Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1322-1330

 ตอนที่ 1322 แสงที่ทำลายความมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่พาซาร์นั้นมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน


ร่างต้นแบบนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยดวงตาในการมองเห็น สำหรับเธอ อาลิเธียและเซลีนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนวดเส้นไหนก็สามารถใช้แทนดวงตาได้ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงไม่สามารถสวมใสของที่ใช้กันแสงได้


ถึงแม้โรแลนด์จะเคยเตือนแล้วว่าให้พยายามหลีกเลี้ยงการมองดูระเบิดตรงๆ ในเวลา 5 วินาทีหลังจากระเบิด แต่จนถึงวินาทีสุดท้ายเธอก็ยังไม่เบือนสายตาหนีไปไหน


ไม่ใช่แค่เธอ แต่เพื่อนเธออีกสองคนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน


ไม่ว่าไม่ก็ไม่คิดอยากจะพลาดภาพเหตุการณ์ที่เฝ้ารอมาแสนนาน


มนุษย์สามารถเอาชนะปีศาจได้งั้นเหรอ?


ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่แม่มดผู้รอดชีวิตของทาคิลาหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน ไม่มีใครที่จะกล้าถามคำถามนี้ออกมา ในตอนนั้นพวกเธอเฝ้าอดทนก็เป็นเพราะภาระหน้าที่ แล้วก็ทำเพื่อพี่น้องแม่มดที่สละชีวิตตัวเองไป ส่วนผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เพียงแค่พวกเธอคิดนิดเดียวก็ทำให้ภายใจเกิดอาการต่อต้านขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเธอกลัวว่ามันจะไปทำลายความพยายามและจิตใจแห่งการต่อสู้ของพวกเธอ ภาพเพดานถ้ำสีดำที่พวกเธอมองเห็นอยู่ทุกวันคือความรู้สึกที่ฝังลึกที่สุดในความทรงจำของพวกเธอ


แต่ความมืดมิดนี้ก็ได้ถูกแสงสีน้ำเงินอันเจิดจ้าทำลายลงแล้ว


มันไม่ใช่สีน้ำเงินล้วน แล้วก็ไม่เหมือนพวกสี อัญมณีหรือว่าน้ำทะเล พาซาร์ยากที่จะนิยามมันออกมาได้ มันเหมือนแสงสีขาวที่ขาวอย่างมาก ขาวจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่ามันกลายเป็นสีน้ำเงิน


แสงสว่างนั้นขยายตัวไปตามเส้นตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่องสว่างพื้นดินขึ้นมาในพริบตา!


เธอตกตะลึง!


นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นว่านอกจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้ว มันยังมีสิ่งที่สามารถส่องสว่างพื้นทวีปได้อยู่อีก เธอไม่ได้ตาฝาด เธอมองเห็นพื้นหิมะที่เดิมตกอยู่ในความมืดกลับมาสว่างเหมือนในเวลากลางวันอีกครั้ง ต้นไม้แต่ละต้นทอดเงาลงบนพื้นหิมะ ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่กึ่งกลางของแสงสีขาว โครงร่างก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้น


แทบจะในเวลาเดียวกัน พาซาร์รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทิ่มแทงเข้ามา ผิวหนังเหมือนกำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้อยู่ แล้วนั่นก็เป็นความรู้สึกในตอนที่เธอออกไปอยู่กลางแดดในเวลากลางวัน


แต่ในใจเธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เธอกลับกางหนวดทั้งหมดเพื่อรับเอาแสงที่ทำลายความมืดนี้เอาไว้


ถ้ามันสามารถนำพาเอาความหวังมาให้มนุษย์ได้ ความเจ็บปวดแค่นี้มันจะน่ากลัวตรงไหน?


มันมีแต่จะทำให้เธอยิ่งมีความสุขมากกว่า!


ลำแสงส่องสว่างอยู่ไม่ถึงหนึ่งวินาที จากนั้นแสงสีน้ำเงินก็เปลี่ยนเป็นสีขาว จากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นพื้นดินก็สั้นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง กระแสอากาศที่โถมเข้ามาพัดเอาเศษหิมะเข้ามาปะทะกับกำแพงบังเกอร์จนส่งเสียงดังเปาะแปะๆ สุดท้ายก็เป็นเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวที่ดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน คล้ายกับว่าพื้นดินกำลังส่งเสียงคำรามอยู่อย่างไรอย่างนั้น


หลังเสียงระเบิดผ่านไป โลกถึงจะกลับมาสงบลงอีกครั้ง


บนพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปมีเมฆรูปทรงประหลาดปรากฏขึ้นมาก้อนหนึ่ง ด้านบนของมันมีขนาดใหญ่ แต่ด้านล่างมีขนาดเล็ก ดูแล้วเหมือนเห็ดที่กำลังงอกขึ้นไปด้านบน ส่วนปลายด้านบนสุดของเห็ดยังคงมีเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนอยู่


อาศัยพลังของตัวเองในการส่องสว่างทั่วทั้งท้องฟ้า นี่เป็นสิ่งที่อาวุธชนิดไหนก็ไม่มีทางเทียบได้


ขนาดอยู่ห่างออกมา 15 กิโลเมตรยังรับรู้ได้ถึงอานุภาพของมัน แล้วถ้าไปอยู่ใกล้ๆ มันล่ะ?


พาซาร์นึกภาพอาวุธใหม่นี้ไประเบิดอยู่กลางฝูงปีศาจออกทันที


เดิมเธอคิดว่าภาพการระดมยิงปืนใหญ่นับร้อยกระบอกมันเป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับภาพเหตุการณ์นี้ ภาพการระดมยิงปืนใหญ่นั้นดูไม่มีค่าให้พูดถึงเลย


ถ้าบอกว่าการแสดงยิงปืนใหญ่เมื่อสองปีก่อนได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับแม่มดทาคิลาทุกคน อย่างนั้นการทดสอบอาวุธในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าทำให้แนวคิดกว่าจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาใหม่ในหัวของเธอต้องพังทลายลงอีกครั้ง


“เฮ!”


ภายในศูนย์บัญชาการและห้องสังเกตการณ์พลันมีเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีระเบิดขึ้นมาทันที


หนวดหลักของแม่มดระดับสูงทั้งสามกอดรัดเข้าด้วยกัน


‘นี่คือสิ่งที่พวกเราสร้างออกมาได้จริงๆ เหรอ?’ เป็นครั้งแรกที่อาลิเธียไม่ได้ใช้คำพูดแบ่งแยกเช่นคนธรรมดาหรือคนทั่วไป


‘แน่นอน! ข้าเป็นคนรับผิดชอบทำเปลือกบางส่วนนะ’ น้ำเสียงของเซลีนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ‘แต่บอกตามตรง ข้าไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะเป็นเหมือนอย่างที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้ๆ จริง…’


‘ทำไมล่ะ?’


‘เอ่อ…เพราะว่าพวกผู้ปกครองชอบใช้คำพูดสวยหรูมาล่อลวงทุกคนใช่ไหมล่ะ ในตอนนั้นสามผู้นำเองก็ใช้วิธีแบบนี้มากระตุ้นพวกเราเหมือนกัน…เดี๋ยวๆ ข้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่ถูกนะ พวกเจ้าอย่าไปบอกฝ่าบาทโรแลนด์นะ!’


‘เอาล่ะๆ’ พาซาร์พูดตัดบท ‘ตอนนี้พวกเจ้าคิดว่าผลของสงครามแห่งโชคชะตาจะออกมาเป็นยังไง?’


‘พวกเราเอาชนะได้ พวกเราเอาชนะได้แน่!’ เซลีนตอบโดยไม่ต้องคิด


‘ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะไม่ต้องยืดเยื้อไปถึงพระจันทร์สีแดงครั้งหน้าด้วย’ อาลิเธียเองก็แสดงออกว่าเห็นด้วย


เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ มาตรฐานของชัยชนะที่พวกเธอคิดเอาไว้คือป้องกันการโจมตีของปีศาจ อดทนรอจนสงครามแห่งโชคชะตาจะจบลง พัฒนาไปอีก 400 ปีแล้วค่อยมองหาโอกาสใหม่


แต่ไม่ทันไร มาตรฐานชัยชนะที่ว่านี้ก็เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิมเยอะมาก


‘อย่างที่คิดเอาไว้เลย…’ ในที่สุดพาซาร์ก็หัวเราะขึ้นมา ‘พวกเราคิดเหมือนกันเลย’


มนุษย์เอาชนะปีศาจได้


ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะรวดเร็วกว่าที่พวกเธอคิดเอาไว้ด้วย


เพราะความมืดอันนั้น มันไม่มีเหลืออยู่แล้ว


…..


ในกลุ่มคนที่กำลังโห่ร้องแสดงความยินดี มีเพียงโรแลนด์กับอันนาสองคนเท่านั้นที่ยังรักษาความเยือกเย็นเหมือนอย่างปกติเอาไว้


“ผลเป็นยังไงบ้างเพคะ?” อันนาถอดแว่นตาดำออกพร้อมถาม


“อย่างนั้นพวกเราก็ก้าวก้าวแรกออกไปแล้ว” โรแลนด์พูดพร้อมผายมือ ตัวลั่นไกของอุปกรณ์ทดสอบครั้งนี้คือปฏิกิริยาฟิชชันอย่างไม่ต้องสงสัย แสงสว่างอันเจิดจ้านั้นคือเครื่องยืนยัน ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงแต่ระเบิดเป็นพันกิโลกรัมนั้นไม่สามารถทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงขนาดนี้ได้ แต่เมื่อดูจากคลื่นกระแทกและเสาควันที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าผลของมันต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว ตามหลักแล้วมันควรจะรุนแรงกว่านี้ “ส่วนผลการทดสอบอย่างละเอียด เดี๋ยวต้องรอให้ทางศูนย์บัญชาการเก็บรวบรวมตัวเลขทั้งหมดมาแล้วถึงจะทำการวิเคราะห์ได้”


หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง หน่วยทดสอบแต่ละหน่วยได้นำเอา ‘อุปกรณ์ทดสอบ’ ที่ติดตั้งเอาไว้รอบๆ ลานทดสอบกลับมา —- อุปกรณ์ทดสอบที่ว่าก็คือกระดาษ เนื่องจากเทคโนโลยีที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถวัดน้ำหนักสมมูลของระเบิดได้ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงคิดที่จะใช้กระดาษมาวัดความรุนแรงของมัน


ในตอนที่คลื่นอากาศพัดมาถึงที่นี่ กระดาษเหล่านี้จะถูกพัดจนลอยขึ้นไปในอากาศ และเมื่อได้รับอิทธิพลจากแรงลมระเบิด ระยะทางที่พวกมันตกก็จะไกลออกไปจากตอนแรก ด้วยความต่างนี้ก็จะทำให้สามารถคาดคะเนน้ำหนักสมมูลคร่าวๆ ของระเบิดได้ — โรแลนด์ไม่จำเป็นต้องไปคำนวณด้วยตัวเอง เขาก๊อปปี้เอาตารางวัดค่าทั้งหมดมาจากโลกแห่งความฝันแล้ว หลังจากนี้แค่เอาตัวเองมาเทียบกันก็พอ


ถึงแม้วิธีนี้จะมีความคลาดเคลื่นอยู่ แต่มันก็เพียงพอที่จะใช้ในการชี้นำการทดสอบ


และข้อสรุปที่ได้ออกมาก็คลาดเคลื่อนจากที่คิดเอาไว้ตอนแรกไม่เท่าไร


อานุภาพของระเบิดต้นแบบครั้งนี้แค่ประมาณน้ำหนักสมมูลของระเบิดทีเอ็นทีประมาณ 3,000 ตัน ซึ่งยูเรเนียม 235 ที่ใส่เข้าไปนั้นอยู่ที่ 40 กิโลกรัม ถ้าบอกว่าระเบิดประมาณู ‘ลิตเติ้ลบอย’ ที่ใช้ในสงครามจริงลูกแรกนั้นมีวัตถุดิบแค่ 6% ที่เข้าไปอยู่ในปฏิกิริยาฟิชชั้น น้ำหนักสมมูลของระเบิดครั้งนั้นคือระเบิดทีเอ็นที 13,000 ตัน อย่างนั้นการทดสอบครั้งนี้ที่มีอัตราการใช้วัตถุดิบไปไม่ถึง 2% ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เดอร์ตี้บอมบ์’ แล้ว


แต่แน่นอน จะบอกว่าโรแลนด์ผิดหวังมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะในประวัติศาสตร์อาวุธมันไม่มีมาตรฐานของเดอร์ตี้บอมบ์ที่ชัดเจน ถ้าเทียบกับระเบิดนิวเคลียร์กว่า 70 – 80% ที่ใช้กันบ่อยๆ แล้ว ระเบิดปรมาณูรุ่นเก่าแก่ที่ใช้ในสงครามจริงเหล่านี้นั้นสามารถถูกจัดให้อยู่ในระเบิดประเภทเดอร์ตี้บอมบ์ได้ กระสุนปืนใหญ่ขนาด 152 มม.ที่มีดินปืนแค่ไม่กี่กิโลยังสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างน่าตกใจ แล้วนับประสาอะไรกับระเบิดทีเอ็นที 3,000 ตันล่ะ


สำหรับการทดลองแล้ว ระเบิดทดลองหมายเลข 1 นั้นไม่ถอว่าประสบความสำเร็จมากเท่าไร แต่มันก็ยังเป็นอาวุธที่รุนแรงอย่างมากอยู่


“ดูเหมือนหนทางนี้ต้องใช้เวลาเดินอีกยาวนานนะเพคะ” อันนาวางตารางที่อยู่ในมือพร้อมถอนหายใจออกมา แต่ในดวงตาของเธอกลับไม่ได้มีความท้อแท้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มันกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม


“ถูกต้อง” โรแลนด์พยักหน้า


เขาไม่ได้คิดว่ามันจะสำเร็จภายในครั้งเดียวอยู่แล้ว หลังจากนี้ก็คือการหาสาเหตุ ปรับปรุงแก้ไขจนกว่ามันจะสามารถแข่งกันเปล่งแสงกับพระอาทิตย์ได้จริงๆ


……………………………………………………..


ตอนที่ 1323 ข้อบกพร่อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ รถรูปร่างแปลกๆ คันหนึ่งก็ค่อยๆ ขับเข้าไปในลานทดสอบระเบิด


มันเป็นรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบคันแรกที่กองอุตสาหกรรมสร้างขึ้นมาตามแปลนและคำชี้แนะที่ทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลให้มา เพียงแต่นอกจากตัวถังรถที่เหมือนกันแล้ว รูปร่างภายนอกของมันเรียกได้ว่าแตกต่างจากรถแทรกเตอร์ที่สร้างขึ้นมาในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง รอบๆ ตัวรถมีเกราะหนาๆ หุ้มเอาไว้รอบคัน ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับกล่องสี่เหลี่ยมที่เคลื่อนที่ได้


หลังจากขับเข้าไปในพื้นที่ใจกลางการระเบิดแล้ว มันก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารเหล็กที่หลอละลายเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นมันจึงหันหัวกลับแล้วขับกลับมาตามทางเดิม


หลังขับไปได้ประมาณ 5 กิโลเมตร รถบรรทุกคันหนึ่งก็ขับเข้ามาใกล้แล้วรับทุกคนที่อยู่บนรถแทรกเตอร์ไป ส่วนรถแทรกเตอร์ทรงสี่เหลี่ยมนั้นถูกจอดทิ้งเอาไว้บนพื้นหิมะ


จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็เดินทางจากภูเขาหิมะมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในวันรุ่งขึ้น


ส่วนโรแลนด์ที่ได้รับแจ้งข่าวนี้ก็เชิญพวกเขาเข้ามาในปราสาททันที


“เป็นยังไงบ้าง ไม่เจออะไรผิดปกติใช่ไหม?”


“ขอฝ่าบาททรงวางพระทัยเพคะ ทุกอย่างราบรื่นดีเพคะ” ฟิลลิสยิ้มๆ พร้อมส่งรูนก้อนหนึ่งให้เขา “แอ็กเซียระบุภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้อย่างรวดเร็ว พวกหม่อมฉันเลยใช้เวลาอยู่ตรงนั้นสั้นกว่าที่คิดเอาไว้เพคะ”


“พะ เพราะว่ารู้ช่วงเวลาที่แน่ชัด ก็เลยไม่ค่อยยากอะไรเพคะ” แอ็กเซียดูค่อนข้างเขินอาย “เมื่อเทียบกับพี่น้องคนอื่นแล้ว การควบคุมพลังของหม่อมฉันยังถือว่าแย่กว่า…..”


“เอาล่ะ เจ้าก็อย่าถ่อมตัวไปเลย”


“ปะ เป็นเรื่องจริงนะเพคะ…”


โรแลนด์รับเอารูนมา แต่สีหน้าเขากลับยังดูเคร่งเครียดอยู่ เขาหันหน้าไปทางโมโม่ที่อยู่ข้างๆ “รบกวนเจ้าด้วยนะ”


“ไม่ พระองค์ตรัสหนักเกินไปแล้วเพคะ ฝ่าบาท” โมโม่ยื่นมือไปปิดดวงตาข้างหนึ่งเอาไว้เพื่อที่จะได้มองไม่เห็นฝ่าบาท ขณะเดียวกันเธอก็ใช้พลังออกมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็วางมือลง แล้วหันไปโค้งตัวให้โรแลนด์ “ตัวเลขและสีของทุกคนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกคนยังเหมือนกับตอนที่ออกเดินทางเพคะ”


ในตอนนี้โรแลนด์ถึงได้รู้สึกโล่งใจ เขาพูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “เหนื่อยหน่อยนะทุกคน”


“พระองค์ก็เหมือนกัเพคะ” เหล่าแม่มดพูดออกมาพร้อมกัน


“ในห้องรับแขกได้เตรียมอาหารไว้แล้ว เครื่องดื่มยุ่งเหยิงไม่อั้น ทุกคนไปกินให้อิ่มท้องก่อนเถอะ” เมื่อเห็นท่าทีมีความสุขของทุกคน เขาพลันส่ายหัวยิ้มๆ ออกมา ส่วนแม่มดทาคิลาที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นแขกประจำของโลกแห่งความฝันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้รางวัลอะไรเพิ่มเติม


พลังย้อนเวลาของแอ็คเซียทำให้สามารถสำรวจช่วงเวลาที่อาวุธเกิดการเปลี่ยนได้ นี่เป็นวิธีที่กองอุตสาหกรรมใช้บ่อยมากที่สุด ด้วยการปรับความเร็วในการฉายย้อนกลับทำให้สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวินาทีได้อย่างชัดเจน แล้วก็จะทำให้มองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องที่มีอยู่


แต่มันก็เหมือนกับที่เขาบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ แสงแห่งอาทิตย์ไม่เหมือนกับอาวุธอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเดอร์ตี้บอมบ์ที่ทำปฏิกิริยาไม่สมบุูรณ์ ภายในพื้นที่ยังคงมีวัตถุที่ปล่อยรังสีอันตรายหลงเหลืออยู่มากมาย ถ้าหากเข้าไปโดยพลการ ร่างกายจะต้องได้รับอันตรายจากรังสีปริมาณมหาศาลแน่นอน


เพื่อการนี้โรแลนด์ยอมที่จะเอารถแทรกเตอร์ตีนตะขาบคันแรกมาใช้อย่างไม่เสียดาย แล้วก็ทำการปรับปรุงให้มันสามารถกันรังสีได้ — รอบด้านของมันถูกหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วหลายชั้น แถมตรงกลางยังมีการใส่แผ่นฟอยล์กับแผ่นแบริลเลียมเอาไว้ด้วย ความหนาของมันหนาถึง 10 เซนติเมตร นี่จึงทำให้มันมีความสามารถในการป้องกันรังสีโปรตีน อิเล็คตรอนและนิวตรอนได้ ส่วนน้ำหนักที่เกิดขึ้นจากการห่อหุ้มทั้งตัวรถก็มีแต่เครื่องจักรไอน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยลูกบาศก์เวทมนตร์เท่านั้นถึงจะแบกรับไหว


นอกจากนี้ ในตัวรถยังมีออกซิเจนติดตั้งเอาไว้ด้วย มันแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เพื่อที่จะได้ป้องกันความเสี่ยงจากฝุ่นรังสีที่เข้ามาทางช่องอากาศ และเพื่อที่จะได้สังเกตดูภาพเหตุการณ์ในตอนที่เกิดการระเบิด ด้านหน้ารถจึงติดตั้งกระจกเคลือบตะกั่วขนาดใหญ่เอาไว้ ความหนาของมันหนาถึง 30 เซนติเมตร


เมื่อคิดถึงรถที่เข้าไปในลานทดสอบระเบิดอาจจะมีการปนเปื้อน เขายังสั่งให้ทำการเปลี่ยนรถทันทีที่ส่งคนออกมาจากพื้นที่ที่อันตรายที่สุด แล้วก็ทิ้งรถเอาไว้ตรงนั้นเลย


เรียกได้ว่าโรแลนด์ใช้มาตรการความปลอดภัยทุกอย่างที่คิดได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังยากที่จะวางใจได้


โชคดีที่ผลลัพธ์ที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าภารกิจตรวจสอบครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์


หลังได้ข้อมูลที่เก็บมาแล้ว โรแลนด์ก็รีบทำงานวิจัยกับอันนาและเซลีนทันที


…..


เมื่อใช้รูนเวลาฉายภาพการระเบิดในตอนนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายร้อยครั้ง จุดอ่อนของระเบิดทดลองหมายเลข 1 ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา


“ประสิทธิภาพของดินปืนของเราแย่เกินไป” อันนาพูดเสียงเบาๆ


‘หม่อมฉันเองก็มองเห็นแล้วเพคะ แรงปะทะของระเบิดเหมือนจะไม่สามารถส่งไปถึง ‘ลำกล้องปืน’ ได้อย่างราบรื่น’ เซลีนพยักหนวดหลัก ‘เราแก้ปัญหาด้วยการแบ่งตัวจุดระเบิดได้ไหมเพคะ?’


“เกรงว่าในช่วงเวลาสั้นๆ คงเป็นไปได้ยาก” โรแลนด์นวดดวงตาที่เมื่อยล้า การนั่งดูภาพบันทึกเหตุการณ์ตอนระเบิดมาสองวันติดทำให้เขารู้สึกว่าสีสันของทั้งโลกนี้เหลือเพียงแค่สีน้ำเงินกับสีขาว


ถึงแม้จะมีคิดถึงปัญหาของดินปืนเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะชัดเจนขนาดนี้


ตอนนี้ดินปืนที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตมาโดยตลอดคือดืนปืนไร้ควันฐานสอง ถึงแม้พลังทำลายและความเร็วในการระเบิดของมันจะไม่อาจสู้ระเบิดอำนาจสูงอย่าง RDX ได้ แต่มันก็เพียงพอสำหรับกองทัพ ต่อให้พลังทำลายล้างไม่เพียงพอ เขาก็ใช้จำนวนมาชดเชยในส่วนนี้ได้ แต่เมื่อเอามาใช้ในระเบิดทดลอง ปัญหายุ่งยากก็ปรากฏออกมาให้เห็น


ดินปืนจำนวนพันกว่ากิโลนั้นไม่ใช่แค่จุดเล็กๆ บนแปลนออกแบบ เมื่อเอาพวกมันมากองรวมกันแล้วมีขนาดใหญ่ประมาณตู้เซฟเลยทีเดียว เพื่อที่จะทำให้พลังงานระเบิดส่งไปถึงก้อนยูเรเนียมได้ โรแลนด์จึงได้สร้างเลนส์ที่มีลักษณะที่เป็นเหมือนกรวยขึ้นมาเพื่อที่รวมแรงปะทะเข้าไว้ด้วยกันให้ได้มากที่สุด


แนวคิดนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ตอนที่การจุดระเบิดยังดำเนินมาไม่ถึงขั้นตอนนี้มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น เรื่องจากขนาดของห่อดินปืนมีขนาดใหญ่ อีกทั้งห่อดินปืนแต่ละจุดยังระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นมาจากดินปืนเหล่านั้นต่างพากันหักล้างซึ่งกันและกันไปไม่น้อย ในจุดนี้จะสามารถให้ได้ภาพที่ฉายย้อนกลับ คลื่นกระแทกที่ปะทะเข้าใส่กันและกันทำให้เลนส์เหล็ก แล้วก็เปลือกนอกเกิดการบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง นี่หมายความว่ามีพลังงานจำนวนมากอยู่ที่ด้านนอก ‘ลำกล้อง’ ซึ่งนั่นก็ทำให้พลังงานที่จะไปผลักดันก้อนยูเรเนียมที่อยู่ด้านในน้อยลงไปจากเดิมมาก


ต่อไปก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่


แรงดันภายในลำกล้องที่มีไม่พอทำให้ปฏิกิริยาฟอชชันหยุดลงอย่างรวดเร็ว ยูเรเนียมจำนวนมากถูกอุณหภูมิที่สูงทำให้กลายเป็นไอ ซึ่งนี่ก็เป็นผลจากการของการที่ทำให้แหล่งกำเนิดนิวตรอนอ่อนแรงลงอย่างกลายๆ


“คงต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว” โรแลนด์ผายมือ เมื่อไม่มีเทคโนโลยีควบคุมการระเบิดแบบอิเลคโทรนิค มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกระตุ้มให้ดินปืนทั้งหมดระเบิดขึ้นมาตามลำดับในเวลาหนึ่งมิลลิวินาที แล้วทำให้เกิดคลื่นกระแทกซ้อนทำกับ ต่อให้เปลี่ยนเป็นดินปืนอำนาจสูงก็ทำได้แค่เพียงปรับปรุงให้มันดีขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง


เขาสามารถให้ทางกองอุตสาหกรรมเคมีทำวิจัยระเบิดความเร็วต่ำ แล้วก็ติดตั้งมันเอาไว้ที่หน้าเลนส์ได้ เพื่อที่จะได้ลดผลกระทบระหว่างกันของดินปืน แต่ขั้นตอนนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลาในการทดลองค่อนข้างยาวนาน จะสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ตอนนี้วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดเห็นได้ชัดว่าคือการใช้การออกแบบโครงแบบมาชดเชยเทคโนโลยีการจุดระเบิดที่ยังไม่ดีพอ


“ดูเหมือนคืนนี้คงต้องทำงานจนดึกอีกแล้ว” เขาบิดขี้เกียจพร้อมพูดออกมาอย่างเหนื่อยล้า


“หม่อมฉันจะอยู่เป็นเพื่อนพระองค์เพคะ” อันนาพูดยิ้มๆ “ให้รางวัลด้วยการนวดด้วยไฟสีดำดีไหมเพคะ?”


“จู่ๆ ก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที” โรแลนด์พูดอย่างตื่นตัว “มีรางวัลอื่นอีกไหม?”


“อย่างเช่นแบบไหนเพคะ?”


“เดี๋ยวขอข้าคิดดูก่อนนะ….อืม ไอที่พูดถึงครั้งที่แล้วเป็นไง….”


นี่ก็เป็นความรู้ที่เรียนมาจากโลกแห่งความฝันด้วยงั้นเหรอ…


เซลีนใช้หนวดหลักปิดใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากห้องทดลอง


……………………………………………………


ตอนที่ 1324 ฝันใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

บุ๊คหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาบนชั้นสามของปราสาท ก่อนจะเจอไนติงเกลที่เดินหาวออกมาจากห้องทำงาน


“เจ้ายังไม่นอนเหรอ?” ไนติงเกลหยุดฝีเท้าพร้อมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ


“น่าจะเป็นเพราะอายุมากแล้ว ช่วงนี้เลยนอนไม่ค่อยหลับ” บุ๊คส่ายหัวยิ้มๆ “ฝ่าบาทล่ะ พระองค์บรรทมหรือยัง?”


“อื้อ พระองค์กลับไปที่ห้องบรรทมเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว”


“แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่ห้องทำงานอยู่ล่ะ?” เธอพูดพร้อมเอามือปิดปาก “คงไม่ใช่ว่าแอบกินขนมของฝ่าบาทอยู่หรอกนะ?”


“เอ่อ…ฮ่าๆๆ” ไนติงเกลตกตะลคงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ใช่ ข้ากินเนื้อแดดเดียวของพระองค์ไป แล้วก็ยังแอบกินเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไปนิดหน่อยด้วย เจ้าอย่าไปบอกฝ่าบาทล่ะ”


ครั้งนี้กลายเป็นบุ๊คที่ตกตะลึง


เธอเป็นอะไรของเธอ…จู่ๆ ก็ตอบออกมาหน้าตาเฉย เมื่อก่อนนี้ถ้าไม่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ไนติงเกลจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด


แต่เมื่อคิดถึงว่าตัวเองกับเวนดี้ัมักจะแอบเอาเครื่องดื่มของเธอไปดื่ม บุ๊คจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี


“อย่างนั้น ข้าไปนอนก่อนล่ะ…” ไนติงเกลหลบสายตา แล้วเดินลงไปที่ชั้นสอง “เจ้าก็อย่านอนดึกมากล่ะ ข้าได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าคนยิ่งอายุเยอะ ถ้ายิ่งอดนอนมันจะยิ่งไม่ดี” เธอเดินลงบันไดไปพร้อมเงยหน้าขึ้นมา “ราตรีสวัสดิ์”


“ราตรีสวัสดิ์” บุุ๊คตอบกลับไปอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงาน


ถึงแม้เปลวไฟภายในเตาผิงจะดับไปแล้ว แต่มันยังคงมีไออุ่นแผ่กระจายออกมา ในอากาศเหมือนจะยังมีกลิ่นหอมจางๆ หลงเหลืออยู่ ดูเหมือนไนติงเกลจะอยู่ที่นี่มาพักใหญ่ๆ แล้ว


บุ๊คไม่คิดอะไรมากอีก เธอเปิดตู้หนังสืออย่างคุ้นเคย ก่อนจะเอาเอกสารแยกจัดเข้าไปในตู้ แล้วก็หยิบเอาเอกสารที่ฝ่าบาททรงรอคำตอบออกมา


มันคือแบบคำนวณที่ยาวเหยียด เมื่อดูจากลายมือแล้ว คนที่เขียนมันขึ้นมามีทั้งฝ่าบาทโรแลนด์ อันนา แล้วก็เซลีน หนึ่งในงานประจำของเธอก็คือเอาเอกสารพวกนี้ไปส่งให้สถาบันคำนวณ แล้วก็ให้นักโหราศาสตร์พวกนั้นคำนวณคำตอบออกมา แล้วค่อยเอาคำตอบที่ได้ไปตรวจกับร่างศูนย์กลางอีกทีหนึ่ง


เมื่อดูจากตัวหนังสือที่เขียนกำกับเอาไว้ แบบคำนวณเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการทดลองอันใหม่ของฝ่าบาท เพียงแต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแค่คำนวณไปคำนวณมาบนกระดาษถึงได้สามารถกำหนดร่างสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือไม่เคยคิดถึงมาก่อนได้ ราวกับว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นไม่ใช่ตัวเลข หากแต่เป็นแบบร่างของความจริง สำหรับเธอแล้วนี่มันไม่ได้ต่างอะไรกับการรู้อนาคตเลย


ทุกครั้งที่ได้เห็นลายมือที่เรียบร้อยของอันนา บุ๊คจะอดรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ทุกที หญิงสาวที่เกิดที่เมืองชายแดนขึ้นหนึ่งได้ถึงไปถึงดินแดนที่พวกเธอไม่มีวันที่จะเข้าใจได้ เห็นๆ อยู่ว่าตอนแรกทุกคนยังมานั่งดูฝ่าบาททำการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ อยู่ในห้องทำงาน ไม่ว่าใครต่างก็ถามคำถามฝ่าบาทโรแลนด์ได้ แต่ตอนนี้คนที่ตามอยู่ข้างกายฝ่าบาทโรแลนด์ได้กลับเหลือเพียงแค่อันนาเพียงคนเดียวเท่านั้น


แต่ภายในใจเธอไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด หากแต่รู้สึกภูมิใจอย่างมาก


เพราะว่านั้นคือพี่น้องของเธอ


บุ๊คนั่งลงตรงโต๊ะทำงานของโรแลนด์ แล้วก็พลิกอ่านข้อมูลเหมือนอย่างทุกทีเพื่อที่จดจำพวกมันเอาไว้ทั้งหมด แบบนี้ต่อให้เอกสารตกหล่นไป เธอก็จะได้รู้ได้ทันที


แต่ครั้งนี้เธอกลับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ


“นี่เรา…ตาลายยังงั้นเหรอ?”


บุ๊คนวดตาตัวเอง ก่อนจะมองเห็นตัวหนังสือกับสัญลักษณ์ลอยขึ้นมาที่ด้านหลังสมการบางส่วน รวมกับว่านั้นเป็นคำตอบของมันอย่างไรอย่างนั้น


ถ้านี่เป็นข้อสอบหรือแฟ้มทะเบียนบ้าน บุ๊คก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะนับตั้งแต่ที่เธอเชี่ยวชาญเทคนิคในการค้นหาอย่างรวดเร็ว เธอก็มักจะแยกแยะได้ทันทีที่เห็นเอกสารว่ามันมาจากไหน แล้วก็เนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง


แต่ปัญหาอยู่ที่เธอเพิ่งจะเคยเห็นข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก


บุ๊คไม่เพียงแต่จะไม่รู้ว่าสมการเหล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร แม้กระทั่ง ‘คำตอบ’ ที่ลอยอยู่ด้านหลังเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การที่เธอจะดูให้เข้าใจจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก


ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่ใช่ว่าด้านหลังสมการทุกอันจะมีสัญลักษณ์แปลกๆ ปรากฏขึ้นมา ด้านหลังสมการส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่โล่งๆ อยู่


แถมถ้าจ้องมองสัญลักษณ์ที่ลอยขึ้นมาเหล่านั้นเป็นเวลานาน บุ๊คยังรู้สึกได้ถึงความวิงเวียนด้วย


ดูเหมือนไนติงเกลจะพูดถูก อดนอนนานๆ ส่งผลเสียต่อร่างกายจริงๆ ด้วย บุ๊คถอนใจออกมา ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้เธอถึงไม่รู้สึกง่วงเลย เหมือนกับว่าหัวสมองของเธอกำลังหมุนด้วยความเร็วสูงอย่างไรอย่างนั้น


ถ้าไงพรุ่งนี้ให้ทางศูนย์พยาบาลจ่ายเฟิร์นหลับใหลให้หน่อยดีกว่า เธอคิดขึ้นมาในใจ เฟิร์นหลับใหลที่ว่าไม่ส่งผลข้างเคียงต่อแม่มดมากนัก ถ้าใช้แค่ครั้งสองครั้งน่าจะไม่เป็นอะไร


หลังฝืนจำข้อมูลทั้งหมดแล้ว จู่ๆ บุ๊คพลันรู้สึกได้ถึงความวิงเวียนอย่างรุนแรง แม้แต่สติของเธอก็พลอยเลือนรางขึ้นมา ร่างกายโน้มเอียงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว แท่นวางปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะพลันถูกมือเธอปัดลงมา


เพียงแค่อาการวิงเวียนนี้มาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เธอก็รู้สึกกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะไม่มีอาการไม่สบาย แต่ความคิดความอ่านของเธอยังเหมือนจะชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้อย่างมากด้วย


บุ๊คกะพริบตา หลังมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร เธอก็ยิ้มแห้งๆ แล้วก้มลงไปเก็บแท่นวางปากกา


ในพริบตานั้นเอง บุ๊คพลันรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมา


เพราะรูปร่างของพื้น…มันเปลี่ยนไป


ห้องทำงานของฝ่าบาทคือภาพที่เธอไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด พื้นทำมาจากไม้สนจากในป่าเร้นลับ บนพื้นปูด้วยพรมขนแกะ ถึงแม้ ถึงแม้ดูแล้วจะค่อนข้างเก่า แต่ฝ่าบาทก็ไม่เคยเปลี่ยนมันมาก่อน แต่ตอนนี้ใต้เท้าของเธอยังคงเป็นพรมขนแกะอยู่ แต่พื้นที่ไกลออกไปกลับเปลี่ยนวัสดุไปเสียแล้ว


จากไม้กลายเป็นหิน


เป็นไปได้ยังไง?


บุ๊คเงยหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เธอยังคงตกใจอยู่เหมือนเดิม


ไม่ใช่แค่พื้นเท่านั้น แต่ห้องทำงานทั้งห้องเหมือนจะเปลี่ยนไปทั้งหมด เก้าอี้ยาวที่ไนติงเกลนั่งอยู่เป็นประจำก็หายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือตู้เอกสารเหล็กเก่าๆ ใบหนึ่ง ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับห้องเอกสารในสำนักบริหารเลย


แต่ก่อนหน้านี้เธออยู่ในปราสาทนี่นา


ใช่แล้ว กระจก!


นั่นเป็นการตกแต่งที่ฝ่าบาททรงชื่นชอบที่สุด แล้วก็เป็นเอกลักษณ์ของห้องทำงานด้วย เพียงแค่มองผ่านหน้าต่างออกไปก็จะมองเห็นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่สว่างสดใสไปด้วยแสงไฟ


บุ๊คหมุนตัวทันที ก่อนจะเลิกผ้าม่านกำมะหยี่ที่อยู่ด้านหลังขึ้น


แต่สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอมีแค่กำแพงอิฐสีเทา


เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่ห้องทำงานของฝ่าบาทที่เธอคุ้นเคย


เธอลุกขึ้นยืนอย่างลนลานแล้วเข้าไปเคาะกำแพงดู กำแพงไม่ขยับแม้แต่น้อย — เมื่อฟังจะเสียงสะท้อนทึบๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช้ภาพลวงตา หากแต่เป็นกำแพงจริงๆ


บุ๊คพลันรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง


ไม่ว่าใครถ้าจู่ๆ ต้องมาอยู่ในสถานที่แปลกหน้าที่ถูกปิดตายก็คงเกิดความรู้สึกอ่อนแอและไร้หนทาง


ไม่…เธอสูดหายใจแล้วบังคับให้ตัวเองใจเย็น จะบอกว่าปิดตายมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ตรงมุมกำแพงที่อยู่ระหว่างตู้เอกสารสองตู้มีประตูเหล็กที่ไม่สะดุดตาอยู่บานหนึ่ง มันกับตู้เหล็กมีสีที่แทบจะเหมือนกัน ถ้าไม่สังเกตให้ดีๆ ก็คงจะมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ


นี่เหมือนจะเป็นทางออกเดียวของห้องนี้


ประตูเหล็กจะไปโผล่ที่ไหน?


สิ่งที่รอเธออยู่ด้านนอกจะเป็นกับดักหรือว่ากำแพง?


บุ๊คอดไม่ได้ที่คิดถึงปัญหาเหล่านี้ ก่อนจะค่อยๆ จับลูกบิดประตู


“แคร่ก…”


ประตูเหล็กเปิดออก


แสงแดดสีทองส่องเข้ามาในห้อง จากนั้นความเงียบสงบพลันถูกทำลาย เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามาในห้องพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็น มีเสียงพูดคุยเสียงดัง มีเสียงแตรดังปริ๊นๆ แล้วก็มีเสียงฝีเท้าที่ดังไม่ขาดสาย ตรงหน้าเธอ คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังก้มหน้าก้มตาเดิน บางครั้งก็จะมีบางคนที่กวาดตามองเธอแล้วมองเธออย่างแปลกใจ


และด้านหลังคนกลุ่มนี้ ตึกขนาดใหญ่ที่สูงเหมือนภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้าบุ๊ค


…………………………………………………………………..


ตอนที่ 1325 ดินแดน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังโรแลนด์ตื่นขึ้นมา เขายังคงนอนเล่นอยู่บนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากผ้าห่มอันแสนอบอุ่น


เห็นได้ชัดว่าอันนาลุกไปทำงานแต่เช่าแล้ว ข้างโต๊ะยังมีอาหารเช้าที่เธอเอามาให้เขาวางไว้อยู่ เขาสวมเสื้อคลุมอย่างขี้เกียจ จากนั้นคิดที่จะไปห้องน้ำที่ด้านนอกเพื่อล้างหน้าก่อนแล้วค่อยกลับมากินอาหารเช้า


คิดไม่ถึงเลยว่าพอเปิดประตูออกไป เขากลับมองเห็นแม่มดกลุ่มหนึ่งมายืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู


“ฝ่าบาท!”


โรแลนด์ตกตะลึง ภาพแบบนี้เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นี่แสดงให้เห็นว่าภายในสโมสรแม่มดนั้นได้เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแล้ว ถึงได้ทำให้สมาชิกแม่มดที่ไม่ได้ไปรบมารวมตัวกันที่นี่เยอะขนาดนี้ แต่ก็เป็นเพราะเขายังอยู่ในโลกแห่งความฝัน ทุกคนถึงได้เฝ้าอยู่หน้าประตูรอเขา เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้เป็นเดือนแห่งปีศาจ อีกทั้งไนติงเกลยังมีสีหน้าตื่นเต้น เขาจึงถามออกไปทันทีว่า “มีใครวิวัฒนาการอย่างนั้นเหรอ?”


“บุ๊คเพคะ! นางยกระดับกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์แล้วเพคะ!” ไนติงเกลตอบอย่างตื่นเต้น


…..


เมื่อเดือนตามแม่มดที่พูดคุยกันจ็อกแจ๊กเข้าไปในห้องทำงาน โรแลนด์ก็มองเห็น ‘สุดยอดอมนุษย์’ ที่ทุกคนพูดถึงกัน ฟิลลิสกับอันนาเองก็อยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งสามคนนั่งล้อมกองเอกสารกองหนึ่งอยู่ คล้ายว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ เพียงแต่เห็นสีหน้าที่ดูเรียบเฉยของบุ๊ค เขาเกือบคิดว่าคนที่ยกระดับนั้นคือคนใดคนหนึ่งในกลุ่มแม่มดที่กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเสียอีก


“อย่างนั้น…ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “หรือว่าบุ๊คจะ…”


ทั้งสามคนสังเกตเห็นเขาเข้ามา ฟิลลิสพูดขึ้นมาเป็นคนแรก “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้ใช้หินวัดพลังลองวัดพลังเวทมนตร์ดูแล้วเพคะ ท่านบุ๊คอาจจะเป็นแม่มดอมนุษย์สายสนับสนุนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยกระดับเพคะ ลักษณะของพลังเวทมนตร์ของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ถึงแม้การยกระดับแบบนี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล แล้วก็ไม่มีตัวอย่างที่ชัดเจนที่จะมาเปรียบเทียบได้ แต่ตามธรรมเนียมของสมาพันธ์แล้ว นางมีคุณสมบัติที่จะเรียกว่าสุดยอดอมนุษย์ได้แล้วเพคะ”


“ท่านเทิ่นอะไรกัน เรียกข้าเหมือนเดิมนั่นแหละ…” บุ๊คส่ายหัว


“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ฟิลลิสพูดอย่างจริงจัง “ในยุคสมัยสมาพันธ์ ท่านมีโอกาสที่จะกลายเป็นสามผู้นำ แค่นี้ข้าก็ถือว่าเสียมารยาทมากแล้ว….”


“เจ้าก็เป็นคนพูดเอง นั่นมันยุคสมัยสมาพันธ์” บุ๊คพูดตัดบท “ในสโมสรแม่มด ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าชอบวิธีเรียกที่มันสบายๆ แบบนี้มากกว่า”


“เอาล่ะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน” อันนาพูดแทรกขึ้นมา “ตอนนี้ฝ่าบาทโรแลนด์ก็มาแล้ว พวกเราคุยกันเรื่องความสามารถของบุ๊คก่อนดีกว่า”


“ข้านึกว่าเจ้าไปที่ห้องทดลองแต่เช้าแล้วเสียอีก” โรแลนด์ยิ้มให้เธอ


อันนาเองก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนกัน “ตอนแรกก็วางแผนเอาไว้แบบนั้น แต่ว่าความสามารถของบุ๊คมันค่อนข้างพิเศษจริงๆ เพคะ หม่อมฉันก็เลยเปลี่ยนแปลงตารางเวลา”


“พิเศษ?”


“อื้อ” อันนาพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า “นางมองเห็นโลกแห่งความฝันเพคะ”


……


หลังฟังบุ๊คฟังบรรยายจบ โรแลนด์ก็ลืมตาโตด้วยความตกใจ


“แล้วสุดท้ายเจ้ากลับมาได้ยังไง?”


“หลังจากที่หม่อมฉันได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตเหล่านั้น จู่ๆ หม่อมฉันก็คิดถึงโลกแห่งความฝันที่พระองค์เคยบรรยายให้ฟัง จากนั้นหม่อมฉันก็เลยรู้สึกใจเย็นขึ้น” บุ๊คค่อยๆ พูด “หลังจากนั้นหม่อมฉันก็กลับมาที่ห้องเล็กๆ ในตอนแรก แล้วก็ลองรวบรวมสมาธินึกาพตัวเองออกมาจากห้องนั้น ในตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง หม่อมฉันก็พบว่าตัวเองกลับมาในห้องทำงานของปราสาทได้จริงๆ”


“อา…อิจฉาจังเลย!”


“นั่นมันคือโลกแห่งความฝันจริงๆ เหรอ?”


“ข้าก็อยากเห็นมั่งจัง!”


เหล่าแม่มดที่ฟังอยู่ข้างๆ เก็บความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจเอาไว้ไม่อยู่ ในตอนที่บุ๊คพูดจบ ทุกคนต่างฝ่ายต่างตะโกนขึ้นมา


“เอ่อ…ข้าคิดว่าด้วยความสามารถของตัวข้า ไม่มีทางที่จะสร้างโลกที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นขึ้นมาได้” บุ๊คพูดยิ้มๆ “ส่วนจะใช้โลกแห่งความฝันเดียวกันไหม เอาไว้ฝ่าบาทเข้าไปในโลกแห่งความฝันก็น่าจะรู้ได้”


“ไม่…บางทีนี่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถ” โรแลนด์พูดเสียงคร่ำเคร่ง


“ไม่เกี่ยวกับความสามารถ?” ฟิลลิสถามอย่างแปลกใจ “แต่พลังเวทมนตร์ของท่านบุ๊คเกิดการรวมตัวจริงๆ นะเพคะ…”


“การยกระดับเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น” ภายในหัวเขามีคำพดของไนท์แมร์ดังขึ้นมา “ในตอนที่ความเข้าใจในพลังเวทมนตร์เพิ่มขึ้นไปถึงระดับหนึ่งก็จะทำให้สามารถสิ่งร่องรอยเอาไว้ในโลกแห่งจิตสำนึกได้ หรืออาจจะเปิดดินแดนของตัวเองขึ้นมาได้’ ในจุดนี้ก็ดันไปเหมือนกับคำพูดของมิสต์โดยบังเอิญ “บุ๊ค ตอนนี้เจ้าเข้าไปในห้องปิดที่ปิดผนึกนั่นอีกได้ไหม?”


“แต่พระองค์ม่ได้บรรทมอยู่นี่เพคะ…” บุ๊คงุนงง


“ไม่เป็นไร เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ” โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่ “ถ้าเข้าไปได้ล่ะก็ เจ้าลองเปิดประตูเหล็กบานนั้นอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเจ้าจะมองเห็นอะไรก็ห้ามก้าวออกไปจากประตูบานนั้นแม้แต่ก้าวเดียว ยื่นมือออกไปจับก็ไม่ได้ เข้าใจไหม?”


“….หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” บุ๊คสูดหายใจ ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วหลับตาลง


“หรือพระองค์คิดว่านางจะ…” ฟิลลิสเหมือนจะเข้าใจในเจตนาของเขา ตอนที่เจอกับวัลคีรีย์ เธอก็อย่ตรงนั้นด้วย


“เป็นไปได้สูง” โรแลนด์พยักหน้าเล็กน้อย


หลังผ่านไปประมาณสิบห้านาทีบุ๊คก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอทำสีหน้าตกใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หลังประตูกลายโพรงเปล่าๆ สีแดงเพคะ!”


ใช่จริงๆ ด้วย! เขาพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างคร่าวๆ แล้ว “ที่นั่นคือโลกแห่งจิตสำนึก แล้วก็เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ ส่วนห้องเล็กๆ ที่เจ้าเห็นในตอนแรกนั้นก็คือดินแดนในจิตสำนึกที่เป็นของเจ้าเพียงคนเดียว”


“เอ๋?” ลูน่าถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่พระองค์เคยบอกว่าโลกแห่งจิตสำนึกคือพระจันทร์สีแดงที่อยู่บนฟ้าไม่ใช่เหรอเพคะ?”


“พวกมันคือสิ่งเดียวกัน แต่แสดงออกมาไม่เหมือนกันเท่านั้น ความจริงแล้วโลกแห่งจิตสำนึกอยู่ในบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ทางเหนือของทวีป” โรแลนด์เหล่าเรื่องที่ราชาปีศาจเข้าไปในโลกแห่งความฝันแล้วออกไปจน แล้วก็ถูกตัวเองค้นพบตัวตนที่แท้จริงออกมาคร่าวๆ มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่ได้เล่าออกมาก็คือเรื่องของมิสต์ “ดินแดนแห่งนั้นสามารถคงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโลกแห่งความฝัน เพียงแต่ว่ามันบังเอิญอยู่ในขอบเขตของลำแสงกุญแจเข้านั้น มันจึงได้เชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งความฝัน”


“ว้าว…” เหล่าแม่มดพากันอุทานออกมา


“ข้าก็จะเปิดดินแดนของตัวเองเหมือนกัน!” ลูน่ากำหมัดขึ้นมา


“พอเถอะ เจ้าไม่ได้ยินที่ฝ่าบาทตรัสเหรอ นอกจากความรู้แล้ว ยังต้องมีความสามารถด้วย” ลิลลีกรอกตาใส่เธอ “พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เจ้าอ่านหนังสือที่ฝ่าบาททรงเขียนทั้งหมด จะทำได้ไม่ได้มันก็ดูด้วยว่าเจ้ามีปัญญาหรือเปล่า แต่ข้าคิดว่า…น่าจะยาก”


“เจ้าคนทรยศ!”


“โรแลนด์มองไปทางบุ๊คแล้วสั่งกำชับว่า “ถึงแม้เจ้าจะสามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้ แต่ที่นั่น…มันเต็มไปด้วยอันตรายต่างๆ นานา ต่อไปถ้าจะเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกก็พยายามเชื่อมต่อมันในเขตลำแสงกุญแจ แล้วก็เชื่อมต่อมันเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึก เพราะถ้าเป็นโลกแห่งจิตสำนึก อย่างน้อยข้ากับแม่มดอาญาสิทธิ์ก็ยังปกป้องเจ้าได้”


อย่างเช่นพระเจ้าที่จ้องจะทำลายโลกแห่งความฝัน แล้วก็เทวทูตที่มาพร้อมกับการกัดกิน ถึงแม้บุ๊คจะยกระดับเป็นสุดยอดมนุษย์แล้ว แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเธอยังคงเป็นศูนย์อยู่ ถ้าหากเจอศัตรูเข้า เธอไม่มีทางที่จะรับมือได้แน่นอน


“เพคะ…” บุ๊คงุนงงเล็กน้อย จากนั้นทำสีหน้าอ่อนโยนแล้วก้มหน้าถวายบังคมเขา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”


“อย่างนั้นต่อไปก็ควรจะทดสอบความสามารถอันนี้ดูหน่อยแล้ว” โรแลนด์พูดยิ้มๆ


………………………………………………………


ตอนที่ 1326 คำขอร้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

การทดสอบการเปลี่ยนแปลงของพลังของบุ๊คหลังจากยกระดับนั้นใช้เวลาไม่นานนัก


ความจริงก่อนที่โรแลนด์จะมา เธอได้พูดคุยกับอันนามาบ้างแล้ว คำตอบที่ปรากฏขึ้นหลังสมการนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านการคิดคำนวณออกมาเหมือนกัน หากแต่เป็นผลที่เกิดจากการสืบค้นความทรงจำ


เนื่องจากในข้อมูลนั้นมีสมการจำนวนมากที่ถูกใช้ซ้ำๆ แล้วบุ๊คก็เคยเห็นพวกมันพอดี ดังนั้นคำตอบจึงปรากฏขึ้นมาในหัว โดยเฉพาะฟังก์ชั่นที่มีความซับซ้อนเหล่านั้น ถ้าทุกๆ ตัวแปรในนั้นล้วนแต่ถูกจำไป อย่างนั้นต่อให้สลับตัวแปรในสมการ เธอก็ยังได้คำตอบออกมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของมันก็ตาม


เมื่อเทียบกับการอ่านข้อสอบหรือเอกสารข้อมูลแล้ว การทำแบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีปริมาณงานที่เยอะกว่า แต่ในอดีตไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้เธอกลับสามารถทำมันให้สำเร็จได้ภายในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่าความสามารถหลักของเธอได้ถูกยกนะดับขึ้นแล้ว


แต่สิ่งที่เธอไม่เคยจำ หรือเนื้อหาบางส่วนที่จำไม่หมดก็จะไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา


ด้วยเหตุนี้ถ้าอยากจะคำนวณความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ตัวอย่างที่ออกแบบมาใหม่ ก็ยังต้องให้ทางสถาบันคำนวณและร่างศูนย์กลางเป็นคนทำอยู่


เพียงแต่ถ้าให้บุ๊คอ่านมันก่อนรอบหนึ่ง มันก็จะสามารถลดปริมาณงานลงไปได้ไม่น้อย


หัวใจสำคัญของการทดสอบนั้นอยู่ที่ ‘ห้องเอกสาร’ ในดินแดนของโลกแห่งความทรงจำ — ถึงแม้ตอนนี้มันจะเป็นแค่ห้องเล็กๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น


สิ่งแรกที่ถูกทำการยืนยันก็คือกฎการแลกเปลี่ยนของสิ่งของของทั้งสองโลก


เพราะว่าบุ๊คเป็นสุดยอดอมนุษย์ วิธีการเข้าไปในโลกแห่งความฝันนั้นไม่เหมือนกับแม่มดอาญาสิทธิ์กับไนท์แมร์ลอร์ด แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นจำเป็นต้องพึ่งพาเสาลำแสงในการเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ส่วนไนท์แมร์นั้นเป็นการเข้าไปโดยพลการ จนทำไรร่างกายเปลี่ยนไปจากเติม แต่วิธีของบุ๊คนั้นเป็นเหมือนการเชื่อมต่อ เหมือนกับการขับรถคันเล็กๆ เข้าไปในลานจอดรถ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือว่าจิตสำนึกก็ล้วนแต่ปกป้องรักษาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์


ถ้าสามารถเอาสิ่งของที่อยู่ในลานจอดรถออกมาได้ มันก็จะยิ่งมีความสำคัญอย่างมาก


แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ดีขนาดนั้น บุ๊คสามารถเอาสิ่งของ ‘เข้าไป’ ในดินแดนของตัวเองได้ แต่ไม่สามารถเอาของที่อยู่ในดินแดนหรือโลกแห่งความฝันออกมาได้ ต่อให้เป็นแค่ก้อนหินก้อนหนึ่งก็ตาม


นอกจากนี้การจะบอกว่าเอาของเข้าไปมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่าสิ่งของที่ใช้ทดสอบดูเหล่านั้นไม่ได้หายไป หากแต่ยังคงอยู่ในมือของเธอ


“ขออภัยเพคะ…ฝ่าบาท” หลังทดสอบดูหลายครั้ง บุ๊คมองดูสองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พลังของหม่อมฉันยังไม่ดีพอเพคะ”


“ไม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด” โรแลนด์กับอันนาสบตากัน ภายในใจของพวกเขามีสรุปแล้ว ห้องเอกสารนั้นเกรงว่าจะเป็นเหมือนกับโลกแห่งความฝัน จะมากจะน้อยมันก็มีความสามารถในการบิดเบือนความจริง ขอเพียงเป็นสิ่งที่บุ๊คเข้าใจ เธอก็สามารถสร้างของเลียนแบบขึ้นมาได้ ดูเผินๆ แล้วจึงเหมือนว่าเธอเอาสิ่งของเข้าไปในโลกแห่งความฝัน แต่การจะเอาของกลับมานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


นี่ทำให้โรแลนด์แอบรู้สึกโล่งใจ


เพราะว่าคนที่เปิดดินแดนโลกแห่งความฝันได้นั้นไม่ได้มีแค่บุ๊คเพียงคนเดียว จากข้อมูลที่ได้มาจากวัลคีรีย์ จักรพรรดิของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไม่ได้มีแค่ ‘หอเจ้าชีวิต’ เท่านั้น แต่มันยังมีความสามารถในการควบคุมดินแดนที่แข็งแกร่งอย่างมากด้วย ในตอนที่มันอยู่ในนั้น มันแทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้าเลย


ถ้าสิ่งของของทั้งสองโลกสามารถแลกเปลี่ยนไปมาได้ตามใจชอบ เช่นนั้นสงครามแห่งโชคชะตานั้นก็จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงกับความไม่แน่นอนอยู่เต็มไปหมด


การทดสอบต่อไปคือการทดสอบความสามารถในการรองรับของดินแดน


หลังจากที่ได้คุยกับมิสต์ เขาก็เคยคาดเเดาแล้วว่าโลกแห่งความฝันก็เป็นดินแดนหนึ่งในโลกแห่งความฝันเหมือนกัน เพียงแต่มันมีขนาดใหญ่อย่างมากเท่านั้น ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเรียกลมเรียกฝนในโลกแห่งความฝันได้เหมือนอย่างจักรพรรดิของปีศาจ แต่ความเหมือนกันของดินแดนก็น่าจะมีอยู่ อย่างเช่นการรองรับจิตสำนึก


ลำแสงกุญแจของบุ๊คหลังจากยกระดับแล้วมีขนาดประมาณหนึ่งเมตร ถึงแม้จะยังห่างจากเสาลำแสงของผู้ถูกเลือก แต่เสาลำแสงของเธอก็ใหญ่เป็นอันดับสี่ของแม่มดในเนเวอร์วินเทอร์แล้ว เป็นของแค่โรแลนด์ ลีฟและอีฟลิน


และเสาลำแสงของเธอนี้ก็สามารถรองรับแม่มดอาญาสิทธิ์ยืนเรียงแถวหน้ากระดานได้ 4 คน


ถ้าบอกว่าแม่มดโบราณเหล่านี้เข้าไปในโลกแห่งความฝันได้เป็นเพราะเสาลำแสงของพวกเธอถูกเสาลำแสงของโลกแห่งความฝันปกคลุมพอดี อย่างนั้นพวกนางจะใช้วิธีเดียวกันนี้เข้าไปในห้องเก็บเอกสารได้หรือเปล่า?


และผลการทดสอบก็ทำให้โรแลนด์รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก


ฟิลลิสสามารถใช้ดินแดนของบุ๊คในการกลับคืนสู่สภาพเมื่อ 400 ปีก่อนได้โดยที่เขาไม่ได้นอนหลับ


นี่เป็นการตอกย้ำสมมติฐานของเขา


เค้าโครงของโลกแห่งความฝันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในหัวของเขา


เพียงแต่จำนวนคนที่เข้าไปกับขนาดของลำแสงนั้นเหมือนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ถึงแม้แม่มดอาญาสิทธิ์สี่คนจะนอนหลับอยู่ข้างกายบุ๊ค แต่ก็มีแม่มดเพียงแค่คนเดียวที่เข้าไปในห้องเอกสารได้


แต่เข้าไปได้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว


จุดสำคัญจุดสุดท้ายก็คือการระบุำตำแหน่งของห้องเอกสารเพื่อดูว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลกแห่งความฝัน ถ้าตึกสูงที่บุ๊คมองเห็นนนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความฝันจริงๆ อย่างนั้นเธอกับโรแลนด์ก็มีโอกาสเจอกันในโลกแห่งความฝัน


ในขณะที่กำลังจะเริ่มการทดสอบ จู่ๆ อันนาก็เรียกบุ๊คเอาไว้


“ฝ่าบาท?”


“หลังจากที่ได้เจอกับโรแลนด์ ข้าก็ไม่เคยอิจฉาใครมาก่อนเลย เพราะข้ารู้สึกว่านี่เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว” เธอค่อยๆ พูด “ต่อให้รู้ว่าแม่มดอาญาสิทธิ์สามารถเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้ข้าก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาอะไร เพราะพวกนางทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว โลกแห่งความฝันถือเป็นของรางวัลชดเชยให้พวกนาง แต่…ตอนนี้เขารู้สึกอิจฉาเจ้าขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ”


อันนาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาต่อหนาแม่มดทุกคน นี่ทำให้ในกลุ่มแม่มดพากันแตกตื่นขึ้นมา


“ว้าว…ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าหน้าข้ามันร้อนผ่านล่ะเนี่ย?” ลูน่ารีบเอามือปิดหน้า แต่เธอกลับจงใจกางนิ้วออกเป็นช่องเล็กๆ


“เงียบๆ อย่าพูดแทรก!” ลิลลี่ถลึงตาใส่เธอ


“อันนา…” โรแลนด์เอ่ยปากขึ้นมา


อันนายิ้มให้เขาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมองบุ๊ค “ดังนั้นข้ามีคำขอเรื่องหนึ่ง”


บุ๊คพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตรัสมาเลยเพคะ ฝ่าบาท ขอเพียงเป็นเรื่องที่หม่อมฉันทำได้ หม่อมฉันจะพยายามทำเต็มที่เพคะ”


“ก่อนหน้านี้เขาเคยเล่าเรื่องโลกแห่งความฝันให้ข้าฟัง แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงการเล่าปากเปล่าเท่านั้น เจ้าเป็นดวงตาแทนให้ข้า แล้วเอาตึกถงจึที่เขาอยู่ สถานที่ที่เขาใช้ชีวิตเป็นประจำ แล้วก็ภาพของโลกใบนั้นถ่ายออกมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?” อันนาพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเอาภาพบันทึกลงไปในสมุดแห่งเวทมนตร์ล่ะก ข้าเองก็น่าจะมองเห็นด้วยใช่ไหม?”


“ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการให้เองเพคะ”


“ว้าว…” จู่ๆ ลูน่าก็พูดเสียงดังขึ้นมา “ข้าก็อยากดูเหมือนกัน! ถ่ายออกมาทั้งเมืองเลย!”


“เจ้าหุบปากได้ไหม!”


แต่ยังไม่ทันที่ลิลลี่จะได้ปรามเธอ แม่มดคนอื่นๆ ก็ตะโกนตามขึ้นมา “ถ่ายเครื่องบินที่บรรทุกคนได้เป็นร้อยคนได้ไหม?”


“ข้าอยากเห็นลานที่บรรจุคนได้ทีเดียวหลายหมื่นคนว่าเป็นยังไง!”


“ข้าด้วย ข้าด้วย…”


เมื่อเห็นเหล่าพี่น้องแม่มดต่างไปห้อมล้อมอันนากับบุ๊คเอาไว้ ลิลลี่จึงกระทืบเท้าแล้วเบียดตามเข้าไป


ไนติงเกลถอนหายใจเบาๆ อยู่ในหมอกมายา


นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอันนาถึงเดินนำหน้าตัวเองล่ะมั้ง?”


เธอยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา


เห็นๆ อยู่ว่าความรู้สึกของตัวเองนั้นไม่ได้ด้อยกว่าอีกฝ่ายเลย แต่เธอกลับสามารถพูดคำพูดแบบนั้นออกมาต่อหน้าทุกคนได้


ความกล้าของเธอเจิดจรัสเหมือนอย่างอัญมณี


บุ๊คจำคำขอของทุกคนอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงนอนลงไปบนเก้าอี้ยาวที่อยู่ในห้องทำงาน


ส่วนโรแลนด์ก็พิงไปบนโต๊ะไม้เพื่อเตรียมที่นอนเหมือนเวลาที่นอนกลางวัน


นอกจากทั้งสองคนแล้ว ฟิลลิส หลิงและดาเนนเองก็เตรียมตัวพร้อมเหมือนกัน


โรแลนด์กวาดตามองดูทุกคน สุดท้ายพิงไปบนตัวอันนา ส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้เขาเบาๆ


“อย่างนั้น การทดสอบรอบที่สิบเริ่มขึ้นได้!”


…………………………………………………………..


ตอนที่ 1327 ชุดใหม่ของบุ๊ค

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา บุ๊คใช้เวลานานมากกว่าก่อนหน้านี้ถึง 15 นาทีกว่าจะรวบรวมสมาธิแล้วไล่ตามจับคลื่นกระเพื่อมพลังเวทมนตร์ในสมองที่เหมือนมีเหมือนไม่มีอันนั้น


ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเธอก็มาอยู่ใน ‘ห้องเอกสาร’ แคบๆ แห่งนั้น


ฟิลลิสเองก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายขึ้น ด้วยรูปร่างของแม่มดที่อ่อนเยาว์ กาลเวลาหลายร้อยปีนั้นไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บนตัวอีกฝ่ายเลย ถึงแม้ช่วงเวลาที่ฟิลลิสมีชีวิตอยู่จะยาวนานกว่าตัวเธอ แต่ในเวลานี้ตัวเธอกลับดูแก่กว่าอีกฝ่าย


“หลังจากนี้พวกเราจะทำยังไงต่อ?” บุ๊คถาม


“เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ฟิลลิสยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นจึงเปิดประตูเหล็กแล้วเดินออกไป


เธอรีบเดินตามไป


เมืองใหญ่ที่วุ่นวายปรากฏขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง


ฟิลลิสมองปรอบๆ ก่อนจะล็อกเป้าไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอจูงมือบุ๊คแล้วเดินเข้าไปยืนขวางหน้าอีกฝ่าย


“สวัสดีค่ะ”


ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงทักทายหยุดฝีเท้า จากนั้นก็เงยหน้าละสายตาจากกล่องเล็กๆ ที่อยู่ในมือขึ้นมาอย่างแปลกใจ แต่ในตอนที่สบตากัน ในสายตาของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกประหลาดใจอย่างชัดเจน “เอ่อ….มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


“ขอโทษนะคะ มือถือของฉันหาย ฉันเลยติดต่อเพื่อนไม่ได้ คุณพอจะ….”


“เข้าใจแล้ว ร้อยนึงพอไหม?” อีกฝ่ายรีบหยิบกระเป๋าเงินออกมา ก่อนจะหยิบเงินกระดาษสีแดงใบหนึ่งส่งให้เธอ ขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “ถึงจะถูกหลอกก็ไม่เป็นไร…แต่ดูการแต่งตัวของพวกเธอแล้ว หัวหน้าของพวกเธอนี่ก็ยอมลงทุนทีเดียวนะเนี่ย”


ฟิลลิสหุบยิ้มลงทันที “เปล่า ฉันแค่อยากจะยืมโทรศัพท์ของคุณหน่อยเท่านั้น”


ชายหนุ่มตกตะลึง ก่อนจะรู้ตัวว่าพูดผิดไป เขายืนกล่องเล็กๆ ที่อยู่ในมือให้อย่างกระอักกระอ่วนใจพร้อมกับพูดขอโทษทั้งสองคน


ฟิลลิสยักไหล่ ก่อนจะกดหมายเลขอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้บุ๊คยังคงงุนงงอยู่ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เธอจึงได้แต่แสร้งทำเป็นยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ แต่ภายในใจเธอกลับรู้สึกประหม่าอย่างมาก ที่นี่ไม่เหมือนกับโลกที่เธอคุ้นเคยเลย รอบตัวเธอมีแต่ความรู้สึกแปลกหน้าอยู่เต็มไปหมด เหมือนว่ามีกำแพงกดทับเธอเอาไว้จนหายใจไปไม่ออก รอบๆ ตัวมีคนอยู่หลายคนที่มองมาทางพวกเธอ แถมในนั้นยังมีบางคนที่มองเธอเหมือนประสงค์ร้ายด้วย นี่ทำให้เธอพลันนึกตอนที่เหล่าพี่น้องแม่มดในสมาคมแม่มดเปิดเผยตัวต่อหน้าคนธรรมดาขึ้นมา


“ไม่ต้องกลัว พวกเขาก็แค่มองเท่านั้น” ฟิลลิสเหมือนจะสังเกตเห็นความกระวนกระวายของเธอ ก่อนจะหันหน้ามาพูดปลอบว่า “ท่านแค่จ้องกลับไป เดี๋ยวพวกเขาก็จะเลิกมองไปเอง”


ทันใดนั้นเอง กล่องเล็กๆ ใบนั้นก็มีเสียงตึ๊ดดังขึ้นมา


“ฮัลโหล ฟิลลิสเหรอ?”


นั่นคือเสียงของฝ่าบาทโรแลนด์


บุ๊คพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที


ที่นี่คือโลกแห่งความฝันจริงๆ ด้วย ฝ่าบาทอยู่ไม่ไกลจากเธอ


ความรู้สึกแปลกหน้ายังคงมีอยู่ แต่มันกลับไม่ได้กดทับเธอเหมือนก่อนหน้านี้ แม้แต่สายตาแปลกๆ ที่มองมาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแย่เหมือนอย่างตอนแรก


บุ๊คสูดหายใจพร้อมไปทางสายตาที่จ้องมองมาเหล่านั้น แล้วเป็นเหมือนอย่างที่ฟิลลิสบอกเอาไว้ คนเหล่านั้นพลันหลบสายตาแล้วเบือนหน้าหนีไป


คลื่นมนุษย์ที่อยู่บนถนนเหมือนจะกลับมาไหลอีกครั้ง


“ใช่ค่ะ นี่หนูเอง เลดี้บุ๊คก็อยู่ข้างๆ หนูเนี่ย ที่อยู่ตรงนี้คือ…ใช่ค่ะ บนแผนที่มันบอกอย่างนี้ อยู่ห่างจากชุมชนถงจึแค่สองกิโลเหรอ? เยี่ยมไปเลย ค่ะ เดี๋ยวหนูรออยู่ที่นี่ ฝ่า…พี่” ฟิลลิสเอากล่องเล็กๆ คืนชายหนุ่มไปหลังจบบทสนทนา “ขอบคุณนะ”


“มะ ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “อย่างนั้น พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?”


ฟิลลิสบอกตัวเลขออกไป


ชายหนุ่มรีบบันทึกตัวเลขพวกนั้นราวกับมันเป็นอัญมณีอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็บอกลาทั้งสองคนไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“กล่องเล็กๆ ที่เจ้ายืมมาเมื่อกี้นี้ หรือว่านั้นจะเป็นโทรศัพท์ไร้สายที่สามารถติดต่อกันได้เป็นพันกิโลเมตรอย่างที่ฝ่าบาทเคยตรัสอยู่บ่อยๆ?” บุ๊คถาม


“ใช่ ระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ทำให้ทุกคนสามารถใช้โทรศัพท์ไร้สายได้ ไม่ใช่แค่พูดคุยกันเท่านั้น แต่มันยังใช้ระบุทิศทางแล้วก็ค้นหาข้อมูลได้ด้วย ถ้าไม่มีมันล่ะก็ เวลาจะทำอะไรก็จะลำบาก” ฟิลลิสพูดอธิบาย “แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ ขอเพียงแค่จำหมายเลขได้ เราก็จะสามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ ถ้าเจอคนที่ไม่อยากจะทำความรู้สึกด้วย ก็ให้ปฏิเสธไปหรือไม่ก็บอกตัวเลขออกไปมั่วๆ ก็พอ”


“อย่างนี้นี่เอง” บุ๊คเข้าใจทันที มิน่าฝ่าบาทถึงได้ตรัสว่าถ้าทั้งสองคนอยู่ในโลกเดียวกันจริงๆ ไม่นานพวกเขาก็จะได้เจอกัน


“ว่าแต่ท่านนั่นแหละ ความเร็วในการปรับตัวเร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีกนะเจ้าคะ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ของสโมสรแม่มด” ฟิลลิสพูดยิ้มๆ


บุ๊คส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


เธอรู้ว่าความกล้าตัวเองมาจากไหน


เห็นๆ อยู่ว่าเป็นราชาแล้ว แต่กลับไม่ได้มีอะไรพัฒนาจากเมื่อก่อนเลย คนที่พูดว่าราชาต้องปกป้องลูกน้องของตัวเองได้นั้น เกรงว่าคงมีแต่ฝ่าบาทโรแลนด์เพียงพระองค์เดียวล่ะมั้ง? จริงๆ เลยเชียว เมื่อไรพระองค์ถึงจะกลายเป็นราชาที่ดีได้ล่ะเนี่ย?


ตัวเธอเองก็เหมือนกัน หลังจากที่สมาคมแม่มดได้รับการปกป้อง เธอก็ควรจะออกมายืนอยู่ข้างหน้าราชาถึงจะถูก แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังได้รับการคุ้มครองจากอีกฝ่ายอยู่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำเลย


แต่ว่า….ถ้าทุกคนเป็นแบบนี้ล่ะก็ มันก็รู้สึกไม่เลวเหมือนกัน


ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน


“เฮ้ยๆ ดูสองคนนั้นสิ”


“นั่นมันชุดในยุคกลางไม่ใช่เหรอ พวกเธอกำลังแต่งคอสเพลย์เหรอ?”


“จะว่าไปแล้ว ทั้งสองคนสวยมากเลยนะเนี่ย!”


“รู้สึกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าดาราเลย…”


รอบๆ มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา แต่บุ๊คไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนอย่างตอนแรกอีกแล้ว


หลังจากนั้นประมาณสิบนาที รถทรงกลมคันหนึ่งก็มาจอดตรงหน้าทั้งสองคน


“โทษทีที่ให้รอนาน” ฝ่าบาทยื่นหน้าออกมาจากห้องคนขับ


“ขึ้นรถเถอะ” ฟิลลิสเปิดประตู ก่อนจะดึงบุ๊คเข้าไปในรถ


จากนั้นทุกคนก็เดินทางออกมาจากสายตาของทุกคนที่มองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นจึงหายในกระแสรถยนต์ที่อยู่บนถนน


“พวกเราโชคดีทีเดียวนะเนี่ย” หลิงที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันหน้ากลับมา “ถ้าจุดเชื่อมต่อดินแดนของท่านบุ๊คอยู่ห่างจากตึกถงจึไปแค่สองช่วงถนนล่ะก็ แมลงของฟาลดี้ก็จะสามารถตรวจตราพื้นที่นี้ได้ 24 ชั่วโมงเลย


ฟาลตี้พยักหน้า “ตรงนี้เคยถูกตรวจสอบมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของฟอลเลนอีวิลปรากฎขึ้นมาใหม่ น่าจะเรียกได้ว่าปลอดภัยทีเดียว”


“แบบนี้ก็ดี” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “อย่างนั้นในฐานะที่เป็นแม่มดคนแรกที่เข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ ตอนนี้เจ้ารู้สึกยังไงบ้างบุ๊ค?”


“นี่คือรถของโลกแห่งความฝันหรือเพคะ?” บุ๊คลูบเบาะที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็เคาะกระจก “ที่ั่ั่นั่งนุ่มกว่าโซฟา แถมยังขับแล้วไม่มีเสียงด้วย ความเร็วก็เร็วอย่างมาก เรียกได้ว่าดีกว่ารถจักรไอน้ำหลายเท่า….ถ้าพวกเราสามารถสร้างเครื่องมือขนส่งแบบนี้ออกมาได้คงจะดีไม่น้อยเลยเพคะ”


ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เธอพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มของโรแลนด์จับตัวแข็งขึ้นมา แม่มดอาญาสิทธิ์อีกสามคนเองก็ปิดปากลง เหมือนกำลังพยายามอดทนต่ออะไรบางอย่างอยู่


“เอ่อ…ข้าพูดอะไรผิดหรือเปล่า?”


“เปล่า อะแฮ่มๆ…ช้าเร็ววันนั้นต้องมาถึงแน่นอน” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย


“ฝ่าบาท แล้วนี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนหรือเพคะ?” บุ๊คมองดูทิวทัศน์ข้างนอกพร้อมพูดออกมา “พระองค์ทรงต้องการทดสอบดินแดนจิตสำนึกไม่ใช่เหรอเพคะ?”


“เรื่องนั้นเดี๋ยวเราค่อยว่ากัน เจ้าไม่สังเกตเหรอว่าชุดของพวกเจ้าตอนนี้มันดูสะดุดตาไปหน่อย” โรแลนด์พูดโดยไม่หันหน้ามามอง “เสื้อผ้าของฟิลลิสอยู่บนรถ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้ แค่ชุดที่เหมาะกับเจ้าตอนนี้ยังไม่มี ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือหาชุดให้เจ้าเปลี่ยนก่อน!”


……………………………………………………………..


ตอนที่ 1328 การสืบทอดของมนุษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านบุ๊ค เสื้อผ้าเปลี่ยนเสร็จหรือยังเจ้าคะ?” นอกห้องลองเสื้อผ้า เสียงของหลิงดังขึ้น “ถ้าจะให้ข้าช่วยล่ะก็ บอกข้ามาได้เลยนะเจ้าคะ”


“ไม่ ไม่ต้อง ข้า…ใกล้เสร็จแล้ว” ด้านในมีเสียงฟังดูตื่นเต้นของบุ๊คดังขึ้นมา


โรแลนด์เลิกคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นบุ๊คประหม่าแบบนี้ เมื่อก่อนเธอมักจะไม่ตื่นตระหนกง่ายๆ  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนแต่มีความสุขุมเยือกเย็น นี่จึงทำให้เขาอยากจะเห็นบุ๊คหลังเปลี่ยนชุดใหม่มากขึ้น


“ครืด…”


ผ้าม่านถูกเลิกออก บุ๊คเดินออกมาจากห้องลองเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง


“แบบนี้…ได้ไหมเพคะ?”


โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที


ด้านในบุ๊คสวมเสื้อไหมพรมคอเต่าสีน้ำเงินเข้มรัดรูป ทำให้โครงร่างของร่างกายท่อนบนถูกขับออกมาอย่างเด่นชัด ด้านนอกสวมชุดคลุมไหล่สีดำสลับแดงทับเอาไว้ โดยเสื้อคลุมนั้นคลุมตั้งแต่หัวไหล่ยาวไปจนถึงน่องของเธอ ดูแล้วค่อนข้างมีกลิ่นอายของชุดราตรีทีเดียว ส่วนหน้าอกสูงชั้นที่เปิดโล่งและเอวที่โค้งเว้า ดูเผินๆ แล้วให้ความรู้สึกสวยงามอย่างที่พูดไม่ถูก


ทั้งชุดเน้นสีเข้มเป็นหลัก ไม่ได้มีความรู้สึกเหลาะแหละใดๆ แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มันกลับทำให้เธอดูหนักแน่นมั่นคง บวกกับแว่นตากรอบดำบนหน้าบุ๊๕ แล้วก็ผมเปียสีดำที่ยาวจนถึงเอว ยิ่งทำให้เธอดูมีความเป็นผู้ใหญ่และรอบรู้มากยิ่งขึ้น


“สวยมากเลยเจ้าค่ะ” ฟิลลิสอุทานออกมา “ต่อให้อยู่ในหมู่แม่มด นี่ก็เรียกได้ว่างามอย่างมากเจ้าค่ะ”


“ข้าบอกแล้วว่าข้าเลือกไม่ผิด!” หลิงพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ


“แต่ว่า…มันจะเปิดมากเกินไปหรือเปล่าเพคะ?”


บุ๊คเอามือขึ้นมาปิดตรงหน้าอกของตัวเองทันที


“ไม่เลยเจ้าค่ะ มันแค่รัดแน่นไปหน่อยเท่านั้นเอง” ฟาลดี้พูดยิ้มๆ “ชุดราตรีในงานเลี้ยงท่านยังยอมรับได้เลย ชุดนี้มันก็ไม่ถือว่าน่าเกลียดหรอกเจ้าค่ะ”


“ยิ่งไปกว่านั้นในโลกแห่งความฝันทุกคนเขาก็ใส่กันแบบนี้ด้วย หม่อมฉันพูดถูกไหมเพคะ ฝ่าบาท?” หลิงพูดเสริมขึ้นมา


โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ ถึงแม้จะมีเสื้อในกับเสื้อไหมพรมใส่รองเอาไว้ข้างใน แต่เสื้อคลุมที่ดูเปิดโล่งชนิดนี้ก็ยังทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร “สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าคนอื่นใส่ยังไง หากแต่อยู่ที่ว่าบุ๊คคิดยังไง” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางบุ๊ค “เจ้าคิดว่าเจ้าชอบชุดนี้ไหม?”


บุ๊คมองดูตัวเองในกระจก นั่นคือภาพลักษณ์ที่ตัวเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ต่อให้ทั้งสองโลกจะต่างกันมากแค่ไหน แต่สิ่งสวยงามยังไงมันก็ดึงดูดเสียงเรียกร้องภายในใจได้อยู่ดี เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเธอชอบชุดที่เธอใส่อยู่ในตอนนี้


“ชอบเพคะ…ฝ่าบาท” เธอตอบเสียงเบาๆ


“อย่างนั้นก็ดี” โรแลนด์เรียกพนักงานเข้ามา “ผมเอาชุดนี้ครับ”


“คุณผู้ชาย คุณที่ตาแหลมมากเลยนะคะ นี่เป็นชุดรุ่นใหม่ล่าสุดของฤดูหนาวปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคุณผู้หญิงคนนี้ยังใส่แล้วสวยอย่างมากด้วยค่ะ!” พนักงานหยิบเอาเครื่องคิดเลขขึ้นมากด “ทั้งหมด 24,000 หยวน เชิญตามมาชำระเงินทางนี้เลยค่ะ!”


“เอ่อ….” โรแลนด์กลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง ราคานี่ประมาณหนึ่งในสามของรถตู้เลยนะเนี่ย แต่ว่าเขาพูดไปแล้ว จะให้ถอยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เขาหันไปมองหลิง “ตอนเจ้าเลือกชุดเจ้าเลือกยังไง?”


“เลือกที่แพงที่สุดเพคะ!” หลิงแลบลิ้น “เพื่อนในโรงเรียนบอกว่าบนโลกนี้มีแค่ราคาเท่านั้นที่ไม่หลอกคน”


โรแลนด์ถึงกับกุมขมับ


“ฝ่าบาท ชุดพวกนี้…แพงมากหรือเพคะ?” บุ๊คขยับเข้ามาถามเสียงเบาๆ “ถ้าไงไม่ต้องซื้อดีไหมเพคะ…”


“ข้าเป็นผู้สร้างโลกแห่งความฝันนะ จะไปมีปัญหาเรื่องเงินได้ยังไง เรื่องเล็กน้อยน่า” เขาแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะซื้อเสื้อผ้ามา “ต่อไปก็ไปกินข้าวเย็นที่ชั้นสอง!”


“เพคะ!”


แม่มดอาญาสิทธิ์ทั้งสามคนตอบออกมาพร้อมกันด้วยความยินดี


“ฝ่าบาท…แล้วการทดสอบล่ะเพคะ?”


“วางใจได้” โรแลนด์โบกมือ “เวลาที่นี่เดินไปเร็วกว่าในโลกแห่งความจริง ในโลกแห่งความจริงข้างนอกตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่เท่าไรเอง ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ ดังนั้นต้องหาความสุขให้พอก่อนแล้วค่อยว่ากัน อีกเดี๋ยวอยากกินอะไรก็บอกข้ามาเลย!”


เพราะยังไงก็จ่ายค่าเสื้อผ้าไปขนาดนั้นแล้ว หลังจากนี้จะกินอะไรก็คงจะจ่ายแค่ไม่เท่าไร คิดซะว่าทำให้ทุกคนมีความสุขก็แล้วกัน เขาคิดในใจ


บุ๊คมองไปทางทั้งสี่คนที่กำลังตื่นเต้น ก่อนจะหันมายิ้มและส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจให้โรแลนด์ “เข้าใจแล้วเพคะ”


…..


ในตอนที่เดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าที่คึกคัก ทุกคนต่างก็กินกันจนอิ่มแปล้แล้ว


ภายใต้การนำของโรแลนด์ ทุกคนลองกินแทบจะทุกร้านที่มี เห็นอันไหนน่าอร่อยก็ลองสั่งมากินหนึ่งชุด — ตั้งแต่เสี่ยวหลงเปาไส้ปูร้อนๆ ไปจนถึงไอศกรีมแมคคาเดเมีย สำหรับบุ๊คแล้ว ทุกอย่างล้วนแต่มีรสชาติที่อร่อยอย่างมาก ถึงแม้อาหารบางอย่างที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะมีเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว มันก็ต่างชั้นกันเหมือนกับการเอารถของฝ่าบาทไปเทียบกับรถบรรทุกไอน้ำ


ถึงแม้เธอจะพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่เธอก็ทำได้เพียงทำให้ภาพลักษณ์เวลากินดูดีหน่อยเท่านั้น


“โลกนี้มันช่าง….ดีจริงๆ เลยนะเพคะ…” บุ๊คที่เดินไปช้าๆ บนถนนที่กว้างใหญ่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดพึมพำขึ้นมา ถึงแม้หมู่ดาวจะถูกบดบังไปแล้ว แต่ในเมืองยังคงสว่างไสวอยู่ ไฟริมทางส่องถนนให้สว่าง เกล็ดหิมะตกปลิวปลายลงมาท่ามกลางแสงไฟที่อ่อนโยน ดูแล้วเหมือนกับภูมิน้อยในยามค่ำคืน “ในเมืองทั้งสว่างและสวยงาม คนที่เดินไปเดินมาก็มีแต่รอยยิ้ม ดูแล้วเหมือนกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น….พวกเราจะโอกาสสร้างเมืองให้กลายเป็นแบบนี้จริงๆ ไหมเพคะ?”


“มีแน่นอน ขอเพียงพวกเรามีความรู้ที่มากพอ” โรแลนด์พูดพร้อมเดินเอามือไพล่หลัง “และนี่ก็เป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างทั้งสองที่เมืองชายแดนสามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ด้วยความรู้ อย่างนั้นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ต้องกลายเป็นโลกแห่งความฝันได้เหมือนกัน และกุญแจที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงก็อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้แล้ว”


“อยู่ตรงหน้า….หม่อมฉัน?” บุ๊คงุนงง


“ถูกต้อง” โรแลนด์ยิ้มมุมปาก ที่เขาพาบุ๊คมาที่นี่ไม่ใช่แค่เพื่อจะมาซื้อของเท่านั้น หลังข้ามถนนมา ทุกคนก็มายืนอยู่ตรงหน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูสวยงามแห่งหนึ่ง ตรงหน้าประตูมันมีแผ่นป้ายสีทองแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ บนป้ายเขียนว่า ‘ห้องสมุดเมือง’


เมื่อเข้ามาในห้องสมุด บุ๊คพลันอุทานออกมา


ภายในโถงที่กว้างขวางีขนาดประมาณลานเมืองของเนเวอร์วินเทอร์ เพดานด้านบนของมันสูงประมาณ 10 กว่าเมตร บันไดที่เลื่อนไปมาด้วยตัวเองที่อยู่รอบๆ พาคนขึ้นๆ ลงๆ ส่วนระเบียง 5 ชั้นก็ล้อมรอบโถงซ้อนทับขึ้นไปเป็นชั้นๆ ตู้หนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงเป็นแถวนาน บนตู้หนังสือแต่ละตู้มีหนังสือวางอยู่เต็มไปหมด


ต่อให้เอาหนังสือทั้งเกรย์คาสเซิล…หรือทั้งสี่อาณาจักรมารวมกันก็ยังไม่อาจเทียบกับหนังสือของที่นี่ได้เลย


บุ๊คเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมฝ่าบาทถึงพาเธอมาที่นี่


“นี่คือที่ๆ หลังจากนี้เจ้าจะต้องมาบ่อยๆ” โรแลนด์ยิ้มๆ “เอากุญแจไปให้โลกนั้นแทนข้าทีนะ”


เธอสูดหายใจพร้อมหันไปก้มหน้าให้โรแลนด์ จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “บุ๊คจะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเพคะ”


นี่เป็นงานที่ต้องใช้เวลายาวนาน ยิ่งไปกว่านั้นยังยากที่จะสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ ด้วย


แต่การเปลี่ยนแปลงใดๆ มันก็เริ่มจากสถานที่เล็กๆ แบบนี้ทั้งนั้น


ความรู้ก็เป็นเหมือนปุ๋ย


ขอเพียงโปรยออกไปก็จะช่วยเร่งให้ผู้คนเจริญเติบโตได้


ก่อนหน้านี้เขาก็พยายามผลักดันเรื่องนี้มาโดยตลอด การส่งพวกหลิงเข้าไปในโรงเรียนก็เพื่อเป้าหมายนี้เหมือนกัน ซึ่งการยกระดับของบุ๊คนั้นช่วยเร่งขั้นตอนนี้ให้เร็วขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


ใช้เวลาสิบปีปลูกต้นไม้ ใช้เวลาร้อยปีเพื่อสร้างขึ้น โรแลนด์เชื่อว่าหลังจากนี้อีกร้อยปี ผู้คนในโลกแห่งความจริงจะต้องเปิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดที่ว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว


ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ก็ดี หรือว่าแม่มดที่มีพลังเวทมนตร์ก็ช่าง


เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะมี ‘โลกแห่งความฝัน’ แห่งใหม่ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง


…………………………………………………………..


ตอนที่ 1329 เปิดฉากสงคราม

โดย

Ink Stone_Fantasy

กระทั่งในเวลาดึก โรแลนด์จึงพาทุกคนกลับมายังลิ่วหลี่ทิง หรือก็คือเขตถนนที่บุ๊คเข้ามาในโลกแห่งความฝันในตอนแรก


มันก็เหมือนกับเขตถงจึที่่ต่างก็เป็นเขตถนนเก่าแก่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับ ที่นี่นั้นดูมีความเป็นการค้ามากกว่า สองข้างทางของถนนมีร้านขายของชำ ร้านอาหารริมทาง ร้านคาราโอเกะและร้านอินเทอร์เน็ตอยู่ไม่น้อย ขนาดล้วนแต่ไม่ใหญ่นัก ลูกค้าส่วนใหญ่คือมนุษย์เงินเดือนและนักเรียนในแถบนี้


ถึงแม้ดูแล้วจะค่อนข้างวุ่นวายและสกปรก แต่มันกลับเหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนของบุ๊ค


ปากทางเข้าออกของจุดเชื่อมต่อนั้นอยู่ที่ด้านข้างของถนน เมื่อดูจากภายนอกแล้วไม่ได้ต่างอะไรจากประตูเหล็กทั่วๆ ไปเลย ส่วนเรื่องที่ว่าประตูนี้มันตั้งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก หรือเพิ่งปรากฏขึ้นมาตรงนี้ในตอนที่บุ๊คเข้ามาในโลกแห่งความฝัน โรแลนด์ยังไม่อาจรู้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งตรงนี้มีความสำคัญอย่างมาก เขากำลังคิดอยู่ว่าจะใช้เส้นสายที่เขามีกับทางสมาคมและกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ในการกว้านซื้อร้านสองข้างทางมาดีหรือไม่


เพราะบุ๊คสามารถพาแม่มดอาญาสิทธิ์เข้ามาในดินแดนจิตสำนึกได้แค่คนเดียว ถ้าถูกฟอลเลนอีวิลจับตาดูเอาไว้ เธอจะต้องมีอันตรายอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญที่นำเอาความรู้กลับไปถ่ายทอด ความเสี่ยงแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่อาจให้เธอเผชิญได้ ถ้าสามารถเอาแม่มดอาญาสิทธิ์ซักสิบกว่าคนมาประจำการอยู่ที่บริเวณรอบๆ จุดเชื่อมต่อได้ ความปลอดภัยจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน


ในขณะที่ผู้คนกำลังเดินไปเดินมา โรแลนด์ก็ฉวยโอกาสทดสอบการส่งผลกระทบซึ่งกันและกันของดินแดนจิตสำนึกทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย


ในตอนที่โลกแห่งความฝันหยุดลง ไม่ว่าบุ๊คจะอยู่ที่ไหน เธอก็จะถูกบีบให้ออกมาจากโลกแห่งความฝัน แล้วกลับไปยังห้องเอกสารเล็กๆ


นี่เป็นจุดที่มีความแตกต่างจากแม่มดอาญาสิทธิ์มากที่สุด


เพราะถึงจิตสำนึกของแม่มดอาญาสิทธิ์จะกลับมายังร่ายกายของตัวเอง แต่ตำแหน่งในโลกแห่งความฝันของพวกเธอกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เธออยู่ในตอนแรกก่อนที่จะออกมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่โรแลนด์บอกให้พวกเธอพยายามเข้าไปรวมตัวกันในโรสคาเฟ่หรือไม่ก็โกดังที่กั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้น มันอาจจะเกิดภาพเหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็มีคนหายตัวไปเกิดขึ้นได้


ซึ่งปัญหานี้ของบุ๊กดูมีความร้ายแรงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด


อย่างน้อยในเวลาคับขัน แม่มดอาญาสิทธิ์ก็ยังสามารถทำการ ‘เชื่อมต่ออย่างไร้ช่องโหว่’ พร้อมกับโรแลนด์ได้ แต่บุ๊คไม่สามารถทำแบบนี้ได้ นี่หมายความว่าในการเข้ามาในโลกแห่งความฝันทุกครั้ง เธอต้องเริ่มจากห้องเอกสาร ตอนที่ออกจากโลกแห่งความฝัน เธอก็ต้องจบที่ห้องเอกสาร


แต่เมื่อคิดถึงว่าขอเพียงสอนบุ๊คใช้มือถือ เขาก็สามารถทำการเช็คตำแหน่งของเธอก่อนจะออกจากโลกแห่งความฝันได้ บวกกับแมลงเวทมนตร์ของฟาลดี้ที่ค่อยตรวจตราดูบริเวณนี้อยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้นี่จึงไม่ถือเป็นปัญหาที่ยากลำบากอะไรนัก


และในทางกลับกัน


ถ้าเกิดทุกคนเข้าไปอยู่ในดินแดนจิตสำนึกของบุ๊ค แล้วเป็นฝ่ายที่ออกไปจากดินแดนจิตสำนึกของตัวเอง แม่มดอาญาสิทธิ์กับโรแลนด์ที่อยู่ในดินแดนจิตสำนึกของเธอก็จะถูกบีบให้ออกมาเช่นเดียวกัน แม่มดอาญาสิทธิ์จะกลับไปยังร่างของตัวเอง ส่วนโรแลนด์นั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูเหล็ก ความรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีซักเท่าไร มันคล้ายกับการนั่งรถไฟเหาะอย่างไรอย่างนั้น


ส่วนเรื่องสุดท้ายนั้นทำให้โรแลนด์ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว


หลังจากที่บุ๊คออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึกก่อน ประตูเหล็กบานนั้นยังคงมีอยู่ แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลังมันกลับไม่ใช่กำแพงหรือห้องสีเทาเล็กๆ ที่คับแคบห้องนั้น ห่างแต่เป็นความว่างเปล่าสีแดง


นั่นคือสัญลักษณ์ของการกัดกิน


จากคำพูดของการ์เซีย รอยแตกการกัดกินนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ง่ายๆ ปกติสถานที่ที่มีมันอยู่จะมีสมาชิกของสมาคมมาคอยจับตาดูเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือการกัดกินนี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากห้องเอกสารของบุ๊ค


โรแลนด์รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนจิตสำนึกนั้นไม่ใช่การครอบคลุมหรือการรองรับ พวกมันต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึก พลังที่พวกมันใช้ล้วนแต่เป็นพลังที่มาจากแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ พลังที่ว่าสามารถหายจากดินแดนเข้าไปอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งได้ ซึ่งนี่ก็ตรงกับคำพูดของมิสต์ที่เคยพูดเอาไว้ ขอเพียงให้โลกแห่งความฝันกลืนกินแกนพลังแห่งธรรมชาติให้เพิ่มขึ้น เขาก็จะมีโอกาสเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า


และนี่ก็ทำให้ข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งเกิดตามมา


ถ้าให้ดินแดนจิตสำนึกของปีศาจระดับสูงตัวอื่นๆ เข้ามาอยู่ในขอบเขตลำแสงกุญแจของเขา อย่างนั้นโลกแห่งความฝันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?


พวกมันจะมาปรากฏตัวอยู่ในเมืองเหมือนอย่างบุ๊คหรือไม่?


….


เช้าวันถัดมา โรแลนด์ได้รับข่าวใหม่ล่าสุดจากทางแนวหน้าสนามรบ


ในซองจดหมายมีจดหมายพับทบๆ กันอยู่สองฉบับ ฉบับแรกนั้นเป็นจดหมายจากเวนดี้ ในจดหมายเขียนเล่าถึงสถานการณ์ของแม่มดในช่วงนี้ โดยในช่วงท้ายนั้นมีการพูดเน้นถึงนาน่า ไพน์


ในที่สุดสาวน้อยที่ติดตามสโมสรแม่มดออกไปด้วยนี้ก็ผ่านวันบรรลุนิติภาวะมาแล้ว


นอกจากนี้ในตอนที่เธอบรรลุนิติภาวะ พลังเวทมนตร์ของเธอยังเกิดการรวมตัวเหมือนกับคนอื่นๆ อย่างอันนาและลูเซียด้วย ถ้าอีงตามวิธีการแยกของสมาพันธ์ ตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นแม่มดระดับสูงแล้ว


ส่วนเรื่องรายละเอียดของความสามารถ ในจดหมายไม่ได้บรรยายอะไรเอาไว้ บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนกำลังยุ่งอยู่ หรือไม่ก..อาจจะเป็นเพราะพลังเวทมนตร์ของนาน่ามีค่าจนไม่สามารถเอามาใช้ทิ้งขว้างในการทดลองได้….แต่โรแลนด์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนาน่าสามารถผ่านวันบรรลุนิติภาวะมาได้อย่างปลอดภัย


ส่วนจดหมายอีกฉบับหนึ่งนั้นมีความหนากว่ามาก


ในนั้นมีทั้งรายงานของกองทัพที่หนึ่ง แล้วก็มีแผนการของทางทีมที่ปรึกษา และนี่ก็เป็นข้อบกพร่องของช่องทางการส่ข่าวสารที่มีอยู่ในตอนนี้ เพื่อที่จะประหยัดทรัพยากรในการขนส่งแล้ว ทางแนวหน้ามักจะรอให้มีรายงานสำคัญๆ เยอะมากพอก่อน จากนั้นค่อยส่งกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ทีเดียว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะเป็นจดหมายฉบับเดียว แต่วันที่ที่เขียนอยู่บนจดหมายกลับแตกต่างกันเป็นหลักสิบวันหรือครึ่งเดือน


หลังพลิกอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้าย คิ้วของโรแลนด์พลันขมวดขึ้นมาทันที


“เกิดอะไรขึ้นเหรอเพคะ?” ไนติงเกลที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา


“ปีศาจเปิดฉากบุกใส่ฐานทัพของกองทัพที่หนึ่งอย่างเต็มกำลัง” เขาพูดเสียงคร่ำเคร่ง “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้!”


….


วูลฟฮาร์ท เมืองกัสต์


เสียงสัญญาณเตือนดังไปทั่วทั้งเมืองอีกครั้ง


นี่เป็นครั้งที่สามของวันนี้นับตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว


“ไอสัตว์ประหลาดบ้าพวกนี้ มันไม่รู้จักเหนื่อยหรือยังไง?” โจเดลถุยน้ำลาย ก่อนจะหยิบเอาถุงกระดาษออกมาจากในหน้าอก เขาเทมันอยู่นาน แต่กลับไม่มีอะไรออกมาจากในถุง


“เอาไป” จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา “เจ้าหาไอนี่อยู่ใช่ไหม?”


โจเดลหันหน้าไป ก่อนจะพบว่าคนที่พูดคือฟาร์รี และสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาก็คือยาสีขาวเม็ดเล็กๆ


“เจ้า…ไม่ใช่เหรอ?” เขาหยิบยามาอย่างลังเล


“ข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างเจ้า ข้าก็แค่ไม่ได้นอนมาวันสองวันเท่านั้น” ฟาร์รีตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้นข้าเกลียดของพวกนี้ด้วย ไม่รู้ว่ามันทำขึ้นมาจากอะไร! ข้าว่าเจ้ากินมันน้อยๆ หน่อยจะดีกว่า”


“เจ้าอาจจะพูดถูก” โจเดลถอนหายใจออกมา ก่อนจะโยนยาใส่เข้าไปในปาก “แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าสู้ต่อได้”


ในตอนที่ยาละลายไปบนสิ้น รสชาติขมๆ พลันแตกกระจายเต็มปากของเขา ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกหนาวเย็นจนเสียดกระดูก ความง่วงและความเหนื่อยล้าที่ทำให้เขาวิงเวียนพลันหายไปทันที แม้แต่นิวมื้อกับแขนขาที่แข็งก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เขารู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นนักล่าที่เฉียบคมคนนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เหยื่อที่เหนื่อยล้าที่กำลังรอให้ศัตรูเข้ามาเชือด


ความรู้สึกนี้แหละ


โจเดลยกปืนขึ้นมา แล้วค่อยๆ ไปประจำที่ตำแหน่งยิง


ยาพวกนี้ถูกส่งมาให้ทหารทุกคนพร้อมกับข้าวของอื่นๆ เมื่อครึ่งเดือนก่อน ชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือยาชะลอ แต่ทุกคนชอบเรียกมันว่ายาไม่มีวันล้ม ขอเพียงกินมันเข้าไปเม็ดหนึ่ง ความเจ็บปวดในร่างกายก็จะหายไปจนหมด และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ความเจ็บปวดเหล่าถึงจะระเบิดออกมาใหม่อีกครั้ง


ถึงแม้ตอนแรกในหมู่ชาวทะเลทรายจะมีเสียงคัดค้านยาตัวนี้ แถมยังเชื่อมโยงมันเข้ากับยาคุ้มคลั่งที่เล่าลือกัน แต่เสียงคัดค้านแบบนี้ก็มีอยู่ไม่นานนัก เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่ากองทัพที่หนึ่งไม่ได้บังคับให้ทุกคนใช้ยาชะลอนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบนซองยายังมีการเขียนถึงผลข้างเคียงของมันเอาไว้ แล้วก็บอกว่าห้ามใช้ติดต่อกันด้วย การทำแบบนี้แตกต่างจากข่าวลือของเจ้าหญิงลำดับที่สามที่โจเดลเคยได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้ไม่เพียงแต่ชาวทะเลทรายเท่านั้น แต่คนทางเหนือบางส่วน รวมไปถึงแม่ทัพบางคนก็ได้รับยาชะลอเหมือนกัน นี่ยิ่งทำให้ความสงสัยของคนส่วนมากหายไป บางคนถึงขนาดบอกว่าความจริงแล้วยามีรสชาติทั้งหอมและหวาน แต่ที่ต้องทำให้มันมีรสขมก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ใช่คนเอามันไปกินเล่น


และหลังจากที่ปีศาจเปิดฉากบุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ยาเม็ดสีขาวนี้ก็กลายเป็นที่ต้องการของทหารทุกคนทันที เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีตั้งแต่เช้าจรดเย็น โจเดลนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มียาชะลอนี้ ตัวเองจะสู้อยู่ในศึกที่แทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงได้อย่างไร


ในฐานะที่เป็นนักล่าที่มีประสบการณ์โชกโชน เขาย่อมต้องรู้ว่าการสู้ด้วยสภาพที่สมบูรณ์กับการสู้ด้วยสภาพที่เหนื่อยล้ามันแตกต่างกันมากแค่ไหน


ขอเพียงกินแล้วไม่ตาย ไม่ว่าผลข้างเคียงจะหนักแค่ไหนเขาก็ยอมรับได้


…………………………………………………………..


ตอนที่ 1330 การต่อสู้ของแรงใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

กลับกลายเป็นฟาร์รีที่ปฏิเสธยานี้อย่างเด็ดขาดที่ดูเหมือนเป็นตัวประหลาด


แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายยังดูดีอยู่ โจเดลจึงไม่ได้คิดอะไรอีก บนสนามรบแม้แต่จะปกป้องตัวเองยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเป็นห่วงคนอื่นเลย


วันนี้คือวันที่ 8 นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่ม


เมื่อ 8 วันก่อนหน้านี้ แนวป้องกันของพวกเขายังอยู่ที่นอกเมืองกัสต์ ปืนและปืนใหญ่ที่ยิงสลับกันทำให้ปีศาจบุกเข้ามาได้อย่างยากลำบาก แต่เมื่อเวลาทอดออกไปนานขึ้น แต่ละด้านของแนวรบต่างก็มีร่องรอยของปีศาจปรากฏขึ้นมาให้เห็น ปีศาจกระดูกขนาดยักษ์เริ่มเข้ามาในพื้นที่ระหว่างเมืองกัสต์กับเมืองเมธัลสโตน ทำให้พื้นที่ที่มีการป้องกันที่อ่อนแอกลายเป็นพื้นที่หมอกแดง อัศวินอากาศพยายามที่จะหยุดมัน แต่ก็ไม่เป็นผล


ในตอนที่ปีศาจใช้ ‘อสูรยักษ์ป้อมปรากการ’ เหล่านี้โจมตีกระหนาบเข้ามาจากปีกทั้งสองข้าง ปืนใหญ่ก็เลยต้องทำการแยกกันโจมตี เมื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ใช่กองทัพถูกล้อม พวกเขาจึงต้องยิงไปแล้วก็ถอยไปยังแนวรบด้านหลัง


หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม


ศัตรูบุกโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนสายน้ำ ทหารทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เวลาพักผ่อนจากเวลาปกติก็ลดลงเหลือ 4 – 5 ชั่วโมง ถึงแม้ด้านหลังจะมีกองหนุนส่งมาอยู่หลายครั้ง แต่ความแตกต่างในด้านจำนวนก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน ทหารที่รบอยู่ในแนวหน้ามีอย่างมากก็ไม่เกิน 2,000 คน แต่ปีศาจที่บุกเข้ามานั้นมีมากกว่า 20,000 ตัว สัตว์อสูรบินอ้อมแนวป้องกันแล้วตรงไปยังเคจเมาเธ่น ถึงแม้จะมองไม่เห็นสถานการณ์ทางด้านนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าด้านหลังนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน


และเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ กองทัพที่อยู่แนวหน้าก็ได้รับคำสั่งให้ถอยเข้าไปในเมือง


ในขณะเดียวกัน การโจมตีทางด้านตะวันตกของพวกปีศาจก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเมืองเมธัลสโตนที่อยู่ทางตะวันตกของกองทัพที่หนึ่งได้ตกอยู่ในมือของปีศาจแล้ว และตอนนี้ก็ถึงตาของพวกเขาแล้ว


หลังจากนั้นหนึ่งวัน ศัตรูก็ฝ่าแนวยิงเข้ามาได้เป็นครั้งแรก และทำการต่อสู้ระยะประชิดกับเหล่าทหาร


ในตอนนี้ สงครามครั้งนี้ได้กลายเป็นการต่อสู้ทางด้านแรงใจของทั้งสองฝ่าย


โจเดลทอดสายตาไปยังกำแพงเตี้ยๆ ที่พังพินาศที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ตอนนี้กำแพงที่อยู่นอกเมืองกัสต์ได้กลายเป็นรูพรุนหมดแล้ว ด้านบนกำแพงมีศพของปีศาจห้อยอยู่เต็มไปหมด เลือดที่ไหลออกมาย้อมกำแพงจนกลายเป็นสีน้ำเงินประหลาด


ช่วงตรงกลางระหว่างกำแพงกับแนวป้องกันนั้นเป็นเหมือนกับนรก ซากศพของทหารกับปีศาจนอนเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ซากศพครึ่งหนึ่งถูกหิมะกลบฝังเอาไว้ อีกครึ่งหนึ่งนอนแข็งอยู่กลางลมหนาว กลายเป็นรูปปั้นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากศัตรูบุกโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงไม่มีเวลาที่จะไปเก็บศพของเพื่อนทหารเหล่านั้


ทั้งสองข้างของถนนมีหอกกระดูกและเข็มหินปักอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับว่ามีหนามงอกออกมาจากพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น — ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไปหลบอยู่ในหลบหลุมภัยที่แข็งแกร่ง ดังนั้นทุกครั้งที่มีหอกกระดูกหรือเข็มหินพุ่งตกลงมา เหล่าทหารที่แอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้านและหลุมเพลาะต่างก็เหมือนกำลังจับฉลากชิงโชคกันอยู่ มีอยู่ครึ่งหนึ่งที่เข็มหินปักทะลุหลังคาลงมา ก่อนจะพุ่งลงมาปักพื้นห่างจากเขาไปไม่ถึง 1 เมตร ถ้ามันเอียงเข้ามาอีกนิดเดียว เขาคงได้ไปเฝ้าสามเทพแล้ว


โจเดลส่ายหัวสลัดความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ทิ้งไป ในตอนที่เผ่าของเขาตกอยู่ในอันตราย เขาเคยสวดอ้อนวอนต่อสามเทพมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมา ครั้งนี้ก็ย่อมไม่ใช่การปกป้องจากสามเทพแน่นอน


สุดท้ายเขาอาจจะต้องตายอยู่ที่เมืองต่างแดนนี้ แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เขาต้องทำให้ศัตรูมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเสียก่อน


ชีคเคยสัญญาเอาไว้ว่าจะตอบแทนทุกเผ่าที่ต่อสู้เพื่อชะตาชีวิตของมนุษย์


และนี่ก็เป็นเป้าหมายที่เขามาที่นี่!


“พวกมันมาแล้ว!” ฟาร์รีพูดเตือน


ไม่มีเสียงปืนใหญ่…แนวยิงปืนใหญ่เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีคนบอกว่าพวกเขาโดนอสูรสยองลอบโจมตี บางคนก็บอกว่าพวกทหารปืนใหญ่ได้ย้ายที่ไปล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่ต้องพึ่งตัวเองในการรับมือกับศัตรูเท่านั้น


ปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่ยอดกำแพง!


ฝ่ายที่ลั่นไกออกมาเป็นคนแรกยังคงเป็นหน่วยปืนกล นอกจากปืนใหญ่ป้อมกัน เสียงปืนกลที่ดังต่อเนื่องนั้นเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับเหล่าทหาร กระสุนที่พุ่งออกมาไปทำให้หิมะตรงกำแพงปลิ่วว่อนขึ้นมา ปีศาจตัวแรกที่ปีนกำแพงข้ามมาถูกยิงร่วงลงมาพอดี ส่วนปีศาจที่ตามหลังมาก็ถูกห่ากระสุนยิงเข้าไปใส่เหมือนกัน


ทางด้านตะวันตกและตะวันออกของเมืองมีเสียงปืนดังสนั่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการล้อมโจมตีที่ดุดันอีกครั้งหนึ่ง โจเดลไม่ได้ไปสนใจปีศาจที่พุ่งเข้ามาหากระสุนปืน หากแต่ทุ่มความสนใจไปที่ตรอกถนนที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมต หลังผ่านศึกปกป้องเมืองมาสามวัน ในตอนนี้เขาเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งแล้ว นั่นคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดมักจะไม่ใช่จุดที่ปืนกระหน่ำยิงเข้าไป หากแต่เป็นหัวมุมถนนที่ดูเหมือนเงียบสงบเหล่านั้น


ในเวลานี้กองทัพที่หนึ่งไม่มีแนวป้องกันที่แน่นอนอีกแล้ว จากกองทหารได้แยกตัวกลายเป็นหน่วยเล็กๆ กระจัดกระจายไปยังบังเกอร์ที่อยู่รอบๆ


หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือหยุดไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้สิ่งก่อสร้างถาวร ซึ่งศัตรูนั้นอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ถึงแม้เขาอยากจะลงมือ แต่มันก็ยากที่เขาจะยิงให้ถูกเป้าหมายได้


ทันใดนั้นเอง ปีศาจจำนวน 5 – 6 ตัวได้ปรากฏขึ้นที่ด้านบนของหลังคาบ้านดินสองชั้น พวกมันเหมือนอยากจะใช้ประโยชน์จากหลังคาในการอ้อมพื้นที่ที่มีการกระหน่ำยิงอยู่ แต่การทำแบบนี้ทำให้พวกมันกลายเป็นเป้าของโจเดล


เขากลั้นหายใจ ก่อนจะเล็กเป้าไปยังปีศาจที่เดินอยู่ด้านหลังพร้อมเหนี่ยวไก


เป้าหมายร่วงตกลงมาพร้อมเสียงปืนที่ดังขึ้น


ฟาร์รีและเพื่อนอีกสองคนยิงตามขึ้นมา หลังคาไม้ที่เปราะบางรองรับาการเคลื่อนที่อย่างรุนแรงของปีศาจคุ้มคลั่งไม่ได้ การปีนป่ายอย่างช้าๆ ของพวกมันทำให้พวกมันกลายเป็นเป้าที่ดูสะดุดตา


“ทาง 4 นาฬิกา ทาง 4 นาฬิกาพบปีศาจจำนวนมาก!” ยังไม่ทันที่จะกำจัดปีศาจที่เล็ดรอดเข้ามาเหล่านี้ ชาวทะเลทรายคนหนึ่งที่อยู่ทางด้านหลังมันร้องอย่างตกใจออกมา “พวกเรามุ่งหน้ามาทางนี้!”


“ตรงนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง!” ฟาร์รีตะโกยเสียงดัง “พวกเจ้าไปจัดการอีกด้านหนึ่ง!”


โจเดลรีบหมุนปากกระบอกปืนแล้ววิ่งไปยังหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ถ้าถามว่าใครยิงแม่นที่สุดในหน่วย คนๆ นั้นย่อมต้องเป็นฟาร์รีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาบอกว่าสามารถกำจัดปีศาจที่เหลือได้ อย่างนั้นก็ต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน


แต่เมื่อเห็นปีศาจนับร้อยตัวแห่เข้ามายังที่ๆ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ภายในใจโจเดลยังคงรู้สึกตกใจเล็กน้อย


“บ้าเอ้ย หรือว่าเมื่อกี้เจ้าพวกนั้นมันกำลังหยั่งเชิงเราอยู่?” มีคนอุทานตกใจออกมา


“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขารีบทำการตัดสินใจออกมาทันที “ทุกคนไม่ต้องประหยัดกระสุนอีกแล้ว กำจัดนศัตรูพวกนี้หมดแล้วให้ถอยไปทาง 6 นาฬิกา!”


ตรงหน้าต่างมีเสียงปืนดังแน่นขนัดขึ้นมาทันที ในนั้นมีอาวุธปืนยิงต่อเนื่องที่ถูกส่งมาใหม่ เมื่อเทียบกับเสียงคำรามของปืนกลแม็กซิมแล้ว เสียงของอาวุธปืนชนิดใหม่ที่ถูกเรียกว่าปืนกลเอนกประสงค์นี้ฟังดูเบากว่า แต่ในเรื่องความเร็วในการยิงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าปืนกลแม็กซิมเลย สิ่งเดียวที่ดอยกว่าคือแม็กกาซีนของมันบรรจุกระสุนได้แค่ 13 นัด ทำให้ความสามารถในการยิงสกัดของมันไม่อาจสู้ปืนกลแม็กซิมได้


แต่ศัตรูนั้นเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าบนยอดหอระฆังเล็กๆ นี้กลับมีความสามารถในการโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้ ปีศาจนับร้อยตัวถูกกำจัดทิ้งไปมากกว่าครึ่ง ปีศาจที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างพากันชูหอกกระดูกขึ้นมา


“ระวังหอก!” โจเดลตะโกนเสียงดังพร้อมกับหมอบลงไปที่พื้น


หอกกระดูกจำนวนหลายสิบเล่มพุ่งออกไปเหมือนลูกธนู แค่พริบตาก็พุ่งเข้ามาไปบนยอดหอระฆัง!


“เป๊ง….!”


ระฆังเหล็กที่ถูกหอกกระดูกกระแทกส่งเสียงดังกังวลออกมา


ถ้าเป็นบนที่ราบ การโจมตีนี้เรียกได้ว่ายากที่จะหลบได้ แต่ความสูงที่ต่างกันของสถานที่ได้กลายเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติให้พวกเขา ถึงแม้หอกกระดูกที่ปาขึ้นมาจากด้านล่างจะพุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา แต่มันก็ยากที่จะแทงถูกทหารที่หมอบอยู่บนพื้นได้ เสียงปืนหยุดไปเพียงครู่เดียวก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่เหลือก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะบุกหรือจะถอยก็ล้วนแต่ทำได้ยากลำบาก


พวกเขากำจัดศัตรูกลุ่มนี้ได้อย่างสบายๆ


โจเดลรู้สึกโล่งใจ ภายในใจเองก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาได้ยินว่าปืนกลเอนกประสงค์นี้มีต้นทุนในการสร้างที่สูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคงแจกจ่ายให้อัศวินอากาศไปใช้ก่อนด้วย ถ้าทหารที่อยู่แนวหน้ามีปืนแบบนี้ใช้กันคนละกระบอก ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาบังเกอร์ ปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของฟาร์รีดังขึ้นมา “แย่แล้ว รีบหนีออกไปจากที่นี่!”


เขางุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองทันที


ตรงกำแพงที่อยู่อีกด้านหนึ่งมีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ปีศาจแมงมุมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปีนข้ามกำแพงมาพร้อมกับเปิดเกราะที่อยู่ตรงด้านหลัง เสาหินสีดำค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมา


เดี๋ยวๆ หรือว่าอีกฝ่ายกำลังเล็งมาที่พวกเขา?


โจเดลเงยหน้าขึ้นไป ระฆังที่ห้อยอยู่บนคานยังคงแกว่งเล็กน้อย


บ้าเอ้ย เสียงระฆังที่ดังขึ้นเมื่อกี้!


เขายกปืนแล้ววิ่งลงไปด้านล่างหอระฆัง


ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงยิงเบาๆ ดังขึ้นมา


“ตู้ม….”


ยังไม่ทันที่เขาจะวิ่งลงมาถึงชั้นหนึ่ง เสาหินสีดำขนาดใหญ่กว่าตัวคนก็ลอยเข้ามาปะทะเข้ากับหอระฆัง


เสียงกระแทกดังสนั่นขึ้นมา หอระฆังทั้งหอพังทลายลง!”


………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)