Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1335-1338

 ตอนที่ 1335 บทเพลงปลุกขวัญกำลังใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำแบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ?” นาน่าหันหน้ากลับมา


เวนดี้เดินออกมาจากหลังผ้ามาก ก่อนจะยิ้มๆ แล้วลูบหัวเธอ “เจ้าตัดสินใจแล้ว มาถามข้าตอนนี้มันจะไม่สายไปหน่อยเหรอ?”


“เพราะข้าไม่รู้ว่าทำแบบนี้มันดีหรือไม่ดี” เธอมุ่ยปาก “ข้าไม่ได้ฉลาดเหมือนพี่อันนาที่ทำอะไรก็มั่นใจ”


“คนที่ทำแบบนางได้มันมีอยู่แค่ไม่กี่คนหรอก” เวนดี้พูดเสียงอ่อนโยน “ดังนั้นเจ้าแค่เลือกคำตอบที่ไม่ทำให้เจ้าเสียใจภายหลังก็พอ”


เมื่อมองดูสาวน้อยที่ทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เธอก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้


จำได้ว่าตอนที่เจอนาน่าครั้งแรก อีกฝ่ายนั้นเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงดา พอเห็นนกก็ไปร้องเล่นกับนก พอเห็นเลือดก็เป็นลม อย่าว่าแต่จะคิดแทนคนอื่นเลย แม้แต่ปัญหาของตัวเองเธอก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ


แต่ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ปี เธอกลับเรียนรู้ที่จะมองปัญหาในมุมของคนอื่น แล้วก็ทำการวิเคราะห์ออกมาในมุมมองของตัวเอง ความเร็วในการเติบโตของเธอเร็วจนน่าตกใจ


ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เธอ แต่ไลต์นิ่ง โลก้า ลิลลี่ หรือแม้แต่ลูน่าเองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน


ไม่ว่าการตัดสินใจของพวกเธอจะถูกหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเธอก็กล้าที่จะตัดสินใจ


นี่น่าจะเป็นลักษณะพิเศษของคนหนุ่มสาวล่ะมั้ง…


เวนดี้ยิ้มอย่างเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย


ส่วนตัวเอง…กลับไม่มีความกล้าแบบนั้นอีกแล้ว …..


คาบาราเดินตรงไปยังสถานที่ที่จัดแสดงละครเวที เธอไม่ต้องการป้ายบอกทาง แสงไฟในเวลาค่ำคนและเสียงเฮของผู้คนคือป้ายบอกทางที่ดีที่สุด


ฝีเท้าของเธอเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการเดินเป็นวิ่งเหยาะๆ ไม่รู้ว่าทำไม เธอรู้สึกว่าร่างกายเบากว่าแต่ก่อน ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเป็นแบบนี้ เธออยากจะกลับไปหาหน่วยของเธอให้เร็วที่สุด


เธอเรียกพลังเวทมนตร์ขึ้นมา แล้วออกคำสั่งให้ตัวเองนิดหน่อย


หาโจเดลให้เจอ


แน่นอน การที่ทำแบบนี้ก็เหมือนที่จะได้หากลุ่มของเธอให้เร็วที่สุด


เธอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เธอมั่นใจได้ก็มีแค่เขาเท่านั้น


ร่างกายของเธอเดินมุดเข้าไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็วราวกับแมวป่า สายตาคอยมองดูรอบๆ ไม่หยุด แล้วก็พยายามเทียบกับความทรงจำในหัวของเธอ ผ่านไปสิบห้านาที ในที่สุดคาบาราก็หาคนที่คุ้นเคยคนนั้นเจอ


แทบจะในเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายก็มองเห็นเธอเหมือนกัน


“โจ…”


“เยี่ยมไปเลย เจ้าไม่เป็นอะไร!” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ โจเดลพลันกอดเธอเอาไว้


คาบาราตัวแข็งไปทันที


หากเป็นเวลาปกติ เธอคงจะหลบฉากออกมา แล้วก็ตบหน้าเขาไปทีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นโจเดลที่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าตน สุดท้ายมือที่ยกขึ้นมาของเธอก็ไม่สามารถตบลงไปได้


แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ โจเดลก็รู้สึกตัว เขารีบปล่อยมืออย่างลนลาน ก่อนจะพูดอึกๆ อักๆ ว่า “ขอ ขอโทษ…ข้าลืมไปว่าเจ้าคือ….เอ่อ ข้าแค่ดีใจเกินไป ไม่ได้มี ไม่ได้มีเจตนาอื่น…”


คาบาราสังเกตเห็นว่ามีคนที่คุ้นเคยอีกสองคนกำลังเดินมาทางนี้เช่นเดียวกัน


ดูเหมือนคนที่รอดชีวิตมาจากหอนาฬิกาได้จะไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น


เธอคว้าเอาโจเดลที่กำลังพูดขอโทษมากอดไว้


“ถ้าเป็นเมืองไอรอนแซนด์ การกระทำที่ดูหมิ่นเทพีของเจ้าแบบนี้เพียงพอที่จะทำให้เจ้าถูกลากออกไปเป็นอาหารของแมงป่องทะเลทรายเลยรู้ไหม” เธอกระซิบที่ข้างหูเขา “แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่เทพีอะไรนั่น หากแต่เป็นทหารชาวทะเลทรายคนหนึ่ง เข้าใจไหม? จะแสดงก็แสดงให้มันเนียนหน่อย อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


“ข้า ข้าเข้าใจแล้ว” โจเดลไม่กล้าขยับ


“ดีมาก อย่าลืมซะล่ะ แต่จะว่าไปถ้าข้าเป็นฝ่ายดึงเจ้ามา นั่นกลับจะกลายเป็นเกียรติของเจ้า แล้วก็ไม่ต้องถูกจับไปเป็นอาหารของแมงป่องทะเลทรายด้วย” คาบาราชะงักไปเล็กน้อย “ตอนนี้ไปฉลองกับเพื่อนๆ เถอะ”


“ทำไมเจ้าถึงออกมาจากหน่วยพยาบาลเร็วขนาดนี้!”


“แขนไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”


ในขณะที่พูด ทั้งสองคนก็ล้อมเข้ามา ทุกคนโอบกอดกัน แบ่งปันความสุขของการยังมีชีวิตอยู่ ส่วนบนเวทีแสดงละครที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว ละครเวทีก็ดำเนินมาถึงท้ายเรื่องแล้ว เสียงปรบมือดังต่อเนื่องราวกับสายฝน ไม่มีใครสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์เล็กๆ ของกลุ่มที่ 9 นี้


ในขณะนั้นเอง ขวานเหล็กซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพที่หนึ่งก็ขึ้นไปบนเวที


เมื่อเขาเริ่มพูด ทุกคนก็เงียบลง


“ข้ารู้ว่าใน 8 วันที่่ผ่านมา พวกเจ้าผ่านการทดสอบที่โหดร้ายราวกับนรก ที่ผ่านมาไม่เคยมีสงครามครั้งไหนที่จะโหดร้ายทารุณขนาดนี้”


“เพราะพวกมันไม่ได้บุกโจมตีเพื่อดินแดน อำนาจหรือทรัพย์สมบัติ เป้าหมายของปีศาจมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือกำจัดพวกเราให้หมดสิ้น นอกจากสิ่งนี้แล้ว พวกมันไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก”


“ดังนั้นศัตรูมันไม่สนใจว่าพวกเราจะยอมแพ้หรือไม่ แล้วก็ไม่สนใจว่าพวกมันจะสูญเสียไปเท่าไร ต่อให้การสูญเสียของพวกมันมากกว่าพวกเรา พวกมันก็ไม่มีทางหยุดโจมตีเด็ดขาด!”


“แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยังป้องกันพวกมันมาได้จนถึงตอนนี้ แล้วก็รอดชีวิตมาจากบททดสอบนรกนี้ได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าถึงแม้ปีศาจที่บุกเข้ามาอย่างเต็มกำลังจะแข็งแกร่งน่ากลัว แต่พวกมันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งจนกระทั่งไม่สามารถเอาชนะได้เหมือนอย่างที่ร่ำลือกัน! ในการทดสอบ 8 วันนี้ ความสำคัญของมันเรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศึกที่ทาคิลาเลย!”


“ที่นั่น พวกเราเอาชนะกองทัพปีศาจหนึ่งกองทัพ แต่ที่วูล์ฟฮาร์ท สิ่งที่เราต้องเผชิญคือกองทัพปีศาจ 6 – 7 กองทัพ! ปีศาจโอบล้อมเข้ามา ตั้งแต่ภูเขาทางตะวันตกไปจนถึงหน้าผาฝั่งตะวันตก ทุกที่ล้วนแต่มีพวกมันอยู่! แต่จนถึงตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่ถูกกำจัด!”


ในกลุ่มคนมีเสียงเฮดังขึ้นมา


ขวานเหล็กหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งเสียงให้ดังขึ้น “ถูกต้อง เพื่อที่จะหนีการโจมตีของมัน ข้าได้สั่งให้ถอยออกมาจากเมืองเมธัลสโตนและเมืองกัสต์ บางทีเมืองแซนด์สโตนกับอ่าวดีพพูลก็อาจจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นโอกาสในการโจมตีกลับ!”


“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังกังวลอะไร แต่อย่าลืมคำพูดที่ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ สงครามนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ดินหรือทรัพย์สมบัติ ทำลายล้างคือเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของศัตรู สิ่งที่พวกเราทิ้งมานั้นเป็นแค่ก้อนหินเย็นๆ กับบ้านเรือนที่ไร้ผู้คน แต่ปีศาจกลับต้องล้มตายไปเป็นหมื่น!


“พวกเจ้าต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญของการเอาชนะสงคราม ขอเพียงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกองทัพที่หนึ่งยังอยู่ ช้าเร็วเราต้องเอาเมืองพวกนั้นกลับมาได้แน่!”


“ช้าเร็วไฟสงครามจะต้องลามไปถึงภูเขาเคจเมาเธ่น ที่นี่เองก็จะกลายเป็นสนามรบ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะให้พวกเจ้ามีความสุขกับค่ำคืนนี้! ผ่อนคลายเพื่อที่จะเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนามากกว่าเดิม หลังผ่านบททดสอบนรกนี่ไปแล้ว พวกเราจะมอบนรกคืนให้กับพวกมัน!”


“เกรย์คาสเซิลจงเจริญ ฝ่าบาทโรแลนด์จงเจริญ มนุษย์ชาติจงเจริญ!”


ในตอนที่ขวานเหล็กตะโกนประโยคนี้จบ ในค่ายก็มีเสียงเฮดังขึ้นมา


ทุกคนต่างประโยคแบบเดียวกันออกมา ความสงสัยและความกังวลภายในใจเองก็สลายหายไป


ขณะเดียวกัน ท่วงทำนองที่ปลุกใจคนก็ดังขึ้นมา


เอคโค่ค่อยๆ เดินมาที่หน้าเวทีเพื่อที่จะปิดฉากการแสดงครั้งนี้


ท่ามกลางเสียงเพลงที่ฟังดูฮึกเหิม คาบาราเหมือนจะมองเห็นภาพกองทัพบุกเข้าไปในฐานทัพของปีศาจราวกับน้ำป่าที่ไหลทะลัก


เธอรู้ว่านี่เป็นพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ได้ต่อต้านมัน


เมื่อฟังเสียงโห่ร้องของเหล่าทหาร เธอรู้สึกว่าแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน


คาบาราเหลือบมองดูโจเดลที่ส่งเสียงตะโกน ภายในใจมีความคิดผุดขึ้นมา


เอาไว้สงครามจบลงและเผ่าแซนด์สโตนมีที่อยู่ที่มั่นคงแล้ว เธอจะได้รับการยกโทษจากคนในเผ่าใช่ไหม?


เมื่อถึงตอนนั้น เธอค่อยมาให้นาน่า ไพน์รักษาบาดแผลบนใบหน้าแล้วกัน


…………………………………………………………………….


ตอนที่ 1336 การโจมตีกลับเริ่มต้นขึ้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันถัดมา หลังขวานเหล็กนั่งซีกัลกลับมาถึงศูนย์บัญชาการที่เคจเมาเธ่นแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของทีมที่ปรึกษาทันที


“เป็นยังไงบ้าง?” เอดิธส์นั่งดื่มชาอย่างใจเย็นอยู่ที่หน้าโต๊ะไม้สีแดง


เห็นๆ อยู่ว่าหลายวันมานี้ทุกคนต่างยุ่งอย่างมาก ทำงานถึงรุ่งเช้านั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่เธอยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูงดงามเอาไว้ได้ ราวกับว่าเธอมีพลังและเวลามากกว่าคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ขวานเหล็กเองก็ยังรู้สึกนับถือความสามารถแบบนี้ของเธอ


“ขวัญกำลังใจใช้ได้” เขาตอบสั้นๆ


“อย่างนั้นพวกเราก็ดำเนินแผนการต่อไปได้แล้ว” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มเล็กน้อย “แล้วก็เมื่อคืนนี้ ทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองแซนด์สโตนเองก็ถอยมาที่พื้นที่ป้องกันแล้ว”


“อย่างนั้นก็เหลือแค่อ่าวดีพพูล…” ขวานเหล็กมองไปยังแผนที่ที่อยู่บนกำแพง


“ข้าแนะนำให้พวกเขารีบถอยออกมาให้เร็วที่สุด แล้วก็ส่งทหารกองหนึ่งออกไปรับพวกเขามา ไม่จำเป็นต้องรอให้แนวป้องกันเกิดช่องโหว่ขึ้น”


ขวานเหล็กพยักหน้า เขาเองก็เห็นด้วยกันการวิเคราะห์นี้ ตอนนี้ปีศาจจากทางตะวันตกไปจนถึงตะวันออกอาจจะมีมากกว่า 5 หมื่นตัว ปีศาจจำนวนเท่านี้สามารถล้อมอ่าวดีพพูลได้สบายๆ ทันทีที่กองทัพปีศาจมารวมตัวกัน เกรงว่ากองทัพที่หนึ่งคงยากที่จะมีโอกาสให้ถอยอีก


ในเมื่อแผนการรบของพวกเขาตั้งแต่แรกไม่ได้อยู่ที่เมืองใดเมืองหนึ่งแล้ว อย่างนั้นการทิ้งอ่าวดีพพูลออกมาก่อนถึงเวลาเพื่อรักษากองทัพเอาไว้ก็เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล


นับตั้งแต่ที่ศัตรูเปิดฉากบุกเต็มที่ ภารกิจอพยพก็ไม่เคยหยุดลงเลย พวกชาวบ้านและพ่อค้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเมืองถูกส่งออกมาจากเมืองก่อน จากนั้นก็เป็นขุนนางกับตระกูลที่สวามิภักดิ์ต่อโรแลนด์ ในเวลานี้เมืองก็เป็นเหมือนกับเปลืองขนาดใหญ่ ขอเพียงออกคำสั่งไป ทหารรักษาการณ์ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ทันที


“ข้า…ไม่ค่อยเข้าใจ..” จู่ๆ อกาธาที่พลิกอ่านรายงานสงครามฉบับใหม่ก็บ่นงึมงำขึ้นมา


“มีปัญหาอะไรเหรอ?” ขวานเหล็กเดินเข้ามาหาเธอ


“ตัวเลขผู้เสียชีวิตของเรากับปีศาจต่างกัน…ตั้งสามสิบเท่า นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” เนื่องจากเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เมืองทั้งสี่ล้วนแต่ถูกศัตรูบุกโจมตี แถมรายงานยังแยกกันส่งมาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมานั่งสรุปตัวเลขใหม่อีกครั้ง และเพื่อป้องกันไม่ให้คิดผิดพลาด เธอจึงได้ทำการตรวจสอบสมการที่ใช้คิดคำนวณหลายรอบ คำตอบที่ได้ออกมาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


จากตัวเลขที่ทำการรวบรวมออกมา ตัวเลขทหารที่เสียชีวิตของทั้งสี่เมืองรวมกันได้ 1,500 กว่าคน แต่ตัวเลขของปีศาจที่ตายไปกลับมีสูงถึง 5 หมื่นตัว นี่มันเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก


หากเป็นสมัยสมาพันธ์ อกาธาจะต้องคิดว่าเป็นการทำรายงานปลอมขึ้นมาแน่นอน แต่เธอติดตามกองทัพที่หนึ่งออกรบมาหลายครั้งแล้ว ภายใต้ระบบที่มีการตรวจสอบกันไปมาหลายฝ่าย โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นนั้นมีน้อยมาก ต่อให้ตัดตัวเลขความผิดพลาดทิ้งไป 10 – 20%  ผลลัพธ์ที่ได้มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


เพราะว่าตอนที่กองทัพที่หนึ่งออกไปรบยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์ กองทัพปีศาจที่พวกเขาเผชิญหน้านั้นมีแค่ 2 หมื่นเท่านั้น! ในตอนนั้นพวกเขาพึ่งพารางเหล็กที่ทอดยาวเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรในการสร้างป้อมปราการขึ้นมาป้อมแล้วป้อมเล่า ซึ่งใช้เวลาในการสร้างและการรบไปทั้งหมดเกือบปี! พวกเขาถึงได้คว้าชัยชนะในศึกทาคิลามาได้


แต่แผนการของทีมที่ปรึกษาในครั้งนี้กลับมีแต่ถอยอย่างเดียว ทว่าจำนวนศัตรูที่สามารถสังหารได้ในเวลา 8 วันกลับมากกว่าศึกที่ราบลุ่มบริบูรณ์ถึงสองเท่า?


ถึงแม้ตอนนี้เธอจะมั่นใจในตัวมนุษย์ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นนี้ก็ยังทำให้เธอรู้สึกตกใจอยู่


เดิมอกาธาคิดว่าศึกครั้งนี้จะสู้กันอย่างยากลำบากมากกว่า


“อย่างนี้นี่เอง” หลังดูตัวเลขที่แม่มดน้ำแข็งสรุปออกมา เอดิธส์ก็ยิ้มขึ้นมา “บอกตรงๆ ผลลัพธ์จากแผนการนี้ก็เหนือกว่าที่ข้าคาดเอาไว้เหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้เป็นความดีความชอบของกองทัพที่หนึ่งไปซะทั้งหมด ความร่วมมือของปีศาจเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะการซุ่มโจมตีครั้งนั้นทำให้เฮคซอดบาดเจ็บไม่น้อย มันจึงไม่มีสมาธิมานั่งดูและรายละเอียดต่างๆ ของแนวหน้าอีก”


“แค่เหตุผลนี้น่ะเหรอ?” อกาธาพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังสงสัยอะไร” เอดิธส์โบกมือ “ดูเผินๆ แล้วเหมือนพวกเราใช้การถอยแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถสังหารศัตรูได้มากขนาดนี้ แผนการรบนั้นสรุปได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่ได้ง่ายแบบนั้น ในยุคสมัยทาคิลาเจ้ามักจะคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง การที่เจ้าไม่เข้าใจมันก็เป็นเรื่องปกติ สรุปง่ายๆ ก็คือ มีแต่กองทัพที่หนึ่งในตอนนี้ถึงจะใช้แผนการนี้ได้”


“กองทัพที่หนึ่งที่เดินทางไปทำศึกทาคิลาก็ไม่ได้เหรอ?”


“อย่างน้อยก็ทำได้ไม่ดีเท่าตอนนี้” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดอธิบาย “การถอยกับการพ่ายแพ้นั้นต่างกันแค่เส้นบางๆ กันอยู่ การที่ยังสามารถรักษาระเบียบเอาไว้ได้ทั้งๆ ที่ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล เพียงแค่จุดนี้ก็ถือว่ายากลำบากอย่างมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถอยอย่างเป็นระเบียบเลย หากเปลี่ยนเป็นกองทัพขุนนาง เกรงว่าแค่พวกเขาถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะกองทัพที่หนึ่งเคยผ่านศึกลอบโจมตีที่ทาคิลามา แล้วก็การปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดที่หน่วยอพยพแสดงออกมาให้เห็น ข้าเองก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะใช้แผนนี้เหมือนกัน”


“นอกจากนี้อาวุธใหม่เองก็มีส่วนสำคัญอย่างมากเช่นเดียวกัน อย่างน้อยตามถนนในเมือง พวกเขาก็สามารถใช้ปืนกลเอนกประสงค์กับปืนใหญ่สนามในการสู้กับปีศาจทั้งๆ ที่ไม่มีปืนใหญ่ป้อมได้ ซึ่งความได้เปรียบของอาวุธปืนก็คือระยะห่าง ทันทีที่สามารถทำให้ทั้งกองทัพเคลื่อนไหว แล้วก็รักษาความได้เปรียบในมือเอาไว้ได้ มันก็ไม่แปลกที่จะสร้างผลลัพธ์แบบนี้ออกมาได้”


เอดิธส์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ “แต่พวกเราก็สูญเสียแนวป้องกันรอบนอกไปเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของแผนการนี้ ทันทีที่ปีศาจยึดทั้งสี่เมืองเอาไว้ได้ พวกมันจะต้องเริ่มวางแผนการโจมตีรอบต่อไปแน่นอน ซึ่งเคจเมาเธ่นนั้นเป็นทั้งเกราะกำบัง แล้วก็เป็นทั้งแหล่งผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแสงแห่งอาทิตย์ ดังนั้นแผนการใช้สถานที่แลกคนนั้นจึงไม่สามารถใช้ต่อไปได้ พวกเราจึงจำเป็นต้องทำการตัดกำลังของศัตรูก่อนที่พวกมันจะฟื้นตัว”


“หมอกแดง..” อกาธาพูดเสียงเบาๆ


“ถูกต้อง ทั้งสี่เมืองนี้ต่างก็อยู่นอกเขตหมอกแดง การพึ่งพาเส้นทางการขนส่งหมอกแดงของปีศาจจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน มีโอกาสสูงมากที่บลัดไลน์จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นแนวรบในตอนนี้แทบจะพาดผ่านไปทั้งอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง”


“ก่อนที่หอเก็บหมอกแดงจะถูกสร้างขึ้นมา สิ่งที่ปีศาจจะพึ่งได้ก็คือแต่อสูรยักษ์ป้อมปราการที่เป็นเหมือนเสาโอเบลิสขนาดเล็กกับแรงงานคนในการขนส่งหมอกแดง” ขวานเหล็กพูดเสริม “ก่อนหน้านี้การบุกโจมตีจากทางด้านข้างทั้งหมดของพวกมันล้วนแต่เริ่มจากอสูรยักษ์ แต่ว่าจากการสำรวจของไลต์นิ่งกับเมซี่ หลังจากที่พวกมันสูญเสียปีศาจคุ้มคลั่งไปเป็นจำนวนมาก การปกป้องอสูรยักษ์ของพวกมันก็ไม่ได้แน่นหนาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ในตอนที่บุกโจมตีเมืองทั้งสี่ เส้นทางของขนส่งหมอกแดงของกองทัพหลักของปีศาจก็ล้วนแต่แอบซ่อนอยู่ในพื้นที่หมอกแดงทั้งหมด แต่หลังจากนี้มันจะเปิดเผยออกมาอยู่ตรงหน้ากองทัพที่หนึ่ง”


“ปัญหาคือนี่หมายความว่าพวกเราจำเป็นต้องเป็นฝ่ายบุกโจมตี” อกาธาพูดอย่างสงสัย “อสูรยักษ์สามารถเคลื่อนไหวได้เองอย่างอิสระ ตัวมันไม่กลัวการกราดยิงลงมาจากบนฟ้าของอัศวินอากาศ ถ้าอยากจะกำจัดพวกมันก็มีแต่ต้องส่งทีมภาคพื้นดินออกไป แต่พวกเรามองเห็นศัตรู ศัตรูมันก็มองเห็นพวกเราเหมือนกัน ต่อให้การคุ้มกันอสูรยักษ์ไม่แน่นหนาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่พวกมันก็อาจจะส่งกองหนุนมาช่วยก็ได้ เมื่อคำนวณเส้นทางดูแล้ว พวกเราอาจจะสูญเสียความได้เปรียบในเรื่องระยะทางไป ถ้าหากถูกปีศาจไล่ตามขึ้นมาทันล่ะก็…”


ในการทำศึกโดยที่ไม่มีอะไรคุ้มกัน ต่อให้กองทัพที่หนึ่งโจมตีปีศาจจนถอยไปได้ แต่พวกเขาก็ต้องเสียหายอย่างมากเช่นเดียวกัน


“ดังนั้นความเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญ” เอดิธส์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “ขอเพียงพวกเราโจมตีกลับให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่ศัตรูจะได้ทันตั้งตัวก็พอ”


แต่ต้องทำยังไงถึงจะทำแบบนั้นได้? สายตาของอกาธาเลื่อนไปมองแผนที่เพื่อพยายามหาทางลัดจากเคจเมาเธ่นไปถึงเมืองทั้งสี่ เส้นทางที่จะเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองที่นั้นมีอยู่ไม่น้อย ในนั้นมีทั้งเส้นทางการค้าก่อนหน้าานี้ แล้วก็มีเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการอพยพ เส้นทางเหล่านี้เชื่อมโยงไปมาระหว่างเมืองทั้งสี่กับเคจเมาเธ่นเหมือนกับใยแมงมุม


แต่ว่าเส้นทางเหล่านี้ไม่สามารถช่วยร่นระยะระยะทางได้ กองทัพที่หนึ่งไม่มีกองทหารม้า ต่อให้มีม้าเป็นจำนวนมากก็ไม่แน่ว่าจะไล่ตามอสูรยักษ์ป้อมปราการทัน ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธที่ทหารม้าสามารถพกพาไปได้ก็ยังมีจำกัดอีกด้วย จึงไม่เหมาะที่จะใช้รับมือกับสัตว์ประหลาดร่างยักษ์พวกนั้น


“แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเหมือนจะมองเห็นความไม่เข้าใจของเธอ “แผนการนี้ยังขาดปัจจัยที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง เอาไว้มันมาถึงเมื่อไร เงื่อนไขทุกอย่างก็จะครบสมบูรณ์ แต่ตามแผนการที่วางเอาไว้ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เห็นมันแล้วล่ะ”


…………………………………………………………………….


ตอนที่ 1337 เส้นเลือดใหญ่ของการขนส่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นสามวัน กองรักษาการณ์ที่อ่าวดีพพูลก็ถอนกำลังได้สำเร็จก่อนที่ปีศาจจะบุกเข้ามา


ในตอนนี้ เมืองกว่า 80% ได้ตกอยู่ในมือของปีศาจแล้ว


ส่วนกองทัพที่หนึ่งนั้นไปรวมตัวกันอยู่ที่ด่านด้านตะวันตกและด่านตรงกลางของเคจเมาเธ่น นี่เป็นเส้นทางธรรมชาติสองแห่งระหว่างวูล์ฟฮาร์ทกับดอว์น


และในวันเดียวกันนั้นเอง เส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างทางเหนือกับทางใต้ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ ถนนคอนกรีตที่ทอดยาวมาจากสองทิศทางมารวมกันอยู่ตรงด่านตรงกลางของเคจเมาเธ่น นี่หมายความว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นมีถนนที่เชื่อมตรงมาถึงวูล์ฟฮาร์ทแล้ว


และในตอนที่กองทัพรถ ‘ฮัม’ ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นบนปลายสุดของถนน กลุ่มคนที่มองดูอยู่รอบๆ พากันส่งเสียงอุทานตกใจออกมา


“นั่นมันอะไร? เหมือนภูเขาลูกเล็กๆ เลย!”


“มีล้อ ข้าว่าน่าจะเป็นรถล่ะมั้ง…”


“แม้แต่เปลือกข้างนอกก็ยังเป็นเหล็กเลย นี่ต้องใช้เงินเท่าไรเนี่ย…”


“ถ้าเอาม้ามาลาก ข้าว่าม้าสิบตัวก็ยังลากไม่ไปเลย”


เหอะ เจ้าพวกโง่ ไวท์ที่กวาดตามองดูเพื่อนร่วมอาชีพที่พากันสุมหัวพูดคุยด้วยสายตาดูถูก แค่นี้ก็ยังตกใจ ถ้าพวกเจ้าได้เห็นนกเหล็กที่บินอยู่บนท้องฟ้าพวกนั้น ลูกตาพวกเจ้าคงจะกระเด็นออกมาจากเบ้าเลยมั้ง


เขามาที่นี่ย่อมไม่ใช่เพื่อร่วมฉลองถนนเส้นใหม่ของคนเกรย์คาสเซิล หากแต่มาที่นี่เพื่อรับงาน หมือนกับคนขับรถคนอื่นๆ หลังจากที่ถูกปีศาจโจมตีเมื่อครั้งที่แล้ว เขาก็ไม่กล้าเหยียบไปในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของคนเกรย์คาสซิลอีก เพราะการที่ได้รับความช่วยเหลือจากนกเหล็กครั้งหนึ่งก็ถือว่าพระเจ้าเมตตาเขามากแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีเจอคนเกรย์คาสเซิลได้ทุกครั้งไป


และทีมขนส่งที่ผู้อพยพจัดตั้งกันขึ้นมาเองก็ได้จุดประกายความคิดให้กับไวท์ ถึงแม้รายได้จะไม่ดีเหมือนอย่างการรับส่งคน แต่มันก็ปลอดภัยมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ม้าของเขาจะแก่ รถของเขาจะเก่าแค่ไหน มันก็ยังดีกว่ารถเข็นของผู้อพยพมาก


แต่คนที่สังเกตเห็นในจุดนี้ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว เมื่อปีศาจรุกคืบเข้ามาใหม่และชาวเมืองต่างอพยพออกมาแล้ว คนขับรถหลายๆ คนเองก็เปลี่ยนมาอยู่แนวหลังเหมือนอย่างเขา ตอนนี้ทีมขนส่งที่ก่อตั้งขึ้นมาเองมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก แล้วก็เริ่มมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนกลายเป็นอาชีพ


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไวท์ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขามาถึงที่นี่ก่อน แต่กลับต้องมานั่งแย่งงานกับคนหนุ่มเหล่านี้ ถ้าเจ้าฉลาดอยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะมีทีมขนส่งเป็นของตัวเองแล้วล่ะมั้ง?


และเมื่อครู่นี้ เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านี้ก็เคลื่อนตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน


ถึงแม้พวกมันจะดูแล้วหนักและเทอะทะ แต่ความเร็วของมันกลับไม่ได้ช้ากว่ารถม้าเลย โดยเฉพาะในตอนที่ร่างกายของมันปรากฏขึ้นมาจนหมด แม้แต่ไวท์ที่เคยพบเจออะไรมามากมายก็ยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา


รถพวกนี้มันช่างใหญ่จริงๆ


แค่ล้อของมันก็สูงเกือบครึ่งตัวคนแล้ว ความกว้างของมันหนากว่าร่างกาย รอบนอกวงเหล็กมียางสีดำหุ้มเอาไว้ชั้นหนึ่ง เมื่อเหยียบไปบนถนนแล้วให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อหันกลับมามองรถม้าที่เดิมตัวเองมองว่าสุดแสนจะล้ำค่า ไวท์พลันเกินความรู้สึกขายหน้าขึ้นมา


และเมื่อเขาสบตากับคนขับรถที่มองผ่านกระจกใส่บานใหญ่หน้ารถลงมา ความรู้สึกที่ว่านี้มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น


ไวท์อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าใช้มันไปขนของล่ะก็ มันจะเท่ากับตัวเองใช้รถม้าขนกี่ครั้ง? ยังไงก็ต้องมีสิบกว่าครั้งแน่ๆ ถ้าใช้วิธีคำนวณตามปริมาณของคนเกรย์คาสเซิลล่ะก็ อย่างนั้นมันก็เท่ากับรายได้สิบเท่าเลยนะเนี่ย….


“พวกเขาแจกงานแล้ว!”


ไม่รู้ว่าใครตะโกนประโยคนี้ขึ้นมา แต่ทุกคนต่างหยุดพูดคุย แล้วก็แห่กันเข้าไปในค่ายทันที ถึงแม้ความสามารถในการขนส่งของรถที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเหล่านี้จะเหนือกว่ารถม้ากับรถลาก แต่ถ้าอยากจะเอาของไปส่งตามค่ายและพื้นที่ต่างๆ ในภูเขา ยังไงก็ต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่ดี


ไวท์เองก็วิ่งตามเข้าไปเหมือนกัน


เพียงแต่ภายในใจเขายังมีความคิดหนึ่งที่สลัดออกไปไม่ได้


ถ้าตัวเองมีรถล้อเหล้กแบบนี้ซักคันก็คงจะดี


……


ฟาร์รีน่าดึงเบรกมือ แล้วกระโดดออกมาจากห้องคนขับ


เธอคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายตัวเองจะกลับมาที่วูล์ฟฮาร์ทด้วยวิธีแบบนี้ ถึงแม้ภายในใจจะตัดสินใจแล้ว แต่เธอถึงเป็นอดีตสมาชิกของศาสนจักร ต่อให้ผ่านการคัดเลือก สำนักบริหารก็ไม่แน่ว่าจะอนุญาตให้เธอมาที่แนวหน้าของสนามรบ


แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เธอเคยเป็นสมาชิกของศาสนจักรเลย การจัดวางเส้นทางการขับรถดูจากคะแนนเพียงอย่างเดียว เธอใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็สามารถเรียนรู้เทคนิคการขับรถบรรทุกไอน้ำทั้งหมดได้ และสุดท้ายก็สอบผ่านด้วยคะแนนเต็ม ในตอนที่เธอบอกว่าเธออยากจะรับผิดชอบงานขนส่งระหว่างวินด์สวิปริดจ์กับแม่น้ำสปาร์คกิ้ง เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็ตอบตกลงทันที


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอผ่านด่านตรงนี้ ถึงแม้ภาพทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆ จะยังเหมือนกับในความทรงจำ แต่หน้าตาของมันกลับเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บริเวณใกล้ๆ ด่านมีเต็นท์และบ้านพักแบบชั่วคราวถูกสร้างขึ้นมาเต็มไปหมด ถนนพื้นแข็งสีเข้มมีให้เห็นอยู่ทุกที่ ที่กั้นถนน ป้อมและลวดเหล็กได้แบ่งค่ายออกเป็นพื้นที่ต่างๆ ให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหนของค่ายก็จะเห็นภาพคนกำลังวุ่นวายกับการทำงาน


ต่อให้ไม่ถามเธอก็สัมผัสได้ บรรยากาศของที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสงคราม


สำหรับฟาร์รีน่าแล้ว เธอคุ้ยเคยกับกลิ่นอายที่ว่านี้อย่างมาก จนทำให้เธอรู้สึกใจลอยเล็กน้อย


“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงของโจดังแทรกความคิดของเธอ


“เปล่า ไม่มีอะไร” ฟาร์รีน่าส่ายหัว “ข้ารู้สึกว่าข้าได้คำตอบแล้ว”


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทัพพิพากษา เธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลดีกว่าใครๆ หากศัตรูเป็นแค่ขุนนาง กองทัพที่หนึ่งไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย ถ้าบอกว่าทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้หน้าล้วนแต่เป็นสิ่งที่กองทัพที่หนึ่งแสร้งทำขึ้นมาเพื่อหลอกเธอ แบบนั้นมันจะเป็นการประเมินเธอสูงเกิดไปหน่อยหรือเปล่า


มีเพียงแค่ปีศาจในตำนานเท่านั้นถึงทำให้โรแลนด์ต้องทุ่มกำลังเต็มที่แบบนี้ได้


“อย่างนั้นต่อไปพวกเราจะ…”


“ช่วยราชาแห่งเกรย์คาสเซิลคว้าชัยชนะก่อน” ฟาร์รีน่าก้มหน้าเล็กน้อย “นี่คือการเริ่มต้นชดเชยความผิดของข้า”


“ข้าจะอยู่ข้างเจ้าไปตลอด” โจจับสองมือของเธอเบาๆ


“ฟาร์รีนากับโจจากกลุ่มที่สองใช่ไหม?” จู่ๆ ด้านหลังพลันมีเสียงดังขึ้นมาขัดจังหวะการสบตาของทั้งสองคน


“ใช่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ฟาร์รีน่ากระแอม ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย


ผู้ชายที่ท่าทางเหมือนนายทหารคนนั้นทำวันทยาหัตถ์ก่อน จากนั้นจึงพูดว่า “ท่านผบ.ขวานเหล็กอยากจะเจอหน้าคนขับ ‘ฮัม’ ทุกคน ตอนนี้ท่านผบ.อยู่ในศูนย์บัญชาการเคจเมาเธ่น ได้โปรดตามข้ามา”


สมาชิกในหน่วยรถบรรทุกได้ถูกแจ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้วว่างานขนส่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทางการทหาร หากมีการเรียกระดมพลจากกองทัพ พวกเขาจะต้องรีบวางงานในมือลงก่อน


ฟาร์รีนากับโจสบตากัน ก่อนจะพยักหน้าออกมา


….


หลังเข้ามาในศูนย์บัญชาการเคจเมาเธ่น แวบเรกที่ได้เห็นกลุ่มคน ฟาร์รีน่าก็รู้ทันทีว่าการพบกันครั้งนี้คงไม่ใช่การพบหน้าธรรมดาๆ อย่างที่เธอคิดเอาไว้แล้ว


อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่การพบหน้ากันเพื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบหรือเป็นงานเลี้ยงต้อนรับธรรมดาๆ แน่


เพราะผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้นั้นมีผมสีเทาที่สวยงาม และนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ทางสายเลือกของเกรย์คาสเซิล


กระทั่งหลังจากมีคนออกมากล่าวแนะนำแล้ว เธอถึงได้มั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง


องค์หญิงทิลลี ขวานเหล็กผู้บังคับบัญชาของกองทัพที่หนึ่ง แวนนาผู้บังคับการกองพันปืนใหญ่ ไบรอันผู้บังคับการกองพันปืน อกาธาบังคับบัญชาการรบของสโมสรแม่มด เรียกได้ว่าสมาชิกระดับสูงของแนวหน้าทั้งหมดต่างมารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว


“ยินดีต้อนรับสู่เคจเมาเธ่น” ขวานเหล็กพูดเปิดประเด็นตรงๆ “ข้ามีภารกิจหนึ่งอยากจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำ”


……………………………………………………………….


ตอนที่ 1338 บุกโจมตีหลายทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่ทหาร แล้วก็รู้ว่าในกองหนุนของกองทัพที่หนึ่งกับกองทัพที่สองมีทหารบางส่วนกำลังฝึกขับรถบรรทุกไอน้ำอยู่ แต่เวลามันไม่คอยท่า” สายตาที่สุขุมของขวานเหล็กกวาดตามองทุกคน “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นพลขับกลุ่มแรกที่ผ่านการทดสอบ แถมยังทำคะแนนได้ดีอย่างมากด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะปฏิบัติภารกิจนี้”


“ภารกิจนั้นง่ายมาก” เขาเดินไปยังแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอาธงอันหนึ่งเลื่อนไปวางตรงเส้นสีดำที่อยู่ในดินแดนตะวันออกของวูล์ฟฮาร์ท “ที่นี่อยู่ห่างจากด่านส่วนกลางประมาณ 150 กิโลเมตร พวกเจ้าเพียงแค่ขนคนบนรถกับของบนรถไปส่งที่นี่ จากนั้นรอพวกเจ้าโจมตีเสร็จแล้วก็รับกลับมา น่าจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถ้าโชคดีล่ะก็ พวกเจ้าก็จะไม่ได้เจอกับศัตรู”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ ขวานเหล็กจึงหยุดชะงักไปเล็กน้อย


ส่วนในกลุ่มคนมีเสียงพูดคุยดังจ๊อกแจ๊กขึ้นมา


เพราะความหมายอีกอย่างหนึ่งของคำพูดประโยคนี้ก็คือถ้าโชคไม่ดี พวกเขาก็จะเจอเข้ากับปีศาจ


หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ขวานเหล็กจึงพูดต่อว่า “แต่แน่นอน คนที่รับผิดชอบการสู้รบยังคงเป็นกองทัพที่หนึ่ง พวกเจ้าเพียงแค่ตั้งใจขับรถก็พอ หน่วยรถบรรทุกที่เดินทางมาถึงเคจเมาเธ่นมีทั้งหมด 10 คัน แต่ตามแผนการแล้ว รถบรรทุกแค่ 4 – 5 คันก็สามารถบรรลุเป้าหมายในการรบได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจะใช้วิธีรับสมัครในการคัดเลือกเหมือนอย่างสำนักบริหาร”


“ทุกครั้งที่ทำภารกิจขนส่งไปกลับเสร็จเรียบร้อย หน่วยรถบรรทุกหน่วยนั้นจะได้รับรางวัลพิเศษ 3 เท่าของเงินค่าจ้าง เงินรางวัลส่วนนี้ทางกองทัพเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่เพียงกับเงินค่าจ้างที่่จ่ายโดยสำนักบริหาร อย่างนั้น…คนที่สมัครใจทำภารกิจเชิญก้าวออกมา”


ฟาร์รีนาก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล


แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจเล็กน้อยก็คือ หน่วยรถบรรทุกทุกหน่วยต่างเลือกที่จะสมัครทำภารกิจ มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือความเร็วในการตัดสินใจเท่านั้น


เธอมาที่นี่ก็เพื่อต้องการจะเห็นปีศาจ อีกทั้งตัวเองยังเคยเห็นทหารอยู่ในกองทัพพิพากษา สำหรับเธอแล้ว การก้าวเข้าสู่สนามรบนั้นถือเป็นเรื่องที่เธอเห็นจนชิน แต่คนอื่นๆ นั้นไม่เหมือนกัน หากโยนสถานะพลขับรถบรรทุกทิ้งไป พวกเขาส่วนใหญ่เป็นแค่เพียงชาวบ้านของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น


สิ่งที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้ออกมาได้นั้นคือความมั่นใจที่มีต่อกองทัพที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


ขวานเหล็กเลือกหน่วยรถออกมาตามลำดับก่อนหลังเป็นจำนวน 5 หน่วยอย่างรวดเร็ว ฟาร์รีน่าซึ่งเป็นหน่วยที่ 2 ก็เป็นหนึ่งในนั้น


“เจ้าจัดการต่อได้เลย” ขวานเหล็กมองไปทางแวนนา “พรุ่งนี้ทันทีที่ฟ้าสาง สงครามจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!”


….


“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย” หลังจากพลขับทุกคนออกไปจากศูนย์บัญชาการแล้ว อกาธาจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “จำนวนคนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจมีไม่เยอะ แต่กลับต้องการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทั้งกองทัพ ยิ่งไปกว่านั้นในนั้นยังมีชาวเมืองธรรมดาด้วย แต่เวลาในการฝึกซ้อมกลับมีไม่ถึงวัน การจัดวางแผนแบบนี้มันรีบเร่งเกินไป”


ตอนนี้เธอเข้าใจคำว่า ‘ความเร็ว’ ที่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดถึงแล้วว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อดูจากแผนการเพียงอย่างเดียว แผนการนี้มีความเป็นไปได้ที่สูงมากจริงๆ


ในเวลานี้ถนนที่ถูกปูให้แข็งขึ้นเพื่อใช้ในปฏิบัติการอพยพได้กลายมาเป็นพื้นฐานในการโจมตีกลับ ถึงแม้ความกว้าง ความหนาและคุณภาพของมันจะไม่สามารถสู้ถนนเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างดินแดนทางเหนือกับทางใต้ได้ แต่มันก็ถือว่าดีกว่าถนนหินกรวดหรือถนนดินมาก หากจำกัดน้ำหนักในการบรรทุกเอาไว้ มันก็จะสามารถวิ่งไปได้เร็วขึ้น


และในระยะทางไปกลับ 200 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ยของรถบรรทุกไอน้ำนั้นเร็วกว่าอัศวิน ต่อให้อัศวินขี่ม้าโดยไม่หยุดพักอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาสองวัน หากเปลี่ยนเป็นรถบรรทุก มันสามารถไปกลับได้ในเวลานี้ 6 – 8 ชั่วโมง แถมมันยังสามารถบรรทุกอาวุธหนักไปได้ด้วย


ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือมันไม่เพียงแต่จะซ่อนทหารหน่วยต่างๆ ของกองทัพที่หนึ่งเอาไว้ข้างใน แต่มันยังมีพลเรือนที่ไม่ได้เป็นทหารอยู่บนรถด้วย เมื่อถึงตอนนั้นจะเจอกับการซุ่มโจมตีแบบไหนก็ยากที่คาดเดาได้


“จริงอยู่ที่การทำศึกครั้งนี้มันมีปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้อยู่ แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้กลับมาแล้ว ปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้เหล่านั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก” เอดิธส์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ปีศาจมันอาจจะส่งอสูรยักษ์ป้อมปราการตัวใหม่ออกมาได้ทุกเมื่อ แทนที่จะรอเวลาต่อไป สู้ฉวยโอกาสบุกในตอนนี้ดีกว่า”


“ข้าคิดว่าศัตรูไม่มีทางคิดถึงแน่ว่ามนุษย์ที่เพิ่งเสียอ่าวดีพพูลไปได้ไม่ถึงวันจะเปิดฉากโจมตีกลับใส่พวกมัน ถ้าแผนการล้มเหลว อย่างมากก็กลับมามือเปล่า แต่ถ้าสำเร็จมันจะทำให้การเคลื่อนไหวของปีศาจหลังจากนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องตัดสินใจแบบไหนไม่บอกก็คงจะรู้ ยิ่งไปกว่านั้นสงครามมันก็เต็มไปเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงอยู่แล้ว บางครั้งแผนการที่ดูเหมือนจะรัดกุมก็อาจจะพังทลายเพียงเพราะเรื่องบังเอิญเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”


…..


เวลา 7 โมงของเช้าวันถัดมา ลมพัดเบาๆ หิมะตกเล็กน้อย


ภายใต้ท้องฟ้าที่อึมครึม รถบรรทุก 5 คันขับเรียงเป็นแถวยาว ค่อยเคลื่อนที่ออกจากค่ายมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างเงียบๆ


ลักษณะของขบวนรถในตอนนี้ไม่เหมือนกับเวลาที่ขนของ ด้านหลังรถบรรทุกคลุมผ้าใบสีเทาเขา มองไกลๆ แล้วเหมือนกับกองหิมะเล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนไหว ในนั้นมีอยู่ 3 คันที่ลากปืนใหญ่ป้อม 152 มม. มาด้วย ลำกล้องปืนยาวๆ สีดำกับรอยล้อรถรวมเข้าด้วยกัน มีแต่ตอนที่เข้าไปมองใกล้ๆ ถึงจะมองเห็นประกายที่สะท้อนออกมาจากรีคอยล์ไฮโดรลิคของตัวปืน


หลังจากนั้นสองชั่วโมง เครื่องบินปีกสองชั้นที่บรรทุกน้ำมันและกระสุนมาเต็มถังจำนวน 25 ลำก็บินขึ้นท้องฟ้าจากเมืองธอร์น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองธอร์นภายใต้การนำของซีกัล เหล่าอัศวินอากาศไม่ได้เลือกที่จะบินระยะต่ำเหมือนอย่างทุกที หากแต่บินขึ้นไปอยู่ในชั้นเมฆตั้งแต่แรกเริ่ม


นี่หมายความว่าพวกเขาจะสูญเสียทัศนวิสัยส่วนใหญ่ไป นอกจากเข็มทิศแล้ว สิ่งเดียวที่สามารถนำทางให้พวกเขาได้มีเพียงแค่ซีกัลที่บินผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างหน้าเท่านั้น ถ้าหากหลุดออกจากแถว การจะหาฝูงบินให้เจออีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองหลุดออกจากแถว ทุกคนจึงตั้งสมาธิแบบ 120% นอกจากเสียงเครื่องยนต์แล้วก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว


ขณะเดียวกัน ไลต์นิ่งกับเมซี่เองก็ไปปรากฏตัวอยู่เหนือน่านฟ้าของสนามรบ พวกเธอแยกย้ายกันไปค้นหาปีศาจดวงตา


ปฏิบัติการเริ่มต้นไปได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที เหตุการณ์ไม่คาดฝันแรกก็เกิดขึ้นกับหน่วยรถบรรทุก เนื่องจากคุณภาพของพื้นถนนที่ไม่ดี  หน่วยรถที่ 4 เกิดเหตุการณ์รถดับในตอนที่กำลังจะข้ามหลุม หลังทำการเปลี่ยนไปขึ้นรถคันใหม่แล้ว หน่วยรถบรรทุกก็ออกเดินทางอีกครั้ง เหลือเพียงแค่พลขับของรถคันที่เสียที่อยู่ซ่อมรถของตัวเอง


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หน่วยอัศวินอากาศเองก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เครื่องบินสองลำคลาดกับแถวที่อยู่ข้างหน้าในตอนที่บินข้ามชั้นเมฆที่ซ้อนทับกัน พวกเขาเลยได้แต่ต้องบินกลับไปในทิศทางเดิมที่ออกเดินทางจาก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกมาจากชั้นเมฆ


โชคดีที่ทุกอย่างหลังจากนั้นราบรื่น


3 ชั่วโมง 6 นาที หน่วยรถบรรทุกมาถึงที่หมายเป็นกลุ่มแรก


“พระเจ้า ฟาร์รีน่า…” โจโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดเสียงเบาๆ


“อื้อ ข้าเห็นแล้ว” ฟาร์รีน่าจอดรถ ก่อนหน้านี้จ้องมองด้านข้างห้องคนขับด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เมื่อมองผ่านกระจกออกไป เธอมองเห็นบนยอดเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งมีสิ่งที่เหมือนโครงกระดูกสีขาวตั้งอยู่ ดูเผินๆ แล้วมันมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของปลายนิ้ว แต่เมื่อคำนึงถึงระยะห่างของมันแล้ว เธอพอจะจินตนาการออกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ


รอบๆ กระดูกสีขาวมีหมอกหนาสีแดงปกคลุมอยู่จนเกือบเต็มทั้งยอดเขา ดูแล้วตัดกับภาพหิมะสีขาวที่อยู่รอบๆ อย่างชัดเจน


นั่นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอย่างแน่นอน


เพียงแค่มองดูมัน เธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหนาวเย็นที่ลอยขึ้นมาจากภายในใจแล้ว


ฟาร์รีน่าจับพวงมาลัยไว้แน่น


ปีศาจได้มาถึงโลกแล้ว


…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)