Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1318-1321

 ตอนที่ 1318 ตัวเลือกระหว่างศูนย์กับห้าสิบเปอร์เซ็นต์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้ามั่นใจว่าจะชนะ?” ไนท์แมร์ไม่ได้หลบสายตาของเขา


ทั้งสองคนจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นโรแลนด์จึงตอบกลับมาว่า “ข้าเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้แน่ ถ้ามีเวลาอีกซักร้อยปี ต่อให้พวกเจ้าหลบอยู่ในเขตแบล็คสโตน พวกเจ้าก็ต้องถูกมนุษย์บดขยี้แน่ แต่ข้ารอขนาดนั้นไม่ได้ คำเตือนของเทวทูตบอกว่าวิกฤติที่ว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว ข้าต้องรีบไปให้ถึงบ็อตทอมเลสแลนด์ ซึ่งนี่จำเป็นต้องมีความช่วยเหลือจากเจ้า”


“อะไร…นะ?”


“ช่วยข้ารีบเอาชนะปีศาจ หรือพูดอีกอย่างก็คือราชาทางตะวันตกของพวกเจ้า” โรแลนด์นั่งไขว่ห้าง “อย่างเช่นวิธีการสกัดหินอาญาสิทธิ์ ความสามารถของจักรพรรดิและราชา จุดอ่อนของปีศาจแมงมุม ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า ขอเพียงเจ้าคิดได้….”


ปัง! วัลคีรีย์เอามือตบลงไปบนโต๊ะ กาแฟที่อยู่ในแก้วกระฉอกออกมา


“อย่าอวดดีให้มันมากนัก เจ้าตัวผู้!” เธอกดเสียงให้ต่ำลง “เจ้าฆ่าข้าได้ แต่อย่าหวังว่าข้าจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเจ้า อย่างน้อยเรื่องที่จะให้ข้าทรยศเผ่าพันธุ์! แล้วช่วยเจ้าเอาชนะกองทัพตะวันตก? ฝันไปเถอะ!”


“สามหาว!”


“ห้ามเสียมารยาทต่อฝ่าบาท!”


เหล่าแม่มดเองก็ตะคอกขึ้นมาพร้อมกัน บรรยากาศพลันเหมือนน้ำเดือดขึ้นมาทันที


“โต๊ะนั้นทำอะไรเนี่ย?”


คนที่อยู่โต๊ะข้างๆ พลันกระซิบกระซิบขึ้นมา


“คู่รักทะเลาะกันมั้ง?”


“เอ่อ….ดูจำนวนแล้วไม่น่าใช่มั้ง”


“แต่จะว่าไป สาวๆ ที่อยู่ข้างเขานี่สวยจริงๆ เลย!”


“คนคาร์การ์ดนั้นก็ไม่เลวเลย บ้าเอ้ย เจ้านั่นมันเป็นใครกันแน่เนี่ย?”


“อิจฉาจัง…”


โรแลนด์แอบกรอกตาอยู่ในใจ ไอสังหารครุกรุ่นขนาดนี้ มันดูโรแมนติกอะไรตรงไหนเนี่ย? “พอได้แล้ว คุมอารมณ์หน่อย” เขาแสร้งทำเป็นโบกมืออย่างไม่ถือสา แล้วสั่งให้เหล่าแม่มดหยุดมือ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้มองดูไนท์แมร์ “เจ้าไม่คิดว่าการปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงมันเป็นการทรยศต่อเผ่าพันธุ์เหรอ?”


“ความจริง?”


“ถูกต้อง!” เสียงของโรแลนด์พลันคร่ำเคร่งขึ้นมา “ถ้าคำเตือนของเทวทูตไม่ใช่คำพูดโกหก อย่างนั้นเส้นทางที่อยู่ตรงหน้าอารยธรรมทั้งหมดก็จะมีอยู่แค่สองเส้นทาง หนึ่งคือสงครามแห่งโชคชะตาดำเนินไปจนถึงท้ายที่สุด สองคือจบสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ผ่านทางโลกแห่งจิตสำนึก! และการตัดสินใจของเจ้าจะก่อให้เกิดผลอย่างไร อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น!”


เขาพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสโต้แย้ง “อยู่ในโลกแห่งความฝันมานานขนาดนี้ เจ้าน่าจะรู้แล้วนะว่าข้าสามารถยกระดับความแข็งแกร่งของมนุษย์ไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอดอันใหม่ ด้วยความสามารถของพวกเจ้าในตอนนี้นั้นไม่มีทางที่จะต่อกรกับข้าได้เลย! ถ้าสู้กันไปหลายสิบปี เผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าจะต้องสูญเสียไปเท่าไร? หรือว่านั่นคือผลลัพธ์ที่เจ้าอยากเห็น?”


“พวกเขาก็จะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ตายในสนามรบ”


“ไม่ เป็นแค่คำโกหกของการตายโดยไร้ความหมาย!” โรแลนด์พูดแก้ “ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากการมีอยู่ของชิ้นส่วนสืบทอด ดังนั้นสงครามครั้งนี้ไม่มีวันที่จะจบลงด้วยดีแน่นอน ความแค้นและความสงสัยจะทำให้ไฟแห่งสงครามลามเลียเข้าไปในเขตแบล็คสโตน จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าไม่มีเหลืออยู่อีก! คนเดียวที่จะหยุดมันได้นั้นมีแค่ข้าเพียงคนเดียว ทันทีที่ข้าไม่อยู่ ช้าเร็วปีศาจก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้น เมื่อเทียบกับการสูญเสียทัพหน้าเพียงกลุ่มเดียวแล้ว การทำแบบไหนถึงจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ แค่มองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”


“…..” วัลคีรีย์ทำสีหน้าคร่ำเคร่งโดยไม่พูดอะไรออกมา


“ความจริงแล้วเวลาของพวกเราอาจจะเหลืออยู่ไม่เท่าไร ถ้าพลาดโอกาสที่จะหยุดยั้งสงครามไป เส้นทางนี้ก็จะไม่มีทางออกอื่นอีก” เขาวางขาข้างหนึ่งลง ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเล้กน้อย “ตอนนี้เจ้ายังยืนยันความคิดของตัวเองอยู่หรือเปล่า?”


หลังนิ่งเงียบไปครู่ ไนท์แมร์จึงพูดเสียงเยือกเย็นออกมา “เจ้าตัวผู้ ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย? จากที่เจ้าพูดมา หลังจากที่เจ้ากลายเป็นพระเจ้า ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าเจ้าจะปล่อยเผ่าพันธุ์ข้าไป? อาศัยเพียงแค่คำพูดของเจ้าน่ะเหรอ?”


“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ด้านหนึ่งคือโอกาสที่เผ่าพันธุ์จะอยู่รอด อีกด้านหนึ่งคือเผ่าพันธุ์ต้องดับสูญแน่นอน มีแค่สองทางนี้เท่านั้น” โรแลนด์ค่อยๆ ผ่อนน้ำเสียงลง “เป้าหมายของสงครามได้เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในอดีตไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะทำไม่ได้ ขอเพียงแค่เพียงมุมมองในการคิด ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้”


วัลคีรีย์ไม่พูดอะไรออกมา


โรแลนด์เองก็ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก “ข้ารู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้หวังว่าเจ้าจะให้คำตอบในทันที เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”


มันเงยหน้าขึ้นมองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “…..แค่นี้เหรอ?”


“ไม่งั้นล่ะ? จับเจ้าไว้แล้วทรมานหรือไม่ก็ฆ่าเจ้างั้นเหรอ? ข้าเคยบอกแล้วไง…อย่างน้อยตอนนี้ เจ้าก็ยังเป็นอิสระอยู่” โรแลนด์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “เออใช่ เอาเบอร์มือถือของเจ้ามาให้ข้า ข้าจะได้โทรบอกเจ้าเรื่องสถานการณ์การรบทางเหนือได้ บางทีมันอาจจะทำให้เจ้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อย่าลืมซะล่ะ อนาคตของปีศาจอยู่ในมือของเจ้านะ”


ถึงแม้จะทำหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายวัลคีรีย์ก็บอกเบอร์โทรเขา


ในขณะที่มันกำลังจะลุกออกไป โรแลนด์พลันเรียกมันเอาไว้


“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย เจ้าคิดว่าสิ่งที่ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ทำเมื่อพันปีก่อนมันผิดหรือเปล่า?”


ร่างกายของวัลคีรีย์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา


“ฝ่าบาท พระองค์จะปล่อยให้ราชาปีศาจไปไหนมาไหนอย่างอิสระในโลกแห่งความฝันจริงๆ เหรอเพคะ?” ฟิลลิวพูดอย่างกังวล


“ไม่ใช่แบบนั้น” โรแลนด์ส่ายหัว “พวกเจ้าไม่สังเกตเหรอ? นางไม่ใช่ราชาปีศาจตนนั้นอีกแล้ว” ปีศาจสูญเสียหินเวทมนตร์ไป แต่กลับยังไม่ตาย แถมยังมีร่างกายที่เหมือนเดิมอีก นี่แสดงให้เห็นว่า “ตอนนี้นางได้รวมเป็นหนึ่งกับโลกแห่งความฝันไปแล้ว”


โรแลนด์ไม่สงสัยเรื่องชัยชนะของมนุษย์ แต่การเอาชนะในเวลาหนึ่งร้อยปีกับเอาชนะในเวลาสิบปีมันเป็นคนละเรื่องกัน เขาจำเป็นต้องรีบเอาชนะปีศาจด้วยเวลาที่สั้นที่สุด มันให้พวกมันสูญเสียจิตใจที่จะต่อสู้ แล้วก็เปิดทางให้เขาเข้าไปทางบอทธ่อมเลสแลนด์ ไนท์แมร์นั้นเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจแบบไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการที่วางเอาไว้ได้


แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันคือในเวลาสำคัญแบบนี้ การมีไพ่อยู่ในมือเยอะๆ ย่อมต้องดีกว่า ถ้าสามารถเอาปีศาจระดับราชามาเป็นพวกได้ แบบนั้นความกดดันของกองทัพที่หนึ่งจะต้องลดลลงอย่างมากแน่นอน


เพราะเวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้


….


“ผู้ชนะคือ…..เฟยอวี่หาน!”


ทั่วทั้งสนามมีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นมา


เธอโบกมือให้ผู้ชมนับหมื่นพร้อม ก่อนจะเดินลงมาจากบนเวทีท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนของผู้เข้าแข่งขัน นี่คือการแข่งขันที่ถูกกำหนดผลการแข่งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้คู่ค่อสู้ไม่ได้ออมมือให้เธอตามที่ผู้คุมสั่งกำชับเอาไว้ เธอก็ยังเอาชนะเขาได้ภายในหนึ่งเวลานับตั้งแต่เริ่มแข่งขันประลอง


ที่ผ่านมาการขึ้นเวทีแบบนี้ไม่ได้ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความสุขใดๆ เลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าเธอเห็นวัลคีรีย์ที่เดินออกจากสนามประลองไปเป็นเวลานานกลับเข้ามาในสนามประลองแล้ว


ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อีกฝ่ายออกไปจากสนามประลองพร้อมๆ กับโรแลนด์


หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เฟยอวี่หานก็ขึ้นรถบัสของสมาคม ก่อนจะนั่งรอวัลคีรีย์อยู่อย่างเงียบๆ


ความรู้สึกเฝ้ารอภายในใจไม่ยอมสงบลงไป เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน


ในตอนที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น เธอถึงขนาดได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตึกๆ


วัลคีรีย์นั่งลงข้างๆ เธอเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้


“วันนี้ฉันแข่งชนะด้วล่ะ”


“อ่า…ยินดีด้วยนะ” วัลคีรีย์ดูเหมือนใจลอย สำหรับเธอแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นสีหน้าที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก


“ขอบคุณนะ เสียดายที่เธอไม่ได้ลงแข่งด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ลิ้มลองความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของคาบสมุทรคาร์การ์ดแล้ว”


“มีโอกาสแน่นอน” เธอตอบ


“ใช่ ต้องมีโอกาสแน่นอน” เฟยอวี่หานยิ้มเล็กน้อย


ต่อให้ไม่ต้องสังเกตดูสีหน้า เฟยอวี่หานก็มองออกว่าวัลคีรีย์แค่บอกปัด แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาจากอีกโลกหนึ่ง แถมโลกนั้นยังดูเหมือนจะค่อนข้างล้าหลังด้วย เธอจึงสามารถใช้อีกวิธีนึ่งที่จะทำให้เธอได้รับข้อมูลได้ง่ายขึ้น


หลังคนที่จะกลับไปยังสถานพักฟื้นขึ้นรถมาจนครบแล้ว รถบัสก็ออกเดินทาง


ในตอนที่รถขับออกมาถึงชานเมือง เฟยอวี่หานค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมาแล้วชี้ไปทางกระเป๋าสะพายไหล่ของอีกฝ่าย กระเป๋าใบนี้เป็นของขวัญออกจากโรงพยาบาลที่เธอซื้อให้วัลคีรียี์ และก่อนหน้านี้เธอก็พลิกดูกระเป๋านี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เรียกได้ว่าเธอรู้ถึงลักษณะของกระเป๋าใบนี้ดี


ช่วงระหว่างถนนในเมืองกับถนนที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นมีช่วงถนนที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ช่วงหนึ่ง แต่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการเดินทาง อย่างมากก็แค่สั่นสะเทือนกับมีฝุ่นเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ล้อรถเหยียบไปบนพื้นที่ขรุขระจนรถกระเด้งตัวขึ้นมา พลังแห่งธรรมชาติที่รวมตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้วของเธอพลันสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นเธอจึงตวัดนิ้วเล็กน้อย


เหมือนกับเป็นการกระเด้งตัวลงมาตามธรรมชาติเท่านั้น


ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนกระเป๋าชิ้นหนึ่งตกลงมาในมือของเธอ


และสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นก็คือเครื่องอัดเสียงขนาดเล็ก


‘ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน ขนาดเล็กกะทัดรัด ตัดเสียงรบกน รับรองคุณภาพ’ นี่คือคำโฆษณาของร้านที่ขายเครื่องอัดเสียงบนอินเทอร์เน็ต ต่อไปก็คือช่วงเวลาที่จะพิสูจน์มันแล้ว


……………………………………………………


ตอนที่ 1319 เจตจำนงอิสระ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังกลับมาในห้องของศูนย์พักฟื้น เฟยอวี่หานก็ล็อกประตูห้อง ก่อนจะหยิบเอาเครื่องอัดเสียงออกมาจากชิ้นส่วนเครื่องประดับ


มันมีขนาดเล็กประมาณข้าวสาร ตัวมันไม่มีความสามารถในการเปิดเสียงออกมา มันจำเป็นต้องเสียบเข้าไปในเครื่องอ่านเฉพาะถึงจะฟังสิ่งที่อัดเอาไว้ได้


หลังเอาข้อมูลถ่ายลงไปในโน๊ตบุ๊คแล้ว เธอก็เลื่อนหาเสียงที่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่วัลคีรีย์ออกไปจากสนามประลอง ก่อนจะกดเล่น


‘ซ่า…ซ่า….’


‘พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ คุณวัลคีรีย์’ เสียงของโรแลนด์ดังขึ้นมา


มาแล้ว


เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากพร้อมกับชงชาให้ตัวเอง


เธอตัดสินใจที่จะดื่มด่ำกับผลของแผนการที่เธอใช้เวลาวางแผนมานาน


….


ชาที่มีไอร้อนพุ่งขึ้นมาค่อยๆ เย็นลง จนกระทั่งอุณหภูมิของมันกลายเป็นเหมือนน้ำธรรมดาอีกครั้ง แต่เจ้าของชาก็ยังไม่ได้ดื่มมันเลยแม้แต่อึกเดียว


ถึงแม้จะสังหรณ์ใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เธอก็ยังพบว่าสิ่งที่เธอได้ยินนี้มันเกินไปจากสิ่งที่เธอจะจินตนาการได้!


ในตอนที่กดปุ่มหยุดเล่น เฟยอวี่หานพบว่าปลายนิ้วของตัวเองสั่นเล็กน้อย


สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงมานาน นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียการควบคุมแล้ว!


ในที่สุดตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโรแลนด์ที่เป็นถึงนักล่าถึงได้บีบแก้วเหล้าจนแตกในงานเลี้ยงครั้งนั้น ถ้าเป็นความลับที่เกี่ยวพันถึงพระเจ้า ไม่ตกใจสิถึงจะแปลก


โลกความฝันที่ถูกสร้างขึ้นมา อารยธรรมที่ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ความสัมพันธ์และการคงอยู่ของทั้งสองโลก ผู้ปกป้องที่เดินทางไปมาในโลกแห่งจิตสำนึก มีอะไรที่น่าเหลือเชื่อกว่าเรื่องพวกนี้อีกงั้นเหรอ?


เดิมการที่ทั้งสองคนเลือกที่จะไปคุยกันที่ร้านกาแฟนั้นทำให้เฟยอวี่หานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่หลังฟังสิ่งที่พวกเขาคุยกันแล้ว เธอถึงได้พบว่าต่อให้ไปพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าคนอื่น คนอื่นๆ ก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่ดี


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เฟยอวี่หานกลับไม่คิดว่าสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันนั้นเป็นเรื่องโกหก ถ้าทุกสิ่งที่โรแลนด์ทำอยู่ในตอนนี้คือการเสแสร้งแกล้งทำ มันก็ดูจะเกินเลยไปหน่อย


ถ้าโลกนี้เป็นโลกที่ถูกคนสร้างขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นเกรงว่าเธอคงเป็นคนแรกที่ค้นพบความจริงที่อยู่เบื้องหลังฉากนั้น


“หึ…” เฟยอวี่หานหัวเราะออกมาเบาๆ


ความรู้สึกนี้มัน….ช่างดีจริง!


ส่วน ‘ความจริงหรือเรื่องแต่ง’ ที่เทวทูตตนนั้นถามถึง เธอไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย เพราะไม่มีใครรู้ดีกว่าเธอ เธอยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือทุกๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองก็ล้วนแต่มาจากเจตจำนงของเธอ การสืบหาความลับของผู้มาเยือนจากโลกอื่นเองก็เช่นเดียวกัน


บางทีโรแลนด์อาจจะเป็นหนึ่งในผู้สร้างของโลกนี้จริงๆ แต่ถ้าใช่แล้วมันยังไงล่ะ? ถ้าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเอกภพและอนุภาคธาตุต่างๆ อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนจากพลังเอกภพเป็นคนมันจะต่างกันตรงไหน


เฟยอวี่หานพิงไปบนเก้าอี้แล้วปล่อยให้ร่างกายสั่นเบาๆ เพื่อดื่มด่ำกับความสุขที่ไม่เคยเจอมานาน


หลังจากนั้นครู่ใหญ่ อารมณ์ที่ตื่นเต้นก็ค่อยๆ สงบลง


ตามหลักแล้ว ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องที่พระเจ้าพยายามจะทำลายโลกและตัวตนที่แท้จริงของฟอลเลนอีวิลนั้นต้องรายงานให้สมาคมรับทราบ แต่เนื่องจากข้อมูลนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องอีกมากมายจนแทบจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจที่จะสังเกตการณ์ดูอีกหน่อย


เพราะนอกจากการพูดคุยของทั้งสองคนแล้ว ในมือเธอยังไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ นั่นคือทั้งสองคนอาจจะเป็นโรคประสาทขั้นรุนแรง เธอเคยได้ยินเรื่องเล่ามาตั้งแต่ตอนสมัยมัธยมสองว่าคนที่เป็นแบบนี้มีโอกาสที่จะเชื่อมต่อกันทางกระแสจิตและได้รับเสียงสะท้อนจากคนประเภทเดียวกัน ถึงแม้ความเป็นไปได้มันจะมีไม่สูง แต่มันก็ไม่อาจมองข้ามได้


โชคดีที่ตอนนี้วัลคีรีย์ได้ติดต่อกับโรแลนด์โดยตรงแล้ว โอกาสที่เธอจะได้ดักฟังความลับจึงมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เฟยอวี่หานรู้สึกสนใจมากที่สุดก็คืออีกโลกหนึ่งที่ทั้งสองคนอยู่


อย่างเช่นผู้หญิงที่เรียกโรแลนด์ว่าฝ่าบาทพวกนั้น


ถ้าพวกเธอสามารถเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ อย่างนั้นตัวเองก็สามารถออกไปดูโลกทางด้านนั้นได้เหมือนกันใช่ไหม?


ไปดูสิ่งที่เรียกว่า….ความจริง


……


“นายไปไหนมาเนี่ย” การ์เซียถลึงตาอย่างไม่พอใจ “ไหนบอกว่าจะดูการประลองเป็นเพื่อนซีโร่ไง?”


“ขอโทษ…ทางสมาคมมีธุระให้ฉันไปจัดการ ฉันก็เลยต้องไป” โรแลนด์เกาหัวตัวเอง เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นเขาจึงขอโทษออกมาอย่างไม่รีรอ เพื่อที่จะทิ้งระยะห่างจากวัลคีรีย์ในตอนที่กลับมา เขาจึงจงใจนั่งอยู่ที่ร้านอาหารนานอีกหน่อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าขากลับจะเจอกับเหล่าพนักงานออฟฟิศที่เลิกงานมาพอดี ผลปรากฏว่าทั้งสองคนจึงต้องรอเข้าอยู่ที่ประตูสนามประลองกว่าครึ่งชั่วโมง


“ถ้าไม่เป็นเพราะฉันยังต้องไปลาดตระเวนอีก ฉันคงไม่รอนายแล้ว” การ์เซียพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พาสาวน้อยไปกินอร่อยๆ เพื่อชดเชยซะ”


เธอลูบหัวซีโร่เบาๆ อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาโรแลนด์ จากนั้นจึงหันมาโค้งตัวแล้วพูดกับกาณ์เซียว่า “ขอบคุณพี่การ์เซียมากนะคะ!”


“ถ้าเขารังแกเธอ เธอต้องมาบอกฉันนะ”


“ค่ะ”


เจ้านี่ ทีอยู่ต่อหน้าคนอื่นล่ะทำเป็นเรียบร้อยเชียว โรแลนด์บ่นอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับทำเป็นพูดอย่างจริงใจออกมา “วางใจได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง เออใช่ ให้ฉันซื้อมาฝากเธอด้วยไหม?”


“ไม่ต้อง” การ์เซียโบกมือ “พวกนายไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเข้าไปในสนามก่อน”


“วันนี้ขอบคุณเธอมากกนะ” หลังโรแลนด์บอกลาอีกฝ่าย เขาก็หันมายักไหล่ให้ซีโร่ “ไปเถอะ ข้างหน้ามีห้างอยู่ วันนี้เธออยากกินอะไรก็เลือกเลย”


“อื้อ” ซีโร่ตอบเสียงเศร้าๆ


แปลกๆ เวลาแบบนี้เธอควรจะรีบฉวยโอกาสไม่ใช่เหรอ โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมจู่ๆ เธอถึงดูเงียบๆ ขึ้นมา? “ทำไม การประลองวันนี้ไม่สนุกเหรอ?”


“เปล่า สนุกกว่าในทีวีตั้งเยอะ…”


“อย่างนั้นก็ดี เอาไว้เธอกลับมาจากบ้านตอนปิดเทอมแล้ว ฉันจพาเธอมาดูการประลองอีก เพราะยังไงซะตอนนี้ฉันก็เป็นสมาชิกของสมาคมแล้ว ตั๋วน่าจะหาได้ไม่ยาก”


หลังเดินตามทางเดินแล้วข้ามถนนมา ทั้งสองคนก็เดินไปบนฟุตบาทที่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา หิมะที่อยู่ด้านล่างเท้าถูกเหยียบจนละลาย แต่ก็ยังมีหิมะจำนวนมากตกโปรยปรายลงมาจากบนฟ้าแล้วก็ถูกแสงไฟสาดส่งจนกลายเป็นสีสันที่สายงาม หากหิมะยังตกอยู่แบบนี้ พรุ่งนี้เช้าในเมืองน่าจะกลายเป็นสีขาวโพลน


ฝีเท้าของซีโร่ช้าลงเรื่อยๆ จนเธอเดินตามอยู่ด้านหลังโรแลนด์


จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกว่าชายเสื้อของตัวเองถูกอะไรมารั้งเอาไว้


เขาหยุดฝีเท้าแล้วหันหน้ากลับไปอย่างแปลกใจ


ก่อนจะเห็นสาวน้อยยืนก้มหน้า มือของเธอจับชายเสื้อของเขาเอาไว้โดยไม่พูดอะไรออกมา


“เป็นอะไรเหรอ…” โรแลนด์งุนงง “เอ่อ ฉันขอโทษที่ไม่ได้ดูการแข่งขันเป็นเพื่อนเธอ แต่ว่างาน..”


ซีโร่ส่ายหัว “หนู…ไม่อยากกลับไป”


“อะไรนะ?”


“หนูไม่อยากกลับบ้าน คุณอา” เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเอง “ปิดเทอมสองเดือนนี้ หนูขออยู่ที่ห้องคุณอาต่อได้ไหมคะ? ค่าเช่าหนูจะพยายามหามาให้ ก่อนหน้าหนูเองก็มีเก็บเงินซื้อกับข้าวเอาไว้ ตอนนี้จะต้องหาได้เร็วขึ้นแน่นอน หนูรับรองว่าจะจ่ายครบแน่นอน หนู…”


เมื่อเห็นภาพสาวน้อยเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าออกมา โรแลนด์พลันพูดอะไรไม่ออก


ภาพที่เขาเคยแอบอ่านไดอารี่ของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆ เขาพลันรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิด


เรื่องที่ครอบครัวของซีโร่ไม่ปรองดองกันนั้นไม่ใช่ความลับอะไร ไม่ว่าจะดูจากคำพูดการกระทำของเธอหรือว่าการกินการอยู่ เกรงว่าครอบครัวของเธอคงจะไม่ค่อยดีกับเธอเท่าไร แต่โรแลนด์ก็ไม่เคยเข้าไปแทรกแซง หรือพูดอีกอย่างคือเขาจงใจปล่อยให้มันเป็นแบบนี้


เพราะว่าเธอคือผู้สร้างอีกคนหนึ่งของโลกนี้


ถ้าอยากจะให้โลกแห่งความฝันดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ เช่นนั้นการไม่เข้าไปแทรกแซงมันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เข้าไปรีบพาซีโร่ไปเข้าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หลังจากที่เธอตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ


การเปลี่ยนแปลงสภาพในปัจจุบันมันจะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสปลุกตัวเธอในอีกด้านหนึ่งขึ้นมาหรือเปล่า? ถ้าเธอกลับไปเป็นซีโร่ผู้บริสุทธิ์อีก โลกนี้จะกลายสภาพเป็นแบบไหน?


เขาพยายามป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด


แต่โรแลนด์กลับมองข้ามไปว่าซีโร่นั้นเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุ 13 – 14 ปี


‘เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าโลกนี้มันเป็นโลกที่สมมติขึ้นมา?’


ในตอนที่มิสต์ถามเขา เขาให้คำตอบว่าใช่ออกไป แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อซีโร่กลับเป็นตรงกันข้าม


“ไม่ ไม่ได้เหรอคะ..” ความกล้าที่รวบรวมขึ้นมาได้อย่างยากลำบากค่อยๆ หายไป เสียงของสาวน้อยเบาลงเรื่อยๆ


“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอ ถ้าฉันให้เธออยู่ที่ตึกถงจึ แค่วันสองวันมันก็ได้อยู่ แต่ถ้านานกว่านั้น คนที่บ้านเธอจะต้องมาหาฉันแน่ พอถึงตอนนั้นไม่ว่าเธอจะไม่อยากกลับแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางที่จะอยู่ที่นี่ต่อได้ แล้วตัวฉันเองก็จะมีปัญหาด้วย”


สายตาซีโร่ดูเศร้าสร้อย


“แต่ว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้” โรแลนด์คุกเข่าลงไปปัดหิมะที่อยู่บนไหล่ของเธอ


“จริงเหรอคะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที


“สิ่งที่เธอต้องทำก็คือเข้าร่วมสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นผู้ดูแลผู้ตื่นรู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอเพียงเธอตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ก็จะไม่มีใครมาบีบบังคับเธอได้ ถึงแม้เธอจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “และนี่ก็คือสิทธิพิเศษของผู้ฝึกยุทธ์…ว่าไง เธออยากจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือเปล่า?”


“หนู…”


“แต่ต่อให้เข้าสมาคมไปแล้ว เธอก็ยังต้องเรียนหนังสืออยู่ อย่างคิดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วจะไม่ต้องเรียนหนังสือล่ะ” เขาเลิกคิ้ว “ส่วนเรื่องการแข่งขันอะไรนั่นมันก็แล้วแต่เธอ ถ้าเธอไม่อยากต่อสู้ก็ไม่ต้องลงแข่งก็ได้”


คำพูดนี้เหมือนจะช่วยคลี่คลายปัญหาหนักใจอันสุดท้ายให้ซีโร่ เธอสูดหายใจพร้อมกับพยักหน้า “อย่างนั้นหนูจะเข้าสมาคม”


“ได้ เดี๋ยวกลับไปแล้วฉันจะช่วยเธอเขียนใบสมัคร หลังจากนั้นเธออยากจะอยู่ที่ไหนก็ได้”


“อยู่ห้อง 0825 ได้ไหม?”


โรแลนด์ยื่นมือไปหาเธอ “ได้แน่นอน”


วิถีของโลกนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว


หลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้


แต่นั่นล้วนแต่เป็นการตัดสินใจของเจตจำนงที่เป็นอิสระ


ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ทั้งสองคนเดินฝ่าฝูงคนตรงไปยังจัตุรัสที่ส่องสว่างภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน


………………………………………………………………


ตอนที่ 1320 การทดสอบพลังงานขั้นสูง (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์ได้รับข่าวดีที่แท้จริงในเที่ยงวันถัดมาหลังจากตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งความฝัน


ในที่สุดกองวิศวกรรมและกองโยธาธิการก็ร่วมมือกันเตรียมพื้นที่และอุปกรณ์สำหรับโปรเจค ‘แสงแห่งอาทิตย์’ เรียบร้อย


เนื่องจากตามหลักแล้วยูเรเนียม 235 ทรงกลมจำนวน 52 กิโลกรัมก็สามารถทำให้ถึงค่าวิกฤติได้แล้ว ด้วยเหตุนี้การสกัดเอาธาตุออกมาจึงไม่ใช่สิ่งที่ยากที่สุด เพราะจนถึงตอนนี้ลูเซียสามารถสกัดยูเรเนียมบริสุทธิ์มาได้มากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมแล้ว


แต่ถ้าแค่เอายูเรเนียม 235 มากองรวมกัน มันยังไม่สามารถแสดงพลังของปฏิกิริยาฟิชชันออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกเสียจากจะใช้ยูเรเนียมในปริมาณที่มากจริงๆ แต่แบบนั้นมันก็จะทำให้ความปลอดภัยและประโยชน์ที่ใช้ได้จริงลดลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้การจัดเรียงแบบเฉพาะเพื่อกระตุ้นประสิทธิภาพการใช้พลังงานของมัน


และอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญของแผนการนี้ก็คือการทดสอบระเบิด


เพราะการคำนวณตามทฤษฎีมันก็เรื่องหนึ่ง สร้างออกมาจริงๆ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


การจะทำให้ผลิตภัณฑ์จากการทดลองกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้จริงได้นั้นไม่มีทางที่จะทำให้สำเร็จได้ในครั้งเดียว จากสถิติแล้ว อาวุธแต่ละอย่างที่โรแลนด์สร้างขึ้นมาให้กองทัพที่หนึ่งล้วนแต่ประสบความล้มเหลวในการทดสอบมามากกว่าสิบครั้ง ทั้งๆ ที่มีแบบแปลนที่น่าเชื่อถือและมีแม่มดคอยช่วยเหลือด้วย


โปรเจค ‘แสงของอาทิตย์’ นั้นย่อมต้องพิเศษกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


การสร้าง การปรับปรุง การทดสอบอาวุธอื่นๆ ล้วนแต่สามารถทำได้ในสถานที่เดียวกัน แต่ปฏิกิริยาฟิชชันนั้นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ไม่ว่าผลการทดสอบจะสำเร็จหรือว่าล้มเหลว มันก็ล้วนแต่ต้องทำในพื้นที่หวงห้าม


เพียงแค่เรื่องสถานที่ในการทดสอบเพียงอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลาเกือบเดือนแล้ว


ถึงแม้ที่ราบลุ่มบริบูรณ์จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ในฐานะที่มันเป็นสถานที่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะบุกเบิกหลังจากนี้ มันจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสถานที่ทดสอบระเบิด


ฟยอร์ดมีเกาะเยอะแยะมากมาย แต่ระยะทางกลับไกลอย่างมาก ตอนนี้การขนส่งทางทะเลมีความจำเป็นต้องใช้เรือจำนวนมาก จึงทำให้ยากที่จะแบ่งเอาเรือมาช่วยชนอุปกรณ์ต่างๆ ได้


ทะเลทางใต้ที่ไร้ซึ่งผู้คนนั้นดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อคิดถึงว่าที่นั่นมีซากของมนุษย์ไม้ขีดฝังอยู่เป็นจำนวนมาก โรแลนด์ลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงปฏิเสธที่จะใช้ดินแดนทางใต้สุดเป็นสถานที่ทดสอบระเบิด


สุดท้ายสถานที่ทดสอบระเบิดจึงถูกกำหนดเอาไว้ที่ทางตะวันตกของภูเขาหิมะ ค่ายเก่าของพวกปีศาจ


ถึงแม้ที่นั่นอาจจะมีโอกาสเจอกับสัตว์อสูรและปีศาจ แค่ความเสี่ยงมันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ ขณะเดียวกันหลังทดสอบระเบิดแล้ว ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือว่าล้มเลว ที่นั่นก็จะกลายเป็นพื้นที่ปนเปื้อน นั่นกลับจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับด้านหลังของเมืองเกรย์คาสเซิล


และหลังจากปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเขาจึงจะถือว่ามีคุณสมบัติที่จะทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ได้


‘ฝ่าบาท พาหม่อมฉันได้ด้วยนะเพคะ’


‘หม่อมฉันด้วยเพคะ!’


‘หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันคงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ขอเพียงเป็นอาวุธที่ฆ่าปีศาจได้ ไม่ว่ายังไงหม่อมฉันก็จะต้องไปดูให้ได้!’


“เอ่อ…” ในเวลาเดียวกับที่ได้รับข่าวดีนี้ โรแลนด์ก็ได้รับคำขอจากทางเมืองชายแดนที่สามเหมือนกัน หลังเห็นใบหน้าขนาดใหญ่ของทั้งสามเบียดเสียดกันอยู่ในลำแสงภาพ เขาถึงกับต้องกุมขมับ “นี่เป็นแค่ทดสอบอุปกรณ์ในขั้นทดลองเท่านั้น การทดสอบอาวุธจริงๆ ยังต้องรออีกนาน”


นับตั้งแต่ที่เขาได้อธิบายแนวคิดคร่าวๆ ของ ‘แสงแห่งอาทิตย์’ ให้กับแม่มดทาคิลาได้ฟัง พาซาร์กับเซลีนก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นมันมาโดยตลอด แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่อาลิเธียก็จะเป็นไปกับเขาด้วย แถมน้ำเสียงยังฟังดูจริงจังอย่างมากทีเดียว


‘ถ้ามันเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ส่งลงมาจากฟากฟ้าเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสจริงๆ อย่างนั้นหม่อมฉันก็จะเห็นการถือกำเนิดของมันเพคะ’ พาซาร์ลู่หนวดหลักลง


‘หม่อมฉันเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างชิ้นส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของแสงแห่งอาทิตย์ไม่น้อย พระองค์จะทิ้งคนที่มีส่วนรวมกับโครงการนี้เอาไว้ที่นี่ไม่ได้นะเพคะ’ เซลีนพูดเสริม


“แต่จากภูเขาหิมะไปยังจุดชมการทดสอบมันไม่มีอุโมงค์ใต้ดิน…”


‘เรื่องนี้พระองค์ทรงไม่ต้องเป็นกังวลเพคะ เดือนแห่งปีศาจไม่มีแสงแดด พวกหม่อมฉันสามารถอยู่ข้างนานได้นานกว่าปกติ’ อาลิเธียรูปพูดขึ้นมา เหมือนกลัวว่าเขาจะพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา ‘ยิ่งไปกว่านั้นอุโมงค์ที่ฟรานขุดเอาไว้ครั้งที่แล้วก็ยังอยู่ พวกหม่อมฉันสามารถออกไปจากเมืองโดยไม่ทำให้พวกชาวบ้านสังเกตเห็นได้เพคะ’


โรแลนด์ยิ้มแห้งๆ พร้อมหันไอสบตาอันนา อีกฝ่ายเองก็พยักหน้ายิ้มๆ มาให้เขา


ในเมื่อทั้งสามคนพูดขนาดนี้แล้ว จะยืนยันปฏิเสธอยู่อีกมันก็กระไรอยู่


“อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะให้กองโยธาธิการเหลือที่เอาไว้พวกเจ้าตอนที่สร้างบังเกอร์แล้วกัน อย่าลืมพาแม่มดอาญาสิทธิ์ส่วนหนึ่งไปด้วย แล้วก็ระวังเรื่องความปลอดภัย”


‘ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!’ ทั้งสามคนดีใจ


เมื่อเห็นภาพนี้ โรแลนด์พลันรู้สึกทอดถอนใจ


ในโลกที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ อาวุธชนิดมักจะถูกมองว่าเป็นอาวุธแห่งการทำลายตัวเอง มีผลงานทางวรรณกรรมจำนวนนับไม่ถ้วนที่บรรยายว่ามันเป็นดาบเดโมเคลสที่ห้อยอยู่บนหัวมนุษย์ แต่ที่นี่ มันกลับกลายเป็นแสงแห่งความหวัง ในตอนที่ความมืดมิดมาถึง มีเพียงแค่พลังเท่านั้นที่จะปกป้องอารยธรรมได้


เขามองไปทางอันนา “อย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”


…..


ห่างออกไป 50 กิโลเมตรทางตะวันตกของภูเขาหิมะ


หิมะของที่นี่เยอะกว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์มาก มันไม่เพียงแต่จะปกคลุมพื้นที่ที่ปีศาจเคยต้ั้งค่ายเอาไว้จนหมด แต่มันยังทำให้การก่อสร้างบังเกอร์มีความยากลำบากมากขึ้นด้วย


โชคดีที่มีแม่มดอาญาสิทธิ์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลคอยช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดทีมก่อสร้างก็สามารถปักหลักลงยังพื้นที่ีรกร้างที่ไร้ซึ่งผู้คนนี้ได้สำเร็จ


เพื่อจะรับประกันว่าคุณภาพการก่อสร้างที่นี่จะออกมาดีที่สุด คนงานที่อยู่ในทีมก่อสร้างจึงล้วนแต่เป็นมือดีที่มาจากทีมสำรวจทางเหนือ หลังผ่านศึกฆ่าล้างบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์มาแล้ว สภาพอากาศอันเลวร้ายก็ไม่ถือว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวอีก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้รับแจ้งก่อนออกเดินทางว่าการก่อสร้างครั้งนี้เป็นความลับสุดยอดที่สุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ซึ่งเกี่ยวพันถึงอนาคตของอาณาจักร บวกกับค่าจ้างจำนวนมากที่สำนักบริหารเสนอให้ ทำให้ทุกคนต่างดูกระตือรือร้นอย่างมาก


หากเป็นเกรย์คาสเซิลเมื่อก่อนนี้ ต่อให้ขุนนางจะบีบบังคับอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะทำให้ลูกน้องมาตั้งค่ายในสถานที่แบบนี้ได้


โรแลนด์และคนอื่นๆ ใช้เวลาเกือบสองวันกว่าจะมาถึงสถานที่ทดสอบระเบิด หลังเดินเข้าไปในฐานบัญชาการที่ฝังอยู่ใต้ดินครึ่งหนึ่ง สภาพภายในห้องก็เปลี่ยนไปจากเดิม กำแพงหนาๆ ช่วยกันลมหนาวเอาไว้ เตาผิงที่ไฟกำลังลุกไหม้ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะออกมา คนที่รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ กำลังยกตะเกียงไฟเพื่อตรวจดูงานของตัวเอง ดูแล้วยุ่งวุ่นวายอย่างมาก


เมื่อเห็นเขาเข้ามา ทุกคนพลันหยุดชะงักแล้วหันมาถวายบังคมให้เขา “ถวายบังคมฝ่าบาท!”


“พวกเจ้าทำงานต่อเถอะ” โรแลนด์โบกมือ จากนั้นจึงมองไปทางคาร์ล ฟอร์เบิร์ต “สถานการณ์ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ไม่มีร่องรอยของปีศาจพ่ะย่ะค่ะ” คาร์ลตอบ “พวกมันน่าจะทิ้งที่นี่ไปแล้ว ส่วนสัตว์อสูรก็เจอบ้างเป็นบางครั้ง แต่พวกมันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับทหารรักษาการณ์ แท่นทดสอบระเบิดกับอุปกรณ์จำลองล้วนแต่ถูกเตรียมเอาไว้เสร็จเรียบร้อย หากพระองค์ทรงไม่มีพระประสงค์อื่น พวกมันก็เพียงพอที่จะใช้ในโปรเจคนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”


“แท่นทดสอบระเบิดอยู่ที่ไหน?”


“ทางเหนือ ห่างจากที่นี่ไป 15 กิโลเมตรพ่ะย่ะค่ะ” คาร์ลชี้บนแผนที่ “หากพระองค์ทรงอยู่ที่ศูนย์บัญชาการนี้จะทอดพระเนตรไม่เห็นมัน เพราะหิมะที่นี่หนาอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้มันจะสูงเท่าตึกสามชั้นก็ยังถูกหิมะบังเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”


“ไม่เป็นไร เอาไว้มันระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็จะมองเห็นเอง” โรแลนด์ยิ้มๆ ก่อนหน้าหมุนตัวไปหาอันนา “อย่างนั้นพวกเราเริ่มทดสอบระเบิดครั้งแรกกันเลยเถอะ”


เพื่อที่จะทดสอบว่ามันสามารถใช้ได้จริง ในเวลาครึ่งปีมานี้ทั้งสองคนจึงได้เตรียมการจัดเรียงยูเรเนียมเอาไว้สามรูปแบบเพื่อใช้ในการทดสอบ และการจัดเรียงยูเรเนียมที่ถูกยกขึ้นไปบนแท่นทดสอบระเบิดในครั้งนี้ก็คือการจัดเรียงแบบกระบอกปืนซึ่งเป็นการจัดเรียงแบบที่ง่ายที่สุด


……………………………………………………………………


ตอนที่ 1321 การทดสอบพลังงานขั้นสูง (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ พื้นที่ห่างออกไป 15 กิโลเมตร


แท่นที่ประกอบขึ้นมาจากเหล็กกล้าตั้งอยู่ทางทุ่งหิมะที่ขาวโพลน มองดูแล้วไม่เหมือนกับสิ่งก่อสร้างในยุคสมัยนี้เลย โครงสร้างเปิดโล่งที่ดูประณีต สายเคเบิลและคานเหล็กมีที่มีน้ำแข็งจับตัวห้อยลงมา แล้วก็ลวดเหล็กที่ล้อมเป็นชั้นๆ ดูแล้วเผยให้เห็นถึงความงดงามของอุตสาหกรรม


คนหลายร้อยคนต่างกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวก่อนจุดระเบิด


เนื่องจากน้ำหนักของอุปกรณ์ต่างๆ รวมกันแล้วเกือบสิบตัน อีกทั้งฮัมมิงเบิร์ดก็ไปที่แนวหน้าของสนามรบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถทำการประกอบอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ พวกเขาจึงต้องขนเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบขึ้นที่ลานทดสอบระเบิด


โชคดีที่โครงสร้างของมันเรียบง่ายอย่างมาก บวกกับตอนที่ออกแบบมีการคิดถึงเรื่องการขนส่งเอาไว้ด้วย ด้วยเหตุนี้ความต้องการในเรื่องฝีมือของคนงานจึงมีไม่สูงนัก


และนี่ก็เป็นจุดที่ ‘แสงแห่งอาทิตย์’ แตกต่างจากอาวุธอื่นๆ ถึงแม้จะเตรียมสถานที่และอุปกรณ์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาอีกวันสองวันในการเตรียมขั้นตอนสุดท้าย


เวลานี้โรแลนด์กับอันนากำลังยืนอยู่สั่งการเรื่องงานประกอบอุปกรณ์อยู่บนแท่น


“ต่อไปก็เป็นชิ้นส่วนแกนหมายเลข 3 คอยดูทิศทางของขั้วต่อเอาไว้ ระวังอย่าให้กระแทกกัน!”


“ทุกคนฟังสัญญาณจากข้า! 3 2 1!”


สิ้นเสียงสัญญาณจากหัวหน้าคนงาน เสาทรงกลมที่ขาวเงินแท่งหนึ่งก็ค่อยๆ ถูกดันเข้าไปในอุปกรณ์


จนกระทั่งขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย โรแลนด์ถึงได้รู้สึกโล่งใจ


สิ่งที่บรรจุอยู่ในเสาทรงกลมก็คือแหล่งพลังงานหลักที่ใช้ในการทดสอบระเบิดครั้งนี้ ยูเรเนียม 235 สองก้อนแยกบรรจุ โดยแต่ละก้อนมีมวล 20 กิโลกรัม ในตอนที่ทั้งสองรวมเข้าด้วยกันจะทำให้มวลรวม 40 กิโลกรัม ตัวเลขนี้ต่ำกว่าขีดจำกัดค่าวิกฤติ 53 กิโลกรัม ตามหลักแล้วจะไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันที่รุนแรง แต่มันก็เหมือนกับที่เขาได้พูดไปก่อนหน้านี้ ค่าวิกฤติไม่ใช่ตัวเลขที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


เงื่อนไขต่างๆ ทั้งรูปร่าง อุณหภูมิ ความดันล้วนแต่ทำให้ค่าตรงนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ที่อาศัยข้อมูลเพียงอย่างเดียวนั้นแทบจะไม่มีคุณค่าในการใช้งานจริง อย่างเช่นยูเรเนียมทรงกลมน้ำหนัก 52 กิโลกรัมนั้นดูเหมือนจะมีความเสถียร แต่ความจริงแล้วมันเหมือนเป็นภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด ถึงแม้จะถูกกระทบหรือสั่นสะเทือนเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้มันเลยค่าวิกฤติได้


แต่ก็แบบเดียวกัน ถึงแม้การใช้ยูเรเนียมขนาดเล็กหลายๆ ก้อนจะมีความปลอดภัย แต่มันก็ทำให้ความยากในการจุดระเบิดเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว ในเสี้ยววินาทีที่ยูเรเนียมหลายๆ ก้อนรวมเป็นหนึ่งเดียว จริงอยู่ที่การรวมเป็นหนึ่งเดียวจะทำให้เลยค่าวิกฤติได้ แต่อุณหภูมิสูงที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาฟิชชันจะทำให้ยูเรเนียมขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเป็นการลดความหนาแน่นของมันลงในทางอ้อม ซึ่งการระเบิดที่รุนแรงจะผลักวัตถุดิบให้กระเด็นออกไปจนทำให้ปฏิกิริยาหยุดลง


สรุปแล้วก็คือการจะทำให้ได้โครงแบบที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะต้องทำให้ธาตุยูเรเนียมถึงค่าวิกฤติเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้มันรักษาสภาพนั้นให้ได้นานที่สุดด้วย มันถึงจะแสดงอานุภาพของปฏิกิริยาฟิชชันอย่างที่ควรจะมีออกมาได้


สาเหตุที่การจัดเรียงแบบกระบอกปืนถูกเรียกว่าการจัดเรียงแบบกระบอกปืนนั้นเป็นเพราะหลักการของมันคล้ายกับปืนโบราณอย่างมาก เมื่อระเบิดถูกจุด ยูเรเนียมก้อนหนึ่งจะพุ่งเข้าไปหายูเรเนียมอีกก้อนหนึ่ง ภายใต้แรงดันมหาศาล ความหนาแน่นของยูเรเนียมจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อให้มีมวลที่ต่ำ มันก็สามารถก้าวข้ามค่าวิกฤติได้


ในตอนที่เปลือกนอกของอุปกรณ์ถูกประกบปิดเข้าไป อันนาก็เสียบกระป๋องที่มีป้ายคำเตือนสารกัมมันตรังสีปิดเอาไว้เข้าไปในช่องด้านท้ายของอุปกรณ์


และนี่ก็เป็นชิ้นส่วนสำคัญสุดท้ายของการทดสอบระเบิด


พริบตานั้นเอง โรแลนด์พลันรู้สึกเหมือนบนใบหน้าถูกอะไรมามัดเอาไว้ แม้แต่ลมหายใจก็หยุดไปชั่วขณะ


‘แหล่งกำเนิดนิวตรอนโพโลเนียม – แบริลเลียม’


ก็เหมือนกับชื่อของมัน มันสามารถผลิตนิวตรอนอิสระจำนวนมหาศาลให้กับปฏิกิริยาฟิชชันได้ แล้วก็เป็นวิธีที่ช่วยลดค่าวิกฤติได้ง่ายที่สุด ในภาชนะโลหะที่รูปทรงเหมือนกระป๋องน้ำอัดลมมีวัตถุทรงกลมที่ด้านในกลวงอยู่แถวหนึ่ง ขนาดของวัตถุทรงกลมแต่ละลูกมีขนาดประมาณลูกปิงปอง ด้านในวัตถุทรงกลมเหล่านั้นมีโพโลเนียมทรงกลมขนาดประมาณลูกแก้วอยู่ลูกหนึ่ง โดยมันถูกแผ่นฟอยล์ห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนรอบๆ ลูกโพโลเนียมก็มีแผ่นแบริลเลียมที่มีลักษณะเป็นเหมือนรังผึ้งล้อมเอาไว้


ในตอนที่ยูเรเนียมทั้งสองส่วนปะทะกัน มันจะกระแทกให้กระป๋องเล็กๆ ที่อยู่ตรงด้านล่างของ ‘ลำกล้องปืน’ แตกละเอียดด้วย วัตถุทรงกลมทั้งหมดจะถูกแรงละเบิดอันรุนแรรงบีบอัดจนมีบางเสียยิ่งกว่ากระดาษ และเมื่อแผ่นฟอยล์ถูกฉีกขาด แผ่นแบริลเลียมก็จะสัมผัสเข้ากับลูกโพโลเนียม แล้วก็ปล่อยอนุภาคอัลฟ่าออกมา ซึ่งมันจะไปกระตุ้นให้เกิดการปล่อยนิวตรอนออกมาเป็นจำนวนมาก


โดยนิวตรอนเหล่านี้มันจะเข้าไปอยู่ในปฏิกิริยาฟิชชันของยูเรเนียม 235 และถ้าโชคดีล่ะก็ มันก็จะสามารถเผาผลาญวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอีก 20 – 30% ก่อนที่ปฏิกิริยาจะหยุดลง แล้วก็จะทำให้อานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์รุนแรงขึ้น


เนื่องจากครึ่งชีวิตของโพโลเนียม 210 นั้นมีแค่ 138 วัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการออกแบบช่องสำหรับเปลี่ยนเอาไว้ นอกจากนี้การเก็บแหล่งกำเนิดนิวตรอนเอาไว้ในอาวุธยังเป็นวิธีที่อันตรายอย่างมากด้วย เพราะขอเพียงโพโลเนียมกับแบริลเรียมสัมผัสกัน มันก็จะปล่อยนิวตรอนออกมาโดยอัตโนมัติ ทันทีที่แผ่นฟอยล์เกิดความเสียหาย ผลลัพธ์ที่ตามมาถึงแม้ไม่พูดก็คงนึกภาพออก


หลังเอาแหล่งกำเนิดนิวตรอนโพโลเนียม – แบริลเลียมใส่เข้าไปในอุปกรณ์แล้ว มันก็จะเปลี่ยนจากวัตถุที่ไม่มีพิษมีภัย กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะกลืนกินมนุษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้ตลอดเวลา


ถึงแม้โรแลนด์จะรู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันเป็นการคิดไปเอง เพราะมนุษย์ไม่มีทางที่จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจำนวนนิวตรอนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ แต่ลมหายใจของเขาก็ยังผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม


เมื่อมาถึงตอนนี้ ในที่สุดอุปกรณ์ต้นแบบก็ถือได้ว่าเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อย


อันนาจับมือของเขาเอาไว้


“สั่งการเถอะเพคะ”


โรแลนด์มองดูดวงตาที่นิ่งสงบและมั่นคงของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าออกมาเบาๆ


ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ในที่สุดโปรเจคแสงแห่งอาทิตย์ก็ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว


และหลังจากก้าวผ่านจุดนี้ไปแล้ว มนุษย์ก็มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งใหม่


เขามองไปทางองครักษ์ฌอน “ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป แจ้งทางศูนย์บัญชาการให้นับถอยจุดระเบิด 6 ชั่วโมง!”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”


‘6.00’


“อูววว…..อูววววว….อูววววว….อูวววว….”


“อุปกรณ์หมายเลขหนึ่งเข้าสู่ขั้นตอนรอจุดระเบิด ย้ำ อุปกรณ์หมายเลขหนึ่งเข้าสู่ขั้นตอนรอจุดระเบิด ให้ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปจากพื้นที่ตามที่ได้ซ้อมเอาไว้! ระวัง นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม ลานทดสอบระเบิดจะปิดในเวลา 1 ชั่วโมงหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อนที่ลานทดสอบระเบิดจะปิดลง!”


ประกาศแจ้งเตือนอพยพดังไปทั่วทั้งลานทดสอบหลังเสียงสัญญาณดังขึ้น


“เร็วๆๆ ทุกคนไปรวมกันที่ลานหน้าอาคาร อย่าดึงกัน!”


“ทีมก่อสร้างที่สองนับจำนวน 1, 2, 3….”


“ประตูแท่นทดสอบระเบิดปิด!”


“สมาชิกในหน่วยแม่มดอาญาสิทธิ์มากันครบแล้ว เริ่มอพยพได้”


ที่ราบหิมะที่เงียบสงบเหมือนเดือดพล่านขึ้นมา เสียงตะโกนของผู้คนกับเสียงแจ้งเตือนดังสอดรับกัน บรรยากาศดูตื่นเต้นและคร่ำเคร่ง ภายในใจทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขากำลังจะได้เห็นการทดสอบอาวุธที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


‘3.00’


ภายในศูนย์บัญชาการ โรแลนด์กับอันนาหยิบเอากุญแจขึ้นมาคนละดอก ก่อนจะเปิดฝาปิดบนแท่นควบคุมขึ้นมาพร้อมกัน


ในตอนที่สวิทช์แต่ละอันถูกกดลง ไฟสีเขียวบนหน้าปัดแผงควบคุมก็สว่างขึ้นมาตามลำดับ


“เคเบิลหลักกำลังส่งกระแสไฟ!”


“ลูน่าหมายเลข 1 ทำงานปกติ พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”


“ตอนนี้สลับไปที่สาย 1”


“รับทราบ สาย 1 เชื่อมต่อแล้ว การจ่ายไฟของอุปกรณ์ต้นแบบปกติ!”


เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์รายงานสถานการณ์ของระบบจุดระเบิด จนกระทั่งในตอนที่ไฟเขียวดวงสุดท้ายสว่างขึ้น นั่นหมายความว่ากระแสไฟได้ถูกส่งไปถึงแท่นทดสอบที่อยู่ห่างออกไป 15 กิโลเมตรแล้ว


‘1.00’


ด้านบนฐานบัญชาการเองก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมา มันหมายความว่ากระบวนการจุดระเบิดเหลืออีก 1 ชั่วโมงสุดท้าย


หน้างต่างประตูบังเกอร์ถูกปิดลงทั้งหมด ตะเกียงไฟเองก็ถูกดับลง เพื่อจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นจากการสั่นสะเทือน


เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเนเวอร์วินเทอร์เข้าไปอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่จัดเอาไว้เฉพาะ จากคำสั่งของโรแลนด์ ภายนอกของมันถูกสร้างให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเหมือนที่จะได้แรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น ส่วนด้านในนั้นถูกสร้างให้ลึกขึ้นเพื่อที่จะได้รองรับร่างกายขนาดใหญ่ของร่างต้นแบบ


พาซาร์และแม่มดคนอื่นๆ รอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว


‘15.00’


ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง


ในที่สุดสัญญาณเตือนรอบสุดท้ายก็ดังขึ้น


ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ทหารหรือว่าคนงานก็ล้วนแต่ต้องสวมใส่แว่นตาสีดำเพื่อป้องกันแสงที่รุนแรงตามที่ได้ฝึกซ้อมเอาไว้ก่อนหน้านี้


ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่าทำให้ถึงต้องใส่แว่นตาแบบนี้ในวันที่มีหิมะตกหนัก


แบบนี้มันก็มองอะไรไม่เห็นน่ะสิ


‘0.05’


“นับเวลาถอยหลัง 5 นาที!”


ในตอนที่เสียงประกาศดังขึ้น ภายในพื้นที่ตกอยู่ในความเงียบ


การพูดคุยทุกอย่างหยุดลง สายตาทุกคนจับจ้องไปยังด้านหน้าที่อยู่ในความมืดมิดพร้อมทั้งกลั้นหายใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


“นับถอยหลัง 3 นาที!”


โรแลนด์รู้สึกกลางฝ่ามือมีเหงื่อออก


อันนามองเขาพร้อมยิ้มออกมา ส่วนมือก็กุมมือของเขาเอาไว้


“นับเวลาถอยหลัง 1 นาที!”


อีกด้านหนึ่งก็มีมืออีกข้างหนึ่งยื่นมา นิ้วทั้งห้าสอดประสานกัน


“นับถอยหลัง 10 วินาที!”


“9!”


ถึงแม้จะน่าเสียดายที่ไม่ได้ปุ่มจุดระเบิดด้วยตัวเอง แต่โรแลนด์ก็รู้ว่าหนทางแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานเส้นนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น


“3!”


“2!”


“1!”


“จุดระเบิด!”


บนที่ราบหิมะอันเงียบสงบที่อยู่ไกลออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาเหมือนหยุดนิ่งลง คล้ายว่าผ่านไปนาน แล้วก็คล้ายว่าผ่านไปแค่นิดเดียว


จากนั้นแสงสีน้ำเงินอันเจิดจ้าก็เบ่งบานขึ้นมาจากเส้นสายตา ความมืดที่อยู่ตรงหน้าพลันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!


……………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)