Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1331-1334

 ตอนที่ 1331 คนที่หายสาบสูญไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แค่กๆ…แค่ก…” ท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย โจเดลค่อยๆ ลุกขึ้นมา บนหัวของเขายังคงมีเศษสิ่งก่อสร้างตกลงมา อาคารที่เมื่อครู่นี้ยังตั้งตระหง่าน ตอนนี้เหลือเพียงแต่ฐานด้านล่างเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ที่โชคดีก็คือ คานกับกำแพงที่ถล่มลงมาทับกันจนกลายเป็นช่องเล็กๆ ให้เขาพอแทรกตัวได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังรอดชีวิตอยู่


“ยังมีใครอยู่ไหม?” เขาตะโกนเสียงดัง แต่ฝุ่นที่คละคลุ้งก็อุดปากเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว


ความเป็นไปได้ที่เพื่อนๆ จะได้ยินเสียงตะโกนของเขานั้นมีไม่สูงนัก


โจเดลมุดผ่านช่องแคบๆ ระหว่างคานและก้อนหินออกมา แล้วคลานออกไปทางแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องเข้ามา


ด้วยแสงสว่างที่ลอดเข้ามา เขามองเห็นแขนและขาของตัวเองถูกเศษไม้ทิ่มแทงจนทะลุอยู่หลายแห่ง เลือดสดๆ ชโลมชุดทหารของเขา ยาชะลอได้แสดงประสิทธิภาพของมันออกมา ถ้าไม่ได้หยุดความเจ็บปวดเอาไว้ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรถึงจะฟื้นตัวขึ้นมาได้


โจเดลคลานออกมาจากเศษซากที่ถล่มลงมาอย่างยากลำแบก จากนั้นเขาจึงเห็นปีศาจหลายตัวยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึง 10 เมตร — อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มปีศาจที่พุ่งเข้ามาหาหอนาฬิกาก่อนหน้านี้ ถ้าปีศาจแมงมุมโจมตีมาช้ากว่านี้อีกนิดหนึ่ง เขาคงกำจัดพวกมันไปจนหมดแล้ว


ศัตรูล้อมเข้ามา พวกมันคิดจะกำจัดทุกชีวิตที่คิดจะหนีไปจากที่นี่


โจเดลไม่ได้ลังเลอะไรอีก


เขารู้ว่าโอกาสที่ตัวเองจะรอดไปจากที่นี่นั้นริบหรี่เต็มที ปืนยาวลูกเลื่อนยิงได้แค่ทีละนัด ส่วนทางพวกปีศาจคุ้มคลั่งนั้น ด้วยร่างกายของพวกมันเกรงว่าคงจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่เขาจะได้ดึงลูกเลื่อนด้วยซ้ำ


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังยกปืนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล


สำหรับชาวทะเลทรายแล้ว ความตายนั้นไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือการมองไม่เห็นความหวัง


ถ้าความตายของเขาสามารถทำให้เผ่าอยู่รอดต่อไป ทำให้ลูกเมียของเขามีข้าวให้กิน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว


วินาทีที่ยิงปืนออกไป โจเดลพลันนึกถึงช่วงเวลาที่เขาต้องแบกรับความกดดันมหาศาลของเผ่าใหญ่ในเมืองไอรอนแซนด์กับตอนที่ไปสวามิภักดิ์ต่อชีค ในคืนวันนั้น เขาตัดสินใจที่จะสู้ตายกับเผ่าไวล์เวฟกับเผ่าคัทโบนด์


ปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งล้มลงไปพร้อมกับเสียงปืนที่ดังขึ้น ส่วนปีศาจอีกสามตัวก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว


ในระยะเท่านี้ กรงเล็บนั้นใช้ได้ผลดีกว่าหอก


พริบตานั้นเอง มือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็พุ่งมาที่ข้างหน้าเขา ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ หน้าของเขาครึ่งหนึ่งคงต้องถูกบีบจนเละแน่


ทันใดนั้นเอง จู่ๆ โจเดลพลันรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันไม่ฟังคำสั่งของสมอง


ร่างกายเขาโน้มเอนไปด้านหลัง ก่อนจะหลบการโจมตีอันสุดอันตรายนี้ด้วยมุมโค้งอันน่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็ใช้ด้ามปืนเป็นเสาค้ำยันดีดตัวเองให้พุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วกลิ้งหลบไปด้านหลังได้อย่างสวยงาม


และในตอนที่ตัวเขาตกลงพื้นนั่นเอง กระสุนนัดที่สองก็ถูกผลักเข้าไปในรังเพลิง!


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


โจเดลงุนงง


หรือว่าเป็นผลข้างเคียงของยาชะลอ แต่เขาไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ซ้อนทับกัน ทว่าความเคลื่อนไหวเขากลับคล่องแคล่วขึ้นด้วย เพียงแต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้มันไม่ได้มาจากความต้องการของเขา


แต่ถึงแม้จะงุนงง ร่างกายของเขาก็ไม่ได้หยุดลงแม้แต่นิดเดียว


ปีศาจส่งเสียงคำรามพุ่งเข้ามา สองมือของชาวทะเลทรายที่จับปืนอยู่ค่อยๆ ยกปืนขึ้นมา เสี้ยววินาทีที่เหนี่ยวไกออกไป ปากกระบอกปืนแทบจะจ่ออยู่ตรงหน้าผากของอีกฝ่าย!


“ปัง…”


ศีรษะของศัตรูระเบิดออก


ปีศาจคุ้มคลั่งตัวที่สองเองก็พุ่งเข้ามาด้านหน้า มันเหมือนจะได้เรียนรู้จากปีศาจตัวที่แล้ว มันจึงไม่ได้พุ่งเข้ามาหาโจเดลในทันที หากแต่ดึงเอาหอกขึ้นมาเหวี่ยงใส่เขา สิ่งเดียวที่โจเดลจะเอามาใช้ป้องกันได้นั้นมีเพียงแค่ปืนที่อยู่ในมือเท่านั้น ซึ่งร่างกายเขาก็ตอบโต้ออกมาเช่นนั้นเหมือนกัน ผลคือด้วยความต่างของเรี่ยวแรงอันมหาศาล ตัวปืนถูกกระแทกจนลอยออกไป ก่อนกระเด็นไปตกอยู่ในซากปรักหักพัง


ในขณะที่โจเดลคิดว่าทุกอย่างมันได้จบลงแล้ว ร่างกายมันเคลื่อนไหวอย่างเหนือความคาดหมายออกมาอีกครั้ง เขายืดตัวขึ้นแล้วพุ่งตรงเข้าไปหาอ้อมอกของปีศาจ ส่วนมือขวาก็ชักเอามีดสั้นออกมาจากข้างเอว


มีดเสียบจากด้านล่างขึ้นด้านบน ปลายมีดทะลุจากใต้คางขึ้นไปถึงกะโหลกด้านบนของศัตรู


หมอกสีแดงพุ่งกระจายออกมาทันที!


ในตอนที่ศัตรูคิดจะใช้สองมือรัดตัวเขาเอาไว้ โดยหวังจะได้ตายไปตามกัน โจเดลพลันหลบหนีออกมาจากการกอดของศัตรูราวกับปลาไหล


ปีศาจเดินโซซัดโซเซ ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงไปกับพื้น


สำหรับโจเดลแล้ว การเอาชนะปีศาจที่เรี่ยวแรงเหนือมนุษย์ในระยะประชิดนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะทำเรื่องนี้ได้ แต่ยังจัดการปีศาจไปได้สองตัวในอึดใจเดียวด้วย?


สุดท้ายปีศาจอีกตัวที่เหลืออยู่ก็ยกหอกกระดูกขึ้นมา


แต่เป้าหมายของมันไม่ใช่โจเดล หากแต่เป็นกำแพงแตกๆ ตรงซากหอนาฬิกา!


หอกพุ่งทะลุหน้าต่างไม้ตรงกำแพงราวกับสายฟ้า คนตัวเล็กคนหนึ่งส่งเสียงหวีดร้องพร้อมกระเด็นตกออกมาจากด้านหลังกำแพง


นั่นคือฟาร์รี!


ปีศาจคุ้มคลั่งไม่สนใจแขนที่หกลีบลง มันก้าวยาวๆ วิ่งเข้าไปหาเขา ส่วนโจเดลเองก็หมุนตัววิ่งเข้าไปหาศัตรูโดยอัตโนมัติ ทั้งสองคนวิ่งมาถึงตรงหน้าฟาร์รีแทบจะพร้อมกัน ในวินาทีที่ปีศาจคุ้มคลั่งลงมือ มีดของเขาก็พุ่งทะลุลำคอของอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง


หมอกสีแดงพุ่งออกมาจากบาดแผล ก่อนจะสาดเข้าใส่แขนของฟาร์รีที่ยกขึ้นมากันเอาไว้


ฟาร์รีส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา สิทธิ์ในการควบคุมร่างกายของโจเดลกลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง


“หรือว่าเจ้าเป็น…”


เมื่อเห็นแขนที่กำลังเปื่อยยุ่ยอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจทันที


“ทำไม…เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”


ชาวโมเกนนั้นไม่เหมือนกันศาสนจักรของอาณาจักรทางเหนือ พวกเขาไม่ได้มองแม่มดเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย หากแต่มองเป็นเทพีที่มีพลังเหนือมนุษย์ เนื่องจากมีจำนวนที่น้อย ดังนั้นเผ่าที่มีเทพีอยู่ ปกติจึงมักจะมักศักยภาพที่จะเข้าไปอยู่ในเมืองไอรอนแซนด์


โจเดลเคยได้ยินมาว่ามีเผ่าๆ หนึ่งชื่อเผ่าแซนด์สโตนเคยติดตามราชินีเคลียร์วอเทอร์ขึ้นไปยังทางเหนือที่ไกลแสนไกลภายใต้การนำของเทพีของเผ่า แต่สุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้กลับมา ส่วนเทพีคนนั้นมีชื่อว่าคาบาร่า ความสามารถของเธอคือสั่งให้คนอื่นทำงานให้ตนได้


พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับผลตอบแทนได้ๆ อย่างที่ควรจะได้รับ การจากไปของชายหนุ่มของเผ่าจำนวนมากทำให้เผ่าไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ เด็กและผู้หญิงที่ยังอยู่ที่ดินแดนทางใต้สุดถูกเผ่าอื่นๆ กลืนกิน จนกระทั่งชีคได้มาตั้งกฏหมายให้กับทะเลทราย เผ่านี้ถึงได้อยู่รอดมาได้


เทคนิคการต่อสู้ระดับสูง ร่างกายที่ได้โดนควบคุม และการเป็นชาวโมเกนแต่กำเนิด….หลังจากที่ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้ด้วยตาตัวเอง นอกจากเทพีของเผ่าแซนด์สโตนคนนั้นแล้ว เขาก็หาคำอธิบายอื่นไม่ได้เลย


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งคิดเรื่องนี้ เขาหยิบเอาผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าข้างเอวแล้วพันให้ฟาร์รี จากนั้นก็ใช้มีดเฉือนผิวที่เปื่อยยุ่ยทิ้งไป ก่อนจะแบกอีกฝ่ายขึ้นมา


“อย่า…พูดเรื่องนี้ออกไป…” เพื่อนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงงึมงำออกมาเบาๆ


“แต่ว่า…”


“ขอร้องเจ้าล่ะ” อีกฝ่ายพูดตัดบทออกมาอย่างอ่อนล้า


โจเดลลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าไม่พูด”


เสียงปืนรอบๆ ยังคงดังขึ้นไม่หยุด แต่ความถี่ลดน้อยลงแล้ว


เขามองเห็นปีศาจแมงมุมที่บุกเข้ามาในเมืองตัวนั้นโดยปืนใหญ่สนามยิงจนเสียหายไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้มันอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้


กระทั่งเข้ามาในเขตเมืองชั้นในแล้ว ทุกๆ ช่วงถนนจะมีคนวิ่งออกมาจากที่ซ่อนเพื่อคุ้มครองพรวกเขาให้ถอยเข้าไปยังพื้นที่ปลอดภัย ในตอนที่บนท้องฟ้ามีอัศวินอากาศปรากฏตัวขึ้นมา โจเดลก็รู้แล้วว่าในที่สุดครั้งนี้พวกเขาก็หยุดการโจมตีของปีศาจเอาไว้อีกครั้ง


บางทีในการต่อสู้ครั้งหน้าอาจจะเป็นการป้องกันครั้งสุดท้ายของพวกเขาแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ชัยชนะก็ยังเป็นของพวกเขาอยู่


แต่สิ่งที่โจเดลคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทหารทุกคนจะได้รับคำสั่งให้ทิ้งเมืองกัสต์ แล้วถอนกลับไปยังปากทางเข้าทางตะวันตกของภูเขาเคจเมาเธ่น


ตอนที่ 1332 เรื่องของมนุษย์ทุกคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นายท่าน ลูกน้องของข้ารายงานมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเมืองกัสต์ถูกพวกเราบุกโจมตี ตอนนี้แมลงพวกนั้นกำลังหนีไปทางใต้แล้วขอรับ!” ร่างยกระดับระดับต้นตัวหนึ่งคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยเข่าข้างหนึ่งพร้อมกล่าวรายงาน


“เจ้าทำดีมาก! ข้าจะรายงานความดีความชอบตรงนี้ให้ท่านสกายลอร์ดรับทราบ” โทโทล็อคพยักหน้าชมเชย “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจทหารที่หนีไป เดินหน้าทำลายแนวรบของพวกแมลงต่อจนกว่าพวกมันจะพังพินาศ!”


“รับทราบ!”


“สงครามครั้งนี้จะนำเอาโอกาสในการยกระดับมาให้พวกเจ้า คว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี ไปเอาเลือดของพวกมันมาแลกกับเกียรติยศของพวกเจ้า!”


“รับทราบ!”


กระทั่งร่างยกระดับระดับต้นออกไป โทโทล็อคจึงยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาพร้อมมองไปยังแผนที่ที่พวกขุนนางมอบให้มา “พวกแมลงมันก็เท่านั้นแหละ ท่านเฮคซอดกังวลมากเกินไป บางทีหลุมพรางของพวกมันอาจจะใช้ได้ผลครั้งสองครั้ง แต่มันไม่มีทางที่จะใช้ได้ผลทุกครั้งไป สุดท้ายสงครามก็ตัดสินแพ้ชนะด้วยการใช้พละกำลังเข้าสู้กันซึ่งๆ หน้า แท้ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อ 400 ปีเท่าไร แล้วก็ไม่สามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ได้”


“แต่พวกเราเองก็เสียหายไปไม่น้อยเหมือนกัน” หนวดใต้คางของซีอาซิสส่งเสียงซู่ๆ ออก “ใน 8 วันสูญเสียกำลังไปเกือบ 4 หมื่นตัว ทัพหน้าเสียหายไปมากกว่า 30% ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป กำลังที่จะใช้ในการรบหลังจากนี้อาจจะเกิดการขาดแคลนได้”


“แล้วมันยังไงล่ะ? ดื้อรั้นที่จะต่อสู้ แต่สุดท้ายก็พังพินาศ พวกแมลงมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ?” โทโทล็อคพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ในสงครามแห่งโชคชะตา มีเพียงเผ่าพันธุ์ที่ยอมรับความสูญเสียได้มากกว่าถึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย ตอนนี้ทางตะวันตกของวูล์ฟฮาร์ทอยู่ในมือข้าแล้ว อีกสองเมืองที่เหลือจะทนได้อีกนานเท่าไร?  เอาไว้เมื่อไรที่พวกเราโจมตีกระหนาบเข้าไปจากทุกทิศทุกทาง ไม่ช้าพวกมันก็จะสูญเสียจิตใจในการต่อสู้ไป เหมือนกับในตอนนี้นี่แหละ!”


ซีอาซิสไม่ได้คัดค้าน


ถึงแม้มนุษย์จะป้องกันเอาไว้ได้เหนียวแน่นมากกว่าที่มันคิดเอาไว้ แต่ภายในใจมันก็ยังเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย


เพราะมันเคยเห็นสถานการณ์ที่จู่ๆ ศัตรูก็พังทลายลงหลักจากที่ยื้อยุดกันเป็นเวลานานมาหลายครั้งแล้ว มันก็เหมือนกับแม่น้ำน้ำแข็งที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่กลับพังทลายลงไปชั่วพริบตา


และสิ่งที่ทำให้มันพังทลายลงก็มักจะเป็นเพียงแค่รอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่งเท่านั้น


มนุษย์มักจะทำการป้องกันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นในตอนแรก แต่เมื่อจำนวนทหารที่เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นและพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็จะค่อยๆ สูญเสียความมั่นใจไป ภายในเองก็เปิดการแตกแยก สุดท้ายก็จะสูญเสียจิตใจที่จะต่อไปสู้ไป จำนวนปีศาจของเผ่าพันธุ์ที่ตายไปในตอนแรกมักจะมากกว่าศัตรู แต่ขอเพียงกดดันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน


จนท้ายที่สุด พวกมนุษย์ก็จะหนีไปทันทีที่เห็นพวกตน


นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความกล้าเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเหมือนอย่างที่โทโทล็อคว่ามา นี่เป็นความต่างกันของทั้งสองเผ่าพันธุ์


พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน ต้องกินอาหาร ต้องการเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นและที่อยู่อาศัยที่กันลมกันฝน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเงื่อนไชที่ยากจะเป็นจริงได้ในเวลาที่ทำสงคราม


มันเคยทำการวิจัยมนุษย์มาอย่างละเอียด ในเวลานี้ต่อให้ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันก็สามารถจินตนาการสภาพของอีกฝ่ายได้ว่าย่ำแย่แค่ไหน


การโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักเป็นเวลาหลายวัน การใช้ร่างระดับต้นจำนวนมากเป็นเครื่องสังเวย  บวกกับความได้เปรียบในเรื่องจำนวน ทำให้มนุษย์นั้นแต่จะไม่มีเวลาพักเพียงพอเลย ช้าเร็วจิตใจของพวกเขาจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องอาหารกับที่พักนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


เงื่อนไขที่เลวร้ายเหล่านี้จะทำลายขวัญและกำลังใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ช้าเร็วข่าวเมืองเมธัลสโตนและเมืองกัสต์พังทลายลงก็จะแพร่กระจายไปในกองทัพ เมื่อทั้งสองเมืองตกอยู่ในมือพวกมัน เมืองแซนด์สโตนกับอ่าวดีพพูลจะทนไปได้อีกนานเท่าไร?


แต่เผ่าพันธุ์ของมันกลับไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าการพักผ่อนก็ล้วนแต่สามารถแก้ไขได้ด้วยละอองชีวิต สงครามยิ่งดุเดือด ความได้เปรียบตรงนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด


ซีอาซิสเห็นด้วยกับความคิดของเฮคซอด แต่มันก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าสุดท้ายชัยชนะจะต้องตกเป็นของเผ่าพันธุ์มัน มนุษย์นั้นไม่ใช่แมลง พวกเขาพยายามเต็มที่แล้ว


“ข้าจะนำเอาข่าวเรื่องชัยชนะนี้ไปแจ้งท่านสกายลอร์ด การบุกโจมตีหลังจากนี้ฝากเจ้าด้วยล่ะ” มันพูด “อย่าดูถูกอีกฝ่ายล่ะ พยายามใช้กำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ยึดเอาวูล์ฟฮาร์ทมาให้ได้ ในเวลานี้พวกเราไม่ควรจะสร้างภาระเพิ่มให้กับแนวหลังของเรา”


โทโทล็อคพ่นไอร้อนออกมา “วางใจได้ ถ้ากำลังไม่พอ ข้าจะลงไปเติมในจุดนั้นเอง”


……


หลังถอยกลับมายังที่ปลอดภัย โจเดลก็หลับไปสิบกว่าชั่วโมง


ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเพียงว่าทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง ในท้องรู้สึกหิวจนทรมาน เขายื่นมือไปคลำหาเสบียงแห้งในกระเป๋าข้างเอวทันที แต่เขากลับพบว่าชุดบนตัวของเขาถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ บนหัวเตียงเองก็ไม่มีปืนยาวที่คุ้นเคย


ภายในเต็นท์มีเตียงวางอยู่ 10 กว่าหลัง แต่บนเตียงกลับว่างเปล่า


ที่นี่คือ…หน่วยพยาบาลในสนามรบเหรอ?


น่าจะเป็นเพราะตัวเองสลบลงไปหลังจากต้องทนฝืนกับผลข้างเคียงของยาชะลอที่หมดฤทธิ์ เขาถึงได้ถูกเพื่อนทหารส่งมาที่นี่


ไม่รู้ว่าตอนนี้ฟาร์รีจะเป็นยังไงบ้าง


เพื่อที่จะไม่เปิดเผยสถานะของตัวเองออกไป เธอถึงกับยอมทนเจ็บทำลายบาดแผลให้ไม่เหมือนเดิม ถึงแม้มันจะไม่อันตรายจนถึงชีวิต แต่เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะรักษาให้หายกลับมาเป็นเหมือนเดิม


เมื่อคิดถึงว่าช่วงครึ่งปีมานี้ตัวเองใช้เวลาอยู่กับเทพธิดา โจเดลพลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่าในตอนที่ถอยออกมาจากเมืองกัสต์ เขายังไม่ได้มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย


แต่ความกระสับกระส่ายและความไม่สบายใจก็ถูกความหิวอย่างรุนแรงพัดหายไปอย่างรวดเร็ว


ถ้าไม่รีบหาอะไรกิน ตัวเขาอาจจะล้มลงไปอีกครั้งก็ได้


โจเดลค่อยๆ คลานลงมาจากเตียง ก่อนจะลากสังขาลอันอ่อนล้าเดินออกมานอกเต็นท์


คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่เลิกผ้าคลุมเต็นท์ขึ้นมา กลิ่นเนื้อหอมๆ จะพัดโชยมาเข้าจมูกของเขา กลิ่นหอมที่เย้ายวนใจนี้เหมือนกับกลิ่นหอมจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น


“เจ้าตื่นแล้วเหรอ?” นางพยาบาลคนหนึ่งสังเกตเห็นเขาทันที “เบื้องบนเคยสั่งเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่ายาชะลอนี่ห้ามกินต่อเนื่อง ถ้าเจ้ากินเข้าไปอีกเม็ดหนึ่ง เจ้าคงไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้หิวจนตาลายแล้วล่ะสิ มา เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปโรงอาหาร”


หลังเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในเต็นท์หลังใหญ่หลังหนึ่ง โจเดลพลันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


เขาเห็นถังเหล็กตั้งเรียงอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีอาหารร้อนๆ ใส่อยู่เต็ม ตั้งแต่เนื้อสเต็กไปจนถึงน้ำซุป อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด ทุกคนยืนเรียงแถวถือถาดเหล็กเดินผ่านโต๊ะ ในตอนที่อาหารในถังเหล็กลดลงไปมากกว่าครึ่งก็จะมีคนมาเติมอาหารเข้าไปใหม่ — อาหารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่หน่วยสนับสนุนทำขึ้นมาใหม่สดๆ ร้อนๆ


แต่ว่า…นี่มันจะฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า?


ในฐานะที่เป็นนายพรานชาวโมเกนที่เคยร่วมล่ากับเผ่าเล็กๆ เผ่าอื่นอยู่บ่อยๆ เขาย่อมต้องรู้ว่าการขนอาหารสดๆ ไปให้คนกลุ่มหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงสงครามเลย! เห็นๆ อยู่ว่ากองทัพที่หนึ่งนั้นยังขาดแคลนกำลังพลและกระสุนอยู่ แล้วพวกเขาจะเอาความสามารถในการขนส่งอันล้ำค่ามาใช้กับเรื่องนี้ได้อย่างไร?


ในตอนที่โจเดลถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป พยาบาลคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ของกินพวกนี้ไม่ได้ขนมาจากเกรย์คาสเซิล พวกมันมาจากเมืองต่างๆ ในอาณาจักรดอว์น ส่วนคนที่ขนพวกมันมาก็ไม่ใช่กองทัพที่หนึ่งกับพวกพ่อค้า หากแต่เป็นคนที่พวกเจ้าช่วยออกมาพวกนั้น”


“คนที่พวกข้าช่วย…ออกมา?”


“ถูกต้อง” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ในนั้นมีทั้งผู้อพยพจากอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ท คนส่วนหนึ่งเดินทางไปที่เนเวอร์วินเทอร์ แต่คนอีกส่วนหนึ่งอยากจะอยู่ที่นี่ โดยหวังว่าจะทำอะไรเพื่อต่อสู้กับปีศาจได้บ้าง ของกินพวกนี้ก็เป็นของที่พวกเขาค่อยๆ เข็นมาหรือค่อยๆ แบกมาทีละน้อยๆ”


โจเดลไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


เขาเองก็เคยทำภารกิจอพยพชาวบ้านมา บอกตามตรง ตอนแรกผู้อพยพเหล่านี้ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไร แถมบางครั้งยังมีการทะเลาะกันด้วย เขาเคยแอบบ่นเรื่องนี้ให้เพื่อนของตัวเองฟังเงียบๆ แล้วก็มองพวกเขาว่าเป็นพวกคนโง่ที่ไร้ทางเยียวยา แต่ตอนนี้พวก ‘คนโง่’ เหล่านี้กลับเอาอาหารร้อนๆ มาให้เขากิน


“ไม่ใช่แค่คนที่ถูกช่วยมานะ” น้ำเสียงของพยาบาลฟังดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “พวกพ่อค้าของอาณาจักรดอว์นเองก็อยู่ฝั่งพวกเราเหมือนกัน พวกเขาไม่เพียงแต่มอบม้ามาให้เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขายังลดราคาค่าอาหารให้ด้วย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถึงได้มีข้าวร้อนๆ ให้กิน”


เธอเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะมองโจเดลพร้อมยิ้มเล็กน้อย “นี่แสดงให้เห็นว่าเรื่องที่พวกเรากำลังทำสงครามเพื่อมนุษย์นั้นกำลังค่อยๆ เป็นที่ยอมรับของทุกคนใช่หรือเปล่า? พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็จะรู้สึกร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงทันทีเลยล่ะ!”


ตอนที่ 1333 สนามรบทางด้านหลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต่อสู้เพื่อมนุษย์ชาติ….


ถึงแม้ชีคจะเคยบอกเอาไว้จริงๆ ว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ แต่สาเหตุที่โจเดลมาเข้ากองทัพที่หนึ่งนั้นก็เพื่อเผ่าของตัวเอง แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะได้สิ่งตอบแทนอะไรจากคนอื่น


แต่ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำหรือไม่ นี่มันก็เป็นภารกิจที่เขาต้องทำอยู่แล้ว


ถึงแม้ตอนนี้โจเดลจะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของพยาบาลและอาหารร้อนๆ ที่เขากินเข้าไป ภายในใจเขาพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด


สิ่งที่เขาทำอยู่นี้ บางทีมันอาจจะสำคัญมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ก็ได้


หลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อย โจเดลก็กลับมาหากลุ่มของตน


ในกลุ่มชาวทะเลทรายที่ 9 ของเขามีทหารหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาหลายคน นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ด้านหลังมักจะส่งทหารเข้ามายังแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในนั้นมีทั้งทหารเก่าที่เดินทางตามมาทีหลัง แล้วก็มีทหารใหม่ที่เพิ่งจะรับสมัครเข้ามา เนื่องจากหลังทำศึกใหญ่ทุกครั้ง แนวหน้ามักจะเกิดความเสียหาย ด้วยเหตุนี้การปรับและเติมกำลังพลจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ


สิ่งที่ทำให้โจเดลรู้สึกดีใจก็คือ เขาพบว่าเพื่อนทหารสองคนที่ไปเฝ้าหอนาฬิกาในตอนนั้นกับเขายังมีชีวิตอยู่


“ข้านึกว่าพวกเจ้าตายอยู่ตรงนั้น แล้วมีแต่ข้ากับคา…ฟาร์รีที่หนีออกมาได้เสียอีก” หลังกอดอย่างดีใจแล้ว โจเดลก็ตบไหล่ของอีกฝ่ายแรงๆ


“ตอนนั้นโชคดีทีเดียว ตอนที่หอนาฬิกาถล่มลงมา พวกข้าสองคนอยู่ด้านนอกแล้ว โชคดีที่หลบหินที่ตกลงมาได้” เพื่อนทหารที่โชคดีตอบ “เจ้านั่นแหละที่น่าตกใจมากกว่า อยู่ในหอนาฬิกาแต่กลับไม่เป็นอะไร รู้อย่างนี้พวกข้าไม่หนีออกมาแต่แรกหรอก”


“ไม่ รีบหนีออกมานั่นแหละถูกแล้ว” โจเดลส่ายหัว ในสถานการณ์แบบนั้น ต่อให้มีชีวิตรอดออกมาได้ แต่ก็อาจจะต้องเจอกับศัตรูที่กำลังเข้ามาทางหอนาฬิกา ถ้าไม่เป็นเพราะคาร์บาร่าช่วยเขาเอาไว้ เขาก็ไม่มีทางที่จะหนีออกมาจากวงล้อมของปีศาจแน่ “เสียดายที่คนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีแบบนี้”


ในกลุ่ม 10 คนมีอยู่แค่ครึ่งหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้ ถึงจะบอกว่าชาวทะเลทรายเคยชินกับความตาย การแยกจากถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา แต่ภายในใจเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่


เพราะในการฝึกซ้อมมาด้วยกันครึ่งปี พวกเขาต่างผูกพันกันจนไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่อยู่ในเผ่าเดียวกันเลย


แต่เศร้าใจมันก็เรื่องหนึ่ง ตอนนี้ภายในใจโจเดลมีความรู้สึกสงสัยบางอย่าง


ความสำคัญของเมืองกัสต์นั้นเป็นที่รู้กันดี แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้ในจุดนี้ เป็นเพราะเมืองเมธัลสโตนตกอยู่ในมือของปีศาจถึงได้ทำให้ปีกของแนวป้องกันเสียไปทั้งหมด ดังนั้นการที่ทิ้งเมืองกัสต์ไป ก็จะทำให้แรงกดดันในส่วนนี้ตกไปอยู่ทางตะวันตก ทำให้เมืองแซนด์สโตนกับอ่าวดีพพูลต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้เหมือนกัน


เดิมเขานึกว่ากองทัพที่หนึ่งจะสู้ตายรักษาเมืองนี้เอาไว้จนกว่าจะถูกปีศาจกลืนกินไปจนหมด


รอดชีวิตกลับมาได้นั้นย่อมต้องเป็นเรื่องดี แต่ภายในใจเขากลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจเหมือนที่คิดเอาไว้ ถ้าแนวป้องกันของกองทัพที่หนึ่งพ่ายแพ้ทั้งหมด การตายของคนในเผ่าเขาไม่เพียงแต่จะไร้ความหมาย แต่ความหวังที่เผ่าได้มาอย่างยากลำบากก็อาจจะต้องหายไปด้วย


เพียงแต่เป็นเพราะความรับผิดชอบในการรับฟังคำสั่งและความเชื่อใจที่มีให้ชีค เขาจึงไม่ได้พูดความสงสัยนี้ออกไปต่อหน้าเพื่อนทั้งสองคน


“ขอสามเทพได้โปรดรับดวงวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ด้วย”


“ขอชีคได้โปรดคุ้มครองชีวิตหน้าของพวกเขาด้วย”


หลังสวดภาวนาตามธรรมเนียมของชาวทะเลทรายแล้ว อีกฝ่ายก็เปลี่ยนประเด็น “ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว พูดเรื่องที่มันสบายใจหน่อยดีกว่า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าคืนนี้ท่านขวานเหล็กจะมาเยี่ยมที่ค่าย ยิ่งไปกว่านั้นคืนนี้จะมีการแสดงละครเวทีด้วย!”


“แสดง…ละครเวที?”


ท่านผู้บังคับบัญชามาที่นี่ด้วยตัวเอง นอกจากจะมาปลุกขวัญและกำลังใจแล้ว เขาจะต้องมีคำสั่งใหม่มาถ่ายทอดด้วยแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ละครเวทีนี่มัน เหมือนจะไม่ค่อยเข้ากับสงครามเลย…ชาวทะเลทรายไม่มีงานอดิเรกอะไรแบบนี้ เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงดูตื่นเต้นขนาดนี้


เพื่อนทหารเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา “ใช่ คนที่มาแสดงก็คือคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ชื่อดังอันนั้นแหละ!”


“หรือเจ้าไม่เคยได้ยิน? ท่านซิลเวอร์มูนแห่งพราวแซนด์คือหนึ่งในสมาชิกของคณะละครเวทีนะ!”


…..


หลังบินวนรอบหนึ่ง ซีกัลป์ก็ค่อยๆ ลงจอดบนสนามบินทางตะวันตกของเคจเมาเธ่น


นาน่าเดินลงมาจากบันไดแล้วรีบเดินตามพยาบาลเข้าไปในค่ายพยาบาลทันที


“รายงานสถานการณ์คนเจ็บมา” เธอด้านหนึ่งก็สวมเสื้อคลุมแพทย์สีขาว อีกด้านก็พูดพร้อมเดินไม่หยุด “ลำดับเตียงเรียงตามที่กำหนดเอาไว้ในคู่มือปฐมพยาบาลฉุกเฉิน สิ่งสำคัญคือรักษาผู้ที่อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บก่อน”


“รับทราบ” พยาบาลที่มารับหน้าที่เป็นผู้ช่วยรีบตอบ “ตอนนี้ในค่ายมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 326 คน ในนั้นมีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 55 คน เตียงทั้งหมดถูกตั้งเอาไว้ในเต็นท์หมายเลข 1 เพื่อที่จะต่อชีวิตให้พวกเขาได้ พวกเขาส่วนใหญ่จึงกินยาชะลอไปเกินขนาด”


“ยาชะลอไม่เป็นปัญหา แค่ระวังเรื่องการป้องกันการช็อกหลักจากที่ยาหมดฤทธิ์ก็พอ ถ้าอาการเจ็บปวดมันรุนแรงมากเกินไป ก็ใช้น้ำยาแห่งความฝันมาช่วย พวกเจ้าน่าจะเตรียมน้ำยาแห่งความฝันเอาไว้แล้วใช่ไหม?”


“ชะ ใช่เจ้าค่ะ”


ผู้ช่วยตอบ


ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเป็นผู้ช่วยคุณหนูนางฟ้า แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับการที่สาวน้อยที่น่ารักที่ดูเผินๆ แล้วไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กสาวข้างบ้านมาออกคำสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นปราชญ์ที่มากไปด้วยประสบการณ์


“เออใช่” นาน่าหยุดยืนอยู่ที่หน้าเต็นท์หมายเลข 1 “เครื่องมือรักษาที่ข้าขอไปก่อนหน้านี้ เจ้าเตรียมเอาไว้ให้ผู้ป่วยทุกคนแล้วใช่ไหม?”


“ใช่เจ้าค่ะ แต่ว่า…” พยาบาลลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้คำสุภาพออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านคิดจะรักษาคนป่วยเยอะขนาดนั้นทีเดียวจริงๆ หรือเจ้าคะ?”


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้บาดเจ็บสาหัส 50 กว่าคน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลารักษาอยู่หลายวันกว่าจะพ้นขีดอันตรายจริงๆ


“แน่นอน” นาน่ายิ้มให้เธอ “วางใจได้ ขอเพียงข้าอยู่ พวกเขาไม่เป็นอะไรแน่นอน”


เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มั่นใจของอีกฝ่าย พยาบาลพลันรู้สึกว่าความกังวลหายไปไม่น้อย


เธอสูดหายใจแล้วเดินตามคุณหนูไพน์เข้าไปในเต็นท์


…..


หลังจากนาน่าสวมถุงมือแมลงยางที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เธอก็ไปยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยเตียงแรก


การวิวัฒนาการในวันบรรลุนิติภาวะทำให้เธอได้รับความสามารถที่มีลักษณะพิเศษอันใหม่มา นั่นทำให้ความสามารถที่เดิมเป็นแบบเรียกใช้สามารถเกาะติดไปบนวัตถุได้ แล้วก็จะทำการรักษาบาดแผลที่อยู่บริเวณรอบๆ ได้อย่างต่อเนื่อง


เมื่อเทียบกับการใส่พลังเวทมนตร์ลงไปตรงๆ เพื่อรักษาแล้ว ผลจากความสามารถอันใหม่นั้นไม่สามารถสู้ความสามารถแบบเก่าได้ อย่างน้อยมัยก็ไม่สามารถทำให้บาดแผลหายได้ในทันที แต่ขณะเดียวกัน มันก็ใช้พลังเวทมนตร์น้อยกว่ามากด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่จำเป็นต้องมีคนมาใช้พลังอยู่ข้างๆ ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดที่สุดของพลังแบบเกาะติด


ขอเพียงวัตถุที่ถูกใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปยังอยู่ บาดแผลของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้นาน่ามีโอกาสที่จะรักษาคนป่วยหลายๆ คนพร้อมกัน ที่สำคัญก็คือมันช่วยแก้ปัญหาการรอคิวรักษาเป็นเวลานานเนื่องจากพลังเวทมนตร์ไม่เพียงพอและความเจ็บปวดจากการทำลายบาดแผลผู้ป่วยซ้ำๆ หลังตื่นรู้ระดับสูง เธอเคยทำการทดลองในค่ายอ่าวดีพพูล ผ้าก๊อตที่เธอใส่พลังเวทมนตร์ลงไปชิ้นหนึ่งสามารถแสดงผลการรักษาได้หลายวันไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพียงพอที่จะให้ผู้บาดเจ็บสาหัสรอดพ้นจากขีดอันตรายได้


ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือหลังจากพลังเวทมนตร์หมดฤทธิ์ไปแล้ว วัตถุอันนั้นจะไม่หายไปไหน หากแต่ยังคงอยู่ในร่างกายของผู้บาดเจ็บ ขณะเดียวกันถ้าอยากจะให้พลังเวทมนตร์แสดงผลออกมาให้ดีที่สุด วัตถุที่ใส่พลังเวทมนตร์จะต้องอยู่ใกล้บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บหนักให้ได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้นาน่าจึงใช้ไหมเย็บสำหรับรักษาบาดแผลภายในและผ้าก๊อตสำหรับบาดแผลภายนอกตามตำราทางการแพทย์ของโลกแห่งความฝัน


เธอหยิบเอามีดผ่าตัดขึ้นมาแล้วผ่าเปิดท้องที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ของผู้บาดเจ็บอย่างชำนาญ หลังหาบาดแผลในสำไส้ที่ถูกหอกกระดูกแทงทะลุเจอ เธอก็รีบเย็บมันอย่างรวดเร็ว


เส้นไหมที่ทำมาจากลำไส้แพะสามารถถูกร่างกายมนุษย์ดูดซึมไปตามธรรมชาติได้ หลังบาดแผลหายแล้วไม่จำเป็นต้องเอาออกมา ทำให้สามารถมองว่าเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบได้


แต่สำหรับพวกบาดแผลกระดูกหักแล้ว ไหมเย็บดูจะไม่ค่อยเหมาะซักเท่าไร แต่บาดแผลประเภทนี้ก็ไม่ได้มีอันตรายถึงแก่ชีวิต ส่วนใหญ่สามารถส่งต่อให้หมอและพยาบาลดูแลต่อได้


ระบบการรักษาของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้พัฒนาจากการรักษาแบบฉุกเฉินในตอนเริ่มแรกสุด จนตอนนี้ได้ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถทำการรักษาอย่างง่ายๆ ด้วยตัวเองได้ออกมากลุ่มหนึ่ง


“หลังเอาเลือดออกแล้วก็เย็บปากแผล คนต่อไป”


“เจ้าค่ะ!”


“ใส่สายยางเข้าไปตรงปากแผล คอยจับตาดูอาการของเขาไว้”


“เดี๋ยวข้าจัดการเองเจ้าค่ะ”


“ขาข้างนี้ตัดออกไปก่อน เอาไว้ค่อยมาคิดหาทางรักษาใหม่”


“รับทราบ!”


“….”


ในขณะที่นาน่า ไพน์ออกคำสั่งมาคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า เหล่าพยาบาลก็พากันทำตามคำสั่งอย่างตื่นเต้นและเป็นระเบียบ ในค่ายพยาบาลกลายเป็นสนามรบแห่งใหม่ที่ยุ่งวุ่นวาย


ตอนที่ 1334 การชดเชยเพียงหนึ่งเดียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่คาบาราตื่นขึ้นมา แขนของเธอได้ถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างแน่นหนา ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงมีอยู่เพียงแต่เมื่อเทียบกับตอนที่โดนหมอกแดงพ่นใส่ตอนแรกแล้วก็ถือว่าเบากว่ามาก


นี่ทำให้เธอแอบรู้สึกแปลกใจ


บาดแผลบนแขนไม่อันตรายถึงชีวิต ตามหลักแล้วเธอไม่น่าจะได้รับการรักษาโดยทันที เธอควรจะถูกรักษาเป็นคนท้ายๆ หรือไม่ก็ปล่อยทิ้งเอาไว้ให้หายเองถึงจะถูก เพราะทุกคนในกองทัพต่างรู้ดีถึงจุดเด่นและความสำคัญของความสามารถของคุณหนูนางฟ้า เธอไม่คิดว่าชาวทะเลทรายจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ถ้าหากจะคิดไปในทางร้าย มันก็เหมือนจะมีความเป็นไปได้อยู่


แต่ถ้าไม่เป็นเพราะพลังเวทมนตร์ ทำไมบาดแผลถึงได้ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้?


หรือว่า….


ภายในใจเธอพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


บางทีเธออาจจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ แล้วรีบกลับไปค่ายทหาร


“ฟาร์รีใช่ไหม?” นางพยาบาลคนหนึ่งสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเธอ จากนั้นจึงเดินมาดูป้ายชื่อที่หัวเตียง “ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”


“ไม่เป็นอะไรแล้ว พร้อมกลับไปกองทัพได้ทุกเมื่อ” เธอพลิกตัวลงจากเตียง แสร้งทำท่าเหมือนเจ็บใจ “เพื่อนของข้าหลายคนตายด้วยน้ำมือของปีศาจ ข้าอยากจะรีบกลับไปแก้แค้นพวกมัน!”


“อย่าเศร้าใจไปนักเลย” พยาบาลพยักหน้า “แต่ว่าก่อนหน้านั้น เจ้าต้องไปที่เต็นท์ใหญ่ก่อน คุณหนูนาน่า ไพน์อยากจะเจอเจ้า”


คาบาราตกใจเล็กน้อย “นาง…อยากเจอข้า? แต่อาการบาดเจ็บของข้ามัน…”


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ว่านางเป็นคนสั่งเรื่องนี้มาเอง” อีกฝ่ายยิ้มๆ “ทหารคนอื่นๆ อยากจะเจอนางแทบแย่ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เจอนะ ตามข้ามาสิ”


คาบารามองดูแผ่นหลังของพยาบาล เธอลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินตามไป


หลังเดินผ่านด่านแต่ละชั้นมา ในที่สุดเธอก็ได้เห็นคุณหนูนางฟ้าที่ร่ำลือกันอยู่ในเต็นท์หลังหนึ่ง


เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว อีกฝ่ายนั้นเหมาะกับฉายาที่เรียกต่อๆ กันมาในกองทัพที่หนึ่งจริงๆ เธอทั้งตัวเล็กน่ารัก ผิวขาวอมชมพู ดวงตาเหมือนยังไม่ปลดเปลื้องความเป็นเด็กออกไป เหมือนกับลูกคุณหนูที่เกิดในตระกูลขุนนาง ไม่เคยเจอกับความยากลำบากใดๆ ภายในใจคาบาราพอจะมีหวังขึ้นมา บางทีเรื่องราวมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้ก็ได้


“เจ้า…เรียกข้ามามีธุระอะไรเหรอ?”


เสียดายที่คำพูดประโยคแรกของอีกฝ่ายได้ทำลายสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ทั้งหมด


“ข้าสงสัยน่ะ เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเป็นแม่มด ทำไมกลับปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ แล้วไปเข้ากองทัพที่หนึ่งเหมือนคนธรรมดาล่ะ?”


“ข้า…ไม่ค่อยเข้าใจ..” คาบารายังทำเป็นไม่รู้เรื่อง โจเดลบอกรายงานเรื่องนี้ไปจริงๆ ด้วย


“อาการบาดเจ็บของเจ้า” นาน่าชี้ไปที่แขนของเธอ “ถึงแม้จะมีบาดแผลอื่นอยู่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เกิดจากอาวุธมีคม กรงเล็บของปีศาจทำแบบนี้ไม่ได้ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นอาวุธประเภทมีด นอกจากนี้ตอนที่ข้าจัดการบาดแผล ข้าเห็นร่องรอยการเน่าเปื่อยจากหมอกแดง มันจะซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง หรืออาจจะลึกลงไปถึงกระดูก มีแต่แม่มดเท่านั้นถึงจะได้รับบาดเจ็บแบบนี้ ต่อให้เจ้าจงใจทำลายบาดแผล ในจุดนี้มันก็ไม่สามารถทำปลอมขึ้นมาได้”


ฟาร์รีปิดปากลง


อีกฝ่ายไม่ได้ฟังเรื่องนี้มาจากโจเดล ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดแจกแจงออกมาได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าไม่มีช่องว่างให้เธอได้โต้แย้งเลย ตอนแรกยังนึกว่าอีกฝ่ายจะไร้เดียงสา หรือไม่ก็สามารถใช้คำพูดหรือไม่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อเอาตัวรอดไปได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วนั่นช่างเป็นความคิดที่น่าขันสิ้นดี


ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถึงจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “เจ้าเคยเห็นแม่มดถูกหมอกแดงกัดกร่อนเหรอ?”


นาน่ามุ่ยปากเล็กน้อย “ตัวข้าเอง”


คาบาราตกตะลึง


“ว่ากันว่าหมอกแดงจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับแม่มด แต่วิธีรักษาอย่างละเอียดกลับไม่มีใครรู้แน่ชัด ข้าจึงได้แต่ต้องทดลองด้วยตัวเอง” สาวน้อยพูดด้วยสีหน้าใจเย็น “ถ้าเกิดมีพี่น้องแม่มดถูกหมอกแดงทำให้บาดเจ็บจริงๆ แต่ข้ากลับไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิตแน่” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ยังดีที่ขอเพียงไม่รับเอาหมอกแดงเข้าไปเยอะเกินไปหรือไม่ถูกหมอกแดงพ่นเข้าใส่ตำแหน่งสำคัญๆ อย่างเช่นศีรษะ มันก็ยังพอที่จะช่วยชีวิตกลับมาได้ ดังนั้นเจ้าจำเอาไว้นะ ครั้งหน้าถ้าเจอแบบนี้อีก วิธีที่ดีที่สุดคือรีบตัดแขนของตัวเองทิ้งซะ”


คาบาราพูดอะไรไม่ออก จนถึงตอนนี้เธอยังไม่สามารถลืมความเจ็บปวดอันรุนแรงในตอนที่ถูกหมอกแดงกัดกร่อนได้ ปกติโดนเข้าไปแค่ครั้งเดียวก็ไม่คิดที่อยากจะลองเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่เมื่อฟังดูจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย มันเหมือนกับว่าเธอทดลองมาหลายครั้งอย่างไรอย่างนั้น ขนาดในตอนที่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนาน่าก็ยังไม่เปลี่ยนเลย ดูแล้วไม่ได้เข้ากับภาพลักษณ์ที่ดูเยาว์วัยของเธอเลย


เด็กน้อยที่เกิดมาจากตระกูลขุนนางงั้นเหรอ?


อย่ามาล้อเล่นน่า!


เธอถอนหายใจออกมา ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ถึงแม้ตัวเองจะเคยเป็นอดีตเทพีที่สูงศักดิ์ แต่เธอกลับไม่เคยเป็นฝ่ายได้เปรียบในเรื่องการเจรจาต่อรองเลย ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับราชินีเคลียร์วอเทอร์หรือว่าสาวน้อยคนนหนึ่งของอาณาจักรทางเหนือ


“….ข้าชื่อคาบารา มาจากเผ่าแซนด์สโตน ฟาร์รีเป็นแค่ชื่อปลอมของข้า” ในเวลานี้คาบาราล้มเลิกความคิดที่จะดิ้นรนแล้ว เธอเล่าอดีตทั้งหมดของตัวเองออกมา มาถึงตอนนี้แล้ว กองทัพที่หนึ่งไม่มีทางที่จะรับเธอเอาไว้ในกองทัพแน่ เพราะว่าเธอเคยรับใช้การ์เซียซึ่งเป็นศัตรูของชีค ถ้าเธอต้องถูกคุมตัวกลับไปไต่สวนที่เนเวอร์วินเทอร์ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


โรแลนด์ วิมเบิลดันยืนยันว่าตัวเขาดีกับแม่มด แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะดีกับลูกน้องของศัตรู


“ข้าสงสัยจริงๆ ในศึกของวูล์ฟฮาร์ทครั้งนั้น เจ้าหลอกผู้บริสุทธิ์ของศาสนจักรยังไง?” นาน่าถาม


“พลังสั่งการไม่ใช่แค่สั่งคนอื่นได้ แต่ยังสั่งตัวเองได้ด้วย ถ้าสั่งการแค่คนเดียวล่ะก็ มันสามารถทำเรื่องที่เกินกว่าขีดจำกัดของร่างกายออกมาได้ ความตายเองก็เป็นหนึ่่งในนั้นหมือนกัน” คาบาราค่อยๆ พูด “หลังได้รับคำสั่ง ลมหายใจกับการเต้นของหัวใจก็จะหยุดลงชั่วคราว และในตอนนั้นผู้บริสุทธ์กับทหารพิพากษากำลังไล่ฆ่าราชาของวูล์ฟฮาร์ทอยู่ พวกเขาก็เลยไม่มีเวลามานั่งสนใจข้า”


“อย่างนี้นี่เอง รอยแผลบนหน้าของเจ้าก็ได้มาจากตอนนั้นใช่หรือเปล่า?” คุณหนูไพน์นิ่งเงียบไปครู่ “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ เจ้าบอกว่าที่เจ้ามาเข้ากองทัพที่หนึ่งก็เพื่อคนในเผ่าของเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงต้องปิดบังชื่อของตัวเอง แม้แต่ข่าวที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ยอมบอกคนในเผ่า?”


“ข้าจะไปพูดอะไรได้ล่ะ? พาทุกคนออกไปหาโอเอซิสที่เขียวชอุ่มตลอดปี แต่สุดท้ายมีแต่ข้าคนเดียวที่รอดชีวิตกลับมา?” คาบาราทำสีหน้าเจ็บปวด “พวกเขาเอาความเชื่อใจมอบให้ข้า แต่ข้ากลับทำให้พวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มในเผ่านับพันชีวิตต้องไปตายอยู่ในอาณาจักรต่างแดน เผ่าแซนด์สโตนเองก็เกือบถูกกลืนกิน ข้ายังจะมีหน้ากลับไปที่เผ่าอีกเหรอ?”


“การที่กองทัพที่หนึ่งไปรับสมัครชาวทะเลทรายมาเป็นทหารทำให้ข้ารู้ว่าสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำการชดเชยได้ ก็คือการเข้าร่วมกับกองทัพ จากนั้นก็ใช้ความดีความชอบไปแลกกับโอเอซิสที่สามารถให้เผ่าของข้าได้ใช้ชีวิตอยู่ได้ การตรวจสอบของชาวทะเลทรายไม่ได้เข้มงวดเหมือนพวกเจ้า ข้าสร้างตัวตนปลอมขึ้นมา จากนั้นก็ได้รับความเชื่อใจจากท่านไบรอันในตอนที่ไปล้อมโจมตีเผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนด์” เธอก้มหน้าลง “ส่วนพวกเจ้าจะจัดการกับข้ายังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่…ได้โปรดอย่าทำอะไรเผ่าแซนด์สโตนเลย —- ตอนนี้ในเผ่ามีแต่เด็กกับผู้หญิง พวกนางไม่เคยรับใช้การ์เซีย วิมเบิลดันมาก่อน”


“ข้าเข้าใจแล้ว” นาน่าพยักหน้า “เจ้ากลับไปเถอะ”


“อะไร…นะ?” คาบารางุนงง


“ความจริงที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะถามเจ้าว่าเจ้าอยากจะรักษาบาดแผลบนหน้าไหม?” สาวน้อยผายมือ “แต่ตอนนี้ดูแล้วคำตอบของเจ้าคือปฏิเสธ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก”


เธออ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี


ถูกต้อง เธอไม่เคยได้เปรียบในเรื่องการเจรจาเลย เมื่อก่อนตอนที่อยู่ต่อหน้าราชินีเคลียร์วอเตอร์เธอก็มักจะยืนเงียบพูดอะไรไม่ออก เหมือนกับในตอนนี้….


แต่ความรู้สึกมันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“เออใช่ คืนนี้คณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์จะมาแสดงละครเวทีที่ค่ายตะวันตก” นาน่าพูดยิ้มๆ “ถ้าเจ้ากลับไปที่ค่ายตอนนี้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะทันดูตอนจบก็ได้นะ”


คาบารากัดริมฝีปาก จากนั้นจึงโค้งตัวทำความเคารพแล้วเดินออกจากเต็นท์ไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)