Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1270-1273
ตอนที่ 1270 การโจมตีเพื่อหยุดยั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองทัสก์ อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
เมืองที่ถูกศาสนจักรปล้นไปแห่งนี้ยังไม่ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม เมื่อยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของปราสาทจะมองเห็นได้ว่าถนนหลายๆ แห่งที่อยู่นอกเมืองนั้นถูกทิ้งร้าง แต่เมื่อเทียบกับปราสาทโบรคเคนทูธที่ถูกโรคระบาดเล่นงานแล้ว ที่นี่ยังถือว่าโชคดีกว่ามาก อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีซากศพเหม็นเน่าอยู่ตามท่อน้ำหรือบ่อน้ำเหมือนอย่างโบรคเคนทูธ
เมื่อหลายเดือนก่อน ที่นี่ยังเป็นดินแดนของตระกูลทัสก์ซึ่งเป็นตระกูลสาขาของราชวงศ์ เดิมขวานเหล็กคิดจะอพยพชาวบ้านในเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลก่อน สุดท้ายค่อยมาจัดการกับพวกขุนนาง เขาไม่ได้สนใจความขัดแย้งระหว่างตระกูลทุสก์ โทคเคนและเรดสโตนเกต แต่การปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันของหมอกแดงทำให้เขาจำเป็นต้องปรับแผนใหม่ เพราะต่อให้เมืองทัสก์จะตกต่ำแค่ไหน มันก็ยังถือเป็นเมืองศูนย์กลางของวูล์ฟฮาร์ทอยู่ อีกทั้งมันยังเชื่อมต่อกับถนนหลักที่วิ่งจากเหนือลงไปใต้ด้วย ถ้ายึดเมืองนี้ได้ ก็จะทำให้กองทหารที่ถอยร่นลงมาจากอีเทอร์นอลวินเทอร์สามารถเข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างราบรื่น
ในการยึดเมืองนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ต่อให้ไม่มีการสนับสนุนจากปืนใหญ่ป้อม พวกเขาก็ยังสามารถใช้กำลังพลหน่วยละ 500 คนจำนวน 5 กลุ่ม และใช้ปืนครกกับกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจในการโจมตีปราสาททัสก์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแนวปราสาทตามธรรมชาติ และเมืองทัสก์ที่มีกำแพงล้อมรอบ ฮิลเบิร์คซึ่งเป็นเจ้าเมืองถูกหน่วยแม่นปืนสังหารในตอนที่ออกมาเดินเยี่ยมทหาร สุดท้ายเมืองก็พังพินาศโดยที่ไม่ทันได้โจมตีกลับ
ในฐานะที่เป็นคนแรกที่ติดตามกองทัพของฝ่าบาททำศึกให้กับเมืองชายแดน ขวานเหล็กถือเป็นคนที่รู้ดีกว่าความแข็งแกร่งของเมืองเนเวอร์วินเทอร์พัฒนาไปเร็วแค่ไหน เมื่อ 5 ปีก่อนพวกเขายังสู้กับดยุคของป้อมปรากการลองซองอย่างสูสีอยู่เลย แต่ตอนนี้ขอเพียงฝ่าบาทต้องการ กองทัพที่หนึ่งก็สามารถบดขยี้ทุกเมืองได้อย่างสบาย
เรียกได้ว่าการแข็งแกร่งของพวกเขาทิ้งห่างเมืองอื่นๆ ไปไกลมาก ขุนนางเหล่านั้นอยู่คนละชั้นกับพวกเขาเลยก็ว่าได้
แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถึงความพอใจและความผ่อนคลายเลย
ยิ่งแตกต่างกันมาก เขาก็ยิ่งรู้ดีว่าในภาพรวมแล้ว ความต่างชั้นกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจนั้นมีความน่ากลัวแค่ไหน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่มีหมอกแดงคอยสนับสนุน กองทัพที่หนึ่งแทบจะไม่สามารถปักหลักสู้รบอยู่ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้ ทุกวันจะมีกองทหารถอยร่นกลับมายังวูล์ฟฮาร์ท รายงานการเสียชีวิตและบาดเจ็บก็มีมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่มีแนวป้องกันที่มั่นคง ทำให้เหล่าทหารไม่สามารถรับมือกับการบุกเข้ามาของปีศาจได้ ยิ่งไปกว่านั้นในรายงานยังชี้ให้เห็นด้วยว่ามีอยู่หลายครั้งที่จู่ๆ ศัตรูก็มาปรากฏตัวอยู่บนเส้นทางที่พวกทหารต้องใช้ถอยหนี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้ทำการสอดแนมดูหลายครั้งและยืนยันแล้วว่าเส้นทางนั้นปลอดภัย
สถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้ส่งผลเสียต่อขวัญและกำลังใจของทหาร วิธีรับมือที่ง่ายที่สุดก็คือเรียกทหารทั้งหมดกลับมาพักที่เขาเคจเมาเธ่น แต่ขวานเหล็กรู้ดีว่าคำสั่งและหน้าที่นั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ในเมื่อฝ่าบาททรงต้องการคน เขาก็ไม่อาจถอยกำลังทั้งหมดมาได้
อย่างนั้นวิธีที่เหลืออยู่ก็มีแต่ต้องโจมตีกลับเท่านั้น
ง้างหมัดให้สุดแรง แล้วเหวี่ยงไปที่หน้าของปีศาจ! มีแต่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะชะลอการบุกของพวกมันได้ แล้วก็ทำให้กองทหารที่กำลังทำการอพยพได้มีเวลาหายใจหายคอ
จุดโจมตีกลับที่เขาเลือกก็คือเมืองทัสก์
“การป้องกันของปีศาจเหมือนจะอ่อนแอนลง” ไบรอันยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทเริ่มปรับกำลังพล เขาก็ติดตามกองทัพเรือล่องจากดินแดนทางใต้สุดขึ้นมายังอ่าวดีพพูล นอกจากนี้ยังมีทหารชาวโมเกนอีก 1,500 คนที่ติดตามมาด้วย นี่ถือเป็นกองทัพชาวทะเลทรายกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของเกรย์คาสเซิล
“มันเริ่มอ่อนแอมาตั้งแต่ชายแดนของอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว” ขวานเหล็กพยักหน้า “เอดิธส์พูดถูก การที่ปีศาจเอาเสาโอบลิสไปตั้งไว้บนสันหลังของทวีปนั้นเหมือนเป็นดาบสองคม ถึงแม้ที่นั้นใช้ซ่อนตัวได้ แต่มันกลับเป็นอุปสรรคต่อการบุกลงมาทางใต้”
เมื่อมองยืนอยู่บนยอดปราสาทแล้วมองไปทางเหนือจะสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆทึบๆ สีแดวงเหมือนเลือดอยู่ระหว่างพื้นดินกับท้องฟ้า นั่นคือหมอกแดงที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มันได้ข้ามชายแดนของอีเทอร์นอลวินเทอร์และวูล์ฟฮาร์ทมา และกำลังขยายเข้ามาหาเมืองทัสก์
ส่วนเมืองที่ตั้งอยู่ด้านล่างหมอกแดงก็คือเมืองโกลเดนริเวอร์ของอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท มันถูกหมอกแดงกลืนกินไปมากกว่าครึ่ง แต่กลับไม่มีวี่แววของ ‘อสูรยักษ์ป้อมปราการ’ ปรากฏให้เห็นเลย อสูรสยองที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าก็น้อยจนน่าสงสัย เหมือนกับถูกปีศาจลืมทิ้งเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถ้าเป็นช่วงที่หมอกแดงปรากฏขึ้นมาตอนแรก นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
หลังต่อสู้กันมาระยะหนึ่ง ทีมที่ปรึกษาก็พอจะเข้าใจความคิดของปีศาจอย่างคร่าวๆ
ในอีกแง่หนึ่ง พวกมันมีกลยุทธ์ในการรบที่เหมือนกับฝ่าบาทโรแลนด์ นั่นก็คือควบคุมเมืองของมนุษย์ให้เยอะ แล้วก็ใช้ให้มนุษย์มาทำงานให้มัน ด้วยเหตุนี้กองทัพที่หนึ่งคอยอพยพชาวบ้านจึงเป็นศัตรูอันดับแรกที่พวกมันต้องโจมตี
เพื่อที่จะยึดเมืองของมนุษย์ให้เร็วที่สุด พวกมันจึงมักจะลงมือโจมตีก่อน แล้วใช้ประโยชน์จากเขตหมอกแดงขนาดเล็กที่อสูรยักษ์ป้อมปราการสร้างขึ้นมา ทำให้พวกมันสามารถข้ามจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว และเปิดฉากโจมตีได้ก่อนที่หมอกแดงจะขยายมาถึง
แต่หลังจากที่ที่ดินส่วนใหญ่ของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ตกอยู่ในมือของปีศาจ ความเร็วในการบุกเข้ามาของพวกมันก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด นี่แสดงให้เห็นว่าเมื่อพื้นที่มีขนาดกว้างมากขึ้น พวกปีศาจก็เริ่มที่จะทำงานกันไม่ทัน
เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร
การบีบบังคับมนุษย์และการสร้างสิ่งก่อสร้างนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ในสถานการณ์ที่มีกำลังไม่พอ พื้นที่ที่ครอบครองยิ่งกว้าง ความคล่องตัวในการปรับกองกำลังก็จะยิ่งน้อยลง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือพวกปีศาจไม่จำเป็นต้องรวมกองกำลังเป็นกองทัพเมื่อมาสู้กับมนุษย์ เมื่อมีการขนส่งที่เพียบพร้อม พวกมันก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับกองทัพที่หนึ่งที่กำลังทำการอพยพชาวบ้านโดยใช้เพียงกองกำลังเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้นการรวบรวมกำลังพลจึงกลับจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกมัน
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ชายแดนอีเทอร์นอลวินเทอร์ ความถี่ในการบุกโจมตีของศัตรูถึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บางทีพวกมันอาจจะไม่ได้ลดจำนวนปีศาจที่ใช้ในการบุกโจมตีลง แต่ในเวลานี้หมอกแดงได้ขยายออกไปไกลหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ถ้าอยากจะดูแลให้ทั่วถึง หากไม่เพิ่มกำลังทหารให้มากขึ้นก็ไม่มีทางที่จะทำได้เลย
ขวานเหล็กสังเกตเห็นในจุดนี้
“ท่านผบ. ‘ของ’ ที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มาถึงเมืองทัสก์ทั้งหมดแล้วขอรับ” ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำความเคารพพร้อมกล่าวรายงาน
“ในที่สุดก็มาซักที!” เขาสะดุ้งขึ้นมา พร้อมกับหมุนตัวไปพูดกับไบรอัน “พวกเราไปดูกันเถอะ”
…..
ทุกคนเดินมาถึงนอกเมือง บนพื้นหน้าประตูเมืองมีถังเหล็กตั้งอยู่หลายร้อยถัง พวกมันสูงประมาณครึ่งตัวคน กว้างประมาณหนึ่งสอก ผิวนอกโค้งมน รอบๆ มันไม่มีที่เปิดเลยแม้แต่ที่เดียว
“ท่านผบ. นี่มันคือ…อะไรหรือขอรับ?” ไบรอันเดินวนดูรอบๆ ถังอย่างงงๆ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นภาชนะสำหรับบรรจุ มันก็ต้องมีที่มือจับสำหรับเปิดหรือเปล่า? ถ้าจะบอกว่ามันเป็นอาวุธ…การทำศึกที่ผ่านๆ มาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าประสิทธิภาพของระเบิดที่ติดตั้งเอาไว้อยู่กับที่นั้นไม่อาจสู้ปืนใหญ่ได้ ถ้าอยากจะอาศัยพวกมันในการเอาชนะปีสาจนั้นดูจะไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไร
เขาใช้มือลองผลัก ก่อนจะพบว่าถังเหล็กนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าข้างในมันบรรจุของเอาไว้จนเต็ม แถมยังมีน้ำหนักที่มากด้วย การจะขนเอาถังเหล็กหลายร้อยถังมาที่แนวหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นการที่ยอมเสียกำลังการขนส่งอันล้ำค่าเพื่อขนถังเหล็กเหล่านี้มา พวกมันจะต้องเป็นของสำคัญอย่างแน่นอน
“สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของฝ่าบาท แต่ว่าตอนที่ทำการทดสอบมัน ตอนนั้นเจ้ายังทำหน้าที่อยู่ที่ดินแดนทางใต้สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะไม่รู้เรื่อง” ขวานเหล็กยิ้มๆ “ถังเหล็กเหล่านี้จะเป็นอาวุธสำคัญในการหยุดยั้งการโจมตีครั้งนี้ ถ้าหากมันได้ผลดีเหมือนตอนที่ทดสอบจริงๆ อย่างนั้นต่อให้เป็นรบแบบเคลื่อนที่ พวกเราก็ยังสามารถเล่นงานพวกปีศาจจนพวกมันคาดไม่ถึงได้!”
………………………………………………………………………
ตอนที่ 1271 เปลวไฟที่ลุกโชนบนท้องฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องที่ถูกทิ้งร้างของปราสาทโบรคเคนทูธ โจเดลมองดูสถานการณ์ภายในเมืองทัสก์ผ่านทางช่องสังเกตการณ์ภายในห้อง เนื่องจากระดับความสูงที่แตกต่างกัน เขาจึงมองเห็นแค่พื้นที่เล็กๆ ตรงปากประตูเมืองเท่านั้น — ที่นั่นคือสถานที่แรกที่พวกเขาต้องไปแย่งชิงมาหลังจากที่การต่อสู้เริ่มต้น
ปฏิบัติการครั้งนี้ชาวโมเกนจะรับหน้าที่เป็นทหารหน่วยแรกที่บุกเข้าไป
นี่ไม่ได้เป็นเพราะท่านไบรอันจงใจใช้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวย หากแต่เป็นโอกาสที่พวกเขาช่วงชิงมาเอง
ใช้กำลังพิสูจน์ตัวเอง ใช้ผลงานในการช่วงชิงเอาทรัพยากร นี่่คือสิ่งที่คนดินแดนทางใต้สุดทำกัน
โจเดลมาจากเผ่าเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักในโอเอซิสแห่งหนึ่ง ในตอนที่โอเอซิสค่อยๆ หายไป เผ่าของเขาก็อยู่บนเส้นที่แบ่งระหว่างความเป็นความตาย ถ้าไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ ตอนนั้นเขาก็คงจะไปเสี่ยงที่จะมาคุยกับคนทางเหนือแน่ แต่ตอนนี้ทุกคนภายในเผ่าของเขาล้วนแต่ย้ายมาอยู่ที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ได้อย่างปลอดภัย ดินแดนสีเขียวที่พวกเขาเฝ้าใฝ่ฝันถึงนั้นคือสิ่งตอบแทนที่เขาได้มาจากการสู้กับเผ่าไวล์เวฟกับเผ่าคัทโบนด์
ดังนั้นสาเหตุที่โจเดลเป็นฝ่ายเสนอตัวมาเป็นแนวหน้านั้นง่ายมาก ยิ่งฆ่าศัตรูได้เยอะ เผ่าของเขาก็จะมีชีวิตที่ดีมากขึ้น ส่วนเรื่องที่ว่าศัตรูเป็นใครนั้นไม่สำคัญ ต่อให้มันเป็นปีศาจที่มาจากนรก มันก็คงจะไม่น่ากลัวเท่ากับความอดอยาก ความแห้งแล้ง แล้วก็ความตายที่อาจจะมาได้ทุกเมื่อ
เขาเชื่อว่าชาวทะเลทรายหลายๆ คนที่มาที่นี่ก็คิดเหมือนกับเขา
“เจ้าเห็นอะไรไหม?” ด้านหลังมีคนถามขึ้นมา
“ไม่ นอกจากหมอกแดงที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย” โจเดลอุดรูสังเกตการณ์อย่างเบามือ ก่อนจะหันหน้ากลับมา
คนที่พูดกับเขาคือฟาร์รีซึ่งเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในทีม ปืนที่สะพายอยู่ด้านหลังเขาแทบจะยาวกว่าตัวเขา บนใบหน้าเขามีรอยแผลเป็นลึกยาวจากหน้าผากมาถึงมุมปากของเขา ดูแล้วไม่เข้ากับใบหน้าที่ดูอายุน้อยของเขาเลย สำหรับคนๆ นี้ โจเดลจำเขาได้แม่น ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูอายุยังน้อย แต่ฝีมือของเขาในตอนที่ทำการฝึกซ้อมกับการทำศึกจริงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าคนทั่วๆ ไปเลย แม้แต่พวกนักสู้ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ก็อาจจะเอาชนะเข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตามหลักแล้ว คนแบบนี้ควรจะเป็นที่รู้จักในโอเอซิสถึงจะถูก แต่กลับกลายเป็นว่าโจเดลไม่เคยได้ยินชื่อคนๆ นี้มาก่อน
“พวกเรารอมาเกือบสองอาทิตย์แล้วใช่เปล่า?” ฟาร์รีบ่นขึ้นมา “คนหลายร้อยคนมาอุดอู้อยู่ในที่เดียวกันแบบนี้ ข้าแทบจะอึดอัดตายอยู่แล้ว”
“ท่านไบรอันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าปีศาจมันมีอสูรสยองที่บินได้ ถ้าไม่อยากจะให้ศัตรูสังเกตเห็น พวกเราก็ต้องซ่อนตัวอยู่แบบนี้” โจเดลพูดอย่างแปลกใจเล็กน้อย “หรือว่าเจ้าไม่เคยเข้าร่วมพิธีไล่ล่ามาก่อน? เพื่อที่จะฆ่าหนอนทะเลทรายซักตัวแล้ว ซุ่มรออยู่ในพุ่มไม้ครึ่งเดือนมันยังทำได้เลย ตอนนี้รออีกหน่อยจะเป็นไรไป?”
ตามแผนการแล้ว ทหารที่ขวานเหล็กรวบรวมมา 2,000 คนจะกระจายกันซ่อนตัวอยู่ในเขตถนนด้านเหนือของปราสาทโบรคเคนทูธ แล้วก็มีกองหนุนซ่อนตัวอยู่ในเขตเมืองด้านในทางทิศใต้อีกพันกว่าคน สถานที่ซ่อนตัวนั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย ดูภายนอกแล้วเหมือนซากเมืองที่ถูกทิ้งร้างไม่มีผิด แต่ด้านในกลับสร้างให้เป็นที่พักแบบง่ายๆ ขึ้นมา ด้านบนเอาไว้ใช้สอดแนม ส่วนด้านล่างเอาไว้เป็นที่พัก ไม่เพียงแต่จะมีอาหารและน้ำเตรียมเอาไว้พร้อม แม้แต่ที่นอนกับห้องน้ำก็ถูกจัดแบ่งเอาไว้เรียบร้อย ถึงแม้มันจะมีกลิ่นอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับการซ่อนตัวในพิธีไล่ล่าแล้ว ที่นี่ก็ถือว่ามีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างดีใช้ได้
เขาไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงบ่นเรื่องนี้ขึ้นมา
“เจ้า…ไม่เข้าใจ” ฟาร์รีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป สุดท้ายเขาจึงถลึงตาใส่โจเดลอย่างหงุดหงิดแล้วขึ้นไปนั่งบนกำแพง “เจ้าว่าถังเหล็กที่พวกเขาเตรียมเอาไว้มันใช้ทำอะไรกันแน่? เดี๋ยวก็ขุดหลุมเดี๋ยวก็ถมดิน จนตอนนี้ศัตรูมาแล้ว ฝั่งนั้นก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ไม่รู้สิ…แต่ถ้าเป็นของที่ชีคทำขึ้นมา ข้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่แปลก”
ในช่วงปีกว่าที่ผ่านมาเขาได้เห็นของใช้ เครื่องมือและอาวุธที่น่าเหลือเชื่อต่างๆ มากมาย
“หวังว่าจะไม่ใช่ยาคุ้มคลั่งอันใหม่หรอกนะ” ฟาร์รีพูดงึมงำ
ยาคุ้มคลั่ง? เขาเหมือนจะเคยได้ยินชื่อเจ้าของสิ่งนี้ที่ไหนมาก่อน….โจเดลกำลังจะคิดถามอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นก็มีคนโผล่หัวลงมาจากเพดาน “ทางด้านหลังแจ้งมา อีกเดี๋ยวการโจมตีจะเริ่มแล้ว พวกเจ้ารีบเตรียมตัวซะ”
“ฟู่ว” ฟาร์รีถอนหายใจออกมา “ในที่สุดก็ไม่ต้องรออยู่เฉยๆ แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ส่วนโจเดลนั้นมีความรอบคอบมากกว่านิดหน่อย “สัญญาณบุกโจมตีคืออะไร? ยังเหมือนกับที่วางแผนเอาไว้ไหม?”
“ถูกต้อง” คนๆ นั้นตอบ “ในตอนที่เสียงระเบิดดังขึ้น นั่นคือสัญญาณให้บุกเต็มกำลัง”
….
“ได้เวลาแล้ว” ขวานเหล็กวางกล้องส่องทางไกลลง ก่อนจะหันมาสั่งการ “ปั่นไฟได้เลย”
“ขอรับ!” ทหารสองคนของหน่วยจุดระเบิดเริ่มหมุนเครื่องปั่นไฟ ส่วนคนที่สามก็เอามือวางไว้บนที่กดระเบิด
ในที่สุดการเตรียมตัวและการวางแผนมาเป็นระยะเวลานานก็มาถึงช่วงเวลาที่จะได้พิสูจน์มันแล้ว ตอนนี้หมอกแดงได้ปกคลุมมาถึงเมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ท ถ้ากองทัพที่หนึ่งยังถอยต่อไป อีกไม่นานปราสาทโบรคเคนทูธจะต้องตกอยู่ในมือปีศาจแน่นอน สองเมืองนี้แทบจะอยู่ติดกัน คล้ายกับเมืองหลวงของเกรย์คาสเซิลกับเมืองซิลเวอร์ ในอดีตปราสาทโบรคเคนทูธที่มีภูมิประเทศเป็นเหมือนแนวป้องกันตามธรรมชาติได้กลายเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของเมืองทัสก์ เมื่อก่อนวูล์ฟฮาร์ทมีคำกล่าวว่าถ้าโบรคเคนทูธยังอยู่ เมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ทก็ไม่มีวันถูกโจมตี แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังจะใช้ปราสาทโบรคเคนทูธเป็นทางผ่านให้พวกศัตรูได้บุกเข้ามายังเมืองทัสก์!
ขวานเหล็กสังเกตเห็นมานานแล้วว่าพวกปีศาจไม่ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา สำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์เหล่านี้ก็เป็นเหมือนภาระที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากพวกปีศาจคุ้มคลั่งหน่วยเล็กๆ ที่ไล่ฆ่าพวกชาวบ้านแล้ว ปีศาจส่วนที่เหลือนั้นจะเคลื่อนไหวอยู่ภายในขอบเขตของหมอกแดง
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีของกองทัพที่หนึ่ง
“ท่านผบ. หน่วยจุดระเบิดพร้อมแล้วขอรับ!”
ขวานเหล็กออกคำสั่ง “จุดระเบิดได้!”
เมื่อทหารออกแรงกดที่จุดระเบิด ทางด้านเหนือของปราสาทโบรคเคนทูธพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นมา! ถังเหล็ก 500 กว่าถังระเบิดขึ้นมาพร้อมกันในพริบตา เปลวเพลิงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วยพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะปกคลุมเมืองหลวงทั้งเมืองเอาไว้
ทุกคนต่างได้ยินเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
สิ่งที่บรรจุข้างในถังเหล็กคือเจลจากแมลงยางที่เคโมผสมขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยเผาใหม่อย่างเช่นน้ำมัน อลูมีเนียม แมกนีเนียมซึ่งเผาไหม้ได้ง่าย ตอนที่อยู่ในสภาพเป็นก้อน พวกมันดูแล้วเหมือนจะอ่อนนุ่มไม่เป็นอันตราย แต่ในตอนที่คลื่นกระแทกจากการระเบิดฉีกพวกมันให้กลายเป็นหมอกแล้วส่งพวกมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เจลที่กระจัดกระจายเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งที่มีอันตรายอย่างมาก เนื่องจากการเผาไหม้กระจายตัวไปเร็วมาก จนทำให้อากาศมีอุณหภูมิสูงถึง 1,000 องศาได้ในระยะเวลาสั้นๆ กระแสอากาศที่ขยายตัวยิ่งทำให้เปลวไฟยิ่งลุกโชน
ทันใดนั้นปฏิกิริยาลูกโซ่ก็เกิดขึ้น
จู่ๆ ฝนเพลิงที่เดิมควรจะร่วงตกลงมากลับฉีกท้องฟ้าออกเหมือนกับสายฟ้าสีแดงส้ม ก่อนจะกลายเป็นเหมือนตาข่ายขนาดยักษ์ที่ปกคลุมอยู่เหนือเมือง! เปลวไฟที่กระจายออกนี้ไม่ได้พุ่งจากบนฟ้าลงมายังพื้นดิน หากแต่กระจายจากพื้นดินขึ้นไปบนท้องฟ้าแทน!
ขวานเหล็กเองก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงได้รู้ว่าฝนเพลิงเหล่านั้นได้จุดหมอกแดงให้ลุกไหม้ขึ้นมา! ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้วมันกลับใช้เวลาเพียงแค่พริบตา แสงสีแดงที่แตกออกปกคลุมทั่วทั้งเมืองเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากตาข่ายก็กลายเป็นเหมือนฝาครอบที่ไม่มีอะไรจะผ่านเข้าไปได้
จากนั้นการระเบิดที่รุนแรงมากกว่าเดิมก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ฝาครอบสีแดงถูกระเบิดจนแตกออก ลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์พุ่งขึ้นมาเหมือนกับนกเพลิงที่พุ่งทะลุออกมาจากเปลือก ก่อนจะบินขึ้นไปยังหมู่เมฆที่อยู่ด้านบน
เสียงกัมปนาทที่ดังกว่าตอนที่ถังเหล็กถูกระเบิดดังสนั่นขึ้่นมา
ขวานเหล็กมองเห็นอากาศรอบๆ เมืองหลวงบิดเบี้ยวเพราะคลื่นความร้อน!
พื้นดินเหมือนสั่นสะเทือนขึ้นมา!
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1272 ภายใต้เปลวเพลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่ได้ยินเสียงระเบิดครั้งแรกดังขึ้นมา ทีมของโจเดลก็พุ่งขึ้นมาจากที่ซ่อนตามคำสั่งทันที
แต่พวกเขาเพิ่งจะวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว ทางด้านเหนือก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง! ความดังของเสียงถึงทำให้ฝุ่นบนซากเมืองฟุ้งกระจายขึ้นมา การสั่นสะเทือนอันรุนแรงเกือบทำให้พวกเขาล้มลงไปกับพื้น
โจเดลพยายามทรงตัวเอาไว้ ก่อนจะมองไปทางเมืองทัสก์อย่างตกใจ เนื่องจากเขาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า ดังนั้นเขาจึงมองเห็นแค่เพียงลูกบอลไฟสีเหลืองส้มกับฝุ่นควันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องเหมือนกับกำปั้นที่เหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า รอบๆ เปลวไฟ หมอกแดงถูกส่องจนสว่างขึ้นมา ขอบฟ้าเหมือนกำลังลุกไหม้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
ในดวงตาของชาวทะเลทรายเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
ภาพเหตุการณ์นี้….เกรงว่าคงได้แต่ต้องใช้คำว่าเพลิงพิโรธของสามเทพมานิยามเท่านั้นแล้ว!
“อย่ากลัว!” โจเดลกัดฟัน ก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “นั่นเป็นอาวุธที่ชีคใช้สำหรับกำจัดศัตรู! คนที่ควรหวาดกลัวคือปีศาจพวกนั้น!”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนได้สติกลับคืนมา
“ถูกต้อง นั่นคือเพลิงสวรรค์ของชีค!”
“อย่าหยุด ลุยต่อไปข้างหน้า!”
ทหารที่หยุดชะงักวิ่งไปข้างหน้าใหม่อีกครั้ง ในรอยแตกของกำแพง ช่องหน้าต่าง มุมห้องที่พังลงมา….มีทหารวิ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเข้าไปรวมกลุ่มกับทหารคนอื่นๆ ไม่นานกองทหารที่ดูกระจัดกระจายพลันกลายเป็นคลื่นมนุษย์พุ่งเข้าไปทางเมืองทัสก์
โจเดลวิ่งนำอยู่หน้าสุด
ถึงแม้เขาจะยอมสยบต่อชีคมานานแล้ว แต่ภายในใจเขาก็ยังคงคิดว่าชาวทะเลทรายนั้นเหมาะกับการต่อสู้มากกว่า โดยเฉพาะนักรบที่อยู่ในโอเอซิสอันยากจนข้นแค้นและต้องต่อสู้กับความตายมาตั้งแต่เด็ก หลังได้รับการฝึกสอนจากไบรอัน เขาก็ใช้ปืนได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนกับมีดดาบ ไม่เพียงแต่จะยิงเป้านิ่งได้อย่างแม่นยำ แม้แต่ตอนที่วิ่งอยู่เขาก็ยังยิงได้อย่างแม่นยำเหมือนกัน
และตอนนี้ก็คือช่วงเวลาที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเอง
เขาไม่เพียงแต่จะวิ่งเข้าไปในเมืองเป็นคนแรก แต่เขายังจะทำผลงานเป็นอันดับหนึ่งของกองทัพด้วย
เขาจะทำให้ชื่อโจเดลของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งกองทัพ!
แต่ในตอนที่เหล่าทหารวิ่งขึ้นไปบนเนินและกำลังมองเห็นกำแพงเมืองของเมืองทัสก์ คลื่นความร้อนที่น่าหวาดกลัวได้ถาโถมเข้ามา มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่โจเดลนึกว่าตัวเองได้กลับไปยังดินแดนทางใต้สุดอีกครั้ง แถมยังเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนด้วย
อากาศร้อนอย่างรุนแรงได้แผดเผาผิวหนังของเขา ทำให้แม้แต่จะลืมตาก็ยังทำได้ยาก
คนที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
เหล่าทหารเหมือนกับชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ความเร็วในการคืบไปข้างหน้าช้าลงทันที แม้แต่คนของอาณาจักรทางเหนือที่วิ่งไปข้างหน้าก็ยังคงวิ่งถอยกลับมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหมอบลงไปยังด้านล่างของเนิน คล้ายกับว่าการทำแบบนี้จะช่วยหลบคลื่นความร้อนที่พวยพุ่งออกมาได้อย่างนั้น
โจเดลฝืนเดินต่อไปอีกสิบกว่าก้าว ก่อนจะยิ่งรู้สึกได้ถึงความแปลก
ลูกบอลเพลิงที่ลอยขึ้นไปบนอากาศได้ดับลงไปแล้ว เหลือเพียงแต่กลุ่มควันที่ยังกระจายคละคลุ้งอยู่ หมอกแดงที่เดิมทีปกคลุมพื้นที่ตรงนี้ได้หายไปส่วนหนึ่ง เหมือนกับว่ามันถูกอสูรยักษ์กลืนกินไปอย่างไรอย่างนั้น ส่วนหมอกที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้ลอยเข้ามาเติมในทันที ทำให้มันกลายเป็นพื้นที่ว่างทรงโค้งขนาดใหญ่
เมื่อมองผ่านประตูเมืองที่เปิดอยู่เข้าไป เขามองเห็นพื้นด้านในเมืองคล้ายว่ากำลังเดือดพล่านอยู่ โครงสร้างของบ้านเรือนดูบิดเบี้ยว โดยเฉพาะบ้านที่ทำขึ้นจากไม้ที่ถูกระเบิดจนพังถล่มลงมา เสาที่ถูกไฟเผาจนไหม้ดำดูแล้วเหมือนกับกรงเล็บของปีศาจที่ยื่นขึ้นมาจากใต้ดิน ส่วนศัตรูเองก็ไม่ได้วิ่งเข้ามาหยุดพวกเขาไว้ แล้วก็ไม่ได้วิ่งแตกตื่นหลบหนีไป ความจริงแล้วเขามองไม่เห็นปีศาจเลยซักตัว
ในขณะเดียวกัน โจเดลก็รู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่ค่อยออก คลื่นความร้อนที่ตลบอบอวลอยู่รอบๆ ทำให้เขาไม่กล้าอ้าปากหายใจ ร่างกายเหมือนกำลังต่อต้านการก้าวไปข้างหน้า แต่ละก้าวของเขาล้วนแต่หนักอึ้ง
บ้าเอ้ย…ตัวเองอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เห็นๆ อยู่ว่ากำแพงเมืองอยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนร่างกายสูญเสียเรี่ยวแรงไป สายตาเองก็เริ่มพร่ามัว
โจเดลคุกเข่าลง ก่อนจะฟุบลงไปกับพื้น
ภาพสุดท้ายที่เขามองเห็นคือ สีหน้ารังเกียจของฟาร์รีในตอนที่ลากเขา
…..
ผลจากการโจมตีกลับครั้งนี้เหนือไปจากที่ขวานเหล็กและทีมที่ปรึกษาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ในแผนเดิมที่วางเอาไว้ ถังเหล็กที่ถูกตั้งเอาไว้รอบๆ ทางทิศเหนือของเมืองหลวงอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทจะทำให้พื้นที่นอกเมืองกลายเป็นทะเลเพลิง เปลวไฟที่ลุกโชนไม่เพียงแต่จะกลืนกินบ้านเรือนที่ติดไฟได้ง่ายเหล่านั้น แต่มันยังจะเผาไหม้หมอกแดงที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองไปจนหมดด้วย เช่นนี้แล้วเมืองทัสก์ก็จะกลายเป็นเมืองเกาะที่โดดเดี่ยวชั่วคราว และพวกปีศาจที่ไม่ได้พกอุปกรณ์ช่วยหายใจมาก็จะพากันแตกตื่นลนลาน
และสุดท้ายพวกทหารที่ซุ่มโจมตีอยู่ก็จะอาศัยช่วงชุลมุนเข้าไปโจมตีพวกปีศาจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดของพวกปีศาจ แต่เมื่อดูจากรายงานที่ผ่านมาแล้ว ปีศาจมันมักจะปรับกำลังพลตามจำนวนประชากรที่อยู่ในเมือง หน่วยสอดแนมของพวกศัตรูจะต้องรู้เรื่องที่ประชากรในเมืองทัสก์ถูกอพยพไปจนหมดแน่นอน ด้วยเหตุนี้ช่วง 2 – 3 วันแรกที่หมอกแดงเข้าปกคลุมเมือง ศัตรูที่เข้ามาในเมืองน่าจะมีจำนวนไม่เกิน 500 ตัว พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนหรือความน่าเกรงขาม กองทัพที่หนึ่งก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายได้เปรียบ
ส่วนสุดท้ายจะกำจัดศัตรูได้กี่ตัว นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญของศึกนี้ เพราะเพื่อที่จะหลบเลี่ยงการสอดแนมของอสูรสยองแล้ว พวกทหารจึงได้แต่ต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในซากปรักหักพังกับทางลับ พวกอาวุธหนักก็ล้วนแต่ไม่สามารถขนมาใช้งานได้ อาศัยเพียงแค่ปืนยาวกับกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจในการหยุดปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าไร แต่การจะไปไล่ตามฆ่าศัตรูให้สิ้นซากนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำได้
เป้าหมายสำคัญของศึกนี้คือทำลายความฮึกเหิมในการบุกโจมตีของพวกปีศาจ ขอเพียงทำให้พวกมันรู้ว่ามนุษย์ที่ถอยหนียังคงมีความสามารถในการโจมตีพวกมันกลับอยู่ เช่นนั้นก็จะช่วยลดความกดดันให้กับทหารที่กำลังทำการอพยพพวกชาวบ้านได้
แต่การทำศึกครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอน ‘จุดระเบิด’ ก็ต้องหยุดลง
กำแพงไฟไม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างที่คิดเอาไว้ หากแต่กลายเป็นระเบิดที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เปลวเพลิงกวาดเมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ทจนกลายเป็นดินแดนต้องห้าม เหล่าทหารยังไม่ทันจะได้ก้าวข้ามประตูเข้าไปก็ถูกคลื่นความร้อนบีบให้ต้องถอยออกมา แถมยังมีทหารอีกหลายคนที่ถูกความร้อนแผดเผาจนได้รับบาดเจ็บด้วย เห็นได้ชัดว่าการโจมตีหลังจากนั้นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการโจมตีของพวกเขาล้มเหลว ขนาดอยู่นอกกำแพงเมืองยังสัมผัสได้อากาศอันร้อนผ่าว แล้วในเมืองจะมีสภาพเป็นอย่างไร ต่อให้เขาหลับตาก็ยังนึกภาพออก
ที่ผ่านมาไม่เคยมีหลักฐานไหนชี้ให้เห็นว่าปีศาจนั้นทนไฟได้มากกว่ามนุษย์
สิ่งเดียวที่ทำให้ขวานเหล็กรู้สึกเสียใจก็คือเขาไม่สามารถลงไปเดินดูในสนามรบว่าผลการโจมตีครั้งนี้เป็นอย่างไรได้ — อุณหภูมิภายในเมืองไม่รู้ว่าจะลดลงเมื่อไร อีกทั้งเขาเองก็ไม่สามารถอยู่ตรงนี้นานได้
“ท่านผบ. ทหารทุกหน่วยต่างถอยออกไปจากปราสาทโบรคเคนทูธแล้วขอรับ ตอนนี้เหลือแค่พวกเราแล้วขอรับ” ไบรอันเดินเข้ามาในห้องบัญชาการชั่วคราว สายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สำหรับเขาซึ่งได้มาเห็นภาพเหตุการณ์นี้โดยที่ไม่เคยได้เห็นการทดสอบอาวุธใหม่แล้ว ภาพเหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าเป็นภาพที่เขาต้องจดจำไปชั่วชีวิต
“ดีมาก พวกเราเองก็ถอยกันเถอะ” ขวานเหล็กพยักหน้า “ข้าคิดว่าอีกไม่นาน พวกศัตรูคงจะสังเกตเห็นที่นี่แน่ เอาไว้หน่วยไล่ล่าของพวกมันมาถึงที่นี่เมื่อไร ต่อให้คิดหนีก็คงไม่ทันแล้ว”
…..
และความจริงที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งวัน กองกำลังปีศาจกลุ่มหนึ่งก็ขี่อสูรสยองมาถึงเมืองทัสก์ และผู้นำของมันก็คือสกายลอร์ดเฮคซอร์ด
…………………………………………………………………….
ตอนที่ 1273 แผนของปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อประมาณ 20 กว่าชั่วโมงที่แล้ว มันได้รับรายงานว่าทางเมืองที่เรียกว่าวูล์ฟฮาร์ทนั้นมีลูกบอลไฟแปลกๆ ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา หน่วยสนับสนุนส่วนหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในตอนนั้นมันยังอยู่ที่เมืองทางตะวันตกของอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่อทำให้ผู้ปกครองของมนุษย์สวามิภักดิ์อยู่
ความจริงแล้วเฮคซอดไม่อยากสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะปีศาจที่มารายงานพูดถึงพลังทำลายล้างแปลกๆ ของระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ไม่คิดที่จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง
แค่ต้องไปคุยกับพวกมนุษย์ก็ทำให้มันเหนื่อยมากพออยู่แล้ว แต่ทั้งกองทัพก็ดันมีมันแค่คนเดียวที่ทำเรื่องนี้ได้ เพราะไม่ใช่ว่าลูกน้องมันทุกตัวจะฉลาดเหมือนอย่างอุรูคที่มักจะเรียนรู้ว่าสิ่งไหนมีประโยชน์สิ่งไหนไม่มีประโยชน์ พวกผู้ยกระดับส่วนใหญ่มักจะมองมนุษย์เป็นเหมือนแมลง ดังนั้นพวกมันยิ่งไม่มีทางที่จะไปเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ได้
แม่ทัพของมันเองก็เหมือนกัน แต่ละตัวล้วนแต่ภักดีและมีความสามารถ แต่นั่นก็แค่เรื่องสู้รบเท่านั้น ถ้าจะให้เจ้าพวกนั้นไปติดต่อกับมนุษย์ เกรงว่าไม่ถึงครึ่งวันพวกมันคงจะฉีกมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆ แน่
แต่มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชักจูงได้ง่าย ถึงแม้เผ่าพันธุ์นี้จะอ่อนแอ แต่สมองกลับค่อนข้างดี ในช่วงบุกเบิกแรกๆ พวกเขาถูกใช้ให้ทำงานแทนพวกปีศาจระดับล่างจำนวนมาก การทำลายมนุษย์ทั้งหมดนั้นไม่เป็นผลดีต่อเผ่าพันธุ์ของมัน
สรุปแล้วทั้งหมดนี้เป็นความผิดของวัลคีรีย์
เดิมมันคือราชาที่ถนัดในเรื่องนี้มากที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับเอาแต่แช่อยู่ในบ่อละอองชีวิต เฮคซอดมักจะรู้สึกว่าความอดทนของตัวเองเหมือนจะค่อยๆ ลดน้อยลงทุกวัน
แต่ว่าในตอนที่มันบินผ่านเมืองทัสก์ มันพลันสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ได้ทันที
ละอองชีวิตภายในเมืองดูเบาบางอย่างมาก เหมือนว่ามันถูกอะไรบางอย่างชะล้างไปอย่างนั้น ส่วนในเมืองก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทุกที่มีแต่ซากบ้านเรือนที่ถูกทำลายกับเสาไม้ไหม้ๆ
หลังพวกมันบินลงมาที่พื้น เฮคซอดพลันพบว่าบนพื้นที่ยังมีไออุ่นแผ่กระจายออกมา กลิ่นแปลกๆ ที่แสบจมูกลอยขึ้นมาปะทะหน้ามัน
ไม่นานมันก็พบที่มาของกลิ่นที่ว่านั้น
ปีศาจชั้นต่ำรูปร่างแปลกๆ กลุ่มหนึ่งนอนตัวหงิกงออยู่บนพื้น ผิวหนังของพวกมันไหม้จนเป็นสีดำเกรียม เห็นชัดว่าพวกมันถูกไฟเผาตาย แต่ที่น่าแปลกก็คือรอบๆ ตัวพวกมันเหมือนจะมีก็แต่ก้อนหินกับดินโคลน ไม่มีวัตถุอื่นที่ลุกติดไฟได้อยู่เลย เฮคซอดนึกไม่ออกว่าเปลวไฟลุกไหม้ตัวพวกมันได้อย่างไร
แต่ภาพแบบนี้ไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว
“โทโทล็อก เจ้ากับลูกน้องของเจ้าพาทหารไปสิบตัว ไปดูความเคลื่อนไหวของพวกกองทัพมนุษย์ ถ้าเจออะไรให้มารายงานข้าทันที”
“ขอรับนายท่าน”
“ซีอาซิส ตรวจสอบดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วลองดูซิว่ายังมีใครที่มีชีวิตรอดอยู่ไหม”
“ขอรับ นายท่าน”
ผู้ยกระดับรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว เฮคซอดเดินไปตามถนน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังพื้นที่ทางเหนือของเมืองที่เสียหายหนักที่สุด
จากที่ได้รับรายงานมา ปีศาจที่โดนซุ่มโจมตีคือทีมขนส่งที่เป็นร่างชั้นต่ำ แมลงน่าสงสารที่ไม่มีวันจะได้ยกระดับพวกนี้เป็นปีศาจระดับล่างที่สุดของเผ่าพันธุ์ ไม่ได้ต่างอะไรจากทาสหรือกรรมกรของพวกมนุษย์เลย ในตอนนั้นพวกมันกำลังขนหินออบซีเดียนและบ่อละอองชีวิตระดับสองเข้าไปในเมืองทัสก์ เพื่อที่จะใช้สร้างเป็นค่ายให้ร่างยกระดับได้ใช้พักผ่อน
หินออบซีเดียนที่ถูกตัดและถูกเคลือบเอาไว้เรียบร้อยกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ร่างชั้นต่ำส่วนหนึ่งยังคงอยู่ในสภาพที่กำลังขนส่งอยู่ในตอนนั้น ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ก็หมายความว่าพวกมันไม่ได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ ในจุดนี้จะเห็นได้ว่าการต่อสู้นั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วก็จบลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้การวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลก็คืออีกฝ่ายวางกับดักเอาไว้ที่นี่แทนที่จะรวบรวมกำลังพลบุกเข้ามา โทโทล็อกออกไปสำรวจอาจจะไม่ได้อะไรกลับมา
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้สกายลอร์ดรู้สึกหวาดกลัว มันยินดีที่จะเห็นพวกมนุษย์รวมกลุ่มบุกเข้ามามากกว่า เพราะอย่างน้อยแบบนั้นมันก็ยังเห็นความเคลื่อนไหวของพวกศัตรู เฮคซอดไม่สนใจความเป็นความตายของร่างชั้นต่ำ แต่แนวรบตะวันตกจะปล่อยให้มีอะไรเสียหายไม่ได้อีก ถ้ากองทัพหลักของพวกมันมาเจอกับดักแบบนี้เข้า ผลลัพธ์จะเป็นยังไงมันก็ไม่กล้าที่จะคิดถึงเหมือนกัน
ศัตรูใช้ ‘ไฟ’ ในการโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย เฮคซอดนั้นคุ้นเคยกับไฟเป็นอย่างดี ในสงครามแห่งโชคชะตาเมื่อครั้งอดีตมันก็เคยให้ไฟในการโจมตีเมืองของมนุษย์ เพียงแต่ละอองชีวิตนั้นไม่ชอบอุณหภูมิที่สูง จึงทำให้เผ่าพันธุ์มันไม่ค่อยใช้ไฟในการโจมตี
เปลวเพลิงที่สามารถเผาร่างระดับต่ำทั้งเป็นได้แบบนี้ มันเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เหมือนว่าทั้งเมืองถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเตาไฟขนาดใหญ่
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ถ้ามนุษย์มีอาวุธแบบนี้อยู่จริงๆ อย่างนั้นก็จำเป็นต้องให้จักรพรรดิรับทราบว่าแนวรบตะวันตกมีอันตรายแล้ว
เดี๋ยวๆ…เปลวเพลิง?
ภายในหัวเฮคซอดมีภาพๆ หนึ่งผุดขึ้นมาทันที มันเป็นภาพที่มันเห็นตอนที่มันเข้าไปค้นหาความทรงจำของคาบราดาบีในโลกแห่งจิตสำนึก ลูกบอลเพลิงที่สว่างเจิดจ้าเบ่งบานขึ้นมา คล้ายกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่ลอยขึ้นมาจากท้องฟ้า
หรือว่า…ที่คาบราดาบีเห็นในตอนนั้นก็ออาวุธเปลวเพลิงแบบนี้?
มันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
ในขณะที่สกายลอร์ดกำลังนึกหวาดกลัวอยู่นั่น เสียงของซีอาซิสพลันดังแทรกความคิดของมันขึ้นมา “นายท่าน ข้าตรวจสอบดูคร่าวๆ แล้ว ทีมขนส่งกลุ่มนี้มีร่างชั้นต่ำอยู่ทั้งหมด 350 ตัว แล้วก็มีร่างระดับต้นที่ทำหน้าที่คุ้มครองพวกมันอยู่อีก 10 กว่าตัว ตอนนี้ยังไม่พบผู้รอดชีวิต แต่ข้าคิดว่าข้ารู้วิธีโจมตีของแมลงพวกนั้นแล้วขอรับ”
“โอ้? ไหนลองว่ามาซิ”
“เชิญตามข้ามาเลยขอรับ”
เฮคซอดบินตามซีอาซิสมาที่บริเวณใกล้ๆ กำลังเมืองทางทิศเหนือ ร่างระดับต้นส่วนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาขุดอะไรบางอย่าง รอบๆ พวกมันมีเศษโลหะสีดำกองกระจัดกระจาย ส่วนตรงที่ๆ ไกลออกไปอีกหน่อยก็มีรถศึกสำหรับโจมตีเมืองหลายคันพลิกคว่ำอยู่ หลังจากที่ร่างซิมไบออนท์ที่มีความแข็งแกร่งและความคล่องตัวมากกว่าถูกสร้างขึ้นมา อาวุธสำหรับทำศึกรุ่นเก่าพวกนี้จึงกลายมาเป็นเครื่องมือสำหรับการขนส่งแทน
“ท่านดูนี่สิขอรับ” ซีอาซิสยื่นหนวดออกไปหยิบเศษโลหะที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ตรงรอยฉีกมีร่องรอยหลอมละลายอยู่อย่างชัดเจน “ถ้าเอามันมาประกอบเข้าด้วยมัน มันน่าจะเป็นภาชนะอย่างหนึ่ง และของแบบนี้ก็ถูกตั้งเรียงเอาไว้รอบเมือง ดูน่าจะมีอยู่หลายร้อยอัน ข้าคิดว่าพวกแมลงน่าจะใส่ผงหิมะกับวัตถุที่ลุกติดไฟได้เอาไว้ข้างใน แล้วก็คิดที่จะใช้มันทำลายเส้นทางการขนส่งของพวกเรา จากนั้นค่อยฉวยโอกาสบุกเข้าโจมตี”
หลังสู้กับมนุษย์จนมาถึงตอนนี้ พวกมันย่อมต้องรู้เรื่องอาวุธที่พวกมนุษย์ใช้แน่นอน ในระหว่างที่ไล่ฆ่าอีกฝ่าย เฮคซอดก็ยังเก็บอาวุธของมนุษย์มาได้ไม่น้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็น ‘กระบอกเพลิง’ หรือว่า ‘หน้าไม้เพลิง’ ก็ล้วนแต่ใช้ผงหิมะเป็นตัวจุดชนวนให้ไฟลุก เมื่อเทียบกับอาวุธที่ใช้พลังเวทมนตร์ในการขับเคลื่อนแล้ว มันดูใช้งานได้ยุ่งยากกว่า และก็เป็นเพราะเหตุนี้ โครงสร้างของอาวุธเหล่านี้จึงดูมีความละเอียดประณีตอย่างมาก นี่เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เคยมาก่อนในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา
“ถ้าเป็นแค่เปลวไฟธรรมดา อย่างนั้นมันจะสร้างความเสียหายขนาดนี้ได้ยังไง?”
“นายท่าน เปลวไฟนี่เกรงว่าจะไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา อย่างน้อยอุณหภูมิของมันก็สูงกว่าเปลวไฟธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่มีทางที่จะเผาร่างชั้นต่ำทั้งหมดนั่นทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันขนาดนี้ได้ ข้าคิดว่าจุดสำคัญน่าจะอยู่ที่รถศึกสำหรับโจมตีเมืองพวกนั้นขอรับ”
“หมายความว่ายังไง?” เฮคซอดถาม ซีอาซิสเป็นปีศาจที่มีพลังจิต ผู้ยกระดับที่มีความสามารถย่อยแบบนี้มักจะมีความสามารถในการสังเกตที่เฉียบคม และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สกายลอร์ดส่งมันมาสำรวจดูสนามรบ
“ในตอนที่ผงหิมะเหล่านี้ถูกจุดระเบิด มันอาจจะไปกระทบถูกรถศึกที่กำลังผ่านประตูเมืองในตอนนั้น ปกติรถศึกมักจะใช้ขนของหนักๆ อย่างเช่นบ่อละอองชีวิตหรือไม่ก็ถังเก็บละอองชีวิต ซึ่งอุณหภูมิที่สูงทำให้พวกมันระเบิด แล้วก็ยิ่งทำให้ละอองชีวิตของที่นี่เสียหายหนักขึ้น” อีกฝ่ายโบกสะบัดหนวดอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงซู่ๆ ออกมาไม่หยุด “ท่านก็รู้ว่าในตอนที่อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรก็ถูกเผาไหม้ได้ทั้งนั้น รวมไปถึงพวกเราด้วย”
คำอธิบายของซีอาซิสทำให้เฮคซอดรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย การระเบิดครั้งนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่มันก็ยังไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างน้อยถังเหล็กขนาดใหญ่เหล่านั้นก็ทำให้มันรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย เพราะการที่ต้องติดตั้งอาวุธจำนวนมากเอาไว้ล่วงหน้ากับการที่สามารถยิงออกมาได้ตลอดเวลานั้นไม่เหมือนกัน ขอเพียงหลังจากนี้เพิ่มการป้องกันให้แน่นหนามากขึ้น กับดักแบบนี้ก็ยากที่จะทำอะไรพวกมันได้
แต่แน่นอน มันก็รู้ดีกว่าการที่จะตรวจสอบเมืองมนุษย์ซักเมืองอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การหยุดขนส่งบ่อละอองชีวิตกับถังเก็บละอองชีวิตก็ไม่ได้ทำให้พวกมันปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่คิดว่าพวกร่างระดับต้นกับร่างชั้นต่ำพวกมันจะสามารถทำเรื่องนี้ได้
วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็คือใช้พวกมนุษย์ด้วยกันเอง
“นายท่าน ต่อไปพวกเราจะทำยังไงดีขอรับ?”
“ชะลอความเร็วในการเข้าเมืองก่อน ให้พวกมนุษย์มันเข้าไปตรวจสอบแทนพวกเรา” เฮคซอดทำการตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ที่อื่นก็ไม่สามารถส่งร่างชั้นต่ำมาทางนี้ได้ ความเสียหายตรงนี้ให้ปราสาทรีเฟลคสโนว์มาชดเชยแทนแล้วกัน ข้าคิดว่าเอิร์ลมาร์เวนจะต้องยินดีรับใช้พวกเราแน่”
“นอกจากนี้พวกเราก็ยึดเอาอาวุธบางส่วนของพวกศัตรูมาได้ไม่ใช่เหรอ?” สกายลอร์ดชะงักไปเล็กน้อย “ขุนนางจำนวนไม่น้อยเหมือนจะเกลียดคนเกรย์คาสเซิลอย่างมาก ก็ให้พวกมันเอาไปลองใช้แล้วกัน”
………………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น