Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1348-1349

 ตอนที่ 1348 เป็นลม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลองบ้างได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เคโม ชูอีลรีบถามขึ้นมา


“ได้สิ” โรแลนด์ตอบๆ ยิ้มๆ “ครั้งนี้เจ้าเป็นคนส่งข้อความ”


หัวหน้านักเล่นแร่แปรธาตุครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเขียนสัญลักษณ์สั้นๆ ยาวๆ เป็นแถว จำนวนรวมแล้วมีอยู่ยี่สิบกว่าตัว ถ้าบอกว่าขีดสามขีดกับจุดสองจุดมันอาจจะมีโอกาสเดาถูกอยู่ อย่างนั้นข้อความตรงนี้ก็แทบจะตัดปัจจัยเรื่องความโชคดีที่จะเดาถูกไปได้เลย


คนที่รับข้อความยังคงเป็นบารอฟ


เห็นได้ชัดว่าเขายังอยากจะสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดานี้อยู่ เขารีบหยิบเอาผ้าปิดตามาปิดตาตัวเองโดยไม่รอให้โรแลนด์บอก


ประกายไฟแลบขึ้นมาตรงช่องสปาร์คอีกครั้ง


ครั้งนี้ บารอฟใช้เวลาฟังนานกว่าปกติ


ในตอนที่เขาเขียนคำตอบลงบนกระดาษให้ทุกคนดู ในกลุ่มคนพลันมีเสียงปรบมือระเบิดขึ้นมา


ถึงแม้ในสัญลักษณ์ยี่สิบกว่าตัวจะเขียนผิดอยู่สองตำแหน่ง แต่จำนวนกลับไม่ขาดไปแม้แต่ตัวเดียว เรียกได้ว่าเหมือนกับข้อความที่เคโมเขียนขึ้นมาทุกอย่าง


นี่ไม่มีทางจะเดาขึ้นมาได้แน่


นี่ก็หมายความว่าข้อความได้วิ่งไปกลับระหว่างเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับเมืองซิลเวอร์ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที มีแค่แบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเคโมส่งข้อความอะไรออกไป


“ฝ่าบาท หอเหล็กมันส่งข้อความออกไปได้ไกลเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ?” บารอฟถามอย่างตื่นเต้น


“ขอเพียงเพิ่มปริมาณกระแสไฟฟ้า ตามหลักแล้วสามารถส่งออกไปได้ไกลหลายพันกิโลเมตร”


“อย่างนั้นมันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่อาณาจักรใหญ่หรอกเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนพากันกระซิบกระซาบขึ้นมา


“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ นี่มันรวมที่ราบลุ่มบริบูรณ์เข้าไปด้วยแล้ว”


“เรื่องที่เกิดขึ้นในอีเทอร์นอลวินเทอร์ เกรย์คาสเซิลสามารถรู้ได้ในวินาทีต่อมา นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”


“นั่นสิ นี่ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าไม่มีทางเชื่อแน่ว่านี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมา…”


แต่บารอฟกำลังครุ่นคิดไปไกลกว่านั้น


“ฝ่าบาท ถ้าพวกเรากำหนดความหมายให้กับสัญลักษณ์เหล่านี้ บางทีพวกเราอาจจะส่งข้อความที่มันซับซ้อนมากกว่านี้ได้ อย่างเช่นคำสั่งหรือพระราชโองการ…”


แค่เห็นเทคโนโลยีอันใหม่ก็สามารถคิดได้ทันทีว่าจะใช้อย่างไร ต้องยอมรับเลยว่าความรู้และความคิดของหัวหน้าสำนักบริหารนั้นกว้างไกลกว่าในตอนแรกมาก เห็นได้ชัดว่าในหลายปีมานี้ เขาเองก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่น้อยเพื่อปรับตัวเข้ากับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของอาณาจักรใหม่ โรแลนด์ยิ้มชมเชยให้เขา “เกือบถูกแล้ว แต่มันทำได้ดีกว่านั้น”


“พระองค์หมายความว่า…”


“เราจะไม่ไปกำหนดความหมายให้กับสัญลักษณ์ หากแต่จะกำหนดสัญลักษณ์ให้กับตัวอักษรที่ใช้อยู่ในตอนนี้แทน แบบนี้่ต่อให้ไม่ได้ยินเสียง เราก็ยังสื่อสารกันได้”


บารอฟครุ่นคิดเล็กน้อย สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา


เขาเองก็รู้ถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของ ‘ตัวอักษรใหม่’ นี้แล้ว


เนื่องจากตัวหนังสือในโลกนี้ใช้ระบบการออกเสียงและการสื่อความหมายที่ไม่เหมือนกับโลกก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถเอารหัสโทรเลขของอีกโลกหนึ่งมาใช้ร่วมกันได้ แต่ภายใต้หลักการที่ยังเหมือนกัน ขอเพียงยอมเสียเวลานิดหน่อยก็จะสามารถสร้างรหัสโทรเลขที่เหมาะสมขึ้นมาได้ เมื่อมีตารางรหัส ไม่ว่าจะเป็นข้อความแบบไหนก็จะสามารถแปลงให้เป็นสัญญาณโทรเลขและส่งไปทั่วทั้งทวีปได้ในพริบตา


ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะเป็นผู้สร้างรหัสโทรเลขนี้ โรแลนด์มีคิดเอาไว้ในใจแล้ว


ในฐานะที่เป็นผู้บันทึกข้อมูลของทั้งสองโลก ไม่มีใครที่จะเหมาะกับหน้าที่นี้เท่ากับบุ๊คอีกแล้ว


“ฝ่าบาท…” เชนจ์ ดาร์ลีหัวหน้ากองเกษตรรีบยกมือขึ้นมา “กระหม่อมขอลองเครื่อง…โทรเลขนี้ได้หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”


“ได้สิ” โรแลนด์มองดูทุกคน “พวกเจ้าถ้าใครอยากลองก็มาลองดูได้เลย”


เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะกรูกันมาล้อมโต๊ะโทรเลขไว้ทันที


เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อันนาจึงเดินมาข้างๆ โรแลนด์ ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ


โรแลนด์ย่อมต้องรู้ว่ารอยยิ้มของเธอมันหมายความว่าอะไร เครื่องส่งวิทยุโทรเลขแบบสปาร์คกับเครื่องตรวจจับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าแบบแร่นั้นเป็นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีต่ำที่สุดในแผนการการสื่อสารแบบไร้สาย เครื่องส่งวิทยุโทรเลขแบบสปาร์คนั้นสามารถส่งข้อความข้ามน้ำข้ามทะเลไปได้เต็มช่องสัญญาณความถี่ ส่วนเครื่องตรวจจับสัญญาณก็รับความถี่เอาไว้ได้ทั้งหมด ทั้งสองอย่างดูเหมือนเกิดมาคู่กัน แต่มันกลับทำให้ในพื้นที่ๆ หนึ่งสามารถส่งข้อความได้หนึ่งกลุ่มในเวลาเดียวกันเท่านั้น ความจริงแล้วหลังจากที่เครื่องส่งวิทยุโทรเลขแบบสปาร์คถูกเครื่องส่งวิทยุโทรเลขแบบหลอกสุญญากาศเข้ามาแทนที่ มันก็ยังใช้งานในพื้นที่ที่มีการรบกวนไปได้อีกระยะหนึ่งอันเนื่องมาจากลักษณะพิเศษของมัน ซึ่งผลการใช้งานก็ถือว่าค่อนข้างทีเดียว


อีกทั้งระบบนี้จำเป็นต้องมีสายอากาศขนาดใหญ่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่มากระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะลดขนาดและน้ำหนักของมันได้ ทำให้มันติดตั้งในเมืองสำคัญๆ ได้แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น


เมื่อไรที่เครื่องส่งสัญญาณวิทยุแบบหลอดสุญญากาศสร้างเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็จะสามารถส่งเสียงสัญญาณออกไปโดยไม่รบกวนกระจายเสียงและการรับสัญญาณวิทยุ ซึ่งเมื่อนั้นก็จะทำให้การสื่อสารแบบไร้สายก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้เป็นครั้งแรก


ไม่รู้ว่าตอนนั้น พวกเขายังจะแสดงสีหน้าประหลาดใจแบบนี้อยู่หรือเปล่า


เขารู้ว่าอันนาก็กำลังรอคอยสิ่งนี้อยู่เหมือนกัน


ต้องยอมรับเลยว่าเขากับอีกฝ่ายมีความชื่นชอบที่ใกล้เคียงกันอย่างมากทีเดียว


ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกอยู่กับการลองพูดคุยกับทางเมืองซิลเวอร์ๆ จู่ๆ โรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงอาการวิงเวียนอย่างรุนแรง


มันมาอย่างรวดเร็วจนทำให้เค้าโครงสิ่งของต่างๆ ภายในห้องเกิดภาพซ้อนขึ้นมา เขารีบหลับตาเพื่อสะกดอาการวิงเวียนนั้นไม่ให้ลุกลสใ แต่ร่างกายเขากลับเหมือนสูญเสียศูนย์ถ่วงไป


อันนาสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาเป็นคนแรก เธอยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ “โรแลนด์ พระองค์ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”


ช้าไม่เป็นไร…เดิมโรแลนด์อยากจะตอบเช่นนี้ แต่สิ่งที่ออกมาในตอนที่เขาอ้าปากกลับกลายเป็นการไออย่างรุนแรง เขาเอามือปิดปาก กลิ่นคาวเลือดกระจายเต็มคอของเขา


บ้าเอ้ย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?


หนังตาของเขาเริ่มหนักอย่างรวดเร็วเหมือนกับมีอะไรมาถ่วงเอาไว้ ฝ่ามือของเขาที่กางออกมีจุดแดงแต้มเป็นจุดๆ ถึงแม้จะพยายามฝืนบอกให้ตัวเองตื่นเอาไว้ แต่สติกำลังออกห่างจากเขาไปอย่างรวดเร็ว อันนาเหมือนกำลังตะโกนอะไรใส่เขา แต่นอกจากเสียงที่ฟังดูสับสนแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย


ร่างกายเอนล้มไปข้างหลังอย่างไม่อาจควบคุมได้ สิ่งสุดท้ายที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคือภาพไนติงเกลและหมอกมายาที่กางออกอย่างรวดเร็ว


….


ในตอนที่โรแลนด์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองได้กลับมายังห้องนอนในปราสาทแล้ว


“ฝ่าบาทตื่นแล้ว!”


เขายังไม่ทันจะลุกขึ้นมา ข้างกายเขาก็มีเสียงเรียกเของบุ๊คดังขึ้นมา


จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบ อันนามาปรากฏตัวอยู่ตรงหัวเตียงในพริบตา เห็นได้ชัดว่าเธอคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้องตลอดเวลา


“เป็นยังไงบ้างเพคะ?” เธอโน้มตัวลงมาจับหน้าผากเขา ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ว่า “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเพคะ?”


“อืม..” โรแลนด์สังเกตดูตัวเองอยู่ครู่ “ไม่มีนะ ข้ารู้สึกสบายมากเลย เหมือนได้หลับไปตื่นใหญ่อย่างนั้นแหละ สมองรู้สึกโล่งกว่าก่อนหน้านี้มาก”


เมื่อมองดูสายตาที่สงสัยของทั้งสองคน เขาก็ผายมืออย่างจนปัญญาขึ้นมา “ข้าพูดจริงๆ ยกเว้นแต่…”


“ยกเว้นอะไรเพคะ?” อันนากับบุ๊คถามขึ้นมาพร้อมกัน


“ยกเว้นแต่ว่าตอนนี้รู้สึกค่อนข้างหิวน่ะ..” โรแลนด์เอามือลูบท้องตัวเอง “ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว?”


สีหน้าอันนาดูผ่อนคลายลง “ประมาณ 6 ชั่วโมง ถือได้ว่าเป็นสลบไปที่สั้นที่สุดของพระองค์แล้วเพคะ หม่อมฉันจะไปแจ้งทางห้องครัวให้เตรียมอาหาร แต่ว่า…พระองค์ทรงไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหมเพคะ?”


“ดีสุดๆ ไปเลย” โรแลนด์ยักไหล่ “เออใช่ ไนติงเกลก็อยู่ไม่ใช่เหรอ นางแค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าข้าพูดจริงหรือเปล่า”


พอพูดจบ ไนติงเกลปรากฎตัวออกมา แต่เธอไม่ได้เข้ามาใกล้เตียง แล้วก็ไม่ได้รีบตอบทันที หากแต่นิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนจะพยักหน้าออกมา “…ฝ่าบาททรงพูดความจริง”


“เห็นไหม” โรแลนด์มุ่ยปาก ในเวลานี้เขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายจริงๆ คำพูดที่พูดออกไปก็ย่อมต้องเป็นความจริง แต่คำตอบของไนติงเกลกลับช้ากว่าปกติมาก ถึงแม้เขาจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้ไปคิดอะไรมาก “ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงเป็นลมไป ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอล่ะมั้ง”


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 1349 เวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำอธิบายนี้ค่อนข้างจะฝืนไปเสียหน่อย แต่อันนากับบุ๊คเองไม่สามารถตรวจหาอะไรมากกว่านี้ได้เหมือนกัน


หลังตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร่างกาย การหายใจหรือกระทั่งชีพจรก็ล้วนแต่ปกติทุกอย่าง แม้แต่ตัวโรแลนด์เองก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างมาก อาการเป็นลมที่ว่ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เหมือนว่าจู่ๆ สติของตัวเองก็ถูกตัดขาดไปอย่างไรอย่างนั้น ระหว่างทางที่กลับมาจากเนินทิศเหนือล้วนแต่จำอะไรไม่ได้เลย


ในระหว่างการตรวจสอบ เขาเองก็ทราบสถานการณ์หลังจากที่เขาเป็นลมสลบไปจากปากบุ๊ค


มีหลายคนได้ยินเสียงร้องตกใจของอันนา แต่ไม่มีใครเห็นภาพวินาทีที่เขาล้มลง ในตอนที่โรแลนด์หมดสติไป ไนติงเกลรีบดึงทั้งสองคนเข้าไปในหมอกมายา จากนั้นอันนาก็ออกมาอธิบายว่าเธออุทานร้องออกมาเพราะว่าเธอลื่นจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้นเพื่อปิดบังเรื่องนี้เอาไว้


ส่วนเรื่องที่ฝ่าบาทเสด็จไปไหนนั้น ทุกคนกลับไม่ได้สนใจอะไร เพราะทุกคนต่างรู้สึกความน่ากลัวของพลังของไนติงเกลดี การจะทำร้ายฝ่าบาทต่อหน้าเธอนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์คอยเดินตามเวลาที่มีเธอคอยปกป้อง อีกอย่างตารางการเดินทางของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยบอกพวกเขา การที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่อื่นต่อหลังจากการทดสอบโทรเลขสำเร็จเรียบร้อยจึงเป็นเรื่องปกติ


และก็เป็นเพราะเหตุนี้ คนที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเขาจึงมีแค่อันนา บุ๊คและไนติงเกลสามคน แม้แต่สมาชิกของสโมสรแม่มดคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครรู้


เมื่อฟังถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็รู้สึกโล่งใจ


ต้องยอมรับเลยว่าไนติงเกลทำการตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุดในเวลาที่สำคัญ ตอนนี้งานทุกอย่างในเกรย์คาสเซิลมารวมอยู่ที่เขา ด้านนอกเองก็มีศัตรูที่ต้องต่อสู้ ทุกคนต่างต้องทุ่มเทอยู่กับการทำสงครามแห่งโชคชะตา ถ้าในเวลานี้เขาล้มลงไป มันจะต้องทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาแน่นอน ต่อให้เป็นการสลบไปเป็นเวลาสั้นๆ มันก็จะทำให้คนพากันคาดเดาเกี่ยวกับร่างกายของเขาไปต่างๆ นาๆ


วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น


“ขอบคุณเจ้ามากนะ” โรแลนด์ยิ้มให้ไนติงเกล


แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ฉวยโอกาสขอเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเพิ่มเหมือนทุกที หากแต่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ ไม่เป็นไรเพคะ…พระองค์ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเพคะ”


หลังกินอาหารที่พ่อครัวทำมาเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าพอดี


โรแลนด์คิดจะกลับไปแก้แบบเฮฟเวนเฟลมที่ห้องทำงาน แต่อันนากลับบอกให้เขากลับไปพักผ่อนโดยอ้างว่าเขาไม่สบาย เขาจึงต้องทำตามที่เธอบอกอย่างจนปัญญา และยกเลิกการเข้าไปในโลกแห่งความฝันในคืนนี้ด้วย — เพราะการที่จู่ๆ ก็สลบไปก็ทำให้เขารู้สึกกลัวเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เคยเกิดเรื่องเศร้าขึ้นมาเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอมาแล้ว พักผ่อนอีกซักหน่อยก็ไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร


หลังกล่าวราตรีสวัสดิ์ ทั้งสามคนก็ทยอยเดินกลับห้องตัวเอง


หลังประตูปิดลง ภายในห้องก็ตกอยู่ในความมืดทันที เหลือเพียงแค่แสงไฟจากในเมืองที่ลอดผ่านจากนอกหน้าต่างเข้ามา


หลังผ่านไปประมาณ 15 นาที โรแลนด์ก็ได้ยินเสียงซ่าๆ ดังขึ้นมา


ภายในห้องนอนที่เงียบสงบไม่มีลม ปลายผ้าม่านกำมะหยี่กลับสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย


เขาหันหน้าไปมอง เงาดำเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าต่าง บดบังแสงไฟเอาไว้ แสงไฟที่ส่องมาจากด้านหลังทำให้ขอบโครงร่างของเงานั้นกลายเป็นสีเงินเล็กๆ


ภาพนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงภาพในอดีต


โรแลนด์นั่งขึ้นมาก่อนจะพูดอย่างไม่รู้สึกแปลกใจออกไป “ตอนนี้บอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


เงาดำเดินเข้ามาในหน้าต่าง เผยให้เห็นผมลอนที่ดูสวยงาม


คนที่มาคือไนติงเกล


“พระองค์ทรงรู้ว่าหม่อมฉันจะมา?” เธอตกตะลึงเล็กน้อย


“ปกติเจ้าไม่เป็นแบบนี้” โรแลนด์ยิ้มพร้อมส่ายหัว เขาหยิบเอาหินเรืองแสงออกมาจากบนหัวเตียง ก่อนจะเอามันวางไปในตะเกียง แสงสีเหลือนวลสว่างขึ้นมาในห้องทันที “สีหน้าของเจ้าเมื่อครู่นี้มันได้บอกทุกอย่างมาหมดแล้ว”


“อย่างนั้นอันนานาง…” ไนติงเกลเอามือปิดหน้าทันที


“ข้าเดาว่านางก็คงจะสังเกตเห็นเหมือนกัน? นางถึงได้บอกให้ข้าอยู่ในห้องนอน” โรแลนด์ถอนหายใจ “แต่ในเมื่อนางไม่ได้ถามอะไร ก็หมายความว่านางเห็นด้วยกับเจ้าในเรื่องนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าไม่อาจให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ได้ นางก็คงจะไม่ถามอะไรต่อ”


นี่คือความเชื่อใจอย่างหนึ่ง


สายตาของไนติงเกลเผยให้เห็นแววตาสับสน


“บอกตามตรงข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน” โรแลนด์พูดต่อ “ที่ข้าบอกทั้งตัวรู้สึกสบาย ไม่ได้มีความผิดปกติตรงไหนมันไม่ใช่คำพูดโกหกที่พูดขึ้นมาเพื่อจะปลอบใจพวกเจ้า หากแต่เป็นความรู้สึกของข้าจริงๆ เจ้าเองก็ฟังออก แต่ทำไมตอนนั้นถึงดูลังเล? เจ้ากำลังกังวลอะไร?”


เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “คนที่รู้เรื่องที่พระองค์สลบไป ไม่ได้มีแค่สามคนเพคะ”


“ไม่ได้มีแค่สามคน?”


“นาน่าไม่อยู่ที่เนเวอร์วินเทอร์ ลิลลี่ก็ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ ตอนนั้นไม่มีใครที่จะวิเคราะห์อาการของพระองค์ได้เลย” ไนติงเกลค่อยๆ พูด “ในตอนที่ร้อนใจ หม่อมฉันคิดถึงคนๆ หนึ่ง…ถึงแม้นางจะไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ แต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำการวิเคราะห์ในภาพรวมได้ หม่อมฉันก็เลยพานางเข้ามาในห้องโดยปิดบังอันนาเอาไว้”


“เจ้าหมายถึง..”


“โมโม่เพคะ”


โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมา นี่เป็นคนที่เหมาะสมจริงๆ แนวโน้มของอายุขัยมันสามารถบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง การที่ไนติงเกลสามารถจัดการความคิดและหาวิธีจัดการที่ถูกต้องได้ในสถานการณ์ที่วุ่นวายแบบนั้น ถือว่าเธอเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูคร่ำเคร่งของอีกฝ่าย เขาแอบรู้สึกว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีซักเท่าไร


“โมโม่มองเห็นอะไร?”


“….14” ไนติงเกลจ้องเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ออกมา “ตัวเลขลดลงจาก 17 เหลือ 14 เพคะ”


“ลดลง…3 ปีเหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา นี่มันออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย ถ้าเป็นอาการป่วย มันก็น่าจะมีสัญญาณเตือนสิ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกสดชื่นแข็งแรงอย่างมาก ไม่ได้มีท่าทีว่าจะไม่สบายเลย


ไนติงเกลเหมือนจะเดาความคิดเขาออก “ไม่ใช่โรค แล้วก็ไม่ใช่การเหนื่อยล้า…หม่อมฉันไปเทียบดูกับนักโทษที่อยู่ในเขตเหมืองดูแล้ว ไม่มีใครเหมือนกับพระองค์เลย การที่อายุขัยลดลงใน 3 ปีในเวลาไม่กี่เดือน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นเวลาที่ผ่านมา 4 – 5 ปีนี้ก็เท่ากับว่าอายุขัยของพระองค์ลดลงไป 30 – 40 ปีแล้ว นี่มันน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงนี้เพคะ”


จะพูดแบบนี้มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ โรแลนด์ลูบคางตัวเอง “แต่ช่วงนี้มันก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกตินี่นา…”


“ไม่ มีอยู่อย่างหนึ่งเพคะ” ไนติงเกลโน้มตัวลงมา “บางทีพระองค์อาจจะไม่ทันได้สังเกต แต่หม่อมฉันรู้ดีกว่าใคร ในช่วงหลายเดือนมานี้ ความถี่ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันของพระองค์เพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า นอกจากเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันก็หาสาเหตุอื่นไม่เจอแล้วเพคะ!” เธอยื่นมือมากุมมือโรแลนด์เอาไว้ น้ำเสียงในการพูดเองก็เปลี่ยนไป “รับปากหม่อมฉันได้ไหมเพคะ อย่าเข้าไปในโลกแห่งความฝันอีกเลยนะเพคะ!”


อย่างนี้นี่เอง โรแลนด์เข้าใจทันที ใช่แล้ว ในช่วงหลายเดือนมานี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าโลกแห่งความฝันอีกแล้ว สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้งในการเข้าไปในโลกแห่งความฝัน หากแต่เป็นแกนพลังแห่งธรรมชาติที่ถูกดูดซับเหล่านั้น จากที่มิสต์บอกมา โลกแห่งความฝันจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จากพลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งมันเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายโลกแห่งความฝันจะกลายเป็นแบบไหน แต่เขากลับรับรู้ถึงการเติมเต็มตัวเองของอีกโลกหนึ่งได้อย่างชัดเจน


และในฐานะที่เป็นผู้สร้างซึ่งมีความใกล้ชิดกับมันมากที่สุด มันก็เป็นไปได้ที่ความกดดันที่เขาได้รับมันจะเพิ่มขึ้น


ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ที่มิสต์พูดย้ำว่า ‘เหลือเวลาไม่มากแล้ว’ บางทีมันอาจจะไม่ได้หมายถึงเจตจำนงของพระเจ้า หากแต่หมายถึงตัวเขาต่างหาก


………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)