Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1278-1281

 ตอนที่ 1278 ภาพประวัติศาสตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ โรแลนด์ก็ได้รับข่าวดีสองข่าว


เรื่องแรกคือขวานเหล็กใช้ระเบิดนาปาล์มและกำลังทหารที่มีอยู่อย่างจำกัดเล่นงานปีศาจอย่างหนักไปทีหนึ่ง ทำให้ชะลอความเร็วในการบุกเข้ามาทางเหนือของศัตรูได้


ขวานเหล็กได้บรรยายภาพการระเบิดของอาวุธใหม่มาในจดหมายอย่างละเอียด เรียกได้ว่าผลของมันน่าตกใจกว่าตอนที่ทดลองเสียอีก ในความเป็นจริง การใช้ไฟหยุดปีศาจนั้นเคยปรากฏขึ้นมาตั้งแต่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งแล้ว ในตอนนั้นมนุษย์ได้เผาป่าที่อยู่ด้านหลังศัตรูไปหลายครั้งจนทำให้เกิดไฟป่าที่ไม่ยอมดับอยู่หลายวัน ทำให้แนวหน้าของสนามรบไม่มีหมอกแดงเพียงพอ สุดท้ายมนุษย์ก็ได้ชัยชนะเล็กๆ ในศึกครั้งนั้นไป


และก็ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่พวกปีศาจได้รับบทเรียน พวกมันจึงมักจะทำลายป่า ทุ่งหญ้า ไปจนถึงที่นา เพื่อไม่ให้พวกมันถูกตัดเส้นทางการขนส่งหมอกแดง ชณะเดียวกันต่อให้พวกมันอยู่ในพื้นที่ที่มีหมอกแดงปกคลุม พวกมันก็มักจะสร้างหอคอยหินขนาดเล็กอย่างหอสังเกตุการณ์ขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะขอเพียงในค่ายยังมีหมอกแดงเก็บเอาไว้อยู่ ต่อให้เส้นทางขนส่งหมอกแดงด้านหลังถูกตัดขาด พวกมันก็ยังอดทนรอจนกว่าไฟด้านหลังจะดับลงได้


เกรงว่าขวานเหล็กและทีมที่ปรึกษาคงจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวอย่างการรบที่กล่าวมาข้างต้น พวกเขาจึงได้วางแผนเผาเมืองนี้ขึ้นมา


ข้อดีของระเบิดนาปาล์มคือมันสามารถลุกไหม้ได้ด้วยตัวเอง ต่อให้ตรงนั้นเป็นที่โล่งๆ มันก็สามารถทำให้เกิดเปลวไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ แถมยังยากจะใช้น้ำดับได้ด้วย เพียงแต่ไม่มีใครที่จะคิดถึงว่าเปลวไฟมันจะทำให้เกิดการระเบิดปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองทั้งๆ ที่เพิ่งจะเผาไหม้ไปได้ไม่นาน


ถ้าให้แอคเซียฉายภาพระเบิดตอนนั้นขึ้นมาให้ดูใหม่ได้ก็คงดี โรแลนด์คิดอย่างเสียใจ ถ้าสามารถหาสาเหตุที่ทำให้มันระเบิดปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองได้ หลังจากนี้เขาก็จะสามารถใช้ระเบิดนาปาล์มมาสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับปีศาจได้


เสียดายที่เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้เมืองทัสก์น่าจะถูกหมอกแดงปกคลุมใหม่เรียบร้อยแล้ว การจะเข้าไปอีกนั้นไม่มีทางเป็นไปได้


นอกจากนี้การใช้ระเบิดนาปาล์มไปจนเกลี้ยง 500 ถังในทีเดียวนั้นก็ทำให้โรแลนด์รู้สึกปวดใจเหมือนกัน เรื่องน้ำมันนั้นยังดีหน่อย ขอเพียงเพิ่มจำนวนแรงงานเข้าไปก็จะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้ แต่สิ่งสำคัญคือเลือดสัตว์ที่จะทำให้ของเหลวจากแมลงยางจับตัวเป็นป้อน ส่วนประกอบตรงนี้ไม่มีทางหามาจากที่อื่นเลยนอกจากจะต้องให้กองการเกษตรค่อยๆ เก็บรวบรวมมาให้


แต่ประชากรที่ได้รับกลับมาจากชัยชนะในครั้งนี้นั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด โรแลนด์ไม่เพียงแต่จะกล่าวชมขวานเหล็กไปในจดหมาย แต่เขายังส่งระเบิดนาปาล์มไปให้ขวานเหล็กเพิ่มอีก 100 กว่าถังด้วย


ข่าวดีที่สองก็คือในที่สุดโรงงานประกอบ ‘เฮฟเว่นเฟลม’ ก็ได้ผลิตเครื่องบินปีกสองชั้นสำเร็จเป็นลำแรก


หลังได้รับแจ้งข่าวจากอันนา เขาก็รีบพาทิลลีไปที่โรงงานทันที


โรงงานแห่งใหม่นี้สร้างขึ้นมาพร้อมกับโรงเรียนอัศวินอากาศ เมื่อเทียบกับโรงงานเครื่องจักรไอน้ำที่สร้างขึ้นมาจากก้อนอิฐเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนแล้ว การออกแบบโรงงานแห่งนี้มีการคำนึงถึงความต้องการต่างๆ ที่ต้องใช้ในการผลิตระดับสูง โครงสร้างที่ทำขึ้นจากเหล็กก็ทำให้ด้านในโรงงานดูกว้างขวาง สามารถซ่อมแซมและประกอบเครื่องบินได้พร้อมกัน 10 กว่าลำ ไฟส่องสว่างถูกแขวนเอาไว้เต็มเพดาน บวกกับพื้นหินขัดมันที่่เป็นมันวาวนั้นยิ่งทำให้ที่นี่ดูโอ่อ่าหรูหรา


แม้แต่ตัวทิลลีเองก็ยังส่งเสียงอุทานออกมาตอนที่เดินเข้ามาในโรงงาน


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เกรงว่าคงไม่แปลกถ้าพวกเขาจะมองว่าที่นี่เป็นพระราชวังแห่งหนึ่ง


ส่วนในด้านคนงานกับอุปกรณ์ โรแลนด์ก็ลงทุนไปเยอะเหมือนกัน ไม่เพียงแต่จะรวบรวมผู้ดูแลและคนงานที่มีประสบการณ์มากที่สุดจากแต่ละโรงงานมา แต่ยังมีการใช้เครื่องจักรรุ่นสามที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดเพื่อรองรับการผลิตระดับสูง นี่ทำให้มันจึงกลายเป็นโรงงานที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดในเขตอุตสาหกรรม ถ้าไม่มีเครื่องลูน่าล่ะก็ เกรงว่าเขาคงจะต้องหยุดจ่ายไฟให้โรงงานอื่นๆ เพื่อที่จะให้มันดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่


เรียกได้ว่าผลสำเร็จและประสบการณ์ทุกอย่างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของเมืองเนเวอร์วินเทอร์สะท้อนออกมาให้เห็นในโรงงานแห่งนี้จนหมด


โรแลนด์ได้ยินจากปากบารอฟว่าชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์ต่างรู้สึกภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในโรงงานแห่งนี้


ตามแผนการที่วางเอาไว้ ในตอนที่โรงงานเปิดทำการอย่างเป็นทางการ ทุกตำแหน่งงานของโรงงานจะรับผิดชอบประกอบชิ้นส่วนหนึ่งอย่างโดยเฉพาะ ตั้งแต่ตำแหน่งงานแรกไปจนถึงตำแหน่งงานสุดท้ายจะเป็นการค่อยๆ ประกอบเครื่องบินจนเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มตั้งแต่การประกอบโครงเครื่องบินทีละชิ้นๆ เชื่อมปีก ติดตั้งอุปกรณ์ ปูผิว แล้วก็เอาออกไปทดสอบนอกโรงงาน


แต่ตอนนี้สภาพในโรงงานยังไม่เข้าใกล้ภาพที่คิดเอาไว้เลย นอกจาก ‘เฮฟเว่นเเฟลม’ ที่กำลังทาสีอยู่ตรงใกล้ๆ ประตูโรงงานแล้ว ตำแหน่งงานอื่นๆ ล้วนแต่ยังว่างเปล่าอยู่


“เป็นยังไงบ้าง การผลิตมีปัญหาอะไรไหม?” โรแลนด์เดินเข้าไปหาอันนา


“มีเยอะแยะเลยเพคะ” อันนาส่ายหัว “พระองค์ทรงไม่รู้อะไร กว่าจะสร้างลำนี้ออกมาได้ พวกคนงานทำอะไหล่และวัตถุดิบเสียไปเท่าไร”


เมื่อเห็นท่าทางจนปัญหาของอีกฝ่าย โรแลนด์จึงหลุดหัวเราะขึ้นมา


ในตอนแรกที่ตัดสินใจจะสร้างเครื่องบินรุ่นใหม่นี้ออกมา โรแลนด์ก็คิดถึงปัญหาของมันเอาไว้แล้ว ทั้งวัสดุในการผลิตและการประกอบติดตั้งใหม่ที่เป็นแบบใหม่ทั้งหมด การจะทำความเข้าใจมันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย แถมนี่เขายังพยายามหาวิธีในการลดความยากลำบากในการผลิตลงแล้วด้วย


อย่างเช่นในการเชื่อมต่อชิ้นส่วนของเครื่องบินก็มีการใช้เทคโนโลยีหมุดย้ำด้านเดียวแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อการนี้แล้วเขาถึงกับสร้างสายการผลิตขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะสายหนึ่ง เพื่อใช้ในการสร้างหมุดย้ำชนิดต่างๆ ที่ต้องใช้ในการสร้างเครื่องบินปีกสองชั้น เมื่อเทียบกับหมุดย้ำสองหน้าแบบดั้งเดิม หมุดย้ำแบบหน้าเดียวนั้นทำให้คนงานทำงานได้ง่ายขึ้นและสะดวกต่อการติดตั้งด้วย


นอกจากนี้เขายังเอาประสบการณ์จากการต่อโมเดลเมื่อก่อนนี้มาใช้ด้วยการตอกหมายเลขลงไปบนชิ้นส่วนทั้งหมด แล้วก็ใช้แปลนในการแสดงขั้นตอนการประกอบแต่ละขั้นตอนออกมา นอกจากนี้ยังมีการทำข้อต่อแบบง่ายๆ ในชิ้นส่วนที่มีการซับซ้อนเพื่อลดโอกาสที่จะประกอบผิดพลาด


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา เหล่าคนงานก็ยังทำเครื่องบินออกมาได้แค่ลำเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของมัน


“อย่างนั้นเจ้าได้ลองลงไปจัดการเองไหม?” จู่ๆ ทิลลีก็ถามขึ้นมา


“เปล่า…” อันนายักไหล่ มีแต่ตอนที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอถึงจะทำท่าปล่อยตัวตามสบายแบบนี้ออกมา “ฝ่าบาททรงให้ข้าคอยสั่งการเท่าไร ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ก็ต้องให้พวกเขาเป็นคนแก้ไขปัญหาเอง ถึงแม้จะมีอยู่หลายครั้งที่ข้าเกือบจะทนไม่ไหวก็ตาม”


ทิลลียิ้มขึ้นมา “แต่ความจริงแล้วเจ้าก็มีความสุขมากใช่ไหมล่ะ? เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็ยังสำเร็จออกมาหนึ่งลำ”


อันนายิ้มมุมปากขึ้นมา “รู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่มีทางปิดเจ้าได้”


“มีลำแรกแล้วก็ต้องมีลำที่สอง เอาไว้คนงานทั้งหมดมาทำงานแล้ว ข้าคิดว่าไม่นานคงจะผลิตเครื่องบินออกมาได้มากขึ้นแน่นอน” ทิลลีชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอกวาดตามองไปทางโรแลนด์ “ตอนนี้ท่านควรจะชมนางไม่ใช่เหรอ”


“ข้าไม่เคยคาดหวังให้เขามาชมข้าเลย” อันนามุ่ยปาก


“หา?” โรแลนด์ทำหน้างุนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย? คุยกันเรื่องเครื่องบินอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงวกมาหาเขาได้ล่ะ?”


ทันใดนั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา “ฝ่าบาท เฮฟเว่นเฟลมลำแรกพร้อมที่จะออกจากโรงงาน พิธีเฉลิมฉลองสามารถเริ่มได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์หันความสนใจกลับมาที่เครื่องบินสองปีกอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าบนตัวเครื่องบินสีเทาอ่อนมีสัญลักษณ์ที่วาดเพิ่มขึ้นมาสองตำแหน่ง หนึ่งคือตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เกรย์คาสเซิล อีกอันหนึ่งคือรูปอัศวินยกหอกขึ้นมาพร้อมกับกางปีกทั้งสองข้าง ดูแล้วยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก แต่เขารู้สึกเหมือนว่ามันยังขาดอะไรบางอย่างไปอยู่…


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ จากนั้นเขาจึงโบกมือสั่งการ “เอาริบบิ้นมาผูก!”


ไม่นานริบบิ้นสีแดงสดก็ถูกเอาขึ้นไปผูกไว้บนเครื่องบิน แถมตรงใบพัดตรงหัวเครื่องบินยังมีดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ติดเอาไว้ด้วย


เยี่ยมมาก เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เท่านี้เฮฟเว่นเฟลมก็พร้อมที่จะออกจากโรงงานแล้ว


จากนั้นก็เป็นการกล่าวสุนทรพจน์ ตัดริบบิ้นและถ่ายรูป โรแลนด์ อันนา ทิลลี…แต่คนงานผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบและผลิตเครื่องบินทั้งหมดต่างมายืนอยู่ด้วยกัน ด้านหลังคือเครื่องบินปีกสองชั้นหมายเลข 001 ลำใหม่ล่าสุด


“มองทางนี้….1 2 3!”


โซโรย่าเรียกพู่กันเวทมนตร์ออกมาบันทึกภาพประวัติศาสตร์นี้เอาไว้


……………………………………………………….


ตอนที่ 1279 สมรู้ร่วมคิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านดยุค ข้างหน้าคือเมืองฟรอสต์ขอรับ”


อัศวินคนหนึ่งกล่าวรายงาน


มาร์เวน ไพค์ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูความเคลื่อนไหวภายในเมือง เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ท รอบเป็นเนินเขา ไม่ว่าจะไปยืนอยู่บนเนินไหนก็สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวภายในเมืองได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเมืองแห่งนี้ง่ายต่อการถูกโจมตี ทำให้ในช่วงร้อยกว่าปีมานี้จึงไม่มีการสร้างปราสาทขึ้นในเมืองฟรอสต์แห่งนี้


ในอาณาจักรใหญ่ทั้งสองมีเมืองเล็กๆ แบบนี้อยู่มากมาย แล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลย ถ้าเป็นเวลาปกติมาร์เวนไม่มีทางที่จะสนใจเมืองแบบนี้แน่ แต่ตอนนี้เมืองเล็กๆ แห่งนี้กลับมีความหมายอย่างมาก


“คนที่ส่งไปสืบข่าวได้เรื่องอะไรกลับมาไหม?”


“สอบถามมาแล้วขอรับ จ่ายเงินไปแค่ไม่กี่เหรียญเงิน พวกชาวบ้านในเมืองก็บอกทุกอย่างออกมาเลยขอรับ” อัศวินพูดอย่างภูมิใจ “พวกทหารของเกรย์คาสเซิลมันมาที่นี่จริงๆ ด้วยขอรับ จำนวนมีไม่เยอะ ประมาณ 40 – 50 คน พวกเขาจะแวะมาที่นี่เป็นช่วงๆ ขอรับ”


“ทำไมพวกมันถึงไม่ตั้งค่ายที่นี่?”


“หลังข้ามชายแดนแล้วจะเป็นเนินเขา แถมยังได้ยินว่ามีหมาป่าปรากฏตัวออกมาด้วย ถ้าไม่มีคนคอยคุ้มกัน เกรงว่าพวกชาวบ้านที่อพยพคงข้ามไปไม่ได้แม้แต่คนเดียวขอรับ”


มาร์เวนใจชื้นขึ้นมาทันที


หมอกแดงนั้นไม่ได้อิงแนวชายแดนในการกระจายตัวออกไป หากแต่กระจายตัวออกไปเรื่อยๆ เป็นครึ่งวงกลม นี่ทำให้หมอกแดงที่อยู่ไกลที่สุดนั้นข้ามไปถึงฝั่งเมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ท ส่วนจุดที่ใกล้ที่สุดนั้นยังคงอยู่ในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ เมื่อเทียบกับการข้ามไปอาณาจักรเพื่อนบ้านแล้ว เห็นได้ชัดว่าการทำศึกภายในอาณาจักรตัวเองนั้นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่า


ซึ่งเมืองฟรอสต์ไม่เพียงแต่จะตั้งอยู่ในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ แต่ตำแหน่งที่ตั้งของมันยังรกร้างห่างไกลจนทำให้พวกผู้อพยพแทบจะไม่ใช้เส้นทางนี้ในการข้ามไปยังอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ที่การคมนาคมค่อนข้างสะดวกแล้ว เมืองฟรอสต์แทบจะเป็นเมืองที่ไม่มีใครมองอยู่ในสายตาเลย


และสิ่งที่มาร์เวนต้องการก็คือคนน้อยๆ


คนน้อยก็หมายความว่าทางเกรย์คาสเซิลจะไม่ค่อยสนใจที่นี่ ซึ่งข่าวที่สืบมาได้ก็ยิ่งย้ำชัดในจุดนี้


ก็เหมือนกับที่ปราชญ์แก่บอกเอาไว้ พวกกองทัพขนาดใหญ่ของเกรย์คาสเซิลนั้นปล่อยให้ปีศาจเป็นคนจัดการ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเล่นงานอีกฝ่ายในจุดที่อ่อนแอ ขอเพียงเรื่องนี้กระจายออกไป ไม่ว่าผลการโจมตีจะประสบความสำเร็จแค่ไหนมันก็จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความระแวงอย่างแน่นอน


แต่แน่นอนว่าแผนของปราชญ์แก่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หลังจากนี้เขายังมีแผนที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้เอาไว้ใช้เล่นงานคนของเกรย์คาสเซิลอยู่อีก ถ้าหากโจมตีสำเร็จซัก 2 – 3 ครั้ง เขาเชื่อว่าแผนการชิงคนของอีกฝ่ายจะต้องหยุดชะงักลงแน่นอน และบางทีท่านสกายลอร์ดก็อาจจะเห็นถึงความสำคัญของเขามากขึ้น


“กลับก่อนแล้วกัน ถึงเวลาที่ต้องคุยกับทุกคนแล้ว”


….


หลังใช้เวลาอยู่ครึ่งวันก็เดินทางมาถึงเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด มาร์เวนเดินอาดๆ เข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมือง เดิมที่นี่เป็นที่อยู่ของบารอนคนหนึ่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานเขากลับหลบหนีไปเพราะหวาดกลัวข่าวลือเรื่องปีศาจ นี่ทำให้เขาประหยัดแรงไปได้ไม่น้อย


ตอนนี้ที่แห่งนี้ยังไม่ใช่ของเขา เพราะอำนาจที่แท้จริงของเขาตอนนี้จำกัดอยู่แค่เมือง 4 เมืองทางเหนือ แต่มาร์เวนเชื่อว่าอำนาจของตระกูลไพค์จะต้องขยายตัวไปมากกว่านี้แน่นอน


ไม่นานเหล่าขุนนางที่เขาเรียกพบก็มารวมกันพร้อมหน้า


ดยุคมองไปรอบๆ และคอยจดจำสีหน้าและใบหน้าของแต่ละคนอย่างเงียบๆ ภายในห้องมีคนที่ตอบรับคำเชิญของเขา 45 คน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นอัศวิน แล้วก็มีบารอนอยู่อีก 3 – 4 คน ส่วนคนที่มีจำนวนสูงที่สุดก็คือวิสเคาท์นาร์นอสซึ่งเป็นอดีตผู้ปกครองท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ คนพวกนี้ถ้าไม่ถูกบีบให้ออกมาจากดินแดนของตัวเอง ก็ถูกคนของเกรย์คาสเซิลแย่งประชาชนในเมืองไปจนหมด ทันทีที่เขาสัญญาว่าจะให้ที่ดินและทรัพย์สินเงินทองเป็นรางวัล พวกเขาก็มาสวามิภักดิ์ต่อตนอย่างไม่ลังเล ถ้านับรวมอัศวิน ผู้ติดตามและคนใช้ที่แต่ละคนพามาด้วย คนที่สามารถใช้งานได้เหล่านี้ก็จะมีจำนวนมากกว่า 300 คน


เมื่อมีแผนการและความได้เปรียบเรื่องจำนวนคน นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเล่นงานพวกเกรย์คาสเซิลอย่างไม่ต้องสงสัย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือครั้งนี้พวกเขาไม่มีความต่างกันในเรื่องของอาวุธ ที่ผ่านมาขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์ถูกเล่นงานจนไม่สามารถตอบโต้ได้ นั่นเป็นเพราะว่าอาวุธของคนเกรย์คาสเซิลมีความรุนแรงอย่างมาก ทั้งความเร็วในการยิงและระยะในการยิ่งล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธหิมะที่พวกเขาสร้างเลียนแบบขึ้นมาจะเทียบได้ ถ้าไม่มีอาวุธที่สกายลอร์ดยึดมาให้เหล่านี้ อย่าว่าแต่ 300 คนเลย ต่อให้มีคนเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า ขุนนางพวกนี้ก็คงไม่ยอมมาช่วยเขาสู้กับคนของเกรย์คาสเซิลแน่


“ไม่ทราบว่าทุกคนเตรียมตัวกันยังไงบ้าง?” มาร์เวนกระแอมเล็กน้อย “ข้าคิดว่าคนของพวกเจ้าคงจะคุ้นเคยกับอาวุธพวกนั้นแล้วใช่ไหม?”


“ก็แค่เอากระสุนใส่เข้าไป จากนั้นเล็งเป้าหมายแล้วก็เหนี่ยวไกไม่ใช่เหรอ” วิสเคาท์นาร์นอสพูดด้วยสีหน้าหยิ่งยโส “ชาวนาบ้านนอกพวกนั้นยังใช้ได้เลย แล้วทำไมพวกข้าจะใช้ไม่ได้ ไอพวกที่ถูกจับมาต้องโดนลงโทษหนักๆ ก่อนถึงจะยอมพูดออกมา ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย!”


“ถูกต้อง ถึงมันจะสร้างขึ้นมาอย่างประณีต แล้วก็ยากที่พวกเราจะทำเลียนแบบได้ แต่เวลาใช้มันกลับใช้ง่ายกว่ามีดดาบมาก”อัศวินคนหนึ่งพูดสำทับขึ้นมา “ข้าเคยถามคนของเกรย์คาสเซิลแล้ว พวกเขาเพิ่งจะเข้ากองทัพมาได้ไม่ถึงสองปี ปกติแค่เดือนเดียวก็ฝึกยิงอาวุธเป็นแล้ว แต่ข้าต้องใช้เวลาฝึกดาบอยู่ 5 ปี”


“ที่ต้องเวลาตั้งเดือนเพราะคนพวกนั้นมันโง่ ถ้าเป็นข้าแค่ 3 วันก็เป็นแล้ว” คำพูดของอีกคนเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมา


“ข้าจะทำให้พวกมันรู้ว่าถ้าไม่มีอาวุธ พวกมันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย!”


“อาวุธพวกนั้นให้แม่มดทำขึ้นมาไม่ใช่เหรอ? ข้าว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลก็แค่ฉวยโอกาสหลังจากที่อีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทถูกศาสนจักรปล้นไปเท่านั้นแหละ”


เยี่ยมไปเลย! มาร์เวนครุ่นคิด ขุนนางพวกนี้รอที่จะแก้แค้นคนของเกรย์คาสเซิลมานานแล้ว ถึงแม้คนกลุ่มนี้เพิ่งจะรวบรวมมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บางคนยังไม่รู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน


“แต่ว่าลูกดอกที่ถูกเรียกว่ากระสุนพวกนั้นมันมีจำนวนจำกัด ถ้าแบ่งให้ทุกคนใช้ก็จะยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก” อัศวินที่ติดตามเขาออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้พูดพร้อมผายมือ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าทุกคนจะใช้มันอย่างประหยัด รอให้เราเข้าใกล้ศัตรูก่อนแล้วค่อยใช้มันออกมา”


มาร์เวนมองดูอีกฝ่ายอย่างชื่นชม คนๆ นี้ชื่อฟูลเลอร์ เป็นคนจากทางดินแดนตะวันตก ก่อนหน้านี้ที่พาเขาออกไปด้วยก็เป็นเพราะเห็นถึงความฉลาดเฉลียวของเขา จากคำพูดนี้ทำให้รู้ว่าฟูลเลอร์นั้นมองเห็นถึงหัวใจสำคัญของการเอาชนะในศึกครั้งนี้แล้ว ถ้ามีโอกาสชักชวนให้เขามาเป็นคนของตัวเองก็คงจะดี


“สบายใจได้” ดยุคพูดอย่างมั่นใจ “กระสุนของคนเกรย์คาสเซิลก็มีไม่เยอะเหมือนกัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวูล์ฟฮาร์ทเต็มไปด้วยเนินเขา ในจุดนี้ทำให้พวกมันขนส่งได้ยากลำบาก นอกจากนี้…พวกมันจะต้องยอมให้พวกเราเข้าใกล้แน่ เพราะพวกมันเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้คุ้มครองผู้อพยพออกไปจากพื้นที่เสี่ยง?”


ทุกคนยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา


ถูกต้อง ขอเพียงอีกฝ่ายมาเพื่อแย่งคนไป พวกเขาก็ต้องไม่มีทางปล่อย ‘แพะ’ พวกนี้ไปแน่ แต่พวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าบางครั้งจะมีฝูงหมาป่าแอบซ่อนอยู่ในฝูงแพะด้วย บนโลกนี้ ผู้ล่าสามารถกลายเป็นผู้ถูกล่าได้ในชั่วพริบตา กว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าโดนหลอก เกรงว่าพวกเขาก็คงจะเข้าไปอยู่ในกรงแล้ว


หลังจากนั้นขอเพียงตัวเองปลอมเป็นอีกฝ่ายกลับไปปล้นเมืองตามทาง พวกชาวบ้านก็คงไม่มีเชื่อคำโฆษณาของเกรย์คาสเซิล หากทำแบบนี้ซ้ำซัก 2 – 3 ครั้ง พวกเขาก็อย่าได้คิดที่จะชิงคนไปอีกแม้แต่คนเดียวเลย


“ข้าปล่อยข่าวออกไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานทางเกรย์คาสเซิลจะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่ ถึงตอนนี้็ก็ขอให้ทุกคนลงมือให้เต็มที่ ทุกอย่างที่ยึดมาได้จะเป็นของพวกเจ้าทั้งหมด!” มาร์เวนลุกขึ้นพูดสรุป “นี่เป็นทั้งโอกาสในการล้างแค้นของพวกเจ้า แล้วก็เป็นโอกาสที่จะได้ไขว่คว้าเอาที่ดินและทรัพย์สมบัติเอาไว้! ขอเพียงบรรลุเป้าหมาย ข้าไม่มีทางคืนคำแน่นอน! ทุกท่าน ตอนนี้ได้เวลาที่จะให้คนเกรย์คาสเซิลมันได้ชดใช้แล้ว!”


………………………………………………………….


ตอนที่ 1280 ปลอมตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตอนที่ฟิชบอลเดินข้ามเขามา ทัศนวิสัยเบื้องหน้าเขาพลันเปิดโล่ง


ดอกไม้สีเหลืองส้มบานสะพรั่งไปทั่ว ดูแล้วช่างตัดกับทางเดินระหว่างภูเขาโล่งๆ ก่อนหน้านี้อย่างมาก ในตอนที่ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ทะเลดอกไม้พลันโบกไสวไปตามแรงลม ภาพอันงดงามที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมามักจะทำให้นักเดินทางที่เหนื่อยล้ารู้สึกผ่อนคลาย


ส่วนตรงกลางทะเลดอกไม้ก็คือเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ เมืองฟรอสต์


นี่เป็นครั้งที่ 6 ที่เขาเข้ามาในหุบเขา


ถึงแม้ฟิชบอลจะเป็นหัวหน้าหน่วยปืนกลต่อต้านอากาศ แต่เขาก็เป็นทหารคนหนึ่งของกองทัพที่หนึ่งเหมือนกัน เมื่อเบื้องบนออกคำสั่งให้เร่งความเร็วในการอพยพ ทหารหลายๆ คนเหมือนอย่างเขาต่างก็เข้ามาช่วยในภารกิจอพยพนี้ด้วย


ตั้งแต่อพยพมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเจอปีศาจลอบโจมตีระหว่างทางเลย บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่ห่างจากหมอกแดงค่อนข้างไกล หรือไม่ก็ปีศาจมันไม่สนใจผู้อพยพจำนวนแค่นี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผู้อพยพทุกๆ หนึ่งคนที่พากลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


และตอนนี้เขาก็พาอพยพส่งออกไปเกือบพันคนแล้ว


ตามปกติพวกเขาต้องไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง จากนั้นก็ส่งคนไปคุยกับชาวบ้านที่ยังอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยแบ่งกลุ่มพาพวกเขาออกไป ในตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก กองทัพที่หนึ่งเคยเตือนพวกชาวบ้านเอาไว้ว่าทางข้างนอกมีอันตราย อย่าพยายามเดินทางไปทางใต้ด้วยตัวเอง ขอเพียงรออยู่ในเมือง 2 – 3 วัน ทางกองทัพของเกรย์คาสเซิลจะส่งคนมารับพวกเขาออกไป


แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อคำพูดแบบนี้ ความจริงฟิชบอลเองก็เคยเจอผู้อพยพที่อยู่ในสภาพย่ำแย่ระหว่างทางอยู่หลายครั้ง ถ้าไม่กินเสบียงที่มีจนหมดก็ถูกสัตวืป่าไล่ล่าจนหมดทางไป แต่นี่ถือเป็นจุดจบที่ค่อนข้างโชคดีแล้ว เพราะคนที่โชคร้ายกว่านั้นต้องนอนตายอยู่ในหุบเขาโดยไม่มีใครรู้


เพียงแต่ครั้งนี้ฟิชบอลสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง


เมื่อมองลงไปจากกลางเนิน ในเมืองฟรอสต์ที่ก่อนหน้านี้มีคนที่เพียงน้อยนิด ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม


“คนอพยพมาจากเมืองไหนเนี่ย?” แฮนซันที่เป็นหน่วยสอดแนมของทีมผิวปากขึ้นมา “แค่สิบกว่าวันก็มีผู้อพยพเยอะขึ้นขนาดนี้ หลังจากนี้พวกเราคงจะยุ่งอีกแล้วสิท่า”


ฟิชบอลเองก็รู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาเดินทางไปๆ กลับๆ อยู่ 1 – 2 เดือนเพิ่งจะอพยพคนไปได้แค่เกือบพันคน แต่ครั้งนี้แค่รอบเดียวก็ได้ผู้อพยพเกือบพันคน เผลอๆ อาจจะมากกว่าผู้อพยพที่ผ่านมารวมกันด้วยซ้ำ


ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้อพยพเหล่านี้ถึงมารวมตัวกันอยู่ในเมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้แทนที่จะเลือกเส้นทางอื่นที่ดีกว่า แต่ในเมื่อพวกเขามาแล้ว กองทัพที่หนึ่งก็มีหน้าที่พาพวกเขาไปยังที่ๆ ปลอดภัย


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าของทุกคนต่างก็ก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิม


การเดินลงเนินนั้นสบายกว่าการเดินขึ้นเนิน หลังเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เหล่าทหารก็มาถึงจุดตั้งค่ายของเมืองฟรอสต์ ผู้อพยพที่อยู่ในเมืองก็สังเกตเห็นพวกเขาเหมือนกัน มีผู้อพยพหลายคนที่โผล่ออกมาจากถนน ก่อนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงวิ่งมาทางพวกเขา


“พวกเขา…รีบร้อนเกินไปหรือเปล่า” มีคนพูดหยอกขึ้นมา


“เราบอกพวกเขาแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้รออยู่ในเมือง?”


“หรือว่าพวกเขากินเสบียงที่มีจนหมดแล้ว ก็เลยจะมาเอาจากพวกเรา?”


คำพูดนี้ได้รับการเห็นด้วยจากหลายๆ คน


“ถ้าแถวนี้มีเมืองที่พังทลายลงจริงๆ มันก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะพกเสบียงมาไม่พอกิน” ฟิชบอลทำการตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว “แต่ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราจะนับคนและจัดระเบียบไม่ได้ กันพวกเขาเอาไว้ก่อนดีกว่า มาช่วยข้าตั้งแนวกั้นซักสิบคน ที่เหลือรับผิดชอบเฝ้าระวังพื้นที่รอบๆ เอาไว้”


เขารู้ถึงความน่ากลัวของฝูงคนเวลาที่สูญเสียการควบคุมดี ถ้าไม่สามารถกันผู้อพยพเอาไว้ได้ การมาขอเสบียงจะกลายเป็นการปล้นเสบียงแทน และคนพวกนี้ก็จะไม่ต่างอะไรกับพวกโจรเลย


ในหลายๆ ครั้ง มันมีแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างผู้อพยพกับโจรผู้ร้าย


“รับทราบ!”


เหล่าทหารกระจายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบปืนที่สะพายอยู่ด้านหลังมาถือเอาไว้ในมือ


เมื่อระยะห่างของทั้งสองฝั่งใกล้ขึ้น ภาพของผู้อพยพก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ


ฟิชบอลหยิบเอาเครื่องขยายเสียงขึ้นมาปรับให้ดังที่สุดแล้วตะโกนออกไป “นี่คือทีมช่วยเหลือของเกรย์คาสเซิล ขอทุกคนอย่าได้แตกตื่น หยุดวิ่งแล้วยืนอยู่กับที่เพื่อรอฟังคำสั่งต่อไป พวกเรามีอาหารและยาที่พอเพียง แต่การจะแจกจ่ายก็ต้องขอความรวมมือจากทุกคนด้วย! ย้ำอีกครั้ง หยุดวิ่ง ไม่อย่างนั้นพวกเราจะใช้มาตรการบังคับ!”


กลุ่มผู้อพยพค่อยๆ ชะลอความเร็วลง แต่ไม่นานพวกเขาก็วิ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เหมือนว่าด้านหลังมีอะไรกำลังดันพวกเขาอยู่อย่างนั้น


ฟิชบอลขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะสั่งให้เพื่อนทหารเล็งปืนขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเตรียมยิงเตือน


ทันใดนั้นเอง แฮนซันพลันส่งเสียงแปลกใจขึ้นมาเบาๆ


“เอ๋?”


“ทำไมเหรอ?” ฟิชบอลถาม


“หัวหน้า พวกเขาเหมือนมีอะไรแปลกๆ…” แฮนซันพูดพร้อมกับส่องกล้องส่องทางไกล “หัวหน้าเคยเห็นผู้อพยพพกม้วนผ้ามาด้วยหรือเปล่า?”


“ม้วนผ้า?” ฟิชบอลรู้สึกประหลาดใจทันที เขารีบแย่งเอากล้องส่องทางไกลมาส่องไปทางกลุ่มผู้อพยพ ในเวลานี้ระยะห่างของทั้งสองฝั่งห่างกันอยู่ 300 เมตร กล้องส่องทางไกลสามารถมองเห็นเสื้อผ้าและสัมภาระของพวกเขาพกมาได้คร่าวๆ เมื่อดูจากการแต่งกายแล้ว พวกเขาคือผู้อพยพจริงๆ แต่มันก็เป็นเหมือนอย่างที่แฮนซันว่าไว้ บนตัวคนส่วนใหญ่จะมีม้วนผ้าสั้นๆ ยาวๆ บางคนก็สะพายเอาไว้ด้านหลัง บางคนก็คาดเอาไว้ที่เอว ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็แปลกๆ


ปกติผู้อพยพมักจะขนเอาสิ่งของมีค่าทุกอย่างที่พกมาด้วยได้ก่อนที่จะอพยพ นี่คือเรื่องปกติที่ผู้อพยพมักจะทำกัน กองทัพที่หนึ่งมักจะบอกให้พวกเขาโยนสัมภาระทิ้งได้ แต่พวกสิ่งของที่ไม่ได้กระทบหรือสร้างความลำบากให้กับการอพยพ อย่างเช่นเงิน พวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งก้าวก่าย ในช่วงสองเดือนมานี้ฟิชบอลเคยเห็น ‘ทรัพย์สิน’ แปลกๆ มาไม่น้อย แต่ม้วนผ้าแบบนี้เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก


แต่ยิ่งดูละเอียดมากขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ


ผู้อพยพกลุ่มนี้ดูเหมือนจะใส่เสื้อผ้าขาดๆ แต่เท้าของพวกเขากลับใส่รองเท้าอยุู่ ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าขาดๆ ที่ว่าก็ดูไม่เก่าเลย เหมือนว่ามันเพิ่งจะขาดเมื่อไม่นานมานี้


ทั้งสองฝ่ายห่างกัน 200 เมตร


“ปัง”


เพื่อนทหารยิงปืนขึ้นมาเพื่อเตือน


คลื่นมนุษย์แตกกระจายออกทันที ภาพที่ทำให้เลือดในตัวฟิชบอลแข็งตัวพลันปรากฏขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะตกใจเสียงปืน ผู้อพยพที่อยู่แถวหน้าต่างเลิกม้วนผ้าออกอย่างลนลาน ซึ่งสิ่งที่อยู่ใต้ม้วนผ้าก็คือปืนยาวแบบที่กองทัพที่หนึ่งใช้!


ความเคลื่อนไหวที่ว่านี้เหมือนกลายเป็นระลอกคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นมาในกลุ่มคน ผู้อพยพคนอื่นๆ ต่างพากันทำตาม ม้วนผ้าสั้นๆ ยาวๆ ล้วนแต่ถูกเอามาใช้ซ่อนอาวุธเอาไว้ ทั้งมีดดาบเคียวยาว อะไรที่ควรจะมีก็มีทั้งหมด


เขาเข้าใจในสถานการณ์ทันที นี่คือกับดัก!


“กลับไปที่ค่าย!” ฟิชบอลตะโกนบอกคนอื่นๆ “รีบวิ่งเร็ว!”


ทันใดนั้นเอง อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงปืนดังสนั่นขึ้นมา!


ฟิชบอลได้ยินเสียงกระสุนดังฟิ้วๆ บินผ่านหูของตัวเองไป ทุ่งหญ้าที่อยู่รอบๆ มีเศษดินปลิวว่อนขึ้นมา ทหารคนอื่นๆ อีก 9 คนต่างพากันก้มตัววิ่งไปทางค่าย


พวกเขาเคยตั้งค่ายตรงนั้นมาหลายครั้งแล้ว ถึงแม้จะไม่มีบังเกอร์กับหลุมเพลาะ แต่มันก็มีแนวป้องกันที่ทำจากกระสอบทรายและกระสอบหิน เดิมมันถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเอาไว้ป้องกันการโจมตีของปีศาจ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นที่ป้องกันเพียงหนึ่งเดียวบนเนินเขาแห่งนี้


ในตอนที่ฟิชบอลปีนข้ามกระสอบทรายไป บนทุ่งหญ้าก็ไม่มีเพื่อนทหารที่ยืนอยู่แล้ว เสียงปืนจากอีกฝั่งดังขึ้นไม่หยุดแล้ว แต่เสียงปืนจากภายในค่ายฟังดูประปรายอย่างมาก เมื่อเทียบกับทหาร 9 คนที่ไปตั้งแนวกั้น เพื่อนทหาร 40 กว่าคนที่ไปรับผิดชอบเรื่องการเฝ้าระวังกลายเป็นเป้าหมายที่ดูสะดุดตามากกว่า เมื่อคิดถึงว่าเพื่อนของเขาอาจจะถูกลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว หัวใจฟิชบอลพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที


เขาดึงแฮนซันมา “เร็ว รีบไปดูคนอื่นๆ หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง!”


กระทั่งอีกฝ่ายก้มตัวแล้ววิ่งออกไปแล้ว เขาจึงเอาปืนขึ้นมาตั้งแล้วเล็งไปยัง ‘ผู้อพยพ’ ที่กำลังวิ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง


ไม่…พวกเขาไม่ใช่ผู้อพยพ แต่อาจจะเป็นขุนนางที่สวามิภักดิ์ให้กับปีศาจ!


มีแต่ปีศาจเท่านั้นถึงจะมีอาวุธของกองทัพที่หนึ่งเยอะขนาดนี้!


บ้าเอ้ย ฟิชบอลคิดอย่างเจ็บใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์ด้วยกันจะใช้ผู้อพยพมาวางหลุมพรางแบบนี้ หรือพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังช่วยใครอยู่กันแน่?


“หัวหน้า” แฮนซันกลับมาเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ “ทุกคนสบายดี มีอยู่คนนึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นปัญหาต่อการรบ”


ฟิชบอลงุนงง “มีแค่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ? แต่เสียงปืนเมื่อครู่นี้มันดังสนั่นขนาดนั้นเลยนะ”


“ใช่” แฮนซันเองก็ดูโล่งใจ “เหมือนโชคจะยืนอยู่ข้างเรา ตอนนี้ทุกคนกระจายตัวไปประจำตำแหน่งป้องกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราต้องอดทนให้ถึงที่ึสุด!”


………………………………………………………………..


ตอนที่ 1281 ยื้อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถูกต้อง อดทน


ด้านหลังค่ายเป็นเนินเรียบๆ ไปเป็นไปได้ที่พวกเขาจะฝ่ากระสุนวิ่งขึ้นไปบนยอดเขา ส่วนทีมช่วยเหลือเองก็กระจายตัวไปประจำที่ ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถเขามาช่วยเหลือได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การอดทนอยู่ที่นี่คือวิธีเดียวที่จะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มากที่สุด


เพราะว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก บวกกับในกระเป๋าด้านหลังพวกเขาล้วนแต่เป็นเสบียงอาหารและเสื้อผ้า แม้แต่ปืนกลซักกระบอกก็ไม่ได้พกมา นี่ทำให้อาวุธของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาจึงยากที่จะใช้การยิงจากระยะไกลมาชดเชยความเสียเปรียบในด้านจำนวนเหมือนเมื่อก่อนได้


50 ต่อ 1,000 ฟิชบอลพอจะนึกถึงผลลัพธ์ของมันออก


เขายอมรับว่าในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ภายในใจลึกๆ ของเขายังคงรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้ตัวเองไม่ใช่ไอขี้ขลาดที่จะเอาแต่วิ่งหนีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ความหวาดกลัวไม่สามารถสงผลกระทบต่อหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยได้


ต่อให้ต้องตายอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำให้อีกฝ่ายชดใช้ให้ได้มากที่สุด!


เห็นได้ชัดว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่จงใจลดความเร็วในการยิงลงเพื่อปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในระยะ 200 เมตร


กระสุนที่ทุกคนพกมามีจำกัด มีแต่ต้องยิ งในระยะกลางถึงระยะใกล้ถึงจะทำให้มีอัตราความแม่นยำที่ดีที่สุด


แต่แน่นอน ความแม่นยำของศัตรูก็เพิ่มขึ้นมาจากระยะทางที่หดสั้นขึ้นเหมือนกัน นี่เป็นแผนดาบสองคม กำลังใจคือสิ่งที่จะตัดสินทุกอย่าง


เนินเขานั้นช่วยชะลอความเร็วในการวิ่งเข้ามาของอีกฝ่าย ฟิชบอลรออยู่เกือบหนึ่งนาทีกว่าจะเห็นศัตรูเข้ามาในระยะ 200 เมตร — ในระยะเท่านี้ เขาสามารถใช้กล้องส่องทางไกลสองดูหน้าตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน และมันก็ช่วยตอกย้ำการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ดูสะอาดสะอ้าน ดูแล้วไม่เหมือนผู้อพยพที่ต้องตากแดดตากฝนเลย สีหน้าและความเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดูเหมือนถูกบีบบังคับมา


เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะฆ่าผู้บริสุทธิ์อีกแล้ว


ฟิชบอลเหนี่ยวไกใส่ศัตรูที่ยืนอยู่หน้าสุด


เพื่อนทหารที่อยู่ข้างๆ เองก็เหนี่ยวไกขึ้นมาในเวลานี้เหมือนกัน


ทันใดนั้น เสียงปืนภายในค่ายก็ดังสนั่นขึ้นมาจนกลบเสียงปืนของอีกฝ่าย แค่พริบตาพวกศัตรูที่อยู่ด้านหน้าก็ล้มลงไปนอนกับพื้นกันเป็นแถบ การโจมตีของอีกฝ่ายหยุดชะงักลง ศัตรูที่อยู่รอบๆ พากันหมอบลงไปกับพื้นแล้วยิงตอบโต้กองทัพที่หนึ่ง ไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการรบที่พวกเขาเรียนรู้มาจากศึกก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง หรือว่าปีศาจเป็นคนสอนพวกเขาให้ทำเช่นนี้ สถานการณ์กลายเป็นการยิงตอบโต้กัน


ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยิงตอบโต้กันไปมาอยู่นั้น ศัตรูที่อยู่ด้านหลังพลันเข็นรถเข็นที่มีผ้าคลุม 2 – 3 คันขึ้นมาใกล้กับตำแหน่งแนวรบด้านหน้า


รถเข็นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับฟิชบอล เมื่อเทียบกับรถที่ใช้ม้าหรือลาลากแล้ว รถเข็นที่ใช้แรงคนในการเข็นแบบนี้เหมาะที่จะให้คนธรรมดาใช้มากกว่า โดยเฉพาะเวลาที่มีการย้ายที่อยู่หรือต้องขนของเป็นจำนวนมาก เดิมเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกศัตรูเอามาเพื่อปกปิดสถานะของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เริ่มปะทะกัน อีกฝ่ายก็ยังไม่ทิ้งรถเข็นคันใหญ่พวกนั้นไปอีก


จนกระทั่งผ้าคลุมถูกเลิกขึ้นมา ฟิชบอลถึงได้พบว่าสิ่งที่รถเข็นขนมาก็คือปืนกลแม็กซิม!


“ปังๆๆๆๆ”


ห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องหยุดยิงลง ยิ่งไปกว่านั้นกระสุนที่พวกศัตรูใช้ยังเป็นกระสุนส่องวิถี ความแม่นยำของมันมีมากกว่าปืนยาวลูกเลื่อนมาก ด้านหน้าค่ายเหมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันที ดินบนทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้กระเด็นปลิวว่อนขึ้นมา ถ้าไม่เป็นเพราะมีกระสอบทรายกับกระสอบหินกันเอาไว้อยู่ เกรงว่าการยิงครั้งนี้คงทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการโจมตีกลับไปอย่างแน่นอน


ที่โชคดีก็คือรถเข็นปืนกลตั้งอยู่ไม่ห่างเท่าไรนัก ตอนนี้ระยะห่างจากแนวป้องกันถึงปืนกลอยู่ที่ประมาณ 200 เมตร กองทัพที่หนึ่งเองก็กระจายตัวได้พอสมควร นี่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสพักหายใจ


“แฮนซัน!” ฟิชบอลตะโกน


อีกฝ่ายทำสัญญาณมือเพื่อบอกว่าเข้าใจ ก่อนจะถือปืนวิ่งไปยังริมแนวกระสอบทราย


น้อยครั้งนักที่กองทัพที่หนึ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ จากข้อปฏิบัติที่ระบุเอาไว้ในคู่มือการรบ ทันทีที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สิ่งที่ควรทำคือขอให้ทหารปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหลังยิงสนับสนุน หรือไม่ก็เน้นโจมที่ไปที่จุดโจมตีของศัตรู เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้วิธีเดียวที่พวกเขาจะทำได้ก็คือให้มือสไนเปอร์ที่มีความแม่นยำไปหยุดการโจมตีของศัตรูเอาไว้


ฟิชบอลกับเพื่อนทหารฉวยโอกาสตอนนี้ปืนกลเปลี่ยนกระสุน โผล่หัวออกมากระหน่ำยิงเพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรูมาไว้ที่ตัวเอง ส่วนแฮนซันก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แค่สองนัดก็ส่งมือยิงบนรถเข็นให้นอนลงไปกับพื้นได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่คิดจะปีนขึ้นมาบนรถเข็นก็ถูกเด็ดหัวไปทีละคน


เมื่อไม่มีปืนกลคอยสร้างความกดดัน ศัตรูที่คิดจะฉวยโอกาสบุกเข้ามาเพิ่งจะก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระหน่ำยิงใส่จนต้องล่าถอยไป สถานการณ์กลับมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง ……


“บ้าเอ้ย” วิสเคาท์นาร์นอส คนของเจ้าขี้ขนาดไปหรือเปล่า ศัตรูจำนวนแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้! ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อถึงตอนกลางคืน พวกเกรย์คาสเซิลมันก็หนีไปหมดแล้ว!”


ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องลงไปในสนามรบเหมือนพวกทหารรับจ้าง ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดเรื่องกฎการทำสงครามของขุนนาง จงใจยั้งมือ หรือว่าใช้เงินมาไถ่ตัวหากถูกจับเป็นเชลย…คนของเกรย์คาสเซิลไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน พวกเขาเคยเห็นท่าทีที่คนของเกรย์คาสเซิลปฏิบัติต่อขุนนางแล้ว การนำทัพบุกเข้าไปเหมือนอย่างเมื่อก่อนไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับเกียรติหรือความเคารพใดๆ ซ้ำร้ายอาจจะถูกกองทัพที่หนึ่งยิงจนพรุนด้วยซ้ำ


“พวกเขาพยายามเต็มที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย” นาร์นอสพูดอย่างไม่พอใจ “เห็นๆ อยู่ว่ามีคนเยอะที่สุด แต่กลับวิ่งอยู่ด้านหลังสุด ถ้าคนของเจ้าขยับขึ้นไปข้างหน้าอีกซัก 100 ก้าว พวกเราก็คงจะจัดการค่ายของพวกเกรย์คาสเซิลได้แล้ว”


“เจ้า…” มาร์เวนพูดอะไรไม่ออก เขาได้มองไปดูสนามรบพร้อมเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ


เอาไว้ข้ากลายเป็นราชาแห่งอีเทอร์นอลวินเทอร์เมื่อ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!


แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเอาชนะให้ได้ ถ้าไม่ชนะ สกายลอร์ดก็ไม่มีทางให้ความสำคัญกับเขาแน่


เพียงแต่เขาไม่เขาใจ ทำไมสถานการณ์ถึงได้ดูยากลำบากขนาดนี้?


ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่คิดเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ทำให้คนเกรย์คาสเซิลผิดสังเกต พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะไปซ่อนตัวอยู่ในเมือง แล้วก็ไม่ได้แบ่งกำลังเอาไว้ตามทางล่วงหน้าเพื่อโจมตีกระหนาบอีกฝ่าย เมื่ออยู่ในหุบเขานี้ แค่มองแวบเดียวก็สามารถรู้ถึงจำนวนและตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายได้ ทุกๆ รายละเอียดที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวเขาล้วนแต่คิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนพวกชาวบ้านที่อาจจะเผลอปากโป้งออกไป เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว


ซึ่งที่สิ่งเกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างที่วางแผนเอาไว้ ในตอนที่คนเกรย์คาสเซิลสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยก้าว ในสถานการณ์ที่อาวุธและจำนวนคนล้วนแต่มากกว่าอีกฝ่าย ตามหลักแล้วศึกนี้มันควรจะจบลงอย่างรวดเร็วถึงจะถูก แต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังเข้าไปในค่ายไม่ได้อีก?


ต่อให้อีกฝ่ายมีปืนคนละกระบอก อย่างมากมันก็แค่ 50 กว่ากระบอก แต่ในกองทัพพันธมิตรของพวกขุนนางมีปืนอยู่ 200 กว่ากระบอก!


มาร์เวนจินตนาการภาพเอาไว้ในหัวว่าเมื่อคนของเกรย์คาสเซิลเจอกับการกระหน่ำยิงของปืน 200 กระบอก พวกเขาก็ควรจะตกใจกลัวจนหนีไปถึงจะถูก


แต่ภาพที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันกลับแตกต่างจากที่คิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง


กองทัพพันธมิตรของขุนนางถูกยิงสกัดเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาพยายามจะบุกเข้าไป แต่ก็ถูกอีกฝ่ายกระหน่ำยิงเข้าใส่จนต้องถอยออกมา ส่วนการยิงตอบโต้ของพวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของคนเกรย์คาสเซิลได้ เหมือนกับว่าศัตรูมี 3 หัว 6 แขน สามารถยิงปืนหลายๆ กระบอกพร้อมกันได้อย่างไรอย่างนั้น


ปืนที่ยิงต่อเนื่องที่เขาฝากความหวังเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลย มันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำลายขวัญและกำลังใจของคนเกรย์คาสเซิลได้ แต่หลายๆ ครั้งมันกลับยิงถูกพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำ เมื่อมองขึ้นไปจากตีนเขา เขามองเห็นบริเวณรอบๆ กับด้านหน้าปืนที่ยิงต่อเนื่องมีศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่ แล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะขึ้นไปแตะปืนนั้นอีก


ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฝันอันสวยงามที่ตัวเองหวังเอาไว้ไม่กลายเป็นหมันหรอกเหรอ?


เพราะอีเทอร์นอลวินเทอร์ไม่สามารถผลิตกระสุนได้ ถ้าไม่สามารถยึดกระสุนจากอีกฝ่ายมาได้มากพอ แล้วศึกครั้งหน้าพวกเขาจะเล่นงานคนเกรย์คาสเซิลได้อย่างไร?


“ไม่ต้องร้อนใจไปท่านดยุค” ฟูลเลอร์พูดปลอบขึ้นมา “จากที่้ข้าสังเกตดูแล้ว เสียงปืนของศัตรูเหมือนจะน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มาก แสดงว่ากระสุนของพวกเขาก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ขอเพียงอดทดไปอีกหน่อย พวกเราก็จะสามารถใช้วิธีที่พวกเราถนัดที่สุดในการคว้าชัยชนะมา เพราะว่าพวกมันมีแค่อาวุธปืน แต่พวกเรามีทุกอย่าง”


แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถยึดกระสุนเพิ่มจากอีกฝ่ายได้น่ะสิ มาร์เวนคิดอย่างเจ็บใจ ช่างมัน กระสุนค่อยขอจากสกายลอร์ดทีหลังก็ได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกำจัดคนเกรย์คาสเซิลกลุ่มนี้ซะ! เขาตะโกนเรียกองครักษ์คนหนึ่งมา “ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ข้าจะเพิ่มรางวัลที่สัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้อีกเท่าหนึ่ง ส่วนคนที่บุกเข้าไปในค่ายได้เป็นคนแรก ข้าจะตบรางวัลให้ 100 เหรียญทอง!”


…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)