Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1298-1299
ตอนที่ 1298 ฤดูหนาวมาถึง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขวานเหล็กได้ทำการวิเคราะห์และอนุมานสถานการณ์ในแนวหน้ากับเอดิธส์มาเป็นร้อยครั้งแล้ว
และข้อสรุปที่ได้ก็คือก่อนที่กำลังพลและอาวุธจะพร้อม กองทัพที่หนึ่งยากที่จะฝ่ายบุกได้ พวกเขาทำได้เพียงเน้นการป้องกันเป็นหลัก ถึงแม้กองทัพจะมีกำลังพลพร้อมแล้วก็จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ไปตามสถานการณ์เพื่อพยายามหากองกำลังหลักของศัตรูและทำลายมัน เพราะหากเข้าไปสู้กันในพื้นที่หมอกแดง สถานการณ์ของกองทัพที่หนึ่งจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
“จากข้อมูลของทางฝั่งทาคิลา สุดท้ายหมอกแดงจากเสาโอเบลิสจะขยายเข้ามาในพื้นที่ส่วนใหญ่ของวูล์ฟฮาร์ท” ขวานเหล็กชี้ไปบนเส้นโค้งสีแดงที่อยู่บนแผนที่ “ดังนั้นแนวป้องกันของพวกเราจะต้องยาวกว่าที่ผ่านมา เมื่อคิดถึงการแจ้งเตือนล่วงหน้าและเวลาในการเตรียมตัว บริเวณใกล้ๆ เส้นโค้งจึงมีเมืองอยู่ทั้งหมด 4 เมืองที่เหมาะจะเป็นจุดป้องกันในตอนนี้ เมืองทั้ง 4 ได้แก่เมืองเมทอลสโตน เมืองกัสต์ เมืองแซนด์ซิตี้ และอ่าวดีพพูล”
ทั้งสี่เมืองนี้เชื่อมต่อกันเป็นยาวพาดผ่านอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท และสอดรับกับพื้นที่หมอกแดงในอนาคต
“แต่ว่าตอนนี้กองทัพที่หนึ่งไม่มีกำลังมากพอที่จะป้องกันทั้งสี่ที่พร้อมกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเน้นป้องกันไปที่จุดสำคัญ ซึ่งเมืองที่สำคัญที่สุดในบรรดาสี่เมืองนี้ก็ได้แก่อ่าวดีพพูลและเมืองแซนด์ซิตี้ พวกมันตั้งอยู่ตรงตำแหน่งเหนือสุดของพื้นที่หมอกแดง อยู่ห่างจากแนวรบของศัตรูไม่ถึง 50 กิโลเมตร ถ้าหากป้องกันเอาไว้ไม่ได้ ปีศาจจะมีโอกาสบุกเข้ามาถึงเคจเมาเธ่น”
“โดยเฉพาะอ่าวดีพพูล” เฟร์รานพูดเสริมขึ้นมา “มันเป็นอ่าวที่ใกล้เคจเมาเธ่นที่สุด ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีของประมาณ 30% ที่ต้องขนส่งมาทางอ่าวดีพพูล หากสูญเสียอ่าวดีพพูลไปก็หมายความว่าการรวมพลจะล่าช้าออกไปอีก ซึ่งผลที่ตามมาจะต้องแย่อย่างมากแน่นอน”
“ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมขนาดนั้นก็ได้” เอดิธส์พูดขึ้นมา “ถ้าปีศาจโจมตีอ่าวดีพพูลตอนนี้ อย่างนั้นพวกเราก็คงแพ้สงครามแห่งโชคชะตาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่โชคดีก็คือพวกศัตรูก็คงมีปัญหาเรื่องกำลังพลเหมือนกัน เพราะการที่เอาเสาโอเบลิสไปตั้งไว้บนสันหลังของทวีปก็ทำให้การขนส่งเป็นไปอย่างยากลำบากเหมือนกัน”
น่าจะเป็นเพราะไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือกล้าพูดคำว่า ‘แพ้’ ออกมาในที่ประชุมแบบนี้ ขวานเหล็กจึงกระแอมออกมาอย่างจนปัญญา “เอาเป็นว่าพวกเราสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่าปีศาจก็เจอปัญหาแบบเดียวกับเรา และในเวลานี้ก็กำลังหา ‘ทางลัด’ ตัดผ่านภูเขาเข้ามา แต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้พวกมันยังไม่บุกเข้ามาจะเป็นอะไร กองทัพที่หนึ่งก็ไม่อาจปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้ อย่างน้อยที่สุดก่อนที่ถนนจะสร้างเสร็จ เราจะเสียทั้งสองเมืองไปไม่ได้”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนี้กองทัพมีกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่อ่าวดีพพูลและเมืองแซนด์ซิตี้ทั้งหมด 3,000 คน หลุมเพลาะและป้อมปราการกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง นอกจากนี้ข้ายังได้จัดทหารกองหนุนกองละ 1,000 คนเอาไว้ด้านหลังทั้งสองเมือง เพื่อที่จะได้เข้าช่วยเหลือแนวหน้าได้ทุกเมื่อ แต่ว่านี่มันก็ยังไม่ปลอดภัยมากพอ ข้าอยากจะให้คุณหนูซิลเวียคอยช่วยสอดแนมและแจ้งเตือนล่วงหน้าอยู่ที่อ่างดีพพูลเหมือนอย่างก่อนหน้า ส่วนคุณหนูไลต์นิ่งกับเมซี่ก็รับผิดชอบอีกเมืองหนึ่ง”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ไม่มีปัญหา”
“จิ๊บ!”
ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
“ส่วนเมืองเมทอลสโตนและเมืองกัสต์ ข้าได้จัดกำลังทหารเอาไว้เมืองละ 500 คน แต่ทั้งสองเมืองนี้อยู่ห่างพื้นที่หมอกแดงค่อนข้างไกล ความเป็นไปได้ที่ปีศาจจะลอบโจมตีอย่างฉับพลันจึงมีไม่สูงนัก ต่อให้มีมันก็จำเป็นต้องใช้อสูรสยองเป็นกำลังสำคัญ” ขวานเหล็กทำวันทยหัตถ์ไปทางทิลลี “ดังนั้นกระหม่อมอยากจะขอให้องค์หญิงทรงรับผิดชอบเรื่องการเฝ้าระวังน่านฟ้าของพื้นที่นี้พ่ะย่ะค่ะ”
ทิลลีพยักหน้า “วางใจได้ อัศวินอากาศถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสู้กับอสูรสยอง”
“สุดท้ายก็เป็นเกาะอาชดยุค” ขวานเหล็กชี้ไปยังเกาะใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงด้านตะวันออกของแผนที่ “ถึงแม้สุดท้ายมันจะถูกหมอกแดงปกคลุมจนหมด แต่มันยังคงมีคุณค่าในทางกลยุทธ์ที่สูงอย่างมาก การที่มันไม่เชื่อมต่อกับแผ่นดินก็หมายความว่ามันป้องกันได้ง่ายและโจมตีได้ยาก ปีศาจคุ้มคลั่งจำเป็นต้องข้ามทะเล 2 – 3 กิโลเมตรถึงจะขึ้นเกาะได้ ส่วนปีศาจแมงมุมพวกนั้นจะมีความสามารถในการว่ายน้ำหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ อสูรสยองที่บินได้นั้นไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แต่ความสามารถในการโจมตีก็มีจำกัด ไม่ค่อยสร้างปัญหาให้กับพวกป้อมบังเกอร์มากเท่าไร
“ขอเพียงเกาะอาชดยุคอยู่ในมือเรา อ่าวดีพพูลที่อยู่ด้านหลังของมันก็จะปลอดภัยขึ้นมา ขณะเดียวกัน มันยังเป็นเหมือนมีดที่ปักอยู่กลางเอวของพวกปีศาจด้วย ถ้าตั้งปืนใหญ่เอาไว้ในเมือง มันก็จะครอบคลุมทั้งหาดทรายและแผ่นดินในระยะ 10 กิโลเมตร”
“แต่ที่นั่นมันอยู่ในเขตหมอกแดงง…” อกาธาพูดอย่างกังวล
“ในจุดนี้ทีมที่ปรึกษาได้เคยคิดมาแล้วเหมือนกัน” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดต่อ “ดังนั้นคนที่เฝ้าอยู่บนเกาะจึงมีแค่ 500 คน ถึงแม้จะเจอศัตรูโหมบุกอย่างหนักจนยากที่จะป้องกันเอาไว้ได้ อ่าวดีพพูลก็ยังสามารถส่งทัพเรือออกไปรับทหารเหล่านั้นกลับมาได้ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าศัตรูเองก็มีทัพเรือที่แข็งแกร่งบนทะเล”
“เอ่อ…ข้าขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม?” เวนดี้พูด
“เชิญว่ามา”
“ข้าเคยอยู่ในสำนักนางชีที่เมืองศักดิ์สิทธิ์มาสิบกว่าปี ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจำได้ว่าทั้งวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ตต่างก็มีเส้นทางที่ตรงไปยังด้านล่างของที่ราบสูงเฮอร์มีส โดยเฉพาะอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขา ปีศาจมันมีโอกาสจะใช้ทางเล็กๆ บนเขาพวกนี้ในการโจมตีเฮอร์มีสหรือเปล่า? เพราะว่าที่นั่นมีสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่”
คำพูดของเวนดี้ทำให้เกิดเสียงถกเถียงกันขึ้นมา
หากปีศาจเข้ามาตั้งเสาโอเบลิสในกึ่งกลางสี่อาณาจักรใหญ่ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องมากกว่าการที่มันไปตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์แน่นอน หมอกแดงที่ไหลทะลักลงมาจะกลืนกินทุกซอกทุกมุมของทวีป มนุษย์จะไม่มีที่ให้ซ่อนตัวได้อีก
“จริงอยู่ที่มีโอกาสเป็นไปได้ แต่การจะทำแบบนั้นได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย” น้ำเสียงของเอดิธส์แฝงเอาไว้ด้วยการชมเชย “ปีศาจมีขีดจำกัดในการตั้งเสาโอเบลิสได้ครั้งล่ะหนึ่งต้น อันดับแรกคือปัญหาเรื่องระยะทางทำให้มันไม่สามารถเกณฑ์ทหารจำนวนมากข้ามเทือกเขามาแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีสได้ เส้นทางเล็กๆ ระหว่างภูเขานี้ไม่ใช่ทางลับอะไร แค่ตั้งป้อมสอดแนมเอาไว้ก็สามารถตรวจตราดูเส้นทางเหล่านี้ได้แล้ว ทันทีทีร่องรอยความเคลื่อนไหวถูกเปิดเผย ศัตรูจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างมาก”
“ด้วยเหตุนี้ต่อให้ปีศาจมีความคิดที่จะโจมตีเฮอร์มีส อย่างมากพวกมันก็ทำได้ใช้กำลังพลหน่วยเล็กๆ เหมือนอย่างที่มันแอบโจมตีป่าเร้นลับเมื่อก่อนนี้ และด้วยกำลังพลเพียงแค่นี้ต่อให้ไปถึงเฮอร์มีสแล้วก็ไม่มีทางที่จะเสาโอเบลิสขึ้นมาได้ในเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นสันเขาโคลด์วินด์ก็อยู่ใกล้เฮอร์มีสเพียงนิดเดียว โอกาสที่พวกมันจะตั้งเสาโอเบลิสโดยที่เกรย์คาสเซิลไม่รู้ตัวจึงแทบจะไม่มีเลย”
“ที่แท้ทีมที่ปรึกษาก็คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว” เวนดี้ถอนหายใจออกมา “แบบนี้ข้าก็จะได้สบายใจ”
“การวางกำลังแนวรบที่กองทัพที่หนึ่งคิดเอาไว้ก็ประมาณนี้” ขวานเหล็กสรุป “ส่วนร่องรอยความเคลื่อนไหวของพวกปีศาจ ทางเรากำลังคิดหาทางอยู่ เรียนทุกคนตามตรง เนื่องจากข่าวสารและกำลังคนที่ไม่เพียงพอ ทำให้ช่วงนี้กองทัพที่หนึ่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก เมื่อเห็นทุกคนปรากฏตัว ข้ารู้สึกดีใจจริงๆ เมื่อมีความช่วยเหลือของทุกคน ปัญหาพวกนี้ก็จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไข เมื่อไรที่กำลังพลและข่าวสารพร้อมสรรพ เมื่อนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราเปิดฉากโจมตีกลับ!”
หลังจากนั้นก็เป็นการแบ่งหน้าที่ของเหล่าแม่มด
อย่างเช่นลีฟอยู่ที่เคจเมาเธ่นเพื่อปรับเปลี่ยนภูเขาชายแดนที่เต็มไปด้วยกับดักลูกนี้
แอนเดรียกับซาวีเดินทางไปอ่าวดีพพูล สำหรับแม่มดสายต่อสู้แล้ว ที่ไหนคือแนวหน้า ที่นั่นต้องมีพวกเธอ
ฮัมมิ่งเบิร์ดกับมอลลี่เข้าไปอยู่ในทีมขนส่ง ทำให้การขนย้ายของของตรงท่าเรือมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
เอคโคคอยใช้เสียงเพลงในการสร้างขวัญและกำลังใจให้เหล่าทหาร
ในขณะที่ทุกคนกำลังทำงานกันอย่างวุ่นวาย ฤดูใบไม้ผลิก็ได้สิ้นสุดลง
ในวันแรกที่ฤดูหนาวมาถึง พระอาทิตย์ไม่ได้ลอยขึ้นมาเหมือนอย่างทุกที บนท้องฟ้าเองก็มีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา
เดือนแห่งปีศาจเดือนแรกหลังจากสงครามแห่งโชคชะตาปรากฏขึ้นมาบนโลกได้มาถึงแล้ว
………………………………………………………………………….
ตอนที่ 1299 โจมตีแบบสายฟาแลบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
นอกเมืองธอร์น เคจเมาเธ่น
“ฮัด ฮัดเช่ย…”
กู๊ดเดินฝ่าลมหนาวเข้ามาในโรงเก็บเครื่องบิน ก่อนจะจามออกมาอย่างแรงทีหนึ่ง เขาเอาลังกระสุนหนักๆ ที่อยู่ในมือวางลงข้างเครื่องบินก่อนจะทิ้งตัวนั่งทับลงไปบนลังกระสุน “ข้าเกลียดฤดูหนาว…มันมักจะทำให้ข้านึกถึงวันที่ข้าเร่ร่อนอยู่ข้างนอก”
“ไม่มีใครชอบเดือนแห่งปีศาจหรอก แต่ข้าขอบอกเจ้าเลยว่าแค่นี้ยังไม่ครึ่งหนึ่งของความหนาวที่แท้จริงเลย” ฟินกิ้นมุ่ยปาก ก่อนจะวางลังไม้ที่แบกไว้เอาบนหลังลง “เจ้าควรจะดีใจที่พวกเราอยู่ใกล้ทะเล ผลกระทบจากเดือนแห่งปีศาจเลยไม่รุนแรงขนาดนั้น — ก่อนที่ฝ่าบาทจะมาปกครองดินแดนตะวันตก ทุกคนต่างไม่รู้ว่าหากตัวเองนอนหลับไปแล้วจะได้ตื่นมาในวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า อย่าว่าแต่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกเลย ต่อให้นอนอยู่ในบ้านก็อาจจะถูกหิมะกลบจนสุดท้ายขาดอากาศหายใจตายอยู่ในกองหิมะก็ได้”
“เอ่อ…เดือนแห่งปีศาจของเนเวอร์วินเทอร์มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตกันด้วยความกลัวแบบนั้นจนกระทั่งฝ่าบาททรงสร้างบ้านซีเมนต์ขึ้นมา ทุกอย่างถึงได้ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมฝ่าบาทถึงทรงตั้งชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ว่าเนเวอร์วินเทอร์ล่ะ?” กู๊ดยักไหล่ ก่อนจะหยิบเอาตลับกระสุนออกมาจากในลัง แล้วเอาไปวางในเครื่องบิน
เฮฟเวนเฟลมมีปืนกลทั้งหมดสองกระบอก กระบอกหนึ่งอยู่ตรงหัวเครื่องบิน อีกกระบอกอยู่ตรงส่วนกลางลำเครื่องบิน ถึงแม้จะเป็นปืนกลที่ผลิตออกมาใหม่ทั้งคู่ แต่วิธีการบรรจุกระสุนกลับแตกต่างกัน ตัวปืนที่ติดอยู่ตรงหัวเครื่องบินจะถูกฝังเอาไว้ในตัวเครื่องบินครึ่งหนึ่ง แล้วใช้สายกระสุนในการป้อนกระสุน ด้วยเหตุนี้ลังกระสุนจึงทำขึ้นมาจากโลหะ เวลาที่บรรจุกระสุนเข้าไปใหม่ถึงต้องถอดของเก่าออกมาทั้งลัง
ส่วนปืนกลอีกกระบอกที่มือยิงที่นั่งอยู่ข้างหลังใช้จะติดตั้งไว้บนขาตั้งที่หมุนได้ วิธีการยิงเหมือนกับปืนกลแม็กซิมของกองพันปืนทุกอย่าง มีเพียงแค่การป้อนกระสุนที่จะเปลี่ยนเป็นตลับกระสุนที่บรรจุกระสุนเอาไว้ตลับละ 100 นัด หลังยิงหมดก็สามารถใช้มือเปลี่ยนใหม่ได้ทันที
ด้วยเหตุนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีกระสุนเต็มทุกครั้งที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เครื่องบินจึงต้องทำการเปลี่ยนลังกระสุนใหม่ทุกครั้งหลังลงจอดไม่ว่าจะยิงกระสุนไปเท่าไร ถึงแม้งานนี้จะให้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเป็นคนทำได้ แต่กู๊ดชอบทำมันด้วยตัวเองมากกว่า ขอเพียงได้สัมผัสเครื่องบิน ต่อให้เป็นเวลาแค่ครู่เดียว เขาก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสแบบนี้
ทันใดนั้นด้านนอกโรงเก็บเครื่องบินพลันมีเสียงเฮดังสนั่นขึ้นมา
ด้านนอกจะต้องมีนักเรียนซักคนผ่านการทดสอบด้วยการน้ำเครื่องลงจอดได้อย่างราบรื่นแน่นอน
ถึงแม้จะมีหิมะตกลงมาเบาๆ แต่องค์หญิงก็ไม่ได้หยุดการฝึกซ้อม
เผลอๆ เธอจะฝึกซ้อมหนักกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
นอกจากจะฝึกสอนเรื่องการบินให้กับนักเรียนใหม่แล้ว องค์หญิงยังพาพวกเขาไปลาดตระเวนตรงพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวูล์ฟฮาร์ทวันละสองครั้งด้วย พอตกกลางคืนก็มาเรียนเรื่องทฤษฎีกับถามคำถาม เรียกได้ว่าในแต่ละวันแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย
เมื่อได้รับการฝึกซ้อมที่เข้มงวดแบบนี้ ผลการฝึกซ้อมของทุกคนจึงดีกว่าตอนที่อยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อย่างร้อนในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหตุการณ์เครื่องบินฝึกสอนตกลง
หลังบรรจุลังกระสุนเข้าไปในตัวเครื่องบินแล้ว กู๊ดก็เดินไปที่ข้างหน้าต่างพร้อมถอนใจออกมาเบาๆ
“ทำไม คิดถึงบ้านเหรอ?” ฟินกิ้นเดินเข้ามาถาม
เขาส่ายหัว “ข้าแค่กังวลอะไรนิดหน่อย…”
“กังวลเรื่องสงครามหรือกังวลถึงน้องสาวที่อยู่ทางโน้น?” ฟินกิ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ข้าจำได้ นางชื่อเรเชลใช่ไหม?”
“ข้ากังวลว่าตัวเองจะถูกแทนที่ต่างหาก!” กู๊ดถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด
“ทำไมล่ะ?”
“ตอนนี้เครื่องบินที่สามารถรบได้มีอยู่แค่ 4 ลำ ซึ่งในนั้นรวมไปถึงยูนิคอร์นของเจ้าหญิงทิลลีด้วย พูดอีกอย่างก็คือพวกเราจำเป็นต้องเป็นสามอันดับแรกในบรรดาผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดถึงจะมีสิทธิ์ได้ขับเฮฟเว่นเฟลม” กู๊ดหันหน้ากลับมา ก่อนจะมองไปทางลานฝึกซ้อมที่กำลังคึกคักพร้อมกับพูดเสียงเบาๆ ออกมา “เดิมทีความได้เปรียบของพวกเราคือประสบการณ์ในการรบจริง แต่จนถึงตอนนี้เรายังไม่เคยเห็นปีศาจเลยแม้แต่ตัวเดียว แบบนี้ต่อไปถ้ามีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมาคนสองคน พวกเราต้องถูกเขี่ยตกไปอยู่ข้างหลังแน่”
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะกังวลเรื่องนี้ ฟินกิ้นจึงตกตะลึงไปครู่ก่อนจะพูดออกมาอย่างจนปัญญา “เฮ้ๆ เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า แม้แต่การยิงเป้าด้วยกระสุนจริงมันก็ต้องใช้ประสบการณ์เหมือนกันนะ เจ้าไม่ได้ยินที่องค์หญิงตรัสเหรอ แม้แต่กองพันปืนก็ยังต้องยิงอยู่ 1 – 2 เดือนก่อนจะลงไปสู้ศึกจริงๆ เลย!”
“แต่คะแนนการยิงของพวกเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไรไม่ใช่เหรอ?”
“อันนี้ก็…” ฟินกิ้นพูดไม่ออกไปทันที
ถึงแม้ลาดตระเวนมาถึงตอนนี้ อัศวินอากาศจะยังไม่เคยเจอกับศัตรูจริงๆ แต่พวกเขาก็เคยยิงปืนที่อยู่บนเครื่องบินมาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่ออกไปลาดตระเวน ทิลลีจะสั่งให้พวกเขาหาเป้าแล้วสาดกระสุนออกไปในระหว่างทางขากลับเพื่อเป็นการซ่อมยิงกระสุนจริง บางครั้งก็ปล่อยลูกโป่งขึ้นมา บางครั้งก็ยิงต้นไม้ที่อยู่บนภูเขา
และนี่ก็ทำให้กู๊ดพบว่าความสามารถในการยิงของเขาไม่อาจสู้ความสามารถในการบินได้ ขณะเดียวกันเขายังได้ยินมาว่านักเรียนกลุ่มใหม่ที่เข้ามามีหลายๆ คนที่มีพรสวรรค์ ในนั้นเหมือนจะมีคนหนึ่งที่ชื่อแมนเฟลที่ได้รับการยอมรับจากครูฝึกในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน
ด้วยเหตุนี้ความกังวลของเขาจึงไม่ได้การที่เขาคิดไปเอง
เสียดายที่เทคนิคการควบคุมเครื่องบินสามารถฝึกซ้อมผ่านมาแท่นจำลองการบินได้ แต่การยิงนั้นจำเป็นต้องฝึกกับกระสุนเพียงอย่างเดียว
“อูวววว……..”
ทันใดนั้นเอง ด้านบนสนามบินพลันมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมา
กู๊ดกับฟินกิ้นสบตากัน สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
ทันทีที่มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมา การฝึกซ้อมทั้งหมดจะต้องหยุดลง รันเวย์ต้องถูกเคลียร์ให้เรียบร้อย อัศวินอากาศที่ได้รับการคัดเลือกมาจะต้องมารวมตัวกันอยู่ที่ศูนย์บัญชาการของสนามบินทันที
ช่วงเวลาสัปดาห์กว่าที่ประจำการอยู่ที่เมืองธอร์น นี่เป็นครั้งแรกที่สัญญาณระดมพลฉุกเฉินดังขึ้นมา
ทั้งสองคนรีบวิ่งไปที่ศูนย์บัญชาการอย่างไม่ลังเล
….
ไม่นาน เหล่าอัศวินอากาศ 30 กว่าคนก็มารวมตัวกันที่ศูนย์บัญชาการ
“เมื่อ 1 นาทีก่อนหน้านี้ ข้าได้รับแจ้งมาจากขวานเหล็กว่ามีกองกำลังของพวกปีศาจหน่วยหนึ่งปรากฏตัวขึ้นระยะ 200 กิโลเมตรทางเหนือของเมืองกัสต์” องค์หญิงชี้ไปยังแผนที่ที่อยู่บนผนังแล้วพูดต่อว่า “ข่าวนี้ถูกแจ้งมาทางนกส่งจดหมาย ขณะเดียวกันในจดหมายลับยังบอกด้วยว่าละแวกนี้มีผู้อพยพกลุ่มหนึ่งกำลังหลบหนีอยู่ เป้าหมายของปีศาจอาจจะเป็นผู้อพยพกลุ่มนี้ อาศัยเพียงแค่กองทัพที่ประจำอยู่ที่เมืองกัสต์ แค่เดินทัพเพียงอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลามากกว่าสองวันแล้ว กว่าจะไปถึงเกรงว่าคงจะไม่ทันการ”
“และนี่ก็คือสนามรบที่เหมาะสมกับอัศวินอากาศมากที่สุด นอกจากเฮฟเว่นเฟลมแล้ว ไม่มีใครที่จะบินข้ามระยะทางที่ไกลขนาดนี้ได้ในเวลาเพียงแค่ 2 – 3 ชั่วโมง แม้แต่ศัตรูเองก็ไม่มีทางคิดถึงเหมือนกันว่าท้องฟ้าแห่งนี้จะไม่ใช่ดินแดนของปีศาจเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว! ตอนนี้ฟังคำสั่งข้า หน่วยอัศวินอากาศ ออกเดินทาง!”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
กู๊ดกำหมัดแน่นขึ้นมา ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้รบจริงแล้ว!
เมื่อกลับมาถึงโรงเก็บเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินก็เตรียมเครื่องบินสำหรับพร้อมขึ้นบินเรียบร้อย
กู๊ดเดินก้าวขึ้นไปยังห้องนักบิน ก่อนจะเปิดช่องจ่ายน้ำมันและแผงวงจรอย่างชำนาญ จากนั้นก็ขยับคันบังคับ เมื่อมอเตอร์ทำงาน หัวเครื่องบินก็พ่นควันสีดำพร้อมกับส่งเสียงดังปังๆ ออกมา
เมื่อการหมุนเริ่มต้นขึ้น ลูกสูบก็เริ่มหมุนเร็วขึ้น
กู๊ดสวมแว่นกันลม ก่อนจะดึงคันบังคับลงท่ามกลางเสียงตะโกนของคนอื่นๆ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เครื่องบินสี่ลำก็ทยอยวิ่งไปรันเวย์ ก่อนจะเชิดหน้าฝ่าหิมะบินตรงไปทางทิศเหนือ
……………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น