Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1284-1289

 ตอนที่ 1284 โปรเจคสายลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตอนที่โรแลนด์ได้รับรายงานที่เขียนขึ้นโดยผู้บังคับบัญชาของกองทัพที่หนึ่งกับผู้บังคับบัญชาของกองเสนาธิการทหารใหญ่ เขาก็คิดถึงโครงเรื่องของหนังสายลับที่เขาเคยดูมาทันที


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนที่มีโอกาสสำเร็จสูงมาก


เขาคิดลึกซึ้งกว่าเอดิธส์มากขึ้นไปอีก


สายลับนั้นเป็นอาชีพที่มีมาแต่โบราณ ในยุคสมัยที่ต่างกันก็มีคำเรียกที่ต่างกัน แต่คำนิยามและภาพลักษณ์ของสายลับที่เขาคุ้นเคยนั้นคือสายลับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สอง เมื่อก่อนการส่งข้อมูลข่าวกรองต่างๆ นั้นเป็นการติดต่อกันแบบสองทางอย่างง่ายๆ แล้วก็ไม่มีการใช้ระบบที่เข้มงวดอะไร แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มควบคุมประชากรที่อยู่ภายใต้การปกครองเข็มงวดขึ้นเรื่อยๆ พวกหน่วยสอดแนมและสายสืบต่างๆ จึงยากที่จะอยู่ได้ มันถึงได้เริ่มมีระบบสายลับที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้นมา


นี่หมายความว่าหากเป็นเมืองที่มีระบบการควบคุมอย่างหลวมๆ ของพวกขุนนางศักดินา เช่นนั้นก็จะไม่มีทางกำจัดสายลับออกไปได้ ขอเพียงฝึกสอนให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพวกสายลับนิดหน่อย แล้วก็ตัดการติดต่อระหว่างคนให้ข้อมูลกับคนรับข้อมูลไม่ให้รู้จักกัน ด้วยวิธีการซ้อนแผนที่กระจอกของขุนนางพวกนั้น ต่อให้พลิกทั้งเมืองเมื่อควานหา ก็ไม่มีทางที่จะเจอคนที่ซ่อนตัวอยู่ได้


เพราะสำหรับคนที่ให้ข้อมูลแล้ว คนที่รับข้อมูลนั้นคือบุคคลที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ต่อให้เป็นไนติงเกลไปสอบปากคำก็ไม่มีทางที่จะได้ข้อมูลอะไรกลับมา


โรแลนด์อนุมัติแผนการนี้ทันที


แต่ว่าเขาไม่ได้คิดที่จะมอบหมายเรื่องนี้ให้เอดิสธ์เป็นคนจัดการทั้งหมด นี่ไม่ได้เกี่ยวกับความไว้วางใจ หากแต่ภารกิจสายลับนี้ต้องใช้เวลาและกำลังในการวางแผนอย่างมาก เขาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์และความสามารถในการมองภาพรวมซึ่งหาได้ยากในยุคสมัยนี้ของไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือมากกว่า ถ้าหากให้เธอไปทำเรื่องนี้ มันดูจะไม่คุ้มค่ากับความสามารถของเธอเท่าไร


งานเฉพาะแบบนี้ก็ต้องให้คนที่มีความเป็นมืออาชีพทำ


เขากางกระดาษจดหมายแผ่นใหม่ออกมา ก่อนจะจ่าหัวจดหมายถึงฮิลล์ ฟ็อกซ์


สถานการณ์ในอาณาจักรตอนส่วนใหญ่สงบลงแล้ว หัวหน้าคณะกายกรรมคนนี้คงจะว่างงานจนรู้สึกเบื่อแล้วล่ะมั่ง?


หลังให้ไนติงเกลเอาจดหมายไปส่งให้ฮันนี่เสร็จ โรแลนด์ก็เริ่มคิดถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง


นั่นก็คือเครือข่ายข่าวกรอง


พวกข้อมูลข่าวสารทั้งหมดที่เขาจัดการในตอนแรก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสงครามหรือการเมืองก็ดี ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่อยู่ในอาณาจักรเกรย์คาสเซิล หลังจากที่ศึกทาคิลาเริ่มต้นขึ้น การส่งจดหมายผ่านทางนกนั้นดูล่าช้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่ตอนนั้นซีกัลสามารถบินไปกลับระหว่างเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับแนวหน้าของสนามรบได้ภายในวันเดียว นั่นจึงพอจะใช้ซีกัลในการส่งข้อมูลแทนนกได้


แต่ตอนนี้สนามรบหลักๆ อยู่ในวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ ปัญหาในการสื่อสารจึงปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน


อย่างเช่นรายงานที่อยู่ในมือเขาฉบับนี้ก็ใช้วิธีส่งมาทางเรือเดินทะเล วันที่ที่ลงชื่อคือเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ถึงแม้ถ้าใช้นกส่งจดหมายมันจะเร็วกว่า แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลา 2 – 3 วันเหมือนกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนกที่สามารถบินไกลๆ เป็นพันกิโลเมตรที่ฮันนี่ควบคุมเอาไว้อยู่ก็มีไม่เยอะ อันที่จริงเธอสามารถให้สัตว์ฟังคำสั่งของตัวเองได้เท่านั้น แต่เธอไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงนิสัยที่มีมาแต่เดิมของมันได้


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ใช้นกที่มีระยะใกล้ๆ จำนวนที่ของพวกมันก็มีอยู่อย่างจำกัด พลังเวทมนตร์ของฮันนี่ไม่พอที่จะควบคุมนกให้เพียงพอต่อความต้องการของทั้งดินแดนตะวันตกได้ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั้งอาณาจักรหรือนอกอาณาจักรเลย เอาไว้เมื่อไรที่แผนการสายลับเริ่มดำเนินการ การจะส่งข่าวกรองกลับมาอย่างไรให้มีความรวดเร็วนั้นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องทำการแก้ไข


ภายในใจโรแลนด์รู้ดี วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการสื่อสารผ่านทางวิทยุ


หลักการของโทรเลขนั้นง่ายมาก แต่มันมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในตอนนี้เลย ต่อให้ทำให้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีกเท่านึงได้ นั่นมันก็แค่ร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้น ถ้าจะทำให้ระยะทางยาวขึ้นกว่านั้นก็จำเป็นต้องเพิ่มตัวขยายสัญญาณ อย่างเช่น หลอดสุญญากาศ


แต่ปัญหาคือถ้าเขาสามารถสร้างหลอดสุญญากาศขึ้นมาได้ อย่างนั้นเขาก็ย่อมต้องสร้างวิทยุขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีใครรู้จักคำว่ามลพิษทางแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กที่ผ่านการปรับแต่งมาแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเสียงร้องของทารกในเวลากลางคืนเลย ขอเพียงตั้งเสาส่งสัญญาณขึ้นที่เทือกเขาสิ้นวิถีได้ การจะส่งสัญญาณออกไปเป็นพันกิโลเมตรก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร


ถ้าสามารถสร้างวิทยุได้สำเร็จ ข่าวกรองจากแนวหน้าของสนามรบก็จะส่งมาถึงห้องทำงานเขาภายในเวลาไม่กี่นาที ถ้าเขาสามารถติดตั้งวิทยุสื่อสารให้กับทั้งกองทัพได้ เช่นนั้นความสำคัญทางกลยุทธ์ของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าโปรเจคเรเดียชั่นเลย


แต่แน่นอน รู้มันก็ส่วนรู้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรนั้น เขายังไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว


บางทีอาจจะต้องมอบหมายงานให้กับศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลอีกซัก 2 – 3 งานซะแล้ว โรแลนด์คิดในใจ


….


พอตกกลางคืนหลังเข้ามาในโลกแห่งความฝัน เมื่อเขาส่งซีโร่ไปโรแลนด์แล้ว เขาก็ขับรถตรงมาที่ไซต์ก่อสร้างของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ทางชานเมืองฝั่งตะวันตกของเมือง


ต้องยอมรับเลยว่าการ์โดนั้นเป็นนักธุรกิจที่ทำอะไรรวดเร็วจริงๆ ขอเพียงเป็นเรื่องที่รับปากไปแล้ว เขาก็จะรีบจัดการให้ในทันที อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะมอบสิทธิ์ในการบริหารโรงงานให้กับเขา หากแต่ยังทำการปรับปรุงโรงงานให้ใหม่ทั้งหมดด้วย กำแพงที่ขึ้นสนิมก็ทาสีให้ใหม่ อีกทั้งยังเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องทำงานด้วย


ถ้าไม่เป็นเพราะกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ยังคงดึงดันที่จะเวนคืนที่ตรงเขตตึกถงจึ โรแลนด์ก็คงจะรู้สึกชื่นชอบที่จะติดต่อกับคนแบบนี้อย่างมากทีเดียว


เขาจอดรถ ก่อนจะพบว่าพื้นที่ด้านนอกโรงงานดูแปลกไป ปกติที่นี่จะไม่ค่อยมีใครมาสนใจ แต่วันนี้เขากลับเป็นคนงานก่อสร้างมายืนอยู่ข้างนอกหลายคน


ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงคำรามอันเป็นลักษณะเฉพาะของเครื่องจักร


โรแลนด์เดินฝ่ากลุ่มคนเขาไป ก่อนจะเป็นเครื่องจักรตีนตะขาบรูปร่างแปลกๆ เครื่องหนึ่งอยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเครื่องจักรนี้ยังไม่สมบูรณ์ มันสร้างเสร็จแค่เพียงส่วนล่างเท่านั้น ถ้าดูแค่ตีนตะขาบกับล้อของมัน มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แต่ที่มันสามารถดึงดูดความสนใจจากเหล่านคนงานได้นั้นเป็นเพราะระบบลูกสูบไอน้ำที่โผล่ออกมาจากด้านบนของมัน กับรถแทรคเตอร์อีกคันที่คอยจ่ายไอน้ำให้


เมื่อเห็นภาพนี้ โรแลนด์จึงหลุดหัวเราะออกมาทันที


ที่แท้นี่ก็เป็นวิธีที่อาจารย์เซี่ยคิดขึ้นมานี่เอง เพื่อที่จะทำให้ผลกระทบของเตาต้มน้ำและแทงค์น้ำในจินตนาการต่ำที่สุด เขาจึงเอาชิ้นส่วนทั้งหมดนี้ไปติดตั้งไว้บนรถแทรกเตอร์อีกคันหนึ่ง ในที่ทดสอบรถทั้งสองคันจะต้องวิ่งไปพร้อมกัน เครื่องจักรไอน้ำถึงจะทำงานได้ ในสายตาของคนนอกจะเหมือนกับว่ารถแทรกเตอร์คันหนึ่งไม่เพียงแต่จะต้องทำให้ตัวเองวิ่งได้ แต่มันยังต้องส่งพลังงานไปให้รถแทรกเตอร์ทดลองอีกคันหนึ่งด้วย


“แค่กๆ….เถ้าแก่ คุณมาแล้วเหรอครับ” อาจารย์เซี่ยเหมือนจะรู้สึกว่าวิธีของเขามันดูโง่ เขาจึงทักทายแบบเขินๆ นิดหน่อย


แต่โรแลนด์กลับกล่าวชื่นชมออกมา “ทำดีมาก นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ!”


เขาจะแวะเข้ามาดูความคืบหน้าในโรงงานทุกๆ หนึ่งสัปดาห์ ครั้งล่าสุดที่มา รถแทรกเตอร์ที่อยู่ในแผนการนั้นยังมีแค่โครงเปล่าๆ เท่านั้น แต่ครั้งนี้มันกลับวิ่งได้ด้วยตัวเองแล้ว เรียกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นพยายาทำงานอย่างเต็มที่จริงๆ


“งะ…งั้นเหรอครับ?” อาจารย์เซี่ยเกาหัวล้านๆ ของตัวเอง “คุณแน่ใจนะว่าเพื่อนนักสะสมของคุณจะสนใจเจ้าสิ่งนี้จริงๆ?”


“ชิ้นส่วนของรถทดลองล้วนแต่ใช้เครื่องจักรในโรงงานทำขึ้นมาใช่ไหมครับ?”


“ใช่ครับ เรื่องนี้ผมรับรองได้” อาจารย์เซี่ยรีบถูมือ “แต่ว่าอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเตาเผากับแทงค์น้ำที่อยู่บนรถแทรกเตอร์อีกคัน ผมซื้อเป็นของมือสองมา ตอนนี้ผมจ่ายไปประมาณ 3 แสนแล้วครับ…”


“เงินไม่ใช่ปัญหาครับ” โรแลนด์โบกมือ เพราะยังไงก็มีคนคอยสนับสนุนเรื่องเงินให้เขาอยู่แล้ว “ขอเพียงใช้มือผลิตขึ้นมา เพื่อของผมจะต้องสนใจแน่ ตั้งใจทำให้ดีนะครับ เอาไว้งานนี้เสร็จแล้ว ผมจะจ่ายเงินเดือนให้คุณพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งเดือน!”


……………………………………………………………………….


ตอนที่ 1285 ล้อ 5 คู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

อาจารย์เซี่ยยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที มีแต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ


โรแลนด์ย่อมต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน นับตั้งแต่ที่เขาดูดซับแกนพลังแห่งธรรมชาติในโลกแห่งความฝันมาหลายครั้ง พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับความไวในการรับรู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำได้แนบเนียน แต่หางตาของเขาก็ยังจับความเคลื่อนไหวเอาไว้ได้


ผู้หญิงคนนี้คือชิงชิง เป็นเลขาและเจ้าหน้าที่การเงินที่การ์โดส่งมา ได้ยินว่าเธอเพิ่งจะจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทั้งพรสวรรค์และความสามารถล้วนแต่อยู่ในระดับต้นๆ อีกทั้งหน้าตาก็ดูดีอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคนประเภทที่ชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง ทั้งโรงงานนี้มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่ากลุ่มทุนโคลฟเวอร์เป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโรงงานนี้ เถ้าแก่คนปัจจุบันแทบจะไม่ได้ออกอะไรเลยแม้แต่สตางค์เดียว


ในสายตาของชิงชิงคงจะมองว่าเขากำลังขูดรีดบริษัทอยู่ การที่เธอทำสีหน้าไม่ค่อยดีจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้


แต่โรแลนด์ไม่สนใจ ในเวลานี้ขอเพียงลากอีกฝ่ายมามีเอี่ยวด้วย คำบ่นพวกนั้นก็จะหายไปแน่นอน


“แน่นอนว่าที่งานคืบหน้าไปได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะทุกคน” เขาหันไปยิ้มให้กับเลขา “ถ้าหากสำเร็จล่ะก็ เดี๋ยวผมแจกเงินเดือนให้พนักงานทุกคนในโรงงานอีกคนละหนึ่งเดือนแล้วกัน!”


“ใช่ครับๆ เถ้าแก่คิดรอบคอบมากครับ” อาจารย์เซี่ยรีบผงกหัว


“ไม่…ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…” ชิงชิงคิดไม่ถึงว่าความเคลื่่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของตนจะถูกโรแลนด์มองเห็น เธอจึงพูดอย่างกระอักกระอ่วนขึ้นมา “ฉันแค่กำลังคิดว่าเมื่อไรในหน้าบัญชีถึงจะมีกำไรซักที…”


ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดล่ะก็ มันน่าจะไม่มีวันนั้นหรอก โรแลนด์โบกมือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “วางใจได้ เพื่อนของผมเป็นพวกที่ไล่ตามความฝัน เราขายได้แน่นอน ทุกคนรอเลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือนได้เลย”


“ดีครับ ดีครับ” อาจารย์เซี่ยเหมือนจะตกลงไปในอยู่ในภาพลวงตา เขายิ้มจนหน้าย่นไปหมดเลย


“เออใช่” เขามองไปทางชิงชิง “ผมมีโปรเจคใหม่ที่อยากจะทำ เดี๋ยวคุณตามผมไปที่ห้องทำงานหน่อยสิ”


“เอ่อ..เถ้าแก่” ในขณะที่โรแลนด์กำลังหมุนตัวเดินจากไป อาจารย์เซี่ยเหมือนจะถามอะไรขึ้นมา “คุณต้องการให้ปรับอะไรเพิ่มเติมไหมครับ? อย่างเช่นรูปแบบหรือสีอะไรพวกนั้น”


นี่คิดว่ามันเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากในภาพยนตร์จริงๆ เหรอเนี่ย…โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ “ขอเพียงมันใช้ได้ อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ แต่ว่า…”


“ว่ามาเลยครับ”


“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะให้มันมีล้อ 5 คู่”


“ไม่มีปัญหาครับ” อาจารย์เซี่ยตบหน้าอก “ตอนที่ออกแบบโครงรถผมได้คิดเผื่อเรื่องที่จะทำการปรับปรุงเอาไว้แล้ว เดี๋ยวผมจัดการเองครับ!”


……


เนื่องจากคนงานในโรงงานต่างวิ่งออกไปดูการทดสอบรถแทรกเตอร์ ภายในโรงงานจึงดูเงียบอย่างเห็นได้ชัด โรแลนด์สังเกตเห็นว่าตั้งแต่ที่ก้าวข้ามประตูโรงงานมา ชิงชิงก็ทิ้งระยะห่างจากตนจาก 2 เมตรกลายเป็น 5 เมตร


เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ดูเหมือนการ์โดจะไม่ได้บอกสถานะของเขาให้เธอรู้ ไม่อย่างนั้นเธอน่าจะรู้ว่าถ้าผู้ฝึกยุทธ์อยากจะทำเรื่องอะไรไม่ดีล่ะก็ อย่าว่าแต่ 5 เมตรเลย ต่อให้เธอวิ่งนำไปก่อน 50 เมตรมันก็ไม่เป็นปัญหา


แต่ว่าเขาขี้เกียจจะไปเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของคนงาน ขอเพียงพวกเขาทำงานแทนตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่สำคัญ


หลังเดินเข้าไปในห้องทำงานที่ค่อนข้างรก โรแลนด์นั่งลงตรงเก้าอี้ของเถ้าแก่ แล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “คือแบบนี้ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง…”


เอาอีกแล้ว


ชิงชิงบ่นอยู่ในใจ เอะอะก็บอกว่าเพื่อนอย่างโน้นเพื่อนอย่างนี้ ปัญหาอยู่ที่มีเพื่อนที่ไหนที่ยอมจ่ายเงินหลายแสนเพื่อซื้อขยะ เธอยอมรับว่าพวกเธอคนมีเงินนั้นมีรสนิยมแปลกๆ แต่ดูการแต่งตัวของเถ้าแก่คนนี้แล้วไม่เหมือนเป็นลูกคุณหนูที่ไหนเลย ในจุดนี้เธอเชื่อในสายตาตัวเอง


เพราะว่าระหว่างที่เธอเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เธอได้พบเจอพวกลูกเศรษฐีมาไม่น้อย แต่เธอยังไม่เคยเจอใครที่ดูธรรมดาเหมือนเถ้าแก่คนนี้เลย พวกคนรวยต่อให้ติดดินอย่างไร เขาก็ไม่มีทางทำให้ตัวเองลำบากในเรื่องการกินหรือการแต่งตัว ถึงแม้จะใช้ของน้อย แต่คุณภาพและราคาก็ด้วยแต่เป็นของราคาแพง แถมคนหนุ่มที่พยายามจะทำตัวให้ดูติดดินก็มีน้อยขึ้นทุกวัน…แต่คุณโรแลนด์นี่ เสื้อผ้าก็เป็นชุดที่ธรรมดาที่สุด บนร่างกายก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย แม้แต่รถที่ัขับก็ยังเป็นรถตู้เก่าๆ แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าติดดินแล้ว…


ควรจะเรียกว่าบนตัวมีแต่ออร่าความยากจนแผ่ออกมาต่างหาก!


เพื่อนของคนแบบนี้จะมีเงินเยอะแค่ไหนกันเชียว?


หลังเธอเรียนจบก็มาสมัครเข้าทำงานกับกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ที่เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด เดิมเธอคิดจะเติมประวัติที่สวยงามลงไปในเรซูเม่ของเธอซักหน่อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะถูกเจ้านายส่งให้มาทำงานที่โรงงานเล็กๆ แห่งนี้ โปรคเจคที่ทำก็แปลกประหลาดอย่างมาก เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าคุณการ์โดนั้นหลอกเธอหรือเปล่า หรือว่าเขาจงใจใช้โรงงานแห่งนี้บังหน้าธุรกิจบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้


อย่างเช่นโปรเจคใหม่ที่เถ้าแก่บอกว่านั้นกลับเป็นวิทยุสื่อสาร! ชิงชิงแทบอยากจะกุบขมับแล้วถอนหายใจออกมาอย่างๆ วอล์คกี้ทอล์คกี้บนอินเทอร์เน็ตก็ขายอยู่แค่อันละไม่กี่สิบหยวน เครื่องส่งโทรเลขแบบโบราณก็มีขาย แต่เขากลับอยากจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น เหมือนกับโปรเจครถแทรคเตอร์เลย ทุกอย่างต้องใช้มือทำตั้งแต่ต้น ห้ามมีชิ้นส่วนที่ซื้อสำเร็จมาแม้แต่ชิ้นเดียว


นี่มันจงใจผลาญเงินชัดๆ!


“จ้างคนมา ไม่จำเป็นต้องจบมาตรงสายเป๊ะๆ นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่หรือไม่ก็คนที่ชอบวิทยุก็ได้ แล้วก็สร้างห้องทำงานให้พวกเขาขึ้นมาที่นอกโรงงาน ผมจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาไกลๆ!” โรแลนด์อธิบายความต้องการของตัวเองออกมาอย่างละเอียด “พวกเขาอยากจะได้อุปกรณ์อะไรก็ให้ไป แต่จำไว้ ชิ้นส่วนทุกอย่างต้องผลิตจากที่นี่ ไม่จำเป็นต้องทำออกมาให้สวยงาม พูดอีกอย่างก็คือยิ่งใช้ฝีมือต่ำยิ่งดี เข้าใจหรือเปล่า? เพื่อนของผมคนนั้นชอบแบบนี้”


“เรื่องนี้ไม่เหมือนกับการขึ้นเงินเดือน…ฉันเกรงว่าคงต้องรายงานให้คุณการ์โดทราบก่อน”


“ไม่เป็นไร” โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ “ผมคิดว่าเขาต้องรับปากแน่”


ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเขาก็ดังขึ้นมา


เสียงริงโทนที่ดังเป็นสายที่โทรมาจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์


โรแลนด์บอกให้ชิงชิงออกไปก่อน จากนั้นเขาจึงรับโทรศัพท์


“สวัสดี คุณโรแลนด์” เสียงที่หนักแน่นและคุ้นเคยดังขึ้นมา คนที่โทรมาคือผู้คุมร็อค “ผมมีภารกิจใหม่อยากจะมอบหมายให้คุณทำ ไม่ทราบว่าช่วงบ่ายคุณมีเวลามาที่ศูนย์พักฟื้นไหม?”


ตอนนี้ผู้คุมร็อคคือที่พึ่งที่สำคัญของศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิล เขาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ


หลังจากที่กำจัดสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ที่ออกมาจากการกัดกินครั้งนั้นไปแล้ว จู่ๆ ร่องรอยความเคลื่อนไหวของฟอลเลนอีวิลก็ดูเงียบเชียบไปถนัดตา เหมือนกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตราย แล้วก็พากันหนีออกไปจากเมืองนี้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้การค้นหาและจำกัดฟอลเลนอีวิลของแม่มดทาคิลาน้อยลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน


แต่โรแลนด์คิดว่าเรื่องราวมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น


เป้าหมายของฟอลเลนอีวิลคือขโมยเอาพลังแห่งธรรมชาติมาจากผู้ตื่นรู้ แล้วก็ทำให้พลังของโลกแห่งความฝันอ่อนแอนลง ตอนนี้เมืองปริซึมถูกลอบโจมตี บวกกับงานประลองยุทธ์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ พวกมันไม่น่าจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปถึงจะถูก


ถ้าสมาคมมีข่าวคราวอะไรใหม่เกี่ยวกับฟอลเลนอีวิล อย่างนั้นมันก็จะเป็นการช่วยเขาประหยัดแรงได้ไม่น้อย


……………………………………………………………


ตอนที่ 1286 อีกโลกหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อาการบาดเจ็บของเธอเป็นยังไงบ้าง?”


เฟยอวี่หานยกหนังสือกองใหญ่เข้ามาในห้อง 402 ก่อนจะเอาหนังสือวางไปบนโต๊ะข้างหัวเตียง


“ขอบคุณนะ” วัลคีรีย์พยักหน้าขอบคุณ “ตอนนี้ขยับลงจากเตียงได้แล้ว หมอบอกว่าอีกอาทิตย์หนึ่งก็หายเป็นปกติแล้วล่ะ”


“อย่างนั้นก็ดี ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ พลังในการฟื้นตัวของเธอก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต้นๆ เลยนะเนี่ย” เฟยอวี่หานยิ้มๆ


“งะ…งั้นเหรอ?”


“พลังแห่งธรรมชาติจะทำให้ร่างกายของแต่ละคนแข็งแกร่งไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผู้ตื่นรู้ทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างเธอ กระดูกที่ข้าทั้งสองข้างถูกทับจนแตกอย่างละเอียด แต่ก็ยังฟื้นตัวขึ้นมาได้ในเวลาเดือนเดียว เพียงแต่เมื่อก่อนนี้เธอไม่เคยผู้ฝึกยุทธ์บาดเจ็บหนักขนาดนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถนี้ซ่อนอยู่” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ตอนอยู่ที่คาบสมุทรคาร์การ์ด ความสามารถของเธอก็น่าจะอยู่แถวหน้าใช่หรือเปล่า?”


“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”


“อาจารย์ของฉันพูดบ่อยๆ ว่าคนที่แข็งแกร่งมักจะแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน การที่ฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งและความอดทนของร่างกายเธอนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก ซึ่งผู้ฝึกยุทธ์ที่จะมีพรสวรรค์แบบนี้เรียกได้ว่ามีน้อยมากๆ อย่างเช่นฉัน” เฟยอวี่หานพูดออกมาตรงๆ “เอาไว้เธอหายดีแล้ว บางทีเราน่าจะมาลองประลองฝีมือเล่นๆ ดูนะ”


“นี่เป็นเหตุผลที่เธอดึงฉันมาเข้าทีมงั้นเหรอ?” วัลคีรีย์พูดอย่างเหนื่อยใจ “เธอเป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดของสมาคม ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยอะไรเธอได้”


“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย อีกอย่างเธอนอนอยู่บนเตียงนานขนาดนี้ การฝึกกับคนเก่งๆ จะทำให้ความสามารถฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะฟอลเลนอีวีลมันไม่มานั่งสนใจหรอกว่าเธอเคยบาดเจ็บหรือเปล่า”


“…..” วัลคีรีย์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพยักหน้าออกมา “ถึงตอนนั้นก็ขอคำชี้แนะด้วยแล้วกัน”


“ไม่เป็นไร” เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากขึ้นมา “เออใช่ เมื่อวานฉันเข้าไปในเมืองซื้อขนมของคาบสมุทรคาร์การ์ดมาให้ อยู่ในถุงบนกองหนังสือนะ เธอน่าจะอยากกิน จะว่าไปแล้ว อาหารที่โรงพยาบาลจัดมาให้นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไรเลย”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็สังเกตเห็นลูกกระเดือกของอีกฝ่ายขยับเล็กน้อย นั่นคือการกลืนน้ำลายแบบไม่ให้ใครสังเกตเห็น


ถึงแม้ชาวคาร์การ์ดจะกินอาหารปกติ แต่ได้ยินว่าพวกเขาแยะแยะรสชาติอาหารว่าอร่อยหรือไม่อร่อยไม่ค่อยได้ มีแต่อาหารของที่คาบสมุทรคาร์การ์ดเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขารู้สึกอร่อย เฟยอวี่หานเองก็เคยลองกินอาหารที่มีรสชาติพิเศษที่ว่า แต่เธอพบว่ามันไม่มีความอร่อยเลย


แน่นอนว่ามีบางคนบอกให้ค่อยๆ ลิ้มรสมัน แล้วจะรับรู้ได้ถึงรสชาติอันแสนอร่อยที่มีอยู่น้อยนิดบนโลก เพียงแต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้อาหารของคาบสมุทรคาร์ดการ์ดจึงมีขายอยู่แค่ในบางร้านเท่านั้น


“ขอบคุณเธอมากนะ…” วัลคีรีย์รีบปิดบังปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองพร้อมกับกล่าวขอบคุณ


“เรื่องเล็กน้อยน่า ฉันเป็นหัวหน้าทีมนะ เรื่องใส่ในลูกทีมมันก็เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว” เฟยอวี่หานโบกมือ “แต่จะว่าไป เธอนี่ชอบอ่านหนังสือจริงๆ เลยนะ”


“อื้อ เวลาเบื่อๆ ก็อยากหาหนังสือมาพลิกอ่านหน่อย กลายเป็นความเคยชินไปแล้วล่ะ”


“เป็นนิสัยที่ดีทีเดียวนะเนี่ย ในนี้ไม่มีอะไรให้แก้เบื่อเลย แต่หนังสือกลับมีเยอะมาก ถ้าเธออยากจะอ่านอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ”


“ขอบคุณนะ”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ภายในห้องเหลือเพียงแค่เสียงพลิกหน้าหนังสือ


เฟยอวี่หานยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องพักผู้ป่วย สายตามองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง อากาศวันนี้ดีมาก ต้นหลิวห้อยตกลงไปในสระน้ำที่ใช้แรงงานคนสร้างขึ้นมา บางครั้งมันก็ไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน หงส์ที่อยู่ไกลออกไปลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจ เงาสีขาวสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ


ที่นี่ช่างเหมาะสำหรับการพักฟื้นร่างกายจริงๆ


แต่ว่าหางตาของเธอเคยจับจ้องดูความเคลื่อนไหวของวัลคีรีย์ผ่านทางเงาสะท้อนบนกระจกอยู่ตลอดเวลา


จริงๆ แล้วเธอไม่ได้เป็นคนที่กระตือรือร้นชอบช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ไม่ได้ชอบบีบคนอื่นให้มาประลองฝีมือกับตัวเองด้วย


ที่ก่อนหน้านั้นเธอแสร้งทำแบบนี้ออกมาก็เป็นเพราะในการเยี่ยมผู้ป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า เธอสังเกตเห็นว่าบางทีคนๆ นี้อาจจะรู้จักกับโรแลนด์ ไม่สิ พูดให้ถูกคือเธอรู้จักโรแลนด์ แต่โรแลนด์กลับคิดว่าเธอเป็นคนอื่น สิ่งที่ดูเหมือนการชวนคุยเรื่อยเปื่อยนั้น แท้จริงที่แล้วเขากำลังทำการยืนยันการวิเคราะห์ของตัวเองอยู่ ในจุดนี้เฟยอวี่หานมั่นใจว่าเธอไม่ได้ดูผิดไป


แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจก็คือในตอนที่โรแลนด์สอบถาม เขาไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูออกมาเลย น้ำเสียงเองก็ฟังดูสบายๆ พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าวัลคีรีย์จะเป็นคนที่เขารู้จักคนนั้นหรือไม่มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาแม้แต่น้อย แต่ว่าอีกฝ่ายกลับแสดงความเป็นศัตรูและความตื่นตระหนกออกมาอย่างรุนแรง ถึงแม้มันจะเป็นเวลาแค่เสี้ยววินาทีในตอนที่ทุกคนเดินเข้าประตูมา แต่ว่ามันก็ยังถูกเฟยอวี่หานที่เดินอยู่หน้าสุดสังเกตเห็นอยู่ดี


ความสัมพันธ์แบบไหนถึงทำให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่างกันถึงขนาดนี้?


ถ้าหากจินตนาการดูสักหน่อย มันก็ไม่ยากที่จะจินตนาการภาพคู่รักที่เลิกรากัน หลังจากนั้นสิบปีก็ทำศัลยกรรมเพื่อทำล้างแค้น อีกฝ่ายเมื่อได้เห็นก็รู้สึกเสียใจและเสียดาย แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ประมาณนั้น แต่เฟยอวี่หานไม่ได้คิดไปในทางนั้นแม้แต่นิดเดียว เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าการควบคุมสีหน้าของวัลคีรีย์หลังจากนั้นน่าตกใจอย่างมาก ถ้าไม่มีภาพที่เธอเห็นในตอนแรกที่เดินเข้าห้องมา เกรงว่าแม้แต่เธอก็คงยากที่จะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติอย่างแน่นอน ถ้านี่เป็นแค่เรื่องความรัก มันก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าจะมีคนที่ทำถึงขนาดนี้ได้


เฟยอวี่หานเป็นคนที่ชอบสังเกตมาตั้งแต่เด็ก หลังตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ ความสามารถตรงนี้ของเธอก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น และก็เป็นเพราะเหตุนี้คนที่คุ้นเคยกับเธอจริงๆ จึงค่อยๆ ห่างเธอไปทีละคนสองคน บางคนถึงขนาดกลัวที่จะอยู่ใกล้ชิดกับเธอ พอนานวันเข้าเธอก็เคยชินกับความรู้สึกห่างเหิน แล้วก็ค่อยๆ ปลีกตัวออกมาจากทุกคน เพราะเพียงแค่มองดูไม่กี่ที เธอก็แทบจะเดาความคิดอีกฝ่ายออกมาได้จนหมดแล้ว


แต่โรแลนด์นั้นไม่เหมือนคนอื่น ผู้ไล่ล่าคนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในสมาคมได้ไม่นานเป็นคนที่เธอมองยังไงก็มองไม่ออก วัลคีรีย์ที่มีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับโรแลนด์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ ความลับที่อยู่เบื้องหลังของทั้งคู่ทำให้เธอยากที่จะมองข้ามไปได้


และหลังจากที่ได้คลุกคลีอยู่กับวัลคีรีย์ เฟยอวี่หานก็ยิ่งรู้สึกแน่ใจในสัญชาตญาณของตัวเอง


ผู้ฝึกยุทธ์จากคาบสมุทรคาร์การ์ดคนนี้ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่การใช้ชีวิตของเธอยังคงมีรายละเอียดแปลกๆ หลายอย่างปรากฏออกมาให้เห็น — หากเป็นรู้จักอีกฝ่ายก่อนที่จะรู้จักโรแลนด์ เธอก็คงไม่รู้สึกสงสัยอะไร แต่หลังจากที่เธอค่อยๆ นึกเชื่อมโยง ความผิดปกติเหล่านี้มันกลับเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างน่าตกใจ


อย่างเช่นก่อนหน้านี้เธอเอาของกินเล่นของคาบสมุทรคาร์การ์ดมาให้วัลคีรีย์ ตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้แสดงทีท่าดีใจอะไรออกมา แต่หลังจากนั้นเธอกลับพบว่าอีกฝ่ายกินขนมจนหมดเกลี้ยง และครั้งนี้ปฏิกิริยาของวัลคีรีย์กลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เรื่องนี้ดูเผินๆ แล้วเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่หากคิดดูดีๆ ก็จะพบว่าครั้งนั้นจริงๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ได้กินเข้าไปแค่เพราะจะหาอะไรใส่ท้องให้อิ่ม หากแต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอไม่รู้จักรสชาติของขนมของบ้านเกิดตัวเองว่าเป็นอย่างไร!


คนที่มาจากคาบสมุทรคาร์การ์ด แต่กลับไม่เคยกินอาหารขึ้นชื่อของคาร์การ์ด ไม่ว่ายังไงมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลย


นอกจากนี้ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เฟยอวี่หานก็ไม่เคยเห็นวัลคีรีย์เล่นโทรศัพท์มือถือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้คนหนุ่มสาวแทบจะอยู่ห่างจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนตัดขาดจากมันเลยอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วมันช่างน่าแปลกจริงๆ


แล้วก็ยังมีหนังสือพวกนั้น…


เธอไปยืมหนังสือเกี่ยวกับพวกประวัติศาสตร์มาจากห้องสมุดเป็นจำนวนมากตามคำไหว้วานของวัลคีรีย์ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นนิสัยที่ดี แต่การที่อ่านหนังสือที่น่าเบื่อแบบนั้นตลอดทั้งวัน ความอดทนและความตั้งใจตรงนี้เกรงว่าแม้แต่เฟยอวี่หานก็ยังสู้ไม่ได้


ถ้าจะบอกว่าการที่ท่าทีที่มีต่ออาหารเปลี่ยนไปเป็นเพราะตอนแรกไม่รู้สึกอยากอาหาร ที่ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเพราะมีนิสัยชอบอยู่เงียบๆ การที่ชอบอ่านแต่หนังสือประวัติศาสตร์นั้นเป็นความชอบพิเศษส่วนตัว ฟังๆ ดูแล้วมันก็เหมือนจะฟังขึ้น แต่การที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแบบนี้มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า เมื่อเทียบกับเหตุผลที่ว่ามาข้างต้นแล้ว เฟยอวี่หานมักจะมีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังทำความคุ้นเคยกับโลกใบนี้อยู่


ถ้าหากเป็นเวลาปกติ เกรงว่าเธอคงจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่หลังจากที่นึกโยงกับคำว่า ‘ฝ่าบาท’ นั่นแล้ว จู่ๆ ภายในใจเธอพลันมีการคาดเดาที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นมา


เดิมเธอไม่อยากจะคิดต่อไป เพราะมันน่าตกใจจนเธอรู้สึกขนลุก แต่ทันทีที่ความคิดนี้มันผุดขึ้นมา เธอก็ไม่สามารถมองข้ามมันต่อไปได้อีก


เมื่อมีมัน เรื่องทุกอย่างก็จะอธิบายได้


ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่มีคนที่ไม่เหมือนพวกเธอแอบเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้


พวกเขา…มาจากอีกโลกหนึ่ง


……………………………………………………………..


ตอนที่ 1287 ความรู้สึกไม่สบายใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนเหล่านี้มีจำนวนเท่าไร? มาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร? พวกเขาต่างเป็นผู้ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติหรือเปล่า? อีกโลกหนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร


ตอนนี้เฟยอวี่หานไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย


แต่เมื่อดูจากตอนนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ใช่ศัตรู ผลงานการกำจัดฟอลเลนอีวิลของโรแลนด์นั้นวางอยู่ตรงหน้า เขาต่อสู้เพื่อหยุดการกัดกินจริงๆ


ปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลนั้นคือเครื่องพิสูจน์ เธอไม่มีทางลืมประโยคที่ว่า ‘ฝ่าบาท หม่อมฉันทำให้ทุกคนสลบหมดแล้วเพคะ’ ตอนก่อนที่เธอจะสลบไปแน่นอน? บวกกับท่าทีของโรแลนด์หลักจากนั้นที่พยายามจะหลบสายตาเธอ


พูดอีกอย่างถ้าอีกฝ่ายคิดร้ายจริงๆ เธอคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ หลังจัดการสัตว์ประหลาดเวทมนตร์เสร็จแล้ว เขามีโอกาสที่จะกำจัดตัวเธอซึ่งได้ยินคำพูดประโยคนี้ได้ ขอเพียงปัดความรับผิดชอบไปให้ศัตรู ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางสงสัยแน่


ด้วยเหตุนี้เฟยอวี่หานจึงมองว่านั่นเป็นเจตนาที่ดีอย่างหนึ่ง


ถ้าไม่มีหลักฐานอื่นมายืนยันว่าเขาเจตนาร้าย เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกสมาคม


จะโรแลนด์ก็ดีหรือวัลคีรีย์ก็ดี พวกเขาต่างเลือกที่จะปิดบังประวัติความเป็นมาของตัวเอง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ในเมื่อพวกเขาอยากจะให้เป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน เพื่อที่เธอจะได้สังเกตดูนานขึ้นอีกหน่อย


โทรศัพท์ดังขึ้นมา


“….ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”


เฟยอวี่หานวางโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้วัลคีรีย์ “คุณร็อคมีธุระจะคุยกับฉัน วันนี้ฉันคงอยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้แล้วล่ะ”


“ไม่เป็นไร ธุระสำคัญกว่า”


“อย่างนั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”


“เออใช่…” ตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไปจากประตู วัลคีรีย์พลันเรียกเธอเอาไว้ “หัวหน้า พรุ่งนี้เอาหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาของเทคโนโลยีมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”


“เธอหมายถึงพวกสารานุกรมเหรอ?” เฟยอวี่หานครุ่นคิด “น่าจะไม่มีปัญหา แน่ว่าหนังสือพวกนี้มันมีหลายหัวข้อ ฉันไม่รู้ว่ามันจะใช้ที่เธออยากอ่านหรือเปล่านะ”


“ไม่เป็นไร แบบไหนก็ได้” อีกฝ่ายพูดอย่างยินดี “ขอบคุณเธอมากนะ”


“ไม่เป็นไร”


หลังปิดประตู สีหน้าเฟยอวี่หานกลับมาสีหน้าปกติ


ใช่จริงๆ ด้วย เธอไม่ใช่แค่ชอบอ่านหนังสือ


เธอกำลังพยายามทำความเข้าใจโลกใหม่นี้ให้ได้มากที่สุด


….


วัลคีรีย์มองดูบานประตูที่ปิดลงพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ


มันรู้ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้มันดูเร่งร้อนไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ที่ชื่อเฟยอวี่หานคนนี้คือหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจโลกนี้ ถ้าเธอมัวแต่ชักช้า เช่นนั้นก็เท่ากับเธอเสียเวลาหนึ่งเดือนไปเปล่าๆ อยู่บนเตียง


ถ้าแผนการของเฮคซอดเป็นไปอย่างราบรื่น กองทัพตะวันตกก็น่าจะขยายแนวรบเข้าไปในดินแดนของมนุษย์แล้ว ในตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องการคนไปช่วย การ ‘หายไป’ ของมันจะต้องทำให้เฮคซอดรู้สึกโกรธอย่างมากแน่นอน


พูดตามตรง ในใจวัลคีรีย์เวลานี้ค่อนข้างสับสน ด้านหนึ่งมันก็อยากจะให้เฮคซอดปลุกมันขึ้นมาจากบ่อละอองชีวิต ถึงแม้การทำแบบนั้นจะทำให้ความทรงจำส่วนใหญ่ที่ได้มาจากโลกแห่งจิตสำนึกเสียไป หรืออาจจะทำให้สมองเกิดความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้ก็ตาม ส่วนอีกด้านหนึ่งมันกลับไม่อยากจะทิ้งเบาะแสที่ตัวเองได้มาในตอนนี้


เหตุผลที่มันอยากให้เฮคซอดปลุกมันขึ้นมานั้นง่ายมาก เพราะมันรู้สึกว่ายิ่งค้นหาไปลึกขึ้น ความรู้สึกไม่สบายใจของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น การลืมสิ่งเหล่านี้ไปกลับจะทำให้มันรู้สึกสบายใจขึ้น ไม่ว่าโรแลนด์จะกุมความลับอะไรอยู่ ขอเพียงมันสามารถชิงเอาชิ้นส่วนสืบทอดในโลกแห่งความเป็นจริงมาได้ มนุษย์ก็จะไม่สามารถต่อต้านพวกมันได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์จะตกเป็นของเผ่าพันธุ์มัน รวมไปถึงความลับของโรแลนด์ด้วย


ส่วนเหตุผลที่มันไม่อยากถูกปลุกขึ้นมานั้นเป็นเพราะคำเตือนของ ‘ทรานฟอมเมอร์’ ซิสทาลิส ถึงแม้จะเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์ไปถึงดินแดนของพระเจ้าได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งเสียของผู้เป็นอาจารย์ มันจึงเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในใจของไนท์แมร์ ถ้าชัยชนะไม่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์คงอยู่ต่อไปได้ อย่างนั้นแบบไหนถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง? คำตอบนั้นจะอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกที่แปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อนี้หรือเปล่า?


แน่นอน ที่ว่าข้างต้นล้วนแต่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น


ความจริงแล้วมันยังมีความคิดที่พูดออกมาไม่ได้อยู่อีก


นั่นก็คือในช่วงที่มันอยู่ที่นี่ มันเหมือนได้กลับไปยังสมัยที่มันยังเรียนอยู่ในสำนักซีคลาวด์ ทุกวันไม่เพียงแต่จะได้เรียนความรู้ใหม่ๆ แต่มันยังได้เห็นอนาคตที่ไม่เหมือนกับในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย


วัลคีรีย์หยิบเอาขนมกล่องหนึ่งออกมาจากในถุงที่วางอยู่บนหนังสือ


มันถูกห่อเอาไว้อย่างสวยงาม ดูแล้วเหมือนกับอาหารที่พวกมนุษย์กินเลย สีที่แตกต่างกันแสดงถึงรสชาติที่ไม่เหมือนกัน หลังแกะเอาห่อออก จมูกของมันก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมอันเย้ายวน


นั่นเป็นรสชาติที่มันไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน


การกินอาหารเข้าไปนั้นพฤติกรรมของพวกระดับกลางและระดับล่างในเผ่าพันธุ์ อาหารธรรมดาจะให้พลังงานได้เพียงแต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังย่อยยากด้วย ด้วยเหตุนี้วิธีที่เห็นได้บ่อยๆ คือพวกมันจะเอาอาหารไปวางในจุดที่มีหมอกแดงเข้มข้น รอจนอาหารอ่อนตัวลงแล้วจึงค่อยกินเข้าไป ขั้นตอนนี้ก็คือกับการย่างของมนุษย์ เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาใช้ย่างคือไฟเท่านั้นเอง


แต่แน่นอน ของที่ผ่านการทำเช่นนี้ยากมากก็แค่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น หลังจากที่กลายเป็นผู้ยกระดับและสามารถดูดซับเอาละอองชีวิตเข้าไปในร่างกายได้โดยตรง วัลคีรีย์ก็ไม่เคยกินอาหารอีกเลย


เผ่าพันธุ์ของมันบางส่วนยังได้นำเอาการกินอาหารชั้นต่ำแบบนี้เข้าไปเผยแพร่ยังเผ่าพันธุ์อื่น….อย่างเช่น มนุษย์


เพราะว่าต่อให้เป็นแม่มดก็ต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อ


มันเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้อาหารที่ผลิตจากคาบสมุทรคาร์การ์ดจะอร่อยขนาดนี้


วัลคีรีย์เอาขนมชิ้นหนึ่งในเข้าไปในปาก พร้อมกับลิ้มรสรสชาติหอมหวานที่แผ่กระจายออกมา


อาหารเหล่านี้ยังคงรักษารสชาติอันเรียบง่ายจากการตากละอองชีวิตเอาไว้อยู่ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคของมนุษย์กับความเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์มัน


มันกินของหวานหมดอย่างรวดเร็ว


ถ้าหากสำนักซีคลาวด์ยังอยู่ ถ้าหาก ‘ทรานฟอมเมอร์’ ยังอยู่…พวกมันจะสามารถสร้างของอร่อยแบบนี้ออกมาได้หรือเปล่า?


ไนท์แมร์ส่ายหัวแล้วโยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทิ้งไป


ไม่ว่ายังไง สงครามแห่งโชคชะตาก็เริ่มก่อตัวเองมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว มันกลายเป็นเหมือนสายน้ำหลากที่ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวมันจะควบคุมได้ การทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด


แต่ปัญหามันก็จะกลับมายังจุดเริ่มต้น


ลึกๆ มันรู้ว่าความไม่สบายใจภายในใจมันมากจากไหน


หลังผ่านการค้นคว้ามาหนึ่งเดือน วัลคีรีย์พอจะแน่ใจคร่าวๆ แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจของมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ และโรแลนด์คือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ในหนังสือประวัติศาสตร์มีความกล่าวถึงอาวุธพวกนั้นหลายครั้ง ซึ่งเหมือนกับที่อุรูคบรรยายเอาไว้ในรายงานทุกอย่าง


จิกซอว์ชิ้นสุดท้ายลอยขึ้นมาในหัวของมัน มันแน่ใจว่าตัวมันหาสามารถเหตุที่ทำให้มนุษย์ยกระดับขึ้นได้แล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ตัวผู้นั้นถึงได้รับสิทธิ์ในการเข้ามายังโลกแห่งความฝัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาเรียนรู้ความรู้ที่ก้าวล้ำยุคสมัยมาจากดินแดนแห่งจิตสำนึกอันกว้างใหญ่นี้ จากนั้นก็เอามันไปใช้กับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง และแม่มดก็คือสะพานในการเปลี่ยนแปลงความรู้นั้น ตอนนี้สิ่งที่พวกมันเผชิญอยู่ไม่ใช่สมาพันธ์เมื่อ 400 ปีก่อน หากแต่เป็นกลุ่มมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง


ถ้ามีเพียงเท่านี้ก็ว่าไปอย่าง


หลังจากที่มันพลิกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้น มันยังไม่ค้นพบความจริงที่น่าตกใจอีกเรื่องหนึ่ง


นั่นคือในตอนที่อารยธรรมมนุษย์ยกระดับไปจนถึงระดับหนึ่ง ความเร็วในการพัฒนาของมันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า! เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่พวกเขาใช้อาวุธปืนฆ่าฟันกันเอง ตอนนี้พวกเขากลับสามารถเดินทางไปได้ทั่วทั้งท้องฟ้าและท้องทะเล อาวุธของพวกเขาเองก็สามารถทำลายทั้งทวีปให้กลายเป็นจุลได้


และนี่คือสิ่งที่ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกไม่สบายใจมากที่สุด


ตอนนี้โรแลนด์ก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว?


หากโยนคำเตือนของซิสทาลิสทิ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกสงสัยว่าเผ่าพันธุ์ของมันจะสามารถเอาชนะมนุษย์ในศึกแห่งชะตาชีวิตครั้งนี้ได้หรือเปล่า


………………………………………………………….


ตอนที่ 1288 ฟันเฟืองที่สบกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อย่างนั้น…คุณโรแลนด์ แนวป้องกันที่สามของสมาคมต้องฝากคุณด้วยนะ”


“วางใจได้ครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน”


หลังโรแลนด์บอกลาร็อค เขาก็เดินออกมาจากห้องทำงานของผู้คุมและถอนหายใจเบาๆ


เรื่องราวไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ การไล่ตามฟอลเลนอีวิลของเมืองปริซึมเองก็หยุดชะงักเหมือนกัน เขาไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับร่องรอยของอีกฝ่ายเพิ่มเติมเลย


ที่ผู้คุมเรียกเขามาเพราะต้องการมอบหมายภารกิจในงานประลองผู้ฝึกยุทธ์ให้เขาทำ


ก่อนหน้านี้ทางผู้คุมก็เคยพูดถึงมาแล้ว หลังจากที่ภารกิจไล่ล่าฟอลเลนอีวิลประสบความล้มเหลว แผนการนี้จึงกลายเป็นแผนหลักในการโจมตีกลับศัตรู ในเมื่อฟอลเลนอีวิลซ่อนตัวได้มิดชิดขนาดนี้ อย่างนั้นก็สู้เฝ้ารออยู่ในงานประลองดีกว่า เพื่อที่จะไม่ทำให้สมาคมต้องสูญเสียกำลังไปโดยไม่จำเป็น ทางผู้มีอำนาจระดับสูงของสมาคมจึงได้จัดทำตารางการแข่งขันขึ้นมาเป็นพิเศษ แล้วก็ให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังปฏิบัติตามแผนการแข่งขันที่จัดทำขึ้นมานี้


พูดอีกอย่างก็คือการประลองผู้ฝึกยุทธ์ครั้งนี้จะกลายเป็นกับดักที่พวกเขาจงใจวางขึ้นมา


ถึงแม้จะมีความสงสัยเกี่ยวกับการแข่งขันปลอมๆ นี้ แต่เมื่อดูต่อหน้าภัยอันตราย ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอะไรที่สำคัญมากกว่า บวกกับการที่ผู้มีอำนาจระดับสูงของสมาคมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก พวกเขาเรียกผู้ฝึกยุทธ์เข้าไปคุยในห้องทำงานทีละคนเพื่อเป็นการรักษาหน้าทุกคนเอาไว้ ตอนที่โรแลนด์เข้ามาถึงห้องโถง เขาก็เห็นว่ามีผู้ฝึกยุทธ์อยู่หลายคนแล้ว ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจอะไร


ตามแผนการที่วางเอาไว้ แนวป้องกันจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ชั้น กำลังตำรวจของรัฐบาลกับสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ปลอมเป็นผู้ชมจะเป็นแนวป้องกันชั้นแรก หน้าที่หลักๆ ของพวกเขาคือตรวจสอบดูพวกศัตรู แล้วก็คอยจัดการฟอลเลนอีวิลที่อยู่ตามลำพัง แนวป้องกันชั้นที่สองคือผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังที่อยู่บนเวที แนวป้องกันชั้นที่สามคือมือดีของฝ่ายยุคเก่าที่ยังปิดบังสถานะเอาไว้ และแนวป้องกันสุดท้ายก็คือผู้คุม


การวางการป้องกันที่ซับซ้อนอย่างนี้ก็คือทำให้การแข่งขันประลองยุทธ์ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและไม่เป็นที่ผิดสังเกต สองก็คือถ้าหากศัตรูมีความสามารถในการควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ การแยะแยะตัวศัตรูตรงปากทางเข้าเพียงอย่างเดียวอาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นไป


และเขาซึ่งเป็นผู้ที่ถือใบอนุญาตไล่ล่าก็ย่อมต้องถูกแบ่งให้อยู่ในแนวป้องกันชั้นที่สาม ความจริงแล้วเขาไม่เพียงแต่จะรับผิดชอบตรวจตราดูบุคคลที่น่าสงสัยในสนามเท่านั้น แต่เขายังต้องคอยตรวจตราดูผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในงานแข่งขันด้วย


ถึงแม้โรแลนด์จะแอบรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เบาะแสใหม่เกี่ยวกับฟอลเลนอีวิล แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่านี้แล้ว การวางกับดักรอให้ศัตรูมาติดกับเป็นแผนที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดในตอนนี้แล้ว


เพราะเขารู้เรื่องบางเรื่องที่สมาคมไม่รู้


ฟอลเลนอีวิลไม่ได้เกิดขึ้นเพราะถูก ‘พลังแห่งธรรมชาติ’ ล่อลวงเพียงอย่างเดียว


สิ่งที่ขับเคลื่อนมันนั้นมาจากจิตสำนึกในดินแดนของพระเจ้า เป้าหมายสุดท้ายของพวกมันคือการทำลายโลกแห่งความฝัน และทำให้พลังเวทมนตร์ทั้งหมดกลับคืนสู่โลกแห่งจิตสำนึก


ด้วยเหตุนี้เพื่อมีโอกาสที่จะรวบรวมแกนพลังจำนวนมากขนาดนี้ในครั้งนี้ ศัตรูย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอดไปได้ง่ายๆ แน่


ตอนที่เดินมาถึงหัวมุมของระเบียงทางเดิน ผู้หญิงคนหนึ่งพลันปรกฏตัวขึ้นตรงหน้าโรแลนด์


เขาสะดุ้งขึ้นมาทันที ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องเป็นคนที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดในตอนนี้ด้วย


เธอคือผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะของสมาคม เฟยอวี่หาน


“อ้าว…นายนี่เอง” เธอเหมือนจะสังเกตเห็นโรแลนด์เหมือนกัน


ทางเดินโล่งๆ เหลือพวกเขาเพียงแค่สองคน ถ้าในตอนนี้แสดงทำเป็นมองไม่เห็นมันก็ดูจะหยาบคายไปหน่อย เขาจึงได้แต่ต้องกระแอมเล็กน้อย แล้วแสดงทำเป็นยิ้มขึ้นมา “แค่กๆ สวัสดี”


แต่คำพูดของอีกฝ่ายทำให้รอยยิ้มของเขาต้องค้างอยู่บนใบหน้าทันที


“เออใช่ ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเรื่องครั้งที่แล้วเลย” เธอยื่นมือออกพร้อมกับพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอบคุณมากนะ ที่นายกำจัดสัตว์ประหลาดพวกนั้นไปและช่วยทุกคนมาจากอันตราย”


“เอ่อ…” โรแลนด์ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงฝืนตอบออกมาว่า “มะ ไม่เป็นไร…”


“เสียดายที่สมาคมเอาความดีความชอบมาให้ฉันทั้งหมดเลย..” เฟยอวี่หานถอนหายใจออกมา


“ไม่ๆๆๆ แบบนี้ดีแล้ว” เขารีบโบกมือ “ความจริง…ฉันจำเป็นต้องปิดบังสถานะของตัวเองเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่างน่ะ ยิ่งมีคนสังเกตเห็นฉันน้อยมันก็ยิ่งดี”


“ก็ได้” อีกฝ่ายไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ หากแต่ตอบรับอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อนายว่าอย่างนั้น ฉันก็ถือซะว่าเป็นของขวัญแล้วกัน”


แต่ภายในใจโรแลนด์กลับรู้สึกแปลกใจ ทำไมเฟยอวี่หานถึงตอบรับง่ายๆ แบบนี้? ถ้าเธอยังจำเรื่องทั้งหมดก่อนที่จะสลบได้ อย่างนั้นเธอก็ต้องไม่ลืมเสียงของหลิงแน่นอน แต่ดูจากท่าทีของเธอแล้ว เหมือนกับเธออยากจะมองข้ามเรื่องนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น


จากการที่ได้ใกล้ชิดมา 2 – 3 ครั้งก่อนหน้านี้กับสิ่งที่เขาได้ยินมา อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่จะพูดเยอะเลย เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เธอก็เหมือนอัจฉริยะอายุน้อยๆ ทั่วๆ ไป เฟยอวี่หานนั้นทั้งหยิ่งทะนงและจุกจิก เธอตั้งความหวังกับตัวเองและคนอื่นเอาไว้สูงมาก ในระหว่างที่พูดคุยกับจะเต็มไปด้วยรังสีความเยือกเย็นที่ทำให้คนอื่นไม่อยากเข้าใจ เธอไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่จะอยู่ด้วยได้ง่ายเลย


แต่ตอนนี้ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมากับตรงกับข้ามกับภาพลักษณ์ในหัวของเขาอย่างสิ้นเชิง


“เออใช่” จู่ๆ เฟยอวี่หานก็เหมือนคิดอะไรออกมาได้ จากนั้นเธอจึงถามว่า “นายคิดว่าคนที่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จะชอบอ่านสารานุกรมแบบไหนเหรอ?”


โรแลนด์งุนงง “เธอถามเรื่องนี้ทำไม?”


“ยังจำผู้รอดชีวิตจากคาบสมุทรคาร์การ์ดที่เราไปเยี่ยมเมื่อครั้งที่แล้วได้ไหม?” เธอพูดอธิบาย “คุณวัลคีรีย์น่ะ ตอนนี้เธอเป็นสมาชิกในทีมของฉัน เดิมฉันกลัวว่าเธอจะเบื่อตอนที่พักรักษาตัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะชอบอ่านหนังสืออย่างมาก ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ในห้องสมุดจนเกือบจะหมดแล้ว”


ที่แท้เธอก็เป็นห่วงคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย? มุมปากของโรแลนด์แอบกระตุกขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังเตรียมจะอ้าปาก จู่ๆ พลันมีสายฟ้าผ่าลงมาในหัวของเขา ทำเอาเขารู้สึกขุนลุกขึ้นมาทั้งตัว! เดี๋ยวๆ วัลคีรีย์ที่เธอพูดถึงคือคนที่หน้าตาคล้ายๆ กับปีศาจที่เขาเห็นอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำไม่ใช่เหรอ?


ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอีก อีกฝ่ายเอาแต่อ่านหนังสือ แถมยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยเหรอ?


“…ตั้งแต่ต้นจนจบเลยเหรอ?”


“ประมาณนั้น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงคราม เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจใช่ไหมล่ะ?”


อย่าบอกนะว่า…นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ? ความคิดในหัวของโรแลนด์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำพูดที่กำลังจะออกจากปากเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน “ใช่…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นสารานุกรมเกี่ยวกับอารยธรรมกับสังคมของมนุษย์ล่ะมั้ง ขอโทษทีนะ ฉันมีงานที่ผู้คุมมอบหมายให้ต้องรับไปทำ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะ”


ถึงแม้คำพูดจะดุห้วนๆ แต่เฟยอวี่หานก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจอะไร


“ฉันก็เหมือนกัน” เธอพยักหน้า “ไว้เจอกันใหม่ คุณโรแลนด์”


“อื้อ…ไว้เจอกัน”


กระทั่งอีกฝ่ายหมุนตัวเดินจากไป โรแลนด์จึงก้าวอาดๆ ลงมาจากบันได


…..


ฝีเท้าเร็วขึ้นแล้ว


เฟยอวี่หานหยุดเดิน พร้อมกับฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไป


การเจอกันตามลำพังครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นสิ่งที่เธอจงใจทำให้เกิดขึ้น


ความจริงแล้วโรแลนด์นั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถมั่นใจอะไรได้เลย เขาไม่เหมือนกับวัลคีรีย์ ถ้าไม่เป็นเพราะคำเรียก ‘ฝ่าบาท’ นั้น เธอก็ไม่มีทางที่จะหาช่องโหว่ใดๆ จากตัวอีกฝ่ายได้เลย อย่างเช่นในตอนที่ไปเยี่ยมผู้ป่วย ความถี่ในการหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่ที่ 3 ครั้งต่อ 1 นาที เวลาที่มีผู้หญิงสวยๆ เดินผ่านก็จะหยุดมองอยู่ 1 – 2 วินาที เวลาที่เลือกเครื่องดื่มก็จะเลือกโคล่าก่อน….ทุกอย่างนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไปในยุคสมัยนี้เลย


นี่ทำให้ความคิดที่ว่า ‘มาจากอีกโลกหนึ่ง’ นั้นเกิดความขัดแย้งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ในเมื่อวัลคีรีย์รู้จักโรแลนด์ นี่ก็หมายความว่าพวกเขามาจากโลกเดียวกัน แต่ทำไมทั้งสองคนถึงแตกต่างกันขนาดนี้?


ด้วยเหตุนี้การทำเป็นบังเอิญมาเจออีกฝ่ายเพื่อขอบคุณก็เป็นความพยายามของเฟยอวี่หานเหมือนกัน


และผลที่ออกมาก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจอย่างมาก


โรแลนด์เหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับวัลคีรีย์ผ่านการเตือนของเธอ แต่ปฏิกิริยาของเขากลับแตกต่างจากที่เธอคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ในฐานะที่เป็น ‘เพื่อน’ ที่มาจากอีกโลกหนึ่งเหมือนกัน ถ้าอยากจะทำให้เรื่องนี้เงียบๆ ไป เขาก็ควรจะปกป้องวัลคีรีย์อย่างเงียบๆ ถึงจะถูก


แต่สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมากลับเป็นท่าทีระมัดระวังอย่างมาก เผลอๆ อาจจะมากกว่าตอนที่เธอพูดถึงเรื่องปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลเสียอีก


ถึงแม้โรแลนด์จะพยายามปิดบังเอาไว้ แต่หางตาที่กระตุกขึ้นมาของเขายังคงถูกเธอมองเห็นได้อย่างชัดเจน


ในด้านการควบคุมสีหน้า เขายังห่างชั้นจากวัลคีรีย์มากนัก


เหมือนความพยายามครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าซะแล้ว


ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะคอยสังเกตทั้งสองคนต่อไป อย่างนั้นความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนหลังจากนี้จะต้องทำให้เธอได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมอีกมากแน่นอน


เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากขึ้นมา ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของผู้คุม


…..


เมื่อกลับมาถึงเขตตึกถงจึ โรแลนด์ก็รีบเรียกฟิลิสกับดาเนนเข้ามาพบทันที


“ข้าอยากจะให้พวกเจ้าไปจับตาดูปีศาจตัวหนึ่ง มันอาจจะเป็นปีศาจที่มาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำในตึกนี้ก็ได้!”


………………………………………………………………


ตอนที่ 1289 จุดกำเนิดของการสร้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปีศาจหรือเพคะ?”


ทั้งสองคนงุนงง “พระองค์ทรงหมายถึงพวกเผ่าอื่น…ที่อยู่บนโลกนี้หรือเพคะ?”


สำหรับแม่มดโบราณแล้ว สิ่งที่ดูไม่เข้ากับการใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันก็คือชาวคาร์การ์ดที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ชาวเผ่าที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนปีศาจพวกนี้ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำก็เรียกได้ว่าไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก แถมยังสามารถสืบพันธุ์ได้ด้วย ดูแล้วแตกต่างจากศัตรูที่อยู่ในโลกข้างนอกอย่างสิ้นเชิง


การลงมือทันทีที่เห็นปีศาจกลายเป็นสัญชาตญาณของแม่มดโบราณไปเสียแล้ว โรแลนด์ต้องคอยย้ำอยู่หลายครั้ง พวกเธอถึงจะควบคุมอารมณ์ตรงนั้นได้ แล้วตอนนี้เขากลับมาบอกว่าให้เพิ่มการเฝ้าระวัง หากเป็นคนธรรมดาคงยากที่จะปรับตัวได้ทันแน่ ดังนั้นคนกลุ่มแรกที่เขาคิดถึงก็คือฟิลลิสและดาเนนซึ่งเป็นแม่มดกลุ่มแรกที่ติดตามตัวเองเข้ามาในโลกแห่งความฝันและยังมีความสามารถที่เหมาะสมกับการซ่อนตัวอย่างมาก


“จะคิดแบบนั้นก็ได้” โรแลนด์บรรยายลักษณะเด่นและจุดที่น่าสงสัยของอีกฝ่ายให้แม่มดฟัง “ข้าไม่เห็นหินเวทมนตร์ใดๆ อยู่บนตัวมัน ซึ่งนี่เป็นจุดที่มันแตกต่างจากปีศาจมากที่สุด แต่พวกเจ้าก็ยังต้องระวังตัวเอาไว ให้จับตาดูโดยสมมติว่ามันมีพลังของหินเวทมนตร์อยู่”


การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์นั้นเป็นหนทางในการทำความเข้าใจโลกนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยังจะมีใครที่ต้องการรู้ถึงความเป็นมาของโลกแห่งความฝันมากขนาดนี้อีก ถ้า ‘ปีศาจ’ ที่ชื่อวัลคีรีย์ตัวนั้นมาจากคาบสมุทรคาร์การ์ดจริงๆ มันก็น่าจะได้รับการศึกษาภาคบังคับถึงจะถูก แต่จากคำพูดที่เฟยอวี่หานบอกมา อีกฝ่ายนั้นแทบจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์โดยไล่ตามล่วงเวลาเลยก็ว่าได้ ในจุดที่ทั้งสองโลกเจอกับการกัดกินพร้อมกัน เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกสงสัยจริงๆ


“เพคะ ฝ่าบาท” ทั้งสองคนพยักหน้า


“ถึงแม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจก็ห้ามลงมือในศูนย์พักฟื้น” โรแลนด์ครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่ออีกประโยค “หนึ่งเป็นเพราะว่าที่นั่นมีผู้ตื่นรู้อยู่เต็มไปหมด มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ สองคือข้าอยากจะรู้ให้ได้ว่ามันเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”


เพราะว่าสิ่งที่อยู่อีกด้านของห้อง 0510 นั้นไม่ใช่แค่รังของปีศาจแค่ตัวหรือสองตัว หากแต่เป็นเมืองขนาดมหึมาของปีศาจ ถ้าปีศาจตัวอื่นๆ ก็ทะลุผ่านประตูเข้ามาเหมือนกัน อย่างนั้นคงทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก


“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เพียงแต่ว่า…” ฟิลลิสลังเลเล็กน้อย “หากพวกหม่อมฉันสองคนไม่อยู่ข้างกายพระองค์ ถ้าเกิดว่า…”


“วางใจได้ ที่นี่ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง” โรแลนด์ยิ้มๆ “เจ้าเองก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าพลังของฟอลเลนอีวิลพวกนั้นมันทำอะไรข้าไม่ได้ ขอเพียงไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง พวกมันก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรข้าได้ ว่าแต่พวกเจ้านั่นแหละ จำเอาไว้ว่าความปลอดภัยของตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด โทรหาข้าทุกๆ ชั่วโมงเข้าใจไหม”


“…เพคะ ฝ่าบาท” ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะตอบพร้อมถวายบังคม “อย่างนั้นพวกหม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ”


…..


ในตอนที่ยิปซีลอนเดินเข้ามาในจุดนัดพบใต้ดิน ทั้งห้องกำลังอยู่ในสภาพที่ทั้งสองโลกซ้อนทับกันอยู่ เพดานกับกำแพงล้วนแต่ถูกแสงเวทมนตร์สีแดงปกคลุมเอาไว้อยู่ เหมือนว่ามันกลายเป็นถ่านร้อนๆ ที่ส่องแสงวูบวาบ


ภายใต้สภาวะแบบนี้ พื้นที่แห่งนี้เหมือนกับเป็นช่องว่างอยู่ระหว่างทั้งสองโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ล้วนแต่ไม่สามารถส่งผลกระทึบต่อมันได้


นี่ย่อมรวมไปถึงการค้นหาและการไล่ตามด้วย


เธอมองดูเบต้าที่ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่าและเอาสองมือทาบลงไปกับพื้น ร่างกายของอีกฝ่ายเกือบจะโปร่งแสง ดูแล้วเหมือนกับเป็นภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น


หากคำนวณตามเวลาของที่นี่ เขาอยู่ในท่านี้มาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว


“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?” ยิปซีลอนมองไปทางเดลต้าที่ยืนอยู่นิ่งๆ อีกด้านหนึ่ง


หน้ากากของอีกฝ่ายสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่ไม่สามารถพูดคุยผ่านจิตสำนึกได้ เสียงแหบแห้งของมันดังตอบขึ้นมา “โลกนี้มันขยายตัวใหญ่ขึ้นมาก การแยกแยะทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ว่าเบต้าใกล้จะทำสำเร็จแล้วล่ะ เชื่อว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน แล้วทางเจ้าล่ะ ได้เรื่องอะไรบ้างไหม?”


“พวกโจรปล้นพลังเวทมนตร์มันวางกับดักเอาไว้ ตอนนี้กำลังรอให้พวกเราไปติดกับอยู่”


โครงสร้างของโลกนี้ได้จำกัดพลังของเทวทูตเอาไว้ ต่อให้พวกเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้อยู่


“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย” เสียงของเดลต้าไม่ได้มีความวิตกแม้แต่น้อย “ดูแล้วเหมือนจะเป็นวิธีที่ทั้งประหยัดแรงแล้วก็ประหยัดเวลา เสียดายที่พวกเราไม่ต้องการเศษพลังเวทมนตร์พวกนั้นแล้ว”


ยิปซีลอนพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรตอบ


การจะทำลายโลกแห่งจิตสำนึกที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้านั้นยังมีวิธีที่ง่ายกว่าอยู่อีกวิธี นั่นก็คือทำลายผู้ที่สร้างโลกแห่งจิตสำนึกนี้ขึ้นมาซะ — พวกมันส่วนใหญ่ใช้จิตสำนึกของผู้สร้างเป็นแหล่งกำเนิด ก็เหมือนกับห้องและเสาค้ำ ขอเพียงถอนเอาเสาค้ำออก โลกนี้ก็จะถล่มลงมา พลังเวทมนตร์เหล่านั้นก็จะกลับไปสู่ดินแดนแห่งพระเจ้า


เพียงแต่โลกนี้มีขนาดใหญ่อย่างมาก การจะหาตัวผู้สร้างจากเป้าหมายจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องปรับเอาพลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลมาใช้ในการวิเคราะห์ มันถึงจะสามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้


การบุกเข้าไปในเมืองปริซึมก่อนหน้านี้ก็เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ที่จำเป็นต้องใช้ เมื่อมีแกนพลังจำนวนมาก การวิเคราะห์จะเสร็จช้าหรือเร็วมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


แต่แน่นอน ถึงแม้จะหาเจอก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดได้ ผู้สร้างมักจะได้รับการปกป้องจากโลกที่เขาสร้างขึ้นมา ความพ่ายแพ้ต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เหมือนกัน


ถ้าอยากจะสู้กับการปกป้อง ก็ต้องลากเอาผู้สร้างมาอยู่ในช่องว่างที่ซ้อนทับกันของทั้งสองโลก ที่นั่น พระเจ้าจึงจะสามารถเข้ามาแทรกแซงกฏของโลกนี้และบดขยี้ศัตรูได้


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะเป็นเทวทูต มันก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้เหมือนกัน


แต่เวลาเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว


พวกเขาคือความหวังสุดท้ายของพระเจ้า ถ้าแม้แต่พวกเขายังพ่ายแพ้ พระเจ้าก็จะทำลายโลกแห่งจิตสำนึกทั้งหมด ความพยายามที่ผ่านมาล้านๆ ปีจะกลายเป็นฟองอากาศ ทุกสิ่งที่ทำมาจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ พระเจ้าไม่มีทางที่จะทำเช่นนั้นแน่


ทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้าของโลกนี้


ยิปซีลอนกำหมัดขึ้นมา แต่มันก็คลายกำปั้นตัวเองอย่างรวดเร็ว


เอ๋ นี่มันอะไรกัน?


ทำไมเธอถึงรู้สึกโกรธ?


ในฐานะที่เป็นเทวทูต เธอน่าจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ถึงจะถูก


ไม่มีทั้งความยินดียินร้าย ไม่กังวลว่าจะแพ้หรือชนะ นอกจากภารกิจแล้ว เธอไม่ควรจะสนใจเรื่องอื่น


เดี๋ยวๆ พอคิดแบบนี้ขึ้นมา เมื่อก่อนตัวเธอเหมือนจะไม่เคยต้องคิดถึงปัญหาพวกนี้นี่นา


“มีอะไรเหรอ?” เดลต้าสังเกตเห็นท่าทีของเธอ


“เปล่า ไม่มีอะไร…” เธอหมุนตัว ก่อนจะเดินไปนั่งตรงมุมกำแพง


การเปลี่ยนแปลงนี่มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแน่?


ยิปซีลอนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะค่อยๆ นึกออกว่ามันเริ่มตั้งแต่วินาทีที่เธอสังหารเทวทูตที่ทรยศ


ตอนนั้นเธอปลอมตัวไปอยู่ในกลุ่มสาวก แล้วก็ลอบเข้าไปใกล้คนทรยศที่มีแหล่งกำเนิดมาจากที่เดียวกันกับเธออย่างไร้ซุ่มเสียง จนกระทั่งในเสี้ยววินาทีที่เธอลงมา อีกฝ่ายถึงได้รู้ตัว


ที่น่าแปลกก็คือคนทรยศนั้นไม่ได้ทำการตอบโต้ใดๆ ในตอนที่แขนของเธอทะลุเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่าย อีกฝ่ายเพียงแต่คว้าจับแขนที่เปื้อนเลือดของตัวเธอเบาๆ จากนั้นโน้มตัวลงมาพูดกับเธอประโยคหนึ่ง


สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเธอเองก็จำไม่ค่อยได้ แต่เสียงนั่น…กลับฟังดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มันให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับเป็นอ้อมกอดที่ลาจากมานาน


และสิ่งสุดท้ายที่อยู่บนใบหน้าของคนทรยศคือรอยยิ้มอันเงียบสงบ


บ้าเอ้ย ตอนนี้มาคิดเรื่องพวกนี้ทำไมเนี่ย?


ไม่สิ ทำไมเราถึงต้องรู้สึกโกรธเพราะเรื่องพวกนี้ด้วย?


ยิปซีลอนพลันรู้สึกว่าในหัวมีความสับสนอย่างมาก


“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” เดลตาเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง  “ที่นี่ไม่สามารถใช้จิตสำนึกในการพูดคุยได้ มีอะไรก็พูดมา”


“ข้า…”


ทันใดนั้นเอง คลื่นกระเพื่อมระลอกหนึ่งพลันกระจายออกมาจากกลางห้อง เบต้าที่ตอนแรกคุกเข่าอยู่พลันลืมตาขึ้นมา


“ค้นหาเสร็จเรียบร้อย”


“ในที่สุดก็เสร็จซักที” เดลตาหันหน้าไป “ผลเป็นยังไงบ้าง?”


เบต้าชูสองมือขึ้นมา ใบหน้าลางๆ ของคนสามคนปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือของมัน จากนั้นเมื่อเส้นต่างๆ ถักทอเข้าด้วยกัน ใบหน้าทั้งสามจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น


“มีสามคนเลยเหรอ?”


“ถูกต้อง แต่พวกเราแค่รับมือสองคนที่เหลือก็พอ เพราะว่าคนแรกมันไม่อยู่แล้ว”


ยิปซีลอนอ่านข้อมูลทั้งหมดในภาพอย่างรวดเร็ว


ผู้สร้างทั้งสามคนประกอบไปด้วย


“ร่างจิตสำนึกเทวทูตผู้ทรยศ ระดับความเกี่ยวข้อง 1!% โค้ดเนมมิสต์”


“ร่างจิตสำนึกที่คิดได้ด้วยตัวเอง ระดับความเกี่ยวข้อง 42% โค้ดเนมซีโร่”


“ร่างจิตสำนึกไม่ทราบที่มา ระดับความเกี่ยวข้อง 57% โค้มเนมโรแลนด์”


………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)