Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1300-1305
ตอนที่ 1300 โจมตี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
การบินในฤดูหนาวนั้นไม่ใช่เรื่องที่สบายเลย
ถึงแม้เหล่าอัศวินอากาศจะสวมใส่หมวกหนังสุนัขจิ้งจอก ผ้าพันคอขันสัตว์และแว่นกันลม แต่ผิวหนังบนใบหน้าบางส่วนยังคงรู้สึกได้ถึงความหนาวที่เสียดกระดูก
เพราะว่ากระจกกันลมของเฮฟเว่นเฟลมนั้นตั้งอยู่ด้านหน้า ในตอนที่ลมเปลี่ยนทิศหรือเครื่องบินมีการเปลี่ยนทิศทางการบิน ลมหนาวก็ยังพัดพาเอาเกล็ดหิมะปลิวเข้ามาในห้องโดยสารอยู่
แต่กู๊ดก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกแบบแบบนี้
บนหัวเขาคือปีกขนาดใหญ่ ทัศนวิสัยด้านหน้ามีแค่เส้นเล็กๆ ยาวๆ ถ้าอยากจะดูสถานการณ์บนพื้นดิน วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือชกโงกหน้าออกไปจากห้องโดยสาร ความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เขากับฟินกิ้นทำบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ อัศวินอากาศไม่ได้เป็นเหมือนทหารธรรมดาที่ลงไปในสนามรบแล้วก็ชักอาวุธออกมาสู้กัน ถ้าไม่รู้ตำแหน่งของศัตรูล่วงหน้า แค่จะหาเป้าหมายจากบนอากาศก็ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแล้ว
เพราะว่าในระยะทางที่มากกว่าพันกิโลเมตร เฮฟเว่นเฟลมแทบจะมีขนาดเล็กเท่ากับมดเท่านั้น นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่บนพื้นเลย
เกรงว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินปีกสองชั้นต้องมีนักบินสองคน ตาสองคู่ยังไงก็ต้องมองได้ไกลกว่าคู่เดียวแน่นอน
“เจออะไรไหม?”
เขาหันหน้าไปถาม
เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เหล่าอัศวินอากาศได้บินผ่านเมืองกัสต์มา เมื่อคำนวณดูจากแผนที่แล้ว ถ้าศัตรูยังคงไล่ตามชาวบ้านที่อพยพอยู่ พวกมันก็น่าจะยังอยู่ในละแวกนี้ เพื่อที่จะค้นหาเป้าหมายให้ได้โดยเร็ว เครื่องบินทั้งสี่ลำจึงได้กระจายตัวออกไปรูปพัดโดยอิงทิศเหนือเป็นเส้นกึ่งกลาง
ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีการค้นหาด้วยเครื่องบินหลายลำตามที่เขียนเอาไว้ใน ‘คู่มือการบิน’
ตามทฤษฎีแล้วขอเพียงไม่ออกนอกเส้นทาง เครื่องบินทั้งสี่ลำก็เพียงพอที่จะปกคลุมพื้นที่ 200 กิโลเมตร แต่เมื่อคำนึงถึงผลกระทบจากสภาพอากาศ เครื่องบินแต่ละกลุ่มจึงไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากกันมากนัก นี่ทำให้พื้นที่ที่เป็นรูปพัดจึงหดเล็กลงกว่าเดิมอย่างมาก
“ไม่มีอะไรเลย!” ฟินกิ้นยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “คงไม่ใช่ว่าปีศาจมันไล่ตามผู้อพยพทัน จากนั้นก็ฆ่าพวกเขาจนหมดแล้วกลับไปแล้วหรอกนะ”
“อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะเห็นกองซากศพจำนวนมากถึงจะถูก!”
“ก็จริง เดี๋ยวข้าพยายามดูอีกหน่อย…ขอให้หิมะอย่าเพิ่งกลบพวกเขาไปจนหมดแล้วกัน” ฟินกิ้นพูดงึมงำ “เพื่อน เจ้าบินลงไปต่ำหน่อยได้ไหม?”
กู๊ดกดหัวเครื่องบินลง ขณะเดียวกันก็เหลือบมองดูเข็มทิศกับเครื่องวัดระดับความสูง
นี่เป็นตัวเลขสำคัญที่ทำให้เฮฟเว่นเฟลมรู้ว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน
แต่ว่าใน ‘คู่มือการบิน’ ก็มีการเตือนเอาไว้เหมือนกันว่าอย่าเชื่อเครื่องวัดเกินไป ‘เพราะความสามารถทางด้านเทคโนโลยีของฝ่าบาทยังมีจำกัด จึงทำให้เครื่องวัดมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในตอนที่สภาพอากาศ ระดับความสูงและลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อย่าลืมชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกบ่อยๆ ทิลลี วิมเบิลดัน’
“มากที่สุดแค่ 300 เมตร ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว ที่นี่ไม่เหมือนดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลที่มีแต่ที่ราบ”
เขายังไม่ทันพูดจบ ฟินกิ้นก็พูดตัดบทเขาขึ้นมา “ทางด้านขวา 2 องศา! ตรงนั้นเหมือนมีความเคลื่อนไหว!”
กู๊ดหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา เขาปรับทิศทางการบินทันที
นอกจากเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์แล้ว กู๊ดแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่นเลย ด้วยเหตุนี้ความเคลื่อนไหวที่เพื่อนของเขาพูดถึงจะต้องไม่ได้หมายถึงเสียงแน่นอน หากแต่เป็นความเคลื่อนไหวที่มองเห็นได้ด้วยดวงตา และในพื้นที่รกร้างที่อยู่ในสภาพอากาศแบบนี้ การที่มีความเคลื่อนไหวมันก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
ไม่นาน สายตาของกู๊ดก็มองเห็นความผิดปกติ บนเนินเขาลูกหนึ่ง ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา เขามองเห็นเงาดำเป็นจำนวนมาก พวกมันไม่ได้กระจัดกระจาย หากแต่เรียงต่อเป็นเส้นยาวจำนวนหลายเส้น มองดูไกลๆ แล้วคล้ายกับเส้นผมที่ตกลงไปบนหิมะ
“นั่นมัน…รอยเท้า?”
เสียงตะโกนของฟินกิ้นช่วยตอบความสงสัยของเขา “ใช่ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้อพยพที่องค์หญิงบอก! บนเนินเขามีคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่คนสองคน! พระเจ้า ปีศาจกำลังไล่ฆ่าพวกผู้อพยพ ข้ามองเห็นศพมากกว่าร้อยศพ! ดูจากร่างกายพวกมันแล้ว พวกมันน่าจะเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง จำนวนของพวกมันมีประมาณ 30 – 40 ตัว!”
“ส่งสัญญาณเถอะ!” กู๊ดไม่ลังเลอีก เขากดคันบังคับลง “พวกเราลงไปก่อน!”
หลังจากมีเสียง ‘ฟึบ’ ดังขึ้นมา สัญญาณสีเขียวสามดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูแล้วตัดกับพระจันทร์สีแดงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าอย่างชัดเจน
เครื่องบินพุ่งลงไปหาเนิน ระยะห่างของทั้งสองฝั่งลดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พวกเขาห่างจากยอดเนิน 400 – 500 เมตร ในที่สุดกู๊ดก็มองเห็นผู้อพยพที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นหิมะ พวกเขาวิ่งลงเนินไปอย่างหวาดกลัว มีหลายคนที่กลิ้งตกลงไปด้านล่าง จุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็คงจะรู้ๆ กันอยู่
ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ กลืนกินกลุ่มผู้อพยพทีละน้อย ศัตรูแทบจะไม่ได้แสดงพละกำลังหรือความเร็วที่เหนือมนุษย์ออกมาเลย แทนที่จะบอกว่าไล่ฆ่า พวกมันเหมือนกำลังเล่นเกมฆ่าเวลาอยู่ต่างหาก
กู๊ดรู้สึกเลือดลมพุ่งพล่านทันที
เขานึกถึงเรื่องการยิงที่ได้เรียนมา ก่อนจะหันหัวเครื่องบินเล็งไปยังปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่บนยอดเนิน จนกระทั่งหัวเครื่องบินกับปีศาจคุ้มคลั่งเชื่อมต่อกันกลายเป็นเส้นตรง เขาจึงกดเหนี่ยวไก
ปืนกลตรงหัวเครื่องบินส่งเสียงคำรามออกมาทันที!
นี่เป็นวิธีที่ทำให้เฮฟเว่นเฟลมยิงถูกเป้าหมายได้ง่ายที่สุด บนความสูง 200 – 300 เมตร เขาแทบจะไม่ต้องคิดถึงวิถีกระสุนเลย ตำแหน่งที่หัวเครื่องบินชี้ไปก็คือทิศทางที่กระสุนจะวิ่งผ่าน ต่อให้เป็นเขาก็ไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่!
กระสุนที่สาดออกไปลาก ‘เส้นแบ่งเขต’ ขึ้นมาบนพื้นหิมะทันที!”
ในเวลานี้ปีศาจเองก็สังเกตเห็นนกยักษ์ที่พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าเหมือนกัน พวกมันดึงหอกพร้อมส่งเสียงร้องแปลกๆ ก่อนจะยกหอกเล็งมาทางเฮฟเว่นเฟลมโดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เอง เส้นแบ่งเขตนั้นไม่สามารถหยุดยั้งฝูงปีศาจเอาไว้ได้
สิ่งที่มันแบ่งออกมาคือความเป็นหรือความตายเท่านั้น
หัวกระสุนโลหะส่งเสียงหวีด ก่อนจะพุ่งทะลุร่างกายของปีศาจคุ้มคลั่ง บนเสาหิมะที่พุ่งขึ้นมาเสาแล้วเสาเล่ามีสีน้ำเงินแต้มเป็นจุดๆ หมอกเลือดสีน้ำเงินพ่นออกมาจากข้างหลังปีศาจที่ถูกยิงเข้าที่หน้าอก แขนและขาที่ถูกยิงกระเด็นขาดออกมาจากร่างกาย เศษเนื้อและแขนขากระเด็นกระดอนไปทั่ว การไล่ล่าของศัตรูหยุดชะงักลง
หลังยิงเสร็จไปรอบหนึ่ง หอกของปีศาจเพิ่งจะพุ่งออกมา แต่เสียดายที่ความสูงระดับนี้ หอกของศัตรูไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเฮฟเว่นเฟลมได้ ถึงแม้จะลอยมาถึง ตัวหอกก็ได้สูญเสียพลังและความเร็วไปหมดแล้ว การจะสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินที่กำลังบินด้วยความเร็วสูงจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่การโจมตีของเฮฟว่นเฟลมยังไม่จบ
ในขณะที่กู๊ดเชิดหัวเครื่องบินขึ้น นั่นก็เป็นเวลาที่มือยิงด้านหลังคนขับจะได้แสดงฝีมือ
ฟินกิ้นกราดยิงไปบนยอดเขา แต่เมื่อเทียบกับการพุ่งยิ่งที่อาศัยหัวเครื่องบินในการช่วยเล็งในตอนแรกแล้ว การยิงเสริมของเขาจำเป็นอาศัยแต่ประสบการณ์เท่านั้น
ในเวลานี้พวกปีศาจเหมือนจะรู้ตัวว่านกแปลกๆ บนท้องฟ้านั้นไม่ใช่สัตว์อสูรพันธุ์ผสมหรือสัตว์ประหลาดอะไร หากแต่เป็นอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นมา! แต่ถึงจะรู้ตัวมันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกมันแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ไม่ว่าจะซ่อนตัวหรือว่าสู้ตายก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเฮฟเวนเฟลมที่บินอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ความหวังที่จะหลบหนีก็ดูริบหรี่อย่างมาก
ในสงครามแห่งโชคชะตาในอดีต มนุษย์สิ้นหวังเมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรสยองที่บินได้เร็วกว่าสูงกว่าแค่ไหน ตอนนี้ปีศาจคุ้มคลั่งก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กู๊ดก็พุ่งลงมาหาปีศาจอีกครั้ง
นอกจากนั้นเครื่องบินอีกสองล้ำก็ปรากฏตัวขึ้นบนขอบฟ้า
เมื่อถูกกระหนาบโจมตีจากหลายด้าน ปีศาจก็เริ่มหันหน้าวิ่งหนีไปด้านหลัง อัศวินอากาศบินตามไปติดๆ เพื่อฉวยโอกาสตอนที่ยังได้เปรียบสังหารศัตรูให้ได้มากที่ีสุด
ไม่ว่าจะเป็นกู๊ดหรือว่าฟินกิ้นต่างก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในช่วงระยะเวลาเกือบพันปีของการปะทะกันของทั้งสองเผ่าพันธุ์ที่ฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่าไล่ล่าฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่า ถึงแม้จะเป็นหน่วยที่ทำการอพยพชาวบ้านของกองทัพที่หนึ่ง พวกเขาก็ยังไม่กล้าเปิดฉากโจมตีใส่ศัตรูในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเรื่องจำนวนคนเลย แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าปีศาจคุ้มคลั่งจำนวน 40 – 50 ตัวนี้กลับมีแค่เครื่องบิน 3 ลำที่มีคนรวมกันแล้วแค่ 6 คนเท่านั้น
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1301 การต่อสู้ท่ามกลางหิมะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่นกประหลาดสีเทาส่งเสียงหวีดร้องแล้วพุ่งเข้ามาทางเนินเขา เดิมไวท์นึกว่าตัวเองคงต้องจบเห่ลงตรงนี้แล้ว
ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของเขาก็คือ ‘ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นยังงี้เขาคงจะไม่มารับคนไกลขนาดนี้หรอก!’
เป็นเพราะพวกลูกเรือนั้นน่ะแหละ!
ถ้าไม่เป็นเพราะพวกเขาอิจฉารายได้ของพวกคนรับรถรับส่งผู้อพยพ แล้วก็เริ่มมาขนส่งผู้อพยพด้วย เขาก็คงไม่ต้องเสี่ยงเข้ามาในพื้นที่ด้านในของวูล์ฟฮาร์ทหรอก
ก็แค่ได้เงินเพิ่มมาไม่กี่เหรียญเงินเท่านั้นเอง!
คิดไม่ถึงเลยว่าพอครั้งที่สามก็เจอเข้ากับปีศาจจริงๆ แล้ว
แถมถ้ามีแค่ปีศาจก็ว่าไปอย่าง เพราะขอเพียงเขาวิ่งให้เร็วกว่าผู้อพยพคนอื่น เขาก็อาจจะมีชีวิตรอดออกไปได้ แต่ทันทีที่นกประหลาดบนท้องฟ้าปรากฏตัวขึ้นมา ความหวังของเขาก็ต้องพังทลายลงทันที
ขนาดมีขาสองข้างยังวิ่งสู้ปีกคู่หนึ่งไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเขาที่มีขาแค่ข้างเดียวล่ะ
พระเจ้า ไวท์เอาสองมือขึ้นมากุมหัวตัวเองไว้พร้อมทั้งคุกเข่าลงไปที่พื้นอย่างอ่อนแรง ได้โปรดเห็นแก่ข้าที่เป็นสาวกท่าน ได้โปรดพาข้าไปอยู่ในดินแดนของท่านหลังจากที่ข้าตายด้วยเถิด ถ้าให้ดีก็ขอให้ข้ามีเงินใช้ตลอดด้วย….
แต่นกประหลาดก็ไม่ได้ฉีกเขาเป็นชิ้นๆ หากแต่ส่งเสียงร้องที่ฟังดูคุ้นเคยอย่างมากออกมา
เขาเคยได้ยินเสียงร้องแบบนี้ที่อ่าวดีพพูลมาก่อน เวลาที่คนเกรย์คาสเซิลยิงอาวุธของพวกเขา เสียงร้องแบบนี้ก็จะดังต่อเนื่องไปทั่วทั้งสนามรบ ครั้งที่แล้วมันร้องอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กองทัพตัวแทนของตระกูลทัสก์กับตระกูลเรดสโตนเกทก็ถูกเล่นงานจนย่อยยับเลย
หรือว่า…คนเกรย์คาสเซิลมาช่วยเขา?
ไวท์เงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นภาพที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางที่จะจินตนาการถึง
เขาเห็นตรงส่วนหัวของนกประหลาดยิงแส้ลำแสงสีขาวเงินออกมา ตัวแส้เหมือนมีความคิดเป็นของตัวเอง มันวิ่งทะลุฝูงปีศาจที่อยู่ด้านหลังเขา เพียงแค่มันชี้ไป พื้นหิมะก็เหมือนเดือดพล่านขึ้นมา ปีศาจล้มลงไปกับพื้นทันทีที่เสียงดังขึ้น เหมือนกับว่าในประกายแสงที่สว่างวาบขึ้นมานั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันรุนแรง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
แต่สิ่งที่ทำให้ไวท์รู้สึกตื่นเต้นก็คือพวกปีศาจนั้นถูกการโจมตีอย่างกะทันหันนี้เล่นงานจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน พวกมันไม่เพียงแต่จะหยุดการไล่ล่า การแต่ยังพากันวิ่งหนีหลังจากที่การโจมตีกลับของพวกมันไม่ได้ผลด้วย
“คุณไวท์ นั่น นั่นมันคืออะไร?” ผู้อพยพที่อยู่รอบๆ ถามเสียงสั่นขึ้นมา
ตอนแรกเขาคิดจะส่ายหัว แต่ทันใดนั้นภายในหัวเขาพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา
ไวท์หยิกขาตัวเองแรงๆ ฝืนบังคับให้ตัวเองลุกขึ้นมา ก่อนจะหันไปทางผู้อพยพที่กำลังหวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง จากนั้นจึงกางแขนทั้งสองข้างอกแล้วตะโกนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว นี่คือกองทัพคุ้มกันของเกรย์คาสเซิลที่ข้าบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้! ข้าเป็นคนเรียกพวกเขามาเอง!”
“คนเกรย์คาสเซิล?” พวกชาวบ้านพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “จากบนฟ้าเหรอ?”
“ถูกต้อง!”
“เจ้าหมายความว่า…พวกเรารอดแล้วเหรอ?”
“ตอนนี้เหมือนจะเป็นเช่นนั้นแต่ว่าการคุ้มครองนี้ไม่ได้คุ้มครองฟรีๆ ราคาของมันเรียกได้ว่าสูงทีเดียว! ซึ่งข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปเมื่อไร”
ไวท์ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกผู้อพยพที่กำลังหวาดกลัวพูดตัดบทขึ้นมา “อย่าให้พวกเขาไป! ข้ายินดีจ่ายค่าเดินทางเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง!”
“ข้าให้เพิ่ม 2 เหรียญเงิน!”
“ขอเพียงพาข้าไปส่งให้อ่าวดีพพูล ข้าจะมอบแหวนทองวงนี้ให้เจ้า!”
“ข้าด้วย…”
เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย ความหวาดกลัวทำให้พวกเขาระเบิดแรงขับดันอันน่าตกใจออกมา กลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้ยังสิ้นหวังจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินพลันลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะไปบอกคนเกรย์คาสเวิลให้ แต่ตอนนี้ตามข้ามาก่อน เอ่อ ขาข้าไม่ค่อยดี มีใครมาช่วยแบกข้าหน่อยได้ไหม?”
“ข้าเอง!” ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่คนหนึ่งแบกเขาขึ้นหลัง
แบบนี้เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกทิ้งระหว่างหนีแล้ว
ถ้าทุกอย่างราบรื่นดี ไม่แน่เขาอาจจะซื้อรถม้าคันใหม่มาแทนคันเก่าที่พังไปได้ก็ได้
ส่วนเรื่องที่เขาหลอกผู้อพยพ…ตอนนี้สิ่งสำคัญคือทำให้ทุกคนมีขวัญกำลังและหนีออกไปจากที่นี่ไม่ใช่เหรอ?
“ไม่ต้องลน ลืมตาไว้ มองดูรอยเท้าที่คนอื่นทิ้งเอาไว้ อย่ากลิ้งตกเขาไปล่ะ!” ไวท์สั่งให้ชายหนุ่มวิ่งลงเนินไปก่อน
…..
กู๊ดไล่ยิงปีศาจอยู่ครู่ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างแปลกๆ
ฝูงบินเหมือนจะมีเครื่องบินน้อยไปลำหนึ่ง
ถึงแม้ศัตรูจะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แต่การจะกำจัดปีศาจ 30 – 40 ตัวนี้ทิ้งทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น นอกจากเรื่องของผลกระทบจากสภาพอากาศแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการยิงของพวกเขาค่อนข้างประปราย เผลอๆ จะสู้ตอนที่ฝึกยิงเป้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังเขาดึงเครื่องบินขึ้นพร้อมนับจำนวนเครื่องบินดู เขาก็ต้องตกใจทันที
ในบรรดาเครื่องบิน 4 ลำ เครื่องบินที่หายไปคือยูนิคอร์นขององค์หญิง!
นอกจากเรื่องที่นั่งนักบินที่มีแค่ที่้เดียวแล้ว เครื่องบินของเธอก็แทบจะเหมือนกับเฮฟเว่นเฟลมทุกอย่าง การที่จะถูกมองข้ามไปในระหว่างที่ทำการต่อสู้อยู่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในเวลาไม่ใช่เวลาจะมานั่งวิเคราะห์อะไรแล้ว อีกฝ่ายคือน้องสาวของฝ่าบาท หากมีอะไรเกิดขึ้น คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือพวกเขา
ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกฟินกิ้น ท้องฟ้าทางด้านเหนือพลันมีสัญญาณสีเขียว 3 ลูกสว่างขึ้นมา
นั่นคือสัญญาณว่าพบศัตรู!
แต่ว่า…ศัตรูอยู่ทางนี้ไม่ใช่เหรอ?
กู๊ดตกใจทันที เขาทิ้งเป้าหมายที่บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งตรงนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาสัญญาณ
“เอ๋ เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหน? ถ้าหนีทหารเราต้องไปขึ้นศาลทหารนะ!” ฟินกิ้นที่กำลังกราดยิงอย่างตั้งใจหันมาถามอย่างงุนงง
“อย่าพูดโง่ๆ น่า” กู๊ดรีบพูดขึ้นมาอย่างร้อนใจ “เจ้าไม่เห็นเหรอว่าองค์หญิงไม่ได้เสด็จตามพวกเรามาด้วย!”
ฟินกิ้นหันหน้ากลับไป ก่อนจะต้องสูดปากด้วยความตกใจทันที
เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองเห็นไฟสัญญาณสามดวงนั่นเหมือนกัน
โชคดีที่ก่อนจะออกค้นหาพวกเขาได้คิดถึงเรื่องการติดต่อสื่อสารที่ไม่สะดวกเอาไว้แล้ว เครื่องบินแต่ละลำจึงอยู่ไม่ห่างกันมากนัก กู๊ดใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึงตำแหน่งที่ยิงกระสุนสัญญาณ
จากนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ
เครื่องบินปีกสองชั้นกำลังกราดยิงไปที่พื้นลำนั้นคือยูนิคอร์น
ส่วนสิ่งที่องค์หญิงกำลังโจมตีอยู่ก็คือปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยๆ เมื่อดูจากจำนวนของศัตรูแล้วเหมือนจะมีเยอะกว่ากลุ่มปีศาจที่ไล่โจมตีผู้อพยพอยู่หน่อย
ทำไมตรงนี้ถึงมีปีศาจสองกลุ่ม?
ทำไมคนที่ไล่โจมตีถึงเป็นฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่า
กู๊ดรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที แต่เขายังไม่ทันจะได้คิดอะไร ฟินกิ้นที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “ปีศาจตรงนี้เยอะกว่าตรงนั้นอีก! รีบตามองหญิงไปเร็ว ข้าอยากจะเหนี่ยวไกจะแย่แล้ว!”
เฮฟเว่นเฟลมอีกสองลำตามหลังมา
ช่างมัน กู๊ดโยนความสงสัยทิ้งไปด้านหลัง ยังไงซะปีศาจก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ กองทัพของศัตรูก่อนหน้านี้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว งั้นมาจัดการกลุ่มนี้ต่อก็แล้วกัน
แต่ในขณะที่ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา ในพุ่งไม้พลันมีอสูรสยองส่งเสียงร้องพร้อมบินออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ยูนิคอร์นจากทุกทิศทุกทาง!
ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น ‘ศัตรูในจินตนาการ’ ของอัศวินอากาศ แต่เขาก็ยังจำได้ทันทีว่ามันเหมือนกับภาพสัตว์ประหลาดที่เขาเห็นอยู่ในสมุดภาพคู่มือ
เลือดในร่างกายของกู๊ดจับตัวแข็งขึ้นมาทันที
จำนวนของอสูรสยองอย่างน้อยๆ ก็มี 10 กว่าตัว
ส่วนระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่เกิน 400 – 500 เมตร จะให้ทิ้งองค์หญิงเอาไว้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน อย่างนั้นพวกเขาต้องทำอย่างไรถึงจะเอาชนะได้?
ความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนผุกขึ้นมาในหัว แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธทิ้งไปทั้งหมด เวลาเหมือนจะผ่านไปนาน แต่ก็เหมือนจะผ่านไปแค่สั้นๆ เหมือนกัน ในตอนที่เขายังคิดหาวิธีไม่ออก ทิลลีพลันชิงลงมือก่อน
ยูนิคอร์นเชิดหัวขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเลี้ยวแล้วบินไปทางตะวันออก ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณไฟสีแดงถูกยิงออกมา
นั่นคือสัญญาณให้ถอย!
กู๊ดเหยียบคันเร่งพุ่งตามหลังยูนิคอร์นไปทางตะวันออกทันที
ความได้เปรียบในการด้านความเร็วของเครื่องบินปีกสองชั้นถูกแสดงออกมาในเวลานี้
อสูรสยองตัวที่อยู่ใกล้ฝูงเครื่องบินที่สุดบินเข้ามาเฉียดในระยะยิง แต่ไม่นานเครื่องบินทั้งสี่ลำก็สลัดพวกมันทิ้งไปเอาไว้ด้านหลัง แล้วหายเข้าไปในหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา
………………………………………………………………
ตอนที่ 1302 คนเจ้าแผนการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน
“ไม่ทราบว่านั่นใช่องค์หญิงหรือเปล่าเพคะ?”
“ใช่เพคะ ทางศูนย์บัญชาการเพิ่งจะได้ข่าวมา รายละเอียดจำนวนคนยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีมากกว่า 600 คนเพคะ”
“กองทหารที่ประจำการอยู่ที่เมืองกัสต์รับตัวพวกเขาเอาไว้แล้ว หลังพักผ่อนแล้วพวกเขาน่าจะเดินทางต่อไปที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เพคะ”
“ไม่เพคะ นี่เป็นสิ่งที่พวกหม่อมฉันควรจะทำเพคะ”
“ขอบพระทัยพระองค์มากเพคะ พระองค์พักผ่อนเยอะๆ นะเพคะ”
เอดิธส์รายงานเสร็จ จากนั้นจึงวางโทรศัพท์ลง
ในฐานะที่เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ดีที่สุดในเวลานี้ โทรศัพท์ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทางทีมที่ปรึกษาไม่อาจขาดได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องระยะทาง ปัจจุบันมีแค่ค่ายของอัศวินอากาศที่นอกเมืองธอร์นเท่านั้นที่สามารถต่อสายมาที่ภูเขาเคจเมาเธ่นได้
เธอหันหน้ากลับมา ก่อนจะเห็นแลนซ์ เคนท์ซึ่งเป็นน้องชายคนที่สามกำลังทำหน้าตกใจ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
แลนซ์ไม่เหมือนกับโคลที่เป็นน้องชายคนที่สอง เอดิธส์ใช้เส้นสายในการดึงตัวแลนซ์เข้ามาอยู่ในกองเสนาธิการทหารใหญ่หลังจากที่สอบผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐานเสร็จ ด้วยนิสัยของน้องชายคนที่สามที่มีความคล่องตัวมากกว่า เธอจึงคิดว่าจะเหมาะกว่าถ้าให้เธอเป็นคนดูแลเขาเอง
แต่แน่นอน เธอจะได้มีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดเวลาที่ถูกทรมานในระยะใกล้ๆ ด้วย
“เอ่อ…เปล่า ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่แปลกใจ ที่แท้ท่านพี่ก็ให้ความเคารพคนอื่นเป็นเหมือนกัน” แลนซ์หอบกองเอกสารเดินเข้ามา “เมื่อก่อนต่อให้คุยกับท่านพ่อ ท่านยังไม่เคยเกรงใจขนาดนี้เลย”
“ข้านึกว่าหลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว สมองเจ้าจะฉลาดขึ้นหน่อยนะเนี่ย” เอดิธส์พูดอย่างไม่ถือสา “ที่ข้าพูดกับท่านพ่ออย่างนั้น เพราะท่านพ่อไม่มีทางว่าอะไรข้า แต่ทิลลี วิมเบิลดันเป็นน้องสาวของฝ่าบาทโรแลนด์ ถ้าพระองค์ไปพูดว่าข้าไร้มารยาทต่อหน้าพี่ชาย เจ้าคิดว่าอนาคตของตระกูลเคนท์จะเป็นยังไง?”
“แต่ข้ามักจะรู้สึกว่า กับฝ่าบาท….ท่านก็ยังไม่เคารพขนาดนี้เลย…”
“เพราะฝ่าบาทเป็นผู้ชาย บางครั้งการที่เรารุกบ้างมันกลับจะทำให้ได้ผลที่คาดไม่ถึงได้”
“เอ่อ…ข้าไม่ค่อยเข้าใจ…”
“ใจคนเรายากแท้หยั่งถึง เจ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่แปลกหรอก” เอดิธส์ยักไหล่ “ต่อให้เจ้ามีความสามารถนับร้อยนับพัน แต่ถ้าไม่เข้าใจใจคน เขาก็ยังไม่อาจกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้”
“ท่านพี่ ท่านสอนข้าหน่อยได้ไหม?” แลนซ์ถามอย่างมีหวัง
“ได้สิ” เอดิธส์กวาดตามองเขาอย่างสนใจ “แต่ถ้าอธิบายปากเปล่าเพียงอย่างเดียว มันสู้เจ้ามาลองเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก อย่างเช่นโคล เขาทำเรื่องนี้ได้ดีมากเลย ว่าไง เจ้าอยากจะลองดูไหม?”
แลนซ์รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เมื่อคิดถึงสภาพพี่ชายตอนที่อยู่ในบ้านแล้ว เขาพลันกลืนน้ำลายทันที “เอ่อ…ข้าว่าข้ารออีกหน่อยดีกว่า”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหันหน้ากลับ “เจ้าตัดสินใจเองนะ”
แลนซ์ที่เพิ่งจะรอดพ้นจากอันตรายมารีบเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ ท่านโทรไปรายงานองค์หยิงเรื่องที่ผู้อพยพเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยเหรอ?”
เอดิธส์พยักหน้า “เพราะว่าองค์หญิงทิลลีทรงมอบหมายเรื่องนี้ในทางทีมที่ปรึกษาจัดการทันทีที่กลับมา ข้าจึงต้องรีบรายงานพระองค์ทันทีถึงจะถูก”
ภารกิจช่วยเหลือครั้งนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน อัศวินอากาศไม่เพียงแต่จะไปถึงสนามรบที่อยู่ห่างออกไป 200 กิโลเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าแล้วช่วยเหลือผู้อพยพมาได้จำนวนมาก แต่พวกเขายังทำลายแผนการของพวกปีศาจด้วย
ถูกต้อง นี่ไม่ใช่การไล่ฆ่าธรรมดา เมื่อดูจากเบาะแสที่ได้มาแล้ว เกรงว่าผู้อพยพจะเป็นแค่เพียงเหยื่อที่ศัตรูโยนออกมาล่อกองทัพที่หนึ่งเท่านั้น การโจมตีที่แท้จริงนั้นแอบซ่อนอยู่ด้านหลังกลุ่มปีศาจที่ไล่ฆ่าพวกผู้อพยพ
สมมติว่ากองทัพที่หนึ่งส่งทีมช่วยเหลือออกไปจริงๆ จะเป็นยังไง?
เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ดี ระยะทางที่ยาวไกล ถ้าอยากจะไปถึงที่หมายให้ได้เร็วที่สุดก็ต้องพกสิ่งของไม่เยอะ อีกทั้งต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน ส่วนปีศาจนั้นก็แค่ยื้อเวลาในการไล่ฆ่าให้ยืดยาวออกไป กระทั่งทั้งสองฝ่ายมาปะทะกัน ทีมช่วยเหลือก็จะพบว่าสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญนั้นไม่ได้มีแค่กองทัพที่มีจำนวนเยอะกว่าตัวเอง หากแต่ยังต้องรับมือกับการโจมตีของอสูรสยองด้วย
ต่อให้รีบถอยทันที แต่พวกเขาก็ต้องฝ่าพายุหิมะกลับมาอีกเป็นร้อยกิโลเมตร สุดท้ายจะมีกี่คนที่รอดชีวิตกลับมาได้? เกรงว่าอาจจะไม่รอดกลับมาเลยซักคนด้วยซ้ำ
นี่คือครั้งแรกที่พวกปีศาจมันทำการหยั่งเชิงการถอนกำลังของกองทัพที่หนึ่ง
ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะไม่สนใจผู้อพยพหรือว่าไม่สังเกตเห็นการไล่ฆ่าครั้งนี้ มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับปีศาจเลย
พวกมันน่าจะสังเกตเห็นว่าคนเกรย์คาสเซิล วูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ต่อให้สังหารชาวบ้านไปมากเท่าไรมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการแพ้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตา แต่หากทำลายทีมสนับสนุนไป นั้นจะทำให้กองกำลังของทางฝ่ายมนุษย์อ่อนแอลงได้
แต่การปรากฏตัวของอัศวินอากาศได้ทำให้แผนการซุ่มโจมตีครั้งนี้ต้องล้มเหลว
ทุกอย่างนั้นคล้ายกับศึกปืนใหญ่นอร์ธบาวด์เมื่อหนึ่งปีก่อน ศัตรูกับกองทัพที่หนึ่งต่างก็วิเคราะห์โดยมองที่ผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้ทิลลีไม่เห็นกองกำลังที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลัง สถานการณ์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายฝูงบินก็กลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนผู้อพยพก็มีชีวิตรอด เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
“อัศวินอากาศนี่สุดยอดจริงๆ เลย….” แลนซ์อุทานออกไป “ไม่เพียงแต่จะกำจัดปีศาจคุ้มคลั่งไปได้ตั้งหลายสิบตัว แต่ยังหนีรอดจากการซุ่มโจมตีกลับมาได้ด้วย ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ของสมาพันธ์ในอดีตก็คงทำแบบนี้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ สุดยอดจริงๆ”
เอดิธส์ถอนหายใจ ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดไว้บนโต๊ะแล้วค่อยๆ เอนตัวพิงไปบนเก้าอี้้ สีหน้าของเธอดูซึมเซาเล็กน้อย
แลนซ์งุนงง “ท่านเหมือนจะ…ไม่ค่อยดีใจเท่าไร?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ เพียงแต่รู้สึกว่า…อีกไม่นานทีมที่ปรึกษาคงจะถูกลดความสำคัญลง”
“เอ๋?” แลนซ์ลืมตาโต
“เฮฟเว่นเฟลมสี่ลำก็สามารถไล่ปีศาจ 200 กว่าตัวให้ถอยไปได้แล้ว ถ้ากองทัพที่หนึ่งมีเฮฟเว่นเฟลมซัก 100 ลำหรือซัก 1,000 ลำล่ะ?” เอดิธส์ยิ้ม “แบบนั้นขอเพียงสั่งการไปเพียงประโยคเดียว ที่ไหนมีศัตรูก็ส่งอัศวินอากาศไปจัดการก็พอ กลยุทธ์กับแผนการก็จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นทันที ถ้าถึงตอนนั้นยังจะมีทีมที่ปรึกษาไปทำไมล่ะ?”
ความจริงเธอมองเห็นประสิทธิภาพทางการทหารที่แฝงอยู่ในตัวเฮฟเว่นเฟลมตั้งแต่ตอนที่เห็นมันบินไปบินมาได้อย่างอิสระตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากที่ได้คุยกับโรแลนด์เธอก็ยิ่งเข้าใจเรื่องการใช้งานอัศวินอากาศมากขึ้นไปอีก เธอถึงขนาดตั้งหน่วยงานเล็กๆ ขึ้นมาในทีมที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษากลศึกทางอากาศโดยเฉพาะ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากอาวุธชนิดใหม่นี้ให้ได้มากที่สุด
แต่ว่าในตอนที่มันออกไปรบครั้งแรกจริงๆ ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือกลับรู้สึกเสียใจขึ้นมา
เพราะความได้เปรียบของอัศวินอากาศมันเห็นได้ชัดเจนมากเกินไป จนทำให้ความสำคัญของกลยุทธ์ลดลง ในยุคสมัยของอัศวิน การจัดวางกำลังและการวางแผนการรบคือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากอัศวินอากาศมีความได้เปรียบทางด้านทัศนวิสัย ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามรบได้ค่อนข้างชัดเจน ขณะเดียวกันด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว ทำให้มันสามารถปิดกั้นพื้นที่สนามรบทั้งหมดได้
พูดอีกอย่างคือขอเพียงยึดน่านฟ้าเอาไว้ได้ ก็จะทำให้สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทั้งหมด ส่วนสถานการณ์ของศัตรูกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว พวกมันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
แถมฝ่าบาทยังเคยตรัสให้เธอฟังว่าเฮฟเว่นเฟลมเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เหมือนกับการเอาปืนคาบศิลาไปเทียบกับปืนกลแม็กซิม
“ถ้าเป็นแบบนั้น…พวกเราก็กลับไปเมืองอีเทอร์นอลไนท์ก็ได้” แลนซ์พูดเบาๆ
“เกรงว่ามันจะสายไปแล้วน่ะสิ” เอดิธส์ยิ้มพร้อมพูดเสียงเบาๆ “การที่มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เกรงว่าข้าคงผิดใจกับใครไปหลายคนแล้ว เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะปล่อยให้ข้าได้ใช้ชีวิตสบายเหรอ?”
เธอย่อมต้องรู้ว่าถ้าคนที่มีอำนาจคือโรแลนด์ เรื่องแบบนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แต่เธอไม่เคยกลัวที่จะวางแผนชีวิตโดยคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้เสมอ เพราะคำพูดที่ไม่ดีของเธอมักจะไปทำร้ายคนอื่นเสมอ
“ข้าจะ…ปกป้องท่านเอง” แลนซ์กัดริมฝีปาก
“ยังไง? ด้วยสถานะกับความสามารถของเจ้าในตอนนี้เหรอ? ถ้าเจ้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ไม่ได้ คำพูดลอยๆ แบบนี้พูดให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า” เธอพลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมา “ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์มันจะยิ่งแย่กว่าเดิม อย่างเช่นคนพวกนั้นมันอาจจะทำอะไรข้า…..ต่อหน้าเจ้า”
เอดิธส์ปิดปากลงทันที
นอกห้องมีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นมา ไม่นานเฟร์ราน ชิลต์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
“ท่านเอดิธส์ ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่เอง…”
“ทำไม มีข่าวใหม่เหรอ?”
“ถ้ามีก็ดีสิขอรับ” เฟร์รานทำสีหน้าปวดหัวออกมา “เมื่อครู่ข้าตรวจดูว่ารายการสิ่งของที่ทางค่ายฝึกซ้อมอัศวินอากาศต้องการ ข้าเกรงว่าเราคงต้องวางแผนการขนส่งหลังจากนี้ใหม่ขอรับ”
“โอ้?”
“บางทีอ่านอาจจะยังไม่รู้ หลายวันมานี้พวกเขาใช้กระสุนไปเกือบหมื่นนัดแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงกระสุนที่พวกเขาใช้ตอนที่ออกไปรบจริงด้วย” เฟร์รานพูดอย่างปวดหัว “แต่นักเรียนพวกนั้นมีแค่ 20 – 30 คนเอง แต่กระสุนที่พวกเขาต้องใช้นี่เท่ากับหน่วยของกองพันปืนสิบหน่วยเลย! นอกจากนี้ยังมีน้ำมัน ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องบิน ข้าคิดว่าถ้าพวกเขามีจำนวนเพิ่มมากกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เราจะต้องวางแผนเรื่องการขนส่งยังไงเนี่ย…เอ่อ ท่านเอดิธส์?”
จู่ๆ แลนซ์พลันสังเกตเห็นว่าความขี้เกียจบนตัวพี่สาวได้หายไปหมดแล้ว
เอดิธส์ลุกขึ้นมาจากที่นั่งพร้อมกับด้วยสีหน้าราบเรียบ “งานตรงนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้อัศวินอากาศได้ของทุกอย่างครบตามที่ต้องการ” จากนั้นเธอมองไปที่แลนซ์ “เจ้ามัวยืนคงอยู่ตรงนั้นทำไม?”
“ขอรับ?” แลนซ์ยังคงงุนงง
“ตามข้าไปที่ห้องข่าวกรอง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมานั่งพัก” เอดิธส์สางผมของเธอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1303 เบาะแสที่กระจัดกระจาย (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องข่าวกรองเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่มีจำนวนคนเยอะที่สุดและใช้พื้นที่เยอะที่สุดในศูนย์บัญชาการ เพื่อที่จะคัดกรองและเก็บข่าวสารจำนวนมหาศาล โลตัสกับฟรานได้สร้างห้องใต้ดินขึ้นมาให้ทีมที่ปรึกษาใช้เป็นการเฉพาะขึ้นมาห้องหนึ่ง ซึ่งในจำนวนสมาชิกทั้งหมด 200 คนของทีมที่ปรึกษา มี 70% ที่มาทำงานอยู่ที่นี่
ขณะเดียวกันมันยังเป็นห้องทำงานที่ใช้ทรัพยากรเยอะที่สุดด้วย ไม่เพียงแต่จะมีหินเรืองแสงที่ค่อนข้างหายาก ตอนกลางดึกมันยังมีเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้ได้ดื่มฟรีด้วย เรียกได้ว่าสวัสดิการของมันทำให้คนอื่นๆ ต้องอิจฉา
แต่ภายในห้องข่าวกรองกลับมีเสียงบ่นอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเสนอแผนการสายลับขึ้นมา แผนการนี้ก็ค่อยๆ แสดงผลลัพธ์ของมันออกมาให้เห็น จดหมายลับจากอีเทอร์นอลวินเทอร์และวูล์ฟฮาร์ทจากสัปดาห์ละ 2 – 3 ฉบับ จนตอนนี้กลายเป็นวันละเกือบร้อยฉบับ
ถึงแม้จุดประสงค์หลักๆ ที่ตั้งทีมที่ปรึกษาขึ้นมาก็เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร แต่ในอดีตข้อมูลส่วนมากล้วนแต่มาจากการสอดแนมและรายงานจากในสนามรบ ข้อมูลเหล่านั้นไม่เพียงจะเขียนเอาไว้อย่างเรียบร้อย แต่ยังกระชับและเข้าใจได้ง่าย แต่ข่าวจำนวนมากที่ได้มาในทุกวันนี้เป็นแค่คำไม่กี่คำ แม้แต่จะรวมเป็นประโยคก็ยังทำได้ยาก แค่จะตีความหมายว่ามันหมายถึงอะไรก็ใช้เวลาไม่น้อยแล้ว ทำให้การคัดกรองข่าวสารจึงกลายเป็นเหมือนเกมต่อจิ๊กซอว์อย่างไรอย่างนั้น
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด
เมื่อเทียบกับการอ่านวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว การจัดการกับจดหมายลับนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนปวดหัวมากที่สุด
ตามหลักแล้ว การที่ปริมาณข้อมูลข่าวสารมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้นดูไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะตอนนี้ปีศาจกำลังปิดล็อกชายขอบหมอกแดงอยู่ การจะส่งข่าวออกมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลังจากที่ฮิล ฟ็อกส์เข้ามาดูแลงานสายลับ วิธีการส่งข่าวพลันมีความหลากหลายขึ้นมา
อย่างเช่นเขียนเอาไว้ที่ด้านในของหนังสัตว์ ใส่เอาไว้ในคานหาม หรือไม่ก็ยัดเอาไว้ในท้องปลาเค็ม…ขอเพียงขุนนางในพื้นที่นั้นยังไม่หยุดทำการค้า พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะหยุดข่าวสารไม่ให้ไหลออกมาได้ หลายๆ ครั้งแม้แต่คนส่งข่าวก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายข่าวกรองแล้ว
แต่ก็เป็นเพราะแบบนี้ จดหมายลับจึงเรียกได้ว่ามีความหลากหลาย อย่างเช่นความรู้สึกในตอนที่ล้วงเอาเศษผ้าออกมาจากท้องปลานั้นไม่ใช่ความรู้สึกดีที่ซักเท่าไร ยิ่งความรู้สึกตอนที่ต้องทนกลิ่นคาวเอามันไปทำความสะอาดแล้วค่อยเอากลับมาตรวจสอบดูใหม่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ถ้าต้องเปลี่ยนจากการเขียนรายงานพร้อมดื่มชายามบ่ายมาเป็นการล้วงเอาจดหมายออกมาจากข้าวของที่กองกันเหมือนกองขยะ แล้วยังต้องทำให้มันกลับคืนสู่สภาพเดิมเพื่อเอามาตรวจสอบ ไม่ว่าใครก็คงต้องรู้สึกแย่ทั้งนั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีคนบ่น แต่ก็ไม่มีใครกล้าอู้งานแม้แต่คนเดียว เพราะว่าห้องข่าวกรองนี้เป็นหน่วยงานที่เอดิธส์กับขวานเหล็กให้ความสำคัญอย่างมาก การอู้งานต่อหน้าทั้งสองคนนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย
เมื่อเดินเข้ามาในห้องข่าวกรอง ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือก็เห็นขวานเหล็กกำลังคุยกับฮิล ฟ็อกส์อยู่ ส่วนบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางห้องก็มีกระดาษโน๊ตอยู่หลายสิบแผ่น เห็นได้ชัดว่านั้นเป็นข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ในทีมที่ปรึกษาคัดลอกออกมาใหม่
เธอกวาดตามองดู ก่อนจะพบว่าข่าวส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์
โดยส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่ไม่มีที่มาทำไปทำนองว่า ‘ตอนนี้เมืองทางเหนือเมืองหนึ่งมีกองทัพปีศาจเข้ามาประจำการ’ ‘ขุนนางคนหนึ่งตายอย่างประหลาด ส่วนตำแหน่งของเขาก็มีคนเข้ามาแทนที่’ ‘ตรงชายแดนมีสัตว์ประหลาดหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา’ แทบจะไม่มีข่าวที่ดูมีคุณค่าเลย
แต่มันก็ไม่แปลก การที่แผนการสายลับสามารถขยายตัวได้รวดเร็วขนาดนี้ นอกจากความสามารถของฮิลแล้ว ทางแบล็คมันนี่เองก็มีส่วนช่วยอย่างมากเหมือนกัน
หลังจากที่แนะนำให้ขวานเหล็กติดต่อคนส่งการ์ดสีดำมา คนที่อยู่หลังม่านก็ก้าวออกมายืนหน้าเวที ถึงแม้คนที่มาจะเป็นเพียงตัวแทน แต่เขาก็ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือเกรย์คาสเซิล องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นในอาณาจักรดอว์น แต่มันก็มีอิทธิพลในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์เช่นเดียวกัน หลักๆ แล้วอิทธิพลต้องนี้จะเป็นในหมู่ตลาดมืดกับพวกโจรใต้ดิน
ในเมื่อเป็นข่าวสารที่พวกโจรใต้ดินรวบรวมมา คุณภาพของข่าวสารย่อมไม่ได้ดีอะไรมาก บางทีข่าวสารพวกนี้อาจจะมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นเพียงข่าวลือที่พูดกันตามถนน แต่ต่อให้เป็นข่าวที่ดูไร้ค่าแค่ไหน มันก็ยังดีกว่าก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้อะไรเลยมาก
แต่ก็มีกระดาษโน้ตอยู่สองสามแผ่นที่ทำให้เธอสนใจ มันเป็นข่าวที่พูดถึงเรื่องที่มีการ ‘บังคับกะลาสีเรือ’ เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่
“เจ้าคิดว่ายังไง?” ขวานเหล็กเองก็สังเกตเห็นไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเหมือนกัน เขาจึงเอ่ยปากถามออกไป
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในตอนที่การ์เซียบุกโจมตีอีเทอร์นอลวินเทอร์ นางเคยพาเรือเดินทะเลจำนวนมากมาด้วย” เอดิธส์นิ่งเงียบไปครู่ “ถ้าศาสนจักรไม่ได้ทำลายเรือพวกนั้นทิ้ง เกรงว่าตอนนี้พวกมันคงยังอยู่ที่ไหนซักแห่งในอีเทอร์นอลวินเทอร์”
“ดูเหมือนเจ้าเองก็ค่อนข้างสนใจเรื่องนี้เหมือนกัน”
“เมื่อเทียบกับข่าวอื่นๆ แล้ว อย่างน้อยข่าวนี้มันก็ได้รับการยืนยันจากหลายๆ ฝ่าย ความน่าเชื่อถือของมันค่อนข้างสูง” เธอผายมือแล้วพูดว่า “ประโยชน์ของเรือนั้นคือการขนส่ง ปีศาจอาจจะต้องการขนกำลังพลจำนวนมาก หรือไม่ก็คิดที่จะบุกทางทะเล แต่ข้าคิดว่าความไปได้ของข้อที่สองมีไม่สูงนัก”
“เหตุผลล่ะ?” ขวานเหล็กถาม
“สู้กันมานานขนาดนี้แล้ว ปีศาจไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของปืนใหญ่ ไม่น่าพวกมันจะขึ้นเรือไปโจมตีเกาะอาชดยุคหรืออ่าวดีพพูล ก็ล้วนแต่จะต้องถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงก่อนที่จะได้ขึ้นฝั่ง ด้วยความเร็วของเรือใบ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเข้ามาตายเลย” เอดิธส์พูดอธิบาย “ส่วนถ้าจะแอบอ้อมท่าเรือของวูล์ฟฮาร์ทแล้วตรงเข้ามาในอาณาจักรดอว์น มันก็จะเจอกับสถานการณ์ที่หมอกแดงมีไม่เพียงพอ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า ซึ่งการที่ปีศาจจะรวมพลไปยังแนวหน้าให้เร็วยิ่งขึ้น การขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลพร้อมกันจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
พูดจบเธอก็มองไปทางฮิล “เจ้าคิดว่าไง?”
ฮิลโค้งตัวให้เอดิธส์เล็กน้อย “ท่านเอดิธส์ การวิเคราะห์สถานการณ์ในสนามรบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัด ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าศัตรูจะใช้วิธีไหน การเอาเบาะแสเหล่านี้มามองให้กับทางทีมที่ปรึกษาคือเรื่องเดียวที่ข้าสามารถทำได้”
เป็นคนที่ฉลาดทีเดียว
เอดิธส์คิดในใจ เมื่อเทียบกับการพูดเออออไปตามเธอแล้ว การที่เขาสามารถวิเคราะห์ความสามารถตัวเองได้อย่างระมัดระวัง และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรดูจะเป็นการกระทำที่ฉลาดกว่า มิน่าฝ่าบาทถึงได้มอบหมายให้เขาเป็นคนดูแลแผนการสายลับ
“ในเมื่อแม้แต่เจ้าก็ยังมองไม่ออก อย่างนั้นก็น่าจะไม่มีทางอื่นแล้ว” ขวานเหล็กพูดอย่างจนปัญญา “ดังนั้นพวกเราจึงรู้แค่ว่าปีศาจกำลังรวมพล แต่กลับไม่รู้เรื่องรายละเอียดในการจัดวางกำลังพลและกลยุทธ์ของพวกมัน นี่ทำให้ข้ารู้สึกอัดอัดจริงๆ”
“สิ่งสำคัญคือท่านอพยพคนในวูล์ฟฮาร์ทไปจนหมดเกลี้ยง จนทำให้ฮิลไม่มีโอกาสที่จะส่งสายของตัวเองเข้าไป ถ้าท่านไม่อพยพชาวบ้านออกมา ไม่แน่พวกเราอาจจะได้เบาะแสปีศาจไปนานแล้วก็ได้” เอดิธส์พูดหยอก
“ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งของฝ่าบาทหรอก” ขวานเหล็กส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้น…กองทัพที่หนึ่งไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่โจรใต้ดินได้”
“ข่าวกรองไม่มีทางที่จะกระจัดกระจายแบบนี้ไปตลอดหรอกท่านผบ.” จู่ๆ ฮิล ฟ็อกส์ก็พูดขึ้นมา
ขวานเหล็กเลิกคิ้ว “เจ้าหมายความว่าข้อมูลเหล่านี้มันจะสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ งั้นเหรอ?”
“ถูกต้องขอรับ” เขาตอบ “ข้าอยู่ในคณะกายกรรมของอาณาจักรดอว์นมานานขนาดนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ข้าได้เรียนรู้มาก็คือขอเพียงจัดการได้เหมาะสม เครือข่ายข่าวกรองมันจะขยายขึ้นเรื่อยๆ ด้วยตัวของมันเอง”
“โอ้? ไหนลองอธิบายให้ข้าฟังหน่อยสิ?” เอดิธส์พูดอย่างสนใจ
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1304 เบาะแสที่กระจัดกระจาย (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พูดง่ายๆ ก็คือให้ดวงตาพวกนั้นได้มีโอกาสได้แสดงฝีมือของตัวเอง”
ฮิล ฟ็อกหยิบปากกาขึ้นมาวาดแผงผังต้นไม้ลงไปบนกระดาษเปล่า “เนื่องจากค่าตอบแทนของพวกเราจะจ่ายตามข่าวที่ได้ ไม่ใช่จ่ายตามตัวบุคคล ดังนั้นยิ่งได้ข่าวที่น่าเชื่อถือมามากเท่าไร ค่าตอบแทนก็จะยิ่งเยอะ เพื่อที่จะได้รับข่าวที่มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องการหาดวงตาของตัวเองเพิ่ม ถ้าใช้คำพูดของฝ่าบาท วิธีนี้น่าจะเรียกว่าการขยายดาวไลน์”
“อย่างนี้นี่เอง” เอดิธส์เข้าใจหัวใจสำคัญของวิธีนี้อย่างรวดเร็ว “เพื่อที่จะชักจูงคนที่อยู่ข้างล่าง คนที่อยู่ข้างบนก็จำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อที่คนที่อยู่ข้างล่างจะได้มีโอกาสที่จะขยายเครือข่ายของตัวเอง”
ฮิลพยักหน้า “ท่านพูดถูกขอรับ ไม่ว่าจะเป็นทหารสอดแนมหรือสายลับ พวกเขาก็ล้วนแต่อยู่ปลายสุดของเครือข่าย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ นี่ทำให้ข้อมูลที่พวกเขาได้มาจึงค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่มันเป็นการจำกัดของเขตในการหาข้อมูลของพวกเขาเหมือนกัน”
“แต่โจรใต้ดินยังไงก็เป็นโจรใต้ดินอยู่วันยังค่ำ…” ขวานเหล็กขมวดคิ้ว
“ไม่ ท่านผบ. วิธีนี้มันมีความน่าสนใจอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือคำว่าคนที่อยู่ข้างบนกับคนที่อยู่ข้างล่างมันไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกชนชั้น คนที่อยู่เหนือทหารขึ้นไปยังไงก็ต้องเป็นผู้บังคับบัญชา แต่คนที่อยู่ข้างล่างโจรใต้ดินกลับไม่จำเป็นต้องเป็นโจรใต้ดินเพียงอย่างเดียว”
“ขอเพียงมีผลประโยชน์มากพอ โจรใต้ดินก็อาจจะทำให้ขุนนางกลายเป็นดวงตาของตัวเองก็ได้” เอดิธส์พูดต่อ
ฮิลมองเอดิธส์ด้วยสายตาชื่นชม “ถูกต้อง ผลประโยชน์ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการจะเข้าใจความต้องการตรงนี้หรือไม่มันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับชนชั้น นี่หมายความว่าการขยายเครือข่ายของคนที่อยู่ข้างล่างอาจจะเกิดการขยายข้ามชนชั้นได้ ที่ข้อมูลในตอนนี้ยังมีความสับสน นั้นเป็นเพราะแหล่งข่าวยังจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มโจรใต้ดิน ในตอนที่แหล่งข่าวเกิดการขยายข้ามชนชั้นไป คุณค่าของข่าวที่ได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น”
ขวานเหล็กครุ่นคิดอยู่ครู่ “ต่อให้เป็นแบบนี้ กว่าดวงตาพวกนั้นจะติดต่อคนระดับสูงได้ เกรงว่ามันคงต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน”
“ถ้าเป็นเวลาปกติมันก็คงเป็นแบบนั้นขอรับ” ฮิลตอบ “แต่สถานการณ์ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้าคิดว่าการขยายตัวของสายข่าวน่าจะเร็วกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ ความจริง ในข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มันก็แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน”
“อย่างเช่น?” ขวานเหล็กลูบคางตัวเอง
ฮิลตอบยิ้มๆ “เมื่อดูจากสถิติแล้ว ข่าวที่เกี่ยวกับขุนนางในช่วงนี้มีจำนวนลดน้อยลง ต่อให้มีก็เป็นข่าวด้านลบเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นมั่วสุมกับโสเภณี ชกต่อยทะเลาะวิวาทกับริมถนน สำหรับผู้มีอำนาจแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่มีสงคราม ในอีกแง่หนึ่งมันก็หมายความว่าขุนนางระดับสูงของอีเทอร์นอลวินเทอร์เริ่มละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ความกดดันที่พวกเขาได้รับเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้แต่ต้องใช้วิธีนี้มาคลายเครียดให้กับตัวเอง เมื่อย้อนดูแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่หน่วยอพยพคนของกองทัพที่หนึ่งจัดการกับกองทหารของขุนนางที่ซุ่มโจมตีได้”
“เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ถึงแม้ในตอนนั้นข้าจะยังอยู่ที่อาณาจักรดอว์น แต่ข้าก็พอจะนึกออกว่าข่าวนี้มันทำลายขวัญพวกขุนนางแค่ไหน ทันทีที่ใจคนหวั่นไหว โอกาสก็จะเกิดขึ้นตามมา คนที่ปกติตัวเองเคยดูถูกเอาไว้ อาจจะกลายเป็นคนที่ช่วยชีวิตตัวเองก็ได้ ขอท่านผบ.ได้โปรดวางใจ เวลาที่ว่านั้นน่าจะรออีกไม่นาน”
……
ปราสาทรีเฟลคสโนว์ อีเทอร์นอลวินเทอร์
“ขอโทษที่ให้ทุกคนรอนาน วันนี้ท่านดยุครู้สึกไม่สบาย ไม่สะดวกที่จะรับแขกจริงๆ เชิญทุกคนกลับไปก่อนแล้วกัน” หัวหน้าพ่อบ้านโค้งตัวต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขก “เอาไว้ท่านดยุคร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ท่านจะต้องมีคำตอบให้กับทุกคนแน่นอน”
ภายในห้องรับแขกเดือดพล่านขึ้นมาทันที
“พวกเรารอมาหลายสัปดาห์แล้ว! ต่อให้เขาเป็นโรคระบาด ก็คงไม่ถึงกับออกมาเจอหน้าไม่ได้หรอกมั้ง?”
“ข้าไม่ต้องการคำตอบอะไรทั้งนั้น สู้ข้าก็สู้ให้แล้ว แล้วไหนดินแดนที่บอกว่าจะให้ข้าล่ะ?”
“ใช่ ต่อให้ไม่รับแขก แค่เอาโฉนดออกมาก็พอ!”
“เจ้าพ่อบ้านคนนี้มันโกหก เมื่อวานข้าเห็นวิสเคาท์นาร์นอสเข้าไปในปราสาทดยุคตั้ง 4 ชั่วโมงกว่าจะออกมา!”
“อย่าว่าแต่วิสเคาท์เลย คนที่เข้าไปในปราสาทดยุคทุกวันยังมีนักเต้นจากร้านเหล้าด้วย หรือว่าตอนนี้ท่านดยุคหาผู้หญิงมารักษาอาการป่วยแทนหมอแล้ว?”
“ทุกคนระวังคำพูดด้วย” พ่อบ้านกระแอมเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดฟังดูเยือกเย็นขึ้น “บางทีอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีพวกเจ้าสูญเสียดินแดนไปจนเคยชินกับความอิสระ แต่อย่าลืมสิว่าในเมื่อตัดสินใจที่จะสวามิภักดิ์ต่อดยุคทางเหนือแล้ว พวกเจ้าก็คือคนของท่านดยุค โทษของการลบหลู่ผู้ปกครอง ข้าคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ! สภาพอากาศแบบนี้ อยู่ในคุกมันไม่สบายเหมือนอยู่ในโรงแรมหรอกนะ”
หลังจากพูดเตือนออกมา ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าก็ก้าวออกมาข้าหน้าสองก้าว เกราะบนร่างกายส่งเสียงดังเคร้งๆ
เสียงโหวกเหวกภายในห้องรับแขกเงียบลงไปไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าถ้าต่อสู้กันที่นี่ ไม่ว่าจะในด้านไหนมันก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
พ่อบ้านเองก็ค่อยๆ ผ่อนน้ำเสียงลง “ข้ารู้ว่าทุกคนร้อนใจ แต่ว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจัดการกับพวกสารเลวเกรย์คาสเซิลนั่น ขอทุกคนอดทดอีกหน่อย แล้วก็ คืนนี้ท่านดยุคได้จัดงานเลี้ยงให้กับทุกท่านในปราสาท ถึงแม้ท่านดยุคจะไม่ได้มาร่วมงาน แต่ท่านก็หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับงานเลี้ยงในคืนนี้”
น่าจะเป็นเพราะเห็นแก่งานเลี้ยง สุดท้ายทุกคนจึงสะกดความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะบ่นงึมงำเดินออกจากห้องไป
เมื่อมาถึงนอกปราสาท เรื่องที่ทุกคนคุยกันก้เปลี่ยนจากเรื่องทวงหนี้กลายเป็นเรื่องอาหารเลิศรสและผู้หญิงในงานเลี้ยงคืนนี้
มีเพียงฟูลเลอร์ที่เดินกลับมาที่โรงแรมอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดมาระยะเวลาหนึ่ง ความรู้สึกภายในใจเขามีที่ต่อดยุคมาร์เวนนั้นเหลือเพียงแค่ความผิดหวังอย่างรุนแรง
ถ้าจะบอกว่าการแพ้ศึกที่เมืองฟรอสต์นั้นเป็นเพราะคนของเกรย์คาสเซิลมีความชำนาญในการใช้อาวุธมากกว่า และมีขวัญกำลังในที่ดีกว่า อย่างนั้นก็ควรจะฝึกซ้อมให้มากขึ้นแล้วออกไปสู้ใหม่ถึงจะถูก แต่นี่ดยุคกลับทำอะไร? ไม่เพียงแต่จะหนีกลับมาเป็นคนแรก แต่ยังขังตัวเองอยู่แต่ในปราสาทรีเฟลคสโนว์ด้วย ราวกับว่าลืมความทะเยอทะยานก่อนออกรบไปหมดแล้ว
ไม่ใช่เท่านั้น เขายังปัดความรับผิดชอบเรื่องที่ดินที่สัญญาเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะทำแบบนี้กับขุนนางทุกคน อย่างวิสเคาท์นาร์นอสนั้นยังเข้าออกปราสาทได้อย่างอิสระ ส่วนพวกที่ถูกกีดกันเอาไว้ด้านนอกก็คืออัศวินที่ไม่มีที่ไปอย่างพวกเขา
ตอนก่อนที่จะออกรบ ดยุคยังแสดงท่าทีว่าให้ความสำคัญกับตนอย่างมากอยู่เลย
การกลืนน้ำลายตัวเองคือสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรจะทำมากที่สุด แต่มาร์เวนกลับคิดจะเก็บที่ดินของตัวเองพวกนั้นเอาไว้โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะโดนมองว่ายังไง
ฟูลเลอร์มาสวามิภักดิ์ต่อมาร์เวนก็เพื่อที่จะหาโอกาสฟื้นฟูตระกูลของตัวเอง แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ที่ดินเลย แม้แต่คนรับใช้กับทหารของเขาก้ล้วนแต่ตายในศึกครั้งนั้นไปจนหมดแล้ว ตัวเขาในเวลานี้ได้ว่าเหลือตัวคนเดียว
อัศวินที่ไม่มีคนติดตาม แล้วก็ไม่มีที่ดิน ยังจะถือเป็นขุนนางอยู่หรือเปล่า? คนอื่นยังมีต้นทุนเหลือให้ใช้ แต่ตัวเขาล่ะ? หนึ่งปีหรือครึ่งปีหลังจากนี้ยังจะมีใครยอมรับตระกูลของตัวเองอยู่? แน่นอน ถ้าหากปีศาจสามารถเอาชนะโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ ดยุคมาร์เวนก็จะได้รับอำนาจล้นฟ้า การจะช่วยเขาฟื้นฟูตระกูลเรียกได้ว่าง่ายแค่พลิกฝ่ามือ แต่ปัญหาอยู่ที่…จากท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้แล้ว เขายังยินดีที่จะช่วยคนที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเหรอ?
จะเอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับเขา หรือพยายามหาทางถอยให้กับตัวเอง?
ฟูลเลอร์เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน สุดท้ายเขาจึงค่อยๆ เดินมาอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
เขาหยิบเอาซองจดหมายที่ถูกพับเอาไว้อย่างดีออกมาจากลิ้นชักชั้นล่างสุด
หลังลังเลอยู่ครู่ เขาจึงค่อยๆ เปิดซองจดหมายออก
ในซองจดหมายมีการ์ดสีดำอยู่ใบหนึ่ง
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1305 ปกปิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘นี่เป็นงานง่ายๆ ท่านไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงอะไรเลย เพียงแค่เอาข้อมูลไปวางไว้ตรงจุดที่นัดหมายกัน ไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่าท่านทำเรื่องแบบนี้’ คำพูดชายที่สวมหน้ากากสีเงินที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รับผิดชอบของแบล็คมันนี่ดังขึ้นมาในหูเขาอีกครั้ง
‘น่าขัน! ทำไมข้าถึงต้องไปช่วยคนเกรย์คาสเซิลด้วย? พวกเขาต้องการกำจัดแม้กระทั่งขุนนางศักดินะ ถ้าชนะแล้วข้าจะไปได้ประโยชน์อะไร?’ ภาพการโต้เถียงยังคงติดตาเขาอยู่ ‘ข้านึกว่าแบล็คมันนี่จะเป็นพวกพ่อค้าที่ฉลาดซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดคำพูดโง่ๆ แบบนี้ออกมา! เจ้าไม่กลัวข้าจับเจ้ามัดแล้วเอาไปส่งท่านมาร์เวนเพื่อแลกรางวัลเหรอ?’
‘ถ้าท่านคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ การพูดคุยครั้งนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว’ น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจความปลอดภัยของตัวเองเลย ‘ข้ายังนั่งอยู่ที่นี่ได้ มันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาของท่านแล้ว และก็เป็นเพราะท่านเป็นคนฉลาด พวกเราถึงได้ยินดีที่จะมอบโอกาสนี้ให้ท่าน’
‘เสียดายที่พวกเจ้ามองผิดแล้ว ข้าจงรักภักดีต่อท่านดยุค รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!’
‘แน่นอน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่ว่านายท่าน นี่แหละคือ ‘โอกาส’ ที่เขาว่ากัน แบล็คมันนี่ไม่คิดที่จะบีบบังคับให้ท่านต้องเลือก ท่านจะทำอย่างไรมันก็แล้วแต่ท่าน’ ชายหน้ากากเงินลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งตัวให้เขา จากนั้นวางการ์ดสีดำแผ่นหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ ‘สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะบอกท่านคือเกรย์คาสเซิลไม่มีทางลืมคนที่ช่วยเหลือเกรย์คาสเซิล อย่างนั้น…เอาไว้เจอกันใหม่นะขอรับ’
ฟูลเลอร์สูดหายใจแล้วหยุดความคิดที่กำลังฟุ้งซ่าน ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที
ไม่มีทางลืม…คนที่ช่วยเหลือเกรย์คาสเซิล…อย่างนั้นเหรอ
ช่างน่าขันจริงๆ เขามาสวามิภักดิ์ต่อดยุคมาร์เวนเพื่อที่จะฟื้นฟูเกียรติของวงศ์ตระกูล ส่วนโรแลนด์ วิมเบิลดันที่เป็นศัตรูกับพวกขุนนางนั้นเดิมเป็นคนที่ไม่น่าจะให้อภัยมากที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าตัวเองเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
ถึงแม้คนที่แบล็คมันนี่จะเป็นพวกชั้นต่ำ แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ผิด ถ้าเขาคิดว่ารับใช้ดยุคแห่งดินแดนทางเหนืออย่างถึงที่สุดจริงๆ อย่างนั้นเขาก็คงจะฉีกการ์ดใบนี้ทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เอามาแอบเก็บอยู่ในลิ้นชักแบบนี้
หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ฟูลเลอร์จึงเงยหน้าถอนหายใจออกมาแล้วนั่งลงไปที่โต๊ะหนังสือ
เขาหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมากาง จากนั้นก็หยิบปากกาขนนกขึ้นมา
ตัวเขายังมีอะไรให้เสียอีกล่ะ?
ความหวังในการเอาที่ดินกลับมาดูริบหรี่ขึ้นเรื่อยๆ เขาเหมือนจะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องถอยแล้ว
ช่างมัน ยังไงซะจากวิธีที่แบล็คมันนี่บอก ตัวเองก็ไม่มีอะไรต้องเสีย ก็คิดซะว่าอยู่กับทั้งสองฝ่ายแล้วกัน ถ้าปีศาจเป็นฝ่ายชนะ สถานการณ์ในตอนนี้ก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ แต่ถ้าเกรย์คาสเซิลชนะ บางทีเขาอาจจะได้รับรางวัลอะไรก็ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟูลเลอร์จึงจรดปากกาลงไปบนกระดาษ
…..
พอตกเย็น เขาสวมชุดคลุมกันลมพร้อมสวมหมวกเดินเข้าไปใน ‘ตรอกฮอร์น’ ตรงเขตเมืองชั้นใน
ที่นี่เป็นพื้นที่ของสมาคมหอการค้าทางเหนือ คนที่เดินทางผ่านไปผ่านไปส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า พอพระอาทิตย์ตกดินก็แทบจะไม่มีใครอยู่แล้ว
บนเนินเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฟูลเลอร์เจอสถานที่ที่คนสวมหน้ากากเงินพูดถึง — ตรงกลางระหว่างบ้านอิฐสองหลังมีต้นสนขนาดใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง
ความจริงแล้ว วิธีในการส่งข้อมูลที่ีอีกฝ่ายบอกก็เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเร็วขึ้น
ไม่มีคนมารอรับจดหมาย นี่ทำให้ความเสียลดลงอย่างมาก เขาไม่ต้องกังวลว่าแบล็คมันนี่จะเอาข้อมูลนี้มาแบล็คเมล์เขา หรือว่าถูกคนอื่นเห็นว่าตัวเองมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ กับคนแปลกหน้า
ฟูลเลอร์เดินวนอยู่บริเวณรอบๆ ครู่หนึ่ง หลังจากเห็นว่าไม่มีคนน่าสงสัย เขาก็เดินไปด้านหลังต้นสนอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นมือเข้าไปคลำในโพรงที่อยู่ตรงหน้าต้นไม้ ข้างในโพรงมีช่องลับอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริงๆ เพียงแต่ที่ปิดช่องลับนั้นเป็นแค่แผ่นไม้ธรรมดา ถ้าไม่ยื่นมือเข้าไปคลำก็ยากที่จะรู้ได้ว่าตรงนี้มีช่องลับอยู่
เขาเอาจดหมายยัดเข้าไปในช่องลับ ก่อนจะเอาแผ่นไม้ปิดกลับเข้าไปเหมือนกัน เนื้อหาที่อยู่ในจดหมายเขาก็จงใจใช้เขียนเป็นรูปแบบตัวหนังสือโบราณ ถึงแม้จะมีใครมาพบเข้าก็ยากที่จะเชื่อมโยงลายมือนี้เข้ากับตัวได้
แต่แน่นอน นี่ยังไม่ถือว่าเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นฟูลเลอร์ก็กลับมายังที่พักของตัวเอง เขาเอากระถางดอกไม้ย้ายไปตั้งตรงหน้าต่างในห้องนอน ในที่พักระดับสูงภายในเมือง การตกแต่งแบบนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ไม่มีใครจะสังเกตเห็นกระถางดอกไม้ธรรมดาๆ แบบนี้หรอก แต่สำหรับคนที่แอบมองดูในความมือแล้ว นี่คือสัญญาณที่บอกว่าข้อมูลได้ถูกส่งออกไปแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ต้องติดต่อกับใครเลย ส่วนหลังจากนี้จดหมายจะถูกใครเอาไปและเอาไว้ส่งให้กับเกรย์คาสเซิลยังไง เรื่องพวกนั้นล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
หลังเอากระถางดอกไม้ลงมา ฟูลเลอร์รู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องบางสิ่งออกไป
เพียงแค่เก็บรวบรวมข่าวสารยังละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ดยุคกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนี่แตกต่างกันจริงๆ…เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง สายตามองออกไปยังเขตปราสาทที่ส่องสว่างภายใต้หมอกสีแดง เมื่อคิดถึงภาพ ‘ผู้พ่ายแพ้’ เหล่านั้นยังคงมีความสุขกับงานเลี้ยง ตอนนี้ตัวเขาไม่หวังอะไรกับตัวมาร์เวนแล้ว
ตอนนี้เหลือปัญหาอยู่อีกแค่ข้อเดียว
นั่นคือเกรย์คาสเซิลจะเอาชนะปีศาจได้จริงๆ หรือเปล่า?
……
คนส่งจดหมายเอากองกระดาษหนาๆ วางกองไว้บนโต๊ะไว้ผุๆ และเปียกชื้น
“นี่คือของวันนี้เหรอ?” เจ้าฉลาดจุดตะเกียง “ขอบคุณเจ้ามากนะ”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร
เขาถอนหายใจ ก่อนจะใช้ภาษามือตอบอีกฝ่ายกลับไป
ตอนนี้อีกฝ่ายถึงได้พยักหน้า
คนๆ นี้คือนักรบแห่งความเงียบที่เจ้านายเป็นคนเลี้ยงดูขึ้นมา อีกฝ่ายไม่ได้ยินแล้วก็พูดไม่ได้ ได้แต่ต้องใช้ภาษามือง่ายๆ ในการถ่ายทอดคำสั่งหรือสอบถาม ที่น่าเสียดายก็คือในภาษามือไม่มีคำว่าขอบคุณอยู่
“เฝ้าอยู่ด้านนอก อย่าให้ใครเข้ามา” เจ้าฉลาดให้นักรบแห่งความเงียบออกไป ก่อนจะเริ่มพลิกอ่านข่าวกรองเหล่านี้
ที่นี่คือสถานที่ที่แบล็คมันนี่ใช้จัดงานหอการค้าใต้ดินของพวกเขา ปกติจะมีแต่คนที่ได้รับเชิญเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ตามหลักแล้วโอกาสที่คนข้างนอกจะบุกเข้ามาจึงมีน้อยมาก แต่เจ้าฉลาดก็ยังเลือกที่จะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ในห้องใต้ดิน เพื่อที่จะได้มีเวลาทำลายหลักฐานได้ทันหากมีอะไรเกิดขึ้น
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเจ้านายถึงให้ความสำคัญกับสงครามครั้งนี้ของเกรย์คาสเซิลขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปยุ่มย่ามได้ ในเมื่อเจ้านายสั่งการมาแล้วว่าจะช่วยเหลือเกรย์คาสเซิลอย่างเต็มที่ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือปฏิบัติตาม
จัดการข่าวพวกนี้ใหม่ แล้วแอบส่งไปให้ถึงมือคนเกรย์คาสเซิล นี่คือหน้าที่หลักของเขาในตอนนี้
ถึงแม้คนเกรย์คาสเซิลบอกว่าต้องการข้อมูลทุกอย่าง แต่โอกาสที่จะแอบเอาข้อมูลส่งออกไปนั้นไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ปัญหาเรื่องการส่งออกไปจึงเป็นปัญหาสำคัญอันดับแรก เมื่อคิดถึงว่าปกติพ่อค้าที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกเมืองจะมาอาทิตย์ละครับ เขาจึงจำเป็นต้องเอาข่าวกรองที่ดูน่าเชื่อถือที่สุดในหนึ่งสัปดาห์มาทำเป็นจดหมายลับแล้วแอบปะปนมันเข้าไปในสิ่งของส่งไปยังอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท ส่วนข่าวอื่นๆ ก็ใช้วิธีอื่นส่งออกไป
ส่วนใหญ่ข้อมูลพวกนี้ล้วนแต่มาจากคำบอกเล่าของโจรใต้ดิน ด้วยเหตุนี้จึงดูค่อนข้างสับสน เขามักจะต้องใช้เวลาในการคัดกรองอยู่นาน แต่ครั้งนี้่เจ้าฉลาดสังเกตเห็นในกองกระดาษมีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่งที่ดูแตกต่างจากจดหมายฉบับอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ลายมือของมันดูเป็นระเบียบ ไม่ใช่เขียนอย่างลวกๆ ตามร้านเหล้าหรือท้องถนน หมึกที่ใช้ก็เป็นหมึกอย่างดี กระดาษก็ไม่มีรอยรับ เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมตอนที่เขียนนั้นดีกว่าสถานที่ที่พวกโจรใต้ดินอยู่ไปอีกระดับ
เขากลั้นหายใจแล้วกวาดตาอ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนเนื้อหาในจดหมายก็ต่างจากจดหมายที่ผ่านมาจริงๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงหัวใจสำคัญของกองทัพปีศาจ สกายลอร์ดเฮคซอด
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น