Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1339-1345

 ตอนที่ 1339 เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทุกคน ลงจากรถ! ทำตามที่ฝึกมา เร็ว เร็ว!”


เสียงตะโกนจากด้านหลังรถทำให้ฟาร์รีน่าได้สติกลับมา


“พวกเราก็ลงไปช่วยพวกเขาเถอะ!” เธอพูดกับโจ ก่อนจะเปิดประตูกระโดดลงไปจากห้องคนขับ


ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เหล่าทหารที่โดยสารรถมาด้วยต่างก็ทำงานกันอย่างวุ่นวาย พวกเขาด้านหนึ่งก็ขีดๆ เขียนๆ ลงไปในสมุด อีกด้านหนึ่งก็ตั้งอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆ ขึ้นมา เมื่อฟังจากคำพูดแล้ว อุปกรณ์พวกนี้เหมือนใช้ในการระบุตำแหน่งเป้าหมาย


เมื่อมาถึงตรงนี้ ต่อให้ฟาร์รีน่าหัวช้าแค่ไหน เธอก็รู้แล้วว่ากองทัพที่หนึ่งจะทำอะไร


พวกเขาคิดจะโจมตีศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากตรงนี้!


ถึงแม้เธอจะรู้แต่แรกแล้วว่าคนเกรย์คาสเซิลถนัดในใช้อาวุธปืนโจมตีศัตรูจากระยะไกล แต่รู้มันก็ส่วนรู้ ในตอนที่เธอได้มาเห็นมันด้วยตาตัวเอง เธอก็ยังรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก อาวุธที่โจมตีด้วยการโยนมักจะได้รับผลกระทบจากลมและน้ำหนักของตัวมัน ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางยิ่งไป ผลกระทบของมันก็จะยิ่งมาก การรบกวนเพียงเล็กน้อยล้วนแต่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากได้ พวกเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากระสุนที่ยิงออกไปมันจะบินออกไปเหมือนอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้?


หรือว่าอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่ายพวกนี้มันจะสามารถทำนายอนาคตได้?


ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ การที่ศาสนจักรพ่ายแพ้ย่อยยับที่ศึกสันเขาโคลด์วินด์มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


เพียงแต่งานด้านเทคนิคแบบนี้ฟาร์รีน่าช่วยอะไรไม่ได้ เธอเดินไปที่ท้ายขบวนรถ โดยหวังว่าตัวเองจะช่วยขนของลงจากรถได้บ้าง


เพื่อเป็นการรักษาความลับ คนขับรถจึงไม่รู้ว่าใครจะมาขึ้นรถของตน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองขนอะไรมา แต่ขบวนรถนั้นจะต้องลากของมาไม่น้อยอย่างแน่นอน ในเวลาแบบนี้มีคนช่วยเพิ่มอีกคนหนึ่ง อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มความเร็วในการเตรียมงานได้ บางทีเรื่องอื่นเธออาจจะไม่ถนัด แต่เรื่องใช้แรงนี่เธอไม่น้อยหน้าใครแน่


แต่ภาพเหตุการณ์ตรงท้ายขบวนรถทำให้เธอต้องตกตะลึง


เธอเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังขนย้ายลังไม้ยาว อาวุธปืนที่หนักอึ้งพวกนั้นกลับดูไม่ค่อยหนักเมื่ออยู่ในมือพวกเขา หลังปลดเครื่องยึดออกแล้ว ผู้ชายสองสามคนก็ช่วยกันลากท่อเหล็กกล้าไปตามถนน


สิ่งที่ทำให้ฟาร์รีน่ารู้สึกตกใจก็คือ เธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนอยู่ในกลุ่มผู้ชายเหล่านั้น


เดี๋ยวๆ…นั่นมันทหารอาญาสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ?


ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้สวมเกราะ แต่เมื่อดูจากพละกำลัง ร่างกายและหน้าตาแล้ว นั่นมันอดีตนักรบที่ยอดเยี่ยมของเฮอร์มีสชัดๆ


“เฮ้ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”


จู่ๆ ก็มีคนมาตบไหล่ของเธอ


เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฟาร์รีน่าก็หันหน้าไปทันที “โซ….โซอี้?”


“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจำชื่อข้าได้” โซอี้แสยะยิ้ม “ข้านึกว่าเจ้าจะตะโกนว่าท่านแมทัพเอโนว่าเสียอีก”


เธอสูดหายใจ “คนพวกนั้นก็…”


“ถูกต้อง พวกนางล้วนแต่เป็นแม่มดของทาคิลา” โซอี้ผายมือ” ดูสิ ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ?”


‘ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์มีแม่มดแบบข้าอยู่อีกหลายร้อยคน ร่างที่พวกนางใช้ล้วนแต่เป็นร่างที่พวกเจ้าให้มา ต่อไปถ้าเจอคนที่คุ้นเคยก็อย่าตกใจไปล่ะ’


คำพูดของอีกฝ่ายในตอนนั้นดังขึ้นที่ข้างหูเธออีกครั้ง


ฟาร์รีน่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี


โจก้มหน้าให้โซอี้ “มิสโซอี้ ครั้งที่แล้วไม่ทันได้กล่าวขอบคุณท่าน ข้ารู้สึกเสียใจอย่างมาก ตอนนี้มีโอกาสได้เจอท่านอีกครั้ง ข้าอยากจะขอบคุณท่านอย่างมากที่ช่วยฟาร์รีน่า”


“มิสโซอี้? คนธรรมดา เจ้าฉลาดพูดจริงๆ นะเนี่ย คำขอบคุณนี้ข้ารับเอาไว้แล้วกัน” โซอี้ยักไหล่ “ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวเอาไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้ตั้งใจจัดการกับพวกปีศาจก่อน”


“เอ่อ…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินจากไป ฟาร์รีน่าพลันเอ่ยปากขึ้นมา


“หืม?” โซอี้หยุดฝีเท้า


“ขอบคุณนะ แล้วก็…ข้าขอโทษสำหรับความผิดที่ศาสนจักรได้ก่อขึ้นด้วย…”


“คนผิดไม่ใช่เจ้า เจ้าเป็นแค่คนที่ถูกหลอกลวงเท่านั้น”


เธอโบกมือ ก่อนจะเดินไปยังแนวรบที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่หันกลับมามอง


ฟาร์รีน่าอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนใจออกมาเบาๆ


แต่สิ่งที่เธอมองไม่เห็นก็คือ โซอี้ที่เดินจากไปยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย


แต่ผลสุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่ขวานเหล็กว่าเอาไว้ เธอซึ่งเป็นคนขับรถไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ในเวลาไม่ถึง 15 นาที กองทัพที่หนึ่งก็พร้อมที่จะทำการยิง


“รายงาน ปืนใหญ่หมายเลข 1, 2, 3 พร้อมยิงแล้วขอรับ!”


“ยิงได้!” ขวานเหล็กออกคำสั่ง


เมื่อเสียงยิงดังสนั่นขึ้นมา ด้านล่างฐานปืนใหญ่พลันมีหมอกหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมาบางๆ เสียงคำรามของมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขาราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า


ปลอกกระสุนร้อนๆ กระเด็นตกลงไปบนพื้นหิมะจนส่งเสียงดังซู่ๆ ขึ้นมา ส่วนกระสุนนัดใหม่ก็ถูกบรรจุเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทหารหน่วยปืนใหญ่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน จากจุดนี้จะมองเห็นได้ว่าพวกเขาฝึกซ้อมกันมาหนักแค่ไหน


ฟาร์รีน่ารู้แล้วว่าความแตกต่างระหว่างกองทัพที่หนึ่งกับกองทัพอื่นๆ นั้นไม่ใช่แค่เรื่องอาวุธเท่านั้น


หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เธอก็มองเห็นเสาหิมะพุ่งขึ้นมาบนยอดเขา


…..


“ด้านล่างเริ่มยิงแล้ว!”


ซิลเวียที่อยู่บนซีกัลมองเห็นเหตุการณ์ข้างล่างอย่างชัดเจน


กระสุนปืนใหญ่สามนัดลอยโค้งออกไป ก่อนจะไปตกแถวๆ อสูรยักษ์ป้อมปราการ กระสุนลูกที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากมันไปไม่ถึง 300 เมตร ระเบิดที่มาอย่างกะทันหันทำเอาปีศาจที่ประจำการอยู่รอบๆ พากันแตกตื่นขึ้นมา อสูรสยองสามสี่ตัวเองก็กางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า


หลังแจ้งพิกัดการยิงใหม่ไปให้กองพันปืนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างทราบ เธอก็หันความสนใจไปที่การเคลื่อนไหวของศัตรู


“การตอบสนองของปีศาจเป็นยังไงบ้าง?” ทิลลีถาม


“เป้าหมายหลักยังไม่มีการเคลื่อนไหวเพคะ ตอนนี้มีอสูรสยองแค่ไม่กี่ตัวบินขึ้นมา อีกไม่นานพวกมันน่าจะเจอหน่วยรถบรรทุกเพคะ”


“โชคดีทีเดียว” แอนเดรียผิวปาก


ถูกต้อง โชคดีทีเดียว ซิลเวียแอบพยักหน้าเล็กน้อย ตามเแผนการที่ทีมที่ปรึกษาวางเอาไว้ เดิมหน่วยโจมตีกลับเตรียมตัวเตรียมใจแล้วว่าจะถูกปีศาจพบเข้าก่อนที่จะเข้าไปใกล้อสูรยักษ์ป้อมปราการ จากนั้นพวกเขาก็จะฝืนกระหน่ำยิงเข้าไปโดยมีอสูรสยองมาคอยขัดขวาง โดยแผนการนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้มาจากการสู้กับปีศาจบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนหน้านี้ ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นอุรูคล่ะก็ ระยะ 20 – 25 กิโลเมตรก็ถือเป็นพื้นที่อันตรายแล้ว


ถึงแม้จะเพิ่งผ่านศึกใหญ่มา กำลังพลส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ถูกส่งไปที่อ่านดีพพูล แต่อสูรยักษ์ป้อมปราการซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนเสาโอเบลิสเคลื่อนที่ก็ยังมีอสูรสยองจำนวนไม่น้อยคอยเฝ้าระวังอยู่ แต่วงการเฝ้าระวังของพวกมันก็ยังมีช่องโหว่อยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่มีอสูรสยองบินผ่านมาพื้นที่ตรงนี้


แล้วก็เป็นเพราะศัตรูไม่เห็นทีมโจมตีกลับ ทิลลีจึงให้ซิลเวียคอยนำทางหน่วยรถบรรทุก จนกระทั่งห่างจากเป้าหมาย 8 กิโลเมตร พวกเขาถึงได้ตั้งแนวยิงปืนใหญ่ขึ้นมา


นี่แสดงให้เห็นว่ากองทัพของศัตรูเกิดความประมาทหลังจากยึดทั้ง 4 เมืองได้


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงปืนใหญ่รอบที่สองก็ดังขึ้น


การยิงรอบต่อไปที่ผ่านการปรับพิกัดแล้วมีความแม่นยำขึ้นกว่าเดิมมาก กระสุนปืนใหญ่สองลูกลอดผ่านโครงกระถูกที่สูงใหญ่ของอสูรยักษ์ลงไปตกตรงข้างๆ เท้าของมัน ปีศาจคุ้มคลั่งหลายตัวถูกระเบิดจนตาย กระสุนนัดที่สามทะลุทางด้านหลังของอสูรยักษ์ ฉีกเนื้อและหิมะที่อยู่บนหลังของมันจนกระจุยกระจาย


อสูรยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องออกมา พร้อมกับก้าวขาไปข้างหน้าสองข้าง


อสูรสยองอีกหลายตัวบินขึ้นมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนจะไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มอยู่บนท้องฟ้า


แต่กว่าพวกมันจะรู้ว่าการโจมตีมาจากทิศทางไหนมันผ่านไป 5 นาทีแล้ว ในการสู้รบปกตินี่ไม่ถือว่าช้า แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนใหญ่ป้อมที่อยู่ห่างออกไป 8 กิโลเมตร เวลา 5 นาทีนั้นเพียงพอที่จะให้ปืนใหญ่ยิงออกไปได้สิบรอบ ซึ่งนี่ยังรวมการยิงทดสอบเพื่อปรับพิกัดด้วย!


ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้จบลงด้วยการยิงไปที่ขาของศัตรูอย่างแม่นยำเหมือนอย่างศึกทาคิลา ร่างกายของปีศาจโครงกระดูกมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกยิงซ้ำๆ บนแผ่นหลังของมันมีรูกระสุนอยู่หลายหลุม เมื่อมองผ่านกระดูกที่หักเป็นชั้นๆ เข้าไปจะมองเห็นเครื่องในที่สั่นสะเทือนและเลือดสีน้ำเงินที่ไหลออกมาจากทุกทิศทุกทาง ถึงแม้มันจะพยายามหนี แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของปืนใหญ่แล้ว ความพยายามของมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก


ในตอนที่กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของอสูรยักษ์ มันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา แสงสีน้ำเงินสว่างวาบออกมาจากร่างกายอันใหญ่โตของมัน ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจะระเบิดออก! เครื่องในและเลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำตก หิมะที่อยู่บนเนินเขาถูกชโลมด้วยสีแปลกๆ ขาของอสูรยักษ์เหมือนสูญเสียที่ค้ำยันไป มันหักและหลุดออกมาจากร่างกาย ก่อนจะล้มลงมาทับปีศาจคุ้มคลั่งที่หลบไม่ทันด้านล่างจนกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ


“ระวัง พวกมันมาแล้ว!”


ขณะเดียวกัน ซิลเวียก็แจ้งเตือนไปยังหน่วยรถบรรทุกถึงอสูรสยองที่กำลังพุ่งเข้าไปหา


…………………………………………………………………………


ตอนที่ 1340 ผู้ล่าอยู่ด้านหลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศัตรูเห็นพวกเราแล้ว! เร็ว เก็บของขึ้นรถ ทุกคนถอยกลับทางเดิม!”


ถึงแม้จะไม่รู้ว่ากองทัพที่หนึ่งรู้ความเคลื่อนไหวของปีศาจได้อย่างไร แต่ฟาร์รีนาที่ได้ยินคำสั่งก็รีบกระโดดขึ้นไปบนรถบรรทุกทันที


เธอปิดวาล์วไอเสียอย่างชำนาญ ก่อนจะดันคันบังคับกลไกเปิดปิดลูกบาศก์เวทมนตร์ให้กลับไปยังตำแหน่งเริ่มต้น กระบอกสูบตรงหัวรถสั่นดังปังๆ ขึ้นมา เข็มวัดแรงดันค่อยขยับไปทางขวา ก่อนจะไปหยุดอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมใช้งาน


นี่หมายความว่าขอเพียงปล่อยเบรก รถก็จะเคลื่อนที่ออกไปได้ทุกเมื่อ


เธอชะโงกหน้าออกไปมองดูบนเนินเขา ก่อนจะมองเห็นยอดเขาที่เมื่อครู่นี้ปกคลุมไปด้วยหมอกแดงได้ชัดเจนขึ้นมา หมอกแดงที่เหมือนควันพิษกำลังสลายหายไป ขณะเดียวกันบนพื้นที่ปกคลุมได้ด้วยหิมะสีขาวก็มีจุดดำๆ เหมือนเม็ดงาปรากฏขึ้นมาเต็มปหมด พวกมันแห่ลงเนิน พุ่งเข้ามาหาหน่วยรถบรรทุกราวกับมดที่แตกรัง บนท้องฟ้าเองก็มีปีศาจบินได้ปรากฏขึ้นมาหลายสิบตัว ดูท่าทางพวกมันแล้วเหมือนไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกเธอหนีไป


ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฟาร์รีน่านึกถึงกำแพงเมืองเฮอร์มีส


ที่นั่น สัตว์อสูรนับหมื่นๆ ตัวก็พุ่งเข้ามาหาแนวป้องกันของทหารพิพากษาเช่นนี้เหมือนกัน


“ออกเดินทางได้!” แม่มดอาญาสิทธิ์คนหนึ่งตบประตูรถ นี่เป็นสัญญาณว่าสมาชิกทุกคนพร้อมถอยแล้ว


ฟาร์รีน่าสูดหายใจพร้อมกับดึงก้านเบรคขึ้นมา


รถบรรทุกไอน้ำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป


หน่วยรถบรรทุกอื่นๆ เองก็ขยับรถของพวกเขาเหมือนกัน


ตั้งแต่เลี้ยวรถจนกระทั่งขับออกไปจากพื้นที่โจมตี ทุกคนต่างทำได้อย่างไร้ที่ติ เรียกได้ว่าวมบูรณ์แบบมากกว่าตอนที่สอบเสียอีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ระยะห่างของพวกเขากับปีศาจก็ไม่ได้ทิ้งห่างเลย ในตอนที่หน่วยรถบรรทุกเร่งความเร็วไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ปีศาจที่ไล่ตามมาจากบนฟ้ากลับขยับเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้น


“แย่…แย่แล้ว พวกมันเร็วมากเลย แบบนี้พวกเราต้องถูกไล่ตามทันแน่!” โจตะโกนอย่างร้อนใจ


ฟาร์รีน่าจับพวงมาลัยไว้แน่น บินด้วยปีกมันย่อมต้องเร็วกว่าวิ่งอยู่บนพื้นอยู่แล้ว ในจุดนี้ใครๆ ต่างก็รู้ ในเมื่อศัตรูมีปีศาจที่บินได้ ช้าเร็วพวกเธอก็ต้องถูกไล่ตามทันแน่ แต่เมื่อคิดถึงว่าคนเกรย์คาสเซิลสู้กับปีศาจมานานขนาดนี้ พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงเรื่องนี้แน่ อย่างนั้นความหวังเดียวในตอนนี้ก็คือพวกเขาได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้เอาไว้แต่แรกแล้ว


ไม่ว่าหลังจากนี้กองทัพที่หนึ่งจะรับมืออย่างไร นั่นมันก็เป็นศึกที่เธอไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้


ดังนั้นเหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้ก็คือขับรถบรรทุกคันนี้ให้ดี อย่างเป็นตัวถ่วงคนอื่นๆ


“ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน มองทางข้างหน้าเอาไว้ ถ้ามีหลุมให้รีบเตือนข้าด้วย!” เธอพูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน


โจกลืนน้ำลาย จากนั้นจึงพยักหน้าแรงๆ “ข้าเข้าใจแล้ว!”


…..


ในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สิ่งเดียวที่กู๊ดมองเห็นนั้นมีแต่หางของซีกัลและไฟนำทางที่สว่างขึ้นมาเป็นพักๆ


การอยู่ในชั้นเมฆมาเป็นเวลานานทำให้เขาสูงเสียการรับรู้ทิศทางและความสูงไป การบินในสภาพแบบนี้ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังและสมาธิอย่างมาก เขาจำเป็นต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมดที่มีเอาไว้ถึงจะสามารถรักษาตำแหน่งของเครื่องบินเอาไว้ได้


เมื่อดูจากการเปลี่ยนแปลงของเข็มทิศแล้ว นอกจากตอนแรกที่เป็นตรงมาทางเหนือแล้ว เวลาที่เหลืออัศวินอากาศล้วนแต่บินวนอยู่รอบๆ พื้นที่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอให้ศัตรูปรากฏตัวออกมา


ส่วนเรื่องที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร กู๊ดไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย


นอกจากความสับสนและความรู้สึกกดดันที่สลัดออกไปไม่หลุดแล้ว สภาพแวดล้อมอันย่ำแย่ในชั้นเมฆเองก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน ไอน้ำชื้นๆ จับตัวเองผลึกอยู่ตรงหน้ากระจกและลำตัวเครื่องนี้ ถึงแม้ลมหนาวจะถูกซับในยางที่อยู่ในชุดนักบินป้องกันเอาไว้ แต่ความชื้นในอากาศก็ยังทำให้ร่างกายสูญเสียความอบอุ่นไป ทำให้มือและเท้าของเขาเชื่องช้าเหมือนท่อนไม้


ถ้าไม่เป็นเพราะด้านหลังเขายังมีฟินกิ้นคอยชวนคุยบ้าง เขาคิดว่าตัวเองคงจะทนมาไม่ได้ถึงตอนนี้


องค์หญิงทิลลีเคยตรัสเอาไว้ว่าฝ่าบาทกำลังวิจับอุปกรณ์สื่อสารชนิดหนึ่งอยู่ มันสามารถทำให้คนที่อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกันสามารถพูดคุยกันได้ ตอนนี้เขาได้แต่หวังให้อุปกรณ์ที่ว่านี้สร้างสำเร็จโดยเร็ว


“ดูนั่น ไฟเปลี่ยนสีแล้ว!”


ฟินกิ้นพลันตะโกนออกมา


กู๊ดมองไปทางซีกัลป์ ก่อนจะเห็นไฟสีเหลืองที่อยู่ตรงด้านหลังเครื่องบินเปลี่ยนเป็นสีแดงสด


เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที!


ไฟสีแดงหมายถึงสัญญาณบุกโจมตี ทันทีที่ไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาควรจะบินออกจากชั้นเมฆลงไปด้านล่าง จากนั้นก็เปิดฉากโจมตีใส่ศัตรู!


ส่วนศัตรูจะเป็นใครจะไปสนใจทำไมล่ะ


ยังไงซะมันก็ดีกว่าบินวนอยู่ในชั้นเมฆที่เหมือนกับเขาวงกตนี้!


กู๊ดกดคันบังคับลงอย่างไม่ลังเล


ชั้นเมฆสีขาวปกคลุมเขาทันที


ในตอนที่ทัศนวิสัยกลับมาเป็นเหมือนเดิม กู๊ดพลันรู้สึกเบาไปทั่วทั้งร่างกาย พื้นดินสีขาวสลับดำกับท้องฟ้าที่เทาอึมครึมกลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาพร้อมกันยังมีอสูรสยองที่บินสลับไปสลับมากลุ่มหนึ่ง พวกมันไม่ได้สังเกตเห็นอัศวินอากาศที่บินมุดลงมาจากชั้นเมฆเลย พวกมันอยู่ห่างจากพื้นไม่ถึง 300 เมตร เป้าหมายของพวกมันคือหน่วยรถบรรทุกที่วิ่งอยู่บนพื้น


ส่วนหัวเครื่องบินของพวกเขาก็ชี้ไปยังทิศทางที่ศัตรูกำลังมุ่งหน้าไปพอดี นี่ถือเป็นมุมการยิงที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก ขอเพียงควบคุมมุมก้มเงยของเครื่องบินให้ดี กระสุนที่ยิงออกไปก็จะสาดทะลุกลุ่มของศัตรูได้ ยิ่งไปกว่านั้นอัศวินอากาศยังได้เปรียบในเรื่องความสูงด้วย หลังยิงรอบแรกออกไปแล้ว ไม่ว่าอสูรสยองจะตอบโต้อย่างไร พวกมันก็ยากที่จะสลัดหลุดการไล่ยิงของเครื่องบินปีกสองชั้นได้


เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบตามตำราเป๊ะ


ความกลัดกลุ้มที่ต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในชั้นเมฆสลายหายไป กู๊ดกดหัวเครื่องบินพุ่งลงไปพร้อมกับกดปุ่มยิงปืน


ฟินกิ้นที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา


บนท้องฟ้ามีลำแสงสีเงินสิบกว่าเส้นปรากฏขึ้นมาทันที พวกมันยิงเข้าใส่กลุ่มอสูรสยองจากมุมที่แตกต่างกัน เมื่อเจอกับการโจมตีที่มาอย่างกะทันหัน ปีศาจไม่สามารถทำการตอบโต้ใดๆ ได้ ดอกไม้เลือดหลายดอกเบ่งบานขึ้นมาบนท้องฟ้า ปีศาจกับอสูรสยองที่โดนยิงร่วงตกลงไปข้างล่างราวกับก้อนหิน


ในเวลานี้พวกมันถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้ล่าเพียงหนึ่งเดียวบนสนามรบนี้


ฝูงปีศาจแยกตัวออก ปีศาจกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหน่วยรถบรรทุก อีกฝ่ายก็หันหัวเลี้ยวมา เหมือนพวกมันคิดจะสู้ตายกับอัศวินอากาศ


26 ตัว กู๊ดนับจำนวนอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


ในอีกแง่หนึ่ง จำนวนของทั้งสองฝั่งเหมือนจะเท่ากัน หากตัดพวกอสูรสยองลาดตระเวนไม่กี่ตัวที่เขาเคยเจอไปก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นศึกกลางอากาศขนาดใหญ่ครั้งแรกของพวกเขา


“โบกธงให้ไฮน์ ให้เขาตามพวกเรามา!”


เขาตะโกนเสียงดัง


ในเวลาสั้นๆ แค่ 20 วินาที อัศวินอากาศก็บินผ่านหัวอสูรยองไป การโจมตีรอบแรกจบลงด้วยชัยชนะของพวกเขา


ด้วยความเร็วจากการที่พุ่งลงไป เฮฟเว่นเฟลมที่กู๊ดขับอยู่จึงทำการบินวกกลับตัดเข้าไปยังด้านหลังของอสูรสยองที่พยายามจะบินไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึง 200 เมตร เขามองเห็นปีศาจคุ้มคลั่งกำลังพยายามหมุนตัวเพื่อหามุมขว้างหอกเหมาะๆ


แต่เขาไม่มีทางปล่อยให้ฝ่ายได้มีโอกาสนั้นแน่นอน


ปากกระบอกปืนพ่นเปลวไฟออกมา กระสุนส่องวิถีที่ปล่อยแสงสว่างออกมาพุ่งทะลุด้านหลังของอสูรสยองราวกับดาวตก การร่วงตกลงไปของอสูรสยองทำให้ความพยายามที่จะปาหอกของปีศาจคุ้มคลั่งพังทลายลง ถึงแม้จะไม่โดนยิ่งใส่ แต่การตกจากความสูงระดับนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน


ฟินกิ้นผิวปากออกมา


เพื่อนอัศวินอากาศคนอื่นๆ พากันล็อกเป้าหมายของตัวเอง ทั้งสองฝ่ายโรมรันเข้าใส่กัน


การโจมตีรอบที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว


…………………………………………………………………………


ตอนที่ 1341 ภูมิใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทางขวา สี่นาฬิกา…สองตัว!” เสียงเตือนของเพื่อนกับเสียงยิงของปืนดังผสมกันฟังดูขาดๆ หายๆ “ระวังหอก!”


กู๊ดหักคันบังคับไปทางซ้าย เครื่องบินหมุนตัวและเอียงไปทางด้านล่างอย่างรวดเร็ว


“ฟ้าว!”


เสียงหวีดของหอกกระดูกดังผ่านหัวไป หอกเล่มหนึ่งแทงทะลุปีกเครื่องบินจนเป็นรูขนาดเท่ากำปั้น


เขาเร่งความเร็วต่อโดยไม่มองศัตรู ทำให้เครื่องบินบินต่อไปด้วยความเร็วสูงสุด


นี่คือวิธีการรบที่องค์หญิงทิลลีสรุปออกมาจากประสบการณ์ในการสู้รบกับปีศาจก่อนหน้านี้ อสูรสยองจะมีความคล่องตัวอย่างที่เครื่องบินไม่อาจเทียบได้หากบินด้วยความเร็วต่ำ พวกมันสามารถหยุดค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็สามารถเลี้ยวกลับหรือบินกลับตัวได้ในพื้นที่เล็กๆ ทำให้กลยุทธ์การบินเพื่อสลัดการไล่ตามอย่างที่ฝึกซ้อมมานั้นไม่อาจใช้ได้ ขณะเดียวกันเพื่อนนักบินที่เป็นมือยิงที่นั่งอยู่ด้านหลังก็แทบจะไม่สามารถวิเคราะห์เส้นทางการบินของเป้าหมายได้ ทั้งสองข้อนี้ไม่เป็นผลดีต่ออัศวินอากาศหากต้องสู้กันแบบพัวพัน


แต่ขณะเดียวกัน อสูรสยองก็มีจุดอ่อนที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นคือวิธีการโจมตีเพียงหนึ่งเดียวของมันมาจากการปาหอกของปีศาจที่ขี่อยู่ข้างหลังมัน ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการบินกับการไต่ระดับก็ไม่อาจสู้เฮฟเว่นเฟลมได้ หินเวทมนตร์ขว้างปาที่ใช้ได้ติดต่อกันอย่างมากแค่สองครั้งก็ต้องอยู่ในระยะใกล้ถึงจะสามารถแสดงอานุภาพได้


ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ถูกศัตรูล็อกเป้า วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือศัตรูก็คือใช้ส่วนท้องของเครื่องบินเผชิญหน้ากับศัตรู ขณะเดียวกันก็รีบทิ้งระยะห่างระหว่างศัตรู จากนั้นค่อยบินไต่ระดับขึ้นไปใหม่ แล้วใช้ปืนซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องระยะการโจมตีสังหารศัตรู ตรงที่นั่งทั้งสองที่บนเครื่องบินล้วนแต่ติดตั้งแผ่นป้องกันเอาไว้ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้หอกกระดูกแทงทะลุมาถูกนักบินได้ ส่วนตัวเครื่องบินที่ดูแล้วเหมือนเป็นเป้าอันบอบบาง แต่ขอเพียงหอกกระดูกไม่แทงถูกโครงสร้างหลัก มันก็แทบไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรต่อตัวเครื่องบินเลย


ตอนนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดระหว่างเฮฟเว่นเฟลมกับเครื่องบินฝึกซ้อมก็คือการใส่ตัวควบคุมการหมุนของปีกเข้าไปในคันบังคับหลัก นักบินใช้แค่มือเดียวก็สามารถคุมการก้มเงยและทิศทางของเครื่องบินได้อย่างง่ายดาย


ทันทีที่บินด้วยความเร็วเต็มที่ ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบวินาทีก็สามารถสลัดศัตรูได้แล้ว ในระหว่างนี้ปีศาจคุ้มคลั่งปาหอกได้อย่างมากก็แค่สองครั้ง การจะปาหอกให้ถูกเครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


ซึ่งการรบจริงสองครั้งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีการรบแบบนี้นั้นได้ผล จนถึงตอนนี้อัศวินอากาศเสียเครื่องบินไปหลายลำแล้ว แต่ยังไม่มีใครที่ตายอยู่ในสนามรบแม้แต่คนเดียว


เครื่องยนต์ส่งเสียงคำรามดังลั่น กู๊ดเร่งความเร็วบินออกไปหลายร้อยเมตรในพริบตา ในเวลานี้ต่อให้ปีศาจคุ้มคลั่งคิดจะปาหอกใส่เขา มันก็ไม่มีโอกาสที่จะปาถูกเขาได้


ทว่าหลังจากที่เขาดึงหัวเครื่องบินขึ้นมา เขากลับไม่ได้วนกลับไปหาปีศาจสองตัวที่กำลังเล็งเป้ามาที่ตัวเอง หากแต่เพ่งความสนใจไปที่เพื่อนอัศวินอากาศอีกลำที่กำลังถูกปีศาจไล่ตามอยู่


ส่วนศัตรูที่อยู่ด้านหลังเขา เขายังมีไฮน์ที่กำลังรอจัดการพวกมันอยู่


เขาใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของความสูงและทัศนวิสัยไล่โจมตีศัตรูที่ตามไล่ล่าเพื่อนของตน ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เพื่อนที่อยู่อีกลำหนึ่งคอยป้องกันด้านท้ายของตัวเอง นี่คือกฎการสู้รบข้อที่สองของอัศวินอากาศ


หลังบินขึ้นลงไปสองครั้ง กู๊ดก็สังหารศัตรูตัวที่สี่ของตนได้สำเร็จ


อัศวินอากาศเริ่มค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบ


ในเวลานี้ไลต์นิ่งกับเมซี่เองก็เข้ามาในสนามรบ ปีศาจทั้งหมดต่างตกใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร บนท้องฟ้าพลันมีอสูรสยองขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง มันดูแล้วดุร้ายอย่างมาก แต่เป้าหมายการโจมตีของมันกลับเป็นพวกเดียวกันเอง อสูรสยองแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน ถึงแม้ปีศาจคุ้มคลั่งจะกระตุกเชือกอย่างโกรธแค้น แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้


ความวุ่นวายนี้ยิ่งทำให้ปีศาจเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น ไลต์นิ่งบินไปมาบนสนามรบราวกับภูติ การบินด้วยความเร็วเสียงในระยะสั้นๆ ทำให้เหล่าปีศาจไม่อาจตอบโต้ได้ ในขณะที่พวกมันยกหอกขึ้นมา ปืนลูกโม่ของไลต์นิ่งก็ไปจ่ออยู่ที่หัวของพวกมันแล้ว


ทุกๆ หนึ่งนาทีจะมีอสูรสยองถูกยิงร่วงลงไปด้านล่าง บนท้องฟ้าเหมือนมี ‘ฝนปีศาจ’ ตกลงมา


ฟาร์รีน่าที่อยู่ด้านล่างย่อมต้องเห็นภาพอสูรยักษ์ตกลงมาบนพื้น


เธอเห็นสัตว์ประหลาดสองปีกที่ทั่วทั้งร่างมีเลือดไหลออกมาตกลงมาบนพื้นหิมะที่อยู่ไม่ไกลจากถนน แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้มันกลิ้งอยู่หลายรอบกว่าจะหยุดลง ส่วนปีกและขาของมันก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วราวกับผ้าขี้ริ้ว


บนฟ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


กองทัพที่หนึ่งเตรียมรับมือศัตรูที่อยู่บนฟ้าเอาไว้ตั้งแต่แรกจริงๆ ด้วย แต่ตอนแรกเธอคิดถึงแต่ว่าพวกเขาจะใช้อาวุธปืนมาจัดการกับปีศาจพวกนี้ ทว่าจนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากท้ายรถเลย กลับกลายเป็นบนท้องฟ้าที่มีเสียงดังแปลกๆ ราวกับว่าบนนั้นกำลังมีการต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่


แต่ปัญหาคือ…บนฟ้าเนี่ยนะ?


ฟาร์รีน่าสะกดความอยากรู้เอาไว้ไม่อยู่ เธอฉวยโอกาสตอนที่รถวิ่งอยู่บนทางตรงชะโงกหน้าออกไปมองบนท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลัง


และสิ่งที่เธอมองเห็นทำให้เลือดทั้งตัวของเธอพลันเดือดพล่านขึ้นมา!


“พระเจ้า…”


เธอบ่นพึมพำขึ้นมา


ด้านล่างชั้นเมฆมีลำแสงสีเงินสว่างขึ้นมาเหมือนกับแสงแดดยามเช้าที่ส่องทะลุชั้นเมฆลงมา ส่วนแหล่งกำเนิดแสงที่ว่านั้นมาจากนกยักษ์สีเทารูปร่างพิเศษฝูงหนึ่ง — ความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้มันไม่เหมือนกับโครงกระดูกในหมอกแดงพวกนั้น ฟาร์รีน่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านกยักษ์ที่สู้กับปีศาจพวกนั้นคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา


ซ้ายขวาเท่ากัน ทั่วทั้งร่างสมดุล เป็นเหลี่ยมเป็นมุม เผยให้เห็นถึงความงามของอาวุธสงคราม แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ฟาร์รีน่าถึงได้รู้สึกตกตะลึง


ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่มนุษย์สามารถขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้าอันเป็นดินแดนของพระเจ้าได้เหมือนกับนก?


‘พวกเรา’…ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?


เธออดนึกถึงข่าวที่เธอเคยเห็นในเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์ไม่ได้ ตรงตำแหน่งพาดหัวข่าวที่ดูสะดุดตามีภาพสีขาวดำอยู่ภาพหนึ่ง เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่อยู่ในภาพนั้นเหมือนกับนกเหล็กที่อยู่บนฟ้าพวกนี้


งั้นเหรอ ที่แท้พวกมันก็คือเฮฟเว่นเฟลม


ตอนนี้ในหนังสือพิมพ์ใช้คำว่า ‘ภาพประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ’ ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เพราะคำพูดที่อวยตัวเองแบบนี้เธอเคยเห็นมาเยอะแยะมากมายแล้ว แต่ตอนนี้ฟาร์รีน่าพบว่าต่อให้คำพูดเหล่านั้นมันจะโอ้อวดมากกว่านี้อีกสิบเท่า มันก็ไม่สามารถนิยามความรู้สึกของเธอในเวลานี้ได้


ทอดถอนใจ เสียใจ น่าหัวเราะ ตื่นเต้น…แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความภาคภูมิใจ


เธอภาคภูมิใจ


ที่ตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน


ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่หลบอยู่ในห้องของโจไม่ออกไปไหน ตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง…


ร่างกายของฟาร์รีน่าสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มือของเธอจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น


ถึงแม้จะพลาดอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็หันกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”


…..


ซิลเวียมองเห็นอย่างชัดเจน ปีศาจที่ไล่ตามโจมตีอยู่บนท้องฟ้าเริ่มจะพ่ายแพ้แล้ว ภายใต้การโจมตีสลับไปสลับมาของอัศวินอากาศ ไลต์นิ่งและเมซี่ คู่ต่อสู้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง มีอสูรสยองหลายตัวที่ถอยหนีไปโดยไม่ฟังคำสั่งของปีศาจคุ้มคลั่งที่ขี่มันอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลต่ออสูรสยองตัวอื่นๆ ด้วย เพียงแต่ในระยะห่างเท่านี้ พวกมันไม่สามารถหลบนี้การไล่ฆ่าของไลต์นิ่งได้


ส่วนปีศาจที่พุ่งโจมตีใส่ขบวนรถบรรทุกก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ปีศาจคุ้มคลั่งสิบกว่าตัวทำตามประสบการณ์ที่ผ่านมา พวกมันกระโดดลงจากหลังของอสูรสยองในตอนที่บินผ่านขบวนรถ โดยหวังจะใช้วิธีนี้ในการหลบความได้เปรียบในเรื่องระยะห่างของปืนกล แต่สิ่งที่พวกมันต้องเผชิญกลับเป็นแม่มดอาญาสิทธิ์ที่เหนือกว่าอมนุษย์ ขณะเดียวกันในมือแม่มดเหล่านี้ยังถือปืนลูกซอง 40 มม.เอาไว้ด้วย


จุดจบของพวกมันแทบจะเรียกได้ว่าน่าอนาถ


ในตอนที่มองเห็นเหล่าแม่มดฉีกศัตรูเป็นชิ้นๆ ด้วยรอยยิ้มที่ดูบ้าคลั่ง แม้แต่ซิลเวียเองก็ยังไม่ทนดูไม่ได้


ในเวลานี้ พวกเธอคว้าชัยชนะในศึกนี้ได้เป็นที่แน่นอนแล้ว


………………………………………………………………………….


ตอนที่ 1342 แนวโน้มยืดเยื้อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ทิลลีถาม


“พวกปีศาจที่ไล่ตามขบวนรถบรรทุกถูกกำจัดจนแทบจะหมดแล้ว ปีศาจที่ยังเหลืออยู่บนฟ้าต่างพากันหนีไปแล้ว พวกเราน่าจะชนะแล้วล่ะเพคะ” ซิลเวียตอบ


“เสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย” แอนเดรียยักไหล่อย่างเสียดาย “ดูเหมือนราชาปีศาจตัวนั้นจะบาดเจ็บหนักทีเดียวนะเนี่ย”


ซีกัลไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ หากแต่คอยบินวนบนในชั้นเมฆเพื่อคอยระวังเฮคซอดหรือราชาปีศาจตัวอื่นที่อาจจะปรากฏตัวออกมา เพราะตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดจะใช้รับมือพวกราชาปีศาจที่มีความสามารถแปลกประหลาดพวกนั้นคือการซุ่มโจมตีระยะไกลของแอนเดรีย


แต่ซิลเวียกลับรู้สึกโล่งใจที่ราชาปีศาจไม่ได้โผล่ออกมา


เธอรู้ว่าการโจมตีครั้งนี้กับการซุ่มโจมตีสกายลอร์ดเมื่อครั้งที่แล้วนั้นไม่เหมือนกัน ที่ศัตรูไม่สังเกตเห็นซีกัลที่ซ่อนตัวอยู่ก็เป็นเพราะในตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่บนเครื่องบิน การเปลี่ยนแปลงบนสนามรบล้วนแต่ใช้การแจ้งผ่านรูนสดับ ถึงแม้ตัวเธอจะถูกปีศาจดวงตามองเห็น แต่ซีกัลป์ก็ยังแอบซ่อนตัวอย่างไร้ซุ่มเสียงอยู่


แต่ครั้งนี้ต้องออกมาทำศึกในพื้นที่ที่ไกลจากค่าย เธอจึงจำเป็นต้องติดตามซีกัลมาด้วย ถึงจะสามารถสั่งการได และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ถ้าหากสกายลอร์ดปรากฏตัวพร้อมกับปีศาจดวงตาตัวใหม่ ซีกัลก็จะถูกอีกฝ่ายเห็นด้วยเหมือนกัน พูดอีกอย่างก็คือมีแต่ตอนนี้เฮคซอดหรือปีศาจระดับสูงตัวอื่นๆ ปรากฏตัวตามลำพังเท่านั้น แอนเดรียถึงจะสามารถโจมตีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัวได้


ไม่อย่างนั้นถ้าหากโจมตีไม่ถูก สถานการณ์หลังจากนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ยากจะคาดเดาได้


ด้วยเหตุนี้การที่พวกมันไม่ปรากฏตัวกลับกลายเป็นเรื่องดี


เพราะไม่มีอะไรจะน่าดีใจไปกว่าการทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์ และทุกคนรอดกลับมาอย่างปลอดภัย


“เจ้าไม่มีโอกาสลงมือน่ะดีแล้ว ถ้าหากเฮคซอดปรากฏตัวจริงๆ ข้าไม่คิดว่าขบวนรถบรรทุกจะถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัย” ทิลลีส่ายหัวอย่างจนปัญหา “ข้าเดาว่าตอนที่เอดิธส์วางแผนนี้ เธอน่าจะวัดดวงว่าปีศาจดวงตาที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะหามาทดแทนได้ง่ายๆ ดังนั้นสกายลอร์ดถึงไม่กล้าปรากฏตัวสุ่มสี่สุ่มห้า”


คำพูดนี้แทบจะตรงกับสิ่งที่ซิลเวียคิดอยู่ในใจ


เธอพยักหน้าหงึกๆ ออกมา สมแล้วที่เป็นองค์หญิงทิลลี!


“เออใช่…” ทิลลีขับซีกัลมุดออกมาจากชั้นเมฆ “ในเมื่อชนะแล้ว อย่างนั้นก่อนกลับพวกเราไปดูกันหน่อยไหมว่ากำจัดปีศาจไปได้เท่าไร”


สำหรับเรื่องนี้ ซิลเวียถือว่ามีประสบการณ์โชกโชนทีเดียว เมื่อไม่มีอุปสรรคมาขัดขวางการมองเห็น เธอใช้พลังเวทมนตร์เพียงนิดเดียวก็สามารถประเมินดูคร่าวๆ ได้แล้ว


แต่พริบตาที่ได้ข้อสรุปออกมา เธอก็ต้องรู้สึกตกใจทันที


“สองพัน…ไม่สิ เกือบสามพัน…”


“สามพัน?” ทิลลีถามอย่างแปลกใจ “ทำไมถึงเยอะขนาดนี้?”


“ปีศาจคุ้มคลั่งพวกนั้น” ซิลเวียมองไปทางเนินเขาพร้อมสูดหายใจ “ก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้วิ่งไปหาขบวนรถ หากแต่กำลังวิ่งหนีต่างหาก!”


ในตอนนี้เธอถึงได้สังเกตเห็นรูจำนวนมากที่อยู่บนยอดเขา เห็นได้ชัดว่าเพื่อที่จะประหยัดการใช้หมอกแดง ปีศาจส่วนใหญ่จึงมุดลงไปอยู่ใต้ดิน มีแต่ตอนนี้ต้องต่อสู้เท่านั้น พวกมันถึงจะถูกปลุกขึ้นมา แต่หลังจากที่อสูรยักษ์ป้อมปราการล้มลง หมอกแดงที่ไม่มีแหล่งให้กำเนิดก็สลายตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ปีศาจพวกนี้จึงต้องเผชิญกับหายนะ


พวกมันไม่ได้แห่ลงมาจากบนเขาเพื่อกำจัดผู้บุกรุก หากแต่พวกมันสังเกตเห็นว่าหมอกแดงกำลังสลายหายไป พวกมันจึงมุดออกมาจากที่ซ่อนตามสัญชาติญาณ ก่อนจะวิ่งลงมาจากบนเขาโดยหวังว่าจะไปให้ถึงจุดจ่ายหมอกแดงจุดต่อไปก่อนที่การหายใจจะถูกตัดขาด


แต่ไม่ว่าจะเป็นเมืองแซนด์ซิตี้หรืออ่าวดีพพูลก็ล้วนแต่อยู่ห่างไกลจากพวกมันมาก


โลกที่หมอกแดงสลายหายไปกลับมาดูสะอาดสะอ้านอีกครั้ง แต่สำหรับปีศาจแล้ว นี่กลับเป็นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้ พวกมันวิ่งไปได้ไม่เท่าไรก็พากันล้มลงไปกองกับพื้นอยู่ตรงตีนเขา ยกเว้นปีศาจส่วนน้อยที่มีถังหมอกแดงซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้ได้หนีไปหมดแล้ว


ทีมที่ปรึกษาได้ทำการวิเคราะห์ในจุดนี้เอาไว้ได้อย่างถูกต้อง ก็เหมือนกับที่เกรย์คาสเซิลไม่สามารถแจกหินอาญาสิทธิ์ให้ทหารทุกคนได้ ศัตรูกก็ไม่สามารถแจกจ่ายถังหมอกแดงกับอุปกรณ์ช่วยหายใจให้ปีศาจทุกตัวได้เหมือนกัน หลังจากกองทัพที่มีอุปกรณ์ครบครันถูกส่งไปโจมตีเมืองของมนุษย์แล้ว ปีศาจที่เฝ้าอยู่ที่นี่ก็เหลือเพียงแค่พวกปีศาจที่เดิมใช้ชีวิตอยู่ในเขตหมอกแดงเท่านั้น


ถ้าช้ากว่านี้อีกสองวัน บางทีสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงก็ได้


แม้แต่คนขับรถที่รับสมัครมาจากนอกกองทัพก็ยังต้องรีบโจมตีกลับในวันถัดมาหลังจากที่กองทัพที่หนึ่งถอนกำลังจากอ่าวดีพพูล ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างมาก


“ข้าว่า หลังศึกนี้ชื่อไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือนี้จะต้องเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งสี่อาณาจักรแน่” ทิลลีพูด


…..


คนไม่ถึงร้อยคนบดขยี้ศัตรูเกือบสามพันตัว ความสูญเสียนั้นมีแค่รถบรรทุกไอน้ำหนึ่งคันกับเฮฟเว่นเฟมอีกสองลำ ทหารที่เข้าร่วมรบไม่มีใครเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว การโจมตีกลับที่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้ทำให้ขวัญและกำลังใจของศูนย์บัญชาการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้แต่เสียงในขณะรายงานของทุกคนก็ดังขึ้นกว่าเดิม


แต่เอดิธส์ไม่ได้แสดงความดีใจออกมาเพราะเรื่องนี้เลย เธอประกาศแผนการต่อไปออกมาแทบจะในวันเดียวกับที่ข่าวถูกส่งมาถึงเคจเมาเธ่น


แผนการนี้ได้รับการเห็นชอบจากขวานเหล็กทันที


ขบวนรถบรรทุกได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางตรงไปทางช่องแคบตะวันตกของเคจเมาเธ่นในระหว่างทางขากลับ รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำกลั่นที่ใช้สำหรับลูกบาศก์เวทมนตร์ไปเจอกับขบวนรถบรรทุกระหว่างทางเพื่อเติมน้ำให้กับพวกเขา จากนั้นก็ตรงไปทางช่องแคบตะวันตกพร้อมกัน


อัศวินอากาศกลับมาถึงเมืองธอร์น หลังทำการเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นบินอีกครั้ง ก่อนจะไปถึงสนามบินช่องแคบตะวันตกก่อนท้องฟ้าจะมืด


เที่ยงวันถัดมา ขบวนรถบรรทุกที่เดินทางต่อเนื่องตลอดทั้งคืนก็เข้าสู่ดินแดนตะวันตกของวูล์ฟฮาร์ท เนื่องจากการขับรถในเวลานี้ทำให้ยากที่จะหลบลีกสิ่งกีดขวางและหลุมบนทางได้ ระหว่างทางที่มาจึงมีรถบรรทุกเสียหายไปอีก 3 คัน ส่วนรถบรรทุกที่เหลือก็เดินทางเข้าโจมตีอสูรยักษ์ป้อมปราการต่อโดยไม่หยุดพัก


ถึงแม้ปีศาจจะรู้ว่ามนุษย์กำลังคิดเล่นงานเสาโอเบลิสเคลื่อนที่เหล่านี้ แต่พวกมันกลับคิดไม่ถึงว่าหน่วยโจมตีกลับของมนุษย์จะเดินทางข้ามไปอีกฝั่งของอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทในเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งวันครึ่ง ในเวลานี้อสูรยักษ์ป้อมปราการอีกตัวหนึ่งเพิ่งจะถอยมาถึงในเมืองกัสต์ แล้วก็ไม่มีการวางกำลังป้องกันรอบนอกเอาไว้ ขบวนรถบรรทุกฝ่าการโจมตีของอสูรสยองที่บินลาดตระเวนเข้ามาถึงระยะ 10 กิโลเมตร ก่อนจะติดตั้งปืนใหญ่ป้อม 4 กระบอก


อัศวินอากาศรับบทบาทเป็น ‘นักล่าอีกครั้ง’ ด้วยความร่วมมือกันของซิลเวียและทิลลี นักบินใหม่ที่เพิ่งจะลงสนามรบได้ไม่ถึงครึ่งปีใช้แผนการเดิมซ้ำอีกครั้ง ในตอนที่พวกอสูรสยองเล็งเป้าไปที่ปืนใหญ่ พวกเขาก็พุ่งลงมาจากด้านบนและไล่สังหารอสูรสยองจนแตกกระจาย


อสูรยักษ์ถูกปืนใหญ่ยิงจนแหลกเป็นชิ้นๆ ส่วนขบวนรถที่มีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยคุ้มกันถึง ถึงแม้ปีศาจคุ้มคลั่งจะเข้าไปใกล้ แต่พวกมันก็ไม่อาจทำอะไรได้


พอถึงวันที่สาม ศัตรูก็เริ่มขยายวงป้องกันของเมืองทั้งสี่ออกไป แล้วก็ส่งปีศาจออกไปทำลายถนนที่ปูขึ้นมาอย่างง่ายๆ ระหว่างเมือง แต่แนวรบทั้งเส้นยาวหลายร้อยกิโลเมตร การจะป้องกันโดยไม่ให้ช่องโหว่เกิดขึ้นเลยนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในวันนั้นขบวนรถบรรทุกได้ขับผ่านพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเมืองแซนด์ซิตี้ไปหลายสิบกิโลเมตรเพื่อล่อปีศาจ ส่วนเฮฟเว่นเฟลมอีก 25 ลำก็บินอ้อมเทือกเขาสิ้นวิถีที่สูงชันตรงไปยังด้านหลังของเมืองเมธัลสโตนเพื่อทำลายเส้นทางขนส่งหมอกแดงของพวกปีศาจ


ในเวลานี้เอง การพ่ายแพ้ในศึกกลางอากาศสองครั้งติดกับการทำศึกมาเป็นเวลานานก็ค่อยๆ สร้างผลกระทบต่อปีศาจ กว่าพวกมันจะรวบรวมอสูรสยองมาได้มากพอ พวกอัศวินอากาศก็หายลับไปจากขอบฟ้าแล้ว


………………………………………………………………………..


ตอนที่ 1343 การตัดสินใจของราชา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในเวลาครึ่งเดือนหลังจากนั้น สนามรบในวูล์ฟฮาร์ทตกอยู่ในสภาพหยุดชะงักแบบแปลกๆ


เดิมปีศาจที่บุกโจมตีทั้งสี่เมืองควรจะตั้งหอเก็บหมอกแดงอันใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะกลืนกินวูล์ฟฮาร์ทและเตรียมโจมตีอาณาจักรดอว์น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าพวกมันถูกกองกำลังเคลื่อนที่ของกองทัพที่หนึ่งโจมตีไปทุกหนทุกแห่ง นอกจากอ่าวดีพพูลที่อยู่ติดทะเลแล้ว เมืองอื่นๆ อีกสามเมืองล้วนแต่ไม่สามารถสร้างหอเก็บหมอกแดงขึ้นมาได้


เมื่อถูกอัศวินอากาศลอบโจมตีหลายครั้ง พวกขุนนางและชาวบ้านที่รับผิดชอบการขนส่งหมอกแดงเองก็เริ่มหวั่นไหวเหมือนกัน นี่ทำให้ปีศาตจำเป็นต้องส่งกองกำลังมาเพื่อคอยจับตาและควบคุมให้การขนส่งหมอกแดงดำเนินไปได้ตามปกติ บวกกับแนวป้องกันที่ขยายตัวออกไป ทำให้ปัญหาเรื่องกำลังพลไม่พอเริ่มแสดงออกมาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ


ส่วนกองทัพที่หนึ่งนั้นก็มีความคิดแค่ว่ายิงปืนใหญ่ออกไปก็พอแล้ว พวกเขาไม่ได้ดึงดันที่จะโจมตีเข้าไปยังเมืองทั้งสี่ เพราะพวกปีศาจที่ลาดตระเวนอยู่รอบนอกสุดของแนวป้องกันเองก็เป็นเป้าหมายในการไล่ล่าของพวกเขาเหมือนกัน รถบรรทุกไอน้ำจำนวนหลายคันเดินทางไปประจำตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ติดตั้งปืนใหญ่ป้อมยิงใส่ตำแหน่งที่ปีศาจรวมตัวกันสองรอบ แล้วค่อยถอนกำลังหนีไป การทำศึกขนาดเล็กแบบนี้เกิดขึ้นวันละหลายรอบแทบจะทุกวัน


ภายใต้การโจมตีกระหนาบของเครื่องบินกับหน่วยปืนใหญ่ ปีศาจเองก็ไม่ได้คิดที่จะตั้งรับเพียงอย่างเดียว พวกมันเคยรวมกลุ่มเปิดฉากโจมตีกลับมาหลายครั้ง บางครั้งในตอนที่ทัพหน้าบุกโจมตีภูเขาเคจเมาเธ่น ทัพหลังของพวกปีศาจที่มีทั้งปีศาจและมนุษย์ผสมกันก็จะฉวยโอกาสใช้ดินปืนไปทำให้ถนนบริเวณรอบๆ เคจเมาเธ่นเสียหาย


แต่ในตอนนี้ถนนหลักที่เชื่อมระหว่างทางเหนือกับทางใต้ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซีเมนต์ที่อาณาจักรดอว์นผลิตขึ้นมาสามารถส่งมาที่แนวหน้าได้ตลอดเวลา ด้วยความร่วมมือกันของโลตัสและเหล่าคนงาน ทำให้ถนนที่ถูกระเบิดเหล่านั้นสามารถซ่อมเสร็จได้ในคืนเดียว ถึงแม้อุณหภูมิที่ต่ำและหิมะที่ตกลงมาจะทำให้ซีเมนต์แข็งตัวค่อนข้างช้า แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น หลังสร้างถนนสายหลักเสร็จ คนงานที่ว่างงานกลุ่มใหญ่ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่เคจเมาเธ่น ทำให้กองทัพที่หนึ่งไม่ขาดแคลนกำลังคนในด้านนี้เลย


เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ การโจมตีของปีศาจก็เริ่มที่จะช้าลงเรื่อยๆ ในตอนนี้การโจมตีของแนวหน้าของทั้งสองฝ่ายหงุดชะงักไปชั่วขณะ


….


“นายท่าน…”


เฮคซอดเงยหน้าขึ้นมามองดูซีอาซิสที่เหมือนกำลังอยากจะพูดอะไรออกมา ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง “ว่ามา”


เมื่อดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ข่าวร้ายในช่วงนี้มีเยอะมากเกินไปจนมันขี้เกียจที่จะแสดงความโกรธหรือผิดหวังออกมาแล้ว


“โทโทล็อคนำทัพไปโจมตีศูนย์บัญชาการของมนุษย์ที่เคยเมาเธ่นด้วยตัวเอง สุดท้ายตายอยู่ในสนามรบอย่างกล้าหาญขอรับ” ซีอาซิสก้มหน้า “….มันทำตามคำสัญญาของตัวเอง”


มันทำตามคำสัญญาของตัวเอง แต่มันกลับทำภารกิจของตัวเองไม่สำเร็จ เฮคซอดไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรมากนักต่อผลลัพธ์ที่เขาคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้


โทโทล็อกนำทัพออกไปเองก็หมายความว่านั่นเป็นกองกำลังสุดท้ายของทัพตะวันตกที่จะใช้สู้รบได้แล้ว มันได้รับเกียรติ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์แล้ว มันไม่มีความหมายใดๆ เลย ถ้าไม่เป็นเพราะลูกน้องของมันตัวนี้ยกระดับขึ้นมาจากเจ้าแห่งนรก แล้วก็ถนัดที่จะในการสู้รบแต่ไม่ถนัดในการควบคุมหินเวทมนตร์แล้วล่ะก็ แทนที่จะปล่อยให้มันถูกอาวุธของมนุษย์ฆ่าตาย สู้เอามันไปเปลี่ยนเป็นอายการ์ดระดับสูงยังจะมีประโยชน์มากกว่า


แต่สกายลอร์ดไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าลูกน้องอีกตัวหนึ่ง


ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาของโทโทล็อกเพียงตัวเดียว


ต่อให้เป็นแม่ทัพที่กล้าหาญและฉลาดแค่ไหน แต่ถ้ามีลูกน้องไม่พอมันก็ยากที่จะทำอะไรได้


คนที่ออกคำสั่งโจมตีคือตัวมัน


แต่คนที่จำกัดกำลังของกองทัพเอาไว้…คือจักรพรรดิ


ไม่ ไม่ใช่ จักรพรรดิให้การสนับสนุนมันมามากพอแล้ว คนที่น่าแค้นใจมากที่สุดก็คือบลัดดี้คองเคอเรอร์กับเดอะแมสก์ ถ้าบลัดดีคองเคอเรอร์ยอมส่งฮอร์นมามากกว่านี้ ถ้าเดอะแมสก์ส่งร่างซิมไบออนท์มาให้ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ ผลลัพธ์มันก็คงไม่เป็นแบบนี้


เฮคซอดกำมือที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่เอาไว้แน่น


แต่ถึงจะมีกองหนุนมา…ผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนไปจริงๆ เหรอ?


ทันใดนั้น ความคิดที่ยากจะสลัดหลุดออกไปได้ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของมัน


กำลังพลเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง กองทัพตะวันตกสามารถยึดวูล์ฟฮาร์ทเอาไว้ได้ แต่หลังจากนี้ยังมีอาณาจักรดอว์นกับเกรย์คาสเซิลอยู่ มันต้องเพิ่มกำลังพลอีกเท่าไรถึงจะพอ?


“ทั้งหมด…” สกายลอร์ดหลุดปากออกมา


“นายท่าน?” ซีอาซิสถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านว่าอะไรนะขอรับ?”


“ไม่มีอะไร” มันส่ายหัว ใช่แล้ว อุรูคเคยให้คำตอบเอาไว้แล้ว


‘ทิ้งเมืองที่ขุดแร่อาญาสิทธิ์ออกมาจนหมดแล้วพวกนั้น ยกทวีปครึ่งหนึ่งให้อาณาจักรซีสกายไป จากนั้นก็ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเข้าไปในดินแดนรุ่งอรุณ ไม่ใช่แค่สิบเท่าของที่วางแผนเอาไว้ หากแต่เป็นทั้งหมด ทั้งปีศาจที่มีอยู่และถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ บุกเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่ามนุษย์จะดับสูญ’


นี่คือข้อสรุปที่ได้มาจากลูกน้องที่ตัวเองให้ความสำคัญมากที่สุด


ตอนนั้นราชาทุกตนต่างมองว่านี้เป็นเพียงความคิดที่น่าขัน แต่ตอนนี้มันกลับเหมือนจะเข้าใจความคิดของอุรูคในตอนนั้นแล้ว


หลังลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายเฮคซอดก็ตัดสินใจ


มันมองดูไนท์แมร์ลอร์ดที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับ จากนั้นจึงลุกออกไปจากบ่อละอองชีวิต


“นายท่าน ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?”


“ยอดหอคอยแห่งการถือกำเนิด” สกายลอร์ดพูดเสียงคร่ำเคร่ง “ข้าจะขอให้จักรพรรดิเปิดประชุมสภา!”


…..


ทะเลหมอกที่ฟุ้งกระจายอยู่ใต้เท้ากับหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่เต็มไปด้วยดวงตาที่อยู่ตรงกลาค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมัน เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ มันก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย ปกติการประชุมสภาจะจัดขึ้นโดยจักรพรรดิ การที่ราชาเป็นฝ่ายขอให้จัดประชุมสภาขึ้นมาแบบนี้ไม่เพียงแต่จะดูเหิมเกริม แต่มันยังจะทำให้ราชาตัวอื่นๆ ไม่พอใจด้วย เพราะไม่ใช่ว่าราชาทุกตัวที่จะยินดีเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกที่อยู่ในการควบคุมของจักรพรรดิ


หากเป็นเมื่อก่อน เฮคซอดเองก็คงเกิดความรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจเวลาที่จะเข้ามาในหอเจ้าชีวิตเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว มีแต่วิธีนี้เท่านั้นมันถึงจะบอกความคิดของตัวเองให้จักรพรรดิและราชาตัวอื่นๆ รับทราบได้


โชคดีที่จักรพรรดิไม่ได้ปฏิเสธคำขอของมัน


ประมาณ 15 นาทีหลังจากนั้น ราชาตัวอื่นๆ ก็ทยอยปรากฏตัวอยู่บนบัลลังก์ที่ลอยอยู่


“เจ้าอีกแล้วเหรอ…เฮคซอด” เสียงของบลัดดี้คองเคอเรอร์ดังขึ้นมา “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทางตะวันตกมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงต้องให้รบกวนท่านจักรพรรดิให้เปิดสภาขึ้น หรือว่าเรื่องที่เจ้าจะรายงานหลังจากนี้มันสำคัญกว่าเรื่องที่ไนท์แมร์หายไปในโลกแห่งจิตสำนึก?”


“ใช่ ตอนที่วัลคีรีย์หายไปในโลกแห่งจิตสำนึก เจ้ายังไปรายงานท่านจักรพรรดิด้วยตัวคนเดียวเลย” เดอะแมสก์พูดสำทับขึ้นมา “แต่ตอนนี้กลับร้อนใจที่จะเปิดประชุมสภา อย่าบอกนะว่าเมืองสกายของเจ้ากำลังจะถูกแมลงพวกนั้นโจมตีแล้ว ข้าต้องลำบากอย่างมากกว่าจะดึงเอาทรัพยากรมาสร้างร่างซิมไบออนท์ให้เจ้าได้นะ”


เจ้านี่…โยนความรับผิดชอบมาให้ตัวเองอีกแล้ว เฮคซอดเหลือบมองดูมันด้วยสายตาเย็นชา ตอนแรกมันเป็นคนบอกเองว่าจะส่งร่างซิมไบออนท์มาให้ 5 เท่า แต่ผลสุดท้ายจนถึงตอนนี้มันกลับส่งมาให้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้อีกฝ่ายจะให้เหตุผลว่าเป็นเพราะอาณาจักรซีสกายโจมตีหนักขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องจริงที่อีกฝ่ายส่งร่างซิมไบออนท์มาให้น้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ หากเป็นเมื่อก่อน เฮคซอดไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะได้เล่นงานอีกฝ่ายแน่นอน


แต่ตอนนี้เฮคซอดไม่มีอารมณ์จะไปต่อปากต่อคำแม้แต่นิดเดียว


“พอได้แล้ว” เสียงของจักรพรรดิดังขึ้นมาในหัวของทุกคน “ข้าคิดว่าการที่สกายลอร์ดขอเปิดประชมสภาจะต้องมีเหตุผลของตัวเองอย่างแน่นอน พวกเจ้าฟังให้จบแล้วค่อยออกความเห็นก็ยังไม่สาย”


“นอกจากนี้…” ดวงตาที่อยู่บนหอคอยแห่งการให้กำเนิดต่างจับจ้องมาที่เฮคซอด “การหายตัวไปของไนท์แมร์ไม่ใช่ความผิดเจ้า แล้วข้าเองก็เห็นด้วยที่จะส่งไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไปด้วยเจ้าทำการรบ ข้าจึงหวังว่าเรื่องที่เจ้าจะรายงานคงจะไม่ใช่การมาพร่ำบ่นหรือขอกำลังเสริมหรอกนะ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเสียเวลาพวกเราทั้งหมด”


เฮคซอดสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลทันที


มันกลืนน้ำลาย ก่อนจะพูดออกไปว่า “เรียนจักรพรรดิที่เคารพ เรื่องที่ข้าอยากจะคุยนั้นเป็นเรื่องการช่วยเหลือแนวรบทางตะวันตกจริงๆ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่การขอกองทัพแค่ 1 – 2 กองหรือขอฮอร์นมาเพิ่มขึ้น หากแต่เป็น…”


สกายลอร์ดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองไปในดวงตาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นของจักรพรรดิ “พระผู้สร้าง”


…………………………………………………………………………..


ตอนที่ 1344 ทางเลือกของชะตาชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

พระผู้สร้างคือผลงานชิ้นเอกของเผ่าพันธุ์มันหลังจากที่ยกระดับขึ้นมา มันคือปาฏิหาริย์ที่ต้องเวลาเกือบร้อยปีและทรัพยากรอีกจำนวนนับไม่ถ้วนกว่าจะสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ มันถูกมองว่าเป็นก้าวกระโดดในการใช้เวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์ แล้วก็เป็นเครื่องมือที่จะใช้บดขยี้อาณาจักรซีสกาย


พอคำพูดนี้ออกไป ภายในหอเจ้าชีวิตตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าประหลาดไปชั่วขณะ


เฮคซอดอยากจะถอนคำพูดของตัวเองที่พูดไปเมื่อครู่นี้ แต่พอคิดถึงสถานการณ์การรบที่อาจจะดำเนินไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด มันจึงพยายามฝืนสะกดความคิดที่จะถอนคำพูดเอาไว้


มันจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบของจักรพรรดิดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าเราเคยคุยเรื่องนี้ไปเมื่อครั้งที่แล้ว เจ้าน่าจะรู้ว่าพระผู้สร้างมันมีความหมายอย่างไรต่อเผ่าพันธุ์ของเรา”


“ความหวังที่จะเอาชนะอาณาจักรซีสกาย” สกายลอร์พยักหน้า “แต่มันก็เท่านั้นขอรับ”


“อะไรคือแต่ก็เท่านั้น?” ในที่สุดบลัดดี้คองเคอเรอร์ก็ทนไม่ไหว มันคำรามเสียงดังออกมา “มันไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเรากำจัดข้อจำกัดของละอองชีวิตได้  แต่พวกเรายังสามารถอาศัยมันในการโจมตีกลับอาณาจักรซีสกายได้ด้วย ต่อให้เอามันไปใช้ในสนามรบทางฝั่งตะวันออก มันก็สามารถช่วยลดความกดดันของแนวป้องกันได้อย่างมาก! ซึ่งนี่หมายถึงความตายของเผ่าพันธุ์นับสิบๆ ล้าน แต่เจ้ากลับบอกว่ามันก็เท่านั้นอย่างนั้นเหรอ?”


“ตอนแรกก็เป็นลูกน้องอัจฉริยะของเจ้าที่มาขอให้ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี แล้วตอนนี้เจ้ายังมาขอให้เอาพระผู้สร้างไปใช้รับมือแมลง เจ้าสองตัวนี่เหมือนกันจริงๆ” เดอะแมสก์ยิ้มเยือกเย็นขึ้นมา มันมองทุกคนที่อยู่ในสภาหอเจ้าชีวิตอย่างชั่วร้าย “ไม่ทราบว่าทุกคนมีความเห็นยังไงบ้าง?”


“….ขอโทษด้วยที่ข้าไม่เห็นด้วย” เฮทริตตอบออกมาสั้นๆ


ราชาตัวอื่นๆ เองก็แสดงออกมาว่าไม่เห็นด้วย


มีเพียงไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เท่านั้นที่ไม่พูดอะไร


สำหรับสถานการณ์แบบนี้ เฮคซอดคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว มันรู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก จนมันไม่สามารถไปคุยกับจักรพรรดิตามลำพังด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ัตัดสินใจขอให้เรียกประชุมสภา ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากในสภา ทุกสิ่งที่มันทำก็จะไร้ความหมาย


ตอนนี้มนุษย์คล้ายกับพวกมันตอนหลังสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกอย่างมาก


ด้วยการดูดซับการสืบทอด เผ่าพันธุ์มันได้ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เทคนิคการใช้พลังเวทมนตร์แบบใหม่ๆ หลั่งไหลออกมา ทุกๆ สิบปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อัตราการยกระดับเพิ่มขึ้นสูงจนทำให้ร่างยกระดับระดับต้นไม่ใช่สิ่งที่หายากอีกต่อไป การประดิษฐ์ร่างซิมไบออนท์ขึ้นมาทำให้ร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์กลายเป็นนักรบได้ การใช้หินเวทมนตร์เองก็แพร่หลายขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ผลสำเร็จเหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนออกมาให้เห็นในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สอง ถึงแม้อาณาจักรซีสกายจะได้รับการยกระดับที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมัน แต่พวกมันก็ยังใช้เวลาไม่ถึง 30 ปีในการขับไล่มนุษย์ออกไปจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณ


แต่ตอนนี้ชะตาชีวิตเหมือนจะยืนอยู่ข้างมนุษย์


ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาก็ยังเร็วกว่าเผ่าพันธุ์ของมันในตอนนั้น เมื่อฟังจากปากขุนนางที่สวามิภักดิ์ต่อมันทำให้มันได้รู้ว่าเมื่อสิบปีก่อนอาณาจักรเกรย์คาสเซิลก็ไม่ได้ต่างอะไรตากอาณาจักรอื่นๆ เลย ส่วนราชาของเกรย์คาสเซิลในตอนนี้ หรือก็คือเจ้าชายลำดับที่สี่ขอตระกูลวิมเบิลดันก็ยิ่งไม่มีค่าอะไรให้พูดถึงเลย


ดังนั้นความลังเลกับการล่าช้าจึงมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น


มันจำเป็นต้องทำให้ทุกคนรู้ถึงจุดนี้


“เราพ่ายแพ้ศึกทางตะวันตกแล้ว” เฮคซอดสูดหายใจ มันนึกภาพออกเลยว่าบลัดดี้คองเคอเรอร์กับเดอะแมสก์จะทำหน้าแบบไหน แต่เพื่ออนาคตของเผ่าพันธุ์แล้ว มันได้โยนความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไป “ถึงแม้เผ่าพันธุ์เราจะยึดเอาอาณาจักรของมนุษย์มาได้สองอาณาจักร แต่เราก็ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะบุกเข้าไปต่อ การที่ไม่สามารถบุกเข้าไปต่อก็หมายความว่าพวกเรายากที่จะได้เศษชิ้นส่วนสืบทอดมาในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งนี่ไม่ได้ต่างอะไรกับความพ่ายแพ้เลย”


“เจ้าว่าอะไรนะ?” เดอะแมสก์ถามอย่างแปลกใจ “นั่นมันกองทัพที่มีกำลังมากกว่าแสนตัว แถมยังมีร่างซิมไบออนท์อีกตั้งหลายตัวนะ! แล้วจะไปแพ้ให้แมลงพวกนั้นได้ยังไง?”


“เจ้ากำลังหลอกจักรพรรดิงั้นเหรอ!” บลัดดี้คองเคอเรอร์คำรามใส่สกายลอร์ด “ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้ายังบอกอยู่เลยว่าสถานการณ์ทางตะวันตกเรียบร้อย เผ่าพันธุ์เราสามารถเข้าไปเหยียบในดินแดนของมนุษย์ได้อย่างราบรื่น! ละอองชีวิตปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดน แล้วตอนนี้เจ้ากลับมาบอกว่าไม่สามารถเอาชนะแมลงได้? นี่มันช่างน่าขันจริงๆ!”


“อุรูคเคยเตือนข้าเอาไว้แล้ว แต่ข้าไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคำเตือนนั้นมากพอ ก็เหมือนพวกเจ้าในตอนนี้ที่กำลังมองข้ามคำเตือนของข้า” มันค่อยๆ พูด เพราะว่าคำพูดมันยากจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแนวรบตะวันตกได้ ถ้าอยากจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ ข้าก็คงได้แต่ต้องให้พวกเจ้าเห็นด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้วล่ะ”


จากนั้นเฮคซอดก็ก้มหัวไปทางจักรพรรดิ เพื่อให้จักรพรรดิดึงความทรงจำออกมา


นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนมันไม่มีวันทำอย่างแน่นอน เพียงแต่เมื่อมาถึงตอนนี้ มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก อย่างน้อยจักรพรรดิก็คงไม่ถือสาคำพูดที่มันเผลอคิดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง


ดวงตาบนหอคอยแห่งความกำเนิดเบิกโพลงพร้อมกัน สัมผัสอันเยือกเย็นไหลทะลักเข้าไปในหัวของมัน เฮดซอดฝืนเปิดจิตสำนึกของตัวเอง พร้อมกับท่องว่าข้าจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ แล้วปล่อยให้สัมผัสเยือกเย็นนั้นไหล่ไปทั่วร่างกาย!


นกเหล็กที่บินไปมาบนฟ้า ฝนเพลิงที่ตกลงมาจากฟ้า ลูกบอลเพลิงที่ทั้งใหญ่และสว่างเจิดจ้า อีกทั้งลูกดอกหินอาญาสิทธิ์ที่สามารถยิงมาจากระยะไกล…ภาพแต่ละภาพค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา มันรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับไปสู้กับมนุษย์อีกครั้ง


หลังความรู้สึกหนาวเย็นหายไป สีหน้าของราชาทุกตัวต่างดูย่ำแย่ไปตามๆ กัน เฮคซอดรู้ว่าพวกมันต่างก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกมนุษย์ซุ่มโจมตีและเฉียดความตายไปเพียงนิดเดียวเหมือนกับตน


แม้แต่ทะเลหมอกแดงที่อยู่ใต้เท้าก็เดือดพล่านขึ้นมา


ถึงแม้อุรูคจะเคยรายงานเรื่องการเปลี่ยนของอาวุธที่มนุษย์ใช้ในการสู้รบมาแล้ว แต่คำพูดใดๆ ก็ไม่อาจเทียบกับประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองได้ ไม่มีสุดยอดอมนุษย์ แล้วก็ไม่มีอาวุธเวทมนตร์ มีเพียงแค่วัตถุโลหะรูปทรงแปลกๆ ที่ขี่โดยมนุษย์ที่ไม่มีเวทมนตร์ ร่วมมือกับแม่มดอีกแค่ไม่กี่คนก็สามารถเล่นงานราชาจนเกือบตายได้


“แมลง…สร้างของพวกนั้นขึ้นมาจริงๆ เหรอ?” เดอะแมสก์พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าสัมผัสถึงพลังเวทมนตร์ไม่ได้เลย”


“ความจริงนั่นคือจุดเด่นของพวกเขา” เฮคซอดรู้ว่าโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของมันมาถึงแล้ว “ความแข็งแกร่งของมนุษย์ไม่สามารถใช้แม่มดที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดมาเป็นเกณฑ์วัดได้อีก หากแต่ควรจะนับรวมผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์เข้าไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากมีอาวุธเหล่านี้แล้ว มนุษย์ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ที่เดิมเป็นพวกอ่อนแอก็สามารถสู้รบได้ไม่ต่างจากร่างระดับต้นเลย เผลอๆ มันอาจจะเล่นงานร่างยกระดับระดับต้นหรือร่างยกระดับระดับสูงได้ด้วยซ้ำ”


“แล้วยังไง? เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”


“ข้าอยากจะถามทุกคนว่า ต่อให้ใช้พระผู้สร้าง พวกเจ้ามั่นใจไหมว่าภายในสิบปีจะสามารถบุกเข้าไปยึดอาณาจักรซีสกายได้?


คำตอบคือไม่อย่างไม่ต้องสงสัย


พระผู้สร้างนั้นเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ในการโจมตีกลับ แต่มันกลับไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันว่าพวกมันจะคว้าชัยชนะมาได้ อาณาจักรซีสกายเองก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยกระดับเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเมื่ออยู่ในดินแดนของพวกมัน พวกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหน แผนการที่พวกมันวางเอาไว้ในตอนแรกก็คือป้องกันแบล็คสโตนเอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็กลืนกินชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ หลังจากที่เผ่าพันธุ์ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้วค่อยใช้พระผู้สร้างในการทำลายอาณาจักรซีสกาย


“ต่อให้เอาความผิดทั้งหมดโยนมาที่ข้าก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้แนวรบตะวันตกพ่ายแพ้เป็นที่แน่นอนแล้ว นี่คือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!” เสียงของเฮคซอดดังขึ้นมากกว่าเดิม “ถ้าเราไม่ทำอะไรล่ะก็ หลังจากนี้อีกสิบปีพวกเราไม่เพียงแต่จะไม่สามารถโจมตีกลับอาณาจักรซีสกายได้ แต่พวกเราอาจจะเอาชนะมนุษย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ! ผลลัพธ์สุดท้ายคือพวกเราถูกศัตรูบุกเข้ามาบดขยี้ในดินแดนของตัวเอง ข้าขอถามหน่อยว่าพระผู้สร้างสำคัญกว่าเรื่องนี้อีกอย่างนั้นเหรอ!”


“นี่มันก็แค่ความเห็นของเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น..” บลัดดี้คองเคอเรอร์กัดฟันพูด


“ไม่ใช่แน่นอน”


“หรือเจ้าอยากจะพูดถึงอุรูคอีก?”


“ไม่” สกายลอร์ดชะงักไปเล็กน้อย “ข้าหมายถึงไนท์แมร์ลอร์ดต่างหาก”


ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นการหลอกลวงเพียงเล็กน้อยก็ทำไปเพื่อความจงรักภักดี ในเวลาแบบนี้ มันไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว “ข้าไม่รู้ว่าไนท์แมร์ไปเจอเบาะแสอะไรในโลกแห่งจิตสำนึกกันแน่ จนทำให้มันเลือกที่จะเสี่ยงอยู่ในนั้นแล้วทิ้งสงครามในแนวหน้า แต่ก่อนที่จะเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกครั้งสุดท้าย วัลคีรีย์เคยบอกข้าว่ามันเริ่มจะเชื่อในการคาดเดาของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่บอกว่ามนุษย์น่าจะได้รับการสืบทอดบางอย่างมา”


บลัดดี้คองเคอเรอร์ตกตะลึงอยู่บนบัลลังก์


เสียงในสภาที่เดิมเทไปด้านหนึ่งเริ่มสั่นคลอนแล้ว


……………………………………………………………


ตอนที่ 1345 การกลับมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในฐานะที่วัลคีรีย์นั้นเป็นปีศาจระดับสูงที่ยกระดับเป็นราชากลุ่มแรกสุด คำพูดของมันย่อมต้องมีน้ำหนักมากกว่าราชาตัวอื่น แล้วก็มีแต่มันเท่านั้นที่สามารถรักษาน้ำเสียงและสภาพจิตใจเอาไว้ได้เป็นปกติเวลาที่พูดคุยกับจักรพรรดิ ราวกับว่าทั้งสองนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือจักรพรรดิเองก็ไม่เคยคัดค้านมันมาก่อนด้วย


ถ้านี่เป็นข้อสรุปที่ไนท์แมร์พูดออกมา มันก็ย่อมต้องมีความน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน


ยิ่งไปกว่านั้นเฮคซอดนั้นเคยพูดคุยกับอีกฝ่ายถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะได้รับการสืบทอดจริงๆ เพียงแต่อีกฝ่ายนั้นไม่เคยพูดออกมาจากปากตรงๆ จะมีก็แต่สมมติฐานที่ฟังดูสมเหตุสมผล ขณะเดียวกันเฮคซอดก็จงใจที่จะพูดเรื่องนี้หลังจากที่แสดงความทรงจำศึกทางตะวันตกออกมาให้ราชาตัวอื่นๆ ได้เห็น จักรพรรดิอาจจะตรวจสอบคำพูดนี้ในขณะที่ดึงความทรงจำของมันออกมา แต่ไม่มีทางที่จักรพรรดิจะไปตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะแน่


เพราะจิตสำนึกของจักรพรรดิมีความเป็นอิสระสูง การตัดสินทุกอย่างล้วนแต่ทำอยู่บนพื้นฐานของความจริง


คำพูดเหล่านี้เขาใช้เพื่ออุดปากผู้ที่เห็นต่างมากกว่า


สมองอันโง่เง่าจนน่าสงสารของบลัดดี้คองเคอเรอร์นั้นไม่สามารถมองสถานการณ์ออกได้ มันแต่ตอบสนองไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น


เพื่อที่จะปัดความรับผิดชอบแล้ว เดอะแมสก์ไม่มีทางยืนอยู่ฝั่งตัวเองง่ายๆ แน่


ราชาตัวอื่นส่วนใหญ่โลเลไม่แน่นอน การฝากความหวังของเผ่าพันธุ์ไว้ที่พวกมันนั้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลก


ด้วยเหตุนี้เฮคซอดจึงพูดคำพูดโกหกเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย


ตอนนี้การถอยต่างหากถึงจะเป็นทิ้งความรับผิดชอบต่อเผ่าพันธุ์


มันจำเป็นต้องพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้!


“การสืบทอดที่ไม่รู้จักอะไรนั่น นี่ัมันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…” เดอะแมสก์พูดเสียงต่ำอย่างสงสัย “พวกเราต่างเคยเห็นภาพในโถงแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์มาแล้ว ถ้าเผ่าพันธุ์นั้นมันมีอยู่จริง อย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ?”


“แล้วใครจะรับประกันได้ล่ะว่าข้อสรุปที่เผ่าพันธุ์เราได้มาก่อนหน้านี้มันถูกต้อง?” เฮคซอดพูดอย่างมั่นใจ “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ได้รับความเมตตาจากโชคชะตา แต่พวกเราก็เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาแล้วนี่! อย่าลืมสิ ก่อนที่พวกเราจะได้รับชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมใต้ดินมา พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แท้เศษชิ้นส่วนมันแบ่งได้”


“เจ้าหมายความว่า…” เฮทริตเหมือนจะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา


ไม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือชักนำพวกเจ้าไปยังคำตอบที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมา  “ถ้าในโบราณสถานจำนวนมากมีเศษชิ้นส่วนหลงเหลืออยู่ล่ะก็…”


ราชาทุกตัวตกอยู่ในความเงียบ


ยกเว้นก็แต่บลัดดี้คองเคอเรอร์เท่านั้น


“แล้วมันยังไงล่ะ? ข้าไม่เห็นด้วยที่จะเอาพระผู้สร้างไปใช้รับมือพวกแมลงเด็ดขาด! อาณาจักรซีสกายยังคงบุกโจมตีเข้ามาอย่างหนัก ตอนนี้เรามีโอกาสให้พักหายใจ พวกเราก็ควรจะฉวยโอกาสนี้เสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันถึงจะถูก ข้าไม่มีพระผู้สร้าง แนวรบทางตะวันตกก็ยากที่จะรับมือกับศึกหนักที่ถ้าโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้ ถ้าหากกองทัพทางตะวันออกพ่ายแพ้ เมืองอีกสิบกว่าเมืองก็จะอยู่ในเงื้อมมือของพวกศัตรู!”


แต่ครั้งนี้กลับไม่มีใครออกเสียงสนับสนุนมันอีก


“เทียบกับเมืองสิบกว่าเมืองแล้ว อนาคตของเผ่าพันธุ์ต่างหากคือสิ่งที่เจ้าควรจะคิดถึง” เฮคซอดกวาดตามองมันด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็มองไปทางหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่อยู่ตรงกลางหอเจ้าชีวิต “ท่านจักรพรรดิ จริงอยู่ที่ถ้ากองทัพตะวันออกสูญเสียพระผู้สร้างไปจะทำให้สถานการณ์ยิ่งตกอยู่ในความได้เปรียบ แต่อย่างน้อยนั้นก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด ตอนนี้เวลาไม่อยู่ฝั่งพวกเรา มนุษย์กำลังดูดซับการสืบทอดของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อการเสียสละเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างนั้นการตัดสินใจหลังจากนี้จะมีความสำคัญอย่างมากขอรับ”


“เฮคซอด นั่นมันกองทัพของข้านะ!” บลัดดี้คองเคอเรอร์คำราม


สกายลอร์ดทำเป็นไม่ได้ยิน “ทุกคนต่างก็ได้เห็นแล้วว่าอาวุธสงครามที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือร่างระดับต้นก็ใช้งานมันได้เหมือนกัน! ถ้าเผ่าพันธุ์เราสามารถดูดซับการสืบทอดของพวกเขาได้ แล้วเอาฝนเพลิงกับนกเหล็กมาให้กองทัพของพวกเราใช้ สถานการณ์การรบกับอาณาจักรซีสกายก็จะเปลี่ยนไป! ต่อให้เสียแบล็คสโตนไป แต่สุดท้ายคนที่จะชนะสงครามแห่งโชคชะตาก็ต้องเป็นพวกเราแน่นอน!”


ในตอนที่ได้ยินเรื่องการหลอมรวมเข้ากับอาวุธใหม่ ในกรอบดวงตาที่เป็นโพรงของเดอะแมสก์พลันเปล่งแสงสว่างวาบออกมา


บลัดดี้คองเคอเรอร์ยังคงตะโกนอย่างโมโห “แต่ความสูญเสียเหล่านี้มันสามารถหลีกเลี่ยงได้…”


“พอได้แล้ว” ในที่สุดจักรพรรดิก็เอ่ยปากขึ้นมา “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว”


เฮคซอดใจชื้นขึ้นมา


จักรพรรดิไม่ได้รับผลกระทบจากการถกเถียงกันของพวกมัน มันจะตัดสินใจไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ส่วนราชาตัวอื่นๆ เองก็เริ่มจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่างน้อยพวกมันก็ไม่แสดงอากาศต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน แบบนี้ก็จะทำให้การลงฉันทามติภายในสภาดำเนินไปเร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นการถกเถียงกันของราชาและความล่าช้าจะทำให้สูญเสียเวลาอันมีค่าไป แล้วความกดดันที่กองทัพฝั่งตะวันตกสร้างให้กับมนุษย์อย่างยากลำบากก็จะสูญเปล่าด้วย


ถึงแม้นี่จะยังห่างจาก ‘การบุกเข้าไปด้วยกำลังทั้งหมด’ อย่างที่อุรูคบอกไว้ แต่นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่มันจะทำได้ในตอนนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เป็นผลงานชิ้นเอกของเผ่าพันธุ์ ตัวพระผู้สร้างจะต้องมีกำลังพลจำนวนมากคอยปกป้องคุ้มครองอย่างแน่นอน ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็เท่ากับเป็นการส่งกองหนุนมาช่วยกองทัพตะวันตก


และหลังจากที่สุดยอดอาวุธนี้มาถึงดินแดนรุ่งอรุณ แผนการรบทั้งหมดของมนุษย์ก็จะไร้ความหมาย


“ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ช่วยสนับสนุนกองทัพตะวันตกเหมือนเดิม” เสียงของจักรพรรดิดังขึ้นในหอเจ้าชีวิต “เอาไว้พระผู้สร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อไรก็ให้เดินหน้าเข้าไปยังดินแดนของมนุษย์เพื่อชิงชิ้นส่วนสืบทอดมา กองทัพตะวันออกให้ถอยมาทางใต้ก่อน หากจำเป็นให้ทิ้งเมืองบางส่วนได้ เพื่อจะได้ลดการสูญเสียของพวกร่างชั้นต่ำ หากสถานการณ์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกมันยังถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญอยู่”


“รับทราบ” ราชาทุกตัวพากันรับคำสั่ง


“แต่บลัดดี้คองเคอเรอร์ก็พูดถูกเหมือนกัน แผนการรบในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามที่วางไว้แต่เดิมคือทางตะวันออกคอยกันอาณาจักรซีสกายเอาไว้ แล้วให้ทางตะวันตกกลืนกินมนุษย์ แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องย้ายพระผู้สร้างไปทางตะวันตก ทำให้ความเสียหายของทางตะวันออกเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ สกายลอร์ด…เจ้าคิดว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยงั้นเหรอ?”


ทันใดนั้นเอง เฮคซอดพลันรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ไต่ขึ้นมาบนสันหลัง ในสายตาของมัน ดวงตาของหอคอยแห่งการให้กำเนิดมารวมตัวอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นดวงตาขนาดมหึมา ตัวมันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ดูตัวเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับมัน เพียงแค่ตาดำของมันก็ใหญ่พอที่จะใส่ตัวมันเข้าไปได้ตั้งหลายตัว ลูกตาลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับจับจ้องมาที่เฮคซอดด้วยสายตาเยือกเย็น ราวกับว่าขอเพียงกลิ้งมาข้างหน้าเล็กน้อย มันก็สามารถบดขยี้เฮคซอดให้กลายเป็นผุยผงได้สบาย ภายใต้ความกดดันแบบนี้ แม้แต่ความคิดที่จะเปิดประตูมิติมันก็ยังไม่กล้าคิดขึ้นมาเลย


ในหอเจ้าชีวิต จักรพรรดิไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้า


“ความสามารถของเจ้าย่อมสำคัญ แต่มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะมองข้ามในจุดนี้ไป นี่คือความผิดพลาดสุดท้ายของแผนการตะวันตก อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีก ไม่อย่างนั้น…”


ความไม่สบอารมณ์ของมันไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมาแสดงออก เพราะความรู้สึกกดดันที่ถาโถมเข้ามานั้นได้แสดงออกทุกอย่างแล้ว


“ข้า…เข้าใจแล้วขอรับ”


ดวงตาหายไป หอเจ้าชีวิตเองก็สลายหายไป หอคอยของเมืองสกายและหมอกแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าเฮคซอดอีกครั้ง


“นายท่าน เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ?”


“ไม่เป็นไร…” สกายลอร์ดมองดูซีอาซิสที่เฝ้าอยู่ข้างกายพร้อมส่ายหัว เดิมมันคิดว่าตัวเองเตรียมพร้อมดีแล้ว แต่ในตอนที่ต้องเผชิญต่อแรงกดดันของจักรพรรดิจริงๆ ความรู้สึกไม่สบายและความขัดแย้งภายในใจของมันก็เป็นเหมือนภูเขาที่ล้มลงมาทับมัน


นี่เป็นแค่…ปฏิกิริยาที่ตอบสนองออกมาเองเท่านั้น


เฮคซอดหลับตา


ทุกอย่างล้วนแต่ทำเพื่อเผ่าพันธุ์


มันทำดีที่สุดแล้ว


………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)