Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1274-1277

 ตอนที่ 1274 มักใหญ่ใฝ่สูง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่หมอกแดงข้ามยอดเขาแล้วไหลทะลักลงมา ทุกสรรพสิ่งก็เหมือนมีเยื่อบางๆ มาปกคลุมเอาไว้อยู่ เดิมมาร์เวน ไพค์นึกว่าตัวเองจะรู้สึกทรมานเหมือนอยู่ในเหมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แต่ความจริงแล้วร่างกายเขากลับไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนเลย


ถ้าสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เขาจะรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื้นและความเย็นสบาย จากที่ผู้บังคับบัญชาของปีศาจบอกเขามา หมอกแดงพวกนี้มีส่วนประกอบสำคัญของชีวิตอยู่ มันไม่เพียงแต่จะไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย มีเพียงแค่แม่มดเท่านั้นที่จะได้รับอันตรายจากมันจนถึงแก่ชีวิต


เอิร์ลมาร์เวนเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดนี้มีความน่าเชื่อถืออยู่เท่าไร แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว นอกจากเรื่องที่ทัศนวิสัยของเขาได้รับผลกระทบนิดหน่อย เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะส่งผลเสียอย่างอื่นต่อเขาเลย ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในหมอกแดงไปเสียแล้ว


“ท่านดยุค ท่านสกายลอร์ดส่งคนมาขอรับ” ในเวลานั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือ “ตอนนี้มันกำลังรอท่านอยู่ในสวนขอรับ”


มาร์เวนพยักหน้าอย่างเงียบๆ “ให้มันรออยู่ที่นั่นก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”


“ขอรับ”


หลังองครักษ์ปิดประตูลง มาร์เวนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้


ถูกต้อง ดยุค ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็ล้วนแต่ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ตอนที่ปีศาจบุกเข้ามาในปราสาทรีเฟลคสโนว์ เขานึกว่านั่นจะเป็นวันสิ้นโลกอย่างที่ร่ำลือกันเสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะไว้ชีวิตตน


เมื่อตัดอคติที่มีอยู่ออกไป มาร์เวนพบว่าปีศาจที่เรียกตัวเองว่าสกายลอร์ดตัวนั้นไม่ได้สื่อสารยากเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ตัวมาร์เวนเองรู้สึกด้วยซ้ำว่ามันยังพูดคุยได้ง่ายกว่าคนเกรย์คาสเซิลเสียอีก อย่างน้อยปีศาจก็ไม่ยึดเอาที่ดินของเขาไป


ปีศาจไม่มีการเก็บภาษี ไม่แย่งที่ดิน ไม่ยึดอำนาจ ขอเพียงเขาจงรักภักดีต่อมัน เขาก็สามารถรักษาทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ แถมยังมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นด้วย นอกจากเรื่องที่พวกมันโหดร้ายป่าเถื่อนไปหน่อยแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี โดยเฉพาะหลังจากที่สกายลอร์ดมอบหมายเมืองอีกสามเมืองให้เขาดูแล เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน


ปราสาทรีเฟลคสโนว์เป็นเหมือนเกาะที่โดดเดี่ยว ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากต่อการโจมตี คนอื่นยากที่จะทำอะไรดินแดนของเขาได้ ส่วนเขาเองก็ยากที่จะบุกออกไปเหมือนกัน เดิมเขาคิดว่าตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งเอิร์ลไปตลอดชีวิต แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่วันสิ้นโลกมาถึง เขากลับจะก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม


ตอนนี้เขาได้กลายเป็นดยุคที่ดูแลพื้นที่ทางเหนือทั้งหมดของอาณาจักรแล้ว


มาร์เวนเอามือขึ้นมาปิดปากที่กำลังยิ้มของตัวเอง ก่อนจะพยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ เขาปิดหน้าต่างแล้วหมุนตัวเดินลงไปข้างล่าง


ถูกต้อง ตอนที่ปีศาจบุกเข้ามาในเมือง มันฆ่าทหารไปหลายสิบคนกับชาวเมืองอีกหลายร้อยคน แต่มีสงครามไหนที่ไม่มีคนตายบ้างล่ะ? พวกขุนนางเองก็ใช้สงครามในการแบ่งเขตแดนของกันและกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เขาปกครองเมืองอยู่ทั้งหมดสี่เมือง ทหารไม่เพียงแต่จะไม่ลดลง แต่กลับจะเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่านึงด้วยซ้ำ ยิ่งชาวเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงมีที่ดินมีเมล็ดพันธุ์ให้พวกเขาได้ใช้เพาะปลูก อีกแค่ไม่กี่ปีทุกอย่างก็จะชดเชยกลับคืนมาได้


ส่วนเรื่องพวกที่แอบนินทาเขาลับหลังว่าที่เขาเลือกสวามิภักดิ์ต่อปีศาจเป็นเพราะว่าหวาดกลัว พวกนั้นก็สมควรที่จะถูกจับไปแขวนคอ


เมื่อเข้ามาในสวน มาร์เวนก็เห็นปีศาจส่งสารที่สกายลอร์ดส่งมากับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ที่หมอบอยู่ข้างๆ มัน บอกตามตรง เขาไม่สามารถแยกแยะเจ้าพวกนี้จากหน้าตาของพวกมันได้เลย พวกมันทั้งน่าเกลียดและป่าเถื่อน ไม่มีมารยาทและการศึกษาแม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างจากสกายลอร์ด ถ้าไม่เป็นเพราะเห็นแก่ตัวผู้บังคับบัญชาของปีศาจ เขาเองก็ไม่อยากจะคุยกับสัตว์ป่าพวกนี้แม้แต่นิดเดียว


“ไม่ทราบว่าท่านสกายลอร์ดมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?”


อีกฝ่ายล้วงเอาหินก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เขา จากนั้นมันจึงอ้าปากแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าฟัง!”


พูดคุยด้วยพลังเวทมนตร์อีกแล้วเหรอ….


กลิ่นคาวที่พุ่งออกมาจากปากของปีศาจทำเอามาร์เวนถึงกับต้องผงะไปด้านหลัง เขาพยายามสะกดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ “ข้าฟังอยู่”


ก้อนหินส่องแสงวาบๆ ขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นจึงมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา


“ได้เป็นผู้ปกครองของดินแดนแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? หวังว่าเจ้าคงจะยังไม่ลืมคำสัญญาของตัวเองหรอกนะ ท่านดยุค”


“ไม่ลืมแน่นอน ท่านสกายลอร์ด” มาร์เวนรีบพูด “ข้าเตรียมตัวที่จะรับใช้ท่านมาโดยตลอดขอรับ”


“ดีมาก ข้าเชื่อว่าเวลาหนึ่งเดือนนี้น่าจะทำให้คนของเจ้าเคยชินกับการมีอยู่ของพวกข้าแล้ว ตอนนี้ได้เวลาแล้ว ข้าอยากจะให้เจ้าจัดกองกำลังไปช่วยพวกข้าสร้างค่ายหน่อย ไม่ใช่ที่อีเทอร์นอลวินเทอร์ หากแต่เป็นที่วูล์ฟฮาร์ท ข้าต้องการคนอย่างน้อยประมาณ 2,000 แต่แน่นอน…ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี”


เอาไปทำงานเป็นกรรมกรเหรอ? มาร์เวนครุ่นคิดเล็กน้อย ถ้ารวบรวมคนมาจากสี่เมืองมันก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ “เรื่องนี้ข้าจัดการเองขอรับ”


“ข้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงของสกายลอร์ดฟังดูพึงพอใจ “นอกจากนี้ พวกอาวุธที่ข้าเอาให้เจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าศึกษาแล้วเป็นยังไงบ้าง? คนของเจ้าสามารถสร้างเลียนแบบมันขึ้นมาได้ไหม?”


“เอ่อ….” มาร์เวนทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ถ้าให้ใช้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ แต่ถ้าอยากจะสร้างเลียนแบบมันขึ้นมา ข้าเกรงว่าต้องใช้เวลา….ตอนนี้ข้ารวบรวมช่างฝีมือดีที่สุดของดินแดนทางเหนือมาแล้ว แล้วก็ให้พวกเขารับผิดชอบดูเรื่องชิ้นส่วนไปคนละชิ้น แต่กลับไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเท่าไร ข้าคิดว่านี่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับแม่มด เพราะจากที่พวกช่างบอกกับข้า ชิ้นส่วนพวกนั้นเหมือนไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสร้างขึ้นมาได้ขอรับ”


“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” ที่โชคดีก็คือ น้ำเสียงของสกายลอร์ดไม่ได้แสดงการกล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็น่าจะใช้มันในการโจมตีกลับพวกคนเกรย์คาสเซิลได้ นี่คือคำสั่งที่สองที่ข้าจะมอบหมายให้เจ้า เจ้าจงส่งคนไปหยุดการแย่งชิงคนของพวกเกรย์คาสเซิลที่วูล์ฟฮาร์ทซะ ข้าจะเอาอาวุธอื่นๆ ที่ยึดมาได้เอามาให้เจ้าอีก”


“แต่ในมือข้าไม่มีอัศวินมากพอ…”


“ก็ไปเกณฑ์มาเพิ่ม!” สกายลอร์ดพูดตัดบท “พวกมนุษย์อย่างเจ้าชอบใช้วิธีนี้ในการเพิ่มจำนวนลูกน้องในมือไม่ใช่เหรอ? แบ่งที่ดินของตัวเองให้ เพื่อดึงเอาคนที่มีความสามารถมาทำงานให้กับตน อย่ามัวแต่เสียดาย ถ้าเรื่องนี้ทำสำเร็จ เผลอๆ เจ้าอาจจะกลายเป็นราชาของอีเทอร์นอลวินเทอร์ด้วยซ้ำ”


มาร์เวนสะดุ้งขึ้นมาทันที…ราชาของอีเทอร์นอลวินเทอร์ นี่เป็นคำเรียกที่เขาเคยแต่คิดอยู่ในความฝัน แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว? เขาพยายามสะกดหัวใจที่เต้นเร็วและทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูเป็นปกติ “รับทราบ ท่านสกายลอร์ด ข้าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ขอรับ”


“เร่งมือหน่อย ข้าอยากจะเห็นผลงานของเจ้าโดยเร็วที่สุด”


“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังขอรับ”


แสงบนก้อนหินหายไป


“ข้า อีกหนึ่งสัปดาห์ จะมาใหม่”


ปีศาจส่งสารพูดจบก็ปีนขึ้นสัตว์ประหลาดไป ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา ก่อนจะกระพือปีกบินออกไปนอกเมือง จากนั้นจึงหายลับไปอย่างรวดเร็ว


ฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาปะทะเข้าที่หน้าของมาร์เวน


บ้าเอ้ย! เขาแอบคิดในใจพร้อมกับไอออกมา ถ้าการพูดการจาของปีศาจพวกนี้เป็นเหมือนอย่างสกายลอร์ด เกรงว่าพวกมันคงไม่ถูกเรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดจากนรกหรอก


เมื่อกลับมาถึงปราสาท เขาก็เรียกปราชญ์แก่เข้ามาทันที ถึงแม้ครั้งที่แล้วอีกฝ่ายจะฉี่ราดกางเกงออกมาตอนที่อยู่บนกำแพง แต่ตอนนี้้เขาก็ไม่มีคนช่วยออกความคิดที่น่าเชื่อถือคนอื่นอีก


หลังบอกเล่าเรื่องความต้องการของสกายลอร์ดให้อีกฝ่ายฟังแล้ว มาร์เวนก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่ายังไง?”


“นายท่าน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากเลยนะขอรับ!” ปราชญ์แก่รีบกุมมือของเขาเอาไว้ “นับตั้งแต่ยุคสมัยของพ่อท่าน ข้าก็รับใช้ตระกูลไพค์มาโดยตลอด ความฝันของพ่อท่านคือการขยายอำนาจของปราสาทรีเฟลคสโนว์ออกไป ตอนนี้ท่านไม่เพียงแต่จะทำสำเร็จไปแล้วก้าวหนึ่ง แต่ท่านยังมีโอกาสที่จะได้ปกครองอีเทอร์นอลวินเทอร์ด้วย ไม่ว่ายังไงก็ห้ามปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปนะนายท่าน!”


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่…เจ้าคิดว่าอัศวินที่พวกเราหามาจะเอาชนะคนเกรย์คาสเซิลได้จริงๆ เหรอ?” มาร์เวนพูดความสงสัยที่อยู่ในใจออกมา “ความสุดยอดของหน้าไม้ผงหิมะพวกนั้นเจ้าก็ได้เห็นแล้ว ไม่มีทางที่พวกเราจะสร้างเลียนแบบได้เลย ส่วนอาวุธที่ปีศาจยึดมาได้ก็มีจำกัด ถ้าใช้จนหมดแล้วจะทำยังไง?”


“ไม่ นายท่าน พวกเราไม่จำเป็นต้องไปปะทะกับกองทัพเกรย์คาสเซิลแบบซึ่งๆ หน้า” ปราชญ์แก่ส่ายหัว “ท่านสกายลอร์ดเองก็ไม่ได้คิดแบบนี้เหมือนกัน ท่านสกายลอร์ดบอกว่า ‘หยุดการแย่งชิงคน’ จากที่ข้ารู้มา กองทัพของเกรย์คาสเซิลแตกกระสานซ่านเซ็นอย่างมาก ขอเพียงมีอาวุธพร้อม พวกเรากลับจะสามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบได้! ถ้าสามารถจัดการพวกกองกำลังที่ไปเกณฑ์ชาวบ้านได้ พวกมันจะต้องมือไม้ปั่นป่วนแน่ ความจริงแล้วในตอนที่ฟังท่านเล่ามาเมื่อครู่นี้ ข้าก็คิดแผนการดีๆ ขึ้นมาได้แผนหนึ่ง”


“โอ้? ไหนว่ามาซิ”


ปราชญ์แก่โน้มตัวเข้าไป ก่อนจะกระซิบข้างๆ หูดยุค


มาร์เวนยิ้มดีใจขึ้นมาทันที


“น่าจะได้ผลนะ!” เขาพยักหน้า “แบบนี้ความเสียเปรียบของพวกเราก็จะกลายเป็นความได้เปรียบ ทำตามที่เจ้าว่านี่แหละ!”


…………………………………………………………….


ตอนที่ 1275 อุตสาหกรรมยาเนเวอร์วินเทอร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล


หลังจากนั้นสองวัน เวนดี้นำเอาบันทึกผลการทดสอบความสามารถของแม่มดใหม่ทั้งสองคนมาที่ห้องทำงานของโรแลนด์


“ฝ่าบาท ความสามารถของพวกนาง…ซับซ้อนอย่างมากเลยเพคะ” เธอยื่นรายงานให้โรแลนด์ “หม่อมฉันเพิ่งจะเคยเห็นความสามารถที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายขนาดนี้เป็นครั้งแรก แถมนี่ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะเพคะ ถ้าอยากจะทดสอบให้ชัดเจนมากกว่านี้ เกรงว่าพระองค์คงต้องรออีก 2 – 3 วันเพคะ”


“โอ้?” โรแลนด์วางงานในมือลง ก่อนจะรับพลิกดูรายงานที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทางทาคิลาน่าจะรู้สึกสนใจอย่างมากใช่ไหม?”


เวนดี้พยักหน้าทันที “พวกนางรีบส่งฟิลลิสให้มาทำการทดสอบว่าทั้งสองคนใช่ผู้ถูกเลือกหรือเปล่า แต่เสียดายที่ลำแสงของทั้งสองคนยังเล็กเกินไป ยังห่างไกลจาก ‘กุญแจ’ ที่จะเปิดใช้ทัณฑ์สวรรค์มากนักเพคะ”


เมื่อได้ยินข่าวนี้ โรแลนด์กลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขาเพิ่งจะวางระบบโทรศัพท์ทั้งเมืองเสร็จเรียบร้อย แกนเวทมนตร์ทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องลูน่ากันหมดแล้ว ถ้าตอนนี้จู่ๆ เกิดมีผู้ถูกเลือกปรากฏขึ้นมา เกรงว่าเขาคงต้องโดนเซลีนบ่นแน่ เพราะว่าการจะเปลี่ยนแกนเวทมนตร์กลับไปเป็นรูปแบบทัณฑ์สวรรค์นั้นต้องใช้เวลา 10 ปี การที่ต้องมานั่งเฝ้าอยู่หน้าแกนเวทมนตร์ทั้งวันตลอดสิบปีคงจะไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีซักเท่าไร


นอกจากนี้ฮันนี่ยังมารายงานข่าวเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาฟังว่าช่วงนี้แม่มดระดับสูงของทาคิลาเหมือนจะหลงใหลการ ‘อาบแดด’ มันไม่ใช่การอาบแดดแบบที่ต้องไปตากแดด หากแต่เป็นการปีนออกไปนอกถ้ำในเวลากลางคืน แล้วก็นอนอยู่ข้างนอกจนพระอาทิตย์ขึ้นค่อยกลับลงมาในถ้ำ เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่รุนแรงจะสร้างความเสียหายให้กับร่างกาย พวกเธอน่าจะไม่ชื่นชอบการออกไปข้างนอกถึงจะถูก ถึงแม้โรแลนด์จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพวกพาซาร์ถึงทำแบบนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็มองออกว่าช่วงนี้อารมณ์ของพวกเธอค่อนข้างดีทีเดียว


นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี


โรแลนด์พลิกดูหน้าสุดท้ายของบันทึกอย่างรวดเร็ว


ความสามารถของไทเลนหลักๆ แล้วจะส่งผลต่ออารมณ์ แล้วก็ต้องกินมันลงไปถึงจะเกิดผลได้ ความสามารถของเธอก็เหมือนกับแม่มดที่มีพลังแบบเกาะติดที่มีระยะเวลาจำกัดเอาไว้ โดยระยะเวลาในการแสดงผลจะขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุและพลังเวทมนตร์ที่ใส่ลงไป


ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ‘ยาเวทมนตร์’ สามารถส่งผลต่ออารมณ์ต่างๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะความสุขกับความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความง่วง ความเหนื่อยล้า ความกังวล ความหวาดกลัว…ขอเพียงเป็นอารมณ์ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ มันก็สามารถส่งผลกระทบได้ทั้งสิ้น ในตอนที่ยาหมดฤทธิ์ อารมณ์ที่สะสมเอาไว้เหล่านี้ก็จะระเบิดออกมาพร้อมกันทีเดียว


โรแลนด์เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผลของยาเวทมนตร์ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก แต่ลำแสงของเธอกลับเป็นลำแสงธรรมดาๆ ในอีกแง่หนึ่งยาของเธอเป็นเหมือนกับยากดประสาทชนิดหนึ่งที่สามารถชะลอผลจากการนำกระแสประสาทกับผลจากฮอร์โมนให้ยืดเวลาออกไปได้อีกหน่อย ยาบางตัวในโลกสมัยใหม่ก็ทำแบบนี้ได้เช่นกัน เพียงแต่มันมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก แล้วก็ง่ายต่อการเสพติดด้วย


แต่แน่นอน การที่ลำแสงจะธรรมดาหรือไม่นั้นไม่สามารถเอามาใช้วัดคุณค่าของความสามารถได้ หากเอา ‘ยาเวทมนตร์’ ของไทเลนไปขายในโลกสมัยใหม่ เกรงว่าประสิทธิภาพและกำไรของมันคงจะทำให้บริษัทยาใหญ่ๆ ต้องอิจฉาอย่างมากแน่


โรคทางจิตชนิดต่างๆ นั้นมีความซับซ้อนทางกลไกมากกว่าพวกอาการบาดเจ็บที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แล้วก็รักษาได้ยากกว่าด้วย ถึงแม้ยาเวทมนตร์จะไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่มันกลับสามารถทอดเวลาออกไปได้ ขอเพียงควบคุมให้เหมาะสมก็จะสามารถทำให้ผลกระทบจากโรคลดลงไปจนต่ำที่สุดได้ พวกอาการเหนื่อยล้าและวิตกกังวลนั้นมักจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำของคนเรา ถ้าหากทุกครั้งสามารถเลื่อนเวลาแสดงอาการของมันไปจนถึงตอนที่นอนหลับแล้วค่อยแสดงอาการออกมาได้ ก็จะทำให้อาการเหล่านั้นมันหายไปในตอนที่เรานอนหลับโดยที่เราไม่รู้ตัว ทันทีที่คนเราไม่ต้องถูกอารมณ์ต่างๆ ภายในใจมารบกวนจนนอนไม่หลับ ร่างกายก็จะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็ว


และต่อให้เป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรงจนถึงชีวิต ประโยชน์ของยาเวทมนตร์ก็ยังมีอยู่มาก เมื่ออยู่ต่อหน้าความเจ็บปวดอันรุนแรง สติของคนเรามักจะแตกกระตาย แล้วก็ไม่อาจทำการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตไป ถ้าสามารถปฐมพยาบาลตัวเองได้ในทันทีหรือไม่ก็ทำให้ตัวเองอดทนจนกระทั่งเจ้าหน้าที่พยาบาลมาถึง โอกาสรอดชีวิตก็จะสูงขึ้นมาก หลังจากนั้นผู้ช่วยเหลือก็แค่เตรียมรักษาอาการบาดเจ็บเหล่านั้น ผู้บาดเจ็บก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้


นอกจากนี้ แม่มดที่มีความสามารถในการรับมือกับอาการเจ็บป่วยก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว โรแลนด์จำที่น้องสาวของตัวเองเล่าให้ฟังได้ว่าบนเกาะสลีปปิ้งมีแม่มดคนหนึ่งชื่อเดลลาที่สามารถกำจัดอาการเจ็บปวดออกไปได้ แล้วก็มีฮีโร่ของสโมสรแม่มดที่สามารถย้ายอาการเจ็บป่วยไปยังร่างสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอสามารถย้ายอาการด้านลบทางจิตใจได้หรือไม่ แต่มันก็น่าลองดูอย่างมาก


ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ว่าถ้าไม่มียาเวทมนตร์ของไทเลน ความสามารถของพวกนางก็ยากที่จะใช้ประโยชน์ออกมาได้ — ทหารที่อยู่บนสนามรบมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ทุกเมื่อ แต่เหล่าแม่มดกลับมีอยู่จำนวนอยู่ไม่เท่าไร ความจริงกองทัพที่หนึ่งก็มีทหารจำนวนไม่น้อยที่หมดสติไปหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันท่วงที จนสุดท้ายก็เสียชีวิตลงระหว่างทางที่พาไปส่งหน่วยพยาบาล


ตอนนี้ สถานการณ์ตรงนี้เหมือนจะมีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้แล้ว


จากผลการทดสอบของเวนดี้ ตอนนี้ไทเลนยังสามารถควบคุมได้แค่ทิศทางของผลจากยาเวทมนตร์เท่านั้น อย่างเช่นผลด้านลบหรือผลด้านดี แต่ไม่สามารถกำหนดให้ยาเวทมนตร์ออกฤทธิ์ต่ออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งโดยเฉพาะได้


ซึ่งแม่มดที่เข้ามาใหม่หลายๆ คนก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ พวกเธอยังไม่สามารถควบคุมความสามารถของตัวเองได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อมีการชี้แนะจากอกาธาและเวนดี้ โรแลนด์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เอาไว้ไทเลนสามารถผลิตยาเวทมนตร์ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้สำเร็จ จุดอ่อนสุดท้ายของมันก็จะหายไป


จากรายงานที่ได้รับมา ตอนนี้เขามองเห็นภาพอุตสาหกรรมยาที่จะเจริญเติบโตขึ้นอย่างมาก ตลาดของอุตสาหกรรมนี้เรียกได้ว่าใหญ่กว่าเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเสียอีก


ส่วนอีกคนหนึ่ง….


โรแลนด์เปิดดูตารางบันทึกอันสุดท้าย ภายในใจรู้สึกทอดถอนใจออกมา


“ฝ่าบาท นี่มัน…” เห็นได้ชัดว่าไนติงเกลสังเกตเห็นถึงสีสันต่างๆ จำนวนมากที่ถูกแบ่งเอาไว้บนตาราง เธอเงยหน้าขึ้นมาถามเวนดี้ “แน่ใจนะว่ารายงานนี้ถูกต้อง?”


“ตอนนี้คงพูดได้แค่ว่าประมาณนี้ เพราะว่าในระยะเวลาสั้นๆ สิ่งที่พวกเราขาดแคลนอยู่ก็คือตัวอย่างที่จะเอามาเทียบเคียง” เวนดี้ตอบ “ตอนนี้สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือตัวเลขที่โมโม่มองเห็นนั้นไม่ได้หมายถึงการลดลงเพียงอย่างเดียว”


พูดง่ายๆ ก็คือตัวเลขแปลกๆ ที่โมโม่มองเห็นนั้นสามารถมองว่าเป็นเส้นตายตามธรรมชาติของช่วงชีวิตในปัจจุบันก็ได้ ส่วนสีนั้นหมายถึงแนวโน้มการลดลลงของตัวเลข ในรายงานเวนดี้ได้รายงานผลที่เธอกับโมโม่ไปสำรวจคนทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างละเอียด สีของชาวบ้านที่อยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนั้นอ่อนกว่าผู้อพยพที่อยู่ในเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราว


ข้อสรุปที่เธอได้มาก็คือปัจจัยที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกาย อย่างเช่น ความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บล้วนแต่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีได้ คนที่สียิ่งเข้ม ตัวเลขก็มักจะยิ่งเล็ก โดยในรายงานเธอยังพูดถึงตัวอย่างหนึ่งขึ้นมา นั่นคือมีผู้อพยพจากวูล์ฟฮาร์ทคนหนึ่งที่พอดื่มน้ำวิเศษเข้าไปแล้ว ตัวเลขสีน้ำตาลเข้มบนหัวของคนๆ นั้นก็เปลี่ยนจากเลข 5 กลายเป็นเลข 7


ถ้าตัวเลขนี้มีความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็จะมองได้ว่าบนตัวผู้อพยพคนนี้มีโรคระบาดบางอย่างอยู่ และจากสภาพนี้เขาก็มีชีวิตเหลืออยู่อีกแค่ 5 ปี แต่หลังจากที่ได้ดื่มน้ำวิเศษ สภาพที่ว่านี้ก็เปลี่ยนไป และความสามารถของโมโม่ก็จะคำนวณอายุขัยของเขาออกมาใหม่


ถึงแม้ตอนนี้เวนดี้จะไม่ทราบความหมายที่แน่ชัดของสีแต่ละสี แต่โดยสรุปแล้วก็คือตัวเลขเหล่านั้นสามารถสื่อถึงสภาพที่ไม่แข็งแรงของร่างกายได้


“ฝ่าบาท…” ไนติงเกลมีสีหน้ากังวล


“ก็ดีกว่าที่คิดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?” โรแลนด์พูดปลอบ “อย่างน้อยมันก็ยังเพิ่มได้ ขอเพียงหาวิธีที่ถูกต้องได้”


เวนดี้อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา


โรแลนด์หันกลับมาดูรายงานอีกครั้ง เมื่อดูจากพื้นที่ที่แบ่งสีเอาไว้ แต่ละพื้นที่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นแทบจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขเฉลี่ยของเขตเหมืองเนินทิศเหนือนั้นต่ำที่สุด รองลงมาคือเขตที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ ส่วนตึกแม่มดกับมนตร์แห่งสลีปปิ้งนั้นมีตัวเลขสูงกว่าตัวเลขภาพรวมอยู่ 10 – 20 จุด นี่ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าร่างกายของผู้ตื่นรู้นั้นดีกว่าคนทั่วไปมาก


………………………………………………………………….


ตอนที่ 1276 ความสามารถที่ถูกมองข้ามไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์หยิบเอากระดาษออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะคำนวณอายุเฉลี่ยของชาวบ้านในเขตที่อยู่อาศัยกับเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราว ผลลัพธ์ที่ออกมาคืออายุเฉลี่ยของประชากรของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ที่ 40 – 50 ปี ส่วนอายุเฉลี่ยของผู้อพยพในเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวอยู่ที่ประมาณ 35 ปี เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็สามารถมองเห็นปัญหาหลายๆ อย่างแล้ว


ปกติแล้วการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอายุขัยเฉลี่ยนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลายาวนาน ซึ่งระดับคุณภาพชีวิตของเมืองชายแดนในตอนแรกนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ดีกว่าผู้อพยพเหล่านั้นเท่าไร แต่ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 5 ปี อายุขัยของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง นาน่ากับลิลลี่คือคนที่มีความดีความชอบมากที่สุด


“แค่สองวันก็เก็บข้อมูลมาได้พันกว่าคน ตอนที่โมโม่ใช้ความสามารถ นางไม่จำเป็นต้องดูทีละคนเหรอ?” โรแลนด์ถาม


“ใช่เพคะ ถ้าหากมีพลังเวทมนตร์สมบูรณ์ นางสามารถมองเห็นตัวเลขทุกคนที่อยู่ในสายตาได้พร้อมกัน” เวนดี้ตอบเสียงเบาๆ “แต่ว่านางเหมือนจะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยทดสอบดูว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน นางคิดว่าความสามารถของตัวเองนั้นเป็นคำสาปชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะรู้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”


“เหมือนกับค่อยๆ มองดูคนรอบตัวก้าวไปสู่ความตายอย่างไรอย่างนั้น” ไนติงเกลถอนใจออกมา


คำสาป? นอกจากนำความโชคร้ายมาให้แล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ เหรอ? โรแลนด์ไม่คิดเช่นนั้น นี่เรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์! ในตอนที่ประเทศๆ หนึ่งพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายอะไรก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศได้ การบริหารนโยบายใดๆ ก็ตามโดยไม่คิดวางแผนให้รอบคอบจะทำให้ไม่สามารถตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ทัน ซึ่งนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้สถิติมีความสำคัญขึ้นมา


การสรุป สังเกตการณ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขสถิติเหล่านี้ แล้วก็ปรับเปลี่ยนรายละเอียดของนโยบายตามการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคือความสามารถที่จำเป็นต่อทุกองค์กรที่ต้องการจะก้าวข้ามไปอยู่ในยุคสมัยใหม่ และการเปลี่ยนแปลงของอายุขัยเฉลี่ยของประชากรคือปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก


ถ้าใช้วิธีธรรมดาในการบันทึก มันไม่เพียงแต่ต้องสร้างหน่วยงานพื้นฐานขึ้นมาและมีแรงงานที่มากพอ แต่มันยังต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีในการเก็บข้อมูลกว่าจะเห็นผล เพราะในตอนที่ยังไม่ตาย ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร


ตอนนี้ในเกรย์คาสเซิลนอกจากเนเวอร์วินเทอร์แล้ว เมืองอื่นๆ นั้นเพิ่งจะมีแค่สำนักงานเมืองระดับเขตที่เป็นหน่วยงานในการดำเนินนโยบายเท่านั้น เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเมืองคนหนึ่งก็ต้องทำงานเหมือนกับสองคน นั่นยิ่งทำให้พวกเขาไม่มีเวลาจะไปเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรภายในเมืองเลย


ความจริงแล้วการที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์สามารถเก็บข้อมูลประชากรมาได้สมบูรณ์ถึงขนาดนี้ได้ ความดีความชอบส่วนใหญ่นั้นหนีไม่พ้นบุ๊ค เมื่อไรก็ตามที่สำนักบริหารมีจำนวนเจ้าหน้าที่มากพอถึงขนาดสามารถจัดคนที่รู้หนังสือให้ไปอยู่ในหน่วยงานพื้นฐานอย่างพวกคณะกรรมการชุมชนได้ เมื่อนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าเข้าใกล้คำว่ารัฐบาลที่สมบูรณ์แบบ


ซึ่งความสามารถของโมโม่นั้นสามารถช่วยให้เกรย์คาสเซิลก้าวข้ามช่วงเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมตัวไปได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีหน่วยงานและกำลังคนที่เพียงพอ เขาสามารถจัดตั้งระบบสถิติขึ้นมาได้เลย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังเข้าใจความสามารถของเธอเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น


เมื่อไรก็ตามที่เวนดี้ค่อยๆ รู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ของสีแต่ละสี อย่างเช่นผลกระทบและระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความอดอยากและสภาพแวดล้อม การจัดทำคลังข้อมูลขนาดใหญ่อย่างละเอียดก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา ขอเพียงใช้งานให้เหมาะสม ความสามารถอันนี้ก็จะสามารถทำประโยชน์ให้กับอาณาจักรได้ในหลายๆ ด้าน


ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทพวกนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองพลาดอะไรไป


ในสายตาของโรแลนด์ โมโม่นั้นถือเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสำนักบริหารไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในอนาคตอย่างน้อยเธอจะได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับหัวหน้ากองด้วย


“เออใช่ แล้วได้ตารางการรักษาของนาน่ามาแล้วหรือยัง?” โรแลนด์ปิดบันทึกลงพร้อมถามขึ้นมา


เวนดี้พยักหน้า “วันนี้เพคะ พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยหรือเปล่าเพคะ?”


หน่วยพยาบาลเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดในเมือง โดยเฉพาะในตอนที่สงครามสิ้นสุดลง นาน่า ไพน์เองก็เป็นคนหนึ่งที่ยุ่งมากเหมือนกัน ถึงแม้เธอจะไม่ต้องไปอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลานานเหมือนกับอันนา แต่เธอก็มีตารางที่ต้องออกไปให้การรักษาทุกวัน ได้ยินว่าตอนนี้มีคิวรอรักษาอยู่หลายร้อยคิว แถมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย


สาเหตุที่มีคิวรอรักษาเยอะขนาดนี้เป็นเพราะลักษณะพิเศษของความสามารถของเธอ หากเป็นการต่อแขนขาที่ขาด เพียงแค่ 15 นาทีเธอก็ใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดแล้ว นี่จึงทำให้ตอนนี้ทางหน่วยพยาบาลไม่รับรักษาผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะที่มีขนาดใหญ่มากกว่าหนึ่งฝ่ามือขึ้นไปเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการออกบัตรผู้พิการเอาไว้ให้แทน เอาไว้เมื่อไรที่นาน่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ก็วิวัฒนาการความสามารถจนมีพลังเวทมนตร์มากขึ้น ผู้ป่วยเหล่านี้ก็สามารถใช้บัตรผู้พิการมาขอแทรกคิวเพื่อทำการรักษาได้


จะว่าไปแล้ว วันบรรลุนิติภาวะของนาน่าน่าจะเป็นเดือนแห่งปีศาจของปีนี้นี่นา โรแลนด์คิดในใจ ไม่รู้ว่าทำไม พอพูดถึงสาวน้อยที่เคยเรียนหนังสืออยู่กับอันนา ภาพแรกที่ลอยเข้ามาในหัวของเขาก็คือภาพเธอประคองไก่ด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับต่อว่าเขา


“ก็ดี เดี๋ยวข้าไปกับพวกเจ้าแล้วกัน”


……


โมโม่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ตัวเองใช้พลังออกไปแล้ว เธอไม่เพียงแต่จะไม่ถูกไล่ออกไปจากเมือง แต่เธอยังถูกเวนดี้ต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วย


ตอนนี้เธอกับไทเลนพักอยู่ในตึกแม่มดและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสโมสรแม่มด


ทุกวันหลังทานอาหารเย็นเสร็จมักจะมีแม่มดคนอื่นเข้ามาหาพวกเธอ พวกเธอบางคนจะเอาของกินบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก แต่พอกินเข้าไปแล้วกลับอร่อยจนทำให้เธอน้ำตาไหลออกมา บางคนก็จะมาคอยสอนพวกเธอใช้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้อง แล้วก็เรื่องที่ต้องระวังเวลาที่อาศัยอยู่ในเขตปราสาท เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวันกลับทำให้มุมมองที่เธอมีต่อโลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


คิดไม่ถึงเลยว่าการมีชีวิตอยู่มันจะเป็นเรื่องที่ดีขนาดนี้


ในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะรักษาดวงตาที่สูญเสียไปให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โมโม่พลันถลาเข้าไปกอดเวนดี้เอาไว้พร้อมร้องไห้ออกมา


มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่เธอจะหลั่งน้ำตาออกมาได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร


“สบายใจได้” ตอนนั้นเวนดี้ตบหลังของเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ “ถึงแม้นาน่าจะไม่ค่อยพักอยู่ในตึกแม่มด แต่เธอก็เป็นสมาชิกของสโมสรแม่มด แถมอายุของนางยังพอๆ กับเจ้าด้วย นางจะต้องยินดีรักษาให้เจ้าแน่นอน”


กระทั่งถึงวันที่นัดหมายเอาไว้ โมโม่จึงถูกเบลพาเข้าในหน่วยพยาบาลแต่เช้า ในระหว่างทางที่เดินไป เธอก็ได้รู้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับนาน่าจากปากเบล นาน่านั้นไม่เหมือนกับเธอ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเกิดในตระกูลขุนนาง แต่ความสามารถของเธอยังมีประโยชน์อย่างมาก จนถึงชาวบ้านยกย่องให้เป็นนางฟ้าของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เรียกได้ว่าเธออยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมาตั้งแต่ต้น


เธอแทบจะจินตนาการภาพของอีกฝ่ายออก เธอจะต้องเป็นสาวน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สวมใส่ชุดที่ดูสวยงาม กิริยาท่าทางดูเป็นกันเอง ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องหลงรัก


ด้วยเหตุนี้ในตอนที่เธอเบลเรียกเธอเข้าไปในห้องรักษา เธอจึงค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาจนต้องเดินก้มหน้าเล็กน้อย


“นี่คือคนที่จะรักษาคนต่อไปเหรอเพคะ?” ข้างหูเธอมีเสียงดังขึ้นมา


“ใช่ นางชื่อโมโม่ เป็นแม่มดเหมือนกับเจ้า” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด โมโม่มองตามเสียงไปอย่างประหลาดใจ….ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายคือฝ่าบาทโรแลนด์!


ในขณะเดียวกัน เธอก็มองเห็นคุณหนูนางฟ้าที่เล่าลือกันด้วย


ทันใดนั้นโมโม่ก็ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ตัวเองไม่กรีดร้องออกมา


เธอเห็นนาน่า ไพน์สวมเสื้อคลุมสีขาวห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทั้งหมด เหลือเพียงแค่ลูกตาสองข้างที่โผล่ออกมา อย่าว่าแต่สวยงามเลย แม้แต่เสื้อผ้าคนธรรมดายังไม่เรียบง่ายขนาดนี้เลย


ถ้ามีแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจกลัวจริงๆ ก็คือรอยสีแดงที่อยู่ตรงหน้าอกของเธอ นั่นมันคือเลือดที่ยังไม่แข็งตัว!


…………………………………………………………


ตอนที่ 1277 แสงสว่าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอ่อ ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่เลือดข้า” นาน่าถอดเสื้อคลุมออกโดยมีเบลคอยช่วย “เมื่อกี้มีคนเจ็บถูกเครื่องบดทับแขนจนขาด ตรงนั้นก็เลยวุ่นวายนิดหน่อย”


“งะ งั้นเหรอ…”


“ใช่ มา ขอข้าดูแผลเจ้าหน่อย”


ออร่ารุนแรงมาก อีกฝ่ายอายุเท่ากับตัวเองจริงๆ เหรอ…


โมโม่กลืนน้ำลาย ก่อนจะถอดผ้าปิดตาออกอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหานาน่า


“อืม คล้ายๆ กับที่พี่เวนดี้บอกเลย พลังเวทมนตร์ที่เหลืออยู่น่าจะพอใช้” หลังสาวน้อยตรวจดูบาดแผลเสร็จก็เทยาให้เธอแก้วนึง จากนั้นจึงเอามือตบเตียงที่อยู่ข้างๆ “ดื่มเสร็จแล้วขึ้นมานอนบนนี้ ประมาณ 10 นาทีก็น่าจะเสร็จแล้ว”


โมโม่ดื่มยาลงไป ก่อนจะลืมตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบมีดเล่มเล็กๆ ขึ้นมา


“ฝ่า ฝ่าบาท…เวนดี้….” เธอมองไปทางทั้งสองคนเหมือนจะขอความช่วยเหลือ เสียงของเธอเหมือนกำลังจะร้องไห้


“พอแล้ว นาน่า” เวนดี้ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าให้เวลาพี่น้องแม่มดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ค่อยๆ ปรับตัวหน่อยไม่ได้หรือไง?”


“เอ๋ นี่มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” นาน่าถามอย่างแปลกใจ “ถ้าไม่เปิดแผลเก่าออก แล้วทำลายแผลที่มันสมานตัวทั้งหมดก่อน การรักษามันก็จะไม่ได้ผลนี่นา”


“มันก็ใช่ แต่เจ้าก็คุยเล่นกับนางก่อนก็ได้นี่นา…”


“อย่างนั้น…คุยเรื่องคนไข้ก่อนหน้านี้แล้วกัน? ข้ารู้สึกว่าตอนที่ตัดแขนขาทิ้ง ใช้เลื่อยมันจะง่ายกว่าใช้ขวาน”


“ไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงให้คุยแบบนี้….”


“ถูกต้อง” โรแลนด์เองก็พูดแทรกขึ้นมา “เพราะเลื่อยมันจะทำให้หน้าตัดของบาดแผลมีความเรียบ แต่ถ้าเป็นกระดูกใหญ่ๆ เหมือนกระดูกที่ขา อยากจะตัดก็คงต้องเปลืองแรงอย่างมากใช่ไหมล่ะ?”


“กระดูกธรรมดาก็เหนื่อยเหมือนกันเพคะ พยาบาลพวกนั้นแรงก็ไม่ได้เยอะกว่าหม่อมฉันเท่าไร ถ้ามีพี่อันนาคอยช่วยล่ะก็ หม่อมฉันคงจะสบายขึ้นเยอะเลยเพคะ”


“ข้าลืมนึกไปเลย แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก เดี๋ยวกลับไปข้าไปออกแบบเลื่อยไฟฟ้าให้เจ้าซักอันเป็นไง? รับรองไม่มีอะไรที่ตัดไม่ขาด”


“ฝ่าบาท! อย่าตรัสเรื่องนี้ได้ไหมเพคะ!”


“อะแฮ่มๆ ขอโทษที พอพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีข้าก็อดไม่ได้..”


เสียงฟังดูเลือนลางขึ้นมา


โมโม่หันหน้าไป ก่อนจะเห็นภาพนาน่า ฝ่าบาทและเวนดี้เหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ แถมนาน่าก็ยังเหวี่ยงมีดในมือไปมาตลอด เหมือนพยายามจะลองทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเธอ


ตัด? เลื่อย? ขวาน?


ขอโทษด้วยนะ…เปลือกตาของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ…ไทเลน หลังรักษาเสร็จแล้ว ข้าอาจจะมองไม่เห็นหน้าเจ้าแล้วก็ได้


….


“เอ่อ นางหลับไปแล้ว” โรแลนด์พลันสังเกตเห็นโมโม่ที่อยู่บนเตียงเหมือนจะหลับลงไปแล้ว


นาน่ายกมีดผ่าตัดในมือขึ้นมา ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทั้งสองคน “อย่างนั้นหม่อมฉันเริ่มเลยนะเพคะ”


เธอกรีดมีดลงไปรอบๆ เบ้าตาอย่างช่ำชอง ก่อนจะกรีดเปิดบาดแผลเก่าที่น่าเกลียดออกและตัดผิวหนังที่เสียออก เลือดสดๆ ไหลออกมา ก่อนจะซึมไปบนผ้าก๊อตที่ถูกวางรองเอาไว้ ตลอดทั้งขั้นตอนแขนของเธอแทบจะไม่ได้ขยับเลย มีเพียงแต่นิ้วมือและข้อมือที่เคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ ขั้นตอนนี้ไม่เหมือนกับการรักษา เพราะมันไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ในการทำให้สำเร็จได้ ทุกอย่างคือสิ่งที่ได้มาจากการฝึกฝนของนาน่า


“สุดยอด…” เวนดี้พูดเสียงเบาๆ


“จำเป็นต้องทำน่ะ” นาน่ามุ่ยปาก “ตอนที่อยู่ในหน่วยปฐมพยาบาลของกองทัพ ข้ามีเวลารักษาทหารแต่ละคนแค่ประมาณครึ่งนาที ถ้าไม่จัดการบาดแผลให้เสร็จเรียบร้อยในเวลาสั้นๆ ข้าอาจจะช่วยคนเจ็บที่เหลือไม่ทัน”


เธอถึงได้ติดนิสัยทำอะไรเร็วๆ งั้นเหรอ…โรแลนด์อดทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ “เมื่อก่อนเจ้าแค่เห็นเลือดก็จะเป็นลมแล้ว แล้วก็ยังมีไก่พวกนั้น…”


“ฝ่าบาท!” นาน่ากรอกตาใส่เขา “ห้ามตรัสถึงเรื่องตอนนั้นอีกเพคะ! แถมคนที่ผิดก็คือพระองค์นั่นแหละ”


“ก็ได้ๆ” โรแลนด์ยกมือยอมแพ้


“ยิ่งไปกว่านั้น…” สาวน้อยชะงักไปเล็กน้อย “หม่อมฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพคะ อย่างน้อยถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว หม่อมฉันก็ถือว่าแข็งแกร่งขึ้น…ใช่ไหมเพคะ?”


มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตัวเธอในตอนนี้เหมือนจะซ้อนทับกับภาพตัวเธอที่อยู่ในความทรงจำ


โรแลนด์ยื่นมือออกไปลูบหัวเธอ “แน่นอน”


หลังจากนั้นไม่กี่นาที ดวงตาของโมโม่ก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม


“เฟิร์นหลับใหลหนึ่งชามน่าจะออกฤทธิ์ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ปริมาณแค่นี้ไม่ส่งผลอะไรต่อแม่มดนัก หลังจากนี้ก็แค่รอนางตื่นขึ้นมาเองก็พอ” นาน่ามองไปทางเวนดี้


“ลำบากเจ้าหน่อยนะ” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ


“เออใช่ พลังเวทมนตร์ของเจ้าเหลืออยู่เท่าไร?” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดโดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา “พอจะตรวจให้ข้าได้หรือเปล่า?”


เวนดี้หน้าเปลี่ยนสีทันที ส่วนนาน่าก็คว้าแขนของเขาเอาไว้


“พระองค์บาดเจ็บหรือเพคะ?”


“เปล่า…ข้าแค่รู้สึกว่าช่วงนี้คัดจมูกบ่อยน่ะ”


“อย่างนั้นพระองค์ก็ควรจะไปหาลิลลี่ถึงจะถูกเพคะ” นาน่าดึงมือกลับไป “ตรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเพคะ”


“ข้าก็ว่างั้นเหมือนกัน” โรแลนด์เบือนหน้าหลบสายของเวนดี้เล็กน้อย


ดูเหมือนความสามารถของนาน่าจะไม่ได้รักษาได้ทุกอย่าง…เขาคิดในใจ ไม่รู้ว่าเธอไม่สามารถรักษา ‘โรคที่หลบซ่อน’ ที่มองไม่เห็นเหล่านั้นได้หรือว่าอาการไม่สบายที่เป็นสีแดงนั้นไม่ได้จัดว่าเป็นอาการบาดเจ็บอย่างหนึ่ง


เอาเป็นว่าค่อยๆ คิดไปก่อนแล้วกัน …..


ในตอนที่โมโม่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอคือท้องฟ้าสีแดงยามเย็น ก้อนเมฆที่ซ้อนทับกันเปลี่ยนจากสีทองกลายเป็นสีม่วง แล้วก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป หูของเธอได้ยินเสียงซ่าของสายลมที่พัดผ่านต้นหญ้า บางครั้งเธอจะมองเห็นใบหญ้าที่ลอยขึ้นมาปลิวผ่านหน้าของเธอไป


ทุกอย่างดูเงียบและสงบ


ที่แท้ตัวเธอก็ยังมีชีวิตอยู่…


เธอคิดในใจ


แต่ไม่นานโมโม่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ภาพในดวงตาของเธอเหมือนจะกว้างขึ้นมามากกว่าเดิม ภาพที่ดูเลือนลางเวลามองออกไปไกลๆ ดูชัดเจนขึ้นมาถนัดตา เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเห็นไทเลนกำลังก้มหน้ายิ้มให้เธอ “เจ้าตื่นแล้วเหรอ?”


ในเวลานี้โมโม่ถึงได้สังเกตเห็นว่าตัวเองนอนหนุนตักเพื่อนของเธออยู่ แต่ที่ๆ ทั้งสองคนอยู่ก็คือสนามหญ้าด้านหน้าตึกแม่มด


“ข้า…หลับไปนานเท่าไร? เวนดี้ล่ะ?”


“นางส่งเจ้าให้ข้า เสร็จแล้วก็ไป” ไทเลนยักไหล่ “เจ้าน่าจะหลับไปตลอดทั้งช่วงบ่ายมั้ง ถึงแม้เวนดี้จะบอกว่าเจ้าจะตื่นภายในสองชั่วโมง ต่อถึงจะนอนเกินกว่าสองชั่วโมงก็ไม่ต้องกังวล นี่เป็นอาการที่เจอได้บ่อยๆ หลังจากที่พลังเวทมนตร์ฟื้นฟู ถ้าตื่นขึ้นมาเองร่างกายจะปรับตัวได้ดีกว่า เป็นยังไงบ้าง ดวงตาใหม่….มองเห็นหรือเปล่า?”


โมโม่ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะมองดูรอบๆ ซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่เธอถูกควักลูกตาไป เธอก็นึกว่าดวงตาของเธอครึ่งหนึ่งจะต้องตกอยู่ในความมืดไปตลอดเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่เธอได้มองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง


“ทำยังไงดี ไทเลน…” เธอพูดงึมงำขึ้นมา


“ทำยังไงอะไร?”


“ก็ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราจะตอบแทนพวกนางยังไง…”


ไทเลนงุนงง จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าจากที่เวนดี้บอกมา ขอเพียงพวกเราตั้งใจทำงาน นั่นก็น่าจะเป็นการตอบแทนอย่างหนึ่งละมั้ง เออใช่ ตอนที่เจ้าหลับอยู่ เวนดี้ได้มอบหมายงานให้ข้าทำแล้ว เหมือนจะต้องไปช่วยงานเรื่องการแพทย์และการรักษาของเกรย์คาสเซิลกับนาน่า ไพน์ที่รักษาเจ้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ขยี้จมูกเล็กน้อยคล้ายว่าเขินนิดหน่อย “ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตัวเองจะไปรักษาอะไรได้…”


“แต่ว่าความสามารถของข้า…” โมโม่กำหมัดแน่น


“พี่เวนดี้ก็มีพูดถึงเจ้านะ”


เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ “จริงเหรอ?”


“อื้อ!” ไทเลนพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังเป็นคนตรัสออกมาเองด้วย พระองค์อยากจะให้เจ้าเข้าไปทำงานในสำนักบริหาร เพื่อร่วมมือกับเลดี้บุ๊คในการทำงานเพื่ออาณาจักร”


“เอ๋!?” โมโม่แทบจะไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง “ข้าก็ได้ด้วยเหรอ?”


“คำถามนี้เจ้าต้องถามตัวเองแล้วล่ะ” ไทเลนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอามาผลักเธอเบาๆ “แม้แต่เรื่องของตัวข้าเองข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่ว่า….ขอเพียงค่อยๆ เรียนรู้ไป ยังไงซักวันก็ต้องเข้าใจแน่”


“ข้าไม่มั่นใจเหมือนอย่างเจ้าน่ะสิ…” โมโม่บ่นงึมงำพร้อมกับเอนตัวไปด้านหลัง “เจ้าว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ไหม? เหมือนกับบ้านอย่างนั้น…”


“ความจริงแล้วข้าเองก็ถามคำถามนี้กับเวนดี้เหมือนกัน”


“หืม?”


ครั้งนี้ด้านหลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะมีเสียงตอบของเพื่อนเธอดังขึ้นมา


“นางบอกว่าได้แน่นอน เพราะว่าตอนนี้ที่นี่มันคือบ้านของพวกเราแล้ว”


………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)