Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1350-1351
ตอนที่ 1350 สมาชิกใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บางทีเจ้าอาจจะเดาถูก” โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา “แต่มาถึงตอนนี้แล้ว โลกแห่งความฝันถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ข้าไม่อาจ…แล้วก็ไม่ควรจะปิดมันเพราะเรื่องนี้”
โดยเฉพาะหลังจากที่บุ๊คกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ โลกแห่งความฝันก็ยิ่งทวีความสำคัญอย่างมากที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกครั้งที่เธอเข้าไปในโลกแห่งความฝัน เธอก็จะสามารถนำเอาความรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้กลับมาให้มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นในนั้นยังมีซีโร่ การ์เซีย ผู้คุมร็อก…ตอนนี้เขาไม่สามารถทำเหมือนพวกเขาเป็นภาพลวงตาได้แล้ว ถึงแม้จะไม่มีมิสต์ โรแลนด์ก็ไม่อยากจะทิ้งโลกแห่งความฝัน
มือของไนติงเกลกุมแน่น “แล้วหม่อมฉันล่ะเพคะ?”
โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย “อะไร….”
“หม่อมฉันจะทำยังไงเพคะ!” เสียงของเธอดังขึ้นกว่าเดิม หางเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ถ้าเวลามันลดลงไปแบบนี้อีก ผ่านไปอีกไม่กี่ปีพระองค์ก็คงจะ…” ไนติงเกลกัดริมฝีปากเหมือนพยายามที่จะกลืนคำพูดครึ่งหลังลงไป “อันนากับหม่อมฉันเคยตกลงกันไว้ หม่อมฉันเองก็ยินดีที่จะทำตามที่ตกลงกันเอาไว้ แต่ถ้ารอไม่ถึงวันนั้น หม่อมฉัน…หม่อมฉันจะทำยังไงล่ะเพคะ?”
โรแลนด์ยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากที่กัดแน่นจนเป็นสีขาวของเธอเบาๆ “ข้าก็เลยต้องเข้าไปในโลกแห่งความฝันเพื่อจัดการทุกอย่างนี่ไง เจ้าก็รู้ว่าตัวเลขไม่ใช่แค่จะลดเพียงอย่างเดียวซักหน่อย มันแค่บอกแนวโน้มเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนั้น ถ้าสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ได้ ผลกระทบที่ไม่ดีของโลกแห่งจิตสำนึกเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไป ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าเอาแต่หลบหนี มันอาจจะแย่ลงขึ้นมาซักวันก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอยากจะทำอะไรมันก็สายไปแล้ว”
ถ้าคำเตือนของมิสต์เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเกรงว่าความอดทนของพระเจ้าคงจะเหลืออยู่ไม่เท่าไร ในเวลาแบบนี้การตัดสินใจฝากความหวังเอาไว้ที่เวลาอาจจะทำให้เกิดหายนะได้ การปรากฏตัวถี่ึขึ้นของฟอลเลนอีวิลและเทวทูตเหมือนจะกำลังยืนยันในจุดนี้อยู่
เขาจำเป็นต้องเสี่ยง
“แต่ว่า….”
“ข้ารับรองว่าไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน” โรแลนด์พูดอย่างจริงจัง
ไนติงเกลจ้องเขาอยู่นาน “ไม่ว่ายังไง
“ไม่ว่ายังไง” เขาพยักหน้า
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างกายของเธอค่อยๆ หายไปในหมอกมายา โรแลนด์เก็บหินเรืองแสงเข้าไปในลิ้นชัก ความมืดเข้าปกคลุมทุกซอกทุกมุมภายในห้องอย่างรวดเร็ว แสงไฟกลับมาสะท้อนอยู่บนกระจกเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่เขารู้ว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง
บนมือข้างหน้าที่วางอยู่ข้างตัวยังคงมีสัมผัสและความอบอุ่นอยู่
จากนั้นเขาจึงหลับไป
…..
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ใครน่ะ? ทำไมขยันส่งข้อความมาขนาดนี้?” เฟยอวี่หายจัดการกระเป๋าใบสุดท้ายอยู่หน้ากระจก “คนในสมาคมเหรอ?”
“จะว่างั้นก็ได้…” วัลคีรีย์กดเปิดกล่องข้อความอย่างหงุดหงิด แล้วก็กัดฟันกดปิดมันลงไป ถ้าไม่เป็นเพราะควบคุมแรงที่มือเอาไว้ เกรงว่ามือถือที่อยู่ในมือเธอคงจะแตกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
“ใช้ได้เลยนะเนี่ย”
“อะไรใช้ได้?”
“สายตาคนๆ นั้นไง” เฟยอวี่หานถอดถุงมือยิ้มๆ “เธอไม่สังเกตเหรอ สายตาที่มองเธอเวลาอยู่ในสมาคมไม่ได้น้อยไปกว่าฉันเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็ได้แต่มองเท่านั้น คนที่กล้าส่งข้อความมาหาเธอได้นี่น่าชมเชยทีเดียว เอาไว้มีเวลาพามาแนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ”
“เรื่องนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรอก” วัลคีรีย์ตอบอย่างหงุดหงิด หลังรักษาตัวออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ต้องมาอยู่ตึกเดียวกับเฟยอวี่หานเพราะเรื่องแบ่งกลุ่ม ห้องนอนของทั้งสองคนคั่นกลางเอาไว้ด้วยห้องนั่งเล่น ดังนั้นทั้งสองคนจึงรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องนี้แล้ว วัลคีรีย์ไม่ได้มีความเห็นใดๆ ลึกๆ แล้วเธอเหมือนจะรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ เพราะการที่อยู่ในโลกแปลกหน้า ยิ่งรู้จักคนเยอะก็อาจจะยิ่งเปิดเผยตัวตนออกไปได้ง่าย ซึ่งเฟยอวี่หานที่คอยดูแลเธออยู่ตลอดตั้งแต่ตอนที่มีกิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยก็ถือว่าช่วยเธอเอาไว้มาก ดังนั้นความหงุดหงิดในครั้งนี้ของวัลคีรีย์จึงไม่ได้เป็นเพราะเฟยอวี่หาน
ที่เธอหงุดหงิดก็คือคนที่ส่งข้อความมาคนนั้น
เจ้ากล่องเล็กๆ ที่เรียกว่ามือถือนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอดอย่างมาก เธอสามารถหาความรู้ต่างๆ ที่เธออยากรู้ได้จากมัน อย่างเช่นหนังสือกระดาษพวกนั้น มันจึงถือได้ว่าเป็นสารานุกรมที่แท้จริง หลังจากที่เฟยอวี่หานสอนเธอใช้ ‘เครื่องมือสื่อสาร’ อันนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถวางโทรศัพท์ลงได้อีก
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน อย่างเช่นหลังจากที่คนอื่นรู้เบอร์ของเธอแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันก็จะน่ารำคาญอย่างน่าประหลาด สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกหงุดหงิดก็คือ เธอไม่สามารถบล็อกอีกฝ่ายได้
“เอาเป็นว่า เรื่องนี้เธออย่ายุ่งก็แล้วกัน” วัลคีรีย์นวดขมับ การสูญเสียหินเวทมนตร์ดวงตาที่สามไปทำให้เธอรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป “นี่เธอจะไปแล้วเหรอ?”
“ใช่ ช่วงนี้สมาคมรับเอาสมาชิกคนใหม่มาคนหนึ่ง ท่านผู้คุมให้ฉันไปดูเจอเธอหน่อย”
“สมาชิกใหม่?” วัลคีรีย์เลิกคิ้วขึ้นมา เธอย่อมต้องรู้ว่าสถานะของเฟยอวี่หานในสมาคมผู้มฝึกยุทธ์นั้นไม่ใช่ธรรมดา การไปดูแลสมาชิกใหม่แบบนี้มันไม่จำเป็นต้องให้เธอไปออกหน้าเลย
“ใช่ เพราะหลังจากนี้ฉันจะเป็นอาจารย์ของเธอ” อีกฝ่ายยิ้มๆ จากนั้นจึงโบกมือแล้วเดินออกจากประตูไป
อาจารย์งั้นเหรอ…
ภายในหัวของวัลคีรีย์พลันมีภาพของทรานฟอร์มเมอร์ลอยขึ้นมา
แต่อารมณ์ที่ผุดขึ้นมานี้ก็ถูกเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ตัดขาดไปอย่างรวดเร็ว
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
เจ้านี่!
เธอกำหมัดแน่น หลังอดทนอยู่นาน สุดท้ายเธอจึงกดเปิดกล่องข้อความขึ้นมา
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ กองทัพของเจ้าเจอกองทัพของข้าโจมตีกลับที่ทางทิศใต้ของวูล์ฟฮาร์ท แนวหน้าของพวกมันแทบจะแตกพ่ายแล้ว ปีศาจที่ตายมีอยู่เกือบแสน โครงกระดูกยักษ์ที่สามารถสร้างหมอกแดงได้ก็เสียหายไปหลายตัว ส่วนสกายลอร์ดก็ไม่่รู้หายไปไหน หรือว่ามันจะตกใจกลัวปืนใหญ่จนหนีไปแล้ว? แล้วราชาพวกนั้นหายไปหมดล่ะ? ถ้ายังไม่มาอีกล่ะก็ กองทัพปีศาจพวกนี้จะต้องตายอยู่ในวูล์ฟฮาร์ททั้งหมดนะ’
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ พวกข้าเห็นเสาหินสีดำที่อยู่บนสันหลังของทวีปแล้ว จะโจมตีมันเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เจ้าคิดว่าถ้าเอาระเบิดเพลิงโยนเข้าไปในหลุมนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น? ถึงแม้ระยะทางมันจะค่อนข้างไกล แต่เครื่องบินที่สามารถบินระยะทางไกลเองก็กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาอยู่ ถ้าไม่สามารถจบสงครามแห่งโชคชะตาได้โดยเร็ว ภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันก็จะเกิดขึ้นซ้ำ จนกระทั้งแบล็คสโตนกลายเป็นภูเขาไฟที่ไม่มีวันดับ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในจุดนี้นะ’
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง มาอยู่ในโลกแห่งความฝันนานขนาดนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าอาวุธของมนุษย์มันสามารถพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน? และอาวุธที่อยู่เหนืออาวุธทั้งมวล แสงแห่งอาทิตย์ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางทฤษฎีเมื่อไม่นานมานี้ อีกแค่เพียงก้าวเดียวมันก็จะเสร็จสมบูรณ์ แล้วเจ้ายังจะคิดต่อไปอีกเหรอ?’
ทุกวันเธอจะได้รับข้อความแบบนี้หลายข้อความ ถ้าไม่ใช่เรื่องสถานการณ์การรบของแนวหน้าก็เป็นเรื่องผลการวิจัยล่าสุดของมนุษย์ ก่อนหน้านี้วัลคีรีย์นิ่งมาโดยตลอด เธอไม่ปฏิเสธที่จะรับข้อความแล้วก็ไม่ตอบข้อความ แต่ครั้งนี้หลังจากเธอจ้องมองดูหน้าจอมือถืออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเธอก็ค่อยๆ กดปุ่มตอบข้อความ
‘เจ้าอยู่ไหน? พวกเรามาคุยกันดีกว่า’
…..
‘ข้อความส่งกลับ : เจ้าอยู่ไหน? พวกเรามาคุยกันดีกว่า’
ข้อความแบบเดียวกันก็มาปรากฏอยู่บนมือถือของเฟยอวี่หาน
เยี่ยมเลย ดูเหมือนวันนี้จะได้ข้อมูลใหม่ๆ ของอีกโลกหนึ่งไม่น้อยนะเนี่ย เธอปิดหน้าจอมือถือลงอย่างมีความสุข ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของผู้คุม
“เข้ามาสิ” ด้านในมีเสียงผู้คุมดังขึ้นมา
“ค่ะ”
พริบตาที่เข้าไปในห้อง เธอก็มองเห็นสาวน้อยที่นั่งก้มหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นอยู่ตรงโต๊ะชา อีกฝ่ายมีผมสีขาวที่สลวย ตัวไม่สูงนัก คลื่นพลังแห่งธรรมชาติก็ไม่ชัดเจน ถือเป็นผู้ตื่นรู้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
หลังกวาดตามองดูแวบหนึ่ง เฟยอวี่หานก็กลับมาทำตัวสุขุมเหมือนปกติ ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้คุม “ท่านผู้คุม”
“อืม เธอน่าจะรู้แล้วว่าฉันเรียกเธอมาทำไม” ผู้คุมร็อคค่อยๆ จิบชา “ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันอยากจะถามเธอหน่อยว่าทำไมเธอถึงจะรับเขาเป็นลูกศิษย์? เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอยื่นขอเรื่องนี้กับทางสมาคม”
“น่าจะเป็นเพราะว่า…อยากหาอะไรทำมั้งคะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ร็อคงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆ….นี่มันสไตล์การทำงานของเธอเลย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองปริซึมที่กำลังต้องการคน” เขามองไปทางสาวน้อยที่อยู่อีกด้าน “ฉันขอแนะนำหน่อย คนนี้คือเฟยอวี่หาน เป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่เป็นที่ยอมรับของสมาคม ถึงแม้จะดูเข้าหาได้ยาก แต่เธอก็เป็นคนที่จริงจังและมีความรับผิดชอบคนหนึ่ง การที่ได้เธอเป็นอาจารย์ของหนู มันจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของหนูอย่างมาก”
“ส่วนหนูคนนี้คือผู้ตื่นรู้คนใหม่ที่พักอยู่ที่้บ้านโรแลนด์”
“ซีโร่” เฟยอวี่หานยิ้มพร้อมยื่นมือไปหาอีกฝ่าย “ยินดีต้อนรับสู่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์นะ”
………………………………………………………..
ตอนที่ 1351 แหลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
สถานที่นัดพบยังคงเหมือนครั้งที่แล้ว
แม้แต่ที่นั่งก็ยังเหมือนเดิม
วัลคีรีย์เดินเข้าไปในร้านอาหาร ก่อนจะเห็นโรแลนด์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างทันที ความรุ่งโรจน์ของมนุษย์เหมือนจะขยายตัวออกมาจากใต้เท้าของเขา ดูแล้วคล้ายเงาที่ทอดยาวออกมา ความรู้สึกตรงนี้ทำให้เขากลายเป็นเหมือนเทพที่เธอไม่อาจย่างกรายเข้าไปยุ่งได้
เธอส่ายหัวแล้วโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป
“ข้ามาแล้ว”
เธอนั่งลงตรงหน้าโรแลนด์
“อยากกินอะไรไหม?” หลังเห็นเธอส่ายหัว โรแลนด์จึงเรียกพนักงานเข้ามา “อย่างนั้นก็เอาทุกอย่างมาอย่างละที่แล้วกัน เดี๋ยวพวกเรากินไปคุยไปก็ได้”
กาแฟกับของหวานถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว วัลคีรีย์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ เธอย่อมต้องหยิบเอาเค้กจากคาร์การ์ดเข้าไปในปาก ก่อนจะค่อยๆ ละเลียดรสชาติอันหอมหวานและอ่อนนุ่มของมัน เธอรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่การพูดคุยกับศัตรู หากแต่เป็นการจิบชายามบ่ายมากกว่า
“เจ้าดูต่างจากก่อนหน้านี้นะ” โรแลนด์จ้องมองดูเธอ
“ข้าคิดมาแล้ว การกินไปคุยไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร” วัลคีรีย์ค่อยๆ พูด การเจอหน้าครั้งแรกเธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เรียกได้ว่าเธอแทบจะถูกอีกฝ่ายจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เธอจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เธอจินตนาการใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของอีกฝ่ายในตอนที่ส่งข้อความเหล่านั้นมาให้เธอออก แต่ไม่มีใครที่จะได้ใจไปตลอด ด้วยเหตุนี้เธอจึงอดทนมานานมากพอแล้ว
“เอาล่ะ” โรแลนด์มุ่ยปาก “ที่เจ้าตอบข้าครั้งนี้เพราะเจ้าคิดได้แล้วใช่ไหม?”
วัลคีรีย์พยักหน้า
“อย่างนั้นคำตอบคือ?”
“ข้าปฏิเสธ”
จากนั้นเธอก็มองเห็นความงุนงงและความไม่เข้าใจบนใบหน้าโรแลนด์ น่าจะเป็นเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะปฏิเสธออกมาตรงๆ แบบนี้ แม้แต่สีหน้าที่มักจะเยือกเย็นก็ยังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจับตัวแข็งขึ้นมา ในมือของโรแลนด์ยังคงถือแก้วเอาไว้ หลังผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงขมวดคิ้วพร้อมจิบเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้ว
“…เหตุผลคือ?”
“การเลือกแบบไม่ได้อะไรเลยหรือแบบห้าสิบๆ ฟังดูแล้วเหมือนจะมีเหตุผล เมื่อเทียบกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์แล้ว ทัพหน้ากองหนึ่งนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย ถ้าอยากจะหยุดการล่มสลายของโลก มันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ บอกตามตรง ข้าเกือบจะถูกเจ้ากล่อมแล้วเชียว” วัลคีรีย์หยิบขนมเค้กใส่ปากอีกครั้ง “แต่น่าเสียดาย…ทุกอย่างมันต้องตั้งอยู่พื้นฐานของความจริง มันถึงจะมีความหมาย”
“แต่ที่ข้าพูดมันคือเรื่องจริง!” โรแลนด์พูดเสียงคร่ำเคร่ง นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง
“แต่ข้ากลับไม่สามารถพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้”
“….” จู่ๆ โรแลนด์ก็เงียบไป
“เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ? ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ ข่าวคราวจากโลกภายนอกทุกอย่างล้วนแต่ส่งมาจากเจ้า ไม่ว่าทัพหน้าที่อยู่ในวูล์ฟฮาร์ทจะพ่ายแพ้หรือว่าเรื่องแสงแห่งอาทิตย์นั่น ข้าก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย นั่นยิ่งทำให้ข้าไม่สามารถทำการตัดสินใจอะไรออกมาโดยฟังจากข้อมูลพวกมันได้”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นอีกหน่อย มาโลกแห่งความฝันนานขนาดนี้แล้ว เจ้าน่าจะรู้ถึงศักยภาพในการทำสงครามของมนุษย์จากหนังสือประวัติศาสตร์ที่เจ้าอ่านแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ศักยภาพมันไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง” วัลคีรีย์พูดโต้กลับไป “ถูกต้อง พลังที่มนุษย์แสดงออกมาในตอนนี้มันแข็งแกร่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นอุรูคไม่มีทางมองพวกเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันแน่! แต่นั่นก็เหมือนกัน ตอนนี้เผ่าพันธุ์ข้าต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่ไปรับมืออาณาจักรซีสกายเอาไว้ ถ้าหากมีใครคิดขึ้นมาได้ว่าเราไม่อาจทำศึกสองด้านพร้อมกันและจำเป็นต้องทิ้งฝั่งใดฝั่งหนึ่งก่อน มนุษย์ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือการบุกอย่างเต็มกำลังของพวกข้าได้!”
เธอชะงักไปเล็กน้อย “สรุปแล้วก็คือ การยกระดับที่พวกเจ้าได้รับมานั้นไม่ใช่การยกระดับของอารยธรรม หลังจากนี้อีกหลายร้อยปีมันอาจจะให้ผลที่ไม่ต่างจากเศษชิ้นส่วนสืบทอด แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันจะกลายเป็นแบบไหนข้าเองก็ไม่อาจมั่นใจได้เหมือนกัน ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งข่าวพวกนั้นมาให้ข้าแล้ว”
โรแลนด์เหมือนจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
วัลคีรีย์มองไปนอกหน้าต่างพร้อมสัมผัสกับความรุ่งเรืองของเมืองมนุษย์ ในที่สุดตอนนี้ความสุขุมที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก็หายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือสีหน้าที่ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่เธอไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ภัยคุกคามจากพระเจ้ายังคงมีอยู่ คำเตือนของทรานฟอร์มเมอร์ยังคงไม่ถูกขจัดออกไป ถ้าหากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาคือความจริง อย่างนั้นการที่เธอปฏิเสธมันก็คือคำตอบที่ไร้ซึ่งความหวังอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าการจะให้เธอหักหลังเผ่าพันธุ์จากคำพูดของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว มันก็ดูเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นไป เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอเลือกที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย
ถึงแม้การตัดสินใจนี้มันจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมาก
วัลคีรีย์หยิบเอาเค้กก้อนสุดท้ายใส่เข้าไปในปาก ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ขึ้นมาว่า “ขอบคุณเจ้ามากนะ ต่อไปข้าคงจะคิดถึงรสชาตินี้แน่”
“ถ้าเจ้าอยากกิน ครั้งหน้าเราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้” โรแลนด์ส่ายหัว “ไม่ต้องพูดเหมือนว่านี่จะเป็นอาหารเย็นมือสุดท้ายหรอก”
“…” วัลคีรีย์ตกตะลึง เธอนึกภาพปฏิกิริยาของอีกฝ่ายหลังจากที่ผิดหวังเอาไว้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าโกรธแค้น ยิ้มเย้ยหยัน หรือว่าพูดเตือนด้วยเสียงดุดัน แต่มันกลับไม่มีการตอบสนองแบบนี้อยู่ในจินตนาการของเธอ ในเมื่อเธอปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้ว อย่างนั้นต่อให้โรแลนด์จะหาโอกาสลงมือกำจัดเธอมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยังไงเธอก็เป็นหนึ่งในราชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญของมนุษย์ในตอนนี้
“ข้ากลับก่อนล่ะ” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตูร้านอาหาร “หลังจากนี้ข้ายังจะส่งข่าวพวกนั้นมาอยู่ ต่อให้เจ้าอยากจะหลบหนีมันก็ตาม เพราะยังไงนั่นมันก็คือความจริง
เจ้านี่ มันไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลยเหรอ!
วัลคีรีย์ถามไล่กลับไป “หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำยังไง?”
“ทำยังไง?” เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “ความคิดข้าไม่เคยเปลี่ยน เปิดเผยความลับของแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ทำให้สงครามแห่งโชคชะตามันจบสิ้น ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจแบบไหนมันก็ยังเป็นเหมือนเดิม”
นี่เขาแกล้งพูดออกมาหรือว่ามันเป็นความคิดของเขาจริงๆ?
ภายในหัวของวัลคีรีย์มีภาพตอนที่เจอกันครั้งแรกผุดขึ้นมา คำถามสุดท้ายที่โรแลนด์ถามเธอในตอนนั้นคือ
‘เจ้าคิดว่าสิ่งที่ทรานฟอร์มเมอร์ทำเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมันผิดหรือไม่?’
…..
“เธอคิดว่าสมาคมเป็นยังไงบ้าง?”
เฟยอวี่หานจับพวงมาลัยพร้อมเอ่ยถามขึ้นมา หลังรถเลี้ยวเข้าไปในถนนวงแหวน มันก็กลับขึ้นไปบนสะพานทางด่วน รถที่ขับอยู่บนสะพานนี้มีไม่มาก ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง แม่น้ำที่ส่องประกายระยิบระยับกับตึกสูงที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มฝั่งแม่น้ำทอดยาวไปทางเส้นขอบฟ้า ราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด
สะพานแห่งนี้คือเส้นแบ่งระหว่างเขตเมืองกับเขตชานเมือง จากศูนย์พักพื้นกลับไปยังเขตถงจึจำเป็นต้องขับผ่านมัน
“อื้อ…ไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดเอาไว้เท่าไรค่ะ” เมื่อเทียบกับภาพทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ซีโร่เหมือนจะสนใจกับการตกแต่งภายในรถมากกว่า ประเดี๋ยวเธอก็ไปลูบหนังนุ่มๆ ที่อยู่ตรงประตู ประเดี๋ยวเธอก็ไปลูบลำโพงที่อยู่ตรงคอนโซลหน้ารถ ดวงตาที่เป็นเหมือนอัญมณีสีแดงของเธอกรอกไปกรอกมาไม่หยุดนับตั้งแต่ที่ขึ้นรถมา
“โอ้? อย่างนั้นสมาคมในความคิดเธอมันเป็นยังไงล่ะ?”
“ก็…ดูลึบลับกว่านี้ ไม่ใช่มาตั้งอยู่ข้างถนนเหมือนโรงแรมแบบนี้” ซีโร่พูดงึมงำ
“เมื่อก่อนเมืองปริซึมก็เคยเป็นแบบนั้นแหละ แต่ช่วงนี้มันเจอปัญหานิดหน่อย พวกเราก็เลยต้องย้ายมาอยู่ที่นั่นชั่วคราว” เฟยอวี่หานยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กน้อย เธอย่อมไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเย็นชาเพื่อรักษาระยะห่าง “นอกจากนี้ที่ฉันถามก็ไม่ได้หมายถึงอันนี้ ฉันหมายถึงความรู้สึกของเธอในตอนที่เดินอยู่ในศูนย์ต่างหาก — เพราะว่าถ้าจะเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังแห่งธรรมชาติหลังจากนี้ เธอก็ต้องพักอยู่ที่ศูนย์พักฟื้นอีกนาน ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกอาจารย์ได้เลย”
สาวน้อยไม่ได้ตอบออกมาทันที หากแต่หันหน้ากลับไปแล้วถามกลับว่า “คุณอาโรแลนด์ก็ทำงานอยู่ที่นั่นเหรอค่ะ?”
“ใช่ แต่ว่าเขาคงไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกวันหรอกนะ”
“หนูรู้ค่ะ” ซีโร่มุ่ยปาก “เขามีพี่สาวน้อยสาวหลายคนต้องดูแล แล้วก็ต้องทำงานจนดึกๆ ดื่นๆ อยู่บ่อยๆ”
จู่ๆ รถก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าทันที
เฟยอวี่หานถอนเท้าออกจากคันเร่ง ก่อนจะแกล้งทำเป็นกระแอมออกมาเล็กน้อย — นี่เป็นข้อมูลที่ได้มาอย่างกะทันหันจริงๆ! ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยเหล่านั้นมาจากอีกโลกหนึ่ง แต่เธอกลับมองข้ามปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งไป นั่นคือพวกเธอเรียกเขาว่าฝ่าบาท!”
ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นราชา อย่างนั้นการที่มีภรรยาหลายคนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร เฟยอวี่หานถึงขนาดตั้งสมมติฐานต่อไปว่าเป็นเพราะพวกเธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรแลนด์ซึ่งเป็นผู้สร้างโลกหรือเปล่า พวกเธอจึงสามารถเข้ามาในโลกนี้ได้?
การที่รับเอาซีโร่ไว้เป็นศิษย์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ เมื่อมีวัลคีรีย์กับซีโร่ เธอเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะต้องรู้ความลับของโลกนั้นอย่างแน่นอน
เดี๋ยวๆ…ถ้าคิดแบบนี้ล่ะก็ อย่างนั้นถ้าตัวเองอยากจะเข้าไปดู ‘โลกแห่งความจริง’ ตัวเองก็ต้อง…
“อาจารย์ อาจารย์…อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
หลังซีโร่เรียกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะดึงเธอออกมาจากภวังค์ได้ “เปล่า ไม่เป็นไร เธอพูดต่อเลย”
“ดังนั้นมีแต่ต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หนูถึงจะได้เจอคุณอาบ่อยขึ้น” ซีโร่พูดสรุป “อย่างนั้นไม่ว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะเป็นแบบไหน หนูก็จะอยู่!”
เฟยอวี่หานหุบยิ้มทันที โอเค ช่างเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายจริงๆ
เรียบง่าย แต่มุ่งมั่น
เดิมเธอคิดว่าสาวน้อยจะต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวกับการย้ายออกมา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวเองที่คิดมากไป
อีกฝ่ายโตกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้เสียอีก
“วางใจได้ กว่าจะทำเรื่องย้ายเข้ามาเรียนกับเข้าพักก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอาทิตย์หนึ่ง ยิ่งปกว่านั้นในสมาคมก็มีวันหยุดด้วย ไม่ต้องคิดว่าหนทางการเป็นผู้ฝึกยุทธ์มันจะลำบากขนาดนั้น เดี๋ยวพอกลับไปครั้งนี้ก็ไปบอกลาเพื่อนที่โรงเรียนนะ…” พอพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เฟยอวี่หานก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินิดหน่อย
จู่ๆ รถขนสินค้าคันหนึ่งที่อยู่ในถนนฝั่งตรงข้ามก็หักมาทางซ้าย 2 เลน ก่อนจะชนเข้ากับรั้วกั้นถนนแล้วพลิกข้ามมา
เธอรีบเหยียบเบรกพร้อมกับหักพวงมาลัยไปทางขวาทันที
แต่หลังจากนั้นตู้สินค้าขนาดใหญ่ก็กลิ้งทับรั้วกั้นถนนเหมือนกับกำแพงยักษ์ที่กวาดเข้ามา ถนนถูกปิดตาย รถข้างหน้าที่ถูกชนฉีกเป็นชิ้นๆ เหมือนกับกระดาษ เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตเลย
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แทบจะไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัวเลย….
จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา รถที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ปะทะกับรถชนสินค้าอย่างแรง!
เนื่องจากหักพวงมาลัยไปทางขวาอย่างกะทันหัน ตัวรถจึงแทบจะกระเด็นปลิวออกไป แรงปะทะอย่างรุนแรงฉีกโครงรถออก ตำแหน่งห้องคนขับยุบเข้าไปทั้งแถบ
…………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น