Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1266-1269
ตอนที่ 1266 อดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวนดี้ยิ้มพร้อมลูบหัวไทเลน “เห็นลูน่าเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนนางขี้กลัวกว่าเจ้าอีกรู้ไหม”
“อ้าา หยะ หยุดนะ!” ลูน่ารีบขอร้อง “นั่นมันเป็นเรื่องในอดีต!”
“โอ้? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” หูของโลก้าตั้งขึ้นมา
“ตอนนั้นนางจะกล้ามาหาขาแค่ตอนที่ทุกคนหลับไปแล้ว ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ ทั้งวันก็ยังเล่าไม่หมด…”
“หยุด!” ลูน่าตะโกนเสียงดัง “จะให้ข้าทำอะไร พี่เวนดี้!”
“วางใจได้ ข้าไม่เล่าออกมาหรอก…แต่ว่าเมื่อวานบุ๊คมาบ่นให้ข้าฟังว่าในสำนักบริหารยุ่งมาก ห้องเอกสารไม่มีใครไปจัดนานแล้ว…”
“ข้าไปเดี๋ยวนี่แหละ ทีมนักสืบขอตัว!” ก่อนจะจากไปเธอยังหันมากะพริบตาให้ทั้งสองคน “คืนนี้พวกเราค่อยเจอกัน!”
“ชิ” หมาป่าสาวเบะปาก ก่อนจะเดินตามคนอื่นๆ ออกไปนอกกกำแพงสวน “ข้าไปช่วยด้วยดีกว่า ใครใช้ให้ข้าเป็นคนดีล่ะ”
จนกระทั่งเหล่าแม่มดเดินจากไปแล้ว เกรย์แรบบิทจึงเอาข้อศอกขึ้นมากระทุ้งเบลแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ข้าว่าพี่โลก้าคงไม่อยากถูกเจ้าเหมารวมมาเป็นคนขี้เกียจ นางถึงได้ตามไปด้วย”
“เอ่อ…จริงเหรอ?”
“พรืดด” โมโม่หลุดหัวเราะออกมา
ไทเลนเองก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่ชั่วแวบเดียว แต่ในระหว่างทางที่นี่จากเจ้านายมา เธอไม่เคยเห็นอีกฝ่ายยิ้มมาก่อน
“ที่นี่ดีหมดทุกอย่าง แค่บางครั้งจะวุ่นวายไปหน่อย แค่เดี๋ยวสักพักพวกเจ้าก็จะชินไปเอง” เวนดี้พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เดี๋ยวพวกเราไปดูที่พักกันก่อนดีกว่า”
…..
กระทั่งเดินดูทั้งตึกเสร็จเรียบร้อย ไทเลนจึงรู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก
บนโลกนี้มีห้องที่สบายขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย! ถึงแม้มันจะไม่ใหญ่ แต่ทุกอย่างล้วนแต่จัดทำขึ้นมาอย่างประณีต แม้แต่ฟูกที่นอนธรรมดาๆ ก็ยังมีความละเอียดและนุ่มนวลอย่างที่คาดไม่ถึง เธอไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นที่อยู่ของขุนนาง เรียกได้ว่าช่วงเวลาหลายปีที่ถูกเจ้านายขังเอาไว้ สถานที่ที่อยู่ถูกจับไปขังเอาไว้บ่อยที่สุดก็คือห้องนอน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เตียงที่ทำขึ้นมาจากผ้าคุณภาพดีและใช้เบาะฝ้ายยัดเอาไว้หลายชั้นยังไม่อาจเทียบกับเตียงที่นี่ได้
ในตอนที่เวนดี้คะยั้นคะยอให้เธอลองนอน เธอถึงกับส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ด้วยความส่าย ความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ในหัวใจถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เธอเกือบจะลืมลุกขึ้นมา
ส่วนโมโม่เองก็ไม่ได้ต่างจากเธอเท่าไร
เวนดี้อธิบายให้ฟังว่าที่ฟูกที่นอนนุ่มขนาดนี้นั้นเป็นเพราะด้านในมีสปริงติดตั้งอยู่หลายร้อยเส้น ไม่ว่าจะนอนพลิกไปมาอย่างไรก็จะได้รับสัมผัสระหว่างเตียงกับร่างกายที่ดีที่สุด
ถึงแม้ไทเลนจะไม่รู้ว่าสปริงที่ว่ามันคืออะไร แต่อย่างน้อยเธอก็ฟังออกว่ามัยทำขึ้นมาจากเหล็กกล้าบริสุทธ์ เอาวัตถุดิบที่เอาไว้ตีเป็นชุดเกราะมาทำให้ฟูกที่นอนมีความสบายมากขึ้น เธอไม่รู้ว่าควรจะชมคนที่ประดิษฐ์มันขึ้นมาว่ามีความคิดสร้างสรรค์หรือว่าไม่รู้คุณค่าของสิ่งของดี
แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น
อย่างเช่นท่อที่พอบิดกลไกก็จะมีน้ำไหลออกมาเอง
อย่างเช่นกระจกที่แขวนอยู่ในห้องน้ำแล้วสามารถมองเห็นร่างกายทุกซอกทุกมุมได้
อย่างเช่นแผ่นปูพื้นที่ทั้งนิ่มแล่วยังกันลื่นได้ด้วย
อย่างเช่นโคมไฟที่พอใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปก็จะสว่างขึ้นมา
แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูเรียบง่ายก็ยังให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ที่อื่น เธอเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัรฃนว่ามันต่างกันอย่างไร แต่ว่ามันใช้ง่ายเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับคฤหาสน์ที่อยู่ใหญ่โตของพวกขุนนางแล้ว ที่นี่ดูเหมือน ‘บ้าน’ สำหรับใช้อยู่อาศัยมากกว่า
“ตอนแรกตึกแม่มดก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก” เวนดี้อธิบายต่อ “ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พี่้น้องแม่มดหลายๆ คนได้ทำการเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้น แล้วก็เอาผลสำเร็จนี้เผยแพร่ไปยังที่อื่นๆ ไม่ใช่แค่ในเขตปราสาทเท่านั้น แต่ในเขตที่อยู่อาศัยที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ก็ใช้เทคโนโลยีบางส่วนของตึกแม่มดเหมือนกัน แต่แน่นอนว่าถ้าอยากจะเป็นคนแรกๆ ที่ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีพวกนั้น อย่างนั้นก็ตึกแม่มดแห่งนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“พวกเรา…ก็อยู่ที่นี่ได้งั้นเหรอ?” โมโม่ถามขึ้นมาอย่างลังเล
“ได้สิ ขอเพียงพวกเจ้ายอมเข้ามาอยู่ในสโมสรแม่มด”
“เลือกที่จะไม่เข้าได้ด้วยเหรอ?” ไทเลนแปลกใจอย่างมาก
“เพราะว่าพวกข้าเคยมีประสบการณ์อันแสนเศร้าสมัยที่อยู่สมาคมแม่มด…” มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง บนใบหน้าของแวนดี้ดูเศร้าเสียใจ “ไม่พูดถึงเรื่องนั้นดีกว่า เอาเป็นว่า พวกเจ้าสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะอยู่ที่ไหน ยังจำคำถามที่พวกเจ้าถูกถามตอนที่อยู่ตรงด่านที่ท่าเรือไหม?”
ไทเลนพยักหน้า ตอนนี้มีแต่เธอกับโมโม่ที่ถูกเชิญให้เข้าไปในห้องเล็กๆ
“นั่นคือการตรวจสอบความเป็นภัยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแม่มดโดยเฉพาะ เพราะถ้าคนที่มีเวทมนตร์มีความคิดที่ชั่วร้าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะมากกว่าคนธรรมดา แต่หลังจากได้รับการยืนยันแล้วว่าพวกเจ้าไม่เป็นภัยต่อเนเวอร์วินเทอร์ พวกเจ้าก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองได้อย่างอิสระ ความจริงนอกจากสโมสรแม่มดแล้ว ยังมีกลุ่มแม่มดอยู่อีกกลุ่มชื่อว่ามนตร์แห่งสลีปปิ้ง พวกนางก็เป็นกลุ่มแม่มดที่ตั้งมาจากแม่มดที่หลบหนีเหมือนกัน หัวหน้ากลุ่มนั้นคือน้องสาวของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน” เวนดี้ชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน พวกเจ้าเองก็สามารถเลือกที่จะไม่เข้าทั้งสองกลุ่ม แล้วไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ ซึ่งข้าก็จะคอยชี้แนะและให้การช่วยเหลือ ในนามส่วนตัวของข้า”
“แต่ความสามารถของพวกข้า…”
“นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือพวกเจ้าอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน” เวนดี้ส่ายหัวยิ้มๆ “ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เจ้าช่วยเล่าอดีตของเจ้าให้ข้าฟังได้ไหม?”
ความรู้สึกอบอุ่นเข้าโอบล้อมไทเลนเหมือนกับสายน้ำ
ผู้หญิงผมแดงที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะเกิดมาเพื่อเป็นที่พึ่งพาของพวกเธอ
ต่อให้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้น เธอก็ไม่อยากจากไปไหน
บางทีหลังจากที่เธอเล่าจบแล้ว ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ก็อาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ เธอก็ยังสามารถทำให้เวลามันยาวขึ้นได้อีกหน่อย
ไทเลนกัดริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆ เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดของตน
ก่อนที่จะตื่นรู้เป็นแม่มด เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน และสิ่งที่เธอต้องเจอหลังจากที่ตื่นรู้เป็นแม่มดก็เหมือนกับแม่มดคนอื่นๆ ถูกขับไล่ ถูกรังเกียจ ถูกไล่ฆ่า….ตอนที่กำลังสิ้นไร้หนทาง เธอได้ยินข่าวลือเรื่องสมาคมบลัดแฟงค์ ในตอนนี้สิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุดก็คือที่ๆ ให้เธอได้อยู่อย่างสงบ เธอยอมเสี่ยงที่จะโดนศาสนจักรจับได้ ออกเดินทางมาที่เกาะอาชดยุค ก่อนที่จะเจอกับคนของสมาคมบลัดแฟงค์
แต่คิดไม่ถึงเลยสิ่งที่เธอพบเจอเป็นหายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม
สมาคมบลัดแฟงค์ไม่เพียงแต่จะไม่รับเธอเอาไว้ หากแต่ยังจับเธอไปขายให้กับขุนนางคนหนึ่งของวูล์ฟฮาร์ทด้วย ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากนั้น เธอถูกขายต่อให้คนอื่นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งมาถึงมือเจ้านายคนหนึ่ง ความสามารถของเธอได้กลายเป็นวิธีหาความสุขแบบหนึ่ง ‘ยาเม็ด’ ที่ถูกใส่พลังเวทมนตร์ลงไปไม่เพียงแต่จะช่วยชะลอความเจ็บปวดได้ แต่มันยังช่วยชะลอความหงุดหงิดและความสุขได้ด้วย
สำหรับการรักษาแล้ว มันถือว่าไม่มีประโยชน์เท่าไร เพราะว่าความเจ็บปวดมันจะไม่หายไปไหน เพียงแต่มันจะระเบิดออกมาทีเดียวในตอนที่ยาหมดฤทธิ์ หากเป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อยก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าอาการเจ็บปวดที่ว่ามันมากเกินระดับหนึ่งไป ในตอนนั้นความเจ็บปวดที่ระเบิดออกมาอาจจะเจ็บจนเหมือนจะตายเลย
ด้วยเหตุนี้เจ้านายคนก่อนหน้าจึงมองเธอเป็นเหมือนเครื่องมือในการหาความสุข เขาใช้ประโยชน์จาก ‘ยาเม็ด’ มาสร้างความสุขให้กับตัวเอง ไม่ใช่เท่านี้ เขายังแบ่งเธอไปให้ขุนนางคนอื่นใช้หาความสุขเพื่อสร้างสัมพันธ์ด้วย และในตอนนั้นเองไทเลนก็ได้รู้จักกับโมโม่ อีกทั้งแม่มดอีกหลายคนที่ถูกสมาคมบลัดแฟงค์จับมาขายให้กับขุนนาง
ในตอนนั้นเธอถึงได้เข้าใจว่า ‘สถานที่สงบสุข’ ที่ว่านั้นก็เป็นแค่เรื่องที่สมาคมบลัดแฟงค์กับขุนนางร่วมมือกับแต่งขึ้นมาเท่านั้น แทนที่จะไปวิ่งไปจับพวกเธอมา สู้รอให้พวกแม่มดเป็นฝ่ายเข้ามาหาพวกเขาเองดีกว่า และหลังจากนั้นไทเลนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหลังจากที่ศาสนจักรบุกเข้ามา เหล่าแม่มดที่เธอรู้จักก็เริ่มหายไปทีละคนสองคน จนสุดท้ายเหลือเพียงแค่เธอกับโมโม่
กระทั่งมีขุนนางคนหนึ่งหลุดปากออกมา เธอถึงได้รู้ว่าคนพวกนั้นจับแม่มดไปมอบให้ศาสนจักรเป็นเครื่องบรรณาการ หรือไม่ก็แอบกำจัดพวกเธออย่างเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ส่วนวิธีการจัดการแม่มดนั้น เพียงแค่ฟังก็ทำให้เธอรู้สึกขนลุกแล้ว
ไทเลนฉวยโอกาสตอนที่ศาสนจักรบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายแอบพาโมโม่หนีออกมาที่นั่น
และวิธีที่เธอได้ก็คือการใช้ ‘’ยาเวทมนตร์’ เกินขนาด
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1267 คำเชิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ยาเวทมนตร์’ ที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นยาเม็ดเท่านั้นถึงจะได้ผล เธอไม่เคยบอกขุนนางพวกนั้นเลยว่าตัวเธอสามารถใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในวัตถุทุกๆ อย่างได้ การกลืนยาเม็ดเล็กๆ เข้าไปนั้นทำให้สะดวกต่อการควบคุมปริมาณการใช้ยา แต่นั่นมันก็ทำให้พวกเขามองข้ามจุดที่สำคัญอย่างมากไป
ในงานเลี้ยงส่วนตัวครั้งนั้น ไทเลนได้ในพลังเข้าไปในอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด มีแต่ในการเลี้ยงที่น่าขันแบบนี้ การป้องกันของขุนนางที่มีต่อเธอก็จะลดลง
และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องนี้ ในตอนที่ความสุขถูกสะสมจนมากไปถึงระดับหนึ่ง มันก็สามารถทำให้คนตายได้ไม่ต่างจากความรู้สึกเจ็บปวด ในตอนที่เหล่าผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงรู้สึกได้ถึงความสุขที่มาอย่างกะทันหันมันก็สายไปเสียแล้ว พวกเขาพากันเอามือกุมหน้าอกแล้วลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น ต่อให้เป็นคนที่กินอาหารเข้าไปไม่เยอะก็มือเท้าอ่อนแรง สีหน้าดูเคลิบเคลิ้มเหมือนกับกำลังดื่มด่ำกับความสุขอย่างมากอยู่
ทาสผู้หญิงที่อยู่ในห้องตกใจหนีไปทันที ส่วนยามที่เฝ้าอยู่ก็ห้ามไม่ทัน ไทเลนกับโมโม่เองก็ฉวยโอกาสนี้หนีออกมาด้วย
หลังจากนั้นพวกเธอก็ระเหเร่ร่อนอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ
จนกระทั่งได้ยินข่าวการอพยพครั้งใหญ่ไปเกรย์คาสเซิล พวกเธอทั้งสองคนถึงได้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงดวงดู
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง…” เวนดี้ยื่นมือออกไปโอบพวกเธอมาไว้ในอ้อมอก “ที่ผ่านมาพวกเจ้าคงต้องลำบากมากสินะ? ข้าขอรับรองว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอีก”
“ท่าน…ไม่รังเกียจพวกข้าเหรอ?” ไทเลนกัดริมฝีปาก
“ทำไมถึงต้องรังเกียจ? เพราะอดีตแย่ๆ ที่ผ่านมาเหรอ?” เวนดี้ถามเสียงอ่อนโยน “ถ้าจะพูดแบบนี้ ข้าเองก็เคยเกือบจะถูกศาสนจักรทำให้เป็นแบบนี้้เหมือนกัน ดังนั้นข้าถึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปซ้ำเติมคนที่เคยต้องทุกทรมานแบบนี้”
“แต่พลังของพวกข้า…มีแต่จะนำความโชคร้ายมาให้ท่าน” ไทเลนกำหมัดของตัวเอง
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะบอกได้”
“แต่ว่า หลังจากที่ได้ลิ้มลองความสุขนั่น ท่านก็จะไม่มีวันลืมเด็ดขาด ความต้องการของท่านมีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากโหยหาแต่ความสุขนั่น…ถ้าหากอยู่ที่นี่ ข้ากลัวว่า….”
“กลัวฝ่าบาทจะควบคุมไม่ได้หรือไม่ก็มองพวกเจ้าเป็นความชั่วร้ายเหรอ?” เวนดี้พูดปลอบ “สบายใจได้ ฝ่าบาทของพวกข้า…จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนราชา แต่พระองค์ก็ทรงเป็นคนดีที่ไม่เหมือนคนดีทั่วๆ ไปแน่นอน”
ไทเลนงุนงง “คนดีที่ไม่เหมือน…คนดีทั่วๆ ไป?” เธอเพิ่งจะเคยได้ว่าสามารถใช้คำแบบนี้มานิยามราชวงศ์ได้ด้วย
“ความหมายของข้าก็คือ เจ้าไม่มีทางที่จะคาดเดาความคิดของพระองค์ได้เลย แล้วก็ไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ธรรมดามาวิเคราะห์การกระทำของพระองค์ด้วย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือความหวาดกลัวใดๆ ก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ความเชื่อมั่นต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ” จู่ๆ เสียงของเวนดี้ก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม “พี่น้องสมาคมแม่มดเองก็ได้รับการช่วยเหลือแบบนี้เหมือนกัน”
หลังนิ่งเงียบไปครู่ เธอถึงมองไปทางโมโม่ “เออใช่ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าความสามารถของ ‘พวกเรา’ หรือว่าโมโม่เองก็….”
ครั้งนี้ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายก็เป็นโมโม่ที่เป็นฝ่ายพูดออกมา “เจ้านายคนก่อนหน้านี้ไม่อย่างให้ข้าใช้พลัง เขาก็เลยควักเอาดวงตาที่เปลี่ยนสภาพหลังจากที่ข้าตื่นรู้ออกไป”
เวนดี้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่แรกแล้ว บนใบหน้าของโมโม่มีผ้าเก่าๆ ชิ้นหนึ่งคาดปิดตรงดวงตาเอาไว้ เดิมเธอนึกว่ามันเป็นบาดแผลที่ถูกเหล็กร้อนๆ มานาบหรือว่าถูกสลักตัวหนังสือเอาไว้อย่างนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะร้ายแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก
อีกฝ่ายพูดจบก็ค่อยๆ แกะเอาผ้าออก ก่อนจะเผยให้เห็นเบ้าตาที่ถูกควักเอาลูกตาออกไปจนว่างเปล่า
“แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการทำแบบนี้แค่ทำให้ข้าสูญเสียความสามารถในการมองเห็นไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น มีแต่โซ่หินอาญาสิทธิ์เท่านั้นถึงจะหยุดความสามารถของข้าเอาไว้ได้จริงๆ”
เวนดี้ถอนหายใจออกมา แม่มดที่ทำให้พลังเวทมนตร์หลอมรวมเข้ากับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์จะถูกเรียกว่าอมนุษย์ แต่สถานการณ์ของโมโม่แบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับอมนุษย์ มีความเป็นไปได้สูงว่าความสามารถของเธอบังเอิญไปแสดงผลบน ‘ประสาทการมองเห็น’ จนทำให้ดวงตาได้รับผลกระทบไปด้วย
“ตอนแรกขุนนางพวกนั้นไม่ได้สนใจความสามารถของโมโม่ จนกระทั่งเกิดเรื่องบางเรื่องขึ้น พวกเขาถึงได้บอกให้เจ้านายควักเอาลูกตาของเธอออกมา” ไทเลนพูดเสียงเบาๆ “พวกเขาบอกโมโม่เป็นบุตรของนรก แล้วก็ลงโทษทรมานเธอทุกทางจนเธอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”
เวนดี้ลูบเบ้าตาที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลของเธออย่างเมตตา “เจ้ามองเห็นอะไรกันแน่ บอกข้าได้ไหม?”
โมโม่ก้มหน้า “….ตัวเลข”
“อะไรนะ?”
“ตัวเลขนับถอยหลังที่บอกถึงช่วงเวลาที่เหลือสุดท้าย”
เวนดี้ตกตะลึงอยู่ครู่ก่อนจะคิดตามได้ทัน เธออดสูดปากขึ้นมาด้วยความตกใจไม่ได้
“หรือที่ไทเลนบอกว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมันจะหมายถึง….”
โมโม่พยักหน้า “มันกลายเป็นจริง ขุนนางคนหนึ่งที่มีเลขหนึ่งอยู่บนหัวตายลงในปีถัดไป”
เวนดี้เงียบไปทันที
เธอเหมือนจะรู้แล้วว่าทำไมขุนนางพวกนั้นถึงลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ การมาบอกว่าตัวเองเหลือชีวิตอยู่เท่าไรแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะในตอนที่ตัวเลขนั้นเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ปี แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะรู้คำตอบด้วยพลังแบบนี้เหมือนกัน”
“แต่ว่า…เรื่องแบบนี้มันทำได้จริงๆ เหรอ?” เวนดี้ครุ่นคิดอยู่ครู่ “เพราะว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”
ทั้งสองคนตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ทำไมเหรอ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
“เปล่า…” ไทเลนรีบโบกมือ “ข้าแค่รู้สึกว่า…ท่าทีของท่านไม่เหมือนกับคนอื่นเลย ท่านเป็นคนแรกที่ถามถึงรายละเอียดของพลัง”
“โอ้? อย่างนั้นพวกเจ้าคิดเอาไว้ว่าข้าจะทำยังไง?”
ไทเลนตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ผลักโมโม่ออกไป แล้วถามว่านางได้ใช้พลังหรือเปล่า จากนั้นก็ไล่พวกเราออกไปนอกปราสาท ยิ่งไกลยิ่งดี”
เวนดี้หลุดหัวเราะออกมา “ความสามารถมันไม่มีดีหรือไม่ดี สิ่งสำคัญมันอยู่ที่คนที่ใช่มัน ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าใจพลังละเอียดเท่าไร ต่อไปมันก็จะยิ่งง่ายต่อการใช้งาน”
“ท่านคิดว่า…พลังของข้ามีประโยชน์เหรอ?” โมโม่พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ไม่แน่ แต่ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่าความสามารถของแม่มดทุกคนมักจะมีวิธีใช้งานของมันอยู่ ตอนนี้ไม่มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี”
โมโม่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาว่า “ความสามารถอันนี้ไม่สามารถคาดการเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ ข้าเคยบอกเห็นสัตว์ที่กำลังจะถูกเชือด แต่ตัวเลขบนหัวของมันยังเหลืออีกตั้งหลายปี แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” เวนดี้ถาม
“ตัวเลขบางตัวมีสีที่ไม่เหมือนกัน…ข้าไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าพวกมันน่าจะมีความแตกต่างกันอยู่”
“ถ้าเจ้ายอมเข้าสโมสรแม่มดล่ะก็ อีกไม่นานเจ้าก็น่าจะได้รู้คำตอบแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่แม่มดที่เข้ามาใหม่ทุกคนต้องทำก็คือเรียนรู้ที่จะควบคุมความสามารถของตัวเอง แล้วก็ทดสอบมันในด้านต่างๆ มีแต่ต้องเข้าใจมันให้ลึกมากพอถึงจะมีโอกาสที่จะทำให้มันพัฒนาไปอีกขั้นได้”
“พัฒ…นา?” ไทเลนไม่เข้าใจ
“ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง การตื่นรู้พลังเวทมนตร์นั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องที่ต้องเรียนรู้หลังจากนี้ยังมีอีกเยอะ” เวนดี้ผายมือออก “ว่ายังไง พวกเจ้าตัดสินใจได้หรือยัง?”
ไทเลนกับโมโม่สบตากัน
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกเราจะได้รับการยอมรับล่ะก็…”
“พวกเรายินดีเข้าสโมสรแม่มด”
พวกเธอยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง เหมือนกับว่ายังหวาดกลัวและไม่แน่ใจ แล้วก็ผสมปนเปไปด้วยความหวัง ก่อนจะค่อยๆ วางมือลงไปบนฝ่ามือของเวนดี้
………………………………………………………..
ตอนที่ 1268 ช่วงเวลาที่มารวมตัวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แด่สมาชิกใหม่ของพวกเรา หมดแก้ว!”
ในคืนนั้น ตรงลานด้านหน้าตึกแม่มดมีการตั้งโต๊ะยาวขึ้นมา งานเลี้ยงต้อนรับที่คึกคักถูกจัดขึ้น เวนดี้กับบุ๊คเป็นคนนำพี่น้องแม่มดยกแก้วเหล้าขึ้นมา ก่อนจะชูไปทางทั้งสองคน
“หมดแก้ว!” แม่มดคนอื่นๆ ต่างทยอยกันพูดตามขึ้นมา
ไทเลนกับโมโม่ถือแก้วเหล่าเอาไว้ด้วยสีหน้างุนงง
เธอคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในสโมสรแม่มดแล้ว พวกเธอจะถูกเวนดี้ลากไปอาบน้ำอุ่นที่สบายอย่างมาก จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แม้แต่เสื้อในรองเท้าถุงเท้าก็เป็นของใหม่ทั้งหมด จากนั้นยังไม่ทันทีที่พวกเธอจะตื่นขึ้นมาจากความตื้นตันใจและความงุนงง พวกเธอก็ถูกลากออกมาที่ด้านหน้าตึกแม่มดอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ บนพื้นสนามหญ้าได้กลายเป็นสภาพเป็นเช่นนี้เรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้แค่ตะโกนออกมาว่าหมดแก้ว จากนั้นก็ดื่มเหล้าในแก้วรวดเดียวให้หมดแบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว” โลก้าแสดงตัวอย่างให้ดู “เหมือนที่ข้าทำแบบนี้ อึกๆๆๆ”
“หมด…หมดแก้ว…” ไทเลนรวบรวมความกล้าขึ้นมาพูดตาม จากนั้นจึงหลับตาแล้วยกแก้วไปจรดที่ริมฝีปาก
“อึกๆๆๆ”
กลุ่มแม่มดพากันส่งเสียงปรบมือและผิวปากออกมาทันที
“โลก้ากำลังแข่งกินเหล้าอีกแล้ว” ลิลลี่เบะปาก “ใครบอกล่ะว่าต้องดื่มให้หมดแก้วจริงๆ ข้าว่านางก็แค่อยากจะดื่มมากกว่า”
“นั่นมันเป็นเหล้าขาวสตรอเบอร์รี่ที่อีฟลินบ่มขึ้นมา แต่เธอก็ยังดื่มได้สูสีกับโลก้าเลย ข้าดูถูกนางเกินไป” ลูน่าจุ๊ปาก “คนมีความสามารถแบบนี้จะต้องเข้ามาอยู่ในทีมนักสืบของพวกเราถึงจะถูก”
“แล้วหลังจากนี้ทีมของเจ้าก็จะมีแต่พวกขี้เกียจกับขี้เหล้า ช่างเหมาะกับเจ้าจริงๆ”
“แต่เจ้าก็อยู่ในทีมด้วยนะ!” ลูน่าชี้นิ้วมาที่เธอ
“ข้า เปล่าซักหน่อย! แถมเจ้ายังติดเงินข้าอยู่อีก 10 หยวนนะ!”
“เอ่อ ลืมมันไปเถอะ พวกเราเริ่มใหม่ได้”
“เจ้าออกไปเลย!”
“ฮ่า” หลังไทเลนดื่มเหล้าจนหมดแก้ว เธอพลันรู้สึกว่าการมองเห้นของเธอเหมือนจะเบลอๆ ขึ้นมา เมื่อก่อนเธอถูกบังคับให้ดื่มเหล้าชนิดต่างๆ แต่ก็ไม่มีเหล้าชนิดใหม่ที่จะร้อนแรงเหมือนเหล้าที่เธอดื่มวันนี้ ในตอนที่เหล้าผ่านลงไปในลำคอนั้นไม่ขม หากแต่ให้กับรู้สึกหอมกรุ่นขึ้นมา จนกระทั่งมันลงไปในท้อง เธอถึงได้รู้สึกถึงความเข้มข้นของมันที่เหนือกว่าเหล้าข้าวสาลี
แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างมากที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่เหล้า หากแต่เป็นอารมณ์ของเธอ
เมื่อเห็นหมาป่าสาวเติมเหล้าแก้วที่สองอย่างฮึกเหิม เมื่อเห็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของแม่มดที่อยู่รอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเลนรู้สึกว่าที่แท้การกินเหล้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกข์ทรมานอะไร มันทำให้เธออยากจะมีความสุขเหมือนกับทุกคน เขาก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ในใจมาเป็นเวลานานออกมา
ในเวลานี้ หญิงสาวรูปร่าวสูงใหญ่อีกคนหนึ่งถือแก้วเหล้าเดินเข้ามาหาเธอ
“ยินดีต้อนรับสู้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ข้าชื่อแอนนี่ มาจากวูล์ฟฮาร์ทเหมือนกับเจ้า แม้แต่ประสบการณ์ในการตามหาสมาคมบลัดแฟงค์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเจ้า”
ไทเลนงุนงงไปเล็กน้อย “หรือว่าเจ้าก็ถูกสมาคมบลัดแฟงค์….”
“ถูกต้อง แต่ว่าหนีออกมาได้ระหว่างทาง นอกจากนี้ในเกรย์คาสเซิลก็มีแม่มดที่หนีมาจากวูล์ฟฮาร์ทไม่น้อย อย่างเช่นคนนี้…” อีกฝ่ายลากเอาแม่มดที่ดูเหนียมอายคนหนึ่งออกมา “อีฟฟี่ นางเคยเป็นสมาชิกของสมาคมบลัดแฟงค์ด้วย เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่องที่เฮย์ดี มอร์แกนจับเอาแม่มดไปขาย โชคดีที่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว”
เป็นเวลาครู่ใหญ่กว่าไทเลนจะรู้เรื่องราวของสมาคมบลัดแฟงค์อย่างคร่าวๆ ที่แท้เฮย์ดี มอร์แกนก็ต้องระเหเร่ร่อนมาอยู่ที่เกรย์คาสเซิลเพราะความปรารถนาส่วนตัวของเธอเหมือนกัน และสมาคมที่เป็นเหมือนฝันร้ายนี้ก็ได้ถูกกำจัดทิ้งไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เธอพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ในระหว่างที่หลบหนี ทั้งสองคนเคยฝันนับครั้งไม่ถ้วนว่าพวกเธอถูกสมาคมบลัดแฟงค์จับได้ จากนั้นก็ถูกส่งกลับไปให้ขุนนางใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าสมาคมหนีไม่อยู่อีกแล้ว มันก็เหมือนเป็นการคลายความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจเธอ
“ขอโทษด้วยนะ…” อีฟฟี่ก้มหน้า “ถ้าตอนนั้นข้าหยุดเฮยดีได้ บางทีเรื่องพวกนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น….”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” โมโม่ส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้น…ต่อให้เจ้าหยุดนางได้ แต่เจ้าก็ไม่มีทางที่จะหยุดขุนนางได้”
“ถูกต้อง มันไม่สำคัญว่าคนที่เป็นหัวหน้าจะเป็นใคร เพราะถ้าไม่มีเฮย์ดีก็ต้องมีคนอื่นเข้ามาทำแทนอยู่ดี” ไทเลนรู้จักกิเลสของคนพวกนั้นดี ขอเพียงได้ลิ้มรสความหอมหวานของมัน พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะล้มเลิกง่ายๆ
“เจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าพวกนางไม่มีทางโทษเจ้าหรอก” แอนนี่พูดยิ้มๆ “ในเมื่อมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาปรึกษาพวกเราได้ ถ้าแม้แต่คนบื้อๆ อย่างอีฟฟี่ยังอยู่ที่นี่ได้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“เอ้าดื่ม” พอพูดจบเธอก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมา
“หมดแก้ว” ครั้งนี้ ไทเลนพูดได้ลื่นไหลขึ้นเยอะ
“ต่อไปก็ตาข้าล่ะ!” โลก้าตะโกนหน้าแดงขึ้นมา
“ข้าด้วย” ไลต์นิ่งเองก็เข้ามาร่วมวง “ข้าบรรลุนิติภาวะแล้ว ดื่มเหล้าได้!”
“จิ๊บๆๆๆ!”
“เจ้าไม่ได้ นกพิราบดื่มเหล้าไม่ได้”
“จิ๊บ!?”
“เฮ้ พวกเจ้าอย่าเอาแต่ดื่มเหล้าสิ กินอย่างอื่นด้วย”
“นาน่า เจ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ อย่าไปกินกับพวกนางนะ!”
บรรยากาศบนสนามหญ้าพลันคึกคักขึ้นมาทันที
“สโมสรไม่ได้มีสมาชิกใหม่มานานแล้ว ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนมาเพิ่มอีก 2 คน ดูเหมือนทุกคนจะมีความสุขกันมากเลย” บุ๊คที่อยู่ปลายโต๊ะด้านหนึ่งพลันอุทานออกมา
“การพาพวกนางมาดูตึกแม่มดก่อนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ ด้วย ข้าเหมือนจะค่อยๆ เข้าใจวิธีของฝ่าบาทแล้ว” เวนดี้พูดยิ้มๆ ขึ้นมา “ต่อให้พวกนางไปติดต่อกับมนตร์แห่งสลีปปิ้งก่อน ข้าก็มั่นใจว่าจะชวนทั้งสองคนเข้ามาสโมสรแม่มดได้ จากคำพูดของฝ่าบาท วิธีนี้เหมือนจะเรียกว่า ลูกปืนใหญ่….อะไรซักอย่างเนี่ยแหละ”
“เจ้าเองก็ชักจะทำเหมือนฝ่าบาทเข้าไปทุกทีแล้วนะ” บุ๊คพูดหยอก “ไหนตอนแรกยังบอกอยู่เลยว่าตัวเองมีความสามารถไม่มากพอ แล้วดูตอนนี้สิ ถึงกับคิดที่จะสู้กับองค์หญิงทิลลีแล้ว”
“ข้าก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น จะไปเหมือนเจ้าที่ทำอะไรรวดเร็วตั้งแต่สมัยที่อยู่สมาคมแม่มดได้ยังไงล่ะ” เวนดี้เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงแก้วที่สองให้เธอ “แต่จะว่าไป ภาพแบบนี้ดูยังไงก็ไม่เบื่อเลย”
“เสียดายที่พวกเราได้แต่คอยดูอยู่ข้างๆ” บุ๊คยักไหล่
“ก็ไม่เป็นมีอะไรแย่นี่นา ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะเฝ้ามองดูพวกนางแบบนี้ไปตลอดเลย” เวนดี้พูดเสียงเบาๆ
บุ๊คไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองนิ่งเงียบพร้อมมองดูเหล่าแม่มดที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน อีกด้านหนึ่งก็มีความสุขกับอาหารเลิศรสในงานเลี้ยง สำหรับพวกเธอแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่มีอะไรจะพูด หากแต่เป็นความรู้ใจกันที่พวกเธอสะสมมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งมีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “เดี๋ยวพองานเลี้ยงจบแล้ว ฝ่าบาทอยากจะเจอแม่มดที่ชื่อโมโม่คนนั้นหน่อย”
ไนติงเกลค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากหมอกมายา
เวนดี้รู้ถึงความคิดของโรแลนด์ทันที สีหน้าที่ดูผ่อนคลายในตอนแรกค่อยๆ คร่ำเคร่งขึ้นมา “หรือว่า…”
“พานางไปเถอะ” บุ๊คบอก “นับตั้งแต่ที่เจ้ารายงานเรื่องความสามารถไป เรื่องนี้ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะความอยากรู้อยากเห็นของฝ่าบาทนั้นมีมากกว่าใครๆ”
เวนดี้นิ่งไปครู่ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถ้าเจ้าไม่อยากรู้คำตอบก็ออกมาก่อนก็ได้ ข้าเชื่อว่าฝ่าบาททรงต้องเข้าใจแน่นอน” บุ๊คชะงักไปเล็กน้อย “แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ยังจะเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”
“…ถูกต้อง” เวนดี้เหมือนพูดซ้ำ แล้วก็เหมือนพูดย้ำชัดกับตัวเอง “ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นอย่างไร”
………………………………………………………..
ตอนที่ 1269 ดวงตาแห่งกาลเวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระทั่งแสงไฟภายในสวนดับไปแล้ว โรแลนด์ถึงได้เจอแม่มดที่อยู่ในรายงานคนนั้นภายในห้องทำงานของเขา
เธอดูแล้วอายุไม่มาก อย่างมากก็แค่ 16 – 17 ปี แขนขาลีบเล็ก ร่างกายซูบผอม มีร่องรอยถูกทารุณที่ชัดเจน ถึงแม้จะอาบน้ำทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนของเธอก็ยังดูเหมือนหญ้าแห้งๆ อยู่ แต่สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดก็คือผ้าปิดตาสีดำที่อยู่บนหน้าของเธอ ถึงจะเปลี่ยนเป็นผ้าที่ทำขึ้นมาใหม่แล้ว แต่มันก็ยังดูโดดเด่นกว่าใบหน้าเด็กๆ ของเธอ
“ฝ่าบาท นางคือโมโม่เพคะ” เวนดี้พูด
เสียงนี้เหมือนปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ สาวน้อยรีบคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างลนลาน เธอพยายามที่จะก้มหัวลงไปให้ต่ำที่สุด “ถะ ถวายบังคม ฝ่า ฝ่าบาทเพคะ”
“ดึงเธอขึ้นมาเถอะ” โรแลนด์วางแปลนที่อยู่ในมือลง ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลพูดว่า “ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่การพบกันแบบเป็นทางการอะไร เจ้าไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามานั้นง่ายมาก นั่นคือข้าอยากจะให้เจ้าใช้ความสามารถของเจ้ากับข้า”
โมโม่ที่ลุกขึ้นมาใหม่ทำสีหน้าลนลานขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…เกรงว่า…”
“ข้ารู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพอใจต่ออายุขัยของตัวเอง บางคนเวลาที่ไม่ได้รับคำตอบที่พอใจก็อาจจะโมโหออกมาได้” โรแลนด์พูดปลอบ “และข้าก็แค่อยากรู้คำตอบเรื่องๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าผลมันออกมาเป็นยังไงข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก เรื่องนี้ข้ารับรองได้”
ตามปกติแล้ว เรื่องแบบนี้ควรจะทำหลังจากที่เวนดี้ได้ทำการทดสอบความสามารถแล้ว เพียงแต่ความสามารถของอีกฝ่ายมันมีความพิเศษอย่างมาก นี่ทำให้โรแลนด์ไม่อาจสะกดความอยากรู้อยากเห็นภายในใจได้ ความจริงแล้ว เขาได้แต่คาดเดาเกี่ยวกับสงครามแห่งวิญญาณของซีโร่มาโดยตลอด เพียงแต่ยังไม่มีวิธีไหนที่จะพิสูจน์มันได้”
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะได้พิสูจน์มันแล้ว
“ฝ่าบาท…” โมโม่กัดฟัน “พระองค์…ทรงไม่กลัวเลยหรือเพคะ?”
โรแลนด์รู้ดีว่าถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนนี้ เขาคงไม่มีทางถามคำถามประเภทนี้เด็ดขาด การรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่นั้นมีแต่จะทำให้ยุ่งยากขึ้น แต่ยิ่งเขาอยู่ในตำแหน่งราชานานวันเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าภาระของตัวเองหนักขึ้นทุกวัน การคิดแบบปกติจึงไม่เหมาะที่จะใช้กับสถานการณ์ในตอนนี้อีกต่อไป ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายบรรยายมาไม่มีอะไรผิดพลาด การรู้อายุตัวเองล่วงหน้านั้นจะเป็นข้อมูลที่ล้ำค่าอย่างมากอย่างหนึ่ง หากเป็นโลกที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้จะถูกเรียกว่าเป็นการ ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ ถ้าเขาปฏิเสธที่จะรับรู้มันก็ดูจะน่าเสียดายไปหน่อย
แต่ต่อให้พูดความคิดเหล่านี้ออกมา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงได้แต่ยิ้มๆ “ต่อให้ข้ากลัว แต่อายุขัยข้ามันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี่นา”
โมโม่กำหมัด ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพยักหน้า “ในเมื่อพระองค์ทรงต้องการแบบนั้น…อย่างนั้นขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาทด้วยเพคะ”
“ฝ่าบาท” เวนดี้สูดหายใจ “หม่อมฉันขออนุญาตออกไปก่อนนะเพคะ”
โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ “….ข้านึกว่าเจ้ากับบุ๊คจะเป็นคนที่อยากรู้มากที่สุด”
“หม่อมฉันไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างพระองค์เพคะ แต่ก็เหมือนอย่างที่บุ๊คว่าไว้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร พวกหม่อมฉันก็จะสนับสนุนพระองค์จนถึงที่สุดเพคะ”
กระทั่วประตูถูกปิดลงไป โรแลนด์จึงหันหน้ามา “แล้วเจ้าล่ะ?”
โมโม่งุนงง
“ยังต้องให้พูดอีกเหรอเพคะ?” จากนั้นไนติงเกลก็ปรากฏกายขึ้นมาที่ด้านหลังของเขา ทำเอาสาวน้อยตกใจอย่างมาก “หม่อมฉันอยากจะรู้ทุกเรื่องของพระองค์เพคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี”
นิสัยช่างแตกต่างกันจริงๆ…โรแลนด์แอบยิ้ม “อย่างนั้นเริ่มกันเถอะ”
สายตาที่ตกใจและสงสัยของโมโม่มองดูไนติงเกลกับโรแลนด์อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจถอดผ้าปิดตาออก
ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ในเบ้าตาอันว่างเปล่าพลันมีแสงสีแดงสว่างขึ้นมา
มันเหมือนเป็นดวงตาที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ ตอนที่มันสะท้อนออกมาจากเบ้าตาดูแล้วแปลกประหลาดอย่างมาก โรแลนด์พอจะจินตนาการภาพตอนที่มันซ้อนทับกับดวงตาออก หากเป็นโลกยุคหลัง ทุกคนจะต้องไล่ตามหาดวงตาพิเศษแบบนี้แน่นอน แต่ในยุคสมัยนี้ การที่มันจะถูกมองว่าเป็นดวงตาแห่งความชั่วร้ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ว่าไง เจ้ามองเห็นอะไรไหม?”
โมโม่มองไปทางโรแลนด์ จากนั้นจึงลืมตากว้างขึ้น แสงสีแดงดิ้นไปมาไม่หยุด เหมือนกับว่ามันกำลังถูกลมที่มองไม่เห็นพัดอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที จู่ๆ แสงสีแดงก็ดับลงไป เธอถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
โรแลนด์สังเกตเห็นบนหน้าอีกฝ่ายมีเหงื่อไหลออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาลุกขึ้นยืน
ไนติงเกลหายตัวไปอยู่ข้างโมโม่ ก่อนจะยื่นมือไปพยุงเธอขึ้นมา “แค่ผลข้างเคียง…จากการใช้พลังเวทมนตร์เยอะเกินไปเพคะ”
“หรือว่าความสามารถแบบนี้จะใช้ได้แค่หนึ่งคนต่อหนึ่งครั้ง?”
“ไม่เพคะ…ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่เคยเจอภาพแบบนี้มาก่อน” โมโม่หอบหายใจ “เหมือนว่ามีตัวเลขจำนวนมากปรากฏขึ้นมา พวกมันปรากฏขึ้นมาแล้วก็หายไป สีเองก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…จนสุดท้าย ตัวเลขพวกนั้นถึงได้หยุดนิ่งลงเพคะ”
“แล้วเป็นเลขอะไร?” โรแลนด์ถาม
โมโม่กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบออกมาอย่างยากลำบาก “17…สีแดงเพคะ”
“เป็นไปได้ยังไง!” ไนติงเกลตกใจ
โรแลนด์แอบตกใจเล็กน้อย ใช่จริงๆ ด้วย เขาเดาเอาไว้ไม่ผิด จริงอยู่ที่สงครามแห่งวิญญาณจะทำให้ผู้ชนะได้รับทุกอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือผู้ชนะจำเป็นต้องมีพลังเวทมนตร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยหรือว่าความสามารถ สุดท้ายก็ล้วนแต่ต้องมีพลังเวทมนตร์ถึงจะได้รับสิ่งเหล่านั้น มันมอบร่างกายที่แข็งแกร่งให้กับแม่มดอมนุษย์ แล้วก็ทำให้สัตว์อสูรพันธุ์ผสมตัวใหญ่ยักษ์เหล่านั้นมีพลังในการใช้ร่างกายของมัน ถ้าหากไม่มีพลังเวทมนตร์ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่จะว่าไป เวลา 17 ปีมันก็น้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าร่างกายของเจ้าชายลำดับที่สี่ไม่ค่อยดี แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะแย่ขนาดนี้ หรือว่าเขาจะใช้ร่างกายหมดไปกับเรื่องอย่างว่ามากเกินไป?
“ถ้ายังไง…หม่อมฉันดูให้ใหม่ไหมเพคะ” โมโม่พยายามฝืนจะลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องแล้ว วันนี้พอแค่นี้แหละ” โรแลนด์โบกมือ “ถ้าใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไปจะทำให้เจ้าเป็นลมได้ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะเข้าใจความสามารถอย่างละเอียด ถึงดูหลายครั้งมันก็ไม่มีประโยชน์”
“แต่ว่าฝ่าบาท…”
“ข้าบอกแล้วไง ข้าแค่อยากรู้คำตอบเรื่องหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไร” เขาพูดห้าม “กลับไปพักผ่อนซะ นับจากพรุ่งนี้ไป เวนดี้จะพาพวกเจ้าไปทดสอบความสามารถ แล้วก็เรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของตัวเอง ถ้าอยากจะดูใหม่ ถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สาย นอกจากนี้ ช่วยข้าเก็บเรื่องเป็นความลับด้วย ตกลงไหม?”
โมโม่มองเขาอย่างแปลกใจอยู่ครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแรงเหมือนตื่นจากความฝัน
หลังส่งเด็กหญิงไปถึงมือเวนดี้เรียบร้อยแล้ว ไนติงเกลก็กลับมาที่ห้องทำงาน เธอค่อยๆ เดินเข้าไปหาโรแลนด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
“เจ้าเสียใจที่รู้ไหม?” เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“พระองค์ทรงล้อเล่นอะไรเพคะ” ไนติงเกลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หม่อมฉันไม่เคยเสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง พระองค์นั่นแหละเพคะ เวลา 17 ปีจะทำยังไงดีเพคะ?”
“รู้เร็วยังไงมันก็ดีกว่ารู้ช้า ยิ่งไปกว่านั้นมันจะเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้” โรแลนด์มองดูดวงไฟเล็กๆ นอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าภายในใจของตัวเองตอนนี้รู้สึกสงบกว่าที่คิดเอาไว้ “นอกจากนี้ภาชนะบรรจุวิญญาณของทาคิลาก็ยังสามารถเก็บเอาจิตสำนึกไว้ได้ด้วย หลังจากนั้นพอวิจัยเวทมนตร์จนเข้าใจหมดแล้วก็ค่อยสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ก็ได้”
“สำคัญก็คือ ‘หลังจากนั้น’ มันจะมีอยู่จริงๆ” ไนติงเกลพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ก็คือเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ได้” โรแลนด์พูดช้าๆ ชัดๆ
ตอนนี้ไม่มีคำว่าโชคช่วยอีกแล้ว
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น