Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1292-1297

 ตอนที่ 1292 คนที่้ต้องการกับคนที่ถูกต้องการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฟาร์รีน่า อาหารเช้าได้แล้ว”


โจยกจานที่มีขนมปังกับชีสครึ่งก้อนเดินมาที่หน้าประตูห้องนอน ก่อนจะยกมือขึ้นมาเคาะประตู


ในช่วงสองเดือนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา ชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งสองคนเรียกได้ว่าเรียบง่ายอย่างมาก ทุกวันเขาจะเตรียมอาหารเอาไว้สามมื้อ จากนั้นก็ไปทำงานที่สำนักบริหาร ส่วนฟาร์รีน่านั้นไม่ค่อยจะออกมาข้างนอก ส่วนใหญ่เธอก็อยู่ในห้อง บางครั้งก็จะไหว้วานเขาให้ไปถามสถานการณ์ของเมืองเฮอร์มีสในช่วงนี้ มีแต่ตอนที่คุยถึงเฮอร์มีส ทั้งสองคนถึงจะได้พูดคุยกันเยอะหน่อย


โจไม่รู้ว่าฟาร์รีน่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่การที่ได้อยู่ข้างเธอเช่นนี้ก็นับเป็นโชคดีมากแล้ว เขาเองก็ไม่กล้าที่จะไปขออะไรมากกว่านี้อีก


แต่วันนี้ด้านหลังประตูกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ


“ฟาร์รีน่า เจ้าตื่นหรือยัง?”


โจเคาะประตูอีกสองสามครั้งอย่างสงสัย


“ถึงเวลากินข้าวเช้าแล้ว”


“ฟาร์รีน่า?”


ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เหมือนกับภายในห้องว่างเปล่าไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น


โจหน้าเปลี่ยนสี เขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาทันที…


บ้าเอ้ย ทุกอย่างมันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วไม่ใช่เหรอ?


เขาวางจานอาหารลง ก่อนจะเอาไหล่กระแทกเข้าไปที่ประตู!


เมื่อเสียงปังดังขึ้นมา ประตูก็เปิดออก


ภาพที่น่ากลัวที่สุดไม่ปรากฏขึ้น บนคานไม่มีเชือกห้อยเอาไว้ ริมเตียงก็ไม่มีรอยเลือดหยด นี่ทำให้โจรู้สึกโล่งใจ ขอเพียงอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างมันก็ยังไม่สายเกินแก้


แต่ความรู้สึกโชคดีตรงนี้ก็คงอยู่แค่ไม่กี่อึดใจ หัวใจเขาพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง


ภายในห้องนอนเล็กๆ แค่กวาดตามองก็เห็นทุกอย่าง ฟาร์รีน่าไม่อยู่ในห้อง


ทุกอย่างสะอาดสะอ้านเหมือนวันแรกที่ทั้งสองคนย้ายเข้ามา


โจค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะ เมื่อหนึ่งวันก่อนหน้าที่บนโต๊ะตั้วนี้ยังมีหนังสือเกี่ยวกับศาสนจักรและเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์วางอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้บนโต๊ะกลับว่างเปล่า


เธอ…ไปแล้ว


ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา โจพลันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด


เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของฟาร์รีนา


แม้แต่ฝุ่นตรงมุมโต๊ะเธอก็เช็ดจนสะอาด แต่เธอกลับไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้เลย


เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนให้ตัวเองมาเก็บกวาดให้งั้นเหรอ….


โจนั่งลงที่โต๊ะอย่างเฉยชา


อีกฝ่ายไปที่ไหน? เฮอร์มีส? บ้านเกิด? หรือว่าไปจบชีวิตตัวเองลงในป่าที่ไม่มีคนซักแห่ง?


เขาไปหาเธอได้…แต่ โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ เขาจะมีโอกาสหาฟาร์รีน่าเจอซักเท่าไรกันเชียว? ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรเอาไว้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเธออยากจะหายตัวไปเงียบๆ แบบนี้ ต่อให้เขาหาเธอเจอแล้วจะทำอะไรได้?


พอคิดถึงชีวิตของตนหลังจากนี้จะไม่มีหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว โจพลันรู้สึกเหมือนในใจตนมีความว่างเปล่าปรากฏขึ้นมา แม้แต่ความคิดเองก็หยุดลง เหมือนว่าหัวสมองเขาปฏิเสธที่จะคิดอะไรต่ออย่างนั้น…


สุดท้ายแล้วเขาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย


“อรุณสวัสดิ์ โจ”


ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงมีความสุขอยู่กับชีวิตที่เรียบง่าย?


“โจ?”


สรุปแล้วที่ทำไปก็เพราะต้องการเติมเต็มความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าแท้ที่จริงอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่


“โจ!”


จนกระทั่งมีมือข้างหนึ่งมาจับหน้าเขาให้หันไป เขาถึงได้พบว่าด้านหลังตนที่คนอยู่อีกคนหนึ่ง


“เจ้าบ่นอะไรอยู่คนเดียวเนี่ย?”


โจกะพริบตา


ฟาร์รีน่า


เธอกำลังขมวดคิ้วและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “สมองเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


“เจ้า…ไม่ได้ไปแล้วเหรอ?” โจคว้าแขนเธอไว้เหมือนไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าเจ้าตัดสินใจที่จะอยู่ต่อแล้ว?”


“หา?” ฟาร์รีน่าทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา แต่เธอกลับไม่ได้สะบัดมือของเขาทิ้ง “อะไรไปไม่ไป ข้าแค่ไปที่สำนักบริหารมาเท่านั้นเอง”


ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่ จากนั้นโจจึงพูดอย่างเขินๆ ขึ้นมา “อย่างนั้น….เจ้าไปสำนักบริหารทำไม?”


“ไปถามเรื่องคุณสมบัติในการสมัครงาน” น้ำเสียงฟาร์รีน่าฟังดูจริงจังขึ้นมา “ข้าเห็นในหนังสือพิมพ์ลงประกาศรับสมัครคนขับรถบรรทุกของเมือเนเวอร์วินเทอร์


“รถ…บรรทุก?” โจงุนงง


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ดูจากคำอธิบายแล้วน่าจะคล้ายๆ กับรถม้า ไม่ว่าจะขี่ม้าหรือขับรถม้าข้าก็ล้วนแต่ถนัด ข้าก็เลยคิดว่าบางทีนี่น่าจะเป็นโอกาส”


โอกาส? ความรู้สึกที่เหมือนจะใกล้ชิดก็ไม่ใช่จะห่างเหินก็ไม่เชิงปรากฏขึ้นมาในใจโจอีกครั้ง เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากฟาร์รีน่า “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงคิดจะไปสมัครเป็นคนขับรถบรรทุกล่ะ?”


ฟาร์รีน่านิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา “หลังคิดมาซักพัก ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้ว อันดับแรก จุดประสงค์ในการก่อตั้งศาสนจักรขึ้นมาคือการช่วยเหลือโลกให้พ้นจากภัยพิบัติและพามนุษย์เดินออกมาจากเงามืดจริงๆ นี่ไม่ใช่การป่าวประกาศของศาสนจักรแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่โรแลนด์ วิมเบิลดันเองก็ยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย เพียงแต่ว่าการทรยศของคนบางคนในศาสนจักรถึงได้ทำให้ศาสนจักรต้องเดินมาผิดทางแบบนี้”


“แล้วยังไงต่อ…”


“อย่างนั้นปัญหาต่อไปก็อยู่ที่ว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลจะต่อสู้เพื่อมนุษย์อย่างที่เขาได้พูดเอาไว้จริงๆ หรือไม่ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ข้าได้เห็นพระจันทร์สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของสงครามแห่งโชคชะตา ได้เห็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แล้วก็แม่มดที่ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป สิ่งเหล่านี้เหมือนกับคำพูดที่ป่าวประกาศเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ นั่นก็คือปีศาจที่พยายามจะฆ่าล้างมนุษย์”


“แต่ในคำสั่งเสียของท่านทัคเกอร์ก็พูดถึงปีศาจเอาไว้จริงๆ นี่นา” โจพูดงึมงำ


“ถูกต้อง เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง กองทัพของโรแลนด์กำลังไปทำศึกกับศัตรูที่มาจากนรกเหล่านี้อยู่” ฟาร์รีน่าพยักหน้า “ข้าไม่อยากจะทำผิดซ้ำเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้อีกแล้ว มีแต่ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองข้าถึงจะเชื่อ”


“หรือว่าเจ้าอยากจะไปวูล์ฟฮาร์ท” โจลืมตาโต


“ใช่” ฟาร์รีน่าตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าที่มาจากศาสนจักรไม่สามารถยื่นสมัครเข้ากองทัพที่หนึ่งได้ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องเปลี่ยนวิธี คนขับรถบรรทุกจำเป็นต้องขนของไปยังแนวรบหน้าสุดของสนามรบ และที่นั่นข้าก็จะได้เห็นทุกอย่างที่ข้าต้องการ”


เธอถึงได้ไปสอบถามเรื่องการสมัครเป็นคนขับรถที่สำนักบริหาร…


โจถามอย่างระมัดระวัง “ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วจะเป็นยังไง ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วจะเป็นยังไง?”


“ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ข้าก็จะใช้ชีวิตที่เหลือชดเชยในความผิดทั้งหมดที่ข้าเคยทำมา” ฟาร์รีน่าตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเธอครุ่นคิดว่าดีแล้ว “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยจับแม่มดด้วยมือข้าเอง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่ศาสนจักรทำมันจะไม่เกี่ยวกับตัวข้า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองทหารพิพากษา ข้าเองก็ถือเป็นเขี้ยวเล็บของผู้ทรยศเหมือนกัน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าทุกอย่างมันเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างนั้นข้าก็จะกลับไปที่เฮอร์มีส แล้วดูว่าจะช่วยศาสนจักรทำอะไรได้บ้าง..”


นี่คือคำตอบจากการที่เธอนิ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้


โจค่อยๆ ปล่อยมือ เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรั้งเธอเอาไว้เลย ไม่หลบหนีความผิดพลาดในอดีต แล้วก็ไม่ทิ้งคำสั่งเสียของทัคเกอร์ที่สั่งไว้ก่อนตาย แถมยังเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นจริง เธอแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก ในเวลานี้นอกจากคอยสนับสนุนอยู่เงียบๆ แล้ว ข้ออ้างและการเหนี่ยวรั้งมีแต่จะทำลายเธอ


แต่จุดจบของเรื่องยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


ทันทีที่กลายเป็นคนขับรถมุ่งหน้าไปยังวูล์ฟฮาร์ท เธอก็ย่อมไม่มีทางอยู่ที่นี่ต่อ ด้วยเหตุนี้เธอถึงได้เก็บข้าวของในห้องทั้งหมด


สุดท้าย…ฟาร์รีน่าก็ยังจากตัวเองไปอยู่ดี


“ข้า…” โจสูดหายใจ ด้วยกลัวว่าความเจ็บปวดภายในใจมันจะระเบิดออกมา


“เออใช่ ข้ายังมีเรื่องจะขอร้องเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง” ฟาร์รีน่าชิงพูดออกมาก่อน “รถบรรทุกหนึ่งคันต้องการคนขับสองคน ข้าอยากจะให้เจ้าไปกับข้า”


“เอ๋?” เขาตกตะลึงไปทันที


“บอกตามตรง ข้าไม่ได้ติดต่อกับคนข้างนอกมานานมากแล้ว ข้าไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำเรื่องนี้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว” เธอเบือนหน้าหนีอย่างเขินๆ “แต่เจ้าจะปฏิเสธข้าก็ได้นะ…เพราะตอนนี้เจ้ามีงานที่มั่นคงแล้ว แถมเงินเดือนก็ดีด้วย ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรจะพูดเรื่องนี้ เพียงแต่ว่า…”


“เพียงแต่ว่าอะไร?” โจถามทันที


ฟาร์รีน่าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตาเขาแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าข้าต้องการเจ้า”


นี่คือคำพูดที่โจเคยพูดกับเธอ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้คำพูดนี้จากปากของอีกฝ่าย


คนที่ถูกต้องการกลายเป็นคนต้องการ ส่วนคนต้องการก็กลายเป็นคนที่ถูกต้องการ….งั้นเหรอ? ความว่างเปล่าภายในใจหายไปแล้ว ความรู้สึกเติมเต็มซึ่งกันและกันไหลทะลักเข้ามาจนเต็มหัวใจของเขา


“กินข้าวเช้าก่อนเถอะ เย็นหมดแล้ว” โจถอนหายใจออกมา


“เฮ้….”


ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องถามเขาเรื่องนี้เลย


ถูกเนรเทศหนีตายไปวูล์ฟฮาร์ทด้วยกันยังไปมาแล้วเลย นับประสาอะไรกับการขับรถตามกองทัพไปล่ะ?


“กินเสร็จแล้วเราไปลงชื่อด้วยกัน” เขาพูดยิ้มๆ


…………………………………………………………………


ตอนที่ 1293 อนาคตที่ไม่อาจรู้ได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ สนามบิน โรงเรียนอัศวินอากาศ


เสียงคำรามของเครื่องยนต์ทำลายความเงียบในยามเช้า เครื่องบินสิบกว่าลำทยอยเคลื่อนตัวออกไปจากโรงเก็บเครื่องบิน ปีกเครื่องบินที่เรียวยาวสะท้อนประกายสีทองภายในแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมา


“เจ้าคิดจะพานักเรียนฝึกหัดไปด้วยเหรอ?” โรแลนด์ยืนอยู่ตรงปากทางขึ้นซีกัล พร้อมเอ่ยปากถามทิลลี


ทิลลีพยักหน้า “ถ้าทุกอย่างราบรื่น ข้าก็เขียนคู่มือการบินบทสุดท้ายเสร็จในหนึ่งเดือน แต่ข้าไม่อยากให้นักเรียนต้องเสียเวลาเปล่าๆ ไปหนึ่งเดือน ทฤษฎีมันสอนที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าพาพวกเขาไปแนวหน้าด้วย ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีโอกาสได้ลองบินดู เพราะเมื่อเทียบกับแนวรบของกองทัพที่หนึ่งแล้ว สนามบินถือว่าอยู่เกือบด้านหลังสุด


มันก็ใช่อย่างที่เธอว่า…ดูเหมือนเธอจะไม่ลืมฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนของตัวเองสินะ โรแลนด์สบายใจขึ้นหน่อย “ให้นักเรียนมีได้มีโอกาสลงมือมากหน่อย เจ้าอย่าเอาแต่ยึดเครื่องบินไว้คนเดียวล่ะ สอนทุกคนให้เป็นคือเป้าหมายที่สำคัญ”


ความจริงสิ่งที่เขาอยากพูดก็คือ อย่าวู่วาม


โอกาสแก้แค้นยังมีอีกเยอะ อย่าหุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ


“โอ้?” ทิลลีเหลือบมองดูเขา “ก็ได้ ขอเพียงท่านเอาเครื่องบินที่บอกจะสร้างให้ข้าออกมา ข้ารับรองว่าจะไม่ไปแย่งนักเรียนขับเฮฟเว่นเฟลมเลย”


โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที


เมื่อเห็นท่าทางที่พูดไม่ออกของเขา ทิลลีจึงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เธอสางปลายผมตรงหน้าผากที่กระจัดกระจายไปทัดไว้ข้างหู “สบายใจได้ ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ อย่างนั้นเรามาตกลงกันไหม หลังจากนี้หนึ่งเดือนข้าจะฝึกอัศวินอากาศที่พร้อมลงสนามรบออกมา ส่วนท่านก็สร้างเครื่องบินที่ว่าไว้ออกมา ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ข้ารับรองว่าจะไม่ไปสู้กับศัตรู ว่าไง?”


จะให้ดีที่สุดคือไม่ออกไปเลย ถึงแม้โรแลนด์จะคิดแบบนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าสงครามไม่มีทางราบรื่นไปได้ตลอด กองทัพที่สามารถปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้ถึงจะมีสิทธิ์ที่จะได้รับชัยชนะ ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเขาจึงพยักหน้า “ระวังตัวด้วยนะ”


“แน่นอน ข้ายังรอวันที่ท่านพอแอชเชสกลับมาอยู่นะ ท่านพี่” ทิลลียิ้มให้เขา


มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่รอยยิ้มของเธอกลมกลืนไปกันแสงอาทิตย์ยามเช้า แล้วสะท้อนเข้ามาในดวงตาของโรแลนด์


“องค์หญิง เครื่องบินพร้อมออกบินทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์พูดเตือน


“อย่างนั้นข้าไปล่ะ” ทิลลีหมุนตัวเดินขึ้นบันได ก่อนจะมุดเข้าประตูเครื่องบินไป


“อื้อ…” โรแลนด์เองก็เดินออกไปรันเวย์พร้อมกับคอยเหลียวหน้ากลับมามอง ถึงแม้เมื่อคืนจะจัดงานเลี้ยงร่ำลากันแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกทำใจได้ยากอยู่ เขามองเห็นภาพเหล่าแม่มดกำลังโบกมือให้เขาผ่านทางหน้าต่างเครื่องบิน


เวนดี้ แอนเดรีย ซิลเวีย เอคโค่ ลีฟ….เหมือนกับศึกทาคิลาครั้งที่แล้วเลย พวกเธอเดินทางไปสู่สนามรบแห่งใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้สงครามที่พวกเธอจะต้องเผชิญนั้นมีความยากลำบากมากกว่า แล้วก็ต้องใช้เวลายาวนานมากกว่า


“ทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ” ไนติงเกลพูดเสียงเบาๆ “หม่อมฉันรู้สึกแบบนั้น”


โรแลนด์พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดตอบอะไร


“รันเวย์โล่ง พร้อมขึ้นบินทุกเมื่อ!”


“ธงสัญญาณ สีเขียว!”


“ออกเดินทางได้!”


หลังเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินส่งสัญญาณมือ ไลต์นิ่งก็บินขึ้นท้องฟ้าเป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นเมซี่ที่แปลงร่างเป็นอสูรสยอง ในสถานการณ์ที่ต้องบินไปยังดินแดนแปลกหน้าโดยไม่มีเครื่องนำทาง พวกเธอทั้งสองคนจึงรับหน้าที่เป็นคนระบุตำแหน่งให้กับคนอื่นๆ


โรแลนด์สังเกตเห็นธันเดอร์กำลังคาบไปป์ไว้ที่มุมปาก พร้อมกับโบกมือส่งลูกสาวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ


หลังจากนั้นก็เป็นซีกัล


เมื่อเทียบกับเครื่องบินปีกสองชั้นที่ส่งเสียงดังเหล่านั้นแล้ว ตัวเครื่องของซีกัลดูมีความสง่างามมากกว่า


ในกลุ่มคนมีเสียงตะโกนบอกลาระเบิดขึ้นมา


ไม่ว่าจะเป็นสโมสรแม่มด หรือว่ามนตร์แห่งสลีปปิ้ง หัวใจของคนส่วนใหญ่ต่างไปรวมกันอยู่ที่เครื่องบินลำนี้แล้ว


ภายใต้การพัดของลมแห่งเวทมนตร์ ซีกัลเคลื่อนตัวไปนิดเดียวก็เชิดหน้าบินขึ้นไปจากรันเวย์ ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปบนท้องฟ้า


สุดท้ายก็เป็นอัศวินอากาศ


เครื่องบินสิบกว่าลำคือกองกำลังทางอากาศทั้งหมดที่เนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ ในนั้นมีอยู่ 6 ลำที่เป็น ‘เครื่องบินฝึกหัด’ ที่ยังไม่ได้ติดตั้งระบบอาวุธ แต่โรแลนด์รู้ดีว่าเครื่องบินล็อตใหม่ในโรงงานกำลังเร่งมือประกอบอยู่ ขอเพียงมีเวลามากพอ นกยักษ์ที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากเหล่านี้จะต้องสร้างความเสียหายให้กับปีศาจอย่างหนักและช่วยกองทัพที่หนึ่งจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้


เฮฟเว่นเฟลมทยอยวิ่งไปบนรันเวย์ ก่อนจะเชิดหน้าบินขึ้นไปตรงปลายสุดของกำแพงแล้วหายลับไปบนขอบฟ้า


เพื่อที่จะทำให้อัศวินอากาศสามารถเข้าสู่สนามรบได้อย่างรวดเร็ว โรแลนด์ได้สั่งให้ทีมก่อสร้างไปสร้างลานบินเอาไว้ที่เมืองเรดวอเทอร์ เมืองอีเทอร์นอลไนท์ เมืองกลอรีและเมืองธอร์นของอาณาจักรเพื่อนบ้าน โดยสนามบินเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างทิศเหนือกับทิศใต้ เพื่อให้เครื่องบินได้จอดพักและเติมน้ำมัน —- สำหรับเครื่องบินปีกสองชั้นที่มีน้ำหนักไม่ถึง 1 ตันแล้ว ขอเพียงมีที่เรียบๆ ผืนหนึ่งก็เพียงพอที่จะให้มันใช้ขึ้นบินกับลงจอดได้แล้ว


หลังจากที่นักบินมีความชำนาญในการบิน พวกเขาก็จะสามารถออกบินจากเนเวอร์วินเทอร์ในเวลารุ่งเช้า และข้ามอาณาจักรเกรย์คาสเซิล ดอว์นไปถึงวูล์ฟฮาร์ทได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ในยุคสมัยนี้เรียกได้ว่าเร็วจนเหมือนปาฏิหาริย์แล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้โรแลนด์ให้ความสำคัญกับกองทัพอากาศขนาดนี้ ทันทีที่สามารถจัดตั้งกองทัพอากาศขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ประสิทธิภาพในการสนับสนุนและการบุกของมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน


แต่แน่นอน เนื่องด้วยนี่เป็นการบินทางไกลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทิลลีจึงวางแผนให้ค้างคืนที่เมืองอีเทอร์นอลไนท์คืนหนึ่งก่อน ก่อนจะเดินทางต่อไปที่เคจเมาเธ่นในเช้าวันถัดไป เช่นนี้ต่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไร มันก็ยังรับประกันได้ว่าการเดินทางทั้งหมดจะเสร็จเรียบร้อยในเวลากลางวัน


หลังกองหนุนบินหายลับไปแล้ว ทุกคนยังคงมองไปบนท้องฟ้าทิศเหนือ


โรแลนด์เองก็เหมือนกัน


เขาหวังว่ากำลังในส่วนนี้จะช่วยกองทัพที่หนึ่งได้


……


บินขึ้นไปแล้ว….จริงๆ เหรอเนี่ย!


แมนเฟลอ้าปากค้างมองดูนกยักษ์เหล่านั้นหายเข้าไปในชั้นเมฆด้วยความตื่นเต้น


“เฮ้ย มัวยืนงงทำอะไร? จะถึงตาพวกเราขึ้นเรือแล้ว” ด้านหลังมีเสียงคนตะโกนขึ้นมา


“ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหล”” เขาสะบัดหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปหาคนอื่นๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ภายในหัวเขาก็ยังมีเสียงคำรามของนกเหล็กก่อนที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าดังสะท้อนอยู่ในหัว


ถึงแม้ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนมานี้แมนเฟลจะได้เห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อของเมืองเนเวอร์วินเทอร์มาหลายอย่างแล้ว แต่การที่ได้มาเห็นการบินขึ้นไปบนท้องฟ้าระยะใกล้ขนาดนี้ก็ยังทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านอยู่ดี


เพียงแต่ครั้งนี้นอกจากความตกตะลึงแล้ว มันยังมีความรู้สึกอื่นผสมอยู่ด้วย


นั่นคือความยินดี


เพียงแค่แวบแรก เขาก็ตกหลุมรักงานนี้แล้ว


ก็เหมือนกับแม็ตที่เป็นคนจัดการเรื่องที่พักบอกเขาเอาไว้ หลังแมนเฟลผ่านการทดสอบจิตใจที่จัดขึ้นโดยสำนักบริหารแล้ว เขาก็ได้รับบัตรประชาชนของเนเวอร์วินเทอร์ และยังได้รับบ้านพักที่เป็นของตัวเอง เรียกได้ว่าการหลอมรวมเข้ากับเมืองนี้ของเขาไม่เจออุปสรรคใดๆ เลย ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาก็สามารถตั้งหลักที่เมืองใหม่แห่งนี้ได้ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการเอกสารในสำนักบริหารหรือว่ากลายเป็นตำรวจที่คอยรักษาความยุติธรรมเหมือนอย่างชารอนก็ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่มีอนาคตอย่างยิ่ง


แต่ในขณะที่เขากำลังลังเล สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะยื่นใบสมัครของตัวเองเข้าไปยังโรงเรียนอัศวินอากาศ


ถึงแม้จะมีคนบอกแมนเฟลว่าอัศวินอากาศที่ผ่านเกณฑ์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ ไม่เพียงแต่จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ยังมีโอกาสที่จะเสียชีวิตในสนามรบด้วย ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง


ตอนนี้เขารู้สึกยินดีในการตัดสินใจของตัวเอง


รับใช้ผู้นำที่ชาญฉลาด เป็นศัตรูกับความชั่วร้าย ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ ไม่มีงานไหนที่จะมีเกียรติเท่ากับอัศวินอากาศอีกแล้ว


เขาอยากจะให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ


….


นอกจากฟาร์รีนา โจและแมนเฟลแล้ว ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย


พวกเขามาจากคนละอาณาจักร มาจากคนละเมือง แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางออกไปด้วยเป้าหมายเดียวกัน


เมื่อเทียบกับสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สองแล้ว มนุษย์ไม่เคยสามัคคีกลมเกลียวกันขนาดนี้มาก่อน


ชะตาที่ชีวิตของพวกเขาถูกสงครามแห่งโชคชะตาผูกเข้าไว้ด้วยกัน


และพวกเขาก็กำลังจะทำสงครามเพื่อชะตาชีวิตของมนุษย์


………………………………………………………………………


ตอนที่ 1294 เกาะที่โดดเดี่ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอเหนื่อยก็ดำลงไปนอนใต้ทะเลแปบหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็เดินทางต่อไปข้างหน้า หิวน้ำก็เงยหน้าขึ้นมากินน้ำฝน หิวข้าวก็จับปลามากินซักสองตัว


โจนไม่รู้ว่าตัวเองผ่านวันเวลาแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว


ตอนแรกเธอพยายามที่จะนับวันตามเวลากลางวันกลางคืนที่เปลี่ยนไป แต่พอพลาดไปครั้งสองครั้ง เธอก็นับวันคลาดเคลื่อนจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน…ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าตัวเองว่ายน้ำมานานเท่าไรแล้ว แต่ว่า…อย่างน้อยๆ ก็น่ามาประมาณครึ่งปีแล้วหรือเปล่า?


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจนก็รู้สึกเศร้าใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา ความจริงเธอร้องไห้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เพียงแต่น้ำตาของเธอหลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว


เหนื่อยจัง


เหนื่อยจริงๆ เลย


เวลานอนเธอก็ไม่สามารถลอยตัวอยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจได้ เพราะว่าทำแบบนั้นมันจะเป็นการเรียกพวกนกเหยี่ยวหรือสัตว์นักล่าอื่นให้เข้ามาหา ถึงแม้มันจะกินเธอไม่ได้ แต่ถ้าโดนมันจิกเข้าก็ต้องเจ็บตัวไปหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะถูกปีศาจทะเลและเรือสัตว์ประหลาดพวกนั้นมาพบเข้าก็ได้


ความจริงในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ โจนได้เจอกับพวกศัตรูโดยบังเอิญมาหลายครั้งแล้ว


ทุกครั้งเธอมักจะรู้สึกกลัวจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง


โชคดีที่เธอมักจะใช้ความเร็วสลัดอีกฝ่ายได้ ถึงแม้บางครั้งเธอจะไม่ระวังจนทำให้บนตัวบาดแผลก็ตาม


เกล็ดที่เคยถูกฝ่าบาทชมเชยตอนนี้หลุดลอกออกไปหลายแห่ง ผิวหนังที่เปิดเผยออกมาเป็นเหมือนจุดขาวๆ แปลกๆ เนื่องจากเธอต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา บาดแผลบางแห่งจึงเริ่มมีอาการเน่าขึ้นมา ที่เลวร้ายกว่านั้นคือหนอนปรสิตบางตัวคิดว่าเธอเป็นบ้านใหม่ของมัน พวกมันแบกเปลือกเข้ามาอยู่ในบาดแผลของเธอ ทุกครั้งที่ดึงมันออกมามักจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ


เดิมร่างกายนี้มันก็ไม่ได้สวยงามอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ดูแล้วยิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่


เธอคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆ ที่เนเวอร์วินเทอร์และอ้อมกอดอันอบอุ่นของเวนดี้อย่างมาก


คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรมาผูกมัดแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย


นอกจากนี้ถึงแม้ในทะเลจะมีปลาให้กินเยอะ แต่เธอก็ต้องกินมันดิบๆ เท่านั้น เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนเธอก็กินแบบนี้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นคาวอยู่ตลอดเวลา


เธออยากจะกินปีกไก่ย่างที่ไลต์นิ่งทำ


พอคิดๆ ไปโจนก็ร้องไห้ออกมา แต่ถึงแม้น้ำตาจะไหลออกมาไม่หยุด เธอก็ยังไม่หยุดสะบัดหางของตัวเอง


แต่ว่า…อีกนานเท่าไรถึงจะกลับไปยังจุดเดิมได้?


ความเร็วของเธอเร็วกว่าปลาจำนวนมาก


แม้แต่สโนวบรีสของฝ่าบาทก็ยังไม่อาจสู้ได้


เมื่อคำนวณจากเวลาดูคร่าวๆ แล้ว ระยะทางที่เธอว่ายมาในตอนนี้น่าจะไปกลับจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถึงเกาะชาโดว์ได้ประมาณ 5 รอบแล้ว แต่ทำไมข้างหน้าของเธอยังมองไม่เห็นปลายทางเสียที?


ไหนบอกโลกนี้กลมไง ฝ่าบาท…คงจะไม่หลอกเธอใช่ไหม?


ถ้าฝ่าบาททรงหลอกเธอจริงๆ หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสได้เจอพระองค์ เธอก็จะ…ก็จะเอาเกล็ดปลาไปกรีดหน้าพระองค์!


แต่ว่า มันก็ต้องเจอพระองค์ให้ได้ก่อนอะนะ….


โจนสูดหายใจแล้วพูดให้กำลังใจตัวเอง ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด! เธออยากจะกลับไปทุกคน!


เสียงร้อง ‘ยาา ยาา ยา’ ดังลอยไปบนผิวทะเล


หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงดังสะท้อน ‘ยาา ยาา’ กลับมา


โจนสะดุ้งทันที ก่อนจะหันมองไปทางต้นเสียงที่สะท้อนกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ — สภาพอากาศวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร บนผิวน้ำทะเลมีหมอกบางๆ ระยะทางที่มองเห็นได้นั้นแค่ไม่กี่กิโลเมตร เหมือนกับเวลาที่อยู่ในหมู่เกาะชาโดว์ตอนที่น้ำทะเลลดอย่างไรอย่างนั้น เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรปรากฏขึ้นมา เธอถึงว่ายไปยังทิศทางนั้นอยู่หลายสิบนาที สุดท้ายก็เหมือนจะมองเห็นเงาดำลางๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอก


มันดูแล้ว…เหมือนกับหินโสโครกที่ลอยอยู่บนน้ำ


โจนดีใจขึ้นมาทันที


โจนรู้ดีว่าวัตถุในทะเลหลายๆ อย่างที่ดูแล้วไม่ได้ใหญ่โตอะไร ความจริงแล้วมันมีขนาดที่ใหญ่โตอย่างมาก การที่มันสามารถโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำได้เหมือนกับหินโสโครกเช่นนี้ มันจะต้องไม่ใช่อะไรที่เล็กๆ แน่ บวกกับการที่สามารถสะท้อนเสียงร้องของตัวเองได้ มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นภูเขาขนาดใหญ่ ถ้ามีภูเขาปรากฏออกมา พื้นทวีปยังจะอยู่อีกไกลเท่าไรล่ะ?


หรือว่าที่ตัวเองมองเห็นจะเป็นเทือกเขาสิ้นวิถี?


โจรรู้สึกร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เธอเร่งความเร็วว่ายเข้าไปหาเงาดำที่อยู่ข้างหน้า


เมื่อระยะทางหดสั้นลง โครงร่างสีดำที่อยู่ภายใต้หมอกก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา


มันเป็นภูเขาขนาดใหญ่อย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ แต่ด้านล่างภูเขากลับไม่ใช่ท่าเรือของดินแดนตะวันตก หากแต่เป็นเกาะเรียบๆ แห่งหนึ่ง ด้านหลังเกาะเหมือนจะเชื่อมต่อกับพื้นทวีปที่กว้างใหญ่เอาไว้ เพียงแต่ทั้งสองอยู่ห่างกันไกลเกินไปจนทำให้มองเห็นไม่ชัด


ไม่ว่ายังไง มีพื้นทวีปมันก็ยังดีกว่าไม่มี


โจนตั้งสมาธิเต็มที่แล้วว่ายเข้าไปยังหาดทรายที่อยู่ใกล้ที่สุด


เมื่อขึ้นฝั่งแล้วเธอถึงได้สังเกตเห็นว่าเกาะแห่งนี้นั้นใหญ่กว่าเกาะเซียริ่งเฟลมซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของฟยอร์ดหลายเท่า นอกจากภูเขาที่เขียวชอุ่มนั่นแล้ว มันก็แทบจะไม่มีเนินดินหรือยอดเขาอื่นเลย หากแต่ราบเรียบไปเหมือนกับทุ่งหญ้าอย่างไรอย่างนั้น


แต่ในความเป็นจริง มันก็เป็นทุ่งหญ้าจริงๆ


เมื่อเทียบกับพวกเกาะแห้งแล้งในความทรงจำของโจนแล้ว ที่นี่เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากลมทะเลและสภาพอากาศที่เลวร้ายเลย ใต้เท้าของเธอเป็นต้นหญ้าที่สูงเลยข้อเท้าขึ้นมา บางแห่งยังมองเห็นดอกไม้เล็กๆ ที่เบ่งบานด้วย เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าในสถานที่ที่มีคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะทำลายพืชพรรณทุกอย่าง ทำไมถึงมีสถานที่แบบนี้ปรากฏขึ้นมาได้ บวกกับหมอกที่ปกคลุมอยู่รอบๆ เกาะ ทำให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากโลกเลย


โจนเปลี่ยนหางเป็นขาสองข้างแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปกลางเกาะ


หลังจากนั้นบนพื้นหญ้าก็เริ่มมีแผ่นหินปรากฏขึ้นมาให้เห็นประปราย ตอนแรกเธอยังไม่ได้สนใจอะไร แต่พอผ่านไปไม่นานเธอก็พบว่าถึงแม้แผ่นหินเหล่านี้จะมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่มันก็วางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ


ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าไปใกล้ศูนย์กลางเกาะ จำนวนแผ่นหินก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนตอนท้ายเธอเห็นมันตั้งเรียงเป็นวงกลม แล้วก็หดเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนว่ามันกำลังล้อมอะไรเอาไว้อยู่


ภาพแบบนี้เธอเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…


โจนคุกเข่าลงหน้าแผ่นหินพร้อมกับมองดูตัวแผ่นหินอย่างละเอียด บนแผ่นหินนั้นมีร่องรอยถูกแกะสลักเอาไว้อยู่ เพียงแต่ว่าโจนไม่รู้ว่ามันเป็นรูปที่ถูกวาดขึ้นมาเล่นๆ หรือเป็นตัวหนังสือที่มีความหมายอะไรซักอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้โจนรู้สึกแปลกใจแผ่นหินเหล่านี้ดูแล้วค่อนข้างเก่าแก่ แต่บนแผ่นหินกลับมีฝุ่นเกาะอยู่แค่เพียงเล็กน้อย เหมือนกับมีคนคอยทำความสะอาดมันอย่างไรอย่างนั้น


หรือว่า…นี่ใครอยู่บนเกาะแห่งนี้?


แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว โจนก็ต้องตกตะลึงไปทันที


ตรงหน้าเธอพลันมีหลุดขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ขนาดของมันเกรงว่าคงจะกว้างหลายกิโลเมตร ด้านล่างลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม เส้นโค้งตรงขอบหลุมดูเรียบรื่น ไม่มีทางที่มันจะยุบตัวลงไปเองตามธรรมชาติแน่นอน ส่วนแผ่นหินเหล่านั้นก็ตั้งเรียงล้อมรอบปากหลุมกลายเป็นเหมือน ‘คลื่น’ ที่กระเพื่อมกระจายตัวออกมา


เธอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ท่ามกลางหมอกบางๆ ที่ปกคลุม พระจันทร์สีแดงยังคงดูเด่นชัด อันนึงลอยอยู่บนฟ้า อีกอันก็อยู่ใต้เท้า แต่ทั้งสองกลับมีขนาดที่คล้ายกันอย่างมาก เหมือนกับว่าถูกแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันอย่างนั้น เธอถึงขนาดมีความคิดแปลกๆ ปรากฏขึ้นมา ถ้าเกิดพระจันทร์สีแดงตกลงมา มันน่าจะลงไปอยู่ในหลุมได้พอดีหรือเปล่า?


“สวัสดี” ทันใดนั้นเอง เสียงใสๆ เสียงหนึ่งพลันดึงมาจากด้านหลังของเธอ


“ยาา….!” โจนตกใจจนส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะหมุนตัวแล้วถอยหลังไปสองก้าวจนชนกับแผ่นหินแผ่นหนึ่ง


อีกฝ่ายก็เหมือนจะตกใจเหมือนกัน ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้า…ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


ในตอนนี้โจนถึงได้พบว่าคนที่พูดนั้นไม่ใช่สัตว์ประหลาด หากแต่เป็นหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง เธอสวมชุดกระโปรงสีขาว ปลายผมสีดำตกลงมาปรกตรงหน้าอก ดูแล้วช่างสดใสจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกดี เพียงแต่สีหน้าของเธอดูค่อนข้างสับสน เหมือนไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้ามาโจนดีหรือว่ายืนดูอยู่ข้างๆ ต่อ


“ยา ยา….”


เดิมโจนอยากจะถามว่าเจ้าเป็นใคร แต่สิ่งที่เธอเปล่งเสียงออกไปกลับเป็นแค่เสียงร้อง หลังจากไม่ได้ติดต่อกับผู้คนมาเป็นเวลาครึ่งปี ความสามารถทางภาษาของเธอกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เธออยู่คนเดียวอีกครั้ง


แต่อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่พยายามจะพูดออกมา ในแววตาของเธอเผยให้เห็นถึงความโดดเดี่ยว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังตอบกลับไปพร้อมรอบยิ้มเล็กๆ


“ข้าเหรอ?….ข้าเป็นแค่ผู้เฝ้ามองที่ถูกขังอยู่ที่นี่เท่านั้น”


…………………………………………………..


ตอนที่ 1295 ผู้เฝ้ามอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โจนดีใจขึ้นมาทันที


นอกจากเมซี่แล้ว ยังมีคนอื่นที่เข้าใจภาษาปลาของเธออยู่อีก


แต่แน่นอน เมซี่จะเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าโจนก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะเสียงจิ๊บๆ ของอีกฝ่ายนั้นเหมือนจะเข้าใจได้ยากกว่าเสียอีก ปกติอย่างมากเธอก็เดาออกแค่บางคำเท่านั้น


แต่ว่า…อะไรคือผู้เฝ้ามอง?


เธอออกเสียง ‘ยาๆ’ ถามต่อว่าเจ้าเฝ้าหลุมนี่เหรอ? แล้วที่ีนี่คือที่ไหน?


“มันไม่ใช่หลุม หากแต่เป็นสะพานต่างหาก” อีกฝ่ายยิ้มขึ้นมา


ข้าเคยเห็นสะพาน สะพานมันไม่ได้เป็นแบบนี้ โจมตีเดินไปที่้ข้างหลุมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองลงไปด้านหลัง รอบๆ ผนังในหลุมนั้นมีแต่ดินโคลนกับเถาวัลย์ มันไม่เห็นทางที่จะลงไปข้างล่างได้เลย


“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะข้ามสะพานนี้ได้ ต้องเป็นคนที่มีกุญแจถึงจะข้ามไปได้” หญิงสาวอธิบาย “เจ้าไม่มีกุญแจ เจ้าก็เลยมองไม่เห็นมัน”


อย่างนี้นี่เองยา โจนเข้าใจขึ้นมาทันที แต่ทำไมคนที่สร้างสะพานขึ้นมาต้องทำแบบนี้ด้วย? ก็ให้คนข้ามหลุมไปได้เลยไม่ดีกว่าเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีกุญแจ ทุกคนก็ยังเดินอ้อมได้นี่นา


ผู้เฝ้ามองยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา “มันก็ใช่…แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำ รอคอยให้คนที่มีกุญแจมา จากนั้นก็เปิดสะพานให้เขา”


โจนหันกลับมามองดูเธออยู่ครู่ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า


บนตัวเจ้าไม่มีโซ่ล่ามเอาไว้นี่นา


“อะไรนะ?”


ในเมื่อไม่มีโซ่ ทำไมถึงไม่ไปจากเกาะล่ะ? โจนชี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้ามองเห็นทางโน้นมีแผ่นดินอยู่ ถ้าว่ายไปก็น่าจะใช้เวลาไม่นานเท่าไร ในเมื่อไม่ได้ถูกล่ามเอาไว้ ข้าพาเจ้าไปจากนี้ด้วยกันก็ได้นะ


อีกฝ่ายตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มๆ แล้วส่ายหัว “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว บนตัวเจ้ามีแผล ถูกอะไรโจมตีมาใช่หรือเปล่า?”


ถึงแม้โจนจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงเปลี่ยนประเด็น แต่โจนก็ยังตอบคำถามออกไปทันทีว่าถูกสัตว์ประหลาดทะเลตะปบมา


“มานานลงตรงนี้สิ ข้ามียา เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้เจ้า” หญิงสาวกวักมือเรียกเธอ


ไม่รู้ว่าทำไม เห็นๆ อยู่ว่าเป็นการเจอกันครั้งแรก แต่โจนกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนไม่ดี


หลังทำตามที่เธอบอก ผู้เฝ้ามองดูหยิบเอาขวดยาออกมาขวดหนึ่ง ก่อนจะเอายามาป้ายไว้บนฝ่ามือตัวเองแล้วค่อยเอามาทาบนบาดแผลของเธอ ความรู้สึกเย็นสดชื่อพัดเอาความเหนื่่อยล้าและความเจ็บปวดบนร่างกายเธอไปทันที คล้ายเป็นลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาที่หน้าในตอนที่อากาศร้อนๆ


“ยา…”


“สบายใช่ไหม?” หลังจากทายาไปแล้ว ผู้เฝ้ามองก็ฉีกชายจะโปรงของตัวเองออกมาพันไว้ตรงตำแหน่งที่ทายา “เออใช่ หลังจากนี้เจ้าจะไปที่ไหน?”


กลับบ้าน โจนพูดงึมงำ ข้าอยากกลับไปหาเพื่อน


“อย่างนั้นเจ้าจะไปทางเงามืดไม่ได้ ถึงแม้ที่นั่นจะมีแผ่นดินอยู่ แต่เป็นที่ๆ เจ้าไม่ควรไป”


เจ้ารู้ว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ที่ไหนเหรอ? เธอมองออกไปข้างนอกอย่างดีใจ


“อืม…น่าจะอยู่ตรงข้ามกับเงามืดล่ะมั่ง แต่ว่าหนทางที่จะไปที่นั่นก็อันตรายอย่างมากเช่นเดียวกัน ทางที่ดีเจ้าว่ายเลีบลชายฝั่งไปดีกว่า”


จริงเหรอ?


“จริงสิ แต่เจ้าพักผ่อนก่อนที่ดี ข้ารู้ว่าร่างกายเจ้ามันใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว”


พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ โจนที่ตอนแรกนึกว่าตัวเองยังไหวพลันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจับใจ ราวกับว่าความเหนื่อยล้าที่เธอสะสมมาเป็นเวลาครึ่งปีพลันระเบิดออกมาในเวลานี้


เมื่ออยู่ข้างกายอีกฝ่าย เธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายที่ไม่ได้เจอมานาน


ก็จริง พักผ่อนก่อนแล้วกัน


เธอค่อยๆ หลับตาลง


หญิงสาวลูบผมของโจนพร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “จริงอยู่ที่ข้าไม่ได้ถูกโซ่ล่ามเอาไว้ แต่มันไม่ได้มีแต่โซ่เท่านั้นถึงจะคุมขังคนเอาไว้ได้ บางครั้งคำพูดมันก็มัดตัวเราเอาไว้แน่นยิ่งกว่าโซ่เสียอีก”


ข้า…ไม่ค่อยเข้าใจ


“ไม่เข้าใจไม่เป็นไร เพราะว่าแม้แต่ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”


เสียงของหญิงสาวเหมือนกับค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ทั้งนุ่มนวลและสงบ สติของโจนเริ่มเลือนลาง


บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าถามคนอื่นดูได้…ถึงแม้ข้าจะโง่ไปหน่อย แต่มีบางคนที่ฉลาดมาก อย่างเช่นคุณอันนา แล้วก็ฝ่าบาทโรแลนด์….


“งั้นเหรอ? อย่างนั้นรบกวนเจ้าด้วยนะ”


พวกเรายังจะได้เจอกันอีก…ใช่ไหม?


“อื้อ ถ้ามีโอกาสล่ะก็…”


โจนจมอยู่ในการหลับใหล


ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็เป็นเวลาเย็นแล้ว


แย่แล้ว ข้าหลับไปนานเท่าไรเนี่ย? เธอกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง แต่เธอกลับไม่ได้รับคำตอบจากผู้เฝ้ามอง โจนมองดูรอบๆ อย่างลนลาน ก่อนจะพบว่ารอบตัวเธอไม่มีใครอยู่เลย


ไม่ใช่แค่นี้ แม้แต่แผ่นหินพวกนั้นก็ไม่มีอยู่เลย ตรงหน้านอกจากหลุมขนาดใหญ่ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ทุ่งหญ้าโล่งๆ กับภูเขาเรียบๆ เท่านั้น ราวกับว่าทุกสิ่งที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น


หรือว่า นั่นคือความฝัน?


ไม่ ไม่ใช่ โจนพบว่าบนร่างกายเธอยังมีผ้าพันเอาไว้อยู่ เพียงแต่ความรู้สึกเย็นสบายตรงผิวหนังมันหายไปหมดแล้ว


เธอแกะผ้าออกอย่างลังเล บนเกล็ดของเธอไม่มีร่องรอยยาหลงเหลืออยู่ แต่บาดแผลได้หายไปหมดแล้ว


ในขณะที่โจนกำลังงุนงง อีกด้านหนึ่งพลันมีเสียงร้องแปลกๆ ดังขึ้นมา


ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าหมอกที่ปกคลุมเกาะก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้ว เงามืดที่อยู่อีกฟากหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเธอ


มันเป็นภูเขาสูงจริงๆ แต่ความสูงของมันค่อนข้างสูงจนหน้าตกใจ เรียกได้ว่าสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว


ไม่ใช่เท่านี้ ขนาดของมันก็ยังใหญ่จนน่าตกใจอีกด้วย เมื่อมองดูจากไกลๆ ความใหญ่ของมันเกรงว่ายังไงกว้างกว่าเกาะของฟยอร์ดจากทิศใต้ไปจนถึงทิศเหนือรวมกันเสียอีก บนภูเขามองไม่เห็นต้นไม้เลยแม้แต่ต้นเพียง สิ่งที่ดวงตามองเห็นนั้นมีแต่สีดำ เหมือนกับว่ามันถูกน้ำหมึกย้อมเอาไว้ นอกจากนี้บนภูเขายังมีหมอกแดงปกคลุมอยู่บางๆ อีกชั้นหนึ่ง บางครั้งก็จะมีของเหลวสีแดงพ่นออกมา!


จากนั้นโจนก็มองเห็นว่าเสียงคำรามนั้นมันมาจากที่ไหน


ตรงด้านล่างตีนเขามีเรือสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันเข้าไปหาพื้นทวีปเหมือนกับมด มันไปออกันอยู่ตรงชายหาดพร้อมกับพ่นน้ำพิษออกไปจนพื้นสีดำหลุดร่อนออกมาเป็นชั้นๆ ก่อนหน้านี้ขนาดยักษ์ก้อนแล้วก้อนเล่ากลิ้งตกลงมาในทะเล ริมชายฝั่งเหมือนเดือดพล่านขึ้นมา! ถึงแม้เมื่อเทียบกับภูเขาสีดำแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านี้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่กองกำลังเล็กๆ นี้กลับค่อยๆ กลืนกินภูเขาไปทีละน้อย!


แต่พวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เจอการตอบโต้


ตรงพื้นที่ที่เรือยังไปไม่ถึง ปีศาจทะเลจำนวนนับหมื่นกับสัตว์ประหลาดอีกชนิดหนึ่งกำลังปะทะกันอย่างรุนแรง โจนมองดูอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้พบว่านั้นคือปีศาจที่ทุกคนพากันพูดถึงบ่อยๆ!


ปีศาจทะเลที่ปกติมักสร้างความปวดหัวให้กับพวกลูกเรือดูอ่อนแอเหมือนกับคลื่นที่ซัดสาดไปบนโขดหิน พวกมันถูกชนจนแตกกระสานซ่านเซ็น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรแนวป้องกันของพวกปีศาจได้ แต่ถึงกระนั้นพวกปีศาจทะเลที่ตามมาทีหลังก็ยังดาหน้าขึ้นฝั่งไปไม่หยุด


ความเหตุการณ์กันบ้าคลั่งนี้ทำให้โจนถึงตกใจจนเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่น


‘ถึงแม้ด้านนั้นจะมีแผ่นดินเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ใช่ที่ๆ เจ้าควรไป’


‘ที่ๆ เจ้าจะกลับไปอยู่ตรงข้ามกับเงามืด’


ภายในหัวเธอมีเสียงผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นมา


โจนหันหน้ามองไป ด้านตรงข้ามกับภูเขาหินสีดำนั้นไม่มีวี่แววของแผ่นดินเลย มีแต่ท้องทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เธอลังเลอยู่เพียงเล็กน้อย สุดท้ายเธอก็วิ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว


ภาพการต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งของทั้งสองฝั่งทำให้เธอรู้ถึงได้ถึงกลิ่นอายแห่งความอันตราย สัญชาตญานบอกเธอว่าเธอควรจะรีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้เธอยังแอบรู้สึกว่าผู้เฝ้ามองนั้นไม่มีทางหลอกเธอ


เสียงตู้มดังขึ้นมา โจนกระโดดลงไปในน้ำ พร้อมกับทิ้งเสียงดังกัมปนาทที่เหมือนฟ้าดินจะถล่มเอาไว้ข้างหลัง


…………………………………………………………………….


ตอนที่ 1296 แขกที่มาจากบนฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านพ่อ…พวกเราจำเป็นต้องทำขนาดนี้จริงๆ เหรอ”


บนที่ดินว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองกลอรี ฮอว์น ควินนกำลังมองดูเหล่าคนงานที่กำลังทำงานพร้อมถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนหนึ่งลานสีเหลียมผืนผ้าแห่งหนึ่ง ความยาวของมันประมาณ 1,000 เมตร กว้าง 500 เมตร หลังจากที่ทีมก่อสร้างของเกรย์คาสเซิลเข้ามายังอาณาจักรดอว์น มาตราวัดความยาวแบบใหม่ก็เริ่มเผยแพร่กันในหมู่ขุนนาง


ลานแห่งนี้ไม่เหมือนกับพวกลานในเมืองหลวงที่ใช้ก้อนอิฐที่สวยงามสร้างขึ้นมา พื้นผิวของมันล้วนแต่ใช้ซีเมนต์ปูขึ้นมา ดูแล้วมีแต่สีเทาๆ ไม่มีสีสันและเอกลักษณ์ใดๆ เลย ถ้าจะให้พูดข้อดีของมันก็คงจะมีแค่สร้างได้สะดวกเท่านั้น นับจากวันที่ขุดพื้นจนถึงวันที่สร้างเสร็จใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนงานที่เอามาใช้ในการก่อสร้างก็ล้วนแต่เป็นคนงานที่ตระกูลควินน์เลี้ยงดูขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขาให้ความสำคัญกับการก่อสร้างนี้มาก


“โอ้?” ฮอว์ฟอร์ด ควินน์หรือก็คือราชาแห่งดอว์นในตอนนี้เหลือบหันมองดูเขาอย่างสนใจ “เจ้าหมายถึงอะไร?”


“คำสั่งของฝ่าบาทโรแลนด์มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือท่านพ่อ” ฮอว์นพูดพร้อมกางมือออก “เดี๋ยวก็ให้สร้างสะพาน เดี๋ยวก็ให้สร้างถนน แถมยังเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหมดด้วย ท่านเอาคนงานของตระกูลทั้งหมดมาทำงานพวกนี้ แล้วงานอื่นของเราจะทำยังไงล่ะท่านพ่อ? ในปราสาทยังมีอีกหลายที่ที่รอการซ่อมอยู่นะท่านพ่อ”


แน่นอนสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจนั้นไม่ได้มีแค่สองข้อนี้


ท่านพ่อให้ความสำคัญกับคำขอของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลมากเกินไปแล้ว


เรียกว่าให้คนสำคัญจนคนอื่นได้ประโยชน์แต่ตัวเองเสียเปรียบ


อย่างเช่นซีเมนต์ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากการเล่นแร่แปรธาตุ ถ้าหากผูกขาดเอาไว้กับตระกูลตัวเอง มันจะต้องทำเงินให้พวกเขาได้มหาศาลแน่นอน


แต่เพียงแค่คำพูดของฝ่าบาทโรแลนด์ในจดหมายที่บอกว่า ‘ให้เร่งเพิ่มกำลังการผลิตโดยเร็วที่สุด’ ประโยคเดียว ท่านพ่อก็เรียกเหล่าขุนนางทั้งหมดมาในวัง แล้วก็บอกสูตรทำซีเมนต์ให้กับทุกคน ด้วยกำลังของสมาคมการค้าที่อยู่ในมือเหล่าขุนนาง โรงงานผลิตซีเมนต์จำนวนหลายแห่งก็ถูกสร้างขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ นี่ทำให้ผลประโยชน์ที่ตระกูลควินน์จะได้รับต้องลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย


แต่พอถึงตอนที่ต้องสร้างถนน สถานการณ์กลับไม่เหมือนเดิม


พวกขุนนางเหล่านั้นต่างก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมสร้าง ท่านพ่อเลยต้องลงมามือจัดการเอง


ตั้งแต่การเกณฑ์คนงานจนกระทั่งร่วมมือกับทีมก่อสร้างของเกรย์คาสเซิลสร้างถนนจนเสร็จล้วนแต่เป็นตระกูลควินน์ที่เป็นคนแบกรับ ค่าใช้จ่ายตรงนี้ไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ แน่นอน ถึงแม้การกลืนกินทรัพย์สมบัติของตระกูลโมยาจะทำให้อำนาจของตระกูลเพิ่มขึ้น แต่เงินก็ถุูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำเช่นเดียวกัน ฮอว์นที่เห็นเงินในคลังร่อยหรอลงไปทุกวันย่อมต้องปวดใจเป็นธรรมดา


สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่การสร้างถนนมันไม่เหมือนกับการลงทุนทำการค้า เงินที่จ่ายออกไปในการทำการค้าอาจจะกลับมามากกว่าเดิม แต่การสร้างถนนเชื่อมต่อจากแม่น้ำนอร์ธไซด์ไปถึงเคจเมาเธ่นจะทำให้พวกเขาได้อะไรกลับมา? ที่ตรงนั้นมันไม่ได้อยู่ในพื้นที่ควบคุมของตระกูลควินน์ด้วยซ้ำ! ต่อให้มันจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตทางการค้าได้ แต่ผลประโยชน์มันก็ไปตกอยู่กับเจ้าเมืองตรงชายแดน


และเมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน สิ่งที่ฝ่าบาทโรแลนด์ต้องการจะสร้างไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองอย่างนี้แน่ พื้นเรียบๆ แปลกๆ ที่ดูไม่มีประโยชน์อะไรตรงหน้านี้คือสิ่งยืนยัน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วตระกูลจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแน่นอน ความจริงเขาก็เริ่มได้ยินเสียงต่อว่าจากตระกูลสาขามาไม่น้อยแล้ว


สิ่งที่ทำให้ฮอว์นรู้สึกไม่สบายใจมากที่สุดก็คือท่าทีของพ่อเขาที่มีต่อคนของเกรย์คาสเซิล


เขาไม่เพียงแต่จะลงตรวจตรางานก่อสร้างนั้นด้วยตัวเอง หากแต่ยังเชิญทีมก่อสร้างพวกนั้นเข้าไปในวังเพื่อถามความต้องการอยู่บ่อยๆ ด้วย ถ้าอีกฝ่ายเป็นขุนนางก็ว่าไปอย่าง แต่ปัญหาก็คือฮอว์นได้ไปสอบถามมาแล้ว เจ้าหน้าที่พวกนี้ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีชาติตระกูลอะไรเลย พ่อของเขาซึ่งเป็นราชาของอาณาจักรมานั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกับชาวบ้านธรรมดา นี่ทำให้เขายากจะยอมรับได้จริงๆ


แล้วก็อย่างเช่นวันนี้ พอได้ยินว่าทางเกรย์คาสเซิลจะมีคนมาที่เมืองกลอรี พ่อของเขาก็รีบพาคนมารอต้อนรับอยู่ที่นอกเมือง นี่มันทำให้คนยากจะเชื่อได้จริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ไปรอต้อนรับอยู่ในปราสาทก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว มีราชวงศ์ไหนเขาทำกันถึงขนาดนี้บ้าง?


ฮอว์นสงสัยว่าพ่อของตัวเองกำลังชดเชยให้กับแอนเดรียหรือเปล่า เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มันเริ่มขึ้นหลังจากที่ฮอว์ฟอร์ดได้เจอกับลูกสาวของตัวเอง


“ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ?” ฮอว์ฟอร์ดยักไหล่ “คนอื่นไม่ยอมออกแรง ข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลเป็นอย่างไรเจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว เจ้าคิดว่าถ้าไม่มีการสนับสนุนของตระกูลวิมเบิลดัน ข้าจะนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ได้เหรอ?”


“ไม่ ท่านพ่อ…ข้าไม่ได้จะให้ท่านไปเป็นปฏิปักษ์กับเกรย์คาสเซิล” ฮอว์นรีบโบกมือปฏิเสธ “ท่านแค่สั่งการออกไป แล้วให้ลูกน้องไปทำ โรแลนด์ วิมเบิลดันก็ไม่มีทางที่จะมากล่าวโทษท่านได้ ส่วนเรื่องเงินก็ค่อยๆ คุยกับผู้ปกครองในท้องที่นั้นๆ ได้ เพราะการค้าคือการประณีประนอม พ่อค้าที่ยิ่งใจร้อนก็จะยิ่งขาดทุนได้ง่าย นี่เป็นสิ่งที่ท่านสอนข้าเอง”


“เสียดายที่สงครามแห่งโชคชะตามันไม่ใช่การค้าน่ะสิ”


“มันก็ใช่ แต่…” ฮอว์นกัดฟัน สุดท้ายจึงรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมา “แต่บางคนคิดว่าสภาพของท่านในตอนนี้ไม่เหมือนกับราชาแห่งดอว์นเลย หากแต่เหมือนกับเสนาบดีของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันมากกว่า!”


เดิมเขาคิดว่าคำพูดนี้จะทำให้พ่อของตัวเองโมโหอย่างมาก แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองเขาอยู่ครู่ ก่อนจะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าถามเจ้าหน่อย ทำไมทวีปนี้ถึงมีแค่สี่อาณาจักรใหญ่ ทำไมถึงไม่เป็นห้าหรือสาม?”


“เอ่อ…” ฮอว์นที่เจอกับการเปลี่ยนประเด็นอย่างปุบปับทำอะไรไม่ถูก “เพราะว่า…ทั้งสี่เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด?”


“ที่ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ในดินแดนของตัวเอง” ฮอว์ฟอร์ดตอบ “ความแข็งแกร่งของตระกูลจะน้อยลงเรื่อยๆ ตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่เรียกว่าชายแดน จริงๆ แล้วก็คือจุดที่ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน แต่ตอนนี้จุดที่ว่านั้นมันไม่มีอยู่อีกแล้ว ขอเพียงโรแลนด์ วิมเบิลดันต้องการ เขาก็สามารถยึดเอาสี่อาณาจักรใหญ่มาเป็นของตัวเองได้ทันที ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าเป็นเสนาบดีของเขามันไม่ถูกตรงไหนล่ะ?”


ฮอว์นแย้งออกไปทันที “ท่านพ่อ! ต่อให้กองทัพของเกรย์คาสเซิลจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่พวกเขาก็ควบคุมดินแดนที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้! ท่านชมเชยความสามารถของเขาเกินไปหรือเปล่า…”


“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้ายังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเกรย์คาสเซิลต่างหาก ฮอว์น” ฮอว์ฟอร์ดถอนหายใจออกมา “บางทีโรแลนด์ในอดีตอาจจะทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ระยะทางมันไม่ใช่อุปสรรคในการปกครองของเขาอีกแล้ว แน่นอน เจ้าซึ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำย่อมต้องจินตนาการไม่ออกว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหนแล้ว”


“แล้ว…ท่านรู้ได้อย่างไร?”


ฮอว์ฟอร์ดยิ้มๆ “แอนเดรียตอบจดหมายข้ามาแล้ว”


นี่ทำให้ฮอว์นรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที


ในขณะที่เขากำลังจะพูดโน้มน้าวพ่อของตัวเองต่อ จู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา


จากนั้นก็เป็นเสียงคำรามดังหึ่งๆ


ฮอว์นมองตามเสียงไป ก่อนจะตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย เขาเห็นตรงขอบฟ้ามีเงาดำที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ พวกมันเรียงแถวเป็นเส้นตรงบินเข้ามาทางเมืองกลอรี


นั่นมัน…นกที่กำลังอพยพเหรอ?


แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งความคิดนี้ก็ถูกปฏิเสธไป ขนาดของจุดดำขยายใหญ่จนใหญ่กว่านกชนิดใดๆ บนโลก แล้วก็ยังคงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด


ฮอว์นค่อยๆ ลืมตาโต นั่นมันเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นมา!


คนงานที่่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็วางเครื่องไม้เครื่องมือในมือลง ก่อนจะส่งเสียงร้องขึ้นมา


เหล่าพ่อค้าที่ผ่านไปผ่านมาเองก็หยุดฝีเท้าแล้วพากันเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า


“น่าเหลือเชื่อจริงๆ….เขาทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ฮอว์ฟอร์ดยิ้มมุมปากขึ้นมา “คนที่ข้ารอรับ…มาถึงแล้ว”


ฮอว์นที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ตกตะลึงไปทันที หรือว่านกยักษ์นั้นคือพาหนะที่คนเกรย์คาสเซิลสร้างขึ้นมา?


มันจะเป็นไปได้ยังไง!?


………………………………………………………….


ตอนที่ 1297 มาถึงแนวหน้า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็ว


นกยักษ์บินวนรอบๆ ลานซีเมนต์พร้อมกับลดระดับความสูง ฮอว์นมองเห็นคนขับชะโงกหน้าออกมามองได้อย่างชัดเจน ร่างกายของเจ้าสิ่งนี้ใหญ่กว่ารถม้าเสียอีก ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าของหนักๆ แบบนี้มันบินอยู่กลางอากาศเหมือนนกได้ยังไง


คนอื่นๆ เองก็มีความคิดแบบเดียวกัน


ในตอนที่นกเหล็กส่งเสียงคำรามบินผ่านลานไป คนงานบางคนถึงขนาดคุกเข่าลงไปทำท่าเหมือนสวดภาวนา


นี่มันยิ่งกว่าปาฏิหาริย์เสียอีก


“แอนเดรียพี่สาวของเจ้าอยู่บนนั้น” ฮอว์ฟอร์ดพูดเสริมขึ้นมา “และวันออกเดินทางที่เขียนไว้ในจดหมายก็คือเมื่อวานนี้”


ฮอว์นงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เมื่อวาน’ นี้


พริบตาที่เขาเข้าใจ ขนบนแผ่นหลังของเขาพลันลุกเกรียวขึ้นมา


เดินทางพันกิโลเมตรได้ในวันเดียว?


‘และตอนนี้จุดที่ว่านั้นมันก็ไม่มีอยู่แล้ว’ คำพูดของพ่อเขาดังขึ้นมาในหู ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจแล้วว่าความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้มันน่าขันแค่ไหน


นกเหล็กที่คนสร้างขึ้นมาค่อยๆ ร่อนลงพื้นทีละลำๆ ในตอนที่แอนเดรียเดินออกมาจากเครื่องบิน ฮอว์ฟอร์ดก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว


….


งานเลี้ยงต้อนรับเหล่าแม่มดถูกจัดขึ้นในปราสาท ถึงแม้จะไม่ได้แจ้งให้ขุนนางคนอื่นมาเข้าร่วมงาน แต่ข่าวแขกผู้มาเยือนจากบนท้องฟ้าก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองกลอรีอย่างรวดเร็ว


หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ ในที่สุดฮอว์ฟอร์ดก็มีโอกาสได้คุยกับลูกสาวของตัวเองตามลำพัง


สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกยินดีก็คืออย่างน้อยครั้งนี้อีกฝ่ายก็ยอมเรียกเขาว่าพ่อแล้ว


“เจ้าจะออกเดินทางบ่ายนี้เหรอ?” ฮอว์ฟอร์ดพูดเหมือนยังไม่อยากให้ลูกสาวไป


“พวกข้าต้องรีบไปรวมกับกองทัพที่หนึ่งที่ชายแดนเคจเมาเธ่นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” แอนเดรียพยักหน้า “ถ้าไม่เป็นเพราะคำนึงถึงว่านี่เป็นการบินข้ามอาณาจักรครั้งแรกของทุกคน ซีกัลก็น่าจะเดินทางถึงนั่นได้ในวันเดียว ถ้าเป็นแบบนั้น แม้แต่เวลาจะกินข้าวซักมื้อก็คงจะไม่มี”


เดินทางข้ามสองอาณาจักรได้ในวันเดียว! ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้เรื่องเครื่องมือขนส่งที่น่าเหลือเชื่อนี้จากจดหมายที่ลูกสาวส่งมาแล้ว แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะสั่งสอนฮอว์นไปว่าไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเกรย์คาสเซิล แต่ความจริงแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย ฮอว์ฟอร์ดแอบถอนใจกับตัวเอง ก่อนจะลูบคางแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วพวกเจ้าจงใจที่จะทำให้มันดูน่าตกตะลึงขนาดนี้ใช่ไหม?”


ในที่สุดแอนเดรียก็ยิ้มออกมา “ท่านมองออกเหรอ?”


“ข้าคิดว่าเครื่องบินลงจอดมันไม่จำเป็นต้องบินวนนานขนาดนั้น” ฮอว์ฟอร์ดพูดด้วยท่าทีเหนื่อยใจ “ทำแบบนี้ เกรงว่าแม้แต่คนที่อยู่ทางใต้ของเมืองก็ยังได้ยินเสียงคำรามของมันเลย แต่แน่นอน แบบนั้นมันก็เป็นการเตือนพวกขุนนางที่คิดจะก่อความวุ่นวายที่ดีอย่างมากเหมือนกัน”


“นั่นเป็นเหตุผลแค่ข้อหนึ่งเท่านั้น เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือเพื่อปลอบขวัญประชาชน” เธอยักไหล่ “ข้าได้ยินมาว่ามีคนเห็นร่องรอยของอสูรสยองในอาณาจักรดอว์น ถ้าสามารถทำให้ประชาชนเหล่านั้นรู้ว่ากองทัพเกร์คาสเซิลเองก็มีความสามารถในการบินเหมือนกัน ความหวาดกลัวก็คงจะลดลงไปได้บ้าง”


“เป็นวิธีที่ดีจริงๆ ไข่มุกแห่งดินแเดนทางเหนือคนนั้นเป็นคนคิดเหรอ?”


“เปล่า องค์หญิงทิลลีเป็นคนคิด”


พอพูดถึงชื่อขององค์หญิงตระกูลวิมเบิลดัน ฮอว์ฟอร์ดพลันสังเกตเห็นถึงความภูมิใจอยู่ในดวงตาของลูกสาวตัวเอง ราวกับว่าเป็นเกียรติอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนเธออยู่ที่เนเวอร์วินเทอร์นางจะได้เพื่อที่ดีจริงๆ สินะ ฮอว์ฟอร์ดคิดในใจ เขาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ เจ้าไม่คิดจะสืบทอดตำแหน่งของข้าจริงๆ เหรอ?”


“ทำไมถึงพูดเรื่องนี้อีกล่ะ?” แอนเดรียเลิกคิ้วขึ้นมา “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่สนใจบัลลังก์ของดอว์น? หรือว่าท่านไม่พอใจฮอว์น?”


“เขาเป็นขุนนางที่ดี มีพรสวรรค์ในเรื่องการค้า ถ้าแค่ตำแหน่งเอิร์ล ข้าคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร” ฮอว์ฟอร์ดส่ายหัว “แต่ปัญหาคือฮอว์นก็เหมือนกับขุนนางที่มองผลประโยชน์เป็นสำคัญ หลายๆ คนในตระกูลไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าทำ พวกเขาไม่เข้าใจว่าที่ข้าทำอยู่นี่ก็เพื่อความมั่นคงของตระกูล”


หลังจากที่เขากลายเป็นราชาแห่งดอว์น ท่าทีของคนในตระกูลก็เปลี่ยนไป แม้แต่ลูกชายที่เขาเลี้ยงมาก็เหมือนกัน หากเป็นตัวฮอว์นเมื่อก่อนนี้ เขาไม่มีทางกล้าพูดว่า ‘ท่านไม่เหมือนราชาแห่งดอว์น หากแต่เป็นเสนาบดีของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน’ ต่อหน้าเขาเด็ดขาด ถ้าเป็นไม่เป็นเพราะมีคนคอยยุยงอยู่ข้างหลังเขา ก็คงเป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นราชาคนต่อไป


‘ฝ่าบาท’ คำๆ นี้ช่างทำให้คนหลงใหลจริงๆ แต่อำนาจที่อยู่เบื้องหลังมันก็มีความเสี่ยงแอบซ่อนเอาไว้อยู่เหมือนกัน เขาไม่อยากให้ฮอว์นเดินตามรอยอัลเบน


ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา นั่นคือฐานะของฮอว์นคงยากที่จะทำให้อีกสองตระกูลใหญ่ยอมรับได้


ความจริงแล้วที่ตระกูลโลธากับตระกูลโทคัตยอมสนับสนุนตัวเอง เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะว่าผู้สืบทอดของทั้งสองตระกูลยืนดีที่จะรับใช้แอนเดรีย


“นั่นเป็นเรื่องที่ท่านต้องแก้ปัญหาเอง” แอนเดรียตอบ


“ถ้าเจ้าไม่ยอมมาแทนที่ข้า อย่างนั้นข้าก็คงได้แต่ต้องยกบัลลังก์ให้อีกสองตระกูลไปแบ่งกันเอง” ฮอว์ฟอร์ดแสร้งทำเป็นพูดเหมือนเสียใจ


“ท่านตัดใจได้เหรอ?”


“ทำไมจะไม่ได้” เขาพูดกึ่งจริงจังกึ่งล้อเล่น “ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้ไม่มีเรื่องมาทำให้วุ่นวายใจ หลังสงครามจบลง ไม่แน่ข้าอาจจะย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่เนเวอร์วินเทอร์ก็ได้”


นี่ไม่ได้เป็นแค่การพูดลอยๆ ถ้าหากโรแลนด์ วิมเบิลดันสามารถเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้จริงๆ เขายังจะปล่อยให้มีสี่อาณาจักรต่อไปอีกเหรอ? ฮอว์ฟอร์ดไม่คิดเช่นนั้น ที่ตระกูลควินน์เดินมาถึงจุดนี้ได้นั้นเป็นแค่เพราะเรื่องสงครามเท่านั้น ถ้าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คือแอนเดรีย บางทีโรแลนด์อาจจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเขามันก็ไม่แน่


ก็เหมือนกับที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ ‘ระยะทาง’ ที่เอาไว้คานอำนาจกันมันได้ถูกทำลายลงแล้ว


แอนเดรียจ้องมองเขาอยู่ครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ฮอว์ฟอร์ดรับรู้ได้ว่าในดวงตาของลูกสาวตัวเองมีความอ่อนโยนกว่าแต่ก่อน ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ได้เวลาแล้ว ข้าต้องไปแล้วล่ะ”


“ดูแลตัวเองด้วยนะ” ฮอว์ฟอร์ดสะกดความคิดที่จะยื่นมือไปลูบหัวลูกสาวตัวเองเอาไว้ “ถ้ามีเวลาข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่แนวหน้านะ”


“…ท่านก็เหมือนกัน” แอนเดรียหมุนตัวเดินออกไปจากห้องหนังสือ


ฮอว์ฟอร์ดสูดหายใจ ก่อนจะนั่งพิงไปบนเก้าอี้แล้วหลับตา


เขายังไม่ลืมการตัดสินใจของตัวเองเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้


เขายินดีใช้ชีวิตที่เหลือในการชดเชยความผิดพลาดในอดีต


….


หลังจากนั้น 4 ชั่วโมง ฝูงบินทั้งหมดก็ร่อนลงจอดที่เมืองธอร์นตรงตีนเขาเคจเมาเธ่น


ในเวลาไม่ถึง 2 วัน ลงจอดพัก 4 เมือง  บินข้ามระยะทางพันกว่ากิโลเมตร การเคลื่อนพลสนับสนุนในครั้งนี้จะต้องถูกจารึกลงไปประวัติศาสตร์


คนอื่นๆ อย่างเช่นขวานเหล็ก ไบรอัน เอดิธส์ต่างมารอต้อนรับอยู่ที่ลานจอดเครื่องบิน หลังทักทายอย่างง่ายๆ เสร็จเรียบร้อย เหล่าแม่มดก็ถูกเชิญเข้าไปในฐานบัญชาการที่ตั้งอยู่บบนยอดเขา เมื่อดูจากสีหน้าตรึงเครียดของทีมที่ปรึกษาแล้ว สถานการณ์ของกองทัพที่หนึ่งในตอนนี้คงจะดูไม่ดีเท่าไรนัก


ขวานเหล็กกางแผนที่ลงบนโต๊ะยาว ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ทุกคน “หลังจากนี้ข้าจะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ให้ทุกคนได้ทราบ”


…………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)