Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1346-1347
ตอนที่ 1346 จดหมายจากทิลลี
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
โรแลนด์พลิกดูรายงานที่ถูกส่งมาจากแนวหน้า ก่อนจะกำหมัดขึ้นมา
“มีอะไรหรือเพคะ ฝ่าบาท?” ไนติงเกลที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
“เปล่า…ไม่มีอะไร” เขานั่งพิงไปบนเก้าอี้ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ทุกคนต่างทำผลงานได้ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ข้าเพียงแค่ดีใจเท่านั้น”
“งั้นเหรอเพคะ?” ไนติงเกลตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มขึ้นมา “ดูเหมือนพวกเขาต่างกำลังพยายามอยู่นะเพคะ”
“ใช่” โรแลนด์ลุกขึ้นมาเทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงสองแก้ว ก่อนจะยื่นไปให้ไนติงเกล “พวกเราต่างกำลังพยายามอยู่…”
นี่ไม่ใช่คำพูดที่พูดออกมาลอยๆ หากแต่เป็นความคิดที่ออกมาจากใจเขาจริงๆ หากไม่ได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง เขาก็ยากที่จะเชื่อมโยงกองทัพที่หนึ่งในปัจจุบันนี้กับทหารชาวบ้านที่ในมือถือหอกไม้เมื่อก่อนนี้ได้
ทำศึกต่อเนื่องยาวนานถึง 8 วัน แต่ก็ยังสามารถทำการถอยได้อย่างมีกลยุทธ์ คอยคุ้มกันซึ่งกันและกันในการทำศึกในพื้นที่เปิดโล่งและกระตือรือร้นที่จะปลุกขวัญและกำลังใจซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างชัยชนะในสนามรบ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่ากองทัพที่หนึ่งนั้นพัฒนาไปมากขนาดไหน นอกจากนี้ความร่วมมือของอาณาจักรดอว์นกับการที่ผู้อพยพเสนอตัวจะอยู่ช่วยเหลือกองทัพที่หนึ่งก็ทำให้เขาเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของมนุษย์
แต่สิ่งที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือเอดิธส์
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอจะเคยแสดงให้เห็นความสามารถที่ไม่ธรรมดาของเธอมาแล้ว แต่ความน่าประทับใจของเธอในศึกครั้งนี้เรียกได้ว่าเหนือกว่าครั้งก่อนๆ มาก
ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการขนส่งที่แข็งแกร่งของรถบรรทุกไอน้ำในการทำศึกเคลื่อนที่ในดินแดนของวูล์ฟฮาร์ท แล้วก็แสดงจุดเด่นในเรื่องการยิงระยะไกลและอานุภาพที่รุนแรงของปืนใหญ่ป้อมออกมาได้อย่างเต็มที่ นี่ดูคล้ายสไตล์การทำศึกแบบสายฟ้าแลบเลย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสั่งให้ทหารทิ้งเมืองออกมา ทำให้แนวป้องกันของศัตรูที่ขยายยาวขึ้นเกิดช่องโหว่จำนวนมากขึ้นมา จากนั้นค่อยใช้หน่วยเคลื่อนที่โจมตีจุดอ่อนของศัตรู
กองทัพที่หนึ่งสามารถกำจัดปีศาจไปได้เป็นจำนวนมากโดยเสียหายเพียงแค่นิดเดียว แถมยังทำให้การรุกคืบของปีศาจหยุดอยู่ที่ระยะ 2 – 3 ร้อยเมตรนอกเขตหมอกแดง หน่วยที่มีความดีความชอบมากที่สุดย่อมต้องหนีไม่พ้นทีมที่ปรึกษา
ถึงแม้โรแลนด์จะเคยคุยเรื่องมุมมองของรูปแบบสงครามหลังจากนี้และการเปลี่ยนแปลงของสงครามที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรกับเอดิธส์ แต่ว่าเขายังไม่เคยคุยไปถึงเรื่องรายละเอียดรูปแบบของเครื่องจักร ‘รถหุ้มเกราะ’ ที่เขาฝากความหวังเอาไว้ ตอนนี้ยังคงจอดอยู่ในโรงงานในรูปแบบรถแทรกเตอร์ การที่เอดิธส์สามารถคิดถึงรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งได้ สายตาของเธอเรียกได้ว่าก้าวข้ามยุคสมัยไปแล้ว
เป็นเพราะการรวมตัวกันของความสามารถเฉพาะตัวและการรวมพลังกันของทุกคนถึงได้ทำให้มนุษย์ได้รับชัยชนะครั้งนี้มา
ตอนนี้ความเคลื่อนไหวของปีศาจถูกจำกัดเอาไว้ ส่วนทางด้านกองทัพที่หนึ่ง ทหารและทรัพยากรที่ถูกส่งเข้ากองทัพมาใหม่ต่างก็ทยอยถูกส่งไปที่แนวหน้า ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝั่งเริ่มทิ้งห่างกันแล้ว
เอาไว้เมื่อไรที่ทั้งคนและทรัพยากรถูกเตรียมเอาไว้พร้อม การโจมตีกลับที่แท้จริงก็จะเริ่มต้นขึ้น
โรแลนด์กับไนติงเกลชนแก้วกันเบาๆ
ความแข็งแกร่งของมนุษย์เริ่มเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ
…..
หลังดื่มเครื่องดื่มหมด เขาก็กลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
ตามธรรมเนียมการรายงานของกองทัพที่หนึ่ง หลังรายงานข่าวดีแล้วก็จะเป็นการรายงานปัญหาต่างๆ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็มีแต่เขาเท่านั้นถึงจะแก้ไขได้
อย่างเช่นความสูญเสียอันน่าปวดใจที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่มีความคล่องตัวสูง
ปัญหาเรื่องนี้วางเอาไว้อันดับแรกในรายงาน เนื่องจากความไม่แน่นอนของสนามรบ ยิ่งสมาชิกในหน่วยรถบรรทุกหยุดอยู่บริเวณที่รถบรรทุกเสียนานเท่าไร มันก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนเครื่องมือและสภาพแวดล้อมในการซ่อมแซม คนแค่สอนคนอย่างมากก็จัดการได้แค่ปัญหาง่ายๆ อย่าเช่น ยางแตกหรือน้ำรั่วเท่านั้น หากต้องเจอกับปัญหาเกี่ยวกับโครงรถหรือระบบขับเคลื่อนแล้วล่ะก็ พวกเขาแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นรถบรรทุกไอน้ำส่วนใหญ่พังลงแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ต้องถอดเอาลูกบาศก์เวทมนตร์ออกมา ส่วนตัวรถก็ทิ้งเอาไว้ในสนามรบ
นับตั้งแต่ที่ปีศาจบุกเข้ามา แนวหน้าก็สูญเสียรถบรรทุกไปมากกว่า 15 คัน ถ้าไม่เป็นเพราะยังต้องรถบรรทุกบางส่วนในการขนส่งของอยู่ โรแลนด์คิดว่าเอดิธส์คงจะเอารถบรรทุกทั้งหมดไปใช้ในวูล์ฟฮาร์ทแล้ว
ถ้าอยากจะแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ดีขึ้น กองทัพที่หนึ่งจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุนโดยเฉพาะ แล้วก็ต้องรีบสร้างที่ในการซ่อมบำรุงขึ้นมาเหมือนอย่างอัศวินอากาศ รถซ่อมบำรุงและรถลากคือสิ่งจำเป็นที่้ต้องใส่เข้าไปในตารางการผลิต
เขาสัมผัสได้อีกครั้งว่าการเอาเครื่องจักรขนาดใหญ่เหล่านี้ไปใช้ในสนามรบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่ว่าสร้างๆ ขึ้นมาให้แล้วเสร็จ หากแต่ยังมีเรื่องของทรัพยากรและเงินทุนอีกจำนวนมหาศาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่อาณาจักรในระบบศักดิดาจะแบกรับไหวเลย
นอกจากเรื่องที่มาขอรถบรรทุกเพิ่มขึ้นแล้ว ทางกองทัพยังแสดงความต้องการปืนใหญ่สนามขนาด 75 มม. และปืนกลเอนกประสงค์ด้วย จากสถิติต่างๆ ที่รวบรวมมาแสดงให้เห็นว่าพวกมันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรบให้กับกองทัพที่หนึ่งได้ ถ้าไม่เป็นเพราะว่ามันต้องใช้กระสุนปืนเป็นจำนวนมากแล้วล่ะก็ พวกมันถือได้ว่าเป็นอาวุธที่สมบูรณ์แบบชนิดหนึ่งเลยทีเดียว
โรแลนด์รู้สึกตื้นตันกับ ‘ข้อสรุปที่ดูเหมือนชมเชย แต่ความจริงแล้วคือการมาขอเงิน’ แบบนี้มาก จากนั้นเขาก็อนุมัติคำขอของกองทัพ
หลังพลิกอ่านมาถึงหน้าสุดท้ายของรายงาน เขาก็เห็นจดหมายของทิลลี
เขาเดาว่าเนื้อหาในจดหมายคงจะคล้ายๆ กับของทางกองทัพ ถ้าไม่มาเร่งให้สร้างเครื่องบินของเธอ ก็ต้องมาขอให้สร้างเฮฟเวนเฟลมเพิ่มมากขึ้น
‘ท่านพี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ’
‘ท่านน่าจะยังไม่ลืมเรื่องที่รับปากข้าเอาไว้ใช่ไหม?’
‘ตอนนี้การโจมตีของปีศาจค่อยๆ อ่อนแรงลงแล้ว เดือนแห่งปีศาจปีนี้พวกเราผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ข้าจะหาเวลากลับไปที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ หวังว่าตอนนั้นข้าจะได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันนะ’
อย่างที่คิดไว้เลย โรแลนด์กุมขยับ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
โชคดีที่โครงสร้างทั้งหมดของเครื่องบินลำใหม่เป็นรูปเป็นร่างออกมาแล้ว เขาเองก็ต้องทำการทดสอบเครื่องบินลำใหม่ของทิลลีว่าใช้งานจริงได้หรือไม่
แต่คำพูดต่อมาของอีกฝ่ายกลับไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้
ทิลลีร่ายปัญหาในการรบจริงของเฮฟเว่นเฟลมออกมายาวเหยียด เธอถึงขนาดคิดว่าควรจะหยุดการผลิตเฮฟเวนเฟลมเอาไว้ก่อน รอให้ปรับปรุงแก้ไขแล้วค่อยทำการผลิตใหม่ โดยปัญหาที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ที่นั่งทั้งสอง
หลังทำการสรุปผลการรบของอัศวินอากาศ เธอพบว่าในจำนวนอสูรสยองจำนวน 65 ตัวที่สามารถยืนยันคนยิงตกได้ มีอสูรสยองแค่ตัวเดียวเท่านั้นที่ถูกยิงตกโดยพลยิงที่นั่งอยู่ข้างหลัง
เหตุผลนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเพราะในการสังหารระยะใกล้ ศัตรูไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการล็อกเป้าหมายนานเหมือนอย่างเครื่องบิน การขว้างหอกของปีศาจคุ้มคลั่งนั้นเป็นเหมือนกับเครื่องยิงหน้าไม้ที่มีมุมก้มกับมุมเงย 90 องศา และครอบคลุมพื้นที่ด้านหน้า 270 องศา ขอเพียงมีระยะห่างเพียงพอ มันก็สามารถโจมตีด้านบนกับส่วนท้องของเฮฟเว่นเฟลมได้ และในความเป็นจริงพวกมันก็มักจะมุดเข้ามาในมุมอับเหล่านี้บ่อยๆ ทำให้พลยิงที่นั่งอยู่ด้านหลังแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ต่อให้ศัตรูเข้ามาอยู่ในระยะยิง พลยิงที่อยู่กลางอากาศที่ไม่มีวัตถุอะไรให้ใช้อ้างอิงก็ยากที่จะระบุระยะห่างของเป้าหมายได้ แล้วก็ไม่สามารถคาดการณ์เส้นทางการบินของเครื่องบินล่วงหน้าได้ อัตราความแม่นยำในระยะ 100 เมตรเรียกได้ว่าต่ำจนน่าตกใจ บ่อยครั้งที่ยิงจนกระสุนหมดก็ยังยิงไม่ถูกศัตรู
ขณะเดียวกัน ในเวลาที่เฮฟเว่นเฟลมกราดยิงเป้าหมายบนพื้น พลยิงที่นั่งอยู่ด้านหลังจะมีโอกาสยิงเพียงเล็กน้อยในตอนที่เครื่องบินเชิดหัวขึ้นมา
ขณะเดียวกันทั้งตัวนักบิน อาวุธ กระสุน และแผ่นป้องกันตรงที่นั่งนักบินล้วนแต่เป็นการเพิ่มภาระให้กับเครื่องบิน อีกทั้งนักบินทั้งสองคนต้องผ่านการฝึกการบินจนครบทั้งหลักสูตรเพื่อที่จะได้ปรับตัวเข้ากับการบินได้ นี่ทำให้อาวุธปืนที่ติดตั้งอยู่ตรงที่นั่งข้างหลังมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ต้องลงทุนไป ทิลลีพูดเอาไว้ตรงๆ ในจดหมายว่ามันเป็นการออกแบบที่ผิดพลาด ถ้าเอาที่นั่งด้านหลังออก มันไม่เพียงแต่จะทำให้มีจำนวนอัศวินอากาศเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง แต่ยังสามารถเอาน้ำหนักที่ลดน้อยลงไปใช้ทำอย่างอื่นได้
อย่างเช่นใส่น้ำมันเยอะขึ้น
อย่างเช่นติดตั้งระเบิดขนาดเล็ก
สรุปแล้วก็คือถึงแม้จะไม่สามารถผลิตเฮฟเวนเฟลมที่ทำการปรับปรุงออกมาได้ในทันที แต่อย่างน้อยก็ต้องยกเลิกการใช้งานที่นั่งด้านหลังไปก่อน
โรแลนด์ปิดจดหมายพร้อมยิ้มแห้งๆ ออกมา เขานึกภาพทิลลีตอนที่บ่นเรื่องเหล่านี้ออกมาได้เลย ถึงแม้เขาจะแอบรู้สึกเหนื่อยใจกับเรื่องที่การออกแบบของตนถูกวิจารณ์ แต่เมื่อเทียบกับข้อมูลที่อยู่ในโลกแห่งความฝันแล้ว ผลสรุปจากการรบจริงของทิลลีนั้นเป็นสิ่งที่เขาควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
ในขณะที่เขากำลังจะพลิกดูแปลนเฮฟเว่นเฟลมเพื่อทำการปรับปรุง โทรศัพท์ที่แปะป้ายสำนักบริหารก็ดังขึ้นมา
โรแลนด์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา อีกฝั่งหนึ่งมีเสียงตื่นเต้นของบารอฟดังขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทอันนาให้กระหม่อมมาทูลพระองค์ว่า ไอรอนทาวเวอร์ของพระองค์สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1347 เสียงร้องที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“งั้นเหรอ?” โรแลนด์ดีใจขึ้นมาทันที เมื่อฟังดูจากน้ำเสียงของบารอฟ อีกฝ่ายไม่ได้แค่ตื่นเต้นเพราะมันสร้างเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น “เจ้าเองก็ได้ยินเสียงสัญญาณใช่ไหม?”
ไอรอนทาวเวอร์ที่ว่าคือก้าวแรกของแผนการสื่อสารแบบไร้สาย เพื่อที่ทำให้เสาอากาศมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับความต้องการของคลื่นยาว กองโยธาธิการจึงได้สร้างหอรับส่งที่สูงเกือบ 50 เมตรเอาไว้ที่เนินทิศเหนือและเมืองซิลเวอร์ โดยตัวหอเหล็กมากกว่าครึ่งในนี้มีขนาดเล็กประมาณลำตัวคน ด้วยเหตุนี้เมื่อมองจากไกลๆ มันจึงเป็นเหมือนเข็มยาวๆ บวกกับลูกบอลลูนไฮโดรเจนลากสายโลหะแบบพับเก็บได้ ความยาวของเสาอากาศจึงยาวได้มากสุดมากกว่าร้อยเมตร
ถ้าพูดถึงระดับความยากในการสร้างเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้มีอะไรยากมากมายนัก แต่หอสื่อสารนั้นเป็นวิศวกรรมระบบอย่างหนึ่ง อุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่อยู่ด้านล่างหอต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงจะมีการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาหลายครั้ง แต่โชคดีที่ในโลกที่ไม่มีอะไรมารบกวนนี้ ต่อให้สัญญาณจะยุ่งเหยิงแค่ไหน มันก็ยังถูกจับเอาไว้ได้
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟตอบอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้มันมีการตอบสนองแปลกๆ อย่างที่พระองค์ตรัสเอาไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่า…กระหม่อมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นเพราะเมืองซิลเวอร์หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าคิดว่าอีกไม่นานข้อสงสัยนี้น่าจะได้รับคำตอบแล้ว” โรแลนด์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “แจ้งหัวหน้ากองแต่ละกองในสำนักบริหารให้ไปด้วยกัน พวกเขาน่าจะไม่อยากพลาดวินาทีประวัติศาสตร์นี้”
……
หลังผ่านการบุกเบิกมาเป็นเวลาหลายปี เนินเขาทิศเหนือก็ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เป็นเขตเมืองที่มีแต่ทางเดินแคบๆ อีกต่อไป ถนนซีเมนต์ที่กว้างขวางกับรางเหล็กถูกปูยาวไปตามเนิน หากนั่งรถไฟขึ้นไปล่ะก็ ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว
ไม่ไกลจากหอเหล็กมีบ้านอิฐแดงแบบเรียบง่ายตั้งเรียงเป็นแถว ตามขอบหลังคาของบ้านเตี้ยๆ เหล่านี้มีแท่งน้ำแข็งห้อยอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนจากโรงงานที่สร้างขึ้นมาใหม่ริมชายฝั่งแม่น้ำแดงเลย ถ้าดูจากภายนอกของมัน ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อมโยงมันเข้ากับคำว่า ‘ยุคสมัยใหม่’ ได้
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง อันนากำลังสั่งการให้อดีตสมาชิกของแปลกเตรียมงานขั้นสุดท้ายอยู่ เมื่อเห็นโรแลนด์เดินเข้ามา เธอก็แอบส่งสัญญาณมือบอกว่า ‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี’ ก่อนจะหันกลับไปทำงานด้วยท่าทางจริงจังต่อ
โรแลนด์อดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้
ในตอนที่กำหนดแผนการวิทยุไร้สายขึ้นมาในตอนแรก เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นร้อนแรงที่คนในสำนักบริหารพูดถึงกัน หลายๆ คนต่างรู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะสร้างความเปลี่ยนให้กับมนุษย์อย่างไร ถ้าสามารถส่งต่อข่าวสารได้ในทันที มันก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการทำสงครามและการปกครองเมืองเนเวอร์วินเทอร์
การที่มีโทรศัพท์ นกส่งจดหมายและรูนสดับนั้นคือเครื่องพิสูจน์ เมื่อมีทั้งสามอย่างใช้งานร่วมกัน พวกอดีตขุนนางของเกรย์คาสเซิลก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ก่อความวุ่นวายเลย พวกขุนนางหลายๆ คนเคยคิดว่าการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานและต้องทำซ้ำไปซ้ำมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกกองทัพที่หนึ่งขับไล่ออกจากอำนาจจนมาถึงตอนนี้ พวกเขาไม่สามารถก่อความวุ่นวายใดๆ ได้เลย เหตุผลเป็นเพราะเมื่อต้องเจอกับการส่งต่อข่าวสารที่มีประสิทธิภาพสูง เหล่าขุนนางเพียงแค่โผล่หน้าออกมาก็ต้องถูกกองทัพที่สองหรือตำรวจจัดการจนราบคาบแล้ว
แต่โทรศัพท์นั้นยังมีสาย ส่วนนกส่งจดหมายกับรูนสดับนั้นก็มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ ทว่าหอเหล็กนั้นไม่มีการเชื่อมต่อกับสายใดๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพตามทฤษฎีของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ด้วย นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ถึงแม้ในการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีการพูดถึงเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเอาไว้บ้างแล้ว แต่การเรียนรู้กับการเห็นของจริงมันไม่เหมือนกัน หลายๆ คนยังมีความรู้สึกสงสัยต่อสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้นี่อยู่ ในอีกแง่หนึ่งมันยากที่จะจินตนาการได้มากกว่าเครื่องบินเสียอีก
แต่แน่นอน การถกเถียงกันอย่างร้อนแรงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความคืบหน้าของการก่อสร้าง เพราะในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของโรแลนด์มีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมากมาย ต่อให้จู่ๆ เขาประกาศว่าจะขึ้นไปบนพระจันทร์สีแดง สำนักบริหารก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำตามคำสั่งเขา
เพียงแต่การสื่อสารแบบไร้สายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด เขาไม่ได้มีความมั่นใจในเรื่องนี้เหมือนกับการประดิษฐ์เครื่องจักร อุปกรณ์รับส่งนี้เขาก็สร้างเลียนแบบขึ้นมาจากเครื่องรับส่งตัวอย่างที่ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลทำออกมา การใช้งานจริงจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เมื่อมีอันนามาช่วย ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายหน้าต่อหัวหน้ากองต่างๆ อีก
“อย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะ”
โรแลนด์จับมืออันนาแล้วจูงเธอไปที่หน้าเครื่องโทรเลข
“เอ่อ…โรแลนด์?”
“นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของกองวิศวกรรม เจ้าย่อมต้องเป็นคนที่จะทดสอบมันเป็นคนแรก” เขาหันไปพูดพร้อมกะพริบตาให้อีกฝ่าย ถึงแม้ก่อนหน้านี้อีกเธอจะทำการทดสอบมันดูแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง แต่สิ่งที่จะถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์นั้นคือการทดสอบอย่างเป็นทางการหลังจากนี้
“ยังมีตำแหน่งรับสัญญาณว่างอยู่อีกตำแหน่ง พวกเจ้าใครอยากจะมาลองเป็นคนแรก?”
เจ้าหน้าที่ต่างสบตากันพร้อมกับยกมือขึ้นมา “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมลองก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังถกเถียงกันอยู่ครู่ สุดท้ายบารอฟก็อาศัยความอาวุโสของตัวเองเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ทดสอบการสื่อสารโทรเลขทางไกล ‘ครั้งแรก’ ได้สำเร็จ
ตามหลักแล้ว การรับและการส่งโทรเลขสามารถทำด้วยคนๆ เดียวได้ แต่ในเวลาแบบนี้การแบ่งกันทำจะทำให้สะดวกในการตรวจสอบผลการทดสอบมากกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นวิทยุโทรเลขมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำยังไงให้พวกเขาเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งที่อยู่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตรนั้นได้รับข้อความที่ฝั่งนี้ส่งไปจริงๆ? วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้คนที่เป็นคนรับข้อความใช้โทรเลขแล้วพูดสิ่งที่มีแต่คนที่ส่งข้อความเท่านั้นถึงจะรู้ได้ออกมา
หลังจากโรแลนด์อธิบายวิธีการทดสอบออกมาคร่าวๆ เขาก็ให้องครักษ์ทำการปิดตาบารอฟ ส่วนอันนาก็ขีดเส้นแนวนอนสามขีดกับจุดสองจุดไปบนกระดานดำ เส้นแนวนอนหมายถึงเสียงยาว ส่วนจุดหมายถึงเสียงสั้น
จนกระทั่งทุกคนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เธอจึงกดคันเคาะบนเครื่องโทรเลข
‘สามยาวสองสั้น’
พริบตาที่วงจรไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อ ตรงกลางของสปาร์คพลันมีแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมา
เนื่องจากโทรเลขไม่ได้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ให้กำเนิดเสียงเอาไว้ ดังนั้นนอกจากแสงที่แวบออกมาแล้ว ภายในห้องก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นอีก
ทุกคนต่างกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ลำแสงนี้เล็กนิดเดียว ถ้าอยู่นอกห้องเกรงว่าคงยากที่จะมองเห็นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองซิลเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปหายร้อยกิโลเมตรเลย
แต่โรแลนด์กลับรู้สึกขนลุกขึ้นมา
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผ่านตัวเขาไป
นั่นคือความรู้สึกที่คิดไปเองอย่างไม่ต้องสงสัย ในสถานการณ์ที่มีพลังงานต่ำ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายมนุษย์ แต่ภายในหัวของเขา ทุกอย่างกลายเป็นภาพที่ชัดเจน แสงไฟดูเหมือนสว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไป แต่กระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมากลับสั่นไปมาระหว่างตัวเหนี่ยวนำกับตัวเก็บประจุไฟฟ้าเป็นหมื่นๆ ครั้งในแต่ละวินาที สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขยายตัวไปตามสายอากาศและสายดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระจายตัวไปรอบๆ
ในโลกที่เงียบสงบใบนี้ มันคือเสียงร้องเจื้อยแจ้วที่มนุษย์เปล่งออกมา ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน แต่มันกลับดังกังวาลกว่าเสียงใดๆ ที่ผ่านมา
ถึงแม้จะบินข้ามไปเป็นร้อยกิโลเมตร คลื่นนี้ก็ยังไม่หายไปไหน มันยังคงถูกเสาอากาศของเมืองซิลเวอร์บันทึกเอาไว้
สิ่งที่รับมันเอาไว้คือเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสองตัว
หลังเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบผงโลหะที่ดูโบราณเครื่องหนึ่งจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้แล้ว ผงโลหะที่อยู่ในหลอดแก้วจะเกิดการจับตัวกัน นี่ทำให้ความต้านทานในวงจรไฟฟ้าลดลงอย่างกะทันหัน หลอดไฟที่เดิมดับอยู่พลันปล่อยแสงสีเหลืองนวลๆ ออกมา ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมันก็คือบอกให้คนที่เฝ้าดูรู้ว่าเสียงกำลังสะท้อนลงมาจากฟ้าแล้ว
อีกเครื่องหนึ่งคือเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบแร่ มันไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าใดๆ หากแต่อยู่ในสถานะรับฟังเพียงอย่างเดียว แร่ตะกั่วก้อนหนึ่งกับสายเหนี่ยวนำที่เสียบเข้าไปกลายเป็นเหมือนวัตถุกึ่งตัวนำตามธรรมชาติ พลังงานที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปล่อยออกมากลายเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จำเป็นต้องใส่หูฟังถึงจะได้ยินเสียงของมัน
ในสถานการณ์ที่ไม่มีการปรับสัญญาณออด เสียงที่มันส่งออกมาจึงไม่ใช่เสียงติ๊ดที่ฟังดูชัดเจน แต่มันยังคงมีความถี่ในเวลาที่ส่งข้อความปรากฏออกมาอย่างถูกต้อง
ต่อไปก็เป็นการทำกระบวนการนี้ย้อนกลับ
ระยะทางไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แสงมีความเร็วเท่าไร มันก็เร็วเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือตัวมันก็คือแสง
อันนาทวนซ้ำสามครั้งก่อนจะวางคันเคาะลง
ตามที่ได้นัดหมายว่า หากเมืองซิลเวอร์ได้รับข้อความจากทางนี้ ก็ให้ส่งข้อความที่เหมือนกันกลับมา ถ้าเป็นวิธีส่งจดหมายตามปกติ ทั้งสองที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5 – 7 วันกว่าจะส่งจดหมายหากันได้สำเร็จ ถ้าเปลี่ยนเป็นนกส่งจดหมาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวัน
แต่ในตอนที่อันนาวางคันเคาะลง แสงไฟที่เครื่องรับก็สว่างขึ้นมา
มันเกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น!
ในกลุ่มเจ้าหน้าที่มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
บารอฟที่ถูกปิดตาอยู่ไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาฟังอยู่นาน สุดท้ายก็ค่อยๆ เขียนข้อความที่เขาได้ยินลงไปในกระดาษ
ในตอนที่เขาถอดเอาหูฟังกับผ้าปิดตาออก เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปถามผลการทดสอบแล้ว เมื่อดูจากสายตาตกตะลึงที่ทุกคนแสดงออกมา คำตอบมันได้ออกมาแล้ว
สัญลักษณ์บนกระดาษคือขีดสามขีดกับจุดสองจุด!
……………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น