบพานาน่ากลับมาที่เนเวอร์วินเทอร์ ตอนนี้เมื่อถูกถามเช่นนี้ เขากลับพบว่าตัวเองไม่รู้จะอธิบายยังไง หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ สุดท้ายเขาจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “คนที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้น่ะ”
“หา?” มุมปากทิลลีกระตุกขึ้นมา “ท่านหมายถึงโลกแห่งความฝันเหรอ?”
สมแล้วที่เป็นองค์หญิงลำดับที่ห้า การตอบสนองถือว่าเฉียบแหลมอย่างมาก…โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย “ก็ประมาณนั้นแหละ”
“อย่างนั้นท่านบอกมาตรงๆ ก็ได้นี่นา ทำไมต้องพูดอ้อมค้อมด้วย” ทิลลีเหลือบมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “ทำไม หรือท่านกลัวว่าข้าจะไม่พอใจที่ต้องเดินทางกลับมาเป็นพันๆ กิโลเพื่อช่วยคนที่อยู่ในความฝัน”
“ถูกเผงเลยเพคะ” นาน่าพูดเสริม
“ถ้าทายถูกก็ไม่จำเป็นต้องตรัสออกมาก็ได้นี่เพคะ” เวนดี้ส่ายหัวยิ้มๆ
นี่พวกเจ้าสามคน กำลังรุมข้าอย่างนั้นเหรอ?
“รู้สึกผิดมันก็เป็นเรื่องดี ท่านพี่” ทิลลีเขย่งเท้าขึ้นมา ก่อนจะยื่นนิ้วไปจิ้มที่หน้าอกของเขา “แต่ท่านเองก็ดูถูกทุกคนเกินไป ในเมื่อท่านคิดว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ถึงแม้มันจะดูน่าขันแค่ไหน พวกเราก็จะทำมันก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้ว….หลังจากนี้ทำยังไงต่อล่ะ?”
นี่…น่าจะถือเป็นการแสดงความเชื่อใจอย่างหนึ่งหรือเปล่า?
โรแลนด์กดหัวทิลลีลง ก่อนจะหายใจเป็นไอสีขาวออกมา “กลับไปที่ปราสาท ตอนนี้บุ๊ครอพวกเราอยู่ที่นั่นแล้ว”
……
เมื่อมีการเตรียมพร้อม นาน่าก็สามารถสร้าง ‘ไหมเย็บแผลเวทมนตร์’ ขึ้นมากองใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว จากที่เธอบอกมา ถึงแม้จะเย็บแผลไม่เห็น แต่ขอเพียงเอาไหมเย็บแผลเหล่านี้ไปวางไว้ใกล้ๆ บาดแผล มันก็สามารถรักษาได้เหมือนกัน ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือต้องเอามันออกหลังจากบาดแผลหายดีแล้ว ไม่อย่างนั้นไหมเย็บแผลที่อยู่ไม่นิ่งเหล่านี้อาจจะสร้างปัญหาใหม่ให้คนเจ็บได้
เมื่อคำนึงถึงว่าวัตถุในโลกแห่งความจริงไม่มีทางที่จะหายไปเฉยๆ ได้ บุ๊คแค่เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกไม่กี่ครั้งก็สามารถหาไหมเย็บแผลมาได้จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้นาน่าถึงสามารถเก็บพลังเวทมนตร์เอาไว้ได้เป็นจำนวนมากเพื่อใส่ลงไปในอุปกรณ์ที่จะใช้ในการรักษาหลังจากนี้
ถึงแม้จะใช้เวลาในการเตรียมตัวไป 5 วัน แต่สำหรับโลกแห่งความฝันแล้วถือว่าแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่แน่นอน การทำแบบนี้อาจจะทำให้คนที่อยู่ในโลกแห่งความฝันผิดสังเกตได้ อย่างเช่นซีโร่ อย่างเช่นวัลคีรีย์…แต่ตอนนี้โรแลนด์ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว
หลังทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็สูดหายใจ แล้วหันไปส่งสัญญาณมือบอกบุ๊คกับแม่มดคนอื่นๆ ว่าไม่ต้องห่วง จากนั้นจึงหลับตาแล้วเข้าไปในโลกแห่งความฝัน
หลังลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง
เฟยอวี่หานยังคงนอนจมกองเลือดอยู่ ส่วนอีกสองคนนั้นมองมาที่เขาอย่างประหลาดใจ ซีโร่คว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้อย่างร้อนใจ “คุณอา คุณอามีวิธีช่วยเธอเหรอคะ?”
เวลากลับมาเดินอีกครั้ง เขาเหมือนได้กลับไปเมื่อ 5 วันก่อน
โรแลนด์เองก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาการ์เซีย
งานประลองยุทธ์จบลงแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตอนนี้การ์เซียน่าจะอยู่ที่ตึกถงจึ
โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล มีอะไร?”
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ข้างนอก”
โรแลนด์ตกใจ “ทำไมถึงไม่อยู่ที่บ้าน?” ถ้าเกิดแผนการนี้ผิดพลาด เขาก็ได้แต่ต้องใช้แผนสำรอง นั่นคือแจ้งทางผู้คุมของสมาคมให้ส่งคนมา ซึ่งนั่นไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลาอย่างมากในการอธิบาย แต่มันยังไม่แน่ว่าจะได้ผลเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ด้วย
“เฮ้ อะไรของนายเนี่ย ฉันมาซื้อขนมข้างล่างตึกไม่ได้เหรอไง?”
เขาโล่งใจ “เธออยู่ในตึกใช่ไหม? ตอนนี้พกกุญแจรถเอาไว้หรือเปล่า?”
“เหลวไหล” ในโทรศัพท์มีเสียงหงุดหงิดของการ์เซียดังขึ้นมา “นายจะพูดอะไรกันแน่?”
โรแลนด์กระแอม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฟังนะ ฉันมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องเธอ ซึ่งเรื่องนี้มีแต่เธอเท่านั้นถึงจะทำได้”
“เอ่อ…” จู่ๆ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนลงเล็กน้อย “แล้ว…ต้องพูดทางโทรศัพท์เท่านั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง ไม่งั้นไม่ทันแล้ว ตอนนี้เธอรีบขับรถไปที่ลิ่วหลี่ถิงที่อยู่ถัดออกไปสองช่วงถนน ไปรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อบุ๊ค บุ๊คจะยืนรอเธออยู่ที่ปากทาง จากนั้นเธอก็พาบุ๊คมาส่งบนสะพานทางด่วนชานเมืองตะวันตก ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ฉันอยู่ในตอนนี้” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “ปกติจากตรงนั้นมาถึงสะพานทางด่วนนี่ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้น ดังนั้นต้องรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้ามีปัญหาอะไรฉันเป็นคนรับผิดชอบเอง ฝากด้วยนะ ตอนนี้เธอออกมาได้แล้ว!”
“…..” อีกฝ่ายเงียบไปหลายวินาที จากนั้นก็มีเสียงวิ่งเป็นจังหวะดังขึ้นมา “นายจะบอกว่าตอนนี้นายไม่มีเวลาอธิบายให้ฟังแล้วใช่มั้ย?”
“ใช่”
“โอเค ถ้าฉันไปถึงที่นั่นแล้วไม่มีเรื่องอะไรสำคัญอย่างที่นายว่าล่ะก็ นายรู้ใช่ไหมว่าผลมันจะเป็นยังไง!” วินาทีที่เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมา เธอก็วางโทรศัพท์ไปทันที “แล้วก็ นายติดหนี้ฉันนะ”
จากนั้นโรแลนด์ก็กดเบอร์ของผู้คุมร็อก
ครั้งนี้เขาเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ผู้คุมฟัง “คุณเฟยอวี่หานตอนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก ผมอยากจะให้ทางสมาคมส่งหมอและเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่สุดมา แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ ตอนนี้การ์เซียกำลังนำเอาของสำหรับช่วยชีวิตที่สำคัญอย่างมากมาที่จุดเกิดเหตุ หากเป็นไปได้ ผมอยากจะให้ทางสมาคมช่วยประสานงานกับทางตำรวจจราจรว่าช่วยเปิดทางให้หน่อย เพื่อให้การ์เซียมาถึงสะพานให้เร็วที่สุดครับ”
ผู้คุมรับปากทันที จากนั้นก็บอกว่าพวกเราจะรีบติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่โรแลนด์เองก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีการติดต่อเอาไว้ก่อน โอกาสที่รัฐบาลจะลงมือจัดการทันทีนั้นมีน้อยมาก จะมาถึงที่สะพานได้อย่างราบรื่นหรือไม่ อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ตัวการ์เซียแล้ว
ในตอนที่วางโทรศัพท์ เวลาก็ผ่านไปประมาณ 5 นาทีแล้ว
จากนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็มีแต่รอเท่านั้น
ในความโชคร้ายยังมีความโชคนี้อยู่ ในฤดูหนาวมีรถวิ่งบนถนนค่อนข้างน้อย ยิ่งเข้าใกล้เขตชานเมืองก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ขอเพียงไม่ใช่ช่วงเวลาเข้างานหรือเลิกทำงาน การ์เซียก็น่าจะขับรถตู้ได้ด้วยความเร็วสูงสุดของมัน
“คุณอา อาจารย์เขา…เขา…ใกล้จะไม่ไหวแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ของซีโร่ก็ดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา
โรแลนด์รีบกลับไปอยู่ข้างกายเฟยอวี่หาน ก่อนจะเห็นหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อยก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ได้หยุดลงแล้ว
“หัวใจกับการหายใจของนางหยุดลงแล้ว” วัลคีรียขมวดคิ้วขึ้นมา “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร แต่เกรงว่ามันคงจะสายไปแล้วล่ะ”
“ไม่ เธอจะต้องอดทนได้แน่นอน” โรแลนด์ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากที่เต็มไปด้วยรอยคราบเลือดของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันเชื่อว่านางไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่”
เขาเคยได้ยินว่าหลังจากร่างหายหยุดทำงานไปแล้ว สมองของคนเราจะยังทำงานต่อไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าสั้นๆ ก็หลายสิบวินาที ถ้านานหน่อยก็หลายนาที คลื่นสมองจะแสดงลักษณะของคลื่นเหมือนเวลานอนหลับ เหมือนกับว่าหลับไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น ช่วงเวลาสั้นยาวนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของความมุ่งมั่นแล้ว เฟยอวี่หานั้นไม่เป็นรองใคร
10 นาที 25 วินาที บนสะพานมีเสียงโครมครามดังขึ้นมา
โรแลนด์ดวงตาเป็นประกาย
จากนั้นพลันมีแสงไฟสีแดงคู่หนึ่งชนตู้บรรทุกสินค้าที่วางกองอยู่บนพื้นจนแตกกระจาย ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน
“ฝ่าบาท!” บุ๊คเปิดประตูรถ ก่อนจะเอาห่อกระดาษที่อยู่ในมือโยนให้โรแลนด์
โรแลนด์เปิดห่อกระดาษออกโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจของซีโร่และการ์เซีย ก่อนจะเอาด้ายเย็บแผลปูไปบนร่างของเฟยอวี่หาน
“นี่คือ….วัตถุเวทมนตร์ที่แม่มดสร้างขึ้นมาเหรอ?” วัลคีรีย์เลิกคิ้วขึ้นมา
“ถูกต้อง” โรแลนด์พยักหน้า “ขอเพียงมันใช้ได้ผล ต่อให้เหลือลมหายใจแค่เฮือกสุดท้ายก็สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้”
ในเวลานี้พลังของนาน่าได้ก้าวข้ามประตูของโลกแห่งความฝันกับความเป็นจริงเข้ามาแสดงผลอยู่บนตัวของหญิงสาวที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง ร่างกายของเธอส่งเสียงกึกกักๆ ด้วยการกระตุ้นของเวทมนตร์ เลือดเนื้อและอวัยวะภายในเริ่มประสานตัวกันอีกครั้ง
หลังจากนั้นสิบกว่านาที ทุกคนก็ได้ยินเสียง ‘ตึกตัก’ เบาๆ
ถึงแม้มันจะแผ่วเบาอย่างมาก แต่มันกลับเป็นเสียงที่ไพเราะกว่าเสียงอื่นใด
หน้าอกของเฟยอวี่หานเริ่มกลับมาขยับอีกครั้ง
…………………………………………………………………
ตอนที่ 1358 หลักฐานของผู้สร้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เธอฝันอยู่เป็นเวลานาน
ในฝันมีคนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวและหน้ากากคลุมหน้ายืนล้อมเธอ ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรซักอย่าง
เมื่อดูจากสีหน้าที่ตกตะลึงและเคร่งครียดของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพวกเขากำลังจัดการกับเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากอยู่
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนัก แล้วก็ใกล้ตาย นี่น่าจะเป็นการปลอบใจของสมองล่ะมั้ง?
เธอรู้อาการของตัวเองดีว่ามันย่ำแย่ขนาดไหน ในเวลาปกติขอเพียงหมอได้มาเห็นสภาพของเธอ พวกเขามีแต่จะหันไปบอกให้ญาติกล่าวคำสั่งเสียโดยไม่คิดที่จะเสียเวลารักษาเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าโรแลนด์เป็นผู้สร้างโลก แต่เธอก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางปล่อยให้เทวทูตได้มีโอกาสบุกโจมตีแน่
ซึ่งการที่เธอรับปากเขาว่าจะอดทนจนถึงที่สุดก็ถือว่าเธอได้ทำเต็มที่แล้ว
การที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่นั้นเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาด ทั่วทั้งร่างเหมือนกับแช่อยู่ในลำแสงที่อ่อนโยนและอบอุ่น อาการเจ็บปวดสลายหายไปจนหมด เสียงพูดคุยของผู้คนเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกอยากจะหลับ
จากนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้ากับภาพต่างๆ ในความทรงจำก็ค่อยๆ หลอมรวมกัน
ท้องฟ้าสีเทาที่อยู่บนหัวกลายเป็นดวงไฟที่ขาวที่สว่างเจิดจ้า
หลังหมอทำอะไรเสร็จเรียบร้อยและทยอยเดินออกไปทีละๆ คน เธอก็ ‘มองเห็น’ ตัวเองถูกพยาบาลอุ้มขึ้นมา ก่อนจะเอาไปยื่นให้ชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองคนจูบเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ
จากนั้นเธอก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ และค่อยๆ เติบโตทีละน้อย
ภายความทรงจำทยอยปรากฏขึ้นมา….เธอคิดว่านี่บางทีอาจจะเป็นการย้อนรำลึกครั้งสุดท้ายของสมอง แต่ที่น่าแปลกก็คือภาพเหตุการณ์ที่เมื่อก่อนนี้จะคิดยังไงก็คิดไม่ออก ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน
เธอมองเห็นที่อยู่อาศัยของตัวเองในวัยเด็ก สวนหลังบ้านมีผ้าปูเตียงแขวนตากเอาไว้เต็มไปหมดกับ…ครอบครัวของเธอ
ที่แท้บ้านของเธอในตอนนั้นเป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย
เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดของแม่เธอ พร้อมกับหลับตาลงอย่างพึงพอใจ
ในตอนที่ความง่วงเข้าปกคลุมเธออย่างเต็มที่ บนหัวเธอพลันมีเสียงพึมพำที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นมา
‘คุณว่า…ลูกของเราชื่ออะไรดีคะ?’
‘ชื่อ…เฟยอวี่หานแล้วกัน’
…..
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เฟยอวี่หานค่อยๆ ลืมตาขึ้น
สายตาเธอมองเห็นภาพเพดานห้องพักผู้ป่วยที่คุ้นเคย ในหัวเธอรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา
เดี๋ยวๆ ตัวเอง…ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?
เธอพยายามรับรู้ความรู้สึกทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะพบว่าแขนขาทั้งหมดล้วนแต่ตอบรับความของเธอ ไม่ใช่เท่านี้ แต่ทั้งการรับรู้และการเคลื่อนไหวก็ล้วนแต่ไม่มีการติดขัดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
เฟยอวี่หานยกมือขวาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ถึงแม้แขนทั้งข้างจะถูกผ้าพันแขนพันเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่เมื่อดูจากเค้าโครงภายนอกแล้ว แขนทั้งข้างเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้แขนข้างนี้นั้นถูกกระแทกจนหักเป็นท่อนๆ แม้แต่กระดูกเองก็แตกเป็นชิ้นๆ จนแทงเข้าไปในเนื้อ ถ้าใช้วิธีการรักษาตามปกตินั้นไม่มีทางที่จะฟื้นกลับเป็นเหมือนเดิมได้แน่
เธอหลุดขำออกมาเล็กน้อย
เขา…ทำได้จริงๆ ด้วย
ตอนนั้นเขาพูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า ‘เพราะฉัน…คือพระเจ้า’ หรือเขาไม่รู้เหรอว่าอายุของเขามันไม่เหมาะกับคำพูดแบบนี้?
“อื้อ…อาจารย์….” ข้างหูของเธอมีเสียงละเมอเบาๆ ดังขึ้นมา
เฟยอวี่หานหันหน้าไป ก่อนจะเห็นสาวน้อยผมสีขาวคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ข้างเตียง เธอไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นซีโร่ ‘ผู้สร้างโลก’ อีกคนหนึ่งที่เทวทูตพูดถึง เธอใช้มือทั้งสองข้างรองหัวของตัวเองเอาไว้คล้ายว่ากำลังหลับฝัน แต่จากหางคิ้วที่ดูหม่นหมองของอีกฝ่ายจะเห็นได้ว่าเธอคงจะนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงเธอมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาพักอยู่ที่นี่
เฟยอวี่หานยิ้มขึ้นมา เธอพลิกตัวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอาผ้าห่มห่มให้ซีโร่ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องอย่างไร้ซุ่มเสียง
ตอนที่เดินออกมาถึงระเบียงทางเดินที่เป็นพื้นที่พักผ่อน เธอมองเห็นโรแลนด์ วัลคีรีย์และเพื่อนผู้ฝึกยุทธ์อีกจำนวนมาก
เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว เหล่านักฝึกยุทธ์พากันแตกตื่นขึ้นมา หลายๆ คนพากันเดินเข้ามาสอบถามอาการของเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจพวกเขาแล้วเดินตรงเข้าไปหาโรแลนด์ จากนั้นจึงจับมือของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ถึงเวลาต้องทำเรื่องสำคัญแล้ว”
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตนับสิบคู่ที่ต้องมาที่ตน “เอ่อ…เรื่องสำคัญ?”
“แค่คนๆ เดียวไปเที่ยวประกาศว่าเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกอะไรนั้นมันยังไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ แต่ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะอีกคนล่ะก็ ผลที่ออกมามันจะต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ?” เธอเลิกคิ้วพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “นายทำคำสัญญาของนายให้กลายเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ถึงตาฉันบ้างล่ะ”
“เธอจะไปทั้งสภาพแบบนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ
ในเวลานี้เฟยอวี่หานสวมชุดผู้ป่วย ทั้งตัวตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงลำคอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ มีแต่ส่วนหัวเท่านั้นที่โผล่ออกมา ดูแล้วเหมือนกับขนมบ๊ะจ่างอย่างไรอย่างนั้น
เธอพาโรแลนด์เดินไปที่บันได “ก็ต้องไปในสภาพนี้ มันถึงจะมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่เหรอ?”
…..
ในห้องประชุมของศูนย์พักฟื้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองปริซึมนั่งล้อมเป็นวง พร้อมกับฟังรายงานของเฟยอวี่หานด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน
“ศัตรูในตอนนั้นแตกต่างจากฟอลเลนอีวิลอย่างชัดเจน มันไม่เพียงแต่จะมีพลังที่น่าเหลือเชื่อ หากแต่ยังยากที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ขนาดฉันใช้พลังแห่งธรรมชาติในระดับสูงสุดแล้วก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ จากที่มันบอกมา มีเพียงผู้สร้างโลกนี้กับเทวทูตเท่านั้นถึงจะสามารถทำลายแกนพลังของพวกมันได้”
“ซึ่งความจริงมันก็ได้พิสูจน์ในเรื่องนี้แล้ว ฉันได้พยายามโจมตีวงแหวนดวงดาวที่ส่วนหัวของมันหลายครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่เป็นเพราะโรแลนด์มาถึงที่นั่นทันเวลา เกรงว่าเรื่องราวมันคงจะร้ายแรงจนแก้ไขอะไรไม่ได้แน่ ศัตรูเรียกตัวเองว่าเดลตา มาจากการกัดกิน แล้วก็เป็นเทวทูตของพระเจ้า ถ้ามันเป็นหนึ่งในคนร้ายที่ทำลายเมืองปริซึมจริงๆ อย่างนั้นเราก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าเพื่อนของมันก็มีความสามารถพิเศษแบบเดียวกับมัน และโลกของเราในตอนนี้ก็อยู่ในวิกฤติอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด”
คำพูดนี้ทำเอาห้องประชุมมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา
ฟอลเลนอีวิลไม่เกรงกลัวอาวุธ มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้นถึงจะฆ่ามันได้ แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับมีเทวทูตปรากฏตัวขึ้นมา แม้แต่พลังธรรมชาติเองก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ อย่างนี้ก็เท่ากับว่ามันไม่มีศัตรูที่จะต่อกรมันได้เลยน่ะสิ?
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ พูดแบบนี้ ทุกคนคงจะรู้สึกสงสัยว่าเป็นปัญหาในเรื่องของความสามารถที่ไม่แข็งแกร่งพอ แต่ถ้าคนที่พูดเป็นเฟยอวี่หาน คนอื่นๆ ไม่มีทางที่จะสงสัยในเรื่องนี้แน่
ศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เพียงแค่คิดก็ทำให้ขนลุกแล้ว
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ‘เทวทูต’ ยังมีอยู่อีกหลายตัวเลย
“ฉันดีใจมากนะที่สุดท้ายแล้วเธอไม่เป็นไร แล้วก็รู้สึกโชคดีด้วยที่คุณโรแลนด์ยืนอยู่ฝั่งสมาคม” ผู้คุมร็อคเอ่ยปากพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ถูกต้อง เมื่อดูจากรายงานที่ได้มาจากจุดเกิดเหตุแล้ว ศัตรูนั้นมีพลังที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้อยู่จริงๆ และคนที่กำจัดมันได้ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ตรงนั้น เมื่อฟังจากคำอธิบายหลายๆ ด้านแล้ว พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่า คนที่กำจัด ‘ศัตรูที่มาจากการกัดกิน’ ก็คือโรแลนด์ที่เป็นนักไล่ล่า นอกจากนี้เขายังสามารถช่วยเธอให้ฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เช่นนั้นเขาจะต้องมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาแน่ แต่ว่า…อาศัยเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของศัตรูแล้วจะให้ยอมรับว่าเขาเป็นผู้สร้างโลก มันจะไม่…ง่ายไปหน่อยเหรอ?”
“ฉันเห็นด้วย เพราะแนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ถ้าโลกนี้เป็นโลกที่ใครบางกลุ่มสร้างขึ้นมา อย่างนั้นก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นมา คนเหล่านี้อยู่ที่ไหน?”
“เหลวไหลสิ้นดี โลกของพวกเรามันควรจะเกิดขึ้นมาจากการระเบิดของจักรวาลสิ!”
“ถ้านี่เป็นการวิเคราะห์ของคุณเฟยอวี่หาน ผมก็ยินดีที่จะเชื่อ เพราะทุกคนก็ได้เห็นอาการบาดเจ็บของเธอของเธอแล้ว จะบอกว่าฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ยังได้ เพียงแค่คืนเดียวก็ฟื้นตัวขึ้นมา นอกจากพระเจ้าแล้วยังมีใครที่ทำแบบนี้ได้อีก?”
“อย่าลืมสิว่าศัตรูจากการกัดกินเรียกตัวเองว่าเทวทูต! ถ้าทั้งสองคนต่างก็ถือว่าเป็นพระเจ้า อย่างนั้นใครกันแน่ที่ถือเป็นพระเจ้าตัวจริง?”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมต่างถกเถียงกัน ถึงแม้พวกเขาจะพยายามกดเสียงให้เบาลงแล้ว แต่คนที่อยู่ภายในห้องนี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา พวกเขายังคงได้ยินเสียงพูดคุยของกันและกัน หลายๆ คนภายในห้องนี้ยังคงแสดงความเคลือบแคลงสงสัยอยู่
“อันดับแรกคือทุกท่านคิดผิดไปเรื่องหนึ่ง” เฟยอวี่หานพูดแทรกทุกคนขึ้นมา “ฉันไม่ได้คิดว่าโรแลนด์เป็นผู้สร้างโลกจากต่อสู้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว หากแต่ฉันสงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว จากนั้นพอได้สู้กับเทวทูต ฉันถึงได้รับการยืนยันในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นค่อนข้างซับซ้อน จึงไม่ค่อยสะดวกที่จะอธิบายที่นี่เท่าไร ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่ทุกคนเหมือนจะมองข้ามอะไรไปอย่าง ตอนนี้ผู้สร้างอยู่ข้างฉันแล้ว ถ้าเขาสามารถเอาหลักฐานออกมายืนยันได้ เรื่องนี้ก็จะได้ข้อสรุปใช่ไหมล่ะคะ?”
โรแลนด์ถึงกับกุมขมับ เรารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเชื่อได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้คิดที่จะบอกทางสมาคมตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ต้องพยายามช่วยเฟยอวี่หานที่พยายามช่วยเปิดเผยสถานะของตัวเขาอย่างเต็มที่
“ไม่ทราบว่าทางสมาคมยังมีแกนพลังแห่งธรรมชาติเก็บเอาไว้หรือเปล่าครับ?” โรแลนด์มองไปทางผู้คุมร็อค
“แกนพลังส่วนใหญ่ถูกศัตรูขโมยไปตอนที่เมืองปริซึมถูกโจมตี แกนพลังที่เหลืออยู่ก็มีแต่แกนพลังที่ผู้ไล่ล่าได้มาในช่วงนี้” ร็อคพยักหน้า “ตอนนี้พวกมันอยู่ในการดูแลของฉัน”
“อย่างนั้นเอาแกนพลังทั้งหมดมาหน่อยครับ” เขาค่อยๆ พูด “ตอนนี้ได้เวลาปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ที่ถูกกักขังกลับคืนสู่โลกนี้แล้ว”
…………………………………………………………
ตอนที่ 1359 โน้มน้าว (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คุณร็อค!” มีคนเหมือนพยายามจะห้าม
“ไม่เป็นไร” ร็อคโบกมือ “ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ สามสิบเปอร์เซ็นต์ของแกนพลังเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแกนพลังที่โรแลนด์ยึดมาได้ ถ้าเขาคิดจะเอาแกนพลังไปจริงๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก บอกตามตรง โรแลน์จะใช่ผู้สร้างโลกหรือไม่ผมก็ยากที่จะบอกได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการสู้กับฟอลเลนอีวิลแล้ว เขาคือหนึ่งในคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด” พอพูดจบเข้าก็พยักหน้าให้เลขา “ไปเอากล่องแกนพลังมา”
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง หลายคนเคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีนักล่าที่ยอดเยี่ยมคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา ฝ่ายยุคเก่าเองก็ภูมิใจกับเรื่องนี้มาก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกเขาพอจะมีปากมีเสียงในสมาคมมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะที่ผ่านมาการกำจัดจัดฟอลเลนอีวิลแล้วยึดเอาแกนพลังมานั้นเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันของหลายฝ่าย อีกทั้งศัตรูมักจะเลือกลงมือกับผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่แข็งแกร่ง ปกติพวกมันจะแอบซ่อนตัวอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้ โอกาสที่สมาคมจะลงมือได้จึงมีน้อยมาก
แต่หลังจากที่นักล่าหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้น พวกฟอลเลนอีวีลก็พากันถูกเขากำจัดไปตัวแล้วตัวเล่าเหมือนกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ประสิทธิภาพในการไล่ล่านี้ถือได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ของสมาคมเลยก็ว่าได้
ภายในห้องประชุมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นชายวัยกลางคนคนหนึ่งจึงถูมือแล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องพระเจ้าอะไรนั่น เอาไว้พิสูจน์เรียบร้อยแล้วค่อยมาว่ากัน แต่ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณโรแลนด์ซักหน่อย”
โรแลนด์ยักไหล่เหมือนบอกให้ถามมาเลย
“เหตุการณ์ตอนที่คุณเฟยอวี่หานได้รับบาดเจ็บ ผมได้ไปถามคุณหมอที่ทำการช่วยเหลือในตอนนั้นมาแล้ว นั่นไม่ใช่บาดแผลที่พลังแห่งธรรมชาติกับการแพทย์ในยุคปัจจุบันจะรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เลย พวกเขาบอกว่าตอนนั้นคุณใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดูธรรมดาๆ แล้วก็ไม่ได้มาตรฐานบางอย่าง แต่มันกลับให้ผลที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เหมือนกับว่า…เหมือนกับว่ามันทำให้เลือดเนื้อเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น” ชายคนนั้นสูดหายใจ “บางทีคุณอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สะดวกบอกที่มาและวิธีผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ ผมเองก็ไม่อยากถามอะไรบาง เพียงแต่ว่า คุณพอจะขายอุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านั้นให้กับทางสมาคมได้หรือเปล่า? ผมรับรองว่าเรื่องราคาเราคุยกันได้!”
“ฉันก็อยากถามนายเรื่องนี้เหมือนกัน” จู่ๆ เฟยอวี่หานก็ยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา “อย่าบอกฉันนะว่าของที่นายใช้ช่วยชีวิตฉันที่อยู่ในสภาพแบบนั้นกลับมาได้ ความจริงแล้วเป็นพวกสมุนไพรหรือยาที่ประเมินค่าไม่ได้ของอีกโลกหนึ่ง ส่วนอุปกรณ์การแพทย์เหล่านั้นเป็นแค่ฉากบังหน้าเท่านั้น ถึงฉันจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ฉันไม่ได้รวยขนาดนั้นหรอกนะ”
โรแลนด์หลุดขำออกมาทันที เขาคิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่คนอื่นๆ พากันบอกว่าเข้าหายากจะพูดคำพูดแบบนี้ออกมา “สบายใจได้ อันนั้นฟรี”
“ฟู่ว…ค่อยยังชั่ว” เฟยอวี่หานโล่งใจ “แต่นายอย่าไปพูดแบบนี้กับพวกเขานะ บางครั้งของยิ่งได้มาฟรี พวกเขายิ่งไม่เห็นค่า”
โรแลนด์ทำมือบอกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นจึงหันไปมองชายกลางคนคนนั้น “ได้สิครับ ผู้ฝึกยุทธ์คือแนวหน้าในการต่อสู้กับการกัดกิน ผมย่อมต้องอยากให้ทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องการบาดเจ็บและสู้กับศัตรูอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ผมเองก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังความเป็นมาของพวกมัน ของพวกนั้นมันไม่ได้เป็นของจากโลกนี้ หากแต่มาจากอีกโลกหนึ่ง พวกมันผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยพลังเวทมนตร์ ในอีกแง่หนึ่งก็คือมันไม่ใช่อุปกรณ์การแพทย์ธรรมดาๆ”
นี่เป็นเรื่องใหญ่อย่างมากเรื่องหนึ่ง
ภายในห้องประชุมแตกตื่นขึ้นมาทันที
“อีก…โลกหนึ่ง?”
“พลังเวทมนตร์คืออะไร?”
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้เขาพูดถึงเรื่องที่จะปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ที่ถูกกักขังเอาไว้ หรือว่าพลังแห่งธรรมชาติเองก็เป็นพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง?”
“เดี๋ยวพวกคุณจะได้รู้เองครับ” เมื่อเห็นทุกคนถามขึ้นมาอย่างตกใจ โรแลนด์จึงตอบกลับไปอย่างใจเย็น “รวมไปถึงเรื่องที่ว่าผมอยู่ที่ไหนก่อนที่โลกนี้จะถือกำเนิดขึ้นมา เจตนารมณ์เดิมของพระเจ้าคืออะไร และพลังเวทมนตร์มันเกี่ยวข้องกับโลกนี้ยังไง…ทั้งหมดนี้ผมจะเล่าให้พวกคุณฟังเอง แต่ว่าก่อนหน้านั้น เดี๋ยวผมจะให้ทุกคนได้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดแล้วกัน”
พอพูดจบ เลขาของผู้คุมก็ถือกล่องนิรภัยเดินเข้ามาในห้องประชุม
หลังจากร็อคแสกนลายนิ้วมือกับม่านตา กล่องก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเผยให้เห็นโหลแก้ววางอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ
ในกล่องมีโหลแก้วอยู่ 6 ใบ แต่ละใบมีผลึกสีแดงอยู่ 1 ชิ้น
ซึ่งนั่นคือแกนพลังแห่งธรรมชาติที่แข็งตัวแล้ว
“แค่นี้พอไหม?” ร็อคถาม
“พอแล้วครับ” โรแลนด์พยักหน้า
หลังผู้คุมส่งสัญญาณ เลขาก็เอาหลอดแก้วส่งโรแลนด์
“ตรงปากหลอดแก้วแต่ละหลอดจะติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ตามเปิดมันออก สมาคมก็จะได้รับการแจ้งเตือนทันที” ร็อคอธิบาย “ถ้าคนธรรมดาสัมผัสกับแกนพลัง พวกเขาก็จะถูกช่วงชิงจิตใจไปทันที แล้วก็จะกลายเป็นฟอลเลนอีวิลชั้นต่ำที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณ ส่วนผู้ตื่นรู้นั้นจะมีความสามารถในการต้านทานแกนพลังอยู่ แต่ถ้าสัมผัสมันเป็นเวลานานก็จะถูกกัดกินได้เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นหากถูกกัดกินแล้วจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฟอลเลนอีวิลใช้ประโยชน์จากมัน สมาคมจึงต้องสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่เอาไว้หลายแห่งเพื่อเก็บมันเอาไว้ เรียกได้ว่าโบราณสถานที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เหล่านั้นล้วนแต่เคยถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับเก็บแกนพลังทั้งสิ้น เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ถึงแม้เทคโนโลยีต่างๆ จะก้าวหน้าไปมาก แต่ในเรื่องการจัดการกับแกนพลังยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งเมืองปริซึมก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใช้เก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติ”
“นับจากนี้เป็นต้นไป พวกคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกแล้วครับ” โรแลนด์พูดจบก็เปิดฝาออก จากนั้นก็เอาแกนพลังเทออกมาวางบนฝ่ามือ
ภายในห้องประชุมมีเสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังขึ้นมา
แกนพลังที่หยุดนิ่งเริ่มหมุนขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ใช่เท่านี้ สีของมันยังค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีน้ำเงินด้วย เหมือนกับว่ามันได้ถูกชำระล้างอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นแกนพลังก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปด้านบน ลำแสงพุ่งทะลุเพดานแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย บริเวณรอบๆ เหลือเพียงแค่จุดลำแสงที่กระจัดกระจาย ราวกับว่าเมื่อกี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
ทุกคนตกตะลึง
นับตั้งแต่ที่สมาคมถูกก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ถึงแม้จะย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับผู้ตื่นรู้ก็ไม่มีการเขียนบันทึกเอาไว้ว่าสามารถทำให้แกนพลังสามารถหายไปเฉยๆ ได้ ทันทีที่มีฟอลเลนอีวิลปรากฎตัวขึ้นมา แกนพลังที่ถูกกัดกินก็จะคงอยู่แบบนั้นไม่หายไปไหน แล้วก็จะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แฝงเอาไว้ด้วยความอันตรายและหายนะที่ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กัน ถ้าอยากจะทำลายแกนพลัง วิธีที่ทำแบบนั้นได้ก็คือการโยนมันเข้าไปในรอยแตกของการกัดกิน แต่การทำแบบนั้นจะทำให้รอยแตกเกิดการขยายตัวอย่างรุนแรง ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ สมาคมก็ไม่มีทางใช้วิธีนี้เด็ดขาด
แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงนี้กลับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยรับรู้มา
“คุณโรแลนด์…แกนพลังหายไปที่ไหนแล้ว?” ร็อคที่ปกติเป็นคนสุขุมทำสีหน้าตื่นเต้น
“ก็เหมือนกับที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ พวกมันได้กลับคืนสู่โลกนี้แล้ว ซึ่งนี่คือสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริง การคงอยู่และสืบทอดต่อไปของมันล้วนแต่อยู่ได้เพราะพลังเวทมนตร์” โรแลนด์หยิบเอาแกนพลังอีกอันหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ทำให้มันกลายเป็นลำแสงอีกครั้ง “จากข้อมูลที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ พลังเวทมนตร์นั้นแทบจะทำได้ทุกอย่าง มันสามารถทำให้ผู้ตื่นรู้มีพลังและร่างกายที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป แล้วก็สามารถทำให้เลือดเนื้อเกิดขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ความจริงแล้วพลังแห่งธรรมชาติก็เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังเวทมนตร์ ตอนนี้แหล่งกำเนิดของพลังที่ว่านี้ยังไม่แน่ชัด แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ นั่นคือมันเกี่ยวข้องกับพระเจ้า”
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องโลกอีกโลกหนึ่งกับการมีอยู่ของเทวทูตทรยศออกมาคร่าวๆ และเพื่อที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เขาจึงใจที่จะข้ามรายละเอียดส่วนใหญ่ไป แล้วก็อธิบายโดยเน้นไปที่สงครามแห่งโชคชะตาที่เกิดขึ้นหมุนเวียนไปไม่จบสิ้น
“ผมไม่รู้ว่าการที่ทั้งสองโลกมีการบันทึกเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตาเอาไว้มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ แต่ถ้าเราไม่หยุดวังวนอันนี้ พระเจ้าก็จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตอนนี้ พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้มันกำลังทำแบบนั้นอยู่” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าพวกเราเอาแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือว่าโลกแห่งความฝันก็จะสลายหายไป”
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น