Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1290-1291

 ตอนที่ 1290 ผลสำเร็จทยอยปรากฏ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพื่อที่จะทำให้การวิจัยก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้น โรแลนด์จึงปรับเวลาพักผ่อนของตัวเอง ทุกวันหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เขาจะนอนหลับอยู่ในห้องทำงานเป็นเวลา 2 – 3 ชั่วโมง นี่กลายเป็นการเพิ่มความถี่ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันให้บ่อยขึ้น


และก็ด้วยเหตุนี้ กองกำลังทหารอาญาสิทธิ์ที่ปรากฏตัวขึ้นทุกวันหลังเที่ยงจึงกลายเป็นภาพอันน่าประหลาดภายในปราสาท


เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิล โปรเจคใหม่ที่วางเอาไว้ก็ก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่น ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ รถแทรกเตอร์ก็ออกแบบใกล้จะแล้วเสร็จ


ก่อนหน้านี้ เครื่องจักรทุกอย่างของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ต้องให้อันนาเป็นคนสร้างและทดสอบทั้งหมด หลังจากนั้นก็ทำการแยกชิ้นส่วนออกมาแล้วส่งไปให้โรงงานทดลองทำการผลิต สุดท้ายถึงจะทำการผลิตและประกอบออกมา มันไม่เพียงแต่จะใช้เวลานาน แต่ยังอาจจะเดินไปผิดทางได้ง่ายๆ ด้วย


โดยเฉพาะในขั้นตอนการแยกชิ้นส่วน เนื่องจากความสามารถในการตัดแต่งของไฟสีดำนั้นเหนือกว่าเครื่องจักร ด้วยเหตุนี้จึงไม่แน่นอนว่าทางโรงงานจะสามารถสร้างชิ้นส่วนที่อันนาตัดออกมาได้ เครื่องจักรเครื่องหนึ่งนั้นประกอบไปด้วยชิ้นส่วนนับร้อยนับพันชิ้น จะไปมั่นใจได้อย่างไรว่าชิ้นส่วนไหนโรงงานสามารถผลิตเองได้ ชิ้นส่วนใหญ่ต้องให้อันนาเป็นคนจัดการในภายหลัง นี่เป็นงานที่เสียเวลามากอย่างเห็นได้ชัด มีแต่ต้องประกอบเครื่องจักรขึ้นมาได้สำเร็จซักเครื่อง มันจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตจำนวนมากได้


ความจริงในการผลิตเครื่องจักรไอน้ำรุ่นที่สองก่อนหน้านี้ก็เคยเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน ชิ้นส่วนวาล์วแรงดันที่ดูเหมือนง่ายๆ แต่ในตอนที่ทำการผลิตจริงกลับมีปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์ต่ำมาก นี่จึงทำให้สายการผลิตอื่นๆ ต้องถูกยกเลิกและทำการผลิตใหม่ด้วย สุดท้ายก็ต้องรอไปอีกครึ่งเดือนกว่าจะผลิตได้สำเร็จ


ซึ่งทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลนั้นเหมือนกับมาช่วยทำงานทั้งหมดแทนอันนา ตั้งแต่ทำการทดสอบไปจนถึงการออกแบบสายการผลิต และการทดสอบว่าเครื่องจักรธรรมดาจะใช้ในการผลิตได้หรือไม่ ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำให้เสร็จได้ภายในโลกแห่งความฝันเลย ด้วยเหตุนี้เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กองอุตสาหกรรมก็สามารถดำเนินการผลิตได้ทันที นี่จึงทำให้การช่วงเวลาที่ต้องใช้ในการวิจัยโปรเจคใหม่ๆ ลดลงอย่างมาก


โรแลนด์ตั้งชื่อเครื่องจักรทางการเกษตรที่เขาฝากความหวังเอาไว้เครื่องนี้ว่า ‘ฮาร์เวส’


ล้อ 5 คู่ของมันจะวิ่งไปบนพื้นดินของเกรย์คาสเซิล


แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้อาจารย์เซี่ยต้องว่างงาน ตอนนี้ฮาร์เวสยังเป็นเพียงแค่โครงรถแบบง่ายๆ เท่านั้น การจะติดคันไถเข้าไปเพื่อใช้เป็นรถแทรกเตอร์นั้นไม่ได้ยากลำบากอะไร แต่มันยังถือว่าห่างจากล้อ 5 คู่แบบสมบูรณ์แบบอย่างที่เขาต้องการอีกไกลนัก


เขาหวังว่าจะสามารถทำรถหุ้มเกราะที่กองทัพต้องการด้วยโครงรถอันนี้


ส่วนทางด้านวิทยุสื่อสาร ชิงชิงนั้นเรียกผู้สมัครให้มาสัมภาษณ์ 2 – 3 คนอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีทั้งนักศึกษาจบใหม่ แล้วก็มีชาวบ้านทั่วๆ ไปที่ชื่นชอบวิทยุด้วย เพียงแต่พอได้เห็นไดอะแกรมแผงวงจรของวิทยุสื่อสาร โรแลนด์พลันรู้สึกปวดหัวอย่างมาก สุดท้ายเขาจึงสั่งคนงานให้ทำมันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เขาถึงพอจะแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังเรียนรู้เรื่องนี้ได้ช้ามาก สุดท้ายก็ได้แต่ต้องจำแบบแปลนออกมา แล้วค่อยๆ มาคิดกับอันนาว่าจะทำอย่างไรต่อ


นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว งานก่อสร้างอื่นๆ ที่เตรียมพร้อมสำหรับการรบของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ทยอยเป็นรูปเป็นร่างออกมา


อันดับแรกคือการทำถนนเชื่อมระหว่างทางเหนือกับทางใต้


ฮอว์ฟอร์ด ควินนท์ส่งจดหมายมาหาเขามองว่าตอนนี้อาณาจักรดอว์นได้ส่งคนไปเกือบพันคนไปยังเมืองสองเมืองตรงชายแดนเพื่อตั้งโรงงานทำซีเมนต์ โรงงานเหล่านี้สามารถผลิตซีเมนต์ได้วันละหลายตันเพื่อใช้ในการสร้างถนน ตอนนี้ถนนของเมืองวินด์สวิปริดจ์และแม่น้ำสปาร์คกิ้งเรียกได้ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนถนนครึ่งหลังของเคจเมาเธ่นกำลังเริ่มก่อสร้างอยู่ คาดว่าใช้เวลาอีกครึ่งเดือนคงแล้วเสร็จ


ถึงแม้จะมีความช่วยเหลือจากโลตัสและมอลลี่ แต่ความเร็วในการทำงานนี้ก็ยังเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าตระกูลควินน์นั้นทุ่มเทไม่น้อย เมื่อรวมกับถนนจากจุดเลี้ยวในดินแดนตะวันตกของแม่น้ำแดงตรงไปยังเมืองอีเทอร์นอลไนท์ที่สร้างเสร็จไปก่อนหน้านี้ นี่ก็หมายความว่าอีกนิดเดียวเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็จะสามารถส่งกองกำลังทหารไปยังแนวรบที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตรได้


อันดับต่อมาก็คืองานผลิตที่เอาไว้ใช้คู่กับโปรเจคสร้างถนน รถบรรทุกไอน้ำ ‘ฮัม’ คันแรกก็ออกมาจากโรงงานผลิตแล้วเช่นเดียวกัน


มันใช้หัวรถแบบหน้าเรียบ เครื่องยนต์ติดตั้งเอาไว้ด้านหน้า มีล้อ 6 ล้อ นอกจากส่วนหัวที่ค่อนข้างยาวแล้ว (เพื่อที่จะได้ใส่แทงค์น้ำที่มีขนาดใหญ่) รูปลักษณ์ภายนอกของมันแทบจะไม่ต่างอะไรกับรถบรรทุกสมัยใหม่เลย น้ำหนักของมันประมาณ 10 ตัน สามารถรับน้ำหนักได้ 6 ตัน และวิ่งไปบนถนนซีเมนต์เรียบๆ ด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นระยะทางต่อเนื่อง 300 กิโลเมตร


ในเวลาที่จำเป็น คนขับยังสามารถเติมน้ำฝน น้ำในบ่อน้ำ หรือแม้กระทั่งน้ำปัสสาวะเพื่อเพิ่มระยะทางให้กับมันได้ แน่นอน ถึงแม้จะไม่เติมเข้าไป มันก็สามารถวิ่งไปกลับระหว่างเมืองกับแม่น้ำได้สบาย


มันไม่เหมือนกับรถไฟหุ้มเกราะ รถบรรทุกแต่ละคันอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีคนขับสองคน พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์สามารถสร้างรถบรรทุกออกมาได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนคนขับอยู่ดี โชคดีที่ตอนนี้มีรถบรรทุกตัวอย่างแล้ว หลังจากนี้ขอเพียงตั้งโรงเรียนสอนขับรถขึ้นมาและรีบผลิตคนขับรถบรรทุกออกมาก็พอ เพราะในยุคสมัยนี้ยังไม่มีเรื่องกฏจราจร ขอเพียงขับรถออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว


สุดท้ายก็คือแบตเตอรี่ตะกั่วกรด


ถึงแม้มันจะดูไม่ได้ยิ่งใหญ่ ความยากของเทคโนโลยีการผลิตก็น้อยกว่าโปรเจคก่อนหน้านี้มา แต่ประโยชน์ของมันกลับมีไม่น้อยทีเดียว


อย่างเช่นมันสามารถจ่ายไฟให้กับไฟหน้าและไฟท้ายให้กับรถบรรทุกได้ และเมื่อมีไฟ รถบรรทุกก็จะสามารถขับได้ตั้งแต่กลางวันไปจนถึงกลางคืน ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานของมันเพิ่มขึ้นไปอีกเท่า


นอกจากนี้ก็ยังสามารถเอาไปใช้บนเครื่องบินได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ช่วยเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประหยัดแพงไปได้ไม่น้อย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้าหากเครื่องยนต์เกิดดับกลางอากาศ นักบินก็ยังสามารถลองสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ได้เลย นี่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยขึ้นได้มาก


สรุปแล้วก็คือการหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากของผู้อพยพทำให้อุตสาหกรรมของเนเวอร์วินเทอร์สามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว


แต่โรแลนด์ก็รู้ดีว่าการขยายขนาดของอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้เป็นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว ถ้าการยังเป็นการผลิตด้วยมือแบบเก่า อย่าว่าแต่ไม่กี่เดือนเลย ต่อให้ใช้เวลาหลายปีก็ยังไม่แน่ว่าจะฝึกคนงานที่ไม่รู้เรื่องอะไรให้กลายเป็นคนงานฝีมือได้ด้วยซ้ำ ส่วนพวกคนงานที่มีฝีมือและมากประสบการณ์ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีคนมาเรียน แต่ที่พวกเขากลัวคือกลัวว่าจะเรียนแล้วไม่เป็น เพราะว่าการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับเด็กฝึกงานที่อยู่ใต้การดูแลของพวกเขาด้วย พวกเขาจึงมักจะมีท่าทีที่กระหายพร้อมจะสอนทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา


คนธรรมดาเรียนรู้อยู่แค่ 1 – 2 สัปดาห์ก็พอจะเข้าใจเรื่องการควบคุมเครื่องจักรแล้ว ต่อให้คนที่เข้ามาใหม่จะไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่พวกเขาก็ยังสามารถผลิตชิ้นส่วนออกมาตามขั้นตอนที่สอนได้


เมื่อมีการใช้ระบบการผลิตใหม่ มีการกระจายการศึกษาและให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา ระดับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมของเมืองมีแต่จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ


แต่ว่าข้าวที่เขาได้รับก็ไม่ได้มีแค่ข่าวดีเพียงอย่างเดียว


ในรายงานของขวานเหล็กบอกว่าแนวหน้าของกองทัพที่หนึ่งได้รับความกดดันมาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหมอกแดงที่ขยายตัวเข้ามาทำให้ปีศาจได้มาถึงพื้นที่เคจเมาเธ่นแล้ว นอกจากนี้ยังมีบางคนบอกว่าเห็นอสูรสยองบินอยู่ในอาณาจักรดอว์นด้วย


ตอนที่อยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ โรแลนด์เคยเห็นแผนการลอบโจมตีทางไกลของพวกศัตรูแล้ว ถึงแม้จะใช้กำลังปีศาจไม่เยอะ แต่มันก็สร้างความเสียหายให้กับกองทัพที่หนึ่งค่อนข้างมากทีเดียว


ซึ่งอสูรสยองที่ปรากฏตัวประปรายเหล่านั้นก็อาจจะมาสอดแนมดูเส้นทางเพื่อลอบโจมตี


หากกองทัพที่หนึ่งอยากจะตอบโต้กลับ พวกเขาก็จำเป็นต้องมีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่อยู่ในระดับเดียวกัน


เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ บางทีคงจะได้เวลาที่ต้องส่งสโมสรแม่มดกับอัศวินอากาศออกไปยังแนวหน้าแล้วล่ะมั้ง


………………………………………………………


ตอนที่ 1291 การจากลาที่ไม่เคยมีมาก่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์เจอกับเวนดี้และทิลลีในห้องรับแขก


“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างนี้…” เขาเล่าเรื่องแนวหน้าในสนามรบให้ทั้งคู่ฟัง “เกรงว่าพวกเราคงจะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว”


“กองทัพที่หนึ่งต้องการความช่วยเหลือจากแม่มด” เวนดี้พูดเสียงคร่ำเคร่ง “หม่อมฉันจะไปแจ้งทุกคนเดี๋ยวนี้แหละเพคะ พักผ่อนกันมานานขนาดนี้แล้ว พวกนางน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วเพคะ”


“ในที่สุดท่านก็เอ่ยปากออกมาซักทีนะ” ทิลลีมุ่ยมาก “ในคู่มือการบินยังเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับการรบจริงไม่เสร็จเลย ข้าอยากจะไปลองวิธีที่ข้าคิดเอาไว้มานานแล้ว นอกจากนี้ เครื่องบินที่บอกจะสร้างขึ้นมาให้ข้าโดยเฉพาะล่ะ? อย่าลืมที่ท่านเคยรับปากข้าเอาไว้ในท่านพี่”


โรแลนด์ไม่ได้ยิ้มหน้าระรื่นเหมือนอย่างทุกที ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ หากแต่เสียงของเขาเหมือนมันจุกอยู่ในลำคออย่างไรอย่างนั้น


“ฝ่าบาท?” เวนดี้เหมือนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ “พระองค์ทรงสบายดีหรือเปล่าเพคะ?”


โรแลนด์พยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “พวกเจ้าต่างก็รู้ว่าพระจันทร์สีแดงมันปรากฏขึ้นมาบนโลกแล้ว นี่เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญ…แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าสงครามมันจะดำเนินไปนานแค่ไหน บางทีอาจจะปึนึง หรืออาจจะสิบปี ครั้งนี้ออกไปแล้วอาจจะต้องจนสงครามจบถึงจะได้กลับมา ถ้าเกิด…”


เขาพบว่าตัวเองเหมือนจะพูดไม่ออก


ไม่มีใครรู้ว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้จะจบลงอย่างไร ครั้งที่แล้วแอชเชสเสียสละตัวเองบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แล้วครั้งนี้ล่ะ จะมีกี่คนที่อยู่รอดจนจบสงคราม? สโมสรแม่มดที่แม่มดหลายคนที่เพิ่งจะอายุแค่ 20 กว่าเท่านั้น หากอยู่อีกโลกหนึ่งพวกเธอก็น่าจะกำลังเรียนหนังสือกันอย่างมีความสุขอยู่ แต่ตอนนี้พวกเธอกลับเป็นกำลังสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในสงครามแห่งชะตาชีวิตครั้งนี้


ศึกครั้งนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของมนุษย์ ทุกคนต่างต้องออกมาช่วยกันสู้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ โดยเนื้่อแท้แล้วแม่มดนั้นไม่ได้มีอะไรต่างกับมนุษย์เลย เหตุผลนี้โรแลนด์ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ความรู้สึกมันไม่เคยมีเหตุผล นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งสโมสรแม่มดขึ้นมา เขาผูกพันกับทุกคนมาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้พอมาคิดถึงว่าการบอกลาครั้งนี้อาจจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งสุดท้าย เขาจึงรู้สึกยากที่จะออกคำสั่งออกมาได้


“ถ้าคนอื่นมาเห็นสภาพของท่านในตอนนี้คงจะต้องหัวเราะออกมาแน่” ทิลลีแสยะยิ้ม “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านยังไม่ชินกับตำแหน่งนี้อีกเหรอ? แต่ก็นะ…ข้าก็ไม่ได้เกลียดที่ท่านเป็นอย่างนี้หรอก”


“ขออภัยนะเพคะ ฝ่าบาท” เวนดี้ลุกขึ้นยืน กว่าที่โรแลนด์จะรู้ตัวอีกที เธอก็มายืนอยู่ด้านหลังเขาพร้อมกับโอบกอดเขาเอาไว้แล้ว


“แบบนี้พอจะทำให้พระองค์รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่าเพคะ?” เธอพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทุกคนต่างได้เห็นกันหมดแล้ว ต่อให้พระองค์ไม่ตรัสอะไรออกมา ทุกคนก็จะออกไปสู้อยู่ดี เพราะพระองค์เป็นคนสอนพวกหม่อมฉันเองว่าถ้าไม่สู้ เราก็จะไม่ได้อะไร เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตากับการปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีอะไรต่างกัน หม่อมฉันเชื่อว่าพี่น้องแม่มดคนอื่นๆ ก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกันเพคะ”


ไออุ่นที่แผ่มาจากด้านหลังทำให้โรแลนด์สงบสติอารมณ์ลง ถูกต้อง…ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึง ถ้าอยากจะหนีก็คงไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงตอนนี้ ในเมื่อแม่มดต่างก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเธอตั้งใจไว้เช่นไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดกันแล้ว ถ้าในเวลานี้เขายังไปบอกว่า ‘ไม่อยากจะฝืนใจทุกคนว่าต้องเข้าร่วมรบ’ หรือ ‘ถ้าใครอยากจะอยู่ก็พูดออกมาได้เลย’ อะไรทำนองนี้อีก มันก็ดูจะหยาบคายไปเสียหน่อย


หลังจากนี้ก็มีแต่ต้องบุกไปข้างหน้าเต็มกำลังเท่านั้น


“ขอบคุณนะ”


เวนดี้ิยิ้มๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม


“อย่างนั้น” เขาสูดหายใจพร้อมมองทั้งสองคน “สโมสรแม่มดกับกองทัพอัศวินอากาศ ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกไปช่วยสนับสนุนแนวหน้าได้เลย”


“น้อมรับพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท”


“ไว้ใจข้าได้เลย ท่านพี่”


….


ข่าวแม่มดกำลังจะออกเดินทางไปยังวูล์ฟฮาร์ทแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ปราสาทอย่างรวดเร็ว ไลต์นิ่งใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็จัดกระเป๋าของตัวเองเสร็จเรียบร้อย กระเป๋าเป้ในกระสุนกับรูนเอาไว้ กระเป๋าคาดเอวใส่เกลือและผงปรุงรสต่างๆ แล้วก็เมซี่ที่อยู่บนหัวของเธอ


ตามปกติแล้วทั้งสองคนมักจะเป็นแม่มดกลุ่มแรกที่ออกเดินทางเพื่อไปทำหน้าที่สอดแนมในแนวหน้าและคอยบอกเพื่อนที่ตามมาด้านหลังว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ครั้งนี้ในตอนที่ไลต์นิ่งมาหาเวนดี้ เธอกลับถูกอีกฝ่ายรั้งตัวเอาไว้ก่อน


“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น” เวนดี้ยื่นมือไปกอดเมซี่เอาไว้ “ความจริงก่อนหน้านี้มีคนมาไหว้วานข้า บอกว่าอยากจะเจอเจ้าซักครั้งก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง”


“เจอข้า?” ไลต์นิ่งงุนงง “ใครเหรอ? คุณน้ามาร์จอรีเหรอ?”


“อันนี้ก็…” เวนดี้เอาไว้ปิดปาก “เดี๋ยวพอเจ้าไปเจอก็จะรู้เอง เออใช่ ตอนนี้คนๆ นั้นรอเจ้าอยู่ที่สวนน่ะ”


“รู้ข่าวกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” ไลต์นิ่งยักไหล่ “ก็ได้”


“จิ๊บ..จิ๊บ!” เมซี่เองก็อยากตามไป แต่เธอกลับถูกเวนดี้กอดเอาไว้แน่น เธอจึงได้แต่มองดูไลต์นิ่งเดินออกจากประตูไปตาปริบๆ


“ขอโทษด้วยนะ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่ก่อนแล้วกัน” เวนดี้ลูบหัวนกพิราบเบาๆ “ตอนนี้ข้าคิดว่าเขาคงอยากจะอยู่กับนางตามลำพังสักพักหนึ่ง”


….


ไลต์นิ่งเดินออกมาจากปราสาท ก่อนจะเดินตามระเบียงทางเดินที่ยาวเหยียดเข้าไปในส่วน จากนั้นเธอเหมือนจะเห็นแผ่นหลังของคนๆ หนึ่งอยู่ในสวน


“อะไรเนี่ย…ที่แท้ก็แซนเดอร์ ฟลายอิ้งเบิร์ดหรอกเหรอ” เธอบ่นงึมงำ “ท่านหาข้ามีธุระอะไรเหรอ?”


แต่ในตอนที่อีกฝ่ายหมุนตัวมา สาวน้อยก็ต้องตะลึงไปทันที


ถึงแม้เสื้อผ้าจะเหมือนกับแซนเดอร์ แต่เขาไม่ใช่แซนเดอร์เหมือนอย่างที่เธอเจอในตอนแรก ถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่หน้าตาของอีกฝ่ายก็ยังเหมือนภาพในความทรงจำของเธอ


“พะ…พ่อ?” เธอเอ่ยปากออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


“ขอโทษด้วยนะ ที่ปิดเจ้ามาตลอด” ธันเดอร์ยิ้มแห่ง” เดิมข้าไม่อยากจะให้ลูกสาวของตัวเองต้องเป็นเหมือนแม่ของนาง ข้าก็เลยตัดสินใจเลิกติดต่อเจ้า…”


“ท่านรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร” ไลต์นิ่งพูดตัดบท


“ตั้งแต่ที่เจ้ามาเมืองชายแดนได้ไม่นาน”


“คุณน้ามาร์จอรีเป็นคนบอกท่านเหรอ?”


ธันเดอร์พยักหน้า


“อย่างนั้นพวกท่านก็สมรู้ร่วมคิดกัน? ฝ่าบาทโรแลนด์เองก็…”


“อย่าโทษพวกเขาเลย ข้าพยายามขอร้องพวกเขาให้ทำแบบนี้เอง..” ธันเดอร์ยังไม่ทันพูดจบ สาวน้อยก็ง้างหมัดเดินเข้ามาหาเขา


เขาหลับตาลงและรอคอยหมัดแห่งความโกรธของไลต์นิ่งอย่างเงียบๆ


แต่ความเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ก็ไม่เกิดขึ้น


หลังจากนั้นธันเดอร์ก็ต้องลืมตาอย่างแปลกใจ ก่อนจะเห็นกำปั้นของลูกสาวตัวเองได้กางพร้อมกับตีมาที่หน้าผากของตัวเองเบาๆ ขณะเดียวกันเธอก็ฉีกยิ้มออกมา


“อย่างนี้ก็แสดงว่าท่านรู้เรื่องการผจญภัยของข้าในดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลหมดแล้วใช่ไหม?”


“เอ่อ….”


“ค้นพบเมืองทาคิลา เจอแม่มดที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อน เข้าไปในโบราณสถานสถานของอารยธรรมใต้ดิน โจมตีกองทัพของปีศาจจนต้องถอยกลับไป…” ไลต์นิ่งดึงมือกลับมา “เป็นยังไง พอจะเทียบกับผลงานของท่านได้หรือเปล่า?”


ธันเดอร์งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะลูบหัวสาวน้อยพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่เสียทีที่เป็นลูกสาวข้า เพียงแต่การเจอกันแบบนี้มันทำให้ข้าทั้งรู้สึกดีใจแล้วก็เสียใจ…”


“ดีใจน่ะข้าเข้าใจ แต่เสียใจนี่มันอะไรกัน?”


“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าเติบโตเร็วเกินไป” น้ำเสียงของธันเดอร์ฟังดูผ่อนคลายขึ้นเยอะ “เดิมข้าคิดว่าจะโกรธข้า หรือไม่ก็วิ่งเข้ามาร้องไห้ในอ้อมอกข้า แต่กลับกลายเป็นว่าข้าต่างหากที่คิดมากเกินไป…”


ถ้าหากไม่ได้ผ่านศึกทาคิลาครั้งนั้นมา เกรงว่าตัวเธอคงจะร้องไห้ออกมาอย่างที่พ่อของเธอว่าจริงๆ ไลต์นิ่งคิดในใจ แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เธอเติบโตแล้ว ก่อนจะทำตามคำสั่งเสียของแอชเชสและจบศึกครั้งนี้ให้ได้ เธอไม่อาจจะหลั่งน้ำตาได้อีกแม้แต่หยดเดียว “ท่านก็เลยกังวลว่าจะถูกข้าเกลียด แล้วก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวงั้นเหรอ? แล้วทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงตัดสินใจมาเจอข้าล่ะ”


“เพราะข้าตัดสินใจจะไปทางเหนือกับเจ้า สู้ศึกแห่งโชคชะตาครั้งนี้ด้วยกัน” ธันเดอร์พูดช้าๆ ชัดๆ “ยังไงซะตอนนั้นเจ้าก็ต้องรู้เรื่องข้าอยู่ดี อย่างนั้นก็สู้มาบอกเจ้าก่อนดีกว่า”


“จริงเหรอ?”


“อื้อ หน้าที่หลักๆ ของข้าจะอยู่บนทะเลกับท่าเรือ เรื่องนี้ข้าได้เคยคุยกับฝ่าบาทแล้ว”


“ยอดไปเลย” ไลต์นิ่งคว้ามือของธันเดอร์เอาไว้ “ตอนนี้ยังมีเวลา เดี๋ยวข้าแนะนำท่านให้รู้จักสมาชิกในทีมสำรวจหน่อยแล้วกัน ต่อไปจะต้องได้มีโอกาสสู้ด้วยกันแน่!”


“ดูเหมือนเจ้าจะได้เพื่อนที่ดีนะเนี่ย…”


“แน่นอน แต่น่าแปลกก็คือพวกนางล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสัตว์ ตอนเด็กๆ ข้าไม่ถนัดคุยกับคนธรรมดาเหรอ?”


“อย่างเช่นนกพิราบที่ชื่อเมซี่ตัวนั้นเหรอ?”


“อื้อ…ไม่ใช่ ต้องบอกว่าแม่มดที่ชื่อเมซี่”


“แค่กๆ เอาเป็นว่าจากที่ข้ารู้มา คนที่ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของสัตว์ก็จะยิ่งเข้ากับคนได้ง่าย เจ้าก็อย่ากังวลเรื่องนี้เลย”


“อื้อ อย่างนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย”


….สองพ่อลูกเดินพูดคุยกันอย่างมีความสุขเข้าไปในปราสาทเหมือนว่าไม่เคยแยกกันมาก่อน


…………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)