Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1282-1283
ตอนที่ 1282 การต่อสู้ของผู้กล้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟิชบอลสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสนามรบ
เขาสู้โดยมีความคิดอยู่ในหัวว่าต่อให้ต้องตายก็จะต้องกำจัดศัตรูให้ได้มากที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับสร้างความกดดันได้น้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
ตอนที่สู้กับปีศาจบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ความกดดันบนสนามรบทำให้เขาแม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ยากลำบาก ในหัวมีแต่คำว่ายิงเพียงอย่างเดียว ทั้งร่างกายเขาแข็งเหมือนกับก้อนหิน แต่ตอนนี้เขากลับมีแรงเหลือที่จะมานั่งสังเกตดูสถานการณ์ของทหารในหน่วยและศัตรู แถมยังมีเวลาครุ่นคิดว่าต่อไปอีกฝ่ายอาจจะเคลื่อนไหวแบบไหน
เมื่อการบุกหลายๆ ครั้งถูกบีบให้ต้องถอยกลับไป การเคลื่อนไหวของศัตรูก็ดูเชื่องช้าขึ้นกว่าเดิมมาก
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการกระหน่ำยิงของกองทัพที่หนึ่งเว้นระยะห่างมากขึ้น เพื่อที่จะประหยัดกระสุน พวกเขามักจะกระหน่ำยิงในตอนที่กองทัพขุนนางบุกเข้ามา แต่การกระหน่ำยิงครั้งล่าสุดคือเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน
ในสถานการณ์ที่ด้านหลังไม่มีการส่งกองหนุนขึ้นมาช่วย การที่อยู่ในสภาพที่ไม่บุกแล้วก็ไม่ถอยแบบนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก อีกอย่างกองทัพที่หนึ่งก็อยู่บนกลางเนินซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีแนวป้องกันกระสอบทรายเป็นที่กำบังด้วย ความได้เปรียบในการยิงปะทะกันนั้นมีมากกว่าอีกฝ่าย
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมผู้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ อาวุธปืนนั้นไม่เหมือนกับอาวุธเย็นอย่างพวกมีดดาบ การไม่สัมผัสกันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น การที่พวกผู้อพยพถูกกองทัพที่หนึ่งยิงใส่อยู่ตลอดเวลาแบบนี้มันจะสร้างความเสียหายให้กับขวัญและกำลังใจของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
การที่พวกผู้อพยพที่อยู่แนวหน้าบางส่วนถอยไปด้านหลังแทนที่จะบุกเข้ามานั้นคือสิ่งที่ยืนยันเป็นอย่างดี ฟิชบอลบอกเห็นว่าคตำแหน่งในการหมอบของพวกเขาบางส่วนนั้นถอยห่างไปจากตำแหน่งในตอนแรกเกือบร้อยก้าว ตอนนี้แนวรบของพวกเขาดูบิดเบี้ยวไปมาไม่เป็นระเบียบเหมือนระลอกคลื่น
ในจุดนี้ก็ทำให้เห็นว่าพวกเขานั้นไม่ได้กองกำลังที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน หากแต่เป็นการรวบรวมคนมาจากหลายๆ กลุ่ม
นอกจากนี้ฟิชบอลยังสังเกตเห็นว่าศัตรูไม่ได้ถนัดในการสู้รบโดยใช้อาวุธปืน ถึงแม้ในนั้นบางคนจะมีคนที่เลียนแบบการใช้ปืนของกองทัพที่หนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพของอาวุธที่อยู่ในมือออกมาได้อย่างเต็มที่
ไม่อย่างนั้นตัวเขาจึงทนไม่ได้จนถึงตอนนี้
ถึงแม้จะฟังดูแล้วน่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้ทีมของเขาก็ยังไม่มีใครตายเลยแม้แต่คนเดียว มีแค่ 5 คนเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ
นี่ไม่ใช่การอาศัยแค่โชคเพียงอย่างเดียว
“ใครมีกระสุนเหลือให้ข้าไหม ของข้าใกล้หมดแล้ว!”
“ข้าก็ด้วย ในมือเหลืออยู่คลิปสุดท้ายแล้ว”
“หัวหน้า ต่อไปเราจะทำยังไงดี?” แฮนซันก้มวิ่งตัวเข้ามาถาม “ข้างๆ ปืนกลไม่มีใครอยู่เลย ถ้าไงพวกเรายื้อต่อจนถึงกลางคืนค่อยหนีดีไหม?”
ฟิชบอลเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิตกค่อนข้างเร็ว อีกประมาณชั่วโมงครึ่งท้องฟ้าก็จะมืดลง เมื่อถึงตอนนี้ความน่ากลัวของอาวุธปืนของอีกฝ่ายก็จะลดลงอย่างมาก ต่อให้พวกเขาวิ่งหนีโดยถูกยิงไล่หลังก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีรอดออกไป
แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาหนีมาเยอะแล้ว เขาจึงค่อนข้างคิดเมื่อต้องหนี
เวลากลางคืนจะทำให้ความแม่นยำของอาวุธปืนลดลง แต่กองทัพที่หนึ่งก็จะสูญเสียทัศนวิสัยไปเช่นเดียวกัน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้าหากศัตรูฉวยโอกาสบุกและไล่ตามพวกเขามาอีกครั้ง พวกเขาจะยิงตอบโต้อีกฝ่ายได้อีกครั้งหรือเปล่า?
แต่แน่นอน ถ้าหากมีกระสุนมากพอ บางทีพวกเขาอาจจะฉวยโอกาสหนีไปตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันรู้ตัวได้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อีกไม่นานพวกขุนนางก็คงจะสังเกตเห็นว่าความถี่ของการยิงตอบโต้จากในค่ายไม่ถี่เหมือนในตอนแรก จากนั้นก็เดาถึงความเคลื่อนไหวต่อไปของพวกเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้นในจำนวนผู้บาดเจ็บ 5 คน มีอยู่ 2 คนที่บาดเจ็บหนัก การพาเพื่อนที่บาดเจ็บหนักหนีไปด้วยจะทำให้ความเร็วในการถอยช้าลง
แต่ถ้าจะให้ทิ้งพวกเขาเอาไว้ ฟิชบอลก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เขาลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจ “เรียกคนอื่นๆ มา ข้ามีอะไรจะพูดด้วย”
ไม่นาน แฮนซันก็เรียกเพื่อนทหารคนอื่นๆ มารวมตัวกัน
ส่วนศัตรูก็เหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นว่าการยิงของกองทัพที่หนึ่งเป็นกระจุกมากขึ้น พวกเขายังคงหมอบอยู่บนพื้นหญ้า บางครั้งก็ยกปืนขึ้นมายิงสวนทีหนึ่ง นี่ยิ่งช่วยตอกย้ำความคิดของฟิชบอล
เขาอธิบายสถานการณ์ให้คนอื่นฟังคร่าวๆ จากนั้นจึงมองดูทุกคน “ฝ่าบาททรงตรัสอยู่บ่อยๆ ว่าการโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด ถ้าพวกเราสามารถเอาชนะขุนนางพวกนี้ได้ อย่างนั้นจะอยู่หรือจะไปพวกเราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แต่ถ้าเราหนีไป นั่นก็จะทำให้ศัตรูมีโอกาสที่จะกลับมาเล่นงานเราใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ได้เวลาตัดสินใจแล้วว่าพวกเราจะปล่อยให้ศัตรูเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตเราหรือเราจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ตอนนี้ข้าอยากจะฟังความคิดของทุกคนว่าเป็นยังไง”
“หัวหน้า หัวหน้าหมายความว่า…จะให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเหรอ?” แฮนซันตกตะลึง “แต่คนของอีกฝ่ายมันเยอะกว่าเรามากเลยนะหัวหน้า”
“ข้าคิดๆ ดูแล้ว พวกเขาดูแล้วเหมือนจะมีคนเยอะกว่า แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่มีใจที่จะสู้แล้ว เพียงแต่การยิงไปยิงมาในระยะไกลนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขายอมแพ้ได้ ถ้าหากพวกเราบดขยี้กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาได้ ไม่แน่เราอาจจะทำลายขวัญและกำลังใจของอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิงก็ได้!”
“แต่กระสุนของพวกเรามีไม่พอ…”
“กองทัพที่หนึ่งไม่ใช่กองทัพที่เอาแต่พึ่งอาวุธปืนในการรบเพียงอย่างเดียว ใน ‘คู่มือการรบ’ ก็เน้นย้ำในจุดนี้” ฟิชบอลพูดเสียงคร่ำเคร่ง
ทุกคนนิ่งเงียบไป แฮนซันพูดขึ้นมาเป็นคนแรก “ข้าฟังท่าน”
“ใช่ หัวหน้า ข้าไม่อยากจะทิ้งใครเอาไว้”
“ถ้าไม่ไปทั้งหมด ก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด”
“ออกคำสั่งมาเลย หัวหน้า!”
ทุกคนต่างตะโกนขึ้นมา
ฟิชบอลพยักหน้า หากเป็นเมื่อก่อนนี้ เขาไม่มีทางคิดถึงแน่ว่าตัวเองจะตัดสินใจแบบนี้ออกมา หลังเป็นทหารมา 4 ปี เขารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่เปลี่ยนไป
‘เจ้าไม่ใช่ไอขี้ขลาด’
เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมาในหูเขาอีกครั้ง
เขาสูดหายใจ ก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกคน ติดดาบปลายปืน!”
จากปืนยาวรุ่นเก่าจนมาถึงปืนยาวลูกเลื่อน โครงสร้างตัวปืนนั้นเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ดาบปลายปืนนั้นไม่เคยถูกถอดออก ถ้าจะบอกว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม นั่นก็คือมันใช้ง่ายกว่าเมื่อก่อน
เหล่าทหารชักดาบออกมาจากปลอก ก่อนจะเสียบเข้าไปในตัวล็อก
ฟิชบอลเอาคลิปกระสุนคลิปสุดท้ายเสียบเข้ากับตัวปืน ก่อนจะชูแขนขึ้นแล้วตะโกนว่า “ตามข้ามา!”
เขาปีนข้ามกระสอบทรายไปเป็นคนแรก
ทหารคนอื่นๆ ตามหลังเขามาติดๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาศัตรูที่อยู่ใกล้!
ส่วนศัตรูนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาหลายคนยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยซ้ำ หากแต่ยังคงหมอบอยู่กับพื้นแล้วก็ยิงปืนมาทางกองทัพที่หนึ่ง
ฟิชบอลเตรียมพร้อมที่จะปะทะเข้ากับกระสุน แต่ความเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ก็ไม่มาถึงซักที แค่พริบตาพวกเขาก็วิ่งมาได้ร้อยกว่าเมตร ส่วนศัตรูก็เพิ่งจะลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน คล้ายกับว่าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เขาทำตามที่ตัวเองได้ฝึกฝนมาด้วยการเอาดาบปลายปืนแทงเข้าไปที่หน้าอกของศัตรูคนแรก
“ฆ่า!”
เหล่าทหารคนอื่นๆ เองก็แห่กันเข้าไปหาศัตรู
เสียงตะโกนดังสะท้อนไปครึ่งเนินเขาทันที!
ฟิชบอลแทงศัตรูคนหนึ่งล้มลง จากนั้นก็ยิงสังหารศัตรูอีกคหนึ่ง หลังจากหมุนตัวแทงศัตรูล้มลงไปเป็นคนที่สาม เขาก็พบว่ารอบๆ ไม่มีเป้าหมายใหม่แล้ว
เขามองไกลออกไป ก่อนจะเห็นว่าศัตรูนั้นได้เริ่มหนีไปแล้ว
พวกเขาน่าจะคิดไม่ถึงว่ากองทัพที่หนึ่งจะวิ่งออกมาจากค่ายและมาไล่ฆ่าพวกเขาในเวลานี้ สุดท้ายภายในใจก็ไม่อาจแบกรับความกดดันเอาไว้ได้
แนวรบของกองทัพพันธมิตรของพวกขุนนางต้านอยู่ได้ไม่นานเท่าไรก็พังทลายลง ในตอนที่กลุ่มทหารที่อยู่แนวหน้าสุดวิ่งหนี ความหวาดกลัวก็แผ่กระจายไปทั้งกองทัพเหมือนกับโรคติดต่อ พวกคนที่เดิมถอยไปด้านหลังทิ้งอาวุธที่อยู่ในมือและวิ่งลงเนินไปอย่างไม่คิดชีวิต มีหลายคนที่พลาดล้มลง ก่อนจะชนคนข้างหน้าในล้มตามไปด้วย
ในตอนที่ปืนกลตกอยู่ในมือกองทัพที่หนึ่งและหันปากกระบอกปืนกราดยิงเข้าใส่คนที่วิ่งลงเนินไป ศัตรูหลายคนพลันนึกโกรธแค้นตัวเองขึ้นมาที่เกิดมามีขาแค่สองข้าง ถ้าไม่เป็นเพราะว่าในปืนกลมีกระสุนอยู่ไม่เท่าไร เกรงว่าพวกเขาคงหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฟิชบอลไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาไกลเท่าไร กระทั่งขาทั้งสองข้างรู้สึกหมดแรง เขาจึงค่อยๆ หยุดวิ่งลง
ศัตรูที่ยังมีชีวิตอยู่บนเนินต่างคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วชูมือยอมแพ้ ส่วนพวกขุนนางที่เอาแต่วนเวียนอยู่ด้านหลังนั้นวิ่งเร็วกว่าใคร ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นเงาของพวกเขาแล้ว
ฟิชบอลกำหมัดขึ้นมา ภายในใจรู้สึกมีความสุขอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลิ้มรสความสุขนั้น เพื่อนทหารที่ตื่นเต้นพุ่งเข้าหามาเขาก่อนจะกระโดดทับตัวเขาจนล้มลงไปกับพื้น “หัวหน้า พวกเราชนะแล้ว!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
“กองทัพที่หนึ่งจงเจริญ!”
เขาถูกทุกคนยกขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ
ถูกต้อง พวกเขาชนะแล้ว
ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว
ฟิชบอลกางแขนออกและหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดิน จากนั้นจึงสงเสียงตะโกนออกมาเพื่อฉลองชัยชนะพร้อมกับทุกคน
…………………………………………………….
ตอนที่ 1283 แหล่งข้อมูล
โดย
Ink Stone_Fantasy
อ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ข่าวเหล็กรับทราบข่าวชัยชนะในการศึกซุ่มโจมตีครั้งอย่างรวดเร็ว
เขาได้รีบส่งคนให้นำจดหมายชื่นชมและให้กำลังใจไปมองให้กับทีมของฟิชบอล แล้วก็บอกให้พวกเขากลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยก่อนเพื่อรอให้ทหารทีมใหม่เข้าไปทำงานแทน
ถึงแม้ศัตรูที่ทหารกลุ่มนี้เอาชนะได้จะเป็นกองทัพพันธมิตรของพวกขุนนาง แต่การที่พวกเขาไม่แตกตื่นแม้จะถูกซุ่มโจมตีและเอาชนะมาได้ทั้งๆ ที่มีจำนวนน้อยกว่านั้นล้วนแต่เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างมากในการประชาสัมพันธ์ เมื่อเทียบกับการขนผู้อพยพเพียงอย่างเดียว การเอาเรื่องของพวกเขาป่าวประกาศออกไปนั้นจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกองทัพอย่างมาก โดยเฉพาะในตอนที่กองทัพที่หนึ่งต้องถอนกำลังกลับมาแบบนี้
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาได้รับข่าวร้ายติดต่อกัน 2 ข่าว หนึ่งคือทหารที่อยู่ในซ่อนตัวอยู่ในเขตหมอกแดงรายงานว่าพวกขุนนางนั้นเข้ามาขัดขวางการอพยพแทนพวกปีศาจแล้ว
ในรายงานบอกว่าอัศวินที่มาจากตระกูลต่างๆ ในอีเทอร์วินเทอร์เหล่านี้ต่างเข้ามาขัดขวางเหล่าผู้อพยพ พวกเขาซึ่งเป็นมนุษย์เหมือนกันย่อมต้องบีบบังคับและล่อพวกพวกผู้อพยพได้ดีกว่าพวกปีศาจ ส่วนกองทัพที่หนึ่งนั้นไม่สามารถเข้าไปในเขตหมอกแดงได้เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป ทำให้จำนวนผู้อพยพในจุดอพยพแต่ละจุดมีจำนวนลดลง
เรื่องที่สองคือปีศาจได้ออกมาและเพิ่มระดับความรุนแรงในการซุ่มโจมตีกองทัพที่หนึ่งอีกครั้ง โดยในตอนแรกนั้นได้มีป้อมสังเกตการณ์สังเกตเห็นอสูรสยองกลุ่มใหญ่บินออกมาจากพื้นที่หมอกแดง ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่เกาะอาชดยุค จากนั้นทหารที่ประจำอยู่บนเกาะอาชอดุคก็เตรียมการป้องกัน ขณะเดียวกันก็หยุดการขนส่งทางทะเลด้วย
พวกคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ อสูรสยองกลุ่มนี้จะหายไประหว่างทาง ก่อนจะมาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่เหนือหัวกลุ่มทหารอีกกลุ่มที่กำลังทำการอพยพอยู่ โดยทหารกลุ่มนี้ก็ได้รับแจ้งมาว่าอสูรสยองจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออก พวกเขาจึงทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ ผลสุดท้ายถูกพวกปีศาจมาพบเข้า
ถึงแม้เหล่าทหารจะทำการตอบโต้อย่างเต็มที่ แต่ผลสุดท้ายพวกเขาก็ยังถูกฆ่าจนหมด ตอนนี้ขวานเหล็กยังไม่ได้รับรายงานสรุปตัวเลขผู้เสียชีวิต แต่จากที่หน่วยช่วยเหลือแจ้งมา น่าจะมีผู้อพยพราว 2,000 คนที่เสียชีวิตในเหตุลอบโจมตีครั้งนี้ ส่วนความเสียหายของกองทัพอย่างน้อยๆ ก็มีมากกว่า 100 คน
ความเสียหายที่รุนแรงแบบนี้ทำให้ขวานเหล็กต้องตัดสินใจสั่งถอนกำลังกลับมาทั้งหมด
ข่าวร้ายสองข่าวนี้เรียกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ทางทีมที่ปรึกษาก็มีคิดเรื่องที่พวกขุนนางจะแปรพักตร์เอาไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะย้ายฝั่งเร็วขนาดนี้ เหล่าขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์สู้กันมาเกือบ 2 ปีก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครจะเป็นราชาองค์ใหม่ แต่ตอนนี้พวกเขากลับไปสวามิภักดิ์ต่อปีศาจ คิดๆ แล้วช่างน่าขันจริงๆ
สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนอย่างมาก ภารกิจอพยพคนได้ดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว หลังจากนี้กองทัพที่หนึ่งจำเป็นต้องรวมกำลังเพื่อปกป้องพื้นที่ชายแดนสุดท้ายที่หมอกแดงจะมาปกคลุม
ตอนนี้ทหารที่เดินทางมาถึงเคจเมาเธ่นกับอ่าวดีพพูลนั้นมีประมาณ 5,000 คน นี่ยังไม่ถึง 1 ใน 6 ของกำลังทหารทั้งหมดที่มี ส่วนกำลังพลของพวกปีศาจตอนนี้ยังไม่ทราบจำนวน ก่อนที่จะทราบถึงสถานการณ์ของปีศาจอย่างชัดเจน เขาจะเสียกำลังพลไปง่ายๆ ไม่ได้อีก
สิ่งที่ขวานเหล็กกังวลมากที่สุดก็คือปีศาจจะฉวยโอกาสตอนที่การขนส่งและกำลังพลของกองทัพที่หนึ่งมีจำกัด แห่กันมาโจมตีพื้นที่ที่ยังไม่มีการตั้งแนวป้องกัน หากเป็นแบบนั้นกองทัพจะตกอยู่ในสภาพที่ป้องกันไม่ได้แล้วก็เข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
เพราะการทำศึกในวูล์ฟฮาร์ทนั้นไม่มี ‘ป้อมปราการเคลื่อนที่’ อย่างรถไฟหุ้มเกราะให้พวกเขาได้พึ่งแล้ว
“ท่านผบ.” ทันใดนั้นเอง นายทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือของคฤหาสน์ “เรือท่านเอดิธส์ เคนท์เดินทางมาถึงท่าเรือแล้วขอรับ”
“โอ้?” คิ้วของขวานเหล็กคลายของ เขากำลังคิดถึงคนให้คำแนะนำ คนให้คำแนะนำก็มาพอดี “เยี่ยม เดี๋ยวข้าไปรับนางที่ท่าเรือเอง”
…..
เมื่อมาถึงท่าเรือ ขวานเหล็กมองเห็นไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือที่กำลังถูกสมาชิกในทีมที่ปรึกษาห้อมล้อมอยู่ สีหน้าทุกคนดูโล่งใจ เหมือนว่าพวกเขาได้ลืมประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวในตอนที่ถูกเธอทรมานไปหมดแล้ว
หลังกลายเป็นหัวหน้ากองได้ประมาณ 1 ปี ในตอนนี้เธอก็ได้รับความเคารพและการยอมรับจากเจ้าหน้าที่ภายในกองแล้ว
เมื่อคิดถึงเหล่าขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ท แล้วหันมาดูอดีตลูกสาวดยุคคนนี้อีกครั้ง ขวานเหล็กอดรู้สึกทอดถอนในขึ้นมาไม่ได้ ระหว่างขุนนางด้วยกันเองก็ยังแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลย
“ท่านผบ.” เอดิธส์เองก็มองเห็นความเหล็ก เธอเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอกทำความเคารพ “ไม่เจอกันนาน หวังว่าลูกน้องของข้าคงไม่สร้างปัญหาให้ท่านนะ”
“พวกเขาต่างพยายามรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองกันอย่างเต็มที่” ขวานเหล็กเองก็ทำความเคารพกลับไป สถานะของทั้งสองคนเท่าๆ กัน เวลาพูดคุยกันจึงไม่มีความอึดอัดแต่อย่างใด พูดอีกอย่างก็คือนอกจากฝ่าบาทและท่านซิลเวอร์มูนแล้ว อีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่เขายินดีที่จะพูดด้วยมากที่สุด
“พูดอีกอย่างก็คือพวกเขาไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์อะไรให้ท่านเลย?” เอดิธส์ยักไหล่ ก่อนจะหันหน้าไปมองลูกน้องของตัวเอง “ดูเหมือนทุกคนจะทำผลงานได้ไม่ค่อยเป็นที่พอใจเท่าไรนะ”
ขวานเหล็กยิ้มมุมปากขึ้นมา เอดิธส์ยังคงปากคอเราะร้ายเหมือนเดิม “ถ้าสามารถเอาชนะสงครามได้ มันก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายอะไร”
อีกฝ่ายไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอะไร หากแต่เปลี่ยนประเด็นว่า “เออใช่ ครั้งนี้ข้าเอาอาวุธที่ฝ่าบาททรงประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่หลังจากที่ได้รับรายงานจากแนวหน้าเมื่อครั้งที่แล้วมาด้วย ท่านสนใจจะไปดูไหม?”
ขวานเหล็กตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “แน่นอน พาข้าไปเลย”
พวกเขาเดินมาถึงลานวางของที่มีทหารคุ้มกันแน่หนา ลังไม้ขนาดใหญ่ถูกขนลงมาจากเรือทีละลัง ก่อนจะถูกวางกองอย่างเป็นระเบียบเอาไว้ตรงมุมหนึ่งของลาน
ในนั้นมีอยู่หลายลังที่ถูกเปิดออก สิ่งที่อยู่ด้านในคืออาวุธที่ถูกกระดาษไขหุ้มเอาไว้อย่างดี
เขาสังเกตเห็นปืนใหญ่ขนาดเล็กกระบอกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“สายตายอดเยี่ยม” เอดิธส์พูดยิ้มๆ “ปืนใหญ่ 75 มม.กระบอกนี้ถือเป็นเพชรเม็ดเอกในบรรดาอาวุธเหล่านี้ ฝ่าบาทรงหวังว่าจะใช้มันมาอุดช่องว่างระหว่างปืนใหญ่ป้อมกับปืนครก มันไม่จำเป็นต้องใช้แม่มดในการขนส่ง การประกอบ 4 ขั้นตอนทำให้มันสามารถใช้ม้าหรือคนสองคนในการขนได้ ลูกกระสุนเองก็สามารถแบกไว้บนหลังคนได้”
“นี่ทำให้ข้านึกถึงปืนใหญ่สนามเมื่อก่อนนี้ขึ้นมาเลย” ขวานเหล็กพยักหน้า เขารู้ถึงวิธีใช้บอกอาวุธชนิดใหม่นี้ทันที เมื่อเทียบกับปืนครกและกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจที่มีระยะยิงค่อนข้างสั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าปืนใหญ่รุ่นใหม่นี้เหมาะกับการเอามาใช้รับมือปีศาจแมงมุมที่มีเกราะหนามากกว่า ถึงแม้จะไม่สามารถตั้งแนวยิงปืนใหญ่ได้ทัน แต่ทหารที่อยู่แนวหน้าก็ยังมีวิธีที่จะใช้รับมือกับปีศาจแมงมุมได้
“ส่วนปืนยาวรุ่นใหม่ที่วางอยู่ตรงนั้นคือปืนกึ่งอัตโนมัติชนิดหนึ่ง” เอดิธส์เดินไปพลางพูดแนะนำไปพลาง “ผลการทดสอบของมันถือว่าไม่เลวทีเดียว ถ้ายิงพร้อมกัน 2 – 3 กระบอกก็จะได้ผลพอๆ กับปืนกล คนที่เป็นเจ้าของความคิดนี้ท่านจะต้องรู้จักเป็นอย่างดีแน่นอน เขาก็คือแวนนา หัวหน้ากองพันปืนใหญ่ ถึงแม้สุดท้ายตอนที่ผลิตจริงมันจะได้รับการแก้ไขจากฝ่าบาท แต่มันก็ยังถูกตั้งชื่อว่าปืนยาวแวนนา”
“แต่นี่เป็นแค่ของที่เอาไว้ใช้แก้ขัดชั่วคราวเท่านั้น ข้าได้ยินว่าปืนอัตโนมัติที่แท้จริงกำลังอยู่ในขั้นตอนทดลองผลิต เอาไว้มันผลิตสำเร็จเมื่อไรก็น่าจะถูกขนมาที่นี่ทันที”
“ส่วนที่วางอยู่ริมสุดคือกระสุระเบิดต่อต้านปีศาจรุ่นใหม่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของมันมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม ทางกองอุตสาหกรรมเคมีน่าจะทำการปรับเปลี่ยนดินระเบิดในนั้นให้ดีขึ้น…”
คนที่เดินชมอาวุธค่อยๆ แยกย้ายไป ในตอนที่เดินมาถึงริมลานวางของก็เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
“เป็นไง การรบครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นใช่ไหม?” จู่ๆ เอดิธส์ก็ถามขึ้นมา
ขวานเหล็กงุนงง ตอนนี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าที่อีกฝ่ายพาตัวเองมาที่นี่ตามลำพังนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เจ้ามองออกเหรอ?”
“ถ้าไม่เป็นแบบนี้ ท่านก็คงไม่มารับข้าที่ท่าเรือทันทีที่ข้ามาถึงหรอก”
“ปิดเจ้าเอาไว้ไม่ได้จริง” ขวานเหล็กถอนใจออกมา ก่อนจะเล่าเรื่องข่าวร้ายกับเรื่องที่ตัวเองกังวลให้อีกฝ่ายฟัง “ก่อนที่เส้นทางการขนส่งจะถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย พวกเราต้องใช้เวลาหลายเดือนในการขนเอาคนและอาวุธมารวมกันที่นี่ แต่ปีศาจสามารถเปิดฉากโจมตีพวกเราได้ทุกที่ทุกเวลา ต่อให้คุณหนูซิลเวีย ไลต์นิ่งกับเมซี่มาที่นี่ก็ไม่สามารถตรวจตราดูแนวรบที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ได้ สงครามใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ข้ากลับรู้ข้อมูลของฝั่งศัตรูน้อยมาก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย”
“อย่างนี้นี่เอง” เอดิธส์ครุ่นคิดเล็กน้อย “เรื่องเส้นทางการขนส่ง…ข้าเองก็จนปัญญาเหมือนกัน แต่เรื่องข้อมูล บางทีมันอาจจะไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น”
“เจ้ามีแผนเหรอ?”
“ประมาณนั้น ท่านคิดแต่จะใช้กองทัพที่หนึ่งในการแก้ไขปัญหา มันถึงได้รู้สึกยากลำบากขนาดนี้” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือค่อยๆ พูด “การที่ปีศาจใช้ให้ขุนนางทำงานแทนพวกมันดูแล้วเหมือนจะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่มันเป็นการสร้างโอกาสให้พวกเราเหมือนกัน ขอเพียงปีศาจไม่ฆ่าคนจนเกลี้ยงทุกเมือง พวกเราก็มีโอกาสที่จะส่งดวงตาเข้าไปในกลุ่มศัตรูได้!”
ขวานเหล็กเหมือนจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง “ดวงตาพวกนี้ไม่ใช่กองทัพที่หนึ่ง…”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ทหารไม่เหมาะที่จะทำเรื่องแบบนี้ ชาวบ้านธรรมดาหรือไม่ก็พวกโจรใต้ดินเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า จะดีที่สุดถ้าพวกเขาเป็นคนในพื้นที่ แบบนั้นมันจะได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และวิธีที่จะเปลี่ยนคนพวกนี้ให้เป็นดวงตาให้พวกเราก็มีหลายวิธี” เอธิส์ธยิ้มขึ้นมา “เออใช่ ก่อนหน้านี้ท่านได้รับกระดาษสีดำมาแผ่นนึงไม่ใช่เหรอ? ลองติดต่อพวกเขาดูสิ”
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น