Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1306-1309
ตอนที่ 1306 ข่าวกรองอาบเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังอ่านจดหมายจนจบ เจ้าฉลาดพลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่แผ่นหลังทันที
ราชาปีศาจที่สามารถเปิดประตูนรกเพื่อให้กองทัพปีศาจออกมาได้งั้นเหรอ?
นี่คือข่าวที่สำคัญอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย ความจริงแล้วเขาก็นึกสงสัยเรื่องที่ปราสาทรีเฟลคสโนว์ไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของปีศาจอยู่แต่แรกแล้ว แต่มีแค่เรื่องเดียวที่เขาสามารถยืนยันได้ นั่นคือเรื่องที่ปีศาจบุกเข้ามาในเมืองจากทางเหนือ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นเพียงข่าวลือทั่วไปเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตอนที่ปีศาจมาล้วนแต่ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รับคำยืนยันแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากกว่านั้นก็คือราชาปีศาจตนนี้กลับคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของมนุษย์เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะติดต่อพูดคุยกับขุนนาง แต่มันยังกลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของอีเทอร์นอลวินเทอร์ในระยะสั้นๆ ด้วย ตอนนี้การที่มีการเกณฑ์ชาวบ้านในหลายๆ เป็นพื้นที่ก็ล้วนแต่เป็นความต้องการของมัน ส่วนผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายสัญญาว่าจะให้กับพวกขุนนางก็ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่คนเกรย์คาสเซิลจะมอบให้ได้
นอกจากนี้ ข้อมูลเรื่องทิศทางการเกณฑ์ชาวบ้านในจดหมายก็มีความสำคัญอย่างมาก ถึงแม้มันจะไม่เหมือนการกระจายกำลังของพวกปีศาจ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะวิเคราะห์ได้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาถูกส่งไปที่ไหนบ้าง
สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่โจรใต้ดินหรือพ่อค้าเร่แน่นอน เมื่อดูจากมุมมองแล้ว คนๆ นี้จะต้องเป็นบุคคลระดับสูงของอีเทอร์นอลวินเทอร์
เนื้อหาในจดหมายมีความเป็นระเบียบ อธิบายได้แจ่มเจ้งชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมานั่งทำการคัดลอกใหม่ แล้วก็ยากที่จะตัดทอนความให้สั้นลงได้ ขอเพียงส่งมันออกไปทั้งฉบับ มันก็จะถือว่าเป็นข่าวกรองที่มีความสำคัญอย่างมาก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดเลยทีเดียว
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ขบวนพ่อค้าที่ใช้สำหรับส่งข่าวกรองพร้อมออกไปจากรีเฟลตสโนว์ไปเมื่อวานนี้ เพื่อที่จะไม่ทำให้ใครผิดสังเกต แบล็คมันนี่ของแอบจัดคนของตัวเองเอาไว้ในขบวนพ่อค้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นตำแหน่งคนขับรถม้าด้วย การจะบอกให้ขบวนรถย้อนกลับมานั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ส่วนถ้าจะรอขบวนต่อไปก็ต้องรอหลังจากนี้อีก 1 อาทิตย์
ถ้ารวมกับเวลาที่ต้องเสียไประหว่างทางอีก เกรงว่ากว่าจะไปถึงคงต้องใช้เวลาอีกนาน
เจ้าฉลาดลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงลุกขึ้นมา เขาเก็บเอากระดาษที่เหลือบนโต๊ะเข้าไปในตู้ เหลือเพียงแค่จดหมายฉบับนั้นฉบับเดียว
หลังจากนั้นก็ใส่ซองกันน้ำแล้วปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง
หลังจัดการเสร็จเรียบร้อย เขาก็ดับตะเกียงแล้วเอาจดหมายเก็บไว้กับตัว จากนั้นเดินกลับมาที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับส่งสัญญาณมือพูดกับนักรบแห่งความเงียบ
“ข้าจะออกไปนอกเมืองหน่อย ถ้าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าก็ไปจุดไฟเผาน้ำมันที่ด้านล่าง”
ในขณะที่เจ้าฉลาดกำลังจะออกจากประตู นักรบแห่งความเงียบพลันยื่นมือมาดึงเขาพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นจึงชี้มาที่ตัวเอง
ให้เขาอยู่ แล้วตัวเองไปทำเรื่องที่อันตรายเองอย่างนั้นเหรอ…
เจ้าฉลาดยิ้มเล็กน้อย “แค่ไปส่งจดหมายเท่านั้น อย่างมากแค่ 2 – 3 วันก็กลับมา เจ้าพูดไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก”
เพียงแค่ภาษามือไม่มีคำพูดที่ซับซ้อนขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ทำภาษามือบอกว่า “นี่คือคำสั่ง”
จากนั้นจึงดึงมือเขาออกไป
เจ้าฉลาดตบหน้าอกของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหน้ามามอง
ในเมื่อเจ้านานต้องการใช้เขาช่วยเหลือเกรย์คาสเซิลอย่างเต็มที่ อย่างนั้นการเอาจดหมายฉบับนี้ส่งออกไปให้เร็วที่สุดก็คือภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะจากที่คนเกรย์คาสเซิลบอกมา ข่าวกรองมันมีเวลาของมันอยู่ ถ้ายิ่งส่งมาช้า ปัจจัยที่ไม่แน่นอนก็จะยิ่งเยอะ
เพื่อการนี้แล้ว พวกเขาจึงได้ตั้งศูนย์ติดต่อฉุกเฉินขึ้นมาที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณ 7 – 8 กิโลเมตร พร้อมกับมีนกสำหรับส่งจดหมายที่น่าเหลือเชื่อเตรียมเอาไว้ด้วย ได้ยินว่าแค่ไม่กี่วันก็สามารถเอาข้อมูลข่าวสารของที่นี่ไปส่งยังอาณาจักรดอว์นได้แล้ว
และหมู่บ้านแห่งนั้นก็คือเป้าหมายในการเดินทางของเขาครั้งนี้
จริงอยู่ที่การแอบออกมาจากเมืองรีเฟลคสโนว์นั้นมีอันตราย แต่มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ความจริงแล้ว ทุกวันจะมีคนที่หลบหนีออกไปจากดินแดนทางเหนือด้วยวิธีต่างๆ นานา บางคนถึงขนาดหลบหนีออกไปจากอีเทอร์นอลวินเทอร์ ถึงแม้หมอกแดงที่อยู่บนหัวกับพระจันทร์สีแดงจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของผู้คน แต่ผู้คนยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องคำประกาศของเกรย์คาสเซิลกับข่าวลือของปีศาจ ไม่ว่าผู้ปกครองจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความกลัวของผู้คนที่มีต่อปีศาจได้
คนที่หนีตายเหล่านั้นคือเกราะกำบังที่ดีที่สุดของเขา
เจ้าฉลาดรู้ดีว่าถ้าเขาออกไปคนเดียว โอกาสที่จะถูกปีศาจที่บินอยู่บนฟ้าพบเข้านั้นมีไม่สูง อย่างทหารที่เฝ้าอยู่ระหว่างทางนั้นยิ่งจัดการได้ง่ายกว่า ยังไงทองก็ยังเป็นค่าผ่านทางที่ดีที่สุดบนโลกมนุษย์
ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาคิดเอาไว้เท่าไร
ตอนรุ่งสางของเช้าวันถัดมา เจ้าฉลาดได้แอบออกมาทางประตูทางใต้ของเมืองรีเฟลคสโนว์ เพื่อที่จะได้ฮุบทองไม่กี่เหรียญที่อยู่ในถุงเอาไว้คนเดียว ยามเฝ้าประตูจึงไม่ได้ไปบอกให้คนอื่น หากแต่แอบๆ ไปเปิดประตูเล็กที่อยู่ด้านในกำแพงให้แทน
ทันทีที่ข้ามหุบเหวมา หนทางข้างหน้าก็เรียกได้ว่าโล่งสะดวก
ทุกครั้งที่บนท้องฟ้ามีจุดดำๆ ปรากฏขึ้นมา เขาจะรีบมุดลงไปในหิมะทันที เสื้อคลุมสีขาวช่วยพรางตัวให้เขา ส่วนรอยเท้าเหล่านั้น หากมองจากบนท้องฟ้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรอยเท้าของสัตว์
เมื่อมาถึงตอนบ่าย เขาก็เริ่มมองเห็นควันที่ลอยขึ้นมาจากในหมู่บ้าน
เจ้าฉลาดเช็ดน้ำค้างที่อยู่บนจมูกตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้น
วิธีการส่งจดหมายนั้นเหมือนกันในเมือง เขาไม่จำเป็นต้องติดต่อโดยตรงกับคนเกรย์คาสเซิล เพียงแค่เอาจดหมายไปวางไว้ในที่นัดหมาย แล้วก็ทิ้งสัญญาณเอาไว้ก็พอ
แต่ทันใดนั้นเอง ด้านหลังเขาพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา
เจ้าฉลาดงุนงง เขาหันหลังกลับไปมอง ภายในใจแอบรู้สึกตกใจเล็กน้อย บ้าเอ้ย ทำไมที่นี่ถึงมีอัศวินของรีเฟลคสโนว์ได้?
ที่คนเกรย์คาสเซิลเลือกหมู่บ้านแห่งนี้ก็เพราะว่ามันอยู่ห่างไกล การเอาคนนอกมาอยู่ในนี้คนสองก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไรมาก ส่วนใหญ่เวลาพวกขุนนางไปดักชาวบ้านที่อพยพก็มักจะไปดักอยู่แถวๆ ถนนหลัก มันไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะมาที่นี่เลย
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้ขึ้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเองก็มองเห็นเขาเหมือนกัน ถ้าคิดจะซ่อนตัวตอนนี้เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เจ้าฉลาดหยุดฝีเท้า ก่อนจะฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย — อีกฝ่ายมี 2 คน ขอเพียงให้ทองมากพอ พวกเขาก็น่าจะไม่มายุ่งอะไรกับเขามาก
อัศวินหยุดม้าลงตรงหน้าเขา “พี่ ข้าบอกแล้วไงว่าพวกผู้อพยพมันจะเลือกเส้นทางที่รกร้างหน่อย สุดท้ายพวกเราก็เจอจริงๆ ด้วย”
“อืม โชคดีทีเดียว”
หน่วยลาดตระเวนที่มาไล่จับชาวบ้านที่อพยพอย่างนั้นเหรอ?
“นะ นายท่าน ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” เจ้าฉลาดแสร้งทำเป็นหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เขาคุกเข่าลงไปกับพื้น สองมือยกถุงเงินขึ้นมา เผยให้เห็นเหรียญทองที่ดูสะดุดตา “ข้าไม่อยากจะอยู่ในเมืองเดียวกับปีศาจที่มาจากนรกพวกนั้นจริงๆ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดกินคน! ข้ายินดีที่จะให้เงินทั้งหมดนี่ ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!”
“โอ้? เงินเจ้ามีไม่น้อยนะเนี่ย” อัศวินก้มลงมารับเอาถึงเงินไป น้ำเสียงฟังดูเย้ยหยัน
“ตอนนี้มันเป็นของท่านแล้ว…ชะ ใช่แล้ว ข้ายังมีญาติอยู่ที่วูล์ฟฮาร์ท ขอเพียงท่านไม่จับข้ากลับไป ต่อไปถ้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน!”
“ลุกขึ้นมาเถอะ”
เจ้าฉลาดแอบรู้สึกโล่งใจ ปกติแล้วเมื่อมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าไม่มีอะไรแล้ว ผู้อพยพที่มีเหรียญทองนั้นมีจำนวนอยู่น้อยนิดเดียว ยิ่งบอกว่า ‘มีญาติอยู่ที่อาณาจักรเพื่อนบ้าน’ ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ไม่น้อย — ถ้าฆ่าคนแล้วไม่มีประโยชน์อะไร พวกเขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน เพราะการปล่อยผู้อพยพไปคนสองคนมันไม่ได้มีผลเสียอะไรกับพวกเขา ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะตัดความเป็นไปได้ที่ได้รับการตอบแทนในวันหน้าทิ้งไป
แต่อีกฝ่ายไม่ได้โบกมือบอกให้เขาไสหัวไป หากแต่เปิดหมวกเหล็กขึ้นมา “เจ้าลองดูนี่”
ตรงแก้มเขามีรอยแผลที่ชัดเจน เหมือนถูกสัตว์ที่ดุร้ายบางอย่างมันกัดเข้า ใบหูหายไปทั้งแถบ แม้แต่ดวงตาครึ่งหนึ่งก็ดูบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
ผิวหนังตรงบาดแผลแสดงให้เห็นว่าบาดแผลนี้เพิ่งจะรักษาหายไม่นาน
“นายท่าน นี่ท่าน…”
“ถูกอาวุธของคนเกรย์คาสเซิลมันทำน่ะสิ” อัศวินค่อยๆ พูด “ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าข้าไม่รอดแล้ว แต่ข้าก็ยังรอดมาได้ ตอนนี้ข้ายังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนใบหน้าอยู่เลย มันคอยย้ำเตือนข้าว่าใครเป็นคนทำให้ข้าเป็นแบบนี้ —-“
เมื่อพูดถึงตอนท้าย เสียงของเขาก็ฟังดูเยือกเย็นขึ้นมา
เจ้าฉลาดพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างรุนแรง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถอยห่างออกไป อัศวินอีกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นน้องชายพลันยกแส้ม้าหวดลงมาบนหน้าเขาอย่างแรง
ภาพเบื้องหน้ามืดลง เจ้าฉลาดเอามือปิดหน้าแล้วล้มลงไปกองกับพื้น
“ถูกต้อง พวกเจ้านั่นแหละ! ถ้าไม่เป็นเพราะผู้อพยพอย่างพวกเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปสู้กับคนเกรย์คาสเซิล! สงครามแห่งโชคชะตา ชะตาชีวิตของมัน นั่นมันเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!” ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงอีกฝ่ายฟังดูเหมือนเกือบจะคำรามออกมา “สบายใจได้ ข้าไม่พาเจ้ากลับไป แล้วก็ไม่ฆ่าเจ้าที่นี่ด้วย สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำคือให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองความเจ็บปวดของข้า!”
จากนั้นเขากระตุกบังเหียนม้า ก่อนจะควบม้ามาเหยียบขาทั้งสองข้างของเจ้าฉลาด
“แคร่ก”
ความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะบรรยายได้ทะลักออกมาในหัวของเจ้าฉลาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาทันที
จากนั้นก็เป็นขาข้างที่สอง
กระทั่งบนพื้นหิมะที่รอยหยดเลือดเต็มไปหมด และขาทั้งสองข้างของเขากลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อเละที่เชื่อมต่อกัน อัศวินถึงได้บังคับให้ม้าหยุดกระทืบ
“วางใจได้ เจ้าไม่ใช่คนแรก แล้วก็ไม่ใช่คนสุดท้าย” อัศวินยิ้มอย่างดุร้ายขึ้นมา “ตอนนี้…เจ้าหนีไปได้แล้ว”
เจ้าฉลาดไม่ได้สังเกตเห็นว่าทั้งสองคนจากไปตอนไหน
เขาต้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง ถึงจะรวบรวมสมาธิที่แตกกระเจิงให้กลับมาได้
ครึ่งร่างของเขาสูญเสียความรู้สึกไปจนหมด หิมะอันหนาวเย็นกำลังชิงความอบอุ่นไปจากร่างกายเขาทีละน้อย
เขาคลำเสื้อผ้าที่อยู่ในอก จดหมายยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม สำหรับทั้งสองคนนั้น เกรงว่าเขาคงไม่ได้ต่างอะไรจากคนตายแล้ว
สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือภายในหัวเขากลับไม่ได้ต่อว่าทั้งสองคนนั้น แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแค้นอะไร เมื่ออยู่ภายใต้ความทุกทรมานจากความเจ็บปวดและการถูกน้ำแข็งกัดกิน การครุ่นคิดจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ความคิดหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้คือจดหมายที่อยู่ในอกเขา
เจ้าฉลาดใช้แรงเฮือกสุดท้ายลากสังขารไปยังพื้นที่นัดหมาย
ในตอนที่เขาคลานขึ้นไปถึงยอดเนินที่มองลงไปเห็นหมู่บ้านได้ ความมืดก็ค่อยๆ ปกคลุมตัวเขาทีละน้อยแล้ว แสงไฟที่สว่างขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวในหมู่บ้านเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็คล้ายดวงดาวที่อยู่แสนไกล
เขาไม่ได้เอาจดหมายใส่ลงไปในที่ซ่อน เพราะตัวเขาก็คือภาชนะสุดท้ายที่ใช้บรรจุจดหมายแล้ว
ในขณะที่ความมืดกำลังกลืนกินสรรพสิ่ง ตรงหน้าเจ้าฉลาดพลันมีใบหน้าที่มีเมตตาของแบร์ริช โลธาลอยขึ้นมา
เขาหลับตา ก่อนจะพูดพึมพำเสียงเบาๆ
“ท่านพ่อ…”
…………………………………………………………
ตอนที่ 1307 จุดอ่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสามวัน จดหมายฉบับนี้ก็ถูกส่งต่อมาหลายทอด จนสุดท้ายก็ถูกส่งมาถึงศูนย์บัญชาการที่เคจเมาเธ่น หลังฮิล ฟ็อกส์เปิดจดหมายออกอ่าน จดหมายฉบับนี้ก็ถูกจัดให้เป็น ‘ข่าวกรองที่ด่วนที่สุด’ แล้วก็ถูกส่งต่อให้เอดิธส์ทันที
หลังอ่านจดหมายเสร็จ คิ้วของเอดิธส์ก็ขมวดขึ้นมาทันที
“ตอนนี้บนเกาะอาชดยุคมีคนอยู่เท่าไร?” เธอตะโกนเสียงดัง
เจ้าหน้าที่ของทีมที่ปรึกษามองหน้ากันเลิกลัก คนที่ตอบออกมาคนแรกคือเฟร์ราน “เรียนท่านเอดิธส์ ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งที่ประจำอยู่บนเกาะมีประมาณ 300 กว่าคน ทีมก่อสร้างมีประมาณ 2,500 คน แล้วก็ยังมีชาวบ้านบนเกาะอีก 2,500 คน ถ้าท่านอย่างจะรู้จำนวนที่แน่ชัด ข้าจะไปหาข้อมูล….”
“ไม่ต้อง” เอดิธส์พูดตัดบท “ไปตามขวานเหล็กกับหัวหน้าคนอื่นเข้ามา แผนการของพวกเราต้องรีบทำการปรับเปลี่ยนใหม่! เร็ว!”
“ปรับเปลี่ยนใหม่หมายถึง..”
“ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือว่าคนงาน จะเป็นคนเกรย์คาสเซิล ดอว์นหรือวูล์ฟฮาร์ท ให้ทุกคนรีบอพยพออกมาจากเกาะให้เร็วที่สุด!” เธอพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ที่นั่นกลายเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวแล้ว”
ทุกคนแตกตื่นขึ้นมาทันที แต่ตกใจมันก็ส่วนตกใจ ความเป็นมืออาชีพที่ผ่านการฝึกฝนมานานทำให้พวกเขารีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที ในขณะที่ภายในห้องทำงานกำลังวุ่นวาย สายตาเอดิธส์เลื่อนกลับมามองกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือ
มันถูกส่งมาพร้อมกับจดหมาย
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เธอพลันกำหมัดแน่นแล้วถอนใจออกมาเบาๆ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จดหมายถูกส่งให้ทุกคนอ่าน
“สกายลอร์ดเฮคซอดงั้นเหรอ…” สีหน้าไบรอันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร “ถ้าสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายเป็นเรื่องจริง ความสามารถนี่มันจะน่ากลัวเกินไปหน่อยหรือเปล่า เดินทางได้ไกลหลายกิโลเมตร แถมยังใช้ได้หลายครั้ง ข้าก็ว่าทำไมในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน ทั้งอีเทอร์นอลวินเทอร์ถึงได้พังทลายลง ไม่มีเมืองไหนที่ลุกขึ้นต่อต้านได้เลย”
ไลต์นิ่งกับเมซี่เคยเจอปีศาจระดับสูงตัวหนึ่งที่รอยแตกของสันหลังของทวีป ความสามารถที่สามารถไปไหนมาไหนโดยไร้ร่องรอยของมันถูกมองเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำการป้องกัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะเป็นสกายลอร์ดที่อุรูคพูดถึง แถมนี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของพลังของมันด้วย ไม่ใช่แค่ตัวมันเอง แต่กองทัพของมันก็สามารถเดินทางเคลื่อนย้ายผ่านประตูได้เหมือนกัน ความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่อยู่ในระดับกลยุทธ์แล้ว
คนที่เข้าร่วมประชุมต่างมีความเข้าใจคำว่าราชาปีศาจมากขึ้น
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับเรื่องอพยพคนออกมาจากเกาะอาชดยุค
เพราะว่าขึ้นเกาะมันง่าย แต่ออกจากเกาะมันยาก เมื่อแนวป้องกันตามธรรมชาติไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ มันก็จะกลายเป็นเหมือนกรงที่ขังตัวเอง
ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังต้องแข่งกับเวลาด้วย!
เมื่อดูจากทิศทางการเกณฑ์ชาวบ้านที่ระบุเอาไว้ในจดหมายและเบาะแสดที่ทีมที่ปรึกษาสรุปออกมา เกรงว่าตอนนี้ปีศาจได้รวมรวมปีศาจเอาไว้ที่แนวหน้าได้เป็นกองทัพแล้ว อาจโจมตีอาจจะเปิดฉากได้ทุกเมื่อ
ขวานเหล็กออกคำสั่งทันที “หยุดงานก่อสร้างทุกอย่างบนเกาะอาชดยุค รีบอพยพคนที่อยู่บนเกาะทันที! ไม่ใช่แค่เรือที่เช่ามาเท่านั้น แต่ข้าอยากจะเห็นทุกอย่างที่มันลอยอยู่บนน้ำเข้าร่วมการอพยพคนในครั้งนี้ด้วย!”
“รับทราบ” ทุกคนตอบพร้อมกัน
หลังจากทุกคนออกไปปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว อกาธาก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวลว่า “ทำไมปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถึงไม่เคยปรากฏตัวในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองเลย?”
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ 3 อย่าง” น้ำเสียงเอดิธส์ยังคงฟังดูสุขุม “หนึ่งคือตอนนั้นเฮคซอดยังไม่ได้ยกระดับเป็นราชา แล้วก็ยังไม่มีความสามารถเหมือนในตอนนี้ สองคือพวกมันคิดว่าอาณาจักรซีสกายมีความสำคัญมากกว่ามนุษย์ ส่วนข้อสาม…” เธอจงใจชะงักไปเล็กน้อย “บางทีปีศาจระดับสงอาจจะคิดว่าพวกมันไม่เหมาะที่จะมาสู้กับมนุษย์”
ขวานเหล็กเหมือนจะมองความคิดเธอออก “เจ้าคิดว่าเป็นข้อสาม?”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยักไหล่ “ถึงแม้คำตอบแรกจะมีความเป็นไปได้ทางทฤษฎี แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นการหนีปัญหา ส่วนข้อสองนั้นก็ดูเป็นไปได้ไม่มาก ปีศาจนั้นต้องสู้อยู่กับอาณาจักรซีสกายแน่นอน แต่เมื่อดูจากท่าที่ที่พวกมันให้ความสำคัญต่อมรดกของพระเจ้าแล้ว ถ้าพวกมันสามารถเอาชนะสมาพันธ์ได้สบายๆ จริงๆ พวกมันไม่มีทางที่จะปล่อยให้มรดกของพระเจ้าหลุดมือไปแน่ ในสงครามที่ตัดสินชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ การประมาทศัตรูคือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด พูดอีกอย่างก็คือ ข้าเดาว่าพวกมันน่าจะพยายามเต็มที่แล้ว”
สายตาที่ดูซึมเซาของแม่มดน้ำแข็งพลันเหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่า…ตอนนี้สมาพันธ์ยังไม่มีความสามารถในการสร้างอาวุธปืนออกมาเลย ถ้าแม้แต่กำแพงเมืองยังไม่อาจป้องกันศัตรูเอาไว้ได้ ถ้าตอนนั้นพวกปีศาจระดับสูงออกมา เกรงว่าสมาพันธ์คงจะพ่ายแพ้เร็วขึ้นกว่าเดิม เผลอๆ อาจจะไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายมรดกของพระเจ้าออกมาด้วยซ้ำ”
“ดังนั้นนี่จุดนี้จึงทำให้ข้าต้องมาครุ่นคิด” เอดิธส์เคาะโต๊ะเบาๆ โดยไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่ายตรงๆ “ข้าสนใจคำพูดสองสามแห่งในจดหมายฉบับนี้ จากการเจอกันสองสามครั้งระหว่างผูเขียนกับสกายลอร์ดทำให้รู้ว่าเฮคซอร์ดไม่เพียงแต่จะไม่ได้ใช้พลังในการเข้าไปในปราสาทเจ้าเมืองเลย แต่มันยังไม่แทบจะไม่เคยเผยตัวต่อหน้าขุนนางจำนวนมากด้วย การออกคำสั่งหลายๆ ครั้งก็ใช้การสั่งการผ่านรูน เหมือนกับว่ากำลังป้องกันพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าการทำแบบนี้มันไม่เป็นประโยชน์ต่อการโน้มน้าวใจคน ในจุดนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนจากสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมาย ปัญหาคือ ขุนนางพวกนั้นจะทำอันตรายอะไรให้กับมันได้?”
แม่มดน้ำแข็งตกตะลึง “หรือเจ้าหมายถึง…หินอาญาสิทธิ์?”
“คิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นแบบนั้น” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพยักหน้า “ในเมื่ออมนุษย์สามารถเป็นได้ทั้งแอชเชส แล้วก็บุ๊ค อย่างนั้นราชาจะต้องเป็นผู้พิฆาตเวทมนตร์เพียงอย่างเดียวเหรอ?”
“เอ่อ…” อกาธาเองก็คิดขึ้นมาได้ สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างปีศาจระดับสูงกับปีศาจคุ้มคลั่งก็คือความหลากหลายของความสามารถ แต่มันก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้ยกระดับจะต้องมีพลังในการปิดกั้นเวทมนตร์ และนี่ก็ช่วยตอบข้อสงสัยทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้ ที่สกายลอร์ดไม่ปรากฏตัวที่แนวหน้าในที่ราบลุ่มบริบูรณ์ บางทีอาจเป็นเพราะมันไม่ถนัดในการทำศึกซึ่งๆ หน้า!
ไม่ว่าจะเป็นการบุกเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อตั้งเสาหินโอเบลิส หรือว่าการสู้กับอมนุษย์ที่พกหินอาญาสิทธิ์ หรือว่าเจอกับการโจมตีด้วยรูนแห่งโชคชะตาของสุดยอดอมนุษย์ก็ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อปีศาจระดับสูงที่ไม่ใช่ผู้พิฆาตเวทมนตร์อย่างมาก ซึ่งความสามารถของสกายลอร์ดนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นมันจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาในศึกสองครั้งก่อนหน้านี้!
“แต่ครั้งนี้มันกลับออกมาสั่งการด้วยตัวเอง…” ขวานเหล็กพูดเสียงเข้ม
“บางทีอาจจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรบางอย่างทำให้มันไม่มีทางเลือก” เอดิธส์เดินไปที่หน้าต่าง ก่อนจะทอดตามองออกไปทางเหนือ “อย่างเช่นเดิมปีศาจที่เป็นคนนำทัพอาจจะเป็นอุรูค แล้วก็อาจจะเป็นราชาคนอื่น แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับจึงทำให้เฮคซอดจำต้องออกมาจากหลังม่าน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับพวกเรา ไม่ว่ายังไง เจอกับราชาตัวเดียวมันก็รับมือได้ง่ายกว่าการเจอราชาหลายตัว”
“เจ้าคิดได้แล้วเหรอว่าจะรับมือเฮคซอดยังไง?”
“ความสามารถของมันเรียกได้ว่ามีประโยชน์อย่างมากในด้านกลยุทธ์การขนส่งกำลังพล แต่ถ้าจะเอามาใช้โจมตีกลับไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไร” เธอค่อยๆ พูด “ขอเพียงเราไม่สูญเสียกำลังพลไปบนเกาะอาชดยุคมากนั้น ใครจะแพ้ใครจะชนะมันก็ยังไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือพยายามอพยพคนและอาวุธออกมจากเกาะอาชดยุคออกมาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะปืนใหญ่”
ขวานเหล็กถอนหายใจยาว “แบบนี้ จดหมายฉบับนี้ก็ถือว่ามีค่าอย่างมากจริงๆ ไม่รู้ว่าคนเขียนกับคนส่งจดหมายเป็นใคร? ถ้าข้อมูลพวกนี้ไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาก็ถือว่าทำความดีความชอบอย่างมาก”
เอดิธส์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยื่นกระดาษโน้ตยับๆ ให้ขวานเหล็ก
บนกระดาษโน้ตมีข้อความสั้นๆ อยู่สองสามประโยค
มันคือกระดาษโน้ตที่ลูกน้องฮิลเขียนก่อนที่จดหมายจะส่งมาถึง
‘ข้าไม่รู้ชื่อของเขา’
‘ตอนที่เจอเขา เขาก็นอนแข็งทื่อไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งแล้ว’
‘ข้าเจอจดหมายฉบับนี้อยู่ตรงหน้าอกเขา’
‘มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ยังมีไออุ่นอยู่’
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 1308 อพยพออกจากเกาะอาชดยุค
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำสั่งอพยพถูกส่งออกไปจากเคจเมาเธ่นอย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่าขอเพียงเป็นสถานที่ที่มีกองกำลังของเกรย์คาสเซิลอยู่ คำสั่งนี้จะต้องรีบทำการปฏิบัติตามทันที ไม่มีการชักช้า แล้วก็ไม่มีการทำอะไรมั่วซั่ว เวลาครึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเพียงพอที่จะทำให้เหล่าขุนนางที่สวามิภักดิ์รูถึงสไตล์การทำงานของโรแลนด์ วิมเบิลดันแล้ว
เผลอๆ แม้แต่ตัวพวกเขาก็ยังต้องรู้สึกใจกับ ‘พลัง’ ที่ตัวเองแสดงออกมา คำร้องขอที่ในอดีตดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เหล่านั้น ในตอนนี้ล้วนแต่ถูกพวกเขาทำสำเร็จไปทีละอย่างสองอย่างแล้ว เจอปัญหา ครุ่นคิดปัญหา แก้ไขปัญหา คนกลุ่มเดียวกัน แต่เมื่ออยู่ในระบบที่ต่างกัน กลับสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงออกมา
บารอนจีน เบ็ตเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อมองเห็นบรรยากาศที่ยุ่งวุ่นวายในคฤหาสน์ของตัวเอง ความรู้สึกต่างๆ นานา พลันผุดขึ้นมาในใจของเขา เดิมเขาคิดว่าตระกูลของตัวเองนั้นเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ ที่ไม่มีความสามารถและความทะเยอะทะยาน และก็เป็นเพราะไม่ได้สร้างอันตรายใดๆ ให้กับราชาแห่งวูล์ฟฮาร์ท หรือว่าตระกูลทัสก์กับเรดสโตนเกท พวกเขาถึงได้อนุญาตให้ตัวเองคอยดูแลอ่าวดีพพูลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างตระกูลใหญ่เอาไว้
แต่ตอนนี้ ปราชญ์และลูกน้องของเขากำลังวางแผนเรื่องการหมุนเวียนของคนนับหลายหมื่นในท่าเรือ และการจัดการเรือรับพันลำ ถึงแม้เรือส่วนใหญ่ในนั้นจะเป็นเรือประมง แต่ต่อให้เป็นเรือเล็กแค่ไหนมันก็ต้องเทียบฝั่งถึงจะสามารถขนย้ายของลงได้ โดยจำนวนคนที่หมุนเวียนอยู่ในท่าเรือนั้นเท่ากับจำนวนประชากรรวมของเมืองใหญ่ๆ เมืองหนึ่งที่อยู่ในอาณาจักร ส่วนจำนวนเรือนั้นมีมากกว่าจำนวนเรือพาณิชย์ที่เข้ามาเทียบท่าทั่วทั้งวูล์ฟฮาร์ทเสียอีก
หากเป็นเวลาปกติ บารอนคงไม่มีทางคิดว่าตระกูลของเขาจะมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ที่ใหญ่กว่านี้ หากมีคนมาบอกเขาเรื่องนี้ เขาคงจะคิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น หรือไม่ก็ไม่ได้รู้เรื่องการบริหารเลยว่ามีความซับซ้อนมากแค่ไหน
แต่จีน เบ็ตก็พบว่าตัวเองไม่เพียงแต่จะดูถูกตัวเองเท่านั้น แต่เขายังดูถูกความสามารถของคนในตระกูลด้วย
ขอเพียงผลักดันพวกเขาให้มากพอ และชี้นำพวกเขาด้วยวิธีและระบบที่ถูกต้อง ที่แท้คนเหล่านั้นก็สามารถแสดงศักยภาพที่น่าตกใจขนาดนี้ออกมาได้
ตอนแรกเขาที่เขารับใช้เกรย์คาสเซิลก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่น เพราะชะตาชีวิตของครอบครัวนั้นอยู่ในมืออีกฝ่าย จะไม่ทำก็ไม่ได้ แต่พอนานวันเข้า เขากลับพบว่าตัวชื่นชอบความรู้สึกแบบเข้าแล้ว ทันทีที่สั่งการออกไปก็จะมีคนจำนวนมากเคลื่อนไหวและจัดการทำภารกิจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ราวกับว่านี่ต่างหากคืออำนาจที่แท้จริง
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมี ‘คนที่อยู่เหนือกว่า’ เยอะกว่าเมื่อก่อน แต่คำนิยามของอำนาจที่อยู่ในมือกลับมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม เขาเชื่อว่าลูกน้องของตัวเองก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กัน ในจุดนี้จะเห็นได้จากสีหน้าของพวกเขาในเวลาทำงาน
มีหัวหน้าโง่หนึ่งหมื่นคนยังไม่อาจสู้มีหัวหน้าฉลาดหนึ่งร้อยคนเดียว นี่คือสิ่งที่บารอนเรียนรู้มาจากการทำงานในช่วงที่ผ่านมา
ระบบที่แตกต่างจากระบบขุนนางเมื่อก่อนนี้สามารถทำให้คนที่ไม่ได้เก่งอะไรกลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้นมาได้ อย่างนั้นถ้าเป็นคนที่ฉลาดจริงๆ เขาจะแสดงความสามารถออกมาได้ขนาดไหน?
ตอนนี้จีน เบ็ตไม่มีข้อสงสัยแล้วหากสุดท้ายโรแลนด์ วิมเบิลดันกลายเป็นผู้ปกครองของทั้งสี่อาณาจักร
ขอเพียงมนุษย์มีชีวิตรอดจากสงครามแห่งโชคชะตาไปได้
….
นอกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว พวกชาวบ้านเองก็ยุ่งวุ่นวายด้วยเช่นเดียวกัน
จากตัวอย่างของคนที่เคยได้รับรางวัลจากเกรย์คาสเซิลในภารกิจอพยพชาวบ้านก่อนหน้านี้ ทำให้การประกาศครั้งนี้มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก หลังได้ยินว่ากองทัพที่หนึ่งจะมอบรางวัลอย่างงามให้กับคนที่ช่วยเกรย์คาสเซิลขนย้ายทหารและอาวุธ คนที่มีความสามารถต่างก็แห่กันเข้ามาทำงานในครั้งนี้
คนที่เคลื่อนไหวก่อนใครเพื่อนก็คือพวกที่หาเลี้ยงปากท้องอยู่บนทะเล พวกลูกเรือที่ก่อนหน้านี้วิ่งหารถม้าเพื่อไปขนย้ายคนบนบกต่างก็แห่กันกลับไปเป็นลูกเรือเหมือนเดิม
จากนั้นก็เป็นชาวประมง เนื่องจากเงื่อนไขการจ่ายเงินของกองทัพที่หนึ่งก็คือจ่ายตามจำนวนคนและน้ำหนักของสิ่งของที่ขนออกมาได้ บวกกับทะเลที่คั่นอยู่ระหว่างเกาะอาชดยุคกับแผ่นดินนั้นค่อนข้างกว้าง ไม่เพียงแค่เรือใบเสาเดียวเท่านั้น ชาวประมงหลายๆ คนถึงขนาดเอาเรือสำปั้นที่ตกทอดมาจากบรรบุรุษออกมาใช้ ถึงไม่มีใบเรือก็ยังมีไม้พาย ขอเพียงล่องไปกลับบนทะเลได้ พวกเขาก็จะมีรายได้หลายเหรียญทอง
ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะได้บรรทุกคนกับสิ่งของได้ทีละมากๆ หลายๆ คนจึงเอาเรือสำปั้นมาต่อเข้าด้วยกัน ต่อให้ออกทะเลครั้งหรือสองครั้งแล้วพังมันก็ยังถือว่าคุ้ม
นอกจากข้อเรียกร้องของกองทัพที่หนึ่งที่บอกว่า ‘เรือทุกลำต้องมีผ้าใบคลุมเพื่อกันหิมะ’ พวกเขายังต้องขนเอาของทุกอย่างที่อยู่บนรายการกลับมาด้วย ไม่นานบนทะเลก็เต็มไปด้วยเรือลำเล็กลำใหญ่ล่องไปๆ กลับๆ ดูไกลๆ แล้วเหมือนกับมดกำลังย้ายบ้านอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนสโมสรแม่มดเองก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เหมือนกัน
ในหนึ่งวันซีกัลป์ต้องเดินทางไปกลับระหว่างทั้งสองที่เกือบ 50 ครั้ง แล้วก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือขนส่งที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ไลต์นิ่งกับเมซี่ออกไปลาดตระเวนทางด้านตะวันตกของเกาะอาชดยุคร่วมกับอัศวินอากาศ เพื่อคอยขับไล่อสูรสยองที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว มอลลี่กับฮัมมิ่งเบิร์ดทำให้งานขนของลงจากเรือซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เวลานานที่สุดกลายเป็นงานที่ง่ายขึ้น เรียกได้ว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือของทั้งสองคน อาศัยเพียงแค่ท่าเรือของเมืองท่าแค่ไม่กี่แห่งนั้นไม่มีทางที่จะรองรับภารกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ได้แน่นอน
ทั้งคน อาวุธ อุปกรณ์ก่อสร้าง…สิ่งของที่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะขนไปที่เกาะอาชดยุคถูกขนกลับมาจนเกือบหมดในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ตามปกติแล้ว การอพยพที่เร่งด่วนขนาดนี้มีโอกาสที่สูงมากที่จะกลายเป็นความโกลาหล การที่สามารถพาคนกลับมาได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ส่วนสิ่งของก็อาจจะหายไปมากกว่าครึ่ง แต่ผลที่ออกมาคือของพวกนั้นถูกขนขึ้นเกาะอาชดยุคอย่างไร ส่วนใหญ่มันก็ถูกขนกลับมาอย่างนั้น หากโยนพวกวัสดุก่อสร้างและพวกเครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่สำคัญทิ้งไป อัตราความเสียหายของอาวุธและกระสุนนั้นยังมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ประสิทธิภาพในการดูแลควบคุมนี้ทำให้หลายๆ คนได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกรย์คาสเซิลอีกครั้ง
ทว่าในตอนที่การอพยพกำลังจะสิ้นสุดลง ซิลเวียก็ส่งสัญญาณเตือนระดับสูงสุดมาที่ศูนย์บัญชาการ!
ในพื้นที่หมอกแดงมีร่องรอยของปีศาจจำนวนมากปรากฏขึ้นมา!
……
แทบจะในเวลาเดียวกัน เฮคซอดเองก็ ‘มองเห็น’ ผู้สังเกตการณ์คนนั้นผ่านทางพาราซิติคอายการ์ด ภาพของเธอเหมือนจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของมัน ทุกๆ การเคลื่อนไหวล้วนแต่เด่นชัด
ผู้ตื่นรู้ตัวเมียที่มีผมยาวสีเขียว แล้วก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่อุรูคพุดถึงในจดหมาย เธอมีทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ไกลอย่างมาก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อแผนการของเผ่าพันธุ์อย่างมาก มีเพียงหินอาญาสิทธิ์เท่านั้นถึงจะขัดขวางการมองเห็นของอีกฝ่ายได้
มันแอบจดจำหน้าตาของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างเงียบๆ จากนั้นเลื่อนสายตาออกมา
คนๆ นี้อยู่ภายในเมืองที่มีการคุ้มกันทีแน่นหนา การกำจัดเธอทิ้งคือคำแนะนำที่ดี แต่คนที่ลงมือไม่ควรจะเป็นมัน เพราะมันคือแม่ทัพคนสำคัญของจักรพรรดิ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด มันจะสร้างความเสียหายให้กับเผ่าพันธุ์จนไม่อาจแก้ไขได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีเหตุผลต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้นเฮคซอดยังมีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั้น
จากที่ทหารรายงานมา ช่วงนี้มนุษย์มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอย่างมากตรงแนวชายฝั่งของวูล์ฟฮาร์ท โดยเฉพาะที่เกาะอาชดยุค ช่วงนี้เหมือนจะมีเรือเข้าออกที่เกาะจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าศัตรูให้ความสำคัญกับเกาะที่มีแนวป้องกันตามธรรมชาตินี้มาก
พวกเขาจะต้องเสียหายอย่างหนักจากความผิดพลาดตรงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
จากข้อมูลที่ได้มาจากพวกขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์ทำให้มันรู้ว่ากองทัพของเกรย์คาสเซิลนั้นมีจำนวนเพียงแค่ไม่กี่หมื่น ถ้าสามารถกำจัดกองทหารที่ป้องกันเกาะอาชดยุคได้พร้อมกันทีเดียว นั่นจะต้องทำให้พวกมนุษย์อ่อนแอลงอย่างแน่นอน
มันจะพิสูจน์ให้ไนท์แมร์และราชาคนอื่นๆ เห็นว่า สกายลอร์ดผู้นี้ก็เป็นราชาที่สามารถนำทัพตะวันตกไปคว้าชัยชนะได้เช่นเดียวกัน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮคซอร์ดก็เปิดประตูมิติขึ้นมา!
…………………………………………………..
ตอนที่ 1309 สายฟ้าแลบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
นับตั้งแต่ที่เกิดศึกที่ทาคิลามาจนถึงตอนนี้ ความคิดของสกายลอร์ดได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างมาก
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ที่ผ่านมาของมันพวกแต่ได้รับมาจากรายงานการสู้รบและในการประชุมสภาหอเจ้าชีวิต นอกจากคำเรียกมนุษย์ว่าแมลงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเหยียดหยามแล้ว เรื่องที่มนุษย์ขาดผู้ตื่นรู้ที่เป็นนักรบที่มากพอนั้นคือสิ่งที่เหล่าราชาต่างรู้กันดี ความยากในการยกระดับของพวกเธอนั้นพอๆ กับเผ่าพันธุ์ของตน แต่ความสามารถของพวกเธอกลับไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ นี่จึงทำให้มนุษย์ไม่มีความแข็งแกร่งในภาพรวม
ส่วนพวกตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์นั้นก็เป็นเหมือนกับไม้ประดับในสนามรบ ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกร่างชั้นต่ำในเผ่าพันธุ์ของมันเลย หลังจากสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง พวกร่างชั้นต่ำก็ถูกทอดทิ้ง แม้แต่สิทธิ์ในการลงไปรบก็ไม่มีด้วยซ้ำ อย่างมากก็แค่ทำงานระดับล่างทั่วๆ ไป จากจุดนี้จะสามารถเห็นได้ถึงความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องความแข็งแกร่งของทั้งสองเผ่าพันธุ์
ส่วนอาณาจักรซีสกายนั้นวิวัฒนาการไปได้ไกลกว่ามนุษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นเรือที่กลืนกินแผ่นดินพวกนั้นหรือว่าตัวนักรบที่เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดก็ล้วนแต่มีพลังเวทมนตร์ในระดับสูง เหมือนกับว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อสู้รบอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่สัตว์อสูรที่ถูกพวกมันควบคุมก็ยังมีหลายตัวที่สุดท้ายกลายเป็นร่างที่มีพลังเวทมนตร์ พวกมันคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่เผ่าพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย
และก็ด้วยเหตุนี้ หลังจบสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สอง ชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ถึงถูกปีศาจระดับสูงมองว่าช้าเร็วยังไงก็ต้องตกมาอยู่ในมือแน่นอน
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าราชาในสภาเจ้าชีวิตต่างตกใจกันเรื่องจดหมายสั่งเสียของอุรูค
แต่ตอนนี้ เฮคซอดยิ่งรับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่กล่าวเอาไว้ในจดหมายนั้นไม่ใช่คำพูดที่กล่าวเกินจริง
ถ้าบอกว่าวิธีการใช้ไฟที่เหนือความคาดหมายของมนุษย์ยังไม่น่ากลัวพอที่จะทำให้จักรพรรดิต้องระวัง อย่างนั้นอาวุธใหม่ของศัตรูที่เผ่าพันธุ์ของมันค้นพบเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั้นเรียกได้ว่าทำให้มันต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หมดเลยทีเดียว
มนุษย์ตัวผู้ ร่างที่ถูกมองว่าไร้ค่าสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยนกเหล็กรูปร่างแปลกๆ โดยไม่มีการช่วยเหลือของแม่มด!
ในตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรก ความคิดแรกของมันคือไม่มีทางเป็นไปได้
นับแต่โบราณมา นอกจากนกแล้ว ท้องฟ้าคือดินแดนของผู้ที่มีเวทมนตร์ บวกกับตำนานที่บอกว่าพระเจ้านั้นมาด้านนอกท้องฟ้า นั่นยิ่งทำให้ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวนั้นยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก แล้วเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีแม้กระทั่งเวทมนตร์พวกนั้นจะย่างกรายเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร!?
แต่คนที่เห็นเหตุการณ์ไม่ได้มีแค่คนเดียว เฮคซอดที่ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่าบางทีการยกระดับของมนุษย์าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับไฟเพียงอย่างเดียวแล้ว
ถูกต้อง มันเริ่มจะเอนเอียงไปทาง ‘ทฤษฎีการยกระดับ’ อันน่าตกใจที่ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์บอกแล้ว —- เกรงว่าไนท์แมร์คงจะรู้เรื่องนี้ได้เร็วกว่ามัน อีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจเข้าไปหาคำตอบในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึก
เพราะความเร็วในการวิวัฒนาการที่มนุษย์แสดงออกมานั้นเร็วมากเกินไป
เพราะในจดหมายที่อุรูคเขียนเอาไว้ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนกเหล็กเลย ถ้าตอนนี้พวกเขามีอาวุธชนิดนี้จริงๆ มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะแอบซ่อนเอาไว้แล้วเพิ่งเอาออกมาใช้ตอนนี้ คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นก้าวไปไกลกว่าที่มันจะคิดถึงได้
และการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขนาดนี้ก็มีแค่การยกระดับเท่านั้นถึงจะอธิบายได้
ทันทีที่มนุษย์ตัวผู้สามารถกลายเป็นกำลังหลักในการสู้รบได้ ความสามารถในการสู้รบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก บางทีนี่อาจจะเป็นคำเตือนที่แท้จริงที่แอบซ่อนอยู่ในจดหมายที่อุรูคเขียนเอาไว้
โชคดีที่เมื่อเทียบกับไฟแล้ว เฮคซอดมีความคุ้นเคยกับท้องฟ้ามากกว่า ส่วนนกเหล็กที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าอสูรสยองเท่าไร ขอเพียงมีมันอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาในท้องฟ้าได้!
การโจมตีครั้งนี้ไม่มีทางที่จะล้มเหลวเหมือนครั้งก่อนอย่างแน่นอน
ความมั่นใจอันนี้ไม่ใช่การดูถูก เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การที่ยังดูถูกศัตรูอีกนั้นนับว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างมาก
ความมั่นใจของมันมาจากฉายาของมัน
เพราะว่ามันคือเจ้าแห่งท้องฟ้า!
หลังเดินผ่านประตูมา สกายลอร์ดก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงชายขอบของเกาะ
คนที่มาด้วยกันยังมีพาราซีติคอายการ์ดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายไม่ห่าง ถ้าบอกอายการ์ดคือหนึ่งในปีศาจที่หายาก อย่างนั้นพาราซิติคอายการ์ดก็เป็นทรัพยากรที่ล้ำค่ายิ่งกว่า เทคโนโลยีนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอารยธรรมใต้ดิน มันจำเป็นต้องเสียสละผู้ยกระดับตัวหนึ่งไปหลอมรวมกับอายการ์ด หากสำเร็จ ผู้ยกระดับก็จะเป็นเปลือกเปล่าๆ สำหรับรองรับวิญญาณ ส่วนอายการ์ดก็จะได้รับความสามารถในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ถึงแม้จะมีค่าตอบแทนที่สูง แต่เฮคซอดก็ยังเอามันมายังแนวหน้าของสนามรบอย่างไม่ลังเลและคอยติดตามตัวเองอยู่ตลอด เวลา มีเพียงวิธีนี้มันถึงจะหยุดเป้าหมายที่สำคัญเป้าหมายหนึ่งที่อุรูคพูดถึงได้ นั่นคือแม่มดคนหนึ่งที่สามารถโจมตีในระยะที่ไกลมากได้
แต่จนกระทั่งมันมาถึงเกาะแล้ว ภาพของแม่มดคนนี้ก็ยังไม่ปรากฏขึ้นมาในหัวของมัน นี่หมายความว่าอันตรายเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถทำร้ายมันได้ไม่ได้อยู่บนเกาะ
ขณะเดียวกัน มันก็ยังไม่พบดวงตาใดๆ ที่มองมาทางนี้
ไม่มีโอกาสไหนที่จะดีกว่าตอนนี้อีกแล้ว
เฮดซอร์ดไม่รอช้า มันเปิดประตูมิติแบบเต็มรูปแบบ!
โพรงสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของมัน ก่อนจะขยายตัวออกไปกว้างหลายสิบก้าวอย่างรวดเร็ว แนวป้องกันตามธรรมชาติใดๆ ล้วนแต่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน!
หมอกแดงทะลักออกมา ซีอาซิสที่เป็นผู้ยกระดับระดับสูงปรากฏขึ้นตรงหน้ามันเป็นคนแรก “ท่านสกายลอร์ด กองทัพของท่านเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ชิงเอาเกาะนี้มาให้ได้ ฆ่าคนที่ขัดขืนทิ้งให้หมด!”
“รับทราบขอรับ!” ซีอาซิสส่งเสียงหวีดร้อง ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีพลังจิตที่ผ่านพิธียกระดับมาแล้วสามครั้ง เสียงหวีดร้องนี้เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์ที่ไม่ได้สวมใส่หินอาญาสิทธิ์กลายเป็นบ้าไปตรงนั้นเลย แต่ถึงแม้จะใส่ก็ยังต้องตกอยู่ในภวังค์เนื่องจากจิตใจถูกโจมตี ขณะเดียวกันมันยังเป็นคำสั่งให้บุกโจมตีด้วย หลังจากเสียงหวีดร้องดังขึ้น ร่างระดับต้นและร่างซิมไบออนท์จำนวนมากก็แห่ทะลักออกมาจากประตูมิติ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังกุ่งกลางของเกาะ!
ความแข็งแกร่งของหน้าไม้เพลิงของมนุษย์นั้นอยู่ที่ระยะยิ่ง ขอเพียงร่นระยะห่างได้ ร่างซิมไบออนท์รุ่นใหม่นี้ก็น่าจะสามารถทำลายแนวป้องกันของศัตรูได้
ไม่นานแนวหน้าของกองทัพก็ข้ามกำแพงรอบนอกและเข้าไปประชิดเมืองของมนุษย์
แต่เสียงปืนกลับไม่ดังขึ้น
นี่ทำให้เฮคซอดรู้สึกแปลกใจ
ไม่ง่ายเลยที่มันจะมองศัตรูว่าอยู่ในระดับเดียวกับเผ่าพันธุ์ของมัน ช่องโหว่แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ตัวอีกว่าฐานที่มั่นของตัวเองถูกบุกเข้ามาแล้ว!
“ท่านสกายลอร์ด…” หลังจากนั้นสิบห้านาที จู่ๆ ซีอาซิสก็รีบกลับมา “ภายในเมืองถูกพวกเรายึดเอาไว้หมดแล้ว แต่ว่า…ไม่พบร่องรอยของพวกมนุษย์เลยขอรับ ที่นี่กลายเป็นเมืองร้างแล้วขอรับ!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” เฮคซอดลืมตาโต
“ภายในเมืองยังมีสิ่งก่อสร้างอีกมากมายที่ยังสร้างไม่เสร็จ ดูแล้วเหมือนมันเพิ่งจะสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน เกรงว่าพวกมันคงจะเพิ่งทิ้งเกาะอาชดยุคไปเมื่อ 1 – 2 วันก่อนหน้านี้เองขอรับ”
หมายความว่า…เรือที่พวกยามเห็นพวกนั้นไม่ใช่การขนทหารขึ้นเกาะ หากแต่เป็นการขนทหารอพยพออกจากเกาะอย่างนั้นเหรอ?
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
การเคลื่อนไหวของมนุษย์ครั้งนี้เหมือนกับรู้ว่ามันกำลังจะมาโจมตีเกาะอาชดยุคอย่างนั้นแหละ! แต่ปัญหาก็คือมันจงใจให้กองทัพหลีกเลี่ยงเมืองทั้งหมดแล้ว ถนนทุกเส้นที่จะผ่านก็มีอายการ์ดคอยตรวจสอบ คนงานมนุษย์ที่น่าจะแพร่งพรายความลับได้ง่ายที่สุด มันก็ให้ทหารคอยจับตาดูเอาไว้ เพื่อตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะติดต่อกับโลกภายนอก ต่อให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ พวกเขาก็ไม่น่าจะถอยออกมาเร็วขนาดนี้นี่นา!
ข่าวมันรั่วออกไปจากทางไหนกันแน่?
ยังไม่ทันที่มันจะครุ่นคิดถึงปัญหานี้ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากตรงกลางเกาะ พริบตานั้นเอง พื้นดินพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา
ลูกบอลเพลิงที่สว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งพลันส่องสว่างขึ้นมาในเวลากลางวัน ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นคลื่นอากาศอันรุนแรงก็กวาดไปทั่วทั้งเมืองชั้นใน เศษฝุ่นที่พุ่งทะลักออกมากลืนกินทหารที่อยู่ในเมืองไปในพริบตา
…………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น