Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1261-1265

 ตอนที่ 1261 เมืองที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ซิลเวียอุทานออกมา


“ถูกต้อง” ทิลลียิ้มมุมปากขึ้นมา ก่อนจะเหลือบมองดูหัวหน้าแม่บ้านแห่งเกาะสลีปปิ้ง แม้แต่คามิล่าที่ไม่สนใจในเรื่องนี้ก็ยังจ้องมองดูการต่อสู้ของเครื่องบินทั้งสองลำในตอนสุดท้ายตาไม่กะพริบ


หลังจากที่เครื่องหมายเลข 2 ใช้ประโยชน์จากลมที่พัดขึ้นสลัดหลุดการไล่ตามได้แล้ว ผลการต่อสู้ก็ได้ออกมาเป็นที่เรียบร้อย


แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ แพ้ชนะมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว


เธอมองเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากได้


อย่างเช่นในสถานการณ์ต้องสู้กัน ฝ่ายที่มีจำนวนเยอะกว่านั้นจะเป็นฝ่ายที่มีความได้เปรียบอย่างมาก พวกเขาสามารถจัดกำลังในระดับความสูงและความเร็วต่างๆ เพื่อบีบให้อีกฝ่ายจนมุมได้


แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งที่ทั้งสองฝ่ายมี เมื่อคิดต่อไปอีกก็จะเห็นได้ว่าถึงแม้โดยภาพรวมจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าก็สามารถใช้ความคล่องตัวและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบขบวนในการหาโอกาสโจมตีได้


ถ้าตอนนี้เป้าหมายคืออสูรสยองที่มีความคล่องตัว เช่นนั้นการรบแบบเป็นทีมก็จะยิ่งมีความสำคัญ


นอกจากนี้เธอยังสังเกตเห็นว่าเวลาที่สู้กัน ฝ่ายที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าจะมีโอกาสชนะมากกว่า ถ้าหากเข้าไปพัวพันกับศัตรู แล้วค่อยให้อีกทีมโจมตีลงมาจากด้านบน บางทีอาจจะเป็นการเปิดฉากโจมตีที่ดีอย่างมาก


ส่วนทีมหนึ่งจะมีกี่คนถึงจะเหมาะสม จะเปลี่ยนรูปแบบยังไงในตอนที่เข้าไปโจมตีระยะไกล นี่คือสิ่งที่เธอต้องทำการศึกษาต่อไป


แต่ทิลลีเองก็รู้ดี ว่าการฝึกซ้อมแบบนี้นั้นเป็นแค่ประสบการณ์ของการสู้กันระหว่างเครื่องบินปีกสองชั้น แต่ถ้าอยากจะเขียนเนื้อหาส่วนต่อไปในคู่มือการบินจริงๆ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเข้าไปสัมผัสได้สงครามจริงๆ ถึงจะรู้ได้


สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกดีก็คือนักเรียนกลุ่มนี้เติบโตเร็วกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้ หากเป็นแบบนี้ต่อไป พอถึงวันที่ ‘เฮฟเว่นเฟลม’ ทำการผลิตออกมาอย่างเป็นทางการ อัศวินอากาศก็คงจะไปลองสู้ศึกจริงที่วูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้แล้ว


ส่วนเธอก็ไม่มีทางพลาดสงครามแห่งการแก้แค้นนี้แน่นอน


ยูนิคอร์นนั้นเป็นแค่เครื่องบินฝึกสอน แต่เครื่องบินลำใหม่ล่าสุดที่พี่ชายของเธอสัญญาเอาไว้น่าจะกำลังสร้างอยู่ล่ะมั้ง


เอาไว้ฝึกซ้อมเสร็จแล้ว เธอไปที่ปราสาทกระตุ้นให้เขาเร่งมือหน่อยดีกว่า


ในเวลานี้เครื่องบินลำสุดท้ายค่อยๆ ร่อนลงมาจอดบนสนามบิน


ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือว่าคนที่มาดูการฝึกซ้อมต่างก็ปรบมือขึ้นมาดังกระหึ่ม


“ตอนนี้หม่อมฉันรู้แล้วเพคะว่าทำไมพระองค์ถึงทรงแบ่งพวกเขาออกเป็นส่องฝ่ายชัดเจนขนาดนี้” ซิลเวียอุทานออกมาเบาๆ


“ถึงแม้จะคิดไว้แบบนั้น แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าผลมันจะออกมาดีขนาดนี้ ตอนแรกข้านึกว่าต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าวันถึงจะได้เป็นภาพแบบนี้” ทิลลียิ้มขึ้นมา ก่อนจะโบกมือเรียกอีเกิลเฟซแล้วยื่นรายชื่อฉบับใหม่ให้อีกฝ่าย “ในเมื่อกลับมากันหมดแล้ว อย่างนั้นก็เรียกนักเรียนกลุ่มต่อไปเตรียมตัวเลย”


รอข้าก่อนเถอะ…เธอมองไปทางเหนือ ข้าให้พวกปีศาจมันได้ชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำ


…..


“อูววว……”


ด้านนอกมีเสียงหวูดดังยาวๆ ขึ้นมา นี่หมายความว่าด้านหน้ามีเรือกำลังแล่นสวนมา หลังจากที่เข้ามาในอาณาจักรเกรย์คาสเซิล เขาก็ได้ยินเสียงแบบนี้บ่อยขึ้นมาก แมนเฟลแทบจะได้ยินเสียงนี้ทุกๆ ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ และตอนนี้เสียงที่ว่านี้ก็ดังขึ้นทุกๆ 15 นาทีหรืออาจจะสั้นกว่านั้น


ในอดีตเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเกรย์คาสเซิลจะเป็นอาณาจักรที่มีการเดินเรือที่พัฒนามากขนาดนี้


ในภาพจำของขุนนางวูล์ฟฮาร์ททั่วๆ ไป ถึงแม้อาณาจักรนี้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ความอุดมสมบูรณ์ไม่อาจสู้วูล์ฟฮาร์ทได้ ถ้าพูดถึงความร่ำรวยแล้ว อาณาจักรดอว์นนั้นมีความร่ำรวยมากกว่าเสียอีก


แต่ตอนนี้เหมือนมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว


ทว่าพอมาคิดๆ ดูการที่อาณาจักรเกรย์คาสเซิลจะเจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแค่ข่าวลือจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วนับประสาอะไรกับข่าวลือที่ข้ามไปมาระหว่างสองอาณาจักรล่ะ อันที่จริงอีกฝ่ายนั้นเคยเอาชนะศาสนจักรมาแล้ว เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความไม่ธรรมดาของราชาแห่งอาณาจักรนี้แล้ว


ไม่รู้ว่าต้องนั่งเรือไปอีกนานเท่าไรถึงจะไปถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่ร่ำลือกัน


พอคิดถึงตรงนี้ แมนเฟลก็หาวขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย


การเดินทางบนทะเลอันยาวนานนั้นสบายกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก หลังจากที่เรือเดินทางไปถึงอ่าวทางเหนือของอาณาจักรดอว์น มันก็ไม่ได้ออกเดินทางต่อไปยังท่าเรือต่อไปในทันที หากแต่มีการจัดการเรือที่แออัดยัดเยียดรอบหนึ่งก่อน คนที่มีอาการเมาเรืออย่างรุนแรงก็ให้เปลี่ยนไปเดินทางภาคพื้นดิน คนอื่นๆ จึงมีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ คนของอาณาจักรดอว์นมีการสร้างที่พักชั่วคราวขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงบริเวณท่าเรือ เหมือนกับพวกเขาเตรียมพร้อมเอาไว้นานแล้ว ระดับความร่วมมือของพวกเขากับเกรย์คาสเซิลเรียกได้ว่าไม่มีช่องโหว่เลย ถ้าไม่เป็นเพราะธงที่ปลิวไสวอยู่บนกำแพง เขาคงจะคิดว่าที่ี่นี่เป็นดินแดนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลไปแล้ว


เห็นได้ชัดว่าสองอาณาจักรนี้ทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกันเพื่อที่จะอพยพพวกเขามา…ไม่รู้ว่าฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันต้องจ่ายไปเท่าไร


ส่วนแผลฟกช้ำบนร่างกายเขาก็ดีขึ้นมาก ใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึงก็หายจนเกือบเป็นปกติแล้ว เขาไม่ได้ใช้ยาวิเศษที่ผู้หญิงสองคนนั้นให้มาอีกเลย


ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นอย่างไรบ้าง….แมนเฟลล้วงเข้าไปอกเพื่อคลำยาที่ถูกห่อเอาไว้ ภายในหัวเขามีภาพทั้งสองคนลอยขึ้นมา ถึงแม้พวกเธอจะดูผอมแห้งและสกปรก แต่เขาก็ยังคงเห็นแสงที่เปล่งประกายออกมาจากเส้นผมที่แตกแห้งของอีกฝ่าย ถ้าล้างเนื้อล้างตัวดีๆ หน่อย พวกเธอก็น่าจะดูดีทีเดียว


หวังว่าพวกเธอทั้งสองคนจะไปถึงเกรย์คาสเซิลอย่างปลอดภัยนะ เขาคิดในใจ ถ้าหากสามารถหลุดพ้นจากความเป็นทาสได้ พวกเธอก็น่าจะปลดเปลื้องอดีตอันมืดมนออกไปและต้อนรับชีวิตใหม่ได้


ทันใดนั้นเอง แมนเฟลพลันได้ยินเสียงหึ่งๆ แปลกๆ ดังนั้นมา เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างโฉบผ่านหัวของเขาไป


จากนั้นในห้องโดยสารที่อยู่ด้านบนก็มีเสียงฝีเท้าดังวุ่นวายขึ้นมา


“หนวกหูจริงๆ เลย…”


“เจ้าพวกนั้นมันทำอะไรกันเนี่ย? ขอนอนเงียบๆ หน่อยไม่ได้เหรอไง?”


รอบๆ มีคนบ่นขึ้นมาทันที


แต่แมนเฟลกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาพลิกตัวลงจากเตียงแล้วยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง


ถ้าเขาฟังไม่ผิดล่ะก็ ทิศทางที่เสียงฝีเท้าเหล่านั้นวิ่งไป เหมือนจะไปทางเดียวกับเสียงหึ่งๆ นั่น


ด้านนอกยังคงเป็นท้องฟ้าสีครามและทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ดูแล้วเหมือนจะเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่นกตัวใหญ่ 2 – 3 ตัวกำลังบินหยอกล้อกัน….


เดี๋ยวๆ นั่นมันนกอะไร?


แมนเฟลขยี้ตา เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ ในตอนที่ ‘นก’ พุ่งลงมาที่ทะเล ปีกกับหางที่ยืดตรงและมีเหลี่ยมมีมุมของมัน ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตตามปกติเลย!


กระทั่งพวกมันบินผ่านด้านบนเรืออีกรอบ เขาถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาลายเพราะว่าอยู่ใต้เรือนานเกินไป แต่เจ้าสิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ หากแต่เป็นเหมือนสิ่งที่ใช้โลหะสร้างขึ้นมา ที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้น เขาเหมือนจะมองเห็นว่าบนนั้นมีคนนั่งอยู่ด้วย!


แมนเฟลอ้าปาก เขาคิดอยากจะตะโกนออกมา แต่เขากลับพบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออกแม้แต่นิดเดียว มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน? ถึงแม้เขาจะค่อยๆ ยอมรับเรื่องการมีอยู่ของกองทัพที่หนึ่งและเครื่องจักรไอน้ำ เรื่องความเกรียงไกรของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเขาก็มีคิดเอาไว้แล้วบ้าง แต่ภาพเหตุการณ์แบบนี้มันเกินไปจากขอบเขตความเข้าใจของเขาอย่างมาก


ถึงแม้จะเป็นอาณาจักรเหมือนกัน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเกรย์คาสเซิลกับวูล์ฟฮาร์ทนั้นอยู่กันคนละโลกเลย….ไม่ ไม่ใช่แค่วูล์ฟฮาร์ท แม้แต่อีเทอร์นอลวินเทอร์กับอาณาจักรดอว์นก็เกรงว่าจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว


ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่อาณาจักรอื่นถูกทิ้งห่างไปไกลขนาดนี้?


ในขณะที่แมนเฟลกำลังคิดอย่างสับสน บนเรือพลันมีเสียงหวูดดังขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เสียงหวูดดังยาวกว่าทุกที่ ปกตินี่มันจะเป็นเสียงหวูดที่เตือนเหล่าผู้อพยพว่าเรือกำลังจะเทียบท่าแล้ว


เขามาถึงเนเวอร์วินเทอร์แล้ว


……………………………………………………………………


ตอนที่ 1262 ปัญหาในเมืองใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ต่อแถวลงจากเรือ อย่าเบียดกัน!” ชาวเกรย์คาสเซิลที่สวมชุดเครื่องแบบสีดำเดินไปเดินมาพร้อมส่งเสียงตะโกน “ดูหมายเลขตัวเองให้ดีๆ ลงจากเรือแล้วไปต่อแถวในช่องตรวจที่ตรงกับหมายเลขของตัวเอง อย่าเดินไปผิดช่องล่ะ!”


แมนเฟลที่ยังคงตกตะลึงถูกคนเบียดขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ


ภาพท่าเรือที่วุ่นวายปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


นั่นคือภาพท่าเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ท่าเรือเหยียดยาวไปตามชายฝั่งจนมองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่ง มันไม่เหมือนกับท่าเรือแฉะๆ ผุๆ ที่เขาเคยเห็นมา พื้นของที่นี่ปูด้วยก้อนอิฐสีขาว ดูแล้วสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ เรือเล็กๆ ใหญ่ๆ แล่นไปแล่นมาไม่หยุด แม้แต่ท่าเรือที่เจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรดอว์นก็ยังเทียบไม่ติด


เดิมนี่ควรจะเป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างมาก เสียงอุทานของผู้คนที่อยู่รอบๆ ช่วยยืนยันในจุดนี้ได้ แต่สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่สำคัญที่เติมเข้ามาในหัวสมองที่กำลังวุ่นวายของเขาในตอนนี้เท่านั้น


แมนเฟลเดินไปได้สามสี่ก้าวก็ต้องหันกลับมามองทิศทางที่เรือแล่นผ่านมาเมื่อครู่นี้ ในใจเขาหวังว่าจะได้เห็นภาพนกเหล็กอีกครั้งหนึ่ง นี่เหมือนจะเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของร่างกาย เหมือนกับว่าเขากำลังหาหลักฐานมายืนยันว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ตาฝาดไป


แต่เสียดายที่สุดท้ายเจ้าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนั้นก็ไม่ปรากฏออกมาให้เห็นอีก


ภายในใจเขาแอบรู้สึกผิดหวัง


“เอาแผ่นหมายเลขของพวกเจ้าออกมา แล้วเดินเข้าไปในช่องตรวจตามหมายเลขสามตัวหน้า!” ที่ท่าเรือมีคนหลายคนส่งเสียงตะโกนผ่านท่อเหล็กรูปทรงประหลาดที่ืถืออยู่ในมือ เจ้าสิ่งนั้นเหมือนจะมีความสามารถในการขยายเสียง ถึงแม้เสียงผู้คนจะฟังดูวุ่นวาย แต่เสียงตะโกนของพวกเขาก็ยังฟังดูชัดเจน “หลังจากนั้นให้ฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และทำการตรวจสอบให้เรียบร้อย ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงของเกรย์คาสเซิล และขอแสดงความยินดีที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา!”


แมนเฟลส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะเพ่งสมาธิไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า


เป็นวิธีต้อนรับที่แปลกจริงๆ เขาแอบคิดขึ้นมาในใจ คนที่นี่ต่างรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้เป็นฝ่ายขออพยพมาที่เกรย์คาสเซิล หากแต่เป็นทางเกรย์คาสเซิลกับวูล์ฟฮาร์ทต่างหากที่เป็นคนจัดการพาพวกเขามา อันที่จริงแล้วเหมือนจะออกแนวบังคับเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย


ผู้อพยพจำนวนมากต่อแถวเป็นแถวยาว ก่อนจะทยอยแยกย้ายไปเข้าช่องตรวจต่างๆ ตามหมายเลขของตัวเอง เพียงแค่กลุ่มคนที่อยู่บนท่าเรือก็มีมากกว่าหมื่นคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้อพยพเหมือนจะไม่ได้มาจากวูล์ฟฮาร์ทที่เดียวด้วย….การที่สามารถเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แถมยังแสดงเจตจำนงของผู้ปกครองเข้าไปในสามอาณาจักรใหญ่ที่เหลือ เกรงว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอำนาจของเกรย์คาสเซิลได้ดีที่สุด


ทันใดนั้นเอง กลุ่มชาวบ้านพลันหยุดเดินไปข้างหน้า แมนเฟลได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากด้านหลัง


ไม่ใช่แค่ผู้อพยพเท่านั้น แม้แต่คนที่ใส่เครื่องแบบสีดำที่คอยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ยังทำสีหน้าแปลกใจออกมา


เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นเรือเดินทะเลขนาดมหึมาที่ไม่มีใบเรือลำหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในท่าเรือ มันมีตัวเรือที่ยาวใหญ่ ตัวเรือทั้งลำเหมือนจะทำขึ้นมาจากเหล็ก ทั้งสองด้านของตัวเรือไม่มีกังหันเรือ เรือแบบนี้ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมต้องกลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมากแน่นอน แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้คนเกรย์คาสเซิลรู้สึกตกใจจริงๆ นั้นไม่ใช่ตัวเรือ หากแต่เป็นสภาพของมัน…


“คนพวกนี้บ้าไปแล้วเหรอ เอาเหล็กมาสร้างเรือเนี่ยนะ!” คนที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “พวกเขาไม่รู้เหรอว่าเหล็กเจอน้ำมันจะกลายเป็นสนิม?”


“บางทีราชาแห่งเกรย์คาสเซิลอาจจะสร้างมันขึ้นมาเพื่ออวดความร่ำรวยของตัวเองล่ะมั้ง…แต่ว่าเรือเหล็กนี่มันดูแล้วยิ่งใหญ่จริงๆ ถ้าไม่เคยเห็นเรือหินมาก่อน ข้ายังนึกภาพไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าของหนักๆ ขนาดนี้มันลอยอยู่บนน้ำได้ยังไง”


“ยิ่งใหญ่ได้แค่ครึ่งเดือนจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อก่อนข้าเคยล่องอยู่ในทะเลมานาน เห็นอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะ การกัดกร่อนของน้ำทะเลมันร้ายกว่าที่พวกเจ้าคิดไว้มาก สีปกติกันเอาไว้ไม่ได้นานหรอก เจ้าดูนั่น สุดท้ายมันก็จะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ”


จริงอย่างที่ชายคนนั้นว่า บนตัวเรือเหล็กนั้นมีเรือสนิมสีน้ำตาลดำขึ้นอยู่เต็มไปหมด ผิวเรือที่เคยเรียบรื่นกลายเป็นรอยขรุขระ ร่องรอยความเสียหายดูชัดเจนอย่างมาก เสากระโดงเรือก็หักเป็นท่อนๆ กระจัดกระจายอยู่บนดาดฟ้าเรือ บวกการกับเคลื่อนที่เข้ามายังท่าเรืออย่างช้าๆ ของมัน ดูแล้วเหมือนกับอสูรทะเลแก่ๆ ตัวหนึ่งเลย


แต่ว่าฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันทรงสร้างเรือลำนี้ขึ้นมาเพื่ออวดความร่ำรวยจริงๆ เหรอ


เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ชุดดำกลุ่มนั้นรีบเปิดทางให้เหล่าลูกเรือที่อยู่บนเรืองมา แมนเฟลพลันรู้สึกว่าบางทีเรื่องราวมันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว


ความวุ่นว่ายหยุดลงทันที เหล่าผู้อพยพเองก็เริ่มเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง


เมื่อมาถึงตาเขา เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบเพียงแค่เทียบชื่อกับหมายเลขของเขา ก่อนจะปล่อยตัวเขาผ่านด่านไป


จนกระทั่งคนผ่านด่านมาได้ 30 กว่าคน ผู้ชายคนหนึ่งจึงเดินเข้ามา “ข้าคือแม็ต เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหาร หลังจากนี้ข้าจะดูแลเรื่องการทำงานของพวกเจ้า ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนจะต้องมีคำถามที่อยากรู้อยู่มากแน่ ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดในระหว่างที่เดินทางไปยังเขตที่อยู่อาศัย แต่ว่าตอนนี้ ข้าขอให้ทุกคนดื่มน้ำวิเศษที่อยู่บนโต๊ะทางด้านนี้ก่อน มันสามารถรักษาโรคระบาดในตัวพวกเจ้าได้ แต่ถ้าหากไม่มี มันก็จะเป็นแค่เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานเท่านั้น”


“พวกเราจำเป็นต้องเดินตามเจ้าไปด้วยเหรอ?” มีคนถามอย่างสงสัย “ตอนนี้พวกเราถือเป็นคนของเกรย์คาสเซิลแล้ว พวกเราก็น่าจะไปไหนก็ได้ตามใจเราไม่ใช่เหรอ?”


“พวกเจ้าต้องได้รับบัตรประชาชนเสียก่อน ถึงจะถือเป็นประชาชนที่แท้จริงของฝ่าบาท” แม็ตส่ายหัว “สำหรับคนทั่วไปแล้ว ขั้นตอนนี้ต้องทำงานไปก่อน 1 – 2 ปี แถมยังห้ามทำผิดกฎหมายในระหว่างนี้ด้วย แต่ว่าพวกเจ้าต่างเป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะด้าน ดังนั้นขอเพียงพวกเจ้าผ่านการทดสอบทางจิตใจ พวกเจ้าก็จะกลายเป็นพลเมืองของเมืองนี้อย่างเป็นทางการ แต่ท่านที่รับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบนั้นไม่ได้มีเวลาว่างอยู่ตลอด อีกทั้งคนที่รอตรวจสอบก็มีจำนวนเยอะมาก ดังนั้นพวกเจ้าต้องรออีก 2 – 3 วัน”


“ทดสอบทางจิตใจ? ไม่ใช่ตรวจสอบสถานะเหรอ?”


“เดี๋ยวเอาไว้พวกเจ้าไปลองดูก็จะรู้เอง” แม็ตยิ้มๆ “เทียบกับอดีตของพวกเจ้าแล้ว การทดสอบนี้จะให้ความสำคัญสิ่งที่อยู่ ณ ปัจจุบันกับอนาคตของพวกเจ้ามากกว่า ข้าเองก็ผ่านการทดสอบแบบนี้มาเหมือนกัน ข้าถึงได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหาร เอาล่ะ คนที่ดื่มน้ำวิเศษหมดแล้วเชิญตามข้ามา….”


นี่คงจะเป็น ‘การทดสอบที่ไม่มีทางโกหกได้’ ที่คนขับรถม้าบอกล่ะมั้ง แมนเฟลคิดในใจ


ระหว่างทาง แม็ตตอบคำถามที่ผู้อพยพหลายๆ คนสนใจ อย่างเช่นหลังจากนี้พวกเขาจะทำงานยังไง แล้วจะได้รับการดูแลยังไง…อย่างนั้นเมื่อดูจากนโยบายที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลประกาศออกมา ผู้อพยพที่ได้รับสถานะอย่างเป็นทางการนั้นจะได้รับการดูแลที่ไม่ต่างจากชาวบ้านในพื้นที่


อีกฝ่ายยกตัวเองเป็นตัวอย่าง เขาเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองตั้งแต่แรกจนกระทั่งเริ่มปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ นี่ทำให้ผู้อพยพรู้สึกสบายใจขึ้น


ในตอนที่ทุกคนเดินเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวตรงชานเมือง เสียงหัวเราะที่ดังเสียดหูพลันดึงความสนใจของทุกคนไว้


แมนเฟลหันมองไปตามเสียง ก่อนจะเห็นผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนผู้อพยพกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ แล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เธอ บริเวณรอบๆ มีหลายคนที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ แต่กลับไม่มีใครที่จะเข้าไปห้ามเลย แถมบางคนยังส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างสนุกสนาน


บ้าเอ้ย ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่เรื่องแบบนี้นะเนี่ย…


เดิมเข้าคิดว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะไม่เหมือนที่อื่น


แมนเฟลขมวดคิ้วขึ้นมา “มีใครไปแจ้งยามชุดดำหรือยัง?”


จากที่แม็ตเล่าให้ฟัง ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าตำรวจนั้นเข้ามาแทนที่หน่วยลาดตระเวน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาพึ่งพาได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ก็เหมือนจะไม่มีวิธีไหนดีกว่าวิธีนี้แล้ว


แต่กลับไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่คนเดียว “ข้าว่าเจ้าอย่าไปยุ่งดีกว่าน่ะพ่อหนุ่ม ก่อนที่จะย้ายเข้าไปในอยู่ในเมือง พวกเรายังต้องอยู่ตรงนี้อีกหลายวันนะ”


“ใช่ ถ้าถูกดึงไปพัวพันด้วย เดี๋ยวจะพลอยลำบากเอาได้”


“พวกเจ้า…” เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่ได้พูด สุดท้ายเขาจึงมองไปทางแม็ต “ข้าจะไปถ่วงเวลาเอาไว้ เจ้ารีบไปเรียกคนที่รับผิดชอบเรื่องรักษาความสงบมา!”


แต่แม็ตกลับจับมือของเขาไว้พร้อมกับส่ายหัว


ในใจแมนเฟลเกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที


เขาสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้ง ก่อนจะพูดชัดๆ ว่า “ข้านึกว่าพวกเจ้าจะไม่เหมือนกับอาณาจักรอื่นๆ ข้าคิดผิดไปเอง” จากนั้นเขาจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหากลุ่มผู้ชายโดยไม่หันหน้ากลับมามอง


……………………………………………………………….


ตอนที่ 1263 งานในอนาคต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โทษที โทษที ขอทางหน่อย!” แมนเฟลเดินเบียดกลุ่มคนเข้าไป พวกผู้อพยพหันมามองเขาทันที


“เจ้านี่มันเป็นใคร?” ชายคนหนึ่งยืนขวางหน้าเขาไว้ด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ “ถึงจะทนไม่ไหว ยังไงก็ต้องขอให้ข้าสนุกเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


คนที่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาในตอนแรกก็คือคนๆ นี้ เขาคิดในใจอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเจ้านี่จะเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้สินะ การจะช่วยผู้หญิงหนีไปต่อหน้าคนสิบกว่าคนนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ อีกทั้งตัวเองก็ไม่มีอาวุธอีกด้วย เกรงว่าตัวเองคงต้องล้มเจ้าหัวหน้านี่ก่อน จากนั้นค่อยฉวยโอกาสพาผู้หญิงหนีไป


“ข้าอยากจะมาเตือนพวกเจ้าต่างหาก เมื่อกี้ทางนั้นมีคนไปแจ้งยามชุดดำแล้ว ตอนนี้ถ้าพวกเจ้าไม่หนี อีกเดี๋ยวจะหนีไม่ทันนะ” แมลเฟนกางสองมือออกพร้อมกับแกล้งเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็แอบส่งสายตาให้กับหญิงสาว โดยหวังว่าเธอจะเข้าใจว่าเขาไม่ใช่พวกเดียวกับคนพวกนี้ แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีไปเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าสับสน


บ้าเอ้ย นางไม่รู้ถึงสถานการณ์ของตัวเองหรือยังไง?


ถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยัง….ใจเย็นขนาดนี้อีก?


“ยามชุดดำอะไร ก็แค่หน่วยลาดตระเวนไม่ใช่เหรอ?” คนที่เป็นหัวหน้าแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา “พวกเขาจะช่วยใครมันก็ไม่แน่หรอก เจ้าหนู!”


“ฮ่าๆๆ ดูท่าทางมันแล้วน่าจะเป็นพวกลูกคุณหนูนะเนี่ย”


“แต่สุดท้ายก็ตกอับเหมือนพวกเราไม่ใช่เหรอ?”


“รีบไสหัวไปดีกว่าเจ้าหนู ก่อนที่หัวหน้าเราจะโมโห”


มีเสียงหัวเราะดังถามขึ้นมาทันที แมนเฟลฉวยโอกาสนี้ลงมือทันที เขาเอาไหล่กระแทกเข้าไปที่หน้าอกของคนที่เป็นหัวหน้าที่ไม่ทันได้ระวังตัว จากนั้นจึงยกกำปั้นขึ้นมาต่อยอีกฝ่ายจนล้มลงไปกับพื้น


ต้องยอมรับเลยว่าเมื่อเทียบกับพวกลูกน้องของมิค คินลีย์ที่ได้รับการฝึกมาแล้ว เจ้าพวกนี้รับมือได้ง่ายกว่ามาก ตั้งแต่ที่เขาลงมือจนกระทั่งล้มลงไปกองกับพื้น คนที่เป็นหัวหน้าไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ


ฝูงชนแตกตื่นขึ้นมาทันที


“แม่งเอ้ย เจ้าอยากตายเหรอไง!”


“รีบช่วยหัวหน้าเร็ว!”


แมนเฟลรู้สึกว่ามีคนเตะหลังกับขาของเขาหลายที แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งสนใจแล้ว เขาวิ่งฝ่ากำปั้นเข้ามาให้ผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะยื่นมือเข้าไป “รีบตามข้ามาเร็ว!”


แต่เรื่องที่เหนือความคาดคิดก็เกิดขึ้น


จริงอยู่ที่หญิงสาวคนนั้นยื่นมือมา แต่เธอกลับไม่ได้วางมือไว้บนฝ่ามือเขา หากแต่คว้าจับข้อมือของเขาไว้ ก่อนจะออกแรงดึงเขาเข้าไปในวงล้อม


“เฮ้ เจ้า…” แมนเฟลกำลังคิดสงสัยว่าอีกฝ่ายเข้าใจอะไรผิดหรือเล่า แต่เขากลับมองเห็นสายฟ้าแลบแปลบๆ ออกมาจากด้านหลังของเธอ


เดี๋ยวๆ…สายฟ้า


ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไร สายฟ้าเล็กๆ พลันเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ในพริบตา ลำแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าขึ้นมาทันที ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกอันธพาลเหล่านั้นเหมือนกับงู สายฟ้าพุ่งทะลุตัวชายคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ พวกผู้ร้ายแทบจะตอบโต้อะไรไม่ได้เลย พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนมาได้หน่อยเดียวก็นอนตัวแข็งไปกับพื้น


“แค่นี้ก็เรียบร้อย” หญิงสาวคนนั้นปัดมือพร้อมกับพูดออกมาอย่างสบายใจ


“เอ่อ…หรือว่าเจ้าคือ..” แมนเฟลตกตะลึง


“ถูกต้อง ข้าคือแม่มด” อีกฝ่ายยอมรับสถานะของตัวเองอย่างเปิดเผย


แต่ว่า…แม่มดควรจะรูปร่างหน้าตาที่สวย ทุกๆ การเคลื่อนไหวล้วนเต็มไปด้วยเสน่ห์ไม่ใช่เหรอ? เขามองดูหญิงสาวอย่างละเอียดอยู่ครู่ แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับมากลับไม่เข้ากับคำนิยามเหล่านี้เลย หน้าตายังไม่ต้องไปพูดถึง แค่บอกว่าหน้าตาดูธรรมดาก็ถือเป็นคำชมแล้ว รูปร่างของเธอเองก็ผอมแห่ง ถ้ามองแค่ด้านหลัง เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กผู้หญิงเลย


“อย่างนั้นพวกเขา…จะทำยังไง?” แมนเฟลชี้ไปยังพวกอันธพาลที่นอนอยู่บนพื้น


“เดี๋่ยวข้าเรียกตำรวจมาจัดการเอง สบายใจได้ ข้าแค่ใช้พลังไปประมาณ 10% เท่านั้น อย่างมากพวกเขาก็แค่สลบไปครึ่งชั่วโมง แต่ว่าเหมืองกับเขตเตาหลอมคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แน่ ข้าว่าอย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต้องอยู่ในนั้นครึ่งเดือนถึงจะออกมาได้”


แมนเฟลพบว่าตัวเองตามคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทัน


ทำไมฟังน้ำเสียงของเธอแล้ว เหมือนว่าเรื่องการรังแกเมื่อกี้นี้เป็นแผนที่เธอวางเอาไว้อย่างนั้นแหละ?


“เออใช่ ข้าชื่อชารอน แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?” คำถามของหญิงสาวดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา


“เอ่อ ข้าชื่อแมนเฟล…”


“เจ้าเป็นคนแรกที่เลยนะที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำไมล่ะ?”


“ทำไมอะไร” แมนเฟลนวดร่างกายตรงที่โดนเตะ “หยุดเรื่องชั่วร้ายไม่ให้เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ? ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือเลยต่างหาก”


“เรื่องที่สมควรงั้นเหรอ?” ชารอนมุ่ยปาก “ถ้าทุกคนคิดอย่างนั้น พวกที่มาส่งเสียงเฮในตอนแรกก็คงไม่วิ่งหนีหายกันไปหมดแบบนี้หรอก”


“แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนที่เข้าใจในเรื่องนี้อยู่ดี” ในหนังสือประวัติศาสตร์ ขุนนางก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากคนแบบนี้ พวกเขานำพาระเบียบมาสู่โลกอันวุ่นวาย แล้วก็ฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามเพื่อเปิดเส้นทางให้ผู้คน


“เจ้าพูดถูก ยังไงก็ต้องมีคนแยกแยะถูกผิดได้อยู่ดี” ชารอนยิ้มขึ้นมา “เจ้าเป็นผู้อพยพที่เพิ่งมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ใช่ไหม? เคยคิดเอาไว้หรือเปล่าว่าต่อไปจะเข้ามาเป็นตำรวจ?”


“เจ้าหมายถึง…กลายเป็นคนชุดดำน่ะเหรอ?”


“ใช่ ต่อสู้กับความชั่ว รักษาระเบียบของสังคม ปกป้องชาวบ้าน นี่คือหน้าที่หลักๆ ของตำรวจ ข้าคิดว่างานนี้เหมาะกับเจ้าอย่างมาก นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะต้องใส่ชุดดำอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้”


“เอ๋?” แมนเฟลงุนงง


“เอาล่ะ ข้าต้องไปรายงานที่สำนักบริหารแล้ว คนดูแลกำลังรอเจ้าอยู่นะ” ชารอนโบกมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในเขตเมือง


“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าเข้าไป?”


หลังกลับไปรวมกลุ่ม แม็ตก็ยิ้มให้เขา


“นี่…มันเรื่องอะไรกัน?” แมนเฟลทำหน้าไม่เข้าใจ


“วิธีที่ทำให้พวกคนร้ายมันหวาดกลัวน่ะ” แม็ตเดินพร้อมอธิบายไปพลาง “เดิมทีที่อยู่อาศัยชั่วคราวตรงเขตชานเมืองนั้นไม่ได้เละเทะขนาดนี้ อย่างน้อยตอนที่ข้าอยู่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่หลังจากที่จำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้นหลายเท่า ความสงบสุขของเมืองก็พลอยลดลงไปด้วย และในบรรดาความผิดทั้งหมด การรังแกผู้หญิงที่อ่อนแอนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด แต่แน่นอนนี่ไม่ได้โทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะพวกเจ้า เพราะในนี้ก็มีผู้อพยพมาจากที่ต่างๆ ในเกรย์คาสเซิลเหมือนกัน เนื่องจากคนมีจำนวนมากเกินไป ตำรวจจึงดูแลไม่ทั่วถึง แถมสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือปกติมักจะต้องเกิดเรื่องขึ้นก่อนถึงจะไปแจ้งความ กว่าตำรวจจะมา คนร้ายก็อาจจะทำความผิดจนยากที่แก้ไขได้ไปแล้ว”


“นี่เป็นเรื่องที่เห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ถ้าเอาพวกสวะมาอยู่ด้วยกัน ต่อให้เป็นที่ที่ดีแค่ไหนมันก็เน่าเหม็นได้เหมือนกัน” มีคนบ่นขึ้นมา “ข้าว่านะ จริงๆ ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลไม่ควรรับพวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้าพวกนี้มาเลย”


แม็ตส่ายหัว “ฝ่าบาททรงหวังจะใช้ประโยชน์จากทุกๆ คน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตา แต่ว่าการทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นความคิดของฝ่าบาท หากแต่เป็นความคิดที่พวกแม่มดเป็นคนเสนอมา สำหรับพวกนางแล้ว ทำแบบนี้พวกนางก็จะได้ใช้พลังเวทมนตร์ ได้ฆ่าเวลา แล้วก็ได้รักษาความสงบด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย”


ฆ่า…ฆ่าเวลา? มุมปากแมนเฟลกระตุกขึ้นมา


“และความจริงมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีนี้มันได้ผลอย่างมาก พวกคนที่จะทำความผิดจะเกิดความลังเลใจว่าผู้อพยพที่ดูอ่อนแอนั้นเป็นแม่มดหรือเปล่า นี่ทำให้คนพวกนี้ล้มเลิกความคิดที่จะทำชั่วไปได้ บวกกับตำรวจไม่มีทางปล่อยผู้กระทำความผิดไปแม้แต่คนเดียว นี่ก็ยิ่งทำให้คนพวกนี้ต้องคิดหนักถึงผลที่จะตามมา หลังจากที่แม่มดกับตำรวจร่วมมือกัน ความสงบของที่นี่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”


“อย่างนี้นี่เอง…” แมนเฟลเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนคนชุดดำของเนเวอร์วินเทอร์จะแตกต่างไปจากหน่วยลาดตระเวนในอดีตอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน มันกลับคล้ายภาพลักษณ์ของอัศวินที่อยู่ในใจเขา


ถ้าชารอนไม่ได้หลอกเขาล่ะก็ บางทีนี่อาจจะเป็นงานในฝันของเขาเลยก็ได้


หลังไปถึงที่พักชั่วคราวและแบ่งห้องเรียบร้อยแล้ว แม็ตก็บอกลาเขา “พรุ่งนี้ข้าจะมาพาพวกเจ้าไปดูประวัติศาสตร์และจุดเด่นของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ นี่จะช่วยพวกเจ้าในเรื่องการใช้ชีวิตและการปรับตัวหลังจากนี้ นอกจากนี้ ถ้าพวกเจ้ามีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลย”


แมนเฟลคิดอย่างจะถามว่าถ้าจะเป็นตำรวจต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง แต่พอคำพูดกำลังจะหลุดออกมาจากปาก มันกลับกลายเป็นอีกประโยคหนึ่ง “ตอนที่มาที่นี่ ข้าเคยเห็นนกเหล็กยักษ์ ไม่รู้ว่าเจ้า….”


“อ้อ ข้าเคยเห็น ถ้าเจ้าอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปอีกซักพัก เจ้าก็จะรู้เองว่านั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ไม่ทันรอให้เขาพูดจบ แม็ตก็ตอบยิ้มๆ ออกมา “ตอนที่เห็นมันครั้งแรกก็จะตกตะลึงอยู่บ้าง แต่พอชินแล้วก็จะดีขึ้นเอง ถ้ามีพรสวรรค์มากพอ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ขี่มันขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ได้”


“เจ้าพูด…จริงเหรอ?” แมนเฟลใจเต้นขึ้นมาทันที


“จริงสิ ตอนนี้ตรงกลางลานเมืองยังมีคำสั่งรับสมัครคัดเลือกอัศวินอากาศรอบใหม่ขององค์หญิงแปะอยู่เลย”


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 1264 ขอให้อยู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…ท่านแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดกลับมาจากทะเลน้ำวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น…พวกเขาเหมือนจะเจอปัญหาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


รายงานที่มาอย่างกะทันหันขององครักษ์ทำให้โรแลนด์ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังประชุมเรื่องขยายขนาดอุตสาหกรรมเสร็จ เขาก็กลับมาที่ห้องทำงานเพื่อจัดการเรื่องแปลนที่เหลือให้เสร็จเรียบร้อย แต่ข่าวที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้ความคิดของเขาทั้งหมดต้องหยุดลง


แซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดที่ว่าก็คือชื่อปลอมของธันเดอร์


“ตอนนี้เขาอยู่ไหน?” โรแลนด์ลุกขึ้นถามทันที


“อยู่ในห้องโถงของปราสาทพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าอยากจะเข้าเฝ้าพระองค์ทันทีพ่ะย่ะค่ะ”


“รีบพาเขาเข้ามา!” เขาสั่งกำชับ “แล้วไปบอกห้องครัวให้เตรียมชาเอาไว้อีกชุดด้วย”


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ฌอนรีบหมุนตัวเดินออกไปจากประตู


ไนติงเกลถามขึ้นมาอย่างกังวล “ให้หม่อมฉันไปบอกไลต์นิ่งไหมเพคะ?”


โรแลนด์ส่ายหัว “ในเมื่อเขามาที่ปราสาท อย่างนั้นตัวเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถามเขาก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นค่อยว่ากัน”


เมื่อคำนวณจากวันที่แล้ว ธันเดอร์เพิ่งจะออกทะเลไปได้ประมาณครึ่งปีกว่า เมื่อนับรวมเวลาเดินทางไปกลับแล้วก็เท่ากับว่าระยะทางที่เขาล่องเรือออกไปจริงๆ นั้นเพิ่งจะแค่ 3 เดือนเท่านั้น เมื่อคิดถึงว่าเขายังไปหยุดพักอยู่ที่ทะเลชาโดว์อยู่อีกช่วงหนึ่ง เวลาที่เขาใช้เดินทางจริงๆ ก็จะยิ่งสั้นกว่าเดิม นี่มันสั้นกว่าแผนการที่วางเอาไว้ในตอนแรกมาก จากที่อีกฝ่ายคิดเอาไว้ในตอนแรก การเดินทางครั้งนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยปีหนึ่งถึงหนึ่งปีครึ่ง ถ้าเป็นไปได้ธันเดอร์ยังอย่างจะไปดูด้วยว่าปลายสุดของทะเลน้ำวนมีอะไร จะเป็นแผ่นดินที่เห็นในโบราณสถานหรือว่าเป็นส่วนลึกของทะเล


เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเกิดเหตุอะไรขึ้นจนเขาไม่สามารถรับมือได้ แผนการสำรวจที่เตรียมมาเป็นเวลานานจึงต้องหยุดลงกลางคัน


โรแลนด์มองไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว


หรือว่า…มันจะเกี่ยวกับพระจันทร์สีแดง?


ไม่นานธันเดอร์ที่ใช้ชื่อปลอมว่าแซนเดอร์ก็ถูกองครักษ์นำทางมายังห้องทำงาน ดูแล้วเหมือนครั้งนี้เขาจะเจอปัญหาหนักจริงๆ แม้แต่หนวดปลอมก็ไม่ได้ติดมา ขนนกที่ติดอยู่บนตัวก็เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่อัน ถ้าตอนนี้ไลต์นิ่งมาเห็นเขา เธอจะต้องจำเขาได้แน่


แต่อย่างน้อยเขาก็ดูปลอดภัยดีทุกอย่าง สำหรับโรแลนด์แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว


“ฝ่าบาท ดีใจจริงๆ ที่ได้พบพระองค์อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์โค้งตัวถวายบังคม “กระหม่อมเกือบคิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเย็นๆ ให้เขา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ในเมื่อรวบรวมนักเดินเรือฝีมือดีที่สุดยอดฟยอร์มาแล้ว ข้าคิดว่าลมพายุกับคลื่นยักษ์ธรรมดาคงจะไม่ทำให้เจ้าพูดแบบนี้แน่”


“ลมพายุกับคลื่นยักษ์มันยังมีสัญญาณเตือนพ่ะย่ะค่ะ แต่ปีศาจทะเลนับพันนับหมื่นนั้นไม่มี” ในเวลานี้ธันเดอร์เหมือนจะยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ “ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมไม่ได้เจอแค่ปีศาจทะเลเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”


เมื่อฟังคำบรรยายของอีกฝ่าย โรแลนด์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของอีกฝ่ายในตอนนั้น ปีศาจทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามาหาเรือของเขา ครีบหลังของมันที่ผุดขึ้นผุดลงเหมือนทำให้น้ำทะเลเดือดขึ้นมา เรือใบที่แล่นได้ช้าถูกมันลากลงไปในนรกอย่างไร้ความปราณี และในฝูงปีศาจทะเลก็ยังมีเรือก้อนเนื้อที่น่ากลัวอยู่อีก น้ำกรดที่พวกมันพ่นออกมาสามารถลอยไปไกลได้หลายกิโลเมตร ขอเพียงสัมผัสถูกมันแค่เพียงนิดเดียว เนื้อก็จะเละทันที เหล็กกล้ากับไม้ล้วนแต่ไม่สามารถทนการกัดกร่อนของมันได้ ถึงแม้จะเร่งความเร็วเต็มที่แล้ว ทีมนักสำรวจก็ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากมันได้…


“อาณาจักรซีสกาย…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“ฝ่าบาท มันคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ธันเดอร์ถาม


“คำที่ปีศาจใช้เรียกอารยธรรมอีกหนึ่งอารยธรรมน่ะ” โรแลนด์ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ปีศาจทำศึกสองด้านให้อีกฝ่ายฟัง ตัวเรือที่ประกอบขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงและก้อนเนื้อ อีกทั้งยังลอยอยู่บนน้ำได้เหมือนเรือเดินทะเล แล้วก็ดำลงไปในทะเลได้ด้วย ลักษณะเด่นเหล่านี้ล้วนแต่คล้ายกับภาพที่เขาเห็นในมรดกของพระเจ้าเลย


“พระองค์ทรงหมายความว่า พวกเราบุกรุกเข้าไปในดินแดนของพวกมันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าการปรากฏขึ้นมาองพระจันทร์สีแดงจะทำให้ขอบเขตการลาดตระเวนของพวกมันขยายกว้างขึ้น” โรแลนด์เปลี่ยนประเด็น “หลังจากนั้นล่ะ? ทีมสำรวจหนีออกมาได้ยังไง?”


“ความจริงแล้วไม่ใช่พวกเราที่หนีมันได้พ่ะย่ะค่ะ หากแต่เป็นเพราะว่าพวกมันสู้กันเองพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา


“สู้..กันเอง?”


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ศัตรูมันไล่ตามพวกกระหม่อมทั้งกลางวันกลางคืน เหมือนกับว่าพวกมันไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยล้าอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งในตอนที่เข้าใกล้เส้นทะเล พวกกระหม่อมก็สูญเสียเรือไปมากกว่าครึ่งแล้ว ลูกเรือส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็แทบจะหมดสภาพเพราะไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน มีแต่สโนวบรีซที่พระองค์สร้างขึ้นมาเท่านั้นที่ยังมีแรงเล่นต่อไปได้ —-เพราะว่ามันไม่จำเป็นต้องปรับใบเรือกับทิศทางการล่องเรือ”


“ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง จู่ๆ ก็มีสัตวประหลาดทะเลขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนจะรัดสัตว์ประหลาดทะเลตัวหนึ่งเอาไว้ ภาพเหตุการณ์นั้นมันเหมือนกับสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อสองก้อนกำลังกัดกันอยู่ ถึงแม้มันจะเป็นสัตว์ประหลาดทั้งคู่ แต่สัตว์ประหลาดตัวแรกดูแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด แขนขาและหนวดที่ยืนออกมาจากในร่างกายฉีกสัตว์ประหลาดอีกตัวเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นปีศาจทะเลหรือว่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็ล้วนแต่หยุดการไล่ล่าพวกกระหม่อม พวกมันพากันไปล้อมสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวนั้นเอาไว้ พวกกระหม่อมถึงได้มีโอกาสข้ามเส้นทะเลแล้วหนีกลับมายังหมู่เกาะฟยอร์ดได้พ่ะย่ะค่ะ”


มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย โรแลนด์ถอนหายใจยาวออกมา “สุดท้ายพวกเจ้าก็ยังถือว่าโชคดี ดูเหมือนชื่อเรือที่ตั้งขึ้นมาจะไม่เสียของนะเนี่ย”


“เอ่อ…ชื่อเรือหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาโบกมือ “แล้วหลังจากนี้พวกเจ้าวางแผนไว้ว่ายังไง?”


ใบหน้าของธันเดอร์มีสีหน้าของความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ทูลตามตรงพ่ะย่ะค่ะ ความเสียหายของเรือนั้นยังไม่เท่าไร แต่การออกไปสำรวจครั้งนี้ทำให้ลูกเรือจำนวนมากต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทั่วทั้งฟยอร์ดเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ พวกลูกเรือที่ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลมาทั้งชีวิต ตอนนี้แค่มองไปทางตะวันออกของทะเล สีหน้าพวกเขาก็ดูแย่อย่างมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าคงไม่มีใครกล้าขึ้นเรือไปที่เขตทะเลชาโดว์อีกพักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์แอบเห็นด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก็เหมือนกับที่อีกฝ่ายพูดมา ลมพายุกับคลื่นยักษ์ยังพอจะมีลางบอกเหตุบอกให้รู้ คนเดินเรือที่มีความกล้ามักจะสามารถหาทางที่จะล่องเรือไปกับมันได้ แต่ในสถานการณ์ที่ได้แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ นี่มันไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยแล้ว


“พวกหอการค้าใหญ่ยังฝากกระหม่อมมาทูลพระองค์ด้วย พวกเขาอยากจะขอซื้อที่ดินในเกรย์คาสเซิลในราคาสูงซักผืนเพื่อเป็นที่ให้พวกเขาได้ใช้หลบภัยพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ถอนหายใจ “เพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะกลับมาอีกหรือไม่ ทะเลคือแนวป้องกันตามธรรมชาติของชาวฟยอร์ดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ถ้าหากศัตรูสามารถไปมาในทะเลได้อย่างอิสระล่ะก็ เกาะฟยอร์ดก็เหมือนกับเป็นที่เปิดโล่งที่ไม่มีเกาะป้องกันอะไรแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”


อะไรๆ มันก็ไม่แน่จริงๆ เมื่อปีสองปีก่อนเขายังคิดที่จะเอาฟยอร์ดเป็นจุดลี้ภัยสุดท้ายหากพ่ายแพ้สงครามอยู่เลย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปหมด


ถ้าเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะมายังเมืองชายแดน บ้านทุกหลังในเมืองมีมูลค่ารวมกันยังไม่ถึง 2 – 3 ร้อยเหรียญทอง ข้อเสนอนี้คงจะเป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูดอย่างมาก แต่ตอนนี้เงินกระดาษได้เริ่มแพร่หลายในดินแดนแล้ว ราคาสูงที่ว่านั้นจึงไม่ใช่เงื่อนไขที่น่าดึงดูดอีกต่อไป


“แล้วเจ้าว่ายังไง?”


“หากเป็นความคิดเรื่องที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาในอาณาจักร กระหม่อมว่าควรจะล้มเลิกความคิดนี้เสียดีกว่า” ธันเดอร์ยักไหล่ “เพราะพระองค์ไม่มีทางยอมให้พวกเขามาตั้ง ‘เกาะ’ แห่งใหม่ในเกรย์คาสเซิลแน่”


โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา สมแล้วที่เป็นนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฟยอร์ด “ถ้าหากแต่คิดจะมีชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อที่จะหาอำนาจพิเศษ เกรย์คาสเซิลนั้นพร้อมที่จะต้อนรับพวกเขาเสมอ”


“กระหม่อมจะแจ้งพวกเขาตามนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


“การเดินเรือครั้งนี้น่าจะเหนื่อยมากใช่ไหม ข้าเตรียมชาตอนบ่ายเอาไว้แล้ว เจ้าไปแช่น้ำร้อนซักหน่อย แล้วค่อยๆ มาคุยกับข้าเรื่องสิ่งที่ได้เห็นมาในการเดินทางครั้งนี้แล้วกัน ส่วนเรื่องการซ่อมเรือสโนว์บรีซนั้นต้องใช้เวลาอีกหลายวัน รอเจ้าหายเหนื่อยค่อยกลับไปฟยอร์ดก็ยังไม่สาย”


“อย่างนั้นกระหม่อมต้องขอรบกวนพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เอามือขึ้นมาทาบที่อก


ในขณะที่เขาเตรียมจะเดินออกไป โรแลนด์พลันเรียกเขาไว้ “เออใช่ เรื่องไลต์นิ่ง…เจ้ายังคิดที่จะปิดบังต่อไปใช่ไหม?”


“กระหม่อม…” ธันเดอร์อ้าปาก แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก


“”เจ้าเคยบอกว่าหลังจบการสำรวจครั้งนี้ เจ้าจะไปหานาง ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่ถือว่าประสบความสำเร็จอะไรมากนัก แต่ตอนนี้อาณาจักรซีสกายได้ยึดครองทะเลไปกว่าครึ่งแล้ว ชาวฟยอร์ดเองก็หวาดกลัวกันไปหมด ข้าคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีอะไรให้เจ้าออกไปสำรวจอีกนาน” โรแลนด์เอามือเท้าคาง “แต่ข้าต้องการคนที่จะมาช่วยสู้กับปีศาจ ไลต์นิ่งเองก็อยากจะเห็นพ่อของตัวเองมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ หลังจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ต่อดีไหม?”


ธันเดอร์ก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ครู่ “กระหม่อมจะลองคิดดูพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท”


…………………………………………………………………………


ตอนที่ 1265 ชีวิตของแม่มด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าคิดว่าเขาจะตอบตกลงไหม?”


หลังจากที่เสียงฝีเท้าของธันเดอร์ห่างออกไปแล้ว โรแลนด์จึงถามไนติงเกลขึ้นมา


“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” ไนติงเกลค่อยๆ ตอบ “แต่ประโยคสุดท้ายเขาพูดจริงเพคะ”


โรแลนด์พยักหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร การให้ธันเดอร์อยู่นอกจากเพื่อไลต์นิ่งแล้ว เขายังมีเหตุผลส่วนตัวของเขาด้วย ในฐานะที่เป็นนักสำรวจชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดให้ชาวฟยอร์ดมาสวามิภักดิ์ต่อเขา หรือว่ารับหน้าที่เป็นหัวใจสำคัญของกองทัพเรือ อีกฝ่ายก็ล้วนแต่เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด


โดยเฉพาะเหตุผลในข้อหลัง จากที่อกาธาวิเคราะห์มา ตอนนี้หมอกแดงได้ปกคลุมอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ไปเกินครึ่งแล้ว ในตอนที่กองทัพที่หนึ่งไปถึงที่นั้น เกรงว่าแม้แต่ชายแดนของวูล์ฟฮาร์ทก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน ในสภานการณ์แบบนี้ การให้เรือคอยยิงสนับสนุนจากริมชายฝั่งหรือด้านข้างนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ จากเหตุการณ์ที่ทหารถอยหนีมาจากท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์จะเห็นได้ว่าการมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งคอยยิงสนับสนุนนั้นช่วยลดแรงกดดันบนภาคพื้นดินได้อย่างมาก


ตอนนี้เรือพาณิชย์ที่แล่นไปๆ มาๆ ดูเหมือนจะเป็นระเบียบ แต่ถ้าอยากจะให้พวกเขาเข้าไปสู้กับปีศาจในเขตหมอกแดงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เมืองเนเวอร์วินเทอร์สามารถสร้างเรือเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ขาดแคลนอยู่ก็คือลูกเรือที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกับคนที่จะมาคอยคุมกองทัพเรือ


ถ้าธันเดอร์ยินดีที่จะอยู่ที่นี่ ปัญหาเหล่านี้ก็จะได้รับการแก้ไข


แต่โรแลนด์เองก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้จะไปบังคับไม่ได้ เขาได้แต่ต้องรอให้อีกฝ่ายค่อยๆ คิด


ในขณะที่เขากำลังจะยกปากกาขึ้นมาเพื่อทำงานต่อ โทรศัพท์บนโต๊ะพลันดังขึ้นมา


เมื่อดูจากสายโทรศัพท์แล้ว นี่เป็นสายที่โทรมาจากตึกแม่มดที่อยู่ในเขตปราสาท


“ฮัลโหล?”


“ฝ่าบาท หม่อมฉันเวนดี้นะเพคะ” ในหูโทรศัพท์มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “จุดตรวจสอบตรงท่าเรือน้ำตื้นแจ้งมาว่าพวกเขาเจอแม่มดเพคะ”


…..


“นายท่าน…ไม่ทราบว่าจะพาพวกข้าไปไหนหรือเจ้าคะ?”


ไทเลนจูงมือโมโม่พร้อมกับถามอย่างระมัดระวัง


ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกนางก็เดินต่อแถวผ่านด่านเหมือนกับผู้อพยพคนอื่นๆ แต่หลังจากที่เข้าไปในพื้นที่ลงทะเบียนแล้ว พวกเธอก็ถูกคนชุดดำเชิญออกมาจากแถว แล้วจะเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ถูกเปิดโล่ง แต่กลับมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา


นี่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที


เธอเคยได้ยินมาว่าในเวลาที่เมืองบางเมืองตรวจสอบผู้อพยพ พวกเขาจะเลือกเอาคนบางส่วนออกมาทำการ ‘สอบถาม’ เป็นพิเศษ ถ้าไม่สามารถมอบผลประโยชน์ที่เหมาะสมได้ก็จะถูกลงโทษ


แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาเพียงแค่ให้พวกเธอนั่งรออยู่ในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามคำถามแปลกๆ สองสามคำถาม ก่อนจะปล่อยพวกเธอออกมา แล้วให้ชายชุดดำคนหนึ่งเดินนำพวกเธอเข้าไปในเมือง


“ไม่ต้องเรียกข้านายท่านก็ได้ เรียกข้าโจเซฟก็พอ” น้ำเสียงของชายชุดดำฟังดูสบายๆ “พวกเจ้าเป็นแม่มดใช่ไหม?”


ไทเลนตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดสถานะของตัวเธอออกมาตรงๆ ขนาดนี้ ที่น่าตกใจมากกว่านั้นพวกเข้ารู้ได้ยังไงว่าตัวเองมีพลังเวทมนตร์? เธอคิดว่าตัวเองปกปิดเอาไว้แนบเนียนอย่างมากแล้ว


“ทำไม…ท่านถึงพูดแบบนี้ล่ะเจ้าคะ?”


“ข้าไม่รู้เรื่องเวทมนตร์หรอก แม่มดเป็นคนบอกข้าน่ะ” โจเซฟพูดพร้อมเกาหัว “ได้ยินว่าพวกนางใช้หินพิเศษชนิดหนึ่งที่สามารถรับรู้ถึงพลังเวทมนตร์ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ไหนนั้น ข้าก็ต้องพาเจ้าไปที่อยู่ของแม่มดไง — พวกเจ้าน่าจะเหนื่อยมากแล้วใช่ไหม สบายใจได้ ท่านเวนดี้จะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี”


ไทเลนกับโมโม่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความแปลกใจในสายตาของอีกฝ่าย


เรื่องหนึ่งที่พวกเธอคิดไม่ถึงก็คือเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะมีวิธีในการแยกแยะแม่มดด้วย ถ้าศาสนจักรในอดีตกับขุนนางของวูล์ฟฮาร์ททำได้แบบนี้ เกรงว่าพวกนางคงอยู่ไม่รอดจนมาถึงทุกวันนี้แน่


เรื่องที่สองคือน้ำเสียงของอีกฝ่าย แม่มดเหมือนจะทำงานร่วมกับคนธรรมดา แถมยังไม่มีการแบ่งแยกด้วย?


ทั้งสองคนนั้นเคยได้ยินเจ้านายของพวกเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่อยู่ทางใต้สุดของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลกับผู้ปกครองของมันที่ชื่อโรแลนด์ วิมเบิลดันให้ฟัง อีกทั้งในระหว่างเดินทางมาขึ้นเรือ พวกเธอก็เคยได้ยินข่าวลือต่างๆ มามากมาย เพียงแค่เนื้อความจากข่าวลือและสิ่งที่เจ้านายของเธอเล่าให้ฟังนั้นแตกต่างกันอย่างมาก เจ้านายของเธอเล่าให้ฟังว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนั้นเป็นราชาที่บ้าคลั่ง ที่เขาเกณฑ์แม่มดไปก็เป็นเพราะเอาไปปรนเปรอกิเลสความใคร่ส่วนตัว ส่วนข่าวลืออีกด้านหนึ่งก็เล่าถึงความสำเร็จของเกรย์คาสเซิล แล้วก็เล่าว่าแม่มดที่อยู่ที่นั่นสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนธรรมดา


เรียกได้ว่าเป็นเพราะข่าวลือที่สองนี้ถึงได้ทำให้พวกเธอตัดสินใจอพยพมาทางใต้


แต่ทั้งสองที่นั้นอยู่ห่างกันไกลมาก ไม่มีใครรู้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วสถานการณ์ที่นั่นจะเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงคิดที่จะปกปิดสถานะของตัวเองเอาไว้ก่อน รอให้ทุกอย่างแน่ชัดแล้วค่อยคิดหาทางต่อไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอเพิ่งมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ สถานะของพวกเธอก็ถูกเปิดเผยออกมาเสียแล้ว


ที่โชคดีก็คือคนที่นี่เหมือนจะไม่ได้มองแม่มดเป็นตัวประหลาดจริงๆ


ในตอนที่ทั้งสองคนมาถึงด้านนอกเขตปราสาท แม่มดผมผมแดงคนหนึ่งก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับเด็กผู้หญิงอีกสองคน


“เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจัดการต่อเอง”


“ขอรับ ท่านเวนดี้!” โจเซฟทำความเคารพ ก่อนจะหันไปโบกมือให้กับทั้งสองคนแล้วหมุนตัวเดินจากไป


ไทเลนกับโมโม่มองดูผู้หญิงที่ชื่อเวนดี้


“ข้าชื่อเวนดี้ เป็นผู้รับผิดชอบสโมสรแม่มดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ทั้งสองคนนี้คือผู้ช่วยของข้า เบลกับเกรย์แรบบิท” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “เจ้าพอจะบอกชื่อของพวกเจ้าหน่อยได้ไหม? ถึงแม้ในรายชื่อจะเขียนเอาไว้ว่าไทเลนกับโมโม่ แต่ข้าอยากจะได้ยินพวกเจ้าพูดออกมาเองมากกว่า”


เธอพลันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นทันที ไม่เคยมีใครใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขนาดนี้พูดกับเธอมานานแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนขุนนางเสียยิ่งกว่าพวกขุนนางเหล่านั้นเสียอีก ไม่เพียงแค่ใบหน้าและการแต่งตัวเท่านั้น กระทั่งกิริยาท่าทางของเธอก็ไม่เหมือนกับคนพวกนั้น คล้ายว่าเดินออกมาจากในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น


“ข้าชื่อไทเลน” เธอพูดเบาๆ


“โมโม่” เพื่อนอีกคนพูดชื่อตัวเองตามขึ้นมา


“เป็นชื่อที่ไม่เลวเลย” เวนดี้จูงมือทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ นับจากนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือบ้านหลังใหม่ของพวกเจ้า มา…เดี๋ยวข้าจะพาไปเดินดูสถานที่ที่พวกเจ้าจะใช้ชีวิตหลังจากนี้”


หลังเดินผ่านกำแพงและสวนเข้ามาแล้ว ไทเลนถึงได้พบว่าแท้ที่จริงปราสาทของราชานั้นไม่ได้เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่ของที่นี่ ด้านหลังของมันยังมีตึกที่อยู่ใหญ่กว่าอีกหลังหนึ่ง และตรงกลางระหว่างทั้งสองที่ก็มีสวนดอกไม้กับสนามหญ้าคั่นเอาไว้อยู่ ผู้หญิงที่หน้าตางดงามหลายคนกำลังนั่งคุยกับ สีหน้าท่าทางดูแล้วสบายเป็นธรรมชาติ


นี่น่าจะเป็นชีวิตที่ตัวเองฝันถึงละมั่ง?


“พวกนาง…ก็เป็นแม่มดเหมือนกันเหรอ?” โมโม่อดถามออกมาไม่ได้


“ถูกต้อง” เวนดี้พยักหน้า “ถ้าเป็นตอนที่เลิกงานแล้ว พวกเจ้าจะเห็นพวกนางเยอะกว่านี้อีก”


“เอ่อ…เลิกงาน?”


“หมายถึงว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ” เบลอธิบาย “ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ แม่มดก็เหมือนกับคนธรรมดา ทุกวันพวกนางต่างก็มีงานที่ตัวเองต้องทำ”


“อย่างนั้นพวกนาง..”


สาวน้อยเบะปาก “แต่ก็จะมีบางคนที่ชอบอู้งาน เรื่องนี้ก็เหมือนกับคนธรรมดาเหมือนกัน”


“หรือพี่เจ้าไม่เคยบอกเจ้าว่าหูของข้าไวมาก?” หญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหูเรียวยาวมองมาทางพวกเธอ ก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มมุมปาก


“เอ่อ…พี่โลก้า ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน” เบลรีบโบกมือ “ข้าหมายถึง…”


“เฮ้ สโมสรแม่มดมีสมาชิกใหม่เหรอ?” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งรีบวิ่งตามเข้ามาทันที “สวัสดี ข้าชื่อลูน่า แล้วก็เป็นหัวหน้าทีมนักสืบของเมืองเนเวอร์วินเทอร์! ไม่ว่าพวกเจ้ามีความสามารถอะไรก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกของทีมนักสืบได้ ว่าไง สนใจไหม?”


“….ข้าหมายถึงคนนี้” เบลเอามือกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ


“โอ้? เจ้าเองก็กำลังพูดแนะนำถึงข้าเหรอ?” ลูน่าเอาสองมือเท้าเอว “จำเอาไว้นะ ทีมนักสืบใช้สมองในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่กำลัง ถ้ามีคนชวนเจ้าไปเข้าทีมนักสำรวจ เจ้าอย่าไปรับปากเด็ดขาด พวกนางดูแค่ความสามารถ แต่มองข้ามสติปัญญาของเจ้า อย่างเช่นคุณหนูหมาป่าคนนี้”


“เดี๋ยวเถอะ” โลก้าแยกเขี้ยว


“เจ้าดูสิ นี่คือหลักฐาน!” ลูน่ารีบยกมือขึ้นมากันเอาไว้


“น่าขายหน้าจริงๆ…”


“อย่างนั้น ข้ากลับไปอ่านหนังสือได้หรือยัง?” แม่มดอีกสองสามคนที่เหลือมากันพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา


ไทเลนตกตะลึง


เอ่อ ชีวิตที่นี่ดูจะไม่ค่อย…เหมือนที่เธอจินตนาการเอาไว้เลย


………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)