Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1310-1317
ตอนที่ 1310 จนตรอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฮคซอดปิดประตูมิติด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมองไม่ออก ตอนนี้พวกมันถูกพวกมนุษย์หลอกแล้ว!
“เจ้าพวกแมลง!” ซีอาซิสคำรามออกมาจากโกรธแค้น หนวดบนใบหน้าที่บิดไปบิดมาอย่างรุนแรงได้จิตสังหารภายในใจมันออกมา
“หุบปาก!” แต่เฮคซอดก็พูดตัดบทมัน “ถ้าพวกมันเป็นแมลง อย่างนั้นพวกเราที่ถูกแมลงหลอกคือตัวอะไรล่ะ? หลังจากนี้ข้าไม่อยากได้ยินคำเรียกว่า ‘แมลง’ อีก!”
จากนั้นมันก็พุ่งตัวบินขึ้นไปยังอีกด้านหนึ่งของเกาะอาชดยุค
ควันสีดำยังคงพวยพุ่งขึ้นมาไม่หยุดจนกลายเป็นเหมือนเสาควันขนาดใหญ่ ด้านล่างยังคงมองเห็นแสงไฟสว่างวาบออกมาอยู่ ดูคล้ายกับลาวาที่ทะลักออกมาจากใต้พื้นดิน ส่วนภายในเมืองนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกลูกบอลไฟลามไปถึง แต่มันก็ยังเห็นร่างระดับต้นนอนกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
แต่ว่านี่ไม่ใช่จุดสำคัญที่มันให้ความสนใจ เรื่องจริงคือมันเกิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้หยุดอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความเสียหายน้อยลง รังแต่จะรู้สึกโกรธแค้นขึ้นเปล่าๆ สู้เอาเวลาไปทำให้ศัตรูมันชดใช้ดีกว่า
ทางด้านทิศใต้ของเกาะ สกายลอร์ดมองเห็นเรือจำนวนหนึ่งยังล่องออกไปไม่ไกลมา ถึงแม้มันจะกางใบเรือจนเต็ม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความสามารถของตัวเอง เรือพวกนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเรือที่จอดอยู่นิ่งๆ
ในตอนที่มันเตรียมจะเข้าไปหาเรือเหล่านั้น ด้านล่างพลันมีแสงสว่างดึงดูดความสนใจของมันเอาไว้
มันเห็นว่ามีเงาคนบินออกมาจากรอบนอกของเกาะอาชดยุค ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว
อย่างนี้นี่เอง เดิมมันคิดว่าคนที่จุดระเบิดขึ้นมาได้ตายลงไปในเปลวเพลิงแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์วางแผนที่จะจุดระเบิดแล้วหนีออกไปด้วย!
ให้แม่มดมาจุดระเบิด จากนั้นก็ค่อยหนีออกไปจากสนามรบอย่างสบายๆ งั้นเหรอ?
มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!
สกายลอร์ดรีบเปลี่ยนเป้าหมายทันที มันเปิดประตูมิติแล้วมาอยู่ข้างหน้าแม่มดในชั่วพริบตา
นั่นคือมนุษย์ตัวเมียที่มีผมสั้นสีทองอ่อน บนใบหน้าของเธอมีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นมาทันที เหมือนกับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ มันจะปรากฏตัวขึ้นมา แต่เฮคซอดไม่ได้คิดที่จะพูดอะไรมาก มันยื่นมือออกไปคว้าจับตัวเธอ
แต่มันกลับคว้าไม่เจออะไรเลย
ตัวเมียที่อยู่ตรงหน้าจู่ๆ ก็ระเบิดความเร็วอันน่าเหลือเชื่อออกมา เธอบินออกไปไกลหลายร้อยเมตรในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันคลื่นอากาศที่เธอระเบิดออกมาก็เป็นเหมือนกำแพงที่กระแทกเข้าใส่เฮคซอดกับพาราซีทิคอายการ์ด บาเรียเวทมนตร์ส่งแสงวิบวับๆ ออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างถึงจะสงบลง
ส่วนแม่มดหลังบินไปได้ระยะหนึ่งก็ลดความเร็วลง เหมือนกับว่าเธอใช้พลังไปอย่างมาก
มันส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะไล่ตามขึ้นไปอีกครั้ง
แต่ในตอนที่มันก้าวออกมาจากประตูมิติ อีกฝ่ายก็เร่งความเร็วบินออกไปไกลอีก
เฮคซอดโมโห มันใช้พลังเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้มันตั้งประตูเอาไว้ข้างหน้าอีกฝ่ายหลายร้อยเมตรเพราะอยากจะดูว่าอีกฝ่ายยังจะหนีไปไหนได้อีก
แต่ในเสี้ยววินาทีที่มันก้าวออกจากประตูไป มันพลันรับรู้ได้ถึงสายตาจำนวนมากที่จ้องมองมาที่ตัวมัน เหมือนกับว่ามันจู่ๆ ก็ก้าวข้ามจากที่ๆ ไม่มีคนเข้าไปยังใจกลางเมืองอย่างไรอย่างนั้น
สกายลอร์ดงุนงง มันมองไปทางจุดกำเนิดของสายตาที่มองมา ก่อนจะเป็นจุดดำๆ ที่อยู่ตรงเส้นขอบทะเลกับแผ่นดินพุ่งเข้ามาตน ในนั้นมีทั้งนกเหล็กและแม่มด
นี่มัน…การซุ่มโจมตีที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเหรอ?
เจ้านั้นมันเลยจงใจบินๆ หยุดๆ เพื่อให้มันคิดว่าอีกฝ่ายได้รับผลกระทบจากขีดจำกัดของเวทมนตร์ เลยตงใช้การเร่งความเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ งั้นเหรอ?
“หึ…มนุษย์…ฮ่าๆๆๆ….”
เฮคซอดโมโหจนหัวเราะออกมา!
พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางแผนหลอกกองทัพของมันเท่านั้น แต่ยังเตรียมจะวางแผนหลอกมันด้วย?
ถ้าถอยกลับในตอนนี้ มันก็สามารถทำได้ในพริบตา
แต่มันกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
ถูกต้อง มันไม่ใช่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่มันเฝ้าครุ่นคิดมาโดยตลอด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ตัวผู้สวมใส่หินอาญาสิทธิ์แล้วจะอยู่เหนือมันได้!
มันจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าแห่งท้องฟ้า!
แค่พริบตา นกเหล็ก 8 ตัวก็พุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้ามัน ตรงหัวนกเหล็กพ่นเปลวไฟออกมา
เฮคซอดโบกมือเปิดประตูมิติขึ้นมาตรงหน้า ก่อนจะกลืนกินลูกดอกเหล็กของอีกฝ่ายที่ยิงออกมา ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของประตูก็เปิดขึ้นตรงด้านข้างของนกเหล็ก ลูกดอกเหล็กเหล่านั้นพุ่งทะลุประตูออกไป ในชั่วพริบตานกเหล็กหลายตัวถูกลูกดอกเหล็กเหล่านั้นยิงเข้าใส่จนบนร่างกายมีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาทันที
แต่สิ่งที่ทำให้มันแปลกใจคือลูกดอกเหล็กที่สามารถทำให้ร่างระดับต้นบาดเจ็บจนถึงตายกลับไม่ได้ฉีกนกเหล็กออกเป็นชิ้นๆ หากแต่ทิ้งรูสองสามรูเอาไว้บนร่างกายเท่านั้น
สกายลอร์ดโยนความคิดแปลกใจนี้ทิ้งไป มันพุ่งตัวขึ้นไปด้านบน ส่วนนกเหล็กเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถไล่ตามมันทันได้ ถึงแม้จะเชิดหัวขึ้นแล้ว แต่ท่าทางที่งุ่มงามของนกเหล็กนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับไส้เดือนเลย
ในตอนที่มันคิดจะฉีกนกเหล็กเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ จู่ๆ นกตัวหนึ่งที่บินผ่านมาก็แปลงร่างเป็นอสูรสยอง ก่อนจะอ้าแล้วงับเข้ามาที่มัน!
อายการ์ดไม่ได้มองนกทะเลทั่วๆ ไปเป็นภัยคุกคาม เฮคซอดเบี่ยงตัวอย่างรวดเร็วถึงได้หลบหลีการลอบโจมตีครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด มันกางมือออกอย่างโมโห แสงสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาคั่นระหว่างกลางของทั้งสองทันที นี่คือประตูมิติเหมือนกัน เพียงแต่มันมีความกว้างเพียงแค่หนึ่งนิ้วมือ ร่างกายส่วนที่ผ่านมันไปไม่มีทางที่จะต่อกับร่างกายส่วนที่เหลือแน่นอน
อสูรสยองเหมือนจะรู้ถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้า เธอจึงรีบแปลงร่างกลับเป็นนกทะเลทันที แต่การจะหยุดร่างกายในระยะกระชั้นชิดแบบนี้นั้นเป็นเรื่องยาก ปีกส่วนหนึ่งของเธอยังคงสัมผัสถูกเส้นดำนั้น ปลายปีกและขนถูกเส้นสีดำตัดจนฟุ้งกระจายเหมือนหิมะ
แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ตามเข้าไปจบชีวิตอีกฝ่าย เสียงคำรามที่ดังกระหึ่มพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง
แม่มดผมทองคนนั้นกลายเป็นเหมืองลำแสงสีทองพุ่งตรงเข้ามาหามัน! เฮคซอดที่เปิดประตูมิติไม่ทันดึงพลังเวทมนตร์ทั้งหมดในร่างกายออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เหมือนโล่!
“ตู้ม…..!”
ทั้งสองปะทะกัน แรงปะทะอันรุนแรงทำให้แสงสีทองบนตัวอีกฝ่ายแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วก็ทำให้เฮคซอดรู้สึกจุกที่หน้าอกขึ้นมา เพียงแต่อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายดูหนักกว่าตนอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่จะมีเลือดออกที่มุมปาก แต่แขนข้างหนึ่งยังหักออกเป็นหลายส่วนด้วย แต่แม่มดกับไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองเลย เธอใช้มีอีกข้างที่ยังปกติชักกระบองเพลิงสั้นออกมาจากข้างเอว
บ้าเอ้ย!
มันเปิดประตูมิติขึ้นมาอย่างจนปัญญา ถ้าอีกฝ่ายยิงออกไป ลูกดอกเหล็กก็จะยิงโดนเพื่อนของเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้เฮคซอดยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิมก็คือการโจมตีครั้งนี้เป็นเพียงแค่การหลอก แม่มดไม่ได้ยิงปืนมาที่มัน หากแต่เร่งความเร็วลงไปด้านล่างแล้วคว้าตัวนกทะเลมากอดเอาไว้
“ข้าจะฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้น!” สู้มาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มันคำรามออกมา
แต่ทันใดนั้นเอง ในหัวของสกายลอร์ดพลันมีเสียงเตือนชั้นสูงสุดดังขึ้นมา มันมาจากนกเหล็กขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่ร่อนลงมาจากชั้นเมฆ ในสายตาของอายการ์ด ปลายอีกด้านของเสียงคือแม่มดที่ถูกอุรูคพูดถึงคนนั้น
มันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกอะไรมาพันธนาการเอาไว้
เฮคซอดที่สัมผัสได้ถึงอันตรายเปิดประตูมิติออกจนกว้างที่สุด เพื่อที่จะได้ครอบคลุมการโจมตีทั้งหมดของอีกฝ่ายเอาไว้!
แต่อายการ์ดกลับผลักมันออก
จากนั้นก็มีแสงไฟสว่างวาบขึ้นมา ราวกับผ่านไปนาน แล้วก็เหมือนผ่านไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เงาดำสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาเหมือนกับสายฟ้า บนบานประตูมิติมีรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา จากนั้นมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับกระจก!
จากนั้นก็เป็นพาราซิติคอายการ์ดที่ผลักมันออก แสงสีน้ำเงินบนร่างกายมันสว่างขึ้นมาแล้วก็ดับลงไป ก้อนเนื้อและเครื่องในพุ่งกระจายตามออกมา หมอกสีน้ำเงินฟุ้งกระจายท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ทั้งสองเหตุการณ์แทบจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มันรวดเร็วจนทำให้เฮคซอดตั้งตัวไม่ทัน
สุดท้ายก็เป็นตัวมันเอง
ถึงแม้หินอาญาสิทธิ์ที่โจมตีมาแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว แต่ฝ่ามือส่วนหนึ่งของมันยังคงถูกตัดขาดหายไป แล้วก็ทิ้งรอยบุบเป็นจุดๆ เอาไว้ พลังเวทมนตร์ที่ปั่นป่วนทำให้มันสูญเสียการควบคุมร่างกายไปจนร่วงตกลงไปในทะเล
ส่วนนกเหล็กพวกนั้นก็พากันพุ่งตามมันลงไป
หลังหลุดออกมาจากพื้นที่ปิดกั้นพลังเวทมนตร์ เฮคซอดใช้พลังเฮือกสุดท้ายเปิดประตูขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ด้านร่างร่างกาย
จากนั้นมันก็เหมือนตกลงไปในโพรงลึก ก่อนจะหายวับไปบนทะเล
………………………………………………………………
ตอนที่ 1311 สูญเสีย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านสกายลอร์ด…” ในตอนที่ซีอาซิสเจอสกายลอร์ดอีกครั้ง มันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ร่างกายของมันเปียกโชกราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ สีหน้าดูเหนื่อยล้าถึงขีดสุด บนร่างกายมีรอยบาดแผล บนชุดเกราะมีรอยเลือดสีน้ำเงินเปื้อนเป็นแถบ เหมือนกับมันเพิ่งจะผ่านศึกหนักมาอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนพาราซิติคอายการ์ดที่คอยตามอยู่ข้างกายราชาก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้เฝ้าระวังที่สามารถรับรู้ได้ไวมากที่สุด มันจะแสดงความสามารถออกมาได้มากที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ข้างกายราชา แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เป็นไปได้สูงว่าอายการ์ดคงจะโชคไม่ดีเสียแล้ว
ถ้าอีกฝ่ายเป็นอาณาจักรซีสกาย ภาพเหตุการณ์แบบนี้มันพอจะเข้าใจได้ แต่ศัตรูกลับเป็นแค่แมลงมนุษย์เท่านั้น
เฮคซอดไม่มีใจจะมานั่งอธิบาย มันคว้าตัวลูกน้องแล้วดึงเข้าไปในประตูมิติ
จากนั้นพวกมันก็กลับมายังเขตละอองชีวิต
“ท่านสกายลอร์ด พวกทหารที่อยู่บนเกาะนั่น…” ซีอาซิสนึกถึงมาได้ สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้การระเบิดอย่างกะทันหันในเมืองจะทำให้กองทัพของพวกมันเสียหายอย่างหนัก แต่ถึงยังไงมันก็ยังมีปีศาจที่รอดชีวิตอยู่ การที่สกายลอร์ดออกมาแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการทิ้งพวกมันทั้งหมดเอาไว้บนเกาะ
ซึ่งละอองชีวิตที่กองทัพพกพาไปด้วยนั้นมีจำกัด เกรงว่าพวกมันคงจะอยู่บนเกาะได้แค่ไม่กี่วัน
“ข้าไม่สามารถเปิดประตูบานใหม่ได้” คำพูดประโยคนี้ทำให้ซีอาซิสเงียบไปทันที ร่างระดับต้นนั้นไม่อาจเทียบกับราชาได้ หากทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทั้งคู่ จะเลือกยังไงก็คงไม่ต้องคิดมาก
“ข้าจะส่งท่านกลับไปเมืองสกายขอรับ”
“ไปแจ้งโทโทล็อกก่อน ให้มนุษย์ใช้เรือสำเภาไปรับตัวทหารเราจากบนเกาะกลับมา รับได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนร่างซิมไบออนท์พวกนั้นก็ให้พวกมันซุ่มอยู่บนเกาะไปก่อน” สกายลอร์ดกัดฟัน “เอาไว้ละอองชีวิตปกคลุมทั่วทั้งเกาะ ก็ให้กองทัพบุกโจมตีอ่าวดีพพูลทันที พวกเจ้าสองคนเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้!”
“ท่านสกายลอร์ด…แบบนี้มันจะไม่เป็นการเร่งรีบเกินไปหรือขอรับ?” ซีอาซิสพูดอย่างตกใจ “รอท่านรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยโจมตีก็ยังไม่สายนะขอรับ..”
“นี่คือคำสั่ง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก!”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว” มันรีบก้มหัวทันที “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!”
เฮดซอดมองดูแผ่นหลังของลูกน้องที่เดินออกไป มือข้างที่เหลืออยู่ของมันกำแน่นขึ้นมา
ทำไมมันจะไม่รู้ล่ะว่าการทำแบบนี้มันเร่งรีบเกินไป แต่ถึงยังไงมันก็ดีกว่าปล่อยให้มนุษย์ได้มีเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่สกายลอร์ดรู้ว่าบางทีเวลาอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งพวกมันแล้ว ความเร็วในการดูดซับการสืบทอดของมนุษย์เร็วกว่าที่มันคิดเอาไว้ ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว อีกฝ่ายอาศัยแม่มดแค่ไม่กี่คนกับมนุษย์ตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ก็สามารถทำร้ายราชาได้ แล้วถ้าผ่านไปอีก 2 – 3 ปีมันจะกลายเป็นยังไง?
จะปล่อยให้มนุษย์ได้มีโอกาสพักหายใจไม่ได้เด็ดขาด!
แนวรบตะวันตกจำเป็นต้องกลับมาอยู่ในแผนที่วางเอาไว้ในตอนแรก!
หลังจากนั้นอีกหลายวัน ในที่สุดเฮคซอดก็กลับมายังด้านล่างสุดของรอยแตก ตอนนี้ที่นี่ถูกละอองชีวิตปกคลุมเอาไว้จนเต็มแล้ว เพียงแค่อยู่ที่นี่ก็จะสัมผัสได้ว่าสดชื่นขึ้น ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือก็ทุเลาขึ้นเยอะ
มันลงมายังบ่อละอองชีวิตที่อยู่ด้านล่างหอคอยแห่งการให้กำเนิด
เมื่อเห็นไนท์แมร์ที่ยังคงไม่ขยับ สกายลอร์ดพลันรู้สึกโมโหขึ้นมา ถ้าไม่เป็นเพราะมันเอาแต่จมอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก ตัวเองก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ทุกอย่างมันไม่ควรเป็นแบบนี้!
ถ้าตัวเองทุ่มสมาธิอยู่กับการเคลื่อนย้ายกำลังพล การรุกคืบของแนวหน้าก็คงจะไม่ช้าขนาดนี้ แล้วถ้าได้อีกฝ่ายมาเป็นคนนำทัพ พวกคนของเกรยคาสเซิลไม่มีทางที่จะได้หนีออกไปแม้แต่คนเดียว! จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนนี้มนุษย์กำลังหวาดกลัวเปิดฉากบุกเข้าไปตรงๆ ขณะเดียวกันมันก็จะนำทัพตีกระหนาบเข้าไปจากทางตะวันตก จนยึดที่ราบสูงเฮอร์มีสมาได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นแผนการตะวันตกที่วางเอาไว้!
แต่โกรธมันก็ส่วนโกรธ ในตอนที่กำลังคิดจะดึงไนท์แมร์ออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกจริงๆ เฮคซอดพลันทำสีหน้าลังเลขึ้นมา
เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็เคยเป็นราชาที่อยู่สูงจนมันทำได้แค่เพียงเงยหน้ามอง
มันถึงขนาด…เคยคิดว่าไนท์แมร์จะกลายเป้นจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์
ไม่ๆๆ…เฮคซอดส่ายหัว มันจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ นี่เป็นเพียงความคิดโง่เขลาที่ได้มาจากตอนที่เข้าร่วมพิธียกระดับเท่านั้น เมื่อพูดถึงระดับชั้นแล้ว ตอนนี้มันไนท์แมร์ไม่ได้ต่างอะไรจากมันเลย
อย่างมาก…อีกฝ่ายก็แค่เข้าใจโลกแห่งจิตสำนึกดีกว่ามันหน่อยเท่านั้น
มันตัดสินใจแล้ว
บางทีการทำแบบนี้มันอาจจะทำให้ความทรงจำของไนท์แมร์ได้รับความเสียหาย บางทีอาจจะทำให้มันโกรธ หรืออาจจะทำให้เบาะแสของปริศนาของการยกระดับของมนุษย์ขาดหายไป แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับศึกทางตะวันตก
อย่างมากมันก็แค่ยอมรับทฤษฎีการยกระดับของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ในการประชุมสภาก็พอ ส่วนชิ้นส่วนสืบทอดชิ้นนั้นจะมาจากไหน เอาไว้หลังจากชนะแล้วค่อยมาคิดก็ได้ ขอเพียงกลืนกินชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ได้ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาก็จะกลายเป็นบันไดสู่การวิวัฒนาการให้กับเผ่าพันธุ์ของมัน!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฮคซอดจึงสูดหายใจแล้วผลักตัวไนท์แมร์
พลังเวทมนตร์ที่อยู่ตรงใจกลางฝ่ามือจะตัดการเชื่อมต่อระหว่างมันกับโลกแห่งจิตสำนึก แล้วดึงมันกลับมาจากแหล่งกำเนิดเวทมนตร์
ตามหลักแล้วเป็นเช่นนั้น
แต่ไนท์แมร์กลับไม่ยอมลืมตาขึ้นมา ร่างกายของมันเอนล้มไปอีกข้าง เหมือนกับร่างเปลือกเปล่าๆ ที่ล้มลงไปในบ่อละอองชีวิต
เฮคซอดถูกความหวาดกลัวอุดอยู่ที่ลำคอทันที!
แม้แต่ตอนที่มันเกือบจะถูกพลังเวทมนตร์ที่สูญเสียการควบคุมทำลายจิตสำนึกในพิธียกระดับ หรือว่าตอนที่ถูกอาณาจักรซีสกายซุ่มโจมตี มันก็ยังไม่รู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้เลย
มันก้าวไปข้างหน้าแล้วพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนจะพยายามไล่จับจิตสำนึกของมัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีแต่ความว่างเปล่า…
ชีพจรยังไม่หยุดเต้น แต่กลับหลับไม่ยอมตื่น นี่คือสัญญาณของการหลงทางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก และทันทีที่จมดิ่งลงไปในทะเลสีแดงที่ไร้ซึ่งขอบเขตนั้นก็จะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก และช้าเร็วก็จะถูกกระแสจิตสำนึกที่วุ่นวายกัดกินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ใจของสกายลอร์ดตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
นี่หมายความว่าพวกมันได้สูญเสียไนท์แมร์ลอร์ดไปแล้ว!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ด้วยความสามารถของไนท์แมร์แล้ว ขอเพียงระมัดระวังไม่ทำอะไรสุ่มเสียง มันก็ไม่น่าจะพลาดท่าจนถูกขังอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกนี่นา!
มันไปเจอเข้ากับอะไรในตอนที่ค้นหากันแน่?
สกายลอร์ดไม่กล้าจะคิดต่อไป มันลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งขึ้นไปยังยอดหอคอย แม้แต่อาการบาดเจ็บของตัวเองก็ลืมจนหมด
ทันต้องรีบเอาข่าวนี้แจ้งให้จักรพรรดิทราบ
ตอนนี้สถานการณ์ของฝั่งตะวันตกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแล้ว!
…..
“ทุกคนเป็นยังไงบ้าง?”
ณ ศูนย์บัญชาการเคจเมาเธ่น ขวานเหล็กมองไปทางอกาธาพร้อมถามอย่างห่วงใย
“มีนาน่าอยู่จะเป็นอะไรได้ล่ะ” อีกฝ่ายเก็บรูนสดับพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ ขวานเหล็กมองออกไปอารมณ์ของเธอค่อนข้างดีทีเดียว “เวนดี้บอกว่าวันนั้นเมซี่ก็ฟื้นตัวจนกลับมาวิ่งได้แล้ว ส่วนไลต์นิ่งต้องรอถึงวันที่สองถึงจะกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้ทั้งสองคนฟื้นกลับแล้วกลับไปลาดตระเวนแล้ว สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียใจคือข้าไม่ได้มีส่วนร่วมกับการซุ่มโจมตีครั้งนี้ด้วย”
“เพราะว่ามันเสี่ยงน่ะ…ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะติดตั้งปืนยักษ์นั่นแล้ว ที่นั่งบนซีกัลป์ต้องถูกถอดออกจนไม่เหลือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจะเพิ่มคนเข้าไปอีกคนเลย” ขวานเหล็กยิ้มออกมา “ข้ายังนึกว่าเจ้าเสียดายที่กำจัดปีศาจระดับสูงตัวนั้นไม่ได้”
“การที่สามารถเอาชนะราชาด้วยขบวนรบแบบนี้ได้ก็ถือเป็นชัยชนะที่สุดยอดแล้ว” อกาธาหันไปทำความเคารพไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ “เมื่อก่อนข้าดูถูกพวกเจ้า ตอนนี้ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าข้าเป็นฝ่ายผิด นอกจากฝ่าบาทโรแลนด์แล้ว ในบรรดาคนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ยังมีคนที่ยอดเยี่ยมอีกหลายคนที่ไม่ควรถูกดูถูก”
ส่วนเอดิธส์ก็ยอมรับการทำความเคารพครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นผู้วางแผนการซุ่มโจมตีทั้งหมด ในเวลานี้เธอไม่มีความจำเป็นต้องถ่อมตัวอะไรอีก
“ถึงแม้จะน่าเสียดายที่สุดท้ายปล่อยให้เจ้าปีศาจที่ชื่อเฮคซอดนั่นหนีไปได้ แต่ศึกครั้งนี้ก็ยังทำให้เราได้อะไรกลับมาอีกมาก” เธอตบหนังสือที่อยู่ในมือ “อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับศัตรูอีกแล้ว”
…………………
ตอนที่ 1312 แผนรับมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในฐานะที่เป็นราชาปีศาจ ความสามารถของสกายลอร์ดนั้นเรียกได้ว่าน่าตกใจอย่างมาก มันสามารถใช้พลังเวทมนตร์ในการเปิดประตูอุโมงค์ขึ้นมา ประตูที่ว่าสามารถใช้ในการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็สามารถใช้เป็นอาวุธหรือเกราะป้องกันได้ แต่ถ้าวิเคราะห์ดูดีๆ ก็จะพบว่ามันไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดบอด
“สิ่งแรกที่สามารถมั่นใจได้ก็คือปีศาจระดับสูงตัวนี้เปิดประตูได้แค่ทีละประตู ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของประตูก็อยู่ในขอบเขตที่มือของมันยื่นได้ถึงด้วย” เอดิธส์พูด “ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งนั้นยาวออกไปได้ไกลแค่ได้ก็ยังไม่อาจรู้ได้แน่ชัด แต่อย่างน้อยๆ มันก็สามารถไปได้ไกลมากกว่า 2 กิโลเมตร”
“ฟังดูแล้วเหมือนเป็นพลังของออร์บิทเวอร์ชั่นอัพเกรดเลย”
หลังจากที่อยู่กับโรแลนด์มานาน อกาธาได้เรียนรู้คำศัพท์แปลกๆ มาไม่น้อย อย่างเช่น ‘เวอร์ชั่นอัพเกรด’ ‘เวอร์ชั่นอัพเกรดแบบพิเศษ’ ‘เวอร์ชั่นอัพเกรดขั้นสุดยอด’….
“ถ้าดูแค่เรื่องระยะทางมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพยักหน้า “แต่จำนวนอุโมงค์ที่ออร์บิทสร้างขึ้นมานั้นขึ้นอยู่กับปริมาณพลังเวทมนตร์ที่เหลืออยู่ แต่สกายลอร์ดนั้นจำเป็นต้องปิดประตูบนหนึ่งก่อนถึงจะสามารถเปิดประตูบานใหม่ได้ สำหรับมันแล้ว ในตอนนั้นถือว่าสถานการณ์คับขันอย่างมาก มันไม่น่าจะปิดบังความสามารถอะไรเอาไว้อีก ในจุดนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก มันจะเป็นตัวตัดสินแผนในการรับมือของพวกเรา อย่างเช่นถ้าอีกฝ่ายสามารถใช้อุโมงค์ได้หลายๆ อุโมงค์พร้อมๆ กัน อย่างนั้นสถานการณ์มันก็จะยิ่งมีความซับซ้อนขึ้นหลายร้อยเท่า”
หลังจากอีกสองคนคิดตามทันแล้ว เธอจึงพูดต่อว่า “สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ถึงแม้ทางเข้าออกของอุโมงค์จะสามารถอดสั้นลงได้อย่างอิสระ แต่เฮคซอดก็จำเป็นต้องอยู่ใกล้ๆ ประตูถึงจะทำให้มันคงอยู่ได้ จากการสังเกตของคุณหนูซิลเวีย ตอนที่เกิดการระเบิดขึ้นที่เกาะอาชดยุค มันใช้เวลาอยู่หลายวินาทีในการเปิดประตูใหญ่ก่อนจะบินมาทางใต้ของเกาะ”
“นี่หมายความว่า…ประตูยิ่งใหญ่ก็จะยิ่งปิดได้ช้าเหรอ?” ขวานเหล็กเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“อาจจะเป็นเช่นนั้น” เอดิธส์ผายมือ “ส่วนจุดสุดท้ายก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญของมัน —- เฮคซอดไม่ใช่ผู้พิฆาติเวทมนตร์ ทำให้มันไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแม่มด แล้วก็ยากที่จะทำอันตรายกับคนที่สวมใส่หินอาญาสิทธิ์ได้ ถึงแม้จริงๆ แล้วความแข็งแกร่งของร่างกายมันจะไม่ได้ด้อยกว่าแม่มดอมนุษย์ แต่การบุกเข้ามาต่อสู้ในระยะประชิดด็อาจจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในพื้นที่ปิดกั้นเวทมนตร์ได้ ข้าคิดว่ามันไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตของตัวองมาแลกกับมนุษย์แค่สองสามคนแน่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ชะงักไปเล็กน้อย “สรุปแล้วก็คือ ความสามารถหลักๆ ของสกายลอร์ดคือการเปิดอุโมงค์สองฝั่งที่ห่างกันหลายกิโลเมตรโดยมีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แถมยังเปิดได้แค่อุโมงค์เดียวต่อหนึ่งครั้ง ไม่ว่าปลายอุโมงค์จะอยู่ที่ไหน แต่ขอเพียงได้รับผลกระทบจากหินอาญาสิทธิ์ อุโมงค์ก็จะพังทลายลง”
“อย่างนั้นถ้ามันโผล่มาอีก วิธีการรับมือของพวกเราคือ….”
“ถ้ามันอยู่ด้านนอกฐาน อีกทั้งปากทางเข้าอุโมงค์ไม่ได้หันมาทางฐาน ก็ให้คุณหนูซิลเวียสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปก็พอ” เอดิธส์พูดอธิบายทีละขั้นตอน “ถ้าหากปากอุโมงค์มันอยู่ในฐานหรือว่าบางทีมันอาจจะใช้ประตูเล็กในการบุกเข้ามาในฐานของกองทัพที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว อย่างนั้นก็ไม่ต้องให้ทหารทำอะไร แค่ปล่อยให้มืออาชีพจัดการก็พอ”
“ไม่ต้องทำอะไร?” ขวานเหล็กงุนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ “….อย่างนี้นี่เอง”
“ถูกต้อง” เอดิธส์ยิ้มๆ “ความจริงวิธีการโจมตีที่ได้ผลของสกายลอร์ดก็คือการใช้อาวุธของพวกเราในการย้อนกลับมาโจมตีพวกเราเอง ทันทีที่ทหารไม่ทำอะไร ความเสียหายที่มันจะสร้างให้กับฐานของเราได้ก็จะถูกจำกัด ก็เหมือนกับที่ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ความสามารถอันนี้ถ้าใช้ในการเคลื่อนย้ายกำลังพล มันแทบจะเป็นความสามารถที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ แค่ถ้าเอามาใช้ในการโจมตีมันกลับไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีซักเท่าไร
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่หนึ่งที่มองข้ามมัน ราชาปีศาจไม่มีทางที่จะบุกเข้ามาในหลุมเพลาะเพื่อสังหารทหารในระยะประชิดแน่ เพราะถ้าทำแบบนั้นล่ะก็ เมื่อไรที่แม่มดอาญาสิทธิ์หุ้มเกราะมาถึงสนามรบ มันก็ไม่มีทางที่จะหนีรอดออกไปได้
“ถ้าอีกฝ่ายใช้ช่วงเวลาเว้นว่างระหว่างการยิงปืนใหญ่ในการบุกโจมตีกลับมาล่ะ?” อกาธาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะถามกลับ “อย่างเช่นมันเปิดปลายอุโมงค์ด้านหนึ่งเอาไว้ที่ด้านนอด เพื่อให้พวกเราเข้าไปผิดว่ามันจะขนเอากองทัพปีศาจออกมา แต่พอเรายิงปืนใหญ่เข้าใส่ มันกลับเปิดอุโมงค์หันใหม่หันหน้ามาทางฐานของพวกเรา แบบนั้นพวกเราก็อาจจะถูกปืนใหญ่ของตัวเองยิงใส่ได้”
การที่สามารถคิดถึงจุดนี้ได้ก็เพียงพอที่จะยืนยันว่าแม่มดน้ำแข็งมีความเข้าใจในอาวุธชนิดใหม่ของเกรย์คาสเซิลไม่น้อยเลย
“ตามทฤษฎีแล้ววิธีนี้มันก็ใช้ได้จริงๆ แต่ข้าคิดว่าสกายลอร์ดไม่มีทางทำแบบนั้น” เอดิธส์พูดอธิบาย “ถ้าเป็นประตูที่แค่ให้คนๆ เดียวเดินเข้าออกนั้นแค่พริบตาก็สามารถเปิดได้แล้ว แต่ถ้าต้องการจะเปิดประตูขนาดใหญ่ที่สามารถปกป้องตัวเองได้นั้นกลับต้องใช้เวลา ซึ่งความต่างของเวลาทั้งสองนั้นมีจำกัดอย่างมาก ทันทีที่ล้มเหลว จุดจบของมันก็คือถูกกระสุนปืนใหญ่ฉีกเป็นชิ้นๆ สำหรับราชาปีศาจแล้ว การทำแบบนี้ถือว่าเสี่ยงเกินไป”
“สรุปแล้วก็คือ พวกเราสามารถเข้าใจได้ว่าสกายลอร์ดไม่ได้มีความน่ากลัวต่อแนวหน้าของสนามรบมากเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรกใช่ไหม?” ขวานเหล็กพูดพร้อมลูบคาง
“ข้อสรุปของทีมที่ปรึกษาในตอนนี้เป็นแบบนี้” เอดิธส์ตอบอย่างมั่นใจ “แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงสถานการณ์ที่เฮคซอดออกมารบด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น ถ้ามีราชาตัวอื่นอยู่ด้วย อย่างนั้นความอันตรายของมันก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าทันที”
อย่างเช่นพาอุรูคเข้ามายังใจกลางค่ายทหาร
ขวานเหล็กกับอกาธาต่างรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่อีกฝ่ายตายไปในที่ราบลุ่มบริบูรณ์แล้ว
“แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้พิฆาตเวทมนตร์ตัวใหม่ออกมา ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะหาโอกาสจัดการมันทิ้งไปจะดีที่สุด” น้ำเสียงของไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหาร “มีแต่ต้องกำจัดมันทิ้งเราถึงจะสบายใจได้จริง”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ อกาธาพลันรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา ‘คนธรรมดา’ คนหนึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีความหวาดกลัวต่อปีศาจ แต่กลับวางแผนว่าจะฆ่าราชาปีศาจอย่างไรด้วย หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลก ราวกับว่านี้เป็นเรื่องปกติอย่างไรอย่างนั้น
400 ปีที่ผ่านมานี้ มนุษย์เปลี่ยนไปมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าสิ่งของ
บางทีการล่มสลายไปของสมาพันธ์อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวศัตรูที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างในยุคสมัยนั้น
ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว บางทีในยุคสมัยสมาพันธุ์อาจจะมีคนธรรมดาที่มีความสามารถเหมือนอย่างเอดิธส์ เคนท์อยู่หลายคนก็ได้ เพียงแต่การมองโลกในแค่ร้ายและความกวาดกลัวที่แพร่กระจายอยู่ในเผ่าพันธุ์ได้ผูกมัดความคิดและความกล้าของพวกเขาเอาไว้ บวกกับช่องระหว่างชนชั้นที่ชนชั้นสูงสร้างขึ้นมาได้ทำให้ยุคสมัยนั้นตกอยู่ในความมืดที่ไร้แสงสว่าง
แต่ในครั้งนี้ก่อนที่มนุษย์จะได้ลิ้มรสความผิดหวังที่แท้จริง โรแลนด์ วิมเบิลดันได้หยุดการแพร่กระจายของมันเอาไว้
ในขณะที่อารมณ์กำลังเอ่อล้นออกมา เธอพลันคิดถึงตอนที่เธอตื่นขึ้นมาจากโลงศพน้ำแข็งและได้เจอกับโรแลนด์เป็นครั้งแรก
เรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นจากคำพูดที่ว่า ‘คนธรรมดาก็สามารถเอาชนะปีศาจได้เหมือนกัน’…..
“เฮคซอดไม่น่าจะตกหลุมพรางแบบเดียวกันเป็นครั้งที่สอง เจ้ามีแผนอะไรไหม?” ขวานเหล็กถาม
“ขอเพียงการเคลื่อนไหวของกองทัพที่หนึ่งมีความคล่องแคล่วมากพอ ต่อให้ไม่วางกับดัก เราก็ยังสามารถหาโอกาสในการกำจัดศัตรูได้ อย่างเช่นใช้เฮฟเว่นเฟลมชิดตั้งอาวุธปืนที่มีลำกล้องขนาดใหญ่ที่สามารถยิงกระสุนหินอาญาสิทธิ์”
“ก็จริง” ผู้บัญชาการกองทัพกล่าวเสียงเข้ม “แต่นั้นก็จำเป็นต้องใช้หัวกระสุนหินอาญาสิทธิ์จำนวนไม่น้อย หรือว่าเจ้าคิดวิธีมีการสกัดเอาหินอาญาสิทธิ์ออกมาได้?”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ”
“หา?”
เอดิธส์ยักไหล่ “ข้าเป็นแค่หัวหน้าทีมที่ปรึกษา ไม่ใช่พระเจ้า ข้าทำได้แค่ช่วยออกความเห็นเท่านั้น ส่วนจะทำให้มันเป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องปล่อยให้ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงเป็นคนจัดการ วางใจได้ เรื่องพวกนี้ข้าจะเขียนเอาไว้ในรายงาน เพื่อชัยชนะของเราแล้ว พระองค์ก็ควรจะพยายามเต็มที่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
อีกสองคนยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที
เห็นทีบนหัวของฝ่าบาท…คงจะมีผมหงอกขึ้นมาอีกหลายเส้นซะแล้ว
………………………………………………………
ตอนที่ 1313 ยุคสมัยของข่าวสาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะอาชดยุคและสถานการณ์ในวูล์ฟฮาร์ทถูกส่งมาถึงมือโรแลนด์ในอีกสองวันหลังจากนั้น
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนี้ที่ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ในการส่งจดหมายจากอีเทอร์นอลไนท์มาถึงเนเวอร์วินเทอร์ ความเร็วในการส่งจดหมายตอนนี้ถือว่าเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายในระยะสั้นๆ ด้วยนกส่งจดหมาย หรือว่าการส่งจดหมายทางไกลด้วยเรือจักรไอน้ำก็ล้วนแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งข่าวสารในตอนนี้แล้ว จดหมายที่สำคัญทุกฉบับจะมีการส่งด้วยบุคคลเฉพาะหรือเรือเฉพาะ หรืออาจจะใช้เครื่องบินในการส่ง และคนที่เป็นคนนำรายงานในครั้งนี้มาส่งก็คือทิลลี
“ลำบากเจ้าหน่อยนะ” โรแลนด์เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้อย่างเป็นห่วงเป็นใย “สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“ดูรายงานก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” ทิลลีรับเอาแก้วมา ก่อนจะเหลือบมองดูเขา “ทำไมดูตื่นเต้นจัง ท่านกำลังกลัวอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเครื่องบินของข้ายังไม่มีความคืบหน้า?”
“พรืด….” ด้านหลังมีเสียงหลุดหัวเราะของไนติงเกลดังขึ้นมา
“ที่ไหนเล่า ข้าเลือกแผนที่ดีที่สุดออกมาแล้ว ขอเพียงอันนามีเวลา เราก็สามารถเริ่มสร้างได้ทันที” โรแลนด์รีบพูด “เจ้าเองก็รู้ว่าช่วงนี้มีงานที่สำคัญอยู่หลายงาน นางก็เลยยุ่งจนยังไม่มีเวลามาจัดการเรื่องเครื่องบิน”
“เห็นแก่อันนา ครั้งนี้ข้าจะไม่ต่อว่าท่าน ท่านพี่” ทิลลีดื่มเครื่องบินไปจนหมด ก่อนจะใช้มือเช็ดริมฝีปากแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป “อีกเดี๋ยวซีกัลก็จะกลับแล้ว ข้ากลับไปโรงเรียนอัศวินอากาศก่อนละ”
“ไม่พักอยู่นี่ซักวันเหรอ?” เขาถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ได้ ในแนวหน้าตอนนี้ คนที่จะจัดการกับสกายลอร์ดได้มีเพียงซีกัลกับแอนเดรีย ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าเองก็ไม่อยากพลาดโอกาสในการแก้แค้นด้วย” ทิลลีโบกมือ “อย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ ท่านพี่”
หลังประตูปิดลง ไนติงเกลพลันถอนใจออกมาเบาๆ “ทุกคน…กำลังพยายามกันอยู่”
ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะให้พวกนางไปพยายามในเรื่องอื่นมากกว่า ไม่ใช่มาพยายามในเรื่องการรบ ภายในใจโรแลนด์มีความคิดนี้ลอยขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตา เมื่ออยู่ต่อหน้าการกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะวางภาระที่หนักอึ้งนี้ลงได้ การที่มาพูดเรื่องนี้ในเวลานี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หลังนิ่งเงียบไปครู่ เขาก็เปิดรายงานออกอ่าน
หลังอ่านรายงานจบ ในที่สุดโรแลนด์ก็รู้ถึงความหมายในคำพูดของทิลลีแล้ว การที่สามารถถ่ายทอดกำลังถอนกำลังได้ในทันที และยังสามารถซุ่มโจมตีราชาปีศาจที่ไปไหนมาไหนอย่างไรร่องรอยบนกลางทะเลได้ เอดิธส์ เคนท์กับแอนเดรียนั้นคือคนที่มีความดีความชอบมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนที่นำเอาข่าวกรองที่สำคัญเช่นนี้มาส่งให้ก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นเดียวกัน — ถ้าคนๆ นี้ไม่ยอมเสี่ยงตายเอาข่าวที่สำคัญนี้มาส่งให้ ชัยชนะที่ว่าก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
“พระองค์คิดจะทำยังไงเพคะ?” เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ได้ดึงดูดความสนใจของไนติงเกลเอาไว้
“ไม่ว่าเจตนาของเขาในการนำเอาจดหมายลับนี้มาส่งให้เราจะเป็นอะไร ชื่อและความดีความชอบของคนๆ นี้ก็ไม่ควรที่จะถูกลืม” โรแลนด์พูดเสียงเข้ม หากเป็นโลกของเขาก่อนหน้านี้ การจะไปหาตัวสายลับที่ไม่ทราบชื่อหลังสงครามอันยาวนานจบลงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย บนป้ายหลุมศพเขาเกรงว่าจะมีแค่ตัวอักษรที่สลักเอาไว้ประมาณว่า ‘ไม่มีใครรู้จักชื่อของคุณ แต่คุณความดีของคุณจะถูกจารึกเอาไว้ตลอดไป’ แต่ความสามารถของแม่มดกลับช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงนี้ได้ ทำให้นักรบทุกคนที่เสียสละเพื่อมวลมนุษย์ได้ถูกจารึกชื่อเอาไว้บนสายธารแห่งประวัติศาสตร์ “เอาไว้อาณาจักรทีเทอร์นอลวินเทอร์ตกอยู่ในการควบคุมของกองทัพที่หนึ่งแล้ว ก็ให้แบล็คมันนี่กับแอคเซียไปหาดูว่าเขาเป็นใครแล้วกัน”
ถ้าตอนนั้นคนที่ฆ่าเขายังมีชีวิตอยู่ มันจะต้องถูกจับตัวมาลงโทษตามกฎหมายแน่
ไนติงเกลพยักหน้า “ถ้าสามารถสร้างอุปกรณ์ที่สามารถสื่อสารกันได้ไกลเป็นพันกิโลที่พระองค์ตรัสไว้ออกมาได้ก็คงจะดีนะเพคะ”
“เสียดายที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัด” โรแลนด์นวดขมับตัวเอง พอคิดถึงไดอะแกรมที่ตัวเองต้องฝืนจำขึ้นมา เขาก็ต้องรู้สึกปวดหัวอย่างมาก
“ในที่สุดตอนนี้พระองค์ก็เข้าใจความรู้สึกของหม่อมฉันเวลาสอบแล้วใช่ไหมเพคะ” ไนติงเกลพูดพร้อมเอามือปิดปาก
“แต่ต่อให้ยากแค่ไหน ข้าก็ไม่มีทางฟุบหลับไปที่โต๊ะเหมือนใครบางคน จนสุดท้ายก็ได้แต่ต้องส่งกระดาษเปล่าหรอก” โรแลนด์ถลึงตาใส่เธอ “ความจริงข้าใกล้จะสร้างเครื่องต้นแบบเสร็จแล้ว”
ถูกต้อง ถึงแม้จะก้าวหน้าไปช้ามาก แต่โปรเจควิทยุไร้สายก็ไม่เคยหยุดเดิน
มันก็เหมือนกับเครื่องยนต์ลูกสูบ เมื่อดูจากแปลนออกแบบจำนวนมากที่ทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลส่งมาให้เขาดู สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกวิทยุสองแบบจากในแบบทั้งหมดออกมาให้ทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลทำการผลิตพร้อมกัน
และทั้งสองอย่างที่ว่าก็คือเครื่องส่งวิทยุแบบสปาร์คกับเครื่องส่งวิทยุเอเอ็ม
โดยเครื่องส่งวิทยุแบบสปาร์คนั้นเป็นบรรพบุรุษของวิทยุไร้สาย โครงสร้างของมันนั้นมีความเรียบง่ายอย่างมาก ไม่มีชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคใดๆ เพียงแค่ใช้ขดลวดหม้อแปลงไฟฟ้ามาเพิ่มแรงดันไฟฟ้าเพื่อชาร์ทไฟให้ตัวเก็บประจุ จนกระทั่งแรงดันไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างช่องว่างประกายไฟมีมากพอที่จะทลายอากาศและทำให้เกิดประกายไฟออกมา หลักการในส่วนนี้จะมีความคล้ายคลึงกับไฟแช็ค เพียงแต่ว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวสปาร์คจะไม่มีการสูญเสียทิ้งไป หากแต่จะสั่นไปมาระหว่างตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนำ ทำให้มันผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมา และสุดท้ายก็จะถูกปล่อยออกไปผ่านทางเสาอากาศ
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงควบคุมการเปิดปิดเหล็งกำเนิดไฟฟ้าเอาไว้ ก็จะสามารถทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบขาดๆ หายๆ ได้ และคนที่ฟังก็จะสามารถแปลมันให้กลายเป็นสัญญาณตามความสั้นยาวของเสียง รหัสโทรเลขที่สั้นๆ ยาวๆ ก็ได้มาด้วยเหตุนี้
ถึงแม้ฟังดูแล้วจะยังคงเลือนลาง แต่โรแลนด์ก็ใช้วิธีลัดในการผลิตมันขึ้นมา นั่นก็คือให้หน่วยที่รับผิดชอบโปรเจควิทยุไร้สายของศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลสร้างเครื่องส่งวิทยุแบบที่ใช้ได้จริงขึ้นมาจากวัสดุที่หาได้ทั่วๆ ไป แล้วเขาค่อยลอกเลียนแบบมันออกมา
อย่างเช่นใช้แผ่นฟอยล์สองแผ่นประกบกระดาษไขเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งก็จะทำให้ได้ตัวเก็บประจุไฟฟ้าแรงดันสูงอย่างง่ายๆ ออกมา
ส่วนตัวเหนี่ยวนำนั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ มันแค่ใช้สายเหนี่ยวนำไปพันเอาไว้รอบๆ ท่อหุ้มฉนวนเท่านั้น
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณการผลิตหรือสเปค โรแลนด์สามารถผลิตของเหล่านี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว ถึงแม้มันจะดูใหญ่และเทอะทะเมื่อเทียบกับชิ้นส่วนที่ถูกผลิตออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่ประสิทธิภาพการทำงานของมันกลับเหมือนกัน เอาไว้หอปล่อยสัญญาณสร้างเสร็จเมื่อไร เขาก็จะสามารถทดสอบการส่งข้อมูลแบบไร้สายเป็นครั้งแรกของยุคสมัยนี้ได้
แต่จุดอ่อนของเครื่องส่งวิทยุแบบสปาร์คก็มีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเหมือนกัน
ถึงแม้มันจะผ่านการทดสอบแล้ว แต่ถ้าอยากจะทำให้มันใช้งานได้จริงๆ เขาก็ต้องออกแบบชุดรหัสที่เข้ากับตัวอักษรของอาณาจักรออกมา ตัวคนรับและคนส่งข้อความก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนค่อนข้างมาก นอกจากนี้สเปคตรัมของเครื่องส่งวิทยุแบบสปาร์คนั้นกว้างมาก ในพื้นที่หนึ่งๆ จะมีเครื่องส่งวิทยุเพียงเครื่องเดียวที่ทำงานได้ มันจึงไม่เหมาะที่จะให้คนส่งข่าวที่อยู่ในแนวหน้าของสนามรบใข้งาน
ด้วยเหตุนี้เป้าหมายสุดท้ายของเขายังคงเป็นเครื่องส่งวิทยุเอเอ็มที่ใช้หลอดสุญญากาศในการขยายสัญญาณ
ซึ่งข้อดีที่สำคัญที่สุดของเครื่องส่งวิทยุแบบเอเอ็มก็คือมันสามารถส่งต่อสัญญาณเสียงได้
ถ้าดูจากทฤษฎีเพียงอย่างเดียวแล้ว วิทยุไร้สายนั้นมีความคล้ายคลึงกับโทรศัพท์อย่างมาก มันล้วนแต่เป็นการเปลี่ยนการสั่นสะเทือนของเสียงให้กลายเป็นกระแสไฟฟ้าหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หลังจากที่ส่งออกไปแล้วค่อยเปลี่ยนกลับมาเป็นเสียงใหม่ เพียงแต่ความถี่ของเสียงคนนั้นต่ำมาก ทำให้ความยาวคลื่นของคลื่นสัญญาณนั้นยาวเกินไป และเมื่อความยาวคลื่นยิ่งยาว ขนาดของเสาอากาศที่ต้องใช้ก็จะยิ่งใหญ่ ถ้าจะส่งสัญญาณเสียงออกไปตรงๆ เลย ความยาวของเสาอากาศเกรงว่าคงจะยาวมากกว่า 100 กิโลเมตรแน่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางที่จะทำให้เป็นจริงได้
ดังนั้นถ้าอยากจะส่งเสียงออกไป ก็จำเป็นต้องส่งมันออกไปด้วยสัญญาณคลื่นนำที่มีความถี่สูงกว่า
และนี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนช่วงความถี่
และเมื่อคลื่นใหม่ที่เกิดขึ้นจากการรวมทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันถูกรับไปแล้ว ฝ่ายที่ฟังก็จำเป็นต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสัญญาณให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเพื่อกรองเอาคลื่นความถี่สูงออกไป
ทันทีที่เครื่องส่งวิทยุเอเอ็มสร้างสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพที่หนึ่งหรือว่าหน่วยข่าวกรองก็จะมีความสามารถแบบเรียลไทม์
สำหรับการทำสงครามแล้ว มันถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก
……………………………………………
ตอนที่ 1314 จุดอ่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่แน่นอน ความยากของอุปกรณ์การสื่อสารแบบไร้สารทั้งสองแบบมีความยากที่ไม่เหมือนกัน อย่างน้อยหลอดสุญญากาศที่เป็นหัวใจสำคัญของเครื่องส่งวิทยุเอเอ็ม ทางกองอุตสาหกรรมก็กำลังพยายามสร้างมันออกมาอยู่
และตัวอย่างที่ล้มเหลวก็กองพะเนินเป็นภูเขาอยู่นอกห้องทดลอง
ส่วนข้อเสนอแนะให้ทำการปรับเปลี่ยนเฮฟเว่นเฟลมที่เอดิธส์เขียนอยู่ในรายงานก็ทำให้โรแลนด์รู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน ในด้านเทคโนโลยีแล้ว การเอาปืนไรเฟิลขนาด 35 มม.ไปติดตั้งไว้บนเครื่องบินปีกสองชั้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เอาตัวปืนฝังเข้าไปใต้ท้องเครื่องบิน แล้วเอาที่นั่งที่อยู่ด้านหลังออกก็เป็นอันใช้ได้ ถ้าควบคุมจำนวนกระสุนเอาไว้ที่สิบนัด ในด้านน้ำหนักก็ถือว่าอยู่ในระดับสมดุล ส่วนตำแหน่งอื่นไม่ต้องทำการปรับเปลี่ยนอะไรเลย
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าถ้าอยากจะได้กระสุนหินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่มา ก็จำเป็นต้องใช้เลือดของแม่มดหรือปีศาจในการละลายและสกัดสายแร่หินอาญาสิทธิ์จนกว่าจะได้หินอาญาสิทธิ์ที่มีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมถึงจะสามารถทำการแปรรูปเป็นหัวกระสุนได้ ถ้าหินมีขนาดใหญ่ไป เครื่องไม้เครื่องมือกับเครื่องจักรที่มีอยู่ตอนนี้ก็จะไม่สามารถทำการแปรรูปได้ ถ้าเล็กเกินไป หินอาญาสิทธิ์ก็จะเปราะเกินไป อีกทั้งกระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบนั้นจำเป็นต้องใช้เลือดเวทมนตร์เป็นจำนวนมาก ต่อให้สโมสรแม่มดกับมนตร์แห่งเกาะสลีปปิ้งสนับสนุนวิธีการของเขา เลือดจำนวนเท่านั้นก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการใช้ทำสงครามได้
ถ้าอยากจะแก้ไขปัญหานี้จริงๆ เขาก็ต้องไปหาวิธีจากพวกปีศาจ
หนึ่งคือหาวิธีว่าพวกมันทำการสกัดเสาหินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่ได้อย่างไร
หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้เลือดของพวกมันมาทำผลิตกระสุนนหินอาญาสิทธิ์
ตอนนี้เฮฟเว่นเฟลมสามารถบินไปกลับระหว่างแนวหน้าของสนามรบกับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ภายในวันเดียว แล้วถ้าใช้ความสามารถแช่เย็นของอกาธาด้วยแล้วล่ะก็ การจะส่งเลือดปีศาจสดๆ กลับมาจากสนามรบก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ?
โรแลนด์จดประเด็นนี้ลงไปในวาระการประชุม
….
หลังตกกลางคืน เขาก็เข้าไปในโลกแห่งความฝันเหมือนอย่างทุกที
เพื่อที่จะให้โปรเจคต่างๆ ของศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลเดินหน้าไปได้เร็วขึ้น ความถี่ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันของโรแลนด์ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่ทำให้เวลาในโลกแห่งความฝันที่เดิมช้ากว่าโลกแห่งความจริงเริ่มไล่ตามขึ้นมาทัน เมื่อที่ก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงปลายฤดูร้อน ตอนนี้ได้มีหิมะตกลงมาแล้ว ราวกับว่าที่นี่กับโลกข้างนอกนั้นอยู่ในโลกเดียวกัน แต่ต่างกันเพียงแค่อยู่กันคนละที่เท่านั้น
รุ่งเช้าของชุมชนถงจึยังคงคึกคักเหมือนเดิม การขยายตัวของการกัดกินกับการโจมตีเมืองปริซึมนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่เลย สองข้างทางของถนนยังคงมีแผงขายอาหารเช้าตั้งเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ พอตกเย็นก็มีรอยเท้ากระจายอยู่บนกองหิมะเต็มไปหมด
ถึงแม้มิสต์จะบอกว่าโลกนี้ก็กำลังเผชิญหน้ากับสงครามแห่งโชคชะตาเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเมืองวูล์ฟฮาร์ทที่มีหมอกแดงปกคลุมอยู่เต็มไปหมดแล้ว ที่ดีดูจะสงบกว่ามาก
นอกจากนี้ การเข้ามาในโลกแห่งความฝันเป็นเวลานานไม่เพียงแต่จะทำให้ฤดูเกิดการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจของปีศาจที่ทะลุมิติเข้ามาเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย
หลังจากคอยจับตาดูและสังเกตมาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง โรแลนด์ก็พอจะแน่ใจแล้วว่าปีศาจที่ชื่อวัลคีรีย์ตัวนั้นไม่ได้มาจากคาบสมุทรคาร์การ์ด ถึงแม้เมื่อตรวจสอบจากข้อมูลการลงทะเบียนที่สมาชมผู้ฝึกยุทธ์กู้คืนมาจะบอกว่ามีคนๆ นี้อยู่ในคณะเยี่ยมชมของคาบสมุทรคาร์การ์ด แต่ะพฤติกรรมของเธอกลับยากที่จะอธิบายด้วยเหตุผลได้
สำหรับเรื่องที่ตัวตนเป็นของจริง และสิ่งที่อยู่ในร่างกายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโรแลนด์ เพราะตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน การใช้คำว่า ‘ผู้ทะลุมิติ’ มานิยามอีกฝ่ายจึงดูเหมาะสมอย่างมาก
ตอนแรกวัลคีรีย์ยังพยายามที่จะแสร้งทำอยู่ หรือพูดอีกอย่างก็คือพยายามทำทุกอย่างในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง อย่างเช่นการอ่านหนังสือชนิดต่างๆ ถ้าไม่ต้องพูดก็จะไม่พูดออกมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เธอก็รู้ร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะหลังจากที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว เธอเคยแอบเข้าไปในส่วนลึกของเมืองปริซึมที่ปิดตาย ก่อนไปยืนมองดูรอยแตกที่เกิดขึ้นจากการกัดกินอยู่เงียบๆ จากที่ดาเนนรายงานมา ตอนนั้นสีหน้าของวัลคีรีย์ดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าเธอกำลังปรารถนาอะไรอยู่ มีอยู่หลายครั้งที่ดาเนนนึกว่าอีกฝ่ายจะกระโดดลงไปในรอยแรก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้กระโดดลงไป
ถ้าบอกว่าที่วัลคีรีย์ทำเช่นนี้ก็เหมือนจะรำลึกถึงเพื่อนที่ตายไปมันก็ดูจะฝืนไปหน่อย เพราะว่าวัลคีรีย์ไม่เคยหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่คณะเยี่ยมชมประสบภัยเลย เธอมุ่งหน้าเข้าไปหาการกัดกินทันทีที่มาถึงเมืองปริซึม
ถ้าจะบอกว่าเปลี่ยนสถานที่ครุ่นคิด มันก็ไม่ยากที่เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะสถาพจิตใจของเธอเกิดการเปลี่ยนแปลง
การข้ามจากเมืองของปีศาจเข้ามายังเมืองในยุคสมัยปัจจุบันที่แปลกหน้านี้ ตอนแรกมันอาจจะยังพอใจเย็นได้อยู่ แล้วก็พยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ความหวังที่จะกลับไปก็ยิ่งริบหรี่ลง ความร้อนใจจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าสาเหตุที่แท้จริงที่วัลคีรีย์แอบเข้ามาในเมืองปริซึมนั้นเป็นเพราะว่ามันอยากจะดูว่ามันสามารถกลับไปยังโลกที่มันคุ้นเคยผ่านทางรอยแตกตอนที่มันเข้ามาได้หรือไม่
แต่เสียหาย ชิ้นส่วนแห่งความจำไม่ได้เป็นไปอย่างที่มันหวังเอาไว้
ไม่ว่ายังไง การที่มันสามารถแสร้งทำจนถึงขนาดนี้ได้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะวัลคีรีย์ไม่รู้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของตัวเองล้วนแต่อยู่ในสายตาของดานน ถ้าไม่เป็นเพราะมันเผลอเปิดเผยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างออกมา เพียงแค่ดูจากการที่มันพูดคุยกับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีช่องโหว่เลย
โรแลนด์ถามตัวเองกลับว่าหากเป็นตัวเขา เขาคงจะทำแบบนี้ไม่ได้แน่
ในเมื่อแน่ใจเรื่องสถานีแล้ว อย่างนั้นหลังจากนี้ก็เหลือแค่ว่าจะจัดการอย่างไร
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือพลันมีข้อความส่งเข้ามา
ฟิลลิสเป็นคนส่งมา
“ฝ่าบาท ทุกคนพร้อมแล้วเพคะ”
โรแลนด์เอาโทรศัพท์ใส่กลับเข้าไปในกระเป่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องรับแขก
ซีโร่กำลังยกบะหมี่ไข่มาที่โต๊ะอาหารพอดี เมื่อเห็นโรแลนด์ เธอก็เอามือเท้าเอวแล้วพูดว่า “คุณอา คุณอาคงไม่ลืมที่รับปากหนูเอาไว้ใช่ไหม?”
“ทำไม ที่เธอตื่นเช้าขนาดนี้เพราะกลัวฉันจะแอบหนีออกไปเหรอ?”
“ก็คุณอาเคยทำแบบนั้นมาก่อน” เธอมุ่ยปาก
“สบายใจได้ ครั้งนี้ไม่แน่นอน” โรแลนด์ยิ้มพร้อมเดินเข้าไปลูบหัวเธอ “กินข้าวเช้าก่อน กินเสร็จแล้วพวกเราไปเรียกพี่การ์เซียที่ห้องข้างๆ จากนั้นค่อนออกเดินทาง”
นอกจากตรุษจีนแล้ว กิจกรรมที่ได้รับความสนใจที่สุดในฤดูหนาวนี้ก็คืองานประลองประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นสี่ปีครั้ง สำหรับนักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายทั้งเมืองแล้ว ถ้าใครได้ไปดูการประลองที่สนามจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ แน่นอน แม้แต่ซีโร่ที่เดิมไม่ค่อยสนใจการแข่งขันแบบนี้ก็ยังต้องไป เมื่อเจอกับการรบเร้าต่างๆ นานา สุดท้ายโรแลนด์ถึงได้ต้องตอบรับว่าจะเธอไปชมการประลองที่สนามในช่วงปิดเทอมนี้
เมื่อคิดถึงว่าการแข่งขันในวันนี้มีผู้คุมมาคอยเฝ้า แถมยังเป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด ความเป็นไปได้ที่ฟอลเลนอีวิลจะปรากฏตัวจึงมีไม่มากเท่าไร อีกอย่างทุกๆ ปิดเทอมระยะยาวซีโร่ต้องกลับไปที่บ้านเก่า เนื่องจากนี่เป็นคำขอเพียงหนึ่งเดียวของสาวน้อย เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีการ์เซียมาด้วย ตัวเองก็จะได้ทำอะไรๆ สะดวกขึ้นด้วย
โรแลนด์ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับปีศาจที่ข้ามมิติเข้ามา
…….
นี่เป็นเดือนที่สี่แล่ว
วัลคีรีย์มองไปบนเวทีที่ดังโหวกเหวกไปด้วยเสียงผู้ชม แต่ใจของเธอกลับไม่ได้อยู่บนนั้น
เวลาสี่เดือนที่ผ่านมาทำให้มันพอจะเข้าใจเกี่ยวกับโลกนี้คร่าวๆ แล้ว แล้วก็ทำให้มันได้รู้ถึงการสืบทอดต่างๆ ของมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง ตัวมันเองก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการสืบทอด ขอเพียงกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงได้ มันจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์มันได้อย่างมากแน่ แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ มันหาทางออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึกไม่เจอ
วัลคีรีย์มีข้อมูลสำคัญอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีใครที่มันจะส่งต่อข้อมูลให้ได้ คล้ายว่ามันเจอน้ำเปล่าขวดหนึ่งในทะเลทราย แต่กลับพบว่าปากขวดถูกปิดตายเอาไว้
ไม่ว่าจะขอความช่วยเหลือไปทางเฮคซอด หรือว่าพยายามรับรู้ถึงร่องรอยของจักรพรรดิ มันก็ล้วนแต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมา ถึงแม้มันจะไปยืนทำสมาธิอยู่ตรงรอยแตกของดินแดนนี้ โลกแห่งจิตสำนึกก็ไม่ได้ตอบรับการเรียกของมัน มันเพิ่งจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก
วัลคีรีย์เริ่มแอบรู้สึกเกลียดสกายลอร์ดขึ้นมา
ทำไมจนป่านนี้มันยังไม่ลองปลุกตัวเองขึ้นมาอีก?
…………………………
ตอนที่ 1315 เผชิญหน้าครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถ้าหากทางตะวันตกราบรื่น ละอองชีวิตก็น่าจะปกคลุมไปทั่วทั้งชายของสันหลังทวีป แล้วก็ไหลเข้าไปในดินแดนของมนุษย์แล้ว
นี่หมายความว่าหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่อยู่ที่รอยแตกจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายโง่แค่ไหน พวกเขาก็น่าจะรู้ตัว แต่ทำไมเฮคซอดถึงยังไม่ปลุกมันอีก? หรือว่ามนุษย์อ่อนแอจนมันสามารถจัดการคนเดียวได้?
แต่ไม่ว่ายังไงวัลคีรีย์ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าอีกฝ่ายอ่อนแอนถึงขนาดนี้จริงๆ อุรูคก็ไม่น่าจะแพ้ในศึกที่ราบลุ่มบริบูรณ์
มันรู้ดีว่าการเข้ามาในโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเวลานานเช่นนี้ทำให้มันสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์
นี่ทำให้ภายในใจไนท์แมร์รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
แล้วยังมีมนุษย์คนนั้นอีก…
มันมองไปทางอีกด้านหนึ่งของเวที โรแลนด์กำลังนั่งการแข่งขันอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ตัวเมียสองคน
บ้าเอ้ย! เขาไม่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการหรือไง?
ถ้าเขามีวิธีออกไปจากที่นี่ได้ อย่างนั้นนั่นก็อาจจะเป็นโอกาสเดียวของตัวเองในการออกไปจากที่นี่เหมือนกัน การสืบทอดและความรู้ของมนุษย์ล้วนแต่ถูกเขาเอาออกไปจากโลกนี้ อย่างนั้นเขาก็ต้องมีช่องทางในการติดต่อกับโลกภายนอกแน่นอน
ขอเพียงอีกฝ่ายออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึก ตัวเองก็มีโอกาสที่จะออกไปได้เหมือนกัน เพราะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหอเจ้าชีวิตของจักรพรรดิ มันก็เคยสัมผัสได้ถึงการติดต่อของจักรพรรดิกับดินแดนในโลกแห่งจิตสำนึกอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็เป็นเพราะความสามารถแบบนี้ มันถึงได้กล้าที่จะไล่ตามคลื่นกระเพื่อมของชิ้นส่วนสืบทอด แล้วเข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกเพื่อไล่ตามร่องรอยของโรแลนด์
แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในโลกนี้ เรียกได้ว่าไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้มันเลย
ราชาของมนุษย์มีเวลาว่างขนาดนี้เลยเหรอ ช่วงเวลาสองสามเดือนนี้ไม่ต้องออกไปจัดการเรื่องสงครามข้างนอก? เอาเวลามาทิ้งอยู่กับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีความหมาย หนังสือก็ไม่อ่าน คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือแนวหน้าของสนามรบไม่มีความกดดันมากพอ
นี่เป็นความผิดของเฮคซอด!
ในขณะที่อารมณ์กำลังพุ่งพล่าน วัลคีรีย์พลันสังเกตเห็นว่าโรแลนด์แยกตัวจากสองคนนั้น ก่อนจะเดินไปยังมุมๆ หนึ่งของสนามตัวคนเดียว และตรงนั้นก็มีตัวเมียที่ใส่เสื้อคลุมสวมหมวกอยู่คนหนึ่ง คล้ายว่าเธอจงใจรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างไรอย่างนั้น
มันแสร้งทำเป็นค่อยๆ เดินออกไปจากกลุ่มคน แต่สายตากลับจ้องอยู่ที่โรแลนด์ตลอด
ก่อนจะเห็นเขาคุยกับักฝ่ายไม่กี่ประโยค จากนั้นตัวเมียก็ชี้ไปยังประตูทางเข้าออก โรแลนด์เหมือนลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
สมาคมเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
เดิมวัลคีรีย์คิดที่จะพอแค่นี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจมันกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากตัวของตัวเมียคนนั้น แล้วก็เป็นเพราะความรู้สึกแปลกๆ นี้ึจึงทำให้มันเดินเข้าไปอีก เพื่อที่จะมองเห็นให้ระยะใกล้ๆ
ทันใดนั้นเองวัลคีรีย์พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา ภายใต้แสงไฟที่สลัว มันมองเห็นใบหน้าที่คล้ายซิสทาลิส หรือก็คือ….มิสต์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์!
หรือว่าที่ผ่านมาทรานฟอร์มเมอร์มาแอบซ่อนอยู่ในโลกนี้?
แล้วที่โรแลนด์สามารถเข้ามาที่นี่ในฐานะมนุษย์ตัวผู้ได้ก็เป็นเพราะมัน?
ข้อมูลนี้ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกตกใจอย่างมาก มันไม่สามารถสะกดความรู้สึกสงสัยภายในใจเอาไว้ได้ แล้วก็รีบก้าวตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากโรแลนด์กับคนที่ดูคล้ายทรานฟอร์มเมอร์เดินอุโมงค์ทางเดินไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เดินออกไปนอกสนามประลอง หากแต่เดินลงไปยังโรงจอดรถที่อยู่ใต้ดิน ไนท์แมร์พยายามผ่อนฝีเท้าตามหลังทั้งสองคนในระยะไกล จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในอุโมงค์อพยพ
แต่ในตอนที่วัลคีรีย์เดินตามเข้าไป มันกลับพบว่าอุโมงค์ที่ว่ามันยาวแค่สิบกว่าเมตร ด้านหลังไม่มีทางแยกอื่น ปลายอุโมงค์เป็นผนังซีเมนต์ปิดทึบ บนผนังมีป้าย ‘กำลังก่อสร้าง ห้ามเข้า’ แขวนเอาไว้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นทางตัน แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้หายไปไหน
แย่แล้ว นี่มันกับดัก!
วัลคีรีย์รู้ตัว แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่มันจะได้หมุนตัวเพื่อถอย โรแลนด์ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของมันแล้ว แล้วที่ข้างกายเขาก็มีตัวเมียยืนอยู่อีกหลายคน เมื่อเห็นวิธีใช้ความสามารถที่ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ภายในใจวัลคีรีย์พลันรู้สึกตัวเองไม่เหลือโชคอีกแล้ว
คนที่ยืนอยู่ข้างเขาคือแม่มดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นมาจากไหน มันเป็นความต่างเล็กน้อยของคลื่นพลังเวทมนตร์กับพลังแห่งธรรมชาติ ถ้าแม่มดสามารถเข้ามาในดินแดนแห่งจิตสำนึกได้ แถมยังมีพลังที่มีอยู่เดิมด้วย เช่นนั้นสถานะของมันจะถูกเปิดเผยเมื่อไรมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เพราะว่าอีกฝ่ายสามารถแอบซ่อนคนจำนวนมากเพื่อมาวางกับดักอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ การที่จะมาอยู่ข้างกายมันเพื่อคอยจับตาดูจึงเป็นเรื่องที่่ง่ายดายอย่างมาก เรื่องนี้เพียงแค่คิดนิดเดียวมันก็เข้าใจได้ การเสแสร้งทุกอย่างที่มันทำหลอกแค่คนอื่นได้ แต่ไม่สามารถหลอกแม่มดที่มีพลังแปลกประหลาดได้ เกรงว่าในช่วงเวลาสี่เดือนที่ผ่านมานี้ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของมันคงถูกแม่มดเห็นหมดแล้ว
“พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ คุณวัลคีรีย์” โรแลนด์พูดด้วยเสียงราบเรียบ
วัลคีรีย์ไม่พูดอะไร
ในเวลานี้ถึงจะพูดอะไรออกไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้า
ถึงแม้มันจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำให้แม่มดเข้ามาที่นี่ได้ แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกแล้ว
อีกฝ่ายจงใจมาดักซุ่มอยู่ในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้ จุดประสงค์ของเขาคืออะไร ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ได้
ตอนนี้สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ก็คือสู้จนตัวตาย
วัลคีรีย์ขับพลังเวทมนตร์ทั้งหมดในร่างกายออกไป ร่างกายออกไปโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ส่วนเรื่องที่ว่าถ้าต้องสู้กับแม่มดกลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่มีพลังของหินเวทมนตร์กับพลังพิฆาตเวทมนตร์แล้วจะมีโอกาสชนะเท่าไร มันไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นยังไง มันก็ไม่มีทางยอมแพ้ต่อศัตรู!
“ผมเลี้ยงกาแฟคาร์การ์ดคุณซักแก้วดีไหมครับ?” โรแลนด์พูดอีกครั้ง
“…..” วัลคีรีย์ยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่เท้าข้างหนึ่งก้าวออกไปแล้ว ร่างกายครึ่งบนของมันยังคงอยู่ในท่าที่เอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “เจ้า….ว่าอะไรนะ?”
“ผมจะเลี้ยงกาแฟคุณ” โรแลนด์พูดซ้ำอีกครั้ง “ถึงแม้นั่นมันจะไม่ใช่กาแฟที่แท้จริง แต่รสชาติมันก็คล้ายๆ กัน”
วัลคีรีย์จ้อมมองเข้าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดความสงสัยภายในใจออกมา “….ทำไม?”
มันเดาไม่ออกว่าตัวผู้คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ โลกความเป็นจริงกับที่นี่ไม่เหมือนกัน การมีอยู่ของเผ่าพันธุ์มันกับมนุษย์นั้นเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ในเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกสถานะที่แท้จริงของมันแล้ว ตามหลักเขาก็ไม่ควรจะปล่อยมันไป ถ้าที่เขาพาตัวเองมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อฆ่า อย่างนั้นมันก็คงเป็นอะไรที่แย่กว่าการตายแน่นอน
“เพราะเรื่องบางเรื่องพูดตรงๆ มันดีกว่าการปิดเอาไว้” โรแลนด์ค่อยๆ พูด “โดยเฉพาะเมื่อสงครามแห่งโชคชะตาไม่ใช่สงครามสุดท้าย”
สงครามแห่งโชคชะตา…ไม่ใช่สงครามสุดท้าย…
วัลคีรีย์ตกตะลึงไปทันที
มันไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากมนุษย์
หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ มันจึงกลับมาอยู่ในท่าทางเฝ้าระวัง “เจ้าอยากจะไปคุยที่ไหน”
“ไม่ไกลจากที่นี่ แค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว” โรแลนด์ดีดนิ้ว เสียงเครื่องยนต์ของรถที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นมา “ขึ้นรถเถอะ ผมจองที่เอาไว้แล้ว”
…..
อีกฝ่ายไม่ได้หลอกมัน
สถานที่ที่เลือกเอาไว้คือร้านอาหารหรูที่อยู่บนตึกแห่งหนึ่ง เมื่อนั่งอยู่ตรงริมกระจกจะสามารถมองภาพเส้นขอบฟ้าและวิวเมือง ภายในร้านมีเสียงเพลงเบาๆ บรรยากาศทั้งหรูหราและเงียบสงบ
วัลคีรีย์รู้ดี การมาคุยที่นี่มันเป็นการแสดงถึงความจริงใจอย่างหนึ่งของอีกฝ่าย ถ้าหากเขาคิดที่จะกำจัดมันจริงๆ สถานที่ที่มีคนเดินไปเดินมานั้นไม่ใช่สถานที่ที่ดีแน่นอน
วัลคีรีย์มองดูกลุ่มแม่มดที่มองมาทางมันด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะสูดหายใจแล้วพูดว่า “ทำไมถึงไม่นัดข้ามาที่นี่ตรงๆ?”
“แบบนั้นมันเสียเวลามากเกินไป ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยอมรับปากข้าทันทีที่ข้าชวน หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นไร้หนทางจริงๆ คนเรามักจะเกิดความรู้สึกขัดแย้งและความรู้สึกที่จะหลีกหนีได้ง่าย การทำแบบนี้มันจึงง่ายกว่า” โรแลนด์ยักไหล่ “ในเมื่อพวกเราต่างก็พอจะรู้เรื่องกันมาแล้ว อย่างนั้นเราก็มาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า การคุยกันตรงๆ มันจะดีกับเราทั้งสองฝ่าย ข้าคือโรแลนด์ วิมเบิลดัน เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมา แล้วเจ้าล่ะ?”
หนึ่ง…ในผู้สร้าง? ถึงแม้มันจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องไม่ใช่แค่แขกผู้มาเยือนธรรมดาๆ แน่ แต่สถานะอันนี้ก็ยังทำให้วัลคีรีย์รู้สึกตกใจอย่างมาก มันถึงจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าดินแดนแห่งจิตสำนึกสามารถสร้างขึ้นมาจากคนหลายคนได้ แต่ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถควบคุมดินแดนแห่งจิตสำนึกได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนอย่างจักรพรรดิ วัลคีรีย์สะกดความคิดที่อยากจะถามว่าผู้สร้างคนอื่นคือใคร ก่อนจะค่อยๆ ตอบออกไป “วัลคีรีย์ นี่คือชื่อของข้า”
“ตำแหน่งกับระดับชั้นล่ะ? เหมือนอย่าง ‘สกายลอร์ด’ อย่างนั้น…เจ้าอธิบายให้มันละเอียดหน่อยได้ไหม”
มันชะงักไปเล็กน้อย “ไนท์แมร์ลอร์ด นี่คือฉายาของข้า”
“พรืด..”
ครั้งนี้กลายเป็นโรแลนด์ที่เป็นฝ่ายตกใจ
…………………………………………………
ตอนที่ 1316 ประวัติศาสตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“มีอะไรน่าแปลก” วัลคีรีย์พูดเสียงเยือกเย็น “หรือเจ้าคิดว่าทุกคนจะสามารถเข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกได้? หรือว่า….ความจริงแล้วเจ้ากำลังภูมิใจที่ขังราชาเอาไว้ได้?”
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ตัวเองจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมทิ้งความหยิ่งทะนงของตัวเอง โรแลนด์มีความรู้สึกด้วยว่าถ้าเกิดเขาเหยียดหยามมากเกินไป อีกฝ่ายอาจจะวิ่งเข้าไปสู้ตายกับพวกแม่มดก็ได้
แต่คำตอบนี้มันก็ทำให้ความรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ การที่ถามเรื่องฉายานั้นเขาถามไปเรื่อยเท่านั้น เพราะปีศาจระดับสูงส่วนใหญ่จะมีฉายาเป็นของตัวเอง และการที่มันสามารถจัดพิธียกระดับขึ้นในเมืองของปีศาจได้ ก็แสดงว่ามันต้องไม่ใช่ปีศาจธรรมดาๆ แน่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าที่มาของปีศาจตนนี้จะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เดิมโรแลนด์คิดว่าวัลคีรีย์นั้นเป็นจิตสำนึกที่บางครั้งจะออกมาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำ แต่ตอนนี้มันกลับมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือบางทีอีกฝ่ายอาจจะมาจากโลกแห่งความเป็นจริง!
ฉายาไนท์แมร์นี้ปรากฏครั้งแรกสุดในจดหมายสั่งลาของอุรูค การที่มันฝากทักทายอีกฝ่ายก็แสดงว่าไนท์แมร์นี้ไม่ได้ปีศาจที่อยู่ในประวัติศาสตร์ หากแต่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นปีศาจที่อยู่ในระดับสูง บวกกับที่โรแลนด์ได้ดูเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำนั้นมาหลายรอบแล้ว เขาไม่เคยได้ยินคำเรียกอะไรที่น่าจะหมายถึงราชาเลย ถ้าภาษาปีศาจที่เรียนรู้มาจากคาบราดาบีไม่ผิดล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าปีศาจที่จัดพิธียกระดับในตอนนั้นยังไม่ได้ยกระดับกลายเป็นราชา
เมื่อรวมกับคำพูดที่มันบอกว่าตัวเอง ‘เข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกด้วยตัวเอง’ และการวิเคราะห์สถานการณ์การรบในแนวหน้าของเอดิธส์ โรแลนด์ยิ่งเอนเอียงไปทางความเป็นไปได้อย่างหลังมากกว่า!
พูดอีกอย่างก็คือวัลคีรีย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็มีชีวิตมา 800 กว่านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งความสามารถและความรู้ก็เรียกได้ว่าหาได้ยากอย่างยิ่งในปีศาจ ถ้าคิดถึงเรื่องปฏิกิริยาแปลกๆ ที่มันมีต่อมิสต์ด้วยแล้วล่ะก็ ช่วงเวลาที่มันมีชีวิตอยู่อาจจะยาวนานกว่านั้นก็ได้! เป้าหมายในการพูดคุยครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นแค่ดวงวิญญาณที่มาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเสียแล้ว ต่อให้มันไม่พูดอะไร นั่นก็เท่ากับเป็นการกำจัดปีศาจระดับราชาให้กับแนวหน้าได้อยู่ดี เพียงแค่จุดนี้ก็มีความสำคัญอย่างมากแล้ว!
“ข้าต้องขอแก้ไขคำพูดของเจ้าหน่อย อย่างแรกคือข้าไม่ได้ขังเจ้า อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นอิสระ” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดอย่างใจเย็น “เรื่องต่อมาคือเจ้าเข้ามาในโลกแห่งความฝันเอง ข้าคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของข้า”
“…..” วัลคีรีย์พูดไม่ออกทันที ผ่านไปครู่หนึ่งมันถึงจะพูดออกมาว่า “เจ้าเรียกที่นี่ว่าโลกแห่งความฝันอย่างนั้นเหรอ?”
ความหยิ่งทะนงทำให้มันทนต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ได้ แต่นั่นก็ทำให้มันไม่สามารถแก้ต่างอย่างไร้เหตุผลได้เหมือนกัน การที่ไม่พูดอะไรมันก็เป็นการตอกย้ำเรื่องที่มาของไนท์แมร์แล้ว….มันมาที่นี่ผ่านทางโลกแห่งจิตสำนึกจริงๆ ด้วย
“เพราะทุกครั้งหลังจากที่ข้าหลับ ข้าก็จะเข้ามาที่นี่ ในอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฝัน”
“เหลวไหล!” วัลคีรีย์พยายามกดเสียงตัวเองให้เบา การเปิดดินแดนแห่งจิตสำนึกนั้นไม่ใช่แค่ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น หากแต่ยังต้องมีสมาธิระดับสูงและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งเหมือนดั่งเหล็กกล้าด้วย มันถึงทำให้ไม่หลงทางอยู่ในทะเลแห่งพลังเวทมนตร์ แต่มนุษย์ตัวผู้คนนี้แค่นอนหลับก็ทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!
“สวัสดีครับ นี่ของหวานที่สั่งครับ เชิญทานให้อร่อยนะครับ” พนักงานเสิร์ฟยกอาหารเข้ามา ของหวานและเครื่องดื่มต่างๆ ถูกวางอยู่เต็มโต๊ะ ดูแล้วน่าอร่อยทีเดียว
“แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลังพนักงานเสิร์ฟเดินจากไป โรแลนด์ก็ผายมือแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ การพูดคุยกันตรงๆ มันจะดีกับเราทั้งสองฝ่าย ข้าไม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่าที่เราคุยกันข้างต้นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือเรื่องความจริงของสงครามแห่งโชคชะตา….และอนาคตของแต่ละเผ่าพันธุ์” เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วทำมือเพื่อบอกว่าเชิญ “เรื่องพวกนี้เราค่อยๆ กินไปคุยไปก็ได้”
วัลคีรีย์ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าตัวผู้ตัวนี้ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มันเคยรู้จักเลย เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ มีใครที่ได้กินไปคุยไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเหมือนว่าศัตรูได้มาถึงแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาก็ดูไม่เหมือนว่ากำลังแกล้งปั่นหัวมันอยู่เลย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมากสำหรับเขา
มันยกกาแฟของคาบสมุทรคาร์การ์ดขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
ทันใดน้ั้นกลิ่นหอมเข้มข้นพลันไหลลงไปในลำคอ
อร่อย…จริงๆ ด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ มันพลันรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมา
ไม่ได้ มันต้องชิงความได้เปรียบกลับมา! วัลคีรีย์ฝืนใจวางแก้วลง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าสงครามความแห่งโชคชะตาไม่ใช่สงครามสุดท้าย?”
โรแลนด์หยิบรูปภาพจากในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ “เจ้าเคยเจอนางใช่ไหม?”
เนื่องจากในโบสถ์เงาสะท้อนมีภาพเหมือนของมิสต์ปรากฏขึ้นมา เมื่อดูจากช่วงเวลาแล้วน่าจะเก่าแก่กว่าสมาพันธ์ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงจงใจให้หลิงแต่งตัวเหมือนมิสต์เพื่อจะดูว่าปีศาจที่อยู่ในเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำจะมีปฏิกิริยาอย่างมาก ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะแตกต่างจากที่คิดเอาไว้ และสีหน้าตกตะลึงของวิลคีรีย์ก็แสดงให้เห็นว่ามันเคยเจอผู้หญิงคนนั้นมาก่อนจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไนท์แมร์จึงพยักหน้า “นางเป็นใครกันแน่?”
“เทวทูตผู้ทรยศ” โรแลนด์ค่อยๆ เล่าเรื่องการพูดคุยในโรสคาเฟ่ให้อีกฝ่ายฟัง
หลังฟังเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจบ วัลคีรีย์เองก็ตกตะลึง “หรือว่า…เทวทูตที่อาจารย์ของข้าพูดถึงจะหมายถึงนาง?”
“อาจารย์?”
“ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ซิสทาลิส มันสอนข้าหลายอย่าง…” หลังลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายวัลคีรีย์ก็เล่าเรื่องอดีตของสำนักซีคลาวด์ออกมา “การยกระดับล้มเหลวของมันก็ทำให้สำนักซีคลาวด์สูญเสียหลักประกันสุดท้ายไปด้วย”
“อย่างนี้…นี่เอง…” โรแลนด์เข้าใจทันที นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ข้อมูลของทั้งสองเผ่าพันธุ์มารวมเข้าด้วยกัน เขารู้สึกเหมือนว่าจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปปรากฏขึ้นมาในหัวของตัวเอง
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงรู้เรื่องอะไรแล้วหรือเพคะ?” ฟิลลิสถาม
“พวกเจ้ายังจำภาพเหมือนที่แขวนอยู่บนกำแพงในการประชุมเพื่อตั้งสัตยาบันของราชินีทั้งสามของสมาพันธุ์ได้ไหม?” โรแลนด์สูดหายใจ “ข้าคิดว่าคนที่อยู่ในรูปภาพนั้นบางทีอาจจะเป็นปีศาจระดับสูงที่ชื่อซิสทาลิสตัวนั้น”
“พระองค์….ว่าอะไรนะเพคะ?”
“สมาพันธ์ติดรูปของปีศาจงั้นเหรอเพคะ?”
“มัน…จะเป็นไปได้ยังไง?” เหล่าแม่มดทาคิลามันทำสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
“ถ้าดูจากอิทธิพลของสำนักซีคลาวด์ในช่วงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งแล้ว การที่จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร — ในเมื่อปีศาจในสำนักสามารถกลายเป็นราชาได้ ตอนนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรถ้าบุคคลระดับสูงของสมาคมจะมีแม่มดหรือคนธรรมดาที่มาจากสำนักซีคลาวด์ ข้าคิดว่าก่อนที่ซิสทาลิสจะตาย มันมักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตามาโดยตลอดใช่ไหม?”
ในสายตาของคนทั่วไป การทำแบบนี้มันก็เหมือนกับการยืนอยู่ข้างมนุษย์
“….ข้าไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้” วัลคีรีย์หลับตาลง “มันเคยขัดแย้งกับจักรพรรดิคนปัจจุบันนี้ แต่กระแสของสงครามมันไม่ใช่สิ่งที่คนแค่คนสองคนจะหยุดได้”
“สำหรับมนุษย์เองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน” โรแลนด์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สำนักซีคลาวด์ที่ล่มสลายไปแล้วอย่างมากก็แค่ทำให้คนรำลึกถึง แต่ในตอนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองอุบัติขึ้น แม้แต่ความคิดถึงตรงนี้มันก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ที่ประวัติศาสตร์ส่วนนั้นไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ เป็นไปได้สูงว่าผู้นำทั้งสามจะเป็นคนทำลายบันทึกทั้งหมดทิ้งไป การอยู่ร่วมกับปีศาจจะทำให้ภายในใจผู้คนมีความหวัง โดยเฉพาะในตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย มันมีแต่จะทำให้ความเด็ดขาดของมนุษย์ลดลง ดังนั้นสำนักซีคลาวด์จึงจำเป็นต้องถูกลืมเลือนไปในฐานะจุดด่างพร้อยของประวัติศาสตร์!”
………………………………………………………
ตอนที่ 1317 สงครามแห่งการสืบทอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เพราะว่าพวกมนุษย์อย่างเจ้าอายุสั้น แล้วก็ลืมง่ายน่ะสิ…” วัลคีรีย์เหมือนหาความรู้สึกภาคภูมิใจเจอ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ขอเพียงผ่านไปไม่กี่สิบปี ประวัติศาสตร์ก็สามารถถูกคำโกหกเข้ามาแทนที่ได้ สำหรับเผ่าพันธุ์ข้าที่มีอายุยืนยาวแล้ว เรื่องแบบนี้คือเรื่องที่แทบจะไม่สามารถจินตนาการได้ พวกเจ้าเหมือนจะลืมไปจนหมดแล้ว ไม่ว่าคำโกหกมันจะฟังดูดีแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงมันก็เป็นคำโกหกอยู่ดี”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหลพ” โรแลนด์พูดตอกกลับไป “พวกเจ้าก็จงใจมองข้ามคำเตือนของซิสทาลิสไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นอกจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนั้นแล้ว เกรงว่าปีศาจในยุคใหม่คงแทบจะไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้เลยใช่หรือเปล่าล่ะ?”
วัลคีรีย์อ้าปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายถึงได้แต่จิบกาแฟเหมือนเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
“พวกเรามาตั้งสมมติฐานกันหน่อยดีกว่า” เขาดึงประเด็นกลับไปที่ตัวเทวทูตผู้ทรยศใหม่อีกครั้ง “บางทีภาพเลือนลางที่ทรานฟอร์มเมอร์มองเห็นเมื่อพันปีก่อนอาจจะเป็นคนๆ เดียวกับมิสต์ที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่เสียดายที่ตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าไม่สามารถสร้างดินแดนของตัวเองขึ้นมาในโลกแห่งจิตสำนึกได้ มันก็ได้เลยไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง”
“เจ้าเชื่อคำพูดของเทวทูตเหรอ?”
“ข้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ศัตรูที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้ากำลังกัดกินโลกใบนี้อยู่ ส่วนในโลกแห่งความเป็นจริงเองก็มีซากของอารยธรรมในอดีตปรากฏขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าอารยธรรมที่ชนะเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ความจริงก็คือพวกมันไม่ได้กลับมาอีก เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ?”
“บางทีอาจจะมีโลกที่สวยงามที่เหมาะจะให้เผ่าพันธุ์ที่ยกระดับได้อาศัยอยู่ล่ะมั้ง…”
“อย่างเช่นแหล่งกำเนิดเวทมนตร์?” โรแลนด์พูดเสียดสี “การยกระดับเป็นเส้นทางหนึ่งของการกลายเป็นพระเจ้า แต่หลังกลายเป็นพระเจ้าแล้วกลับไม่สามารถกลับมายังบ้านเกิดได้ นี่มันเป็นพระเจ้าแบบไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เข้าใกล้แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ หรือก็คือรอยแตกที่เกิดจากการกัดกินนั้น มันทำให้เจ้ารู้สึกดีแล้วก็สบายจริงๆ งั้นเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ เจ้าน่าจะกระโดดเข้าไปในนั้นนานแล้วล่ะ”
เจ้านี่…ส่งแม่มดให้มาสะกดรอยตัวเองจริงๆ ด้วย วัลคีรีย์บ่นอยู่ในใจ แค่ปากกลับไม่ได้พูดแย้งอะไรออกมา เพราะตอนที่ยืนอยู่หน้ารอยแตกสีแดงนั้น มันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความอันตรายอย่างรุนแรงจริงๆ
“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?” ไนท์แมร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว ถ้าเจ้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักซีคลาวด์แล้วเสนอสมมติฐานนี้เร็วกว่านี้ซักหนึ่งพันปี บางทีมันอาจจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แต่หลังจากที่เผ่าพันธุ์ข้าได้รับชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมที่สามมา สงครามมันก็ไม่อาจหยุดได้แล้ว”
อารยธรรมที่สาม…น่าจะหมายถึงอารยธรรมใต้ดิน โรแลนด์ผ่อนความเร็วในการพูดลง “การสืบทอดที่่ว่า…มันเป็นยังไงกันแน่?”
วัลคีรีย์งุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “อะไรกันเนี่ย ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่เคยได้รับเศษชิ้นส่วนสืบทอดงั้นเหรอ”
“ตอบคำถามของฝ่าบาท!” ฟิลลิสตะคอกเสียงต่ำๆ
“พวกเราไม่ต้องการเศษชิ้นส่วนอะไรนั่น แค่มีความรู้ของฝ่าบาทก็พอแล้ว!”
“มีแต่สัตว์ประหลาดอย่างพวกเจ้านั่นแหละที่ทำสงครามเพื่อก้อนหินเพียงก้อนเดียว!”
ในขณะที่โรแลนด์กำลังคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบคำถามตัวเอง ไนท์แมร์พลันพูดออกมาว่า “ข้าจะบอกเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะเข้าใจเองว่าทำไมการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้มันถึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอเพียงได้ลิ้มรสความหอมหวานของการสืบทอดแล้ว อารยธรรมก็จะไม่มีทางรสชาติอันหอมหวานนั้นได้อีก มันมีแต่จะยิ่งทำให้หิวกระหายมากขึ้นไปอีก” มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังแม่มดที่อยู่ข้างกายโรแลนด์ “พวกเจ้าในตอนนี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุด สมมติว่าให้มนุษยืทิ้งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนำมาให้ พวกเจ้าจะยอมไหมล่ะ?”
“เจ้าหมายความว่า…”
“ถูกต้อง ชิ้นส่วนสืบทอดนั้นเป็นแค่หนทางหนึ่งในการสืบทอดเท่านั้น” คำพูดของอีกฝ่ายได้ตอกย้ำการคาดเดาที่ผ่านมาของโรแลนด์ “เจ้าเอาความรู้ของที่นี่ถ่ายทอดให้กับมนุษย์ ก็เท่ากับว่ามนุษย์ได้รับการสืบทอดจากโลกแห่งความฝัน แต่ผลจากเศษสิ้นส่วนมันมีความสมบูรณ์มากกว่านั้น มันไม่ได้ส่งผลต่อใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่ส่งผลต่อทั้งอารยธรรม”
จากนั้นวัลคีรีย์ก็เล่าเรื่อง ‘เส้นทางแห่งการหลอมรวม’ ที่เกิดหลังจากสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจบลงไปร้อยกว่าปี ซึ่งนั้นเป็นส่งความสุดท้ายที่สมาพันธ์ไม่เคยรู้มาก่อน
“พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ ร่องรอยของอารยธรรมที่สามนั้นกระจัดกระจายไปกว่าครึ่งทวีป พวกเผ่าพันธุ์ข้ายึดครองเขตแบล็คสโตน มนุษย์ยึดครองดินแดนรุ่งอรุณ อารยธรรมที่สองยึดครองอาณาจักรซีสกาย อย่างนั้นอารยธรรมดที่สามก็คือเจ้าของโลกใต้ดิน พวกมันเป็นเหมือนกับไส้เดือน ร่างกายอ่อนแออย่างมาก แต่กลับเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้พลังเวทมนตร์”
“เสียดายที่เจ้าพวกนั้นมันโชคไม่ดีดันไปเจอในสิ่งที่ไม่ควรเจอ ในตอนที่กำลังขุดโพรงใต้ดินอยู่ พวกมันดันไปเจอรอยแตกใต้ดินที่ทะลุจากเขตแบล็ตสโตนข้ามไปยังอาณาจักรซีสกาย เจ้าฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าพวกมันดังเผลอไปเจาะแนวป้องกันระหว่างรังของตัวเองกับอาณาจักรซีสกายเข้า อีกฝ่ายก็เลยฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเขตแบล็คสโตน แล้วก็ไล่ฆ่าไส้เดือนพวกนั้นจนต้องถอยไป”
“ถ้าพวกข้ายื่นมือเข้าไปช่วย บางทีพวกมันอาจจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่สำหรับเผ่าพันธุ์แล้ว ในตอนนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พิสูจน์ตำนานชิ้นส่วนสืบทอด ดังนั้นในตอนนั้นจักรพรรดิซึ่งเป็นผู้ยกระดับจึงพากองทัพเข้าไปตีกระหนายอารยธรรมที่สามที่กำลังถอนร่นกลับมาจนทำให้มันติดอยู่ที่หุบเขาโกสต์”
“หุบเขาโกสต์ที่ว่านั้นตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสองแห่ง พื้นที่มีประมาณครึ่งหนึ่งของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ทั้งสองด้านเป็นแม่น้ำใต้ดินกับชั้นหินที่ลดหลั่นกันเป็นแนวยาวหลายพันกิโลเมตร พื้นแต่ละชั้นของหุบเขาแตกต่างกันอย่างมาก ชั้นก่อนหน้านี้เป็นโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ ชั้นต่อไปกลายเป็นเนินเขาเปิดโล่ง ต่อให้พวกไส้เดือนถนัดในการขุดดินแค่ไหนก็ยากที่จะปิดบังร่องรอยของตัวเองได้”
“สงครามนี้ยืดเยื้ออยู่เกือบสิบปี ร่างระดับต้นของเผ่าพันธุ์ข้าที่ตายไปในศึกนี้มีมากกว่าที่ตายด้วยน้ำมือมนุษย์ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกเสียอีก ผลสุดท้ายคือจักรพรรดิกับอาณาจักรซีสกายต่างได้ชิ้นส่วนสืบทอดไปคนละส่วน”
โรแลนด์กลั้นหายใจ ถึงแม้เขาจะไม่อยากแสดงความอยากรู้ออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่ข้อมูลนี้ก็ยังน่าตกใจจนทำให้เขาลืมที่จะควบคุมสีหน้าของตัวเอง
“จากนั้นล่ะ?”
“หมดแล้ว”
“หา…?”
“ข้าหมายถึงกาแฟ” วัลคีรีย์เลียริมฝีปาก “เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากินไปคุยไป?”
โรแลนด์เป็นใบ้ไปทันที คุยกันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ยังพยายามที่จะเป็นคุมเกมอยู่ ควรจะบอกว่าอีกฝ่ายชอบเอาชนะหรือว่าหยิ่งทะนงเกินไปดีล่ะเนี่ย? แต่บ่นไปมันก็เท่านั้น เขารีบเรียกพนักงานเข้ามา ก่อนจะสั่งกาแฟคาร์การ์ดไปอีกสามแก้ว “เราคุยกันต่อได้แล้วใช่ไหม”
“การหลอมรวมนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร จักรพรรดิเอาชิ้นส่วนที่ชิงมาได้วางไว้ข้างๆ เศษชิ้นส่วนของเผ่าพันธุุ์ข้า จากนั้นชิ้นส่วนทั้งสองก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พริบตานั้นเอง พวกเราก็ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายมา ทั้งภาษา ความรู้ การใช้พลังเวทมนตร์…หรือไปถึงชีวิต” ไนท์แมร์ค่อยๆ พูด “ไส้เดือนที่ยังชีวิตอยู่แห้งตายไปเหมือนต้นหญ้า พละกำลังของเผ่าพันธุ์ข้าเพิ่มขึ้นมามาก พลังเวทมนตร์เหมือนกับประตูตอนรับพวกข้า ความรู้ต่างๆ นาๆ ลอยขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะยอมหรือไม่ยอมรับก็ล้วนแต่ไม่สามารถปฏิเสธในจุดนี้ได้ เผ่าพันธุ์ของพวกข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนที่ทำสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกมาก”
“นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครสงสัยในความเมตตาของพระเจ้าอีก ก็เหมือนกับที่ข้าได้บอกไป หลังได้ลิ้มลองความรู้สึกแบบนั้นซักครั้งก็จะไม่มีวันลืมได้” มันยกแก้วกาแฟใบใหม่ขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าเข้าใจความหมายของคำว่าสายไปแล้วใช่ไหม? ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับอะไรมาจากโลกแห่งความฝัน ขอเพียงข้าได้รับชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์มา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของผู้ชนะ เจ้าคิดอยากจะใช้คำเตือนของเทวทูตผู้ทรยศมาหยุดยั้งสงครามนี้? แบบนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าเหนื่อยเปล่า”
เรื่องที่แม้แต่ซิอาวิสผู้เป็นอาจารย์ยังทำไม่ได้ แล้วมนุษย์ตัวผู้คนหนึ่งจะไปทำได้อย่างไร
“มันก็ใช่…” โรแลนด์ถอนหายใจ “แต่ข้าไม่เคยคิดจะใช้คำเตือนนั้นมาหยุดยั้งสงคราม”
“….เจ้าอยากจะพูดอะไร?” วัลคีรีย์ขมวดคิ้วขึ้นมา
“สิ่งที่จะหยุดสงครามได้ มันก็มีแค่ตัวสงครามเท่านั้น” เขาพูดพร้อมจ้องมองไนท์แมร์
…………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น