Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1256-1260
ตอนที่ 1256 ผลตอบรับและแผนการใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สถานการณ์การแลกเงินในหลายวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
วันที่สามหลังจากแจกจ่ายเงินสกุลใหม่ออกไปแล้ว โรแลนด์ก็เรียกประชุมหัวหน้ากองต่างๆ เนื้อหาสำคัญที่ประชุมก็คือผลตอบรับจากการเปลี่ยนแปลงสกุลเงิน
ในฐานะที่เป็นคนที่มาจากอนาคต เขาย่อมต้องรู้ดีว่าการจะทำลายระบบที่ทำกันมาเป็นพันๆ ปีนั้นมันยากเย็นแค่ไหน หากมีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้ทุกอย่างพังลงได้ ถ้าหากแผนสกุลเงินใหม่พังลง สำนักบริหาร…ไปจนถึงชื่อเสียงและบารมีที่เขาสะสมมาเป็นเวลานานก็อาจจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงได้
“น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟดูผ่อนคลาย “จำนวนเงินที่เอามาแลกในช่วงสามวันแรกนั้นมีไม่ถึง 1,000 เหรียญทอง ปกติแล้วช่วงแรกที่สำนักบริหารประกาศนโยบายใหม่ออกมามักจะเป็นช่วงที่มีความผันผวนมากที่สุด แต่หากสถานการณ์เป็นเหมือนอย่างตอนนี้ เงินที่มีอยู่ในคลังตอนนี้ก็น่าจะมีให้เราพอใช้ไปจนกว่าทุกอย่างจะอยู่ตัวพ่ะย่ะค่ะ”
เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านแห่เอาเงินมาแลก จำนวนเงินกระดาษล็อตแรกที่แจกจ่ายออกไปจึงมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนในเดือนนั้น ต่อให้เงินทั้งหมดถูกเอามาแลก เงินที่มีอยู่ในคลังก็ยังพอให้ใช้ไปได้อีกสองเดือน แต่ถ้าหากเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ ในความเป็นจริงก็เท่ากับว่าแผนการนี้ล้มเหลวแล้ว
“กระหม่อมคิดว่าพระองค์ทรงคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟลูบเคราตัวเองพร้อมพูดยิ้มๆ “การเอาเงินใหม่มาแลกเป็นเงินเก่านั้นเรียกได้ว่ามีแต่ขาดทุน ถ้าไม่สุดปัญญาจริงๆ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางเอามันมาแลกแน่นอน”
“แต่ก็อย่าไปคิดว่าประชาชนจะยอมรับเงินสกุลใหม่กันแล้วนะ” เซนจ์ ดาลีนหัวหน้ากองการเกษตรพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ข้าพบว่าช่วงนี้ปริมาณการขายธัญพืชต่างๆ ในตลาดเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมมาก แล้วก็ยังมีพวกอาหารแห้งกับเครื่องปรุงด้วย”
การค้าขายไม่เพียงแต่จะไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น? โรแลนด์งุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงคิดขึ้นมาได้
ที่แท้อย่างนี้นี่เอง เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ประชาชนนั้นยังไม่ยอมที่จะเสียค่าธรรมเนียมในสถานการณ์ที่ยังไม่แน่ชัด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเอาเงินไปแลกเป็นของใช้จำเป็น ในอดีตพวกธัญพืชนั้นถูกใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ส่วนของแห้งและเครื่องเทศนั้นก็สามารถเก็บไว้ได้นาน
แต่ว่านี่ก็ทำให้โรแลนด์รู้สึกเบาใจขึ้น
การที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดคนในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วันนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าประชาชนแสดงความไม่มั่นใจออกมาด้วยการเอาเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของ สำนักบริหารก็แทบจะไม่มีความกดดันอะไรเลย อย่างเช่นข้าวสาลี ไข่ไก่กับชีส ปริมาณการผลิตของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เมืองเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการของทั้งดินแดนตะวันตก กระทั่งหลังจากนี้อีกสามเดือน คลังก็จะได้รับเงินชำระงวดใหม่ของหอการค้าร่วม เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็พอที่จะทราบแล้วว่าผลการเปลี่ยนสกุลเงินเป็นอย่างไร
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาซื้อไป” เขาสั่งเซนจ์ “ช่วงนี้เจ้าคอยจับตาดูให้ดี ห้ามปล่อยให้มีเหตุการณ์สินค้าขาดแคลนเด็ดขาด ขอเพียงยังไม่ถึงปริมาณการซื้อที่จำกัดเอาไว้ต่อตน พวกเขาอยากจะซื้ออะไรก็ปล่อยให้ซื้อไป”
สินค้าในตลาดล้วนแต่เป็นสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แล้วก็สามารถมองว่าเป็นร้านค้าที่ถูกควบคุมและดำเนินกิจการโดยอาณาจักรก็ได้ คนซื้อจำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชนถึงจะซื้อได้ ขอเพียงไม่ปล่อยให้พวกนายทุนที่มีเงินจำนวนมากเข้ามาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านจะซื้อสินค้าไปจนหมด
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“เออใช่ แล้วพวกพ่อค้าคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง?”
“ทูลฝ่าบาท” บารอฟตอบ “พ่อค้าในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เหมือนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มพ่อค้าที่มาจากที่ต่างๆ เหมือนจะรอดูสถานการณ์ พ่อค้าจำนวนไม่น้อยประกาศปิดร้าน พระองค์ว่า…” เขาทำมือไล่ออกไป
ปฏิเสธเงินใหม่ไม่ได้ก็เลยปิดร้านไปเลยงั้นเหรอ? โรแลนด์ส่ายหัว “ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็ทำได้ วันครบกำหนดการเช่ายังไม่ถึง จะเปิดหรือปิดร้านมันก็แล้วแต่พวกเขาจะตัดสินใจ อีกพวกหนึ่งล่ะ?”
“พวกหอการค้าจากทางฟยอร์ดไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ พวกเขายังคงทำการค้าตามปกติ แต่กระหม่อมได้รับจดหมายจากพ่อค้าของฟยอร์ดจำนวนไม่น้อย พวกเขาสอบถามว่าจะใช้เงินสกุลใหม่ในการจ่ายค่าเครื่องจักรไอน้ำกับเรือกลไฟได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เลยตอบตกลงไปตามที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้”
ภายในห้องประชุมมีเสียงซุบซิบดังขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์นี้ ในสายตาของพวกเขาแล้ว การที่พ่อค้าในอาณาจักรไม่ยอมสนับสนุนราชา กลับกลายเป็นพ่อค้าจากนอกทะเลที่มาสนับสนุนราชานั้นเรียกได้ว่าทำให้เกรย์คาสเซิลเสียหน้า
แต่โรแลนด์กลับไม่ได้สนใจ
ดูเหมือนชาวฟยอร์ดจะยอมรับเรื่องใหม่ๆ ได้ดีกว่าคนในพื้นที่นะเนี่ย เมื่อคิดถึงตอนที่เครื่องจักรไอน้ำปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก็เป็นมาร์จอรีซึ่งเป็นชาวฟยอร์ดที่แสดงความสนใจมันเป็นคนแรก แล้วก็ทำให้เมืองชายแดนมีเงินก้อนใหญ่มาพัฒนาเมือง
“แต่ว่า….ในนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่พ่ะย่ะค่ะ” บารอฟกระแอมเล็กน้อย “มีร้านขายเสื้อผ้าอยู่ร้านหนึ่งที่ชื่อเรนโบว์สโตน ร้านนี้ไม่เพียงแต่จะไม่หยุดขาย หากแต่ยังทำป้ายขึ้นมา โดยบนป้ายบอกว่าทางร้านลดราคาสินค้าเพื่อฉลองเงินสกุลใหม่ — จากที่กระหม่อมได้รับรายงานมา ประชาชนที่ไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้านนี้แทบจะเบียดกันจนเต็มถนนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์กะพริบตา จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ…วิคเตอร์ โลธาที่มาหาเขาพร้อมทั้งขอความร่วมมือจากลีฟนะเหรอ?
ควรจะบอกว่าอีกฝ่ายมีความกล้า หรือว่าเข้าใจถึงความคิดของเขาจริงๆ?
“ดีมาก” เขามองไปทางฮันนี่ที่เป็นหัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ “ทำบทความนี้ขึ้นมาเฉพาะเลย ในเวลาแบบนี้ ความมั่นใจมีค่ามากกว่าทองคำเสียอีก”
“ทราบแล้วเพคะ” ฮันนี่พยักหน้า
“ถูกต้องเพคะ ฝ่าบาท…ความมั่นใจมีค่ายิ่งกว่าทองคำ” จู่ๆ เอดิธส์ที่นั่งเงียบมาโดยตลอดก็พูดขึ้นมา “ขอพระองค์ได้โปรดหาทางป้องกันพวกที่จงใจสร้างข่าวลือขึ้นมาบิดเบือนด้วยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าอีกไม่นานคงมีข่าวลือไม่ดีปรากฏออกมาแน่เพคะ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” บารอฟขมวดคิ้ว “หรือว่ามีคนที่ประสงค์ร้ายต่อเงินสกุลใหม่?”
“นี่เป็นเรื่องปกติมาก เมื่อมีนโยบายใหม่ออกมา มันก็ต้องมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ อย่างเช่นพวกพ่อค้าที่ไม่อยากจะได้เงินกระดาษ หรือไม่ก็พวกที่ต้องการจะสั่นคลอนฝ่าบาท…ท่านคงไม่คิดหรอกนะว่าพวกขุนนางที่เคยคิดต่อต้านฝ่าบาทจะนั่งอยู่เฉยๆ ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา?”
“เอ่อ…” บารอฟพูดไม่ออกทันที
พวกเขาย่อมต้องไม่อยู่เฉยๆ แน่ โรแลนด์รู้ดี พวกเขาเพียงแต่ซุ่มดูอยู่เงียบๆ เท่านั้น ขอเพียงตัวเองเผยจุดอ่อนออกมาเพียงนิดเดียว คนพวกนี้ก็จะเผยเขี้ยวเล็บออกมาทันที
ถึงแม้ปีศาจมันจะเข้ามาประชิดเมืองแล้วก็ตาม
“วางใจได้ ฮันนี่กับแอ็คเซียจะคอยระวังแทนข้า”
“ยังมีหม่อมฉันด้วยเพคะ เหมืองของดินแดนตะวันตกพร้อมต้อนรับคนงานใหม่เสมอ” จู่ๆ ภายในห้องพลันมีเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมา ถึงแม้จะมองไม่เห็นตัวคนพูด แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าประโยคนี้ไม่ใช่การพูดเล่นแน่นอน
โรแลนด์มองดูทุกคน “ฟังให้ดีนะ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังผ่านช่วงสองสามเดือนแรกไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงสกุลเงินก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรอย่างรวดเร็ว แล้วก็แทนที่เหรียญทองได้อย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้มีความสำคัญต่อการเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา ขอให้ทุกคนพยายามให้เต็มที่!”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพียงกัน
“ฝ่าบาท…” หลังพูดตอบรับเสร็จ บารอฟก็ทำสีหน้าลังเลขึ้นมา “หลังจากนี้อีกสองสามเดือนต้องผลิตเงินกระดาษออกมาเยอะขนาดนั้น มันจะทันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ปริมาณในตอนนี้พอที่จะแทนที่เงินเดือนได้พอดี แต่มันไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการผลิตของมันจะมีแค่นี้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล” โรแลนด์ตอบ
ถึงแม้เงินกระดาษจะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่เทคโนโลยีที่ใช้ผลิตมันขึ้นมากลับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เมื่อคิดถึงว่าปริมาณเหรียญทองและเหรียญเงินที่สะสมมาเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีนั้นเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้คิดที่จะให้โซโรย่าแบกรับหน้าที่นี้ไว้คนเดียว ในด้านของกระดาษ เงินสกุลใหม่นั้นมีส่วนผสมของของเหลวจากแมลงยางอยู่ในเยื่อกระดาษด้วย หลังตากแดดให้แห้งแล้วมันจะมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ฉีกขาดได้ง่าย
ส่วนสัญลักษณ์ป้องกันการปลอมแปลงก็คือตัวเลขบนเงินกระดาษที่ทำมาจากฟอยล์ โดยมันจะถูกกดทับลงไปล่วงหน้าในตอนที่ทำกระดาษขึ้นมา และเทคโนโลยีที่สามารถทำให้โลหะเบาบางเหมือนปีกจักจั่นได้ก็มีแต่ที่เนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น
การผลิตเงินกระดาษนั้นใช้เครื่องพิมพ์แบบลูกกลิ้งในการพิมพ์ สีที่ใช้ก็เป็นสีที่เกิดจากความร่วมมือของดาร์คคลาวด์กับโบรคเคนซอร์ด จึงทำให้สีสันทั้งสดใสและคงทน เมื่อเทียบกับสีย้อมจากพืชหรือแร่ต่างๆ ในยุคสมัยนี้แล้วถือว่าดีกว่ามาก เรียกได้ว่าสามารถใช้จนกระทั่งเปลี่ยนสกุลเงินรอบหน้าได้เลย
เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพการผลิตหรือว่าการป้องกันการปลอมแลง เงินสกุลใหม่ก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดีที่สุด แม่มดเพียงแต่ทำวัตถุดิบออกมาให้ การผลิตนั้นคนธรรมดาเป็นคนจัดการ นี่จึงทำให้มันไม่มีปัญหาเวลาที่ต้องผลิตในปริมาณมาก
การกระจายเงินกระดาษออกไปได้อย่างราบรื่นนั้นถือเป็นการแก้ปัญหาภายในใจโรแลนด์ไปได้เรื่องหนึ่ง ในเมื่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้มีทั้งเงินและคนเพียบพร้อม สิ่งที่เหลือหลังจากนี้ก็คือจะเอาทรัพยากรเหล่านี้มาเปลี่ยนเป็นกำลังการผลิตได้อย่างไร
“หลังจากนี้ข้าคิดจะทำอีกโครงการหนึ่ง แรงงานที่ต้องการอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 หมื่นคน” เขาหันไปพูดกับหัวหน้าสำนักบริหาร ซึ่งตัวเองนี้ก็เท่ากับปริมาณประชากรของเมืองใหญ่ๆ เมื่อก่อนนี้เมืองหนึ่ง “บารอฟ เรื่อยรายละเอียดการจัดสรรเจ้าไปตกลงกับหัวหน้ากองที่เกี่ยวข้อง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อันดับแรกคือกองอุตสาหกรรมเคมี” โรแลนด์มองไปทางเคโม ซูอีล
เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ได้เวลาขยายปริมาณการผลิตดินปืนชนิดต่างๆ แล้ว
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1257 เครื่องจักรที่ชื่อประเทศชาติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าต้องการสร้างโรงงานผลิตแอมโมเนียกับโรงงานผลิตดินประสิว เรื่องนี้เจ้าน่าจะเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?” โรแลนด์ถาม
ก่อนหน้านี้ทั้งสองอย่างนี้ติดปัญหาอยู่ที่ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ต้องใช้ความสามารถของอกาธากับเปเปอร์มาช่วยแก้ไขปัญหา ปริมาณการผลิตนั้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงไม่ต่ำมาโดยตลอด เมื่อเทียบกับวิธีการผลิตกรดดินประสิวในตอนแรกสุดนั้นถือว่าสูงกว่าไม่น้อย แต่เนื่องจากขีดจำกัดของพลังเวทมนตร์ของแม่มดกับจำนนวนประชากรจึงทำให้ไม่สามารถขยายขนาดการผลิตได้
หลังจากที่เขาจัดทำตารางธาตุออกมา งานแรกที่ห้องทดลองเคมีทำก็คือก็คือการจัดการทำธาตุตัวอย่างออกมา ด้วยความสามารถในการแยกธาตุของลูเซีย ตอนนี้กองอุตสาหกรรมเคมีจึงมีธาตุตัวอย่างที่ใช้เทียบกับธาตุบนตารางธาตุ นี่ทำให้ธาตุที่หายากบางอย่างจึงไม่ใช่ของแปลกอีกต่อไป อย่างเช่นตัวเร่งปฏิกิริยาที่มักจะใช้บ่อยๆ ในการผลิตดินประสิว แพลทตินัมกับโรเดียม
ในแง่ของประสิทธิภาพแล้ว บางทีมันอาจจะสู้อกาธากับเปเปอร์ไม่ได้ แต่ขอเพียงมีคน โรงงานจะสร้างขึ้นมาเท่าไรก็ได้ ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าถ้าคุณภาพไม่พอก็ให้เน้นปริมาณ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เคโมตอบอย่างฉะฉาน “กระหม่อมได้ทดลองดูหลักการของมัน แล้วก็ได้สร้างท่อปฏิกิริยาขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อจำลองกระบวนการสังเคราะห์ ขอเพียงมีคนงานเพียงพอก็สามารถเริ่มงานได้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ
“ข้าจะจัดผู้อพยพที่รู้หนังสือไปให้เจ้าก่อน เดี๋ยวเลิกประชุมแล้วไปเตรียมตัวได้เลย” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้ ข้ายังคิดที่จะเปิดสายการผลิตใหม่เพื่อใช้ในการสร้างแบตเตอรี่ตะกั่วกรด”
หัวหน้ากองอุตสาหกรรมเคมีไม่ได้ทำสีหน้าประหลาดใจ คนอื่นๆ บางทีอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขาอ่านเคมีระดับต้นกับระดับกลางจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เนื้อหาในหนังสือเขาล้วนแต่จำได้ขึ้นใจ
แบตเตอรี่ตะกั่วกรดยังมีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันติดปากว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ วัสดุที่ใช้สร้างขึ้นมันเรียบง่ายอย่างมาก ขอแค่มีตะกั่ว เลดไดออกไซ์และกรดเจือจาง ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยากลำบากอะไรสำหรับกองอุตสาหกรรมเคมีในตอนนี้เลย อีกทั้งการใช้สารละลายอิเลคโตรไลต์มาทำให้หลอดไฟสว่างก็ถือเป็นการทดลองที่เป็นพื้นฐานอย่างมากในเคมีระดับชั้นมัธยม
ข้อดีของแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้คือมันสามารถใช้ซ้ำๆ ได้หลายครั้ง ขอแค่คอยเติมน้ำกลั่นเข้าไปในแบตเตอรี่ก็พอ ความยากในการผลิตตะกั่วและแผ่นเลดไดออกไซด์นั้นแทบจะเป็นศูนย์ ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ทำการผลิตมันขึ้นมาเป็นเพราะว่ามันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก ในสถานการณ์ประชากรมีไม่มากพอประโยชน์ของมันจึงมีไม่สูงนัก
“ปริมาณที่พระองค์ทรงต้องการคือ…” เคโมหยิบสมุดออกมาจด
“เดือนละร้อยกว่าเครื่องก็พอ” โรแลนด์ตอบ
แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ส่วนใหญ่จะใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ลูกสูบ เครื่องบินปีกสองชั้นนั้นถือเป็นเพชรเม็ดเอกของอุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่เวลาที่มันจะขึ้นบิน เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินยังต้องมาคอยหมุนสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่นานสองนาน ดูแล้วล้าหลังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้มีคนไม่พอก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีผู้อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องมานั่งทำอะไรแบบนั้นอีก
มีคนเยอะก็หมายความว่าอยากจะทำอะไรก็ได้
“จำนวนแค่นี้ เลือกคนงานใหม่มาสิบกว่าคนจากในโรงงานก็สามารถทำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เคโมตอบ “แต่แน่นอนว่าพวกแผ่นตะกั่วกับเปลือกนอกยังคงต้องการความช่วยเหลือของฝ่าบาทอันนามาช่วยในการสร้างอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเจ้ามีแบบมาให้ ทางกองอุตสาหกรรมก็ไม่มีปัญหา” อันนาพยักหน้า
“อย่างนั้นขอกระหม่อมได้คิดซัก 2 – 3 วัน แล้วเดี๋ยวกระหม่อมจะส่งแบบให้ทางกองอุตสาหกรรมพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์ดื่มชาอย่างพึงพอใจ หลังผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ในสำนักบริหารมีคนที่มีความสามารถอยู่เต็มไปหมด การข้ามไปร่วมงานกับอีกหน่วยงานกลายเป็นเรื่องปกติ นี่ทำให้หลายโครงการเขาเพียงแค่พูดเปิดประเด็นขึ้นมา ส่วนที่เหลือก็จะมีคนจัดการจนเสร็จเรียบร้อย
“ต่อไป ก็เป็นภารกิจของกองอุตสาหกรรม…”
หลังจบศึกทาคิลา ภายในหัวเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่จำเป็นต้องทำการปรับปรุงและเพิ่มเติมเข้าใน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เวลาปล่อยมือแล้ว
สิ่งแรกที่ต้องรีบจัดการก็คือเพิ่มความสามารถในการรบให้กับหน่วยทหารราบ
หรือก็คือแผนปืนกลเอนกประสงค์
ใช้วัสดุที่เบาขึ้นมาสร้างปืนกลแม็กซิม แล้วก็ปรับปรุงโครงสร้างให้ดีขึ้น ทำให้ตัวปืนและขาตั้งปืนสามารถถอดประกอบและให้ทหารแบกได้ ส่วนกระสุนก็จะใช้เป็นสายกระสุนหรือไม่ก็แมกกาซีน แบบนี้ไม่ว่าจะเจอศัตรูที่ไหนก็จะสามารถยิงตอบโต้ได้ทันที ถึงแม้ศัตรูจะเป็นปีศาจระดับสูง แต่ขอเพียงมันไม่ได้โจมตีอย่างปุบปับ พวกเขาก็สามารถยิงเพื่อเปิดโอกาสให้ยิงกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจได้
เนื่องจากโครงสร้างไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ส่วนสำคัญของการที่จะทำให้มันมีน้ำหนักเบาลงจึงอยู่ที่วัสดุ อย่างเช่น อัลลูมีเนียมอัลลอย แล้วก็พลาสติกที่ทำมาจากของเหลวจากตัวแมลงยาง —- แต่ปริมาณการผลิตของอัลลูมีเนียมอัลลอยกับพลาสติกนั้นมีไม่สูงนัก ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องบินก็จำเป็นต้องใช้วัสดุสองอย่างนี้ในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นปริมาณของปืนกลที่ผลิตได้คงจะไม่สูงเท่าไร
แต่ว่ามันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นอัศวินอากาศเป็นก็จำเป็นต้องใช้ปืนกล โปรเจคนี้จึงเรียกได้ว่าเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ในความคิดของโรแลนด์ ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะไปทำศึกที่วูล์ฟฮาร์ทหรืออีเทอร์นอลวินเทอร์ พวกเขาก็ควรต้องพยายามรักษาความได้เปรียบในเรื่องกำลังพลและอาวุธเอาไว้ สุดยอดทีมที่มีภารกิจพิเศษในการสอดแนม คุ้มกันและช่วยเหลือถึงจะมีอาวุธพวกนี้
นอกจากนี้ปืนยาวกึ่งอัตโนมัติที่แวนนาทำการปรับปรุงขึ้นมาก็ได้มอบให้ทางโรงงานทหารได้ลองผลิตออกมาแล้ว ตอนนี้สามารถแทนปืนยาวลูกเมื่อได้ในอัตราส่วน 1 : 5 หรือก็คือในจำนวนทหาร 5 คนจะมีทหาร 1 คนที่มี ‘ปืนยาวแวนนา’ สาเหตุที่ไม่ได้ทำการเปลี่ยนทั้งหมดก็เป็นเพราะคำนึงถึงเรื่องการขนส่ง แล้วก็โครงสร้างการยิงต่อเนื่องจะทำให้ความทนทานลดลง แล้วก็ทำให้เกิดอาการติดขัดในขณะที่ยิงได้ง่าย
แต่ว่ามันก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทหารได้จริงๆ
อันดับต่อมาก็คือเครื่องบินปีกสองชั้น หลังผ่านการทดสอบอย่างหนักมาเป็นเวลาเกือบสี่เดือน ในที่สุดเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่นแรกก็เสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ถูกตั้งชื่อว่า ‘เฮฟเว่นเฟลม’ มันไม่ได้ต่างจาก ‘ยูนิคอร์น’ มากนัก เมื่อเปิดออกดูโครงสร้างของมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เพียงแต่ถ้าจะให้คนงานที่เป็นคนธรรมดามาผลิตและประกอบ สุดท้ายจะผลิตออกมาได้กี่เครื่องก็ยังไม่อาจรู้ได้ ส่วนเครื่องยนต์นั้นยังคงต้องให้อันนาเป็นคนผลิตไปก่อน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ โรแลนด์ก็ยังคิดที่จะรวบรวมคนงานที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในเขตอุตสาหกรรมมาเพื่อทำลายอุปสรรคตรงนี้ไปให้ได้ ตั้งแต่ที่ผลิตเครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรกออกมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว เหล่าช่างเหล็กที่เมื่อก่อนเอาแต่เหวี่ยงค้อนเหล็กก็กลายมาเป็นคนควบคุมเครื่องจักรฝีมือดี ระดับการผลิตของเมืองเนเวอร์วินเทอร์พัฒนาไปจนถึงระดับไหนกันแน่ ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองทดสอบดู
ถ้าอยากจะหยุดการเคลื่อนไหวของอสูรสยองให้ได้ อย่างนั้นการแย่งน่านฟ้าก็คือหนทางเพียงหนึ่งเดียว
ส่วน ‘เฮฟเว่นเฟลม’ นั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นอย่างไม่ต้องสงสัย
สุดท้ายก็คือการจัดการกับอสูรยักษ์แมงมุมที่ปีศาจสร้างขึ้นมาใหม่และจุดอ่อนที่กองทัพที่หนึ่งแสดงออกมา — โรแลนด์คิดจะสร้างปืนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างปืนครกและปืนใหญ่ป้อมขึ้นมาอีกชนิดเพื่อเอาไว้สู้กับพวกอสูรยักษ์ ขนาดลำกล้องของมันตอนนี้กำหนดเอาไว้ที่ 75 มม. กองทัพสามารถขนมันออกไปรบได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฮัมมิ่งเบิร์ดมาลดน้ำหนักแล้วก็ไม่ต้องมีถนนแข็งๆ ด้วย ปกติแค่มีม้าสองตัวก็ใช้ได้แล้ว ถ้าไม่มีม้าก็ใช้คนขนก็ได้
ปืนใหญ่สนับสนุนทหารราบชนิดนี้ไม่มีความยากในด้านเทคโนโลยี แค่ย้ายคนงานเก่าบางส่วนมาจากโรงงานปืนใหญ่เดิมมาก็สามารถเริ่มการผลิตได้ทันที แต่ว่าก่อหน้านั้นเขาจำเป็นต้องทำการทดลองผลิตและทดสอบยิงปืนใหญ่ตัวอย่างก่อน
เรื่องพวกนี้โรแลนด์เคยคุยกับอันนาเป็นการส่วนตัวมาหลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก แค่พูดเพียงประโยคเดียวอีกฝ่ายก็เข้ามา
โรงงานเกือบ 10 โรงงานเปิดพร้อมกัน มีแรงงานเข้าไปทำงานในโครงการใหม่ทีเดียว 2 – 3 หมื่นคน ถือได้ว่าเป็นแผนการผลิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่สร้างเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมา
และเมื่อประชากรอพยพเข้ามาเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงให้เป็นอุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่เพียงแต่จะไม่หยุดลง หากแต่ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นทุกวัน
เครื่องจักรที่ชื่อ ‘ประเทศชาติ’ ได้เริ่มเปิดเครื่องแล้ว
……………………………………………………
ตอนที่ 1258 จำลองการต่อสู้บนท้องฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
อีกด้านหนึ่ง ณ ลานฝึกบินของโรงเรียนอัศวินอากาศเกรย์คาสเซิลเองก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่เหมือนกัน
เครื่องบินฝึกซ้อมทั้งหมดต่างถูกลากออกมาตั้งเรียนเป็นแถวยาวอยู่ที่ปลายสุดของรันเวย์ นักเรียนอย่างเป็นทางการ 30 กว่าคนกำลังตั้งใจฟังการฝึกสอนขององค์หญิงลำดับที่ห้า ส่วนที่ไกลออกไปกว่านั้นก็คือคนที่สอบไม่ผ่านหรือไม่ก็คนที่เพิ่งเข้ามาให้กำลังนั่งรอดูการฝึกบินอยู่ข้างรันเวย์
“นับแต่วันนี้ไป การฝึกซ้อมของพวกเจ้าจะเข้าสู้การฝึกซ้อมแบบใหม่ทั้งหมด!” ทิลลียืนอยู่หน้ากลุ่มคนที่ตัวสูงกว่าเธอ พร้อมกับเชิดหน้าแล้วพูดเสียงดังว่า “นึกถึงสิ่งที่พวกเจ้าเรียนรู้มาในเวลาเดือนกว่านี้ให้ดี จากนั้นก็ตะโกนบอกข้ามา! แพทเทอร์ เริ่มจากเจ้าก่อน!”
“การบินขึ้นพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” นักเรียนที่ถูกเรียกชื่อตอบอย่างตื่นเต้น
“คนต่อไป”
“การบินโฉบพ่ะย่ะค่ะ!”
“หนังเวทมนตร์พ่ะย่ะค่ะ!”
“หืม?”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ….” คนตอบรีบพูดแก้ทันที “กระหม่อมหมายถึง…การฝึกเพื่อทนต่อการวิงเวียนพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!”
“แปลกจริงๆ…” ฟินกิ้นพูดเสียงเบาๆ “องค์หญิงทิลลีเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนหรือเปล่า?”
“ใช่เหรอ?” ฮายส์เองก็พูดเสียงเบาๆ เหมือนกัน “แต่ถ้าเจ้าทำผิดอีก พระองค์ไม่มีทางละเว้นโทษให้เจ้าแน่ หรือว่าเจ้าลืมห้องน้ำที่พวกเราเพิ่งล้างมาเดือนนึงแล้วเหรอไง?”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ฟินกิ้นมองไปทางกู๊ด “เจ้าคิดว่าไง?”
กู๊ดพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกัน” ก่อนหน้านี้เขารู้สึกมาตลอดเวลาองค์เหมือนจะอยู่ในสภาพร้อนใจและวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับการที่นักเรียนอัศวินอากาศทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไร รับสมัครคนมา 200 กว่าคน แต่คนที่ผ่านการสอบนั้นมีแค่ 30 กว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้
ถ้าเพียงแค่เปอร์เซ็นต์ของคนที่ผ่านการสอบมีจำนวนที่น้อยก็ว่าไปอย่าง แต่เครื่องบินที่ทยอยส่งเข้ามาในโรงเก็บเครื่องบิน ตอนนี้กลับเหลือใช้ได้เพียงแค่ 6 ลำเท่านั้น เครื่องลำอื่นๆ ล้วนแต่เสียหายในตอนที่กำลังทำการฝึกบิน ได้ยินครูฝึกอีเกิลเฟซบอกว่า ราคาเครื่องบินลำหนึ่งนั้นแพงกว่าเรือเดินทะเลเสียอีก จู่ๆ เงินหลายพันเหรียญทองก็หายวับไปกับตา ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกไม่ดีทั้งนั้น….
แต่ว่าในช่วงนี้เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป การสอนขององค์หญิงยังคงเข้มงวดอย่างมาก แต่คิ้วกลับไม่ค่อยขมวดเหมือนอย่างเหมือนก่อนแล้ว
เครื่องบินที่พวกเขาทำตกในช่วงนี้…ก็ไม่ได้ลดน้อยลงนี่นา?
“ฟินกิ้น ตาเจ้าแล้ว” คนที่อยู่รอบๆ พูดเตือน
ฟินกิ้นรีบยืนตัวตรง “ระเบียบวินัยพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิง กระหม่อมได้เรียนรู้เรื่องระเบียบวินัยพ่ะย่ะค่ะ!”
“แล้วก็ความรับผิดชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮายส์ตะโกนตามขึ้นมา
ในกลุ่มนักเรียนมีเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา
“จุ๊ๆ ข้าเคยบอกแล้วไง น่าจะเอาเจ้าพวกนี้ไปฝึกในค่ายทหารซักเดือนสองเดือนแล้วค่อยเอามาเรียนที่นี่”
“พวกชาวบ้านก็ยังงี้แหละ ทนหน่อย”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดของนักเรียนที่ถูกคัดเลือกออกมาจากกองทัพ หลังจากที่ถูกลงโทษให้ล้างห้องน้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือน เรื่องราวของพวกเขาก็กลายเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วทั้งโรงเรียน แต่พวกนักเรียนที่เคยเป็นชาวบ้านมาก่อนอย่างมากก็แค่หัวเราะนิดหน่อย คนที่ดูถูกพวกเขาแล้วก็อยากจะให้พวกเขาถูกจับส่งไปทำงานที่เหมืองก็มีแต่คนของกองทัพที่หนึ่งเท่านั้น
ทิลลีไม่ได้พูดอะไรมาก “คนต่อไป”
กู๊ดโยนความคิดฟุ้งซ่ายทิ้งไป ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “รักอย่างลึกซึ้งพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในกลุ่มนักเรียนมีเสียงพูดซุบซิบดังขึ้นมา
“อะไรของมันเนี่ย?”
“สงสัยจะคิดคำอื่นไม่ออกล่ะมั้ง…”
เดิมเขาคิดว่าองค์หญิงจะถามเขาอย่างไม่พอใจ แต่สายตาอีกฝ่ายกลับหยุดอยู่ที่เขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหานักเรียนคนต่อไป
กระทั่งทุกคนต่างตอบคำถามเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิลลีจึงพยักหน้า “พวกเจ้าเพิ่งจะหัดบินได้ไม่นาน แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ไปนั้นมีไม่น้อยแน่นอน! ตอนนี้พวกเจ้าต้องเอาทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วใช้ในการฝึกซ้อมหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคนิคหรือว่าจิตใจที่มุ่งมั่น!”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทุกคนยืดตัวตรง
“พวกเจ้าจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสามทีม จากนั้นจะทำการจำลองการต่อสู้ขึ้นมา! กฎนั้นง่ายมาก ขอเพียงพวกเจ้าเล็งเป้าอีกฝ่ายค้างไว้ได้ 10 วินาทีโดยไม่ถูกอีกฝ่ายสลัดทิ้ง ก็จะถือว่ายิงอีกฝ่ายร่วงได้สำเร็จ ที่ผ่านมาพวกเจ้าได้แต่ฝึกซ้อมยิงเป้านิ่งอยู่บนพื้น แต่ครั้งนี้ พวกเจ้าจะได้สัมผัสดูว่าการต่อสู้บนอากาศจริงๆ มันเป็นอย่างไร!”
ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“องค์ องค์หญิง!” นักเรียนคนหนึ่งรีบยกมือขึ้นมาทันที
“ว่ามา”
“ในปืน…ไม่มีกระสุนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าโง่” ฟินกิ้นหัวเราะเยาะเบาๆ
“แน่นอนว่าไม่มี” ทิลลีส่ายหัว “พูดให้ถูกคือแม้แต่ปืนก็ไม่มี…ที่ติดอยู่ตรงหัวเครื่องบินกับตัวเครื่องบินนั้นเป็นแค่ปืนจำลอง พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นเต้นจนเผลอเหนี่ยวไกยิงเพื่อนพวกเจ้าร่วงลงมาจริง”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
“อีกอย่าง การยิงในระหว่างที่ิบินอยู่นั้นซับซ้อนมากกว่าการจำลองยิงบนพื้น แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป้าหมายอยู่ในเป้าแล้วจะยิงถูก ดังนั้นต่อให้มีกระสุนจริงๆ พวกเจ้าก็คงจะยิงถูกแต่อากาศ” เธอยักไหล่ “ยังมีคำถามไหม?”
องค์หญิงทรงมีอะไรที่เปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย กู๊ดแอบคิดในใจ ถ้าเป็นองค์หญิงเมื่อก่อนนี้ล่ะก็ พระองค์ไม่มีทางที่จะทำสีหน้าสบายๆ แบบนี้แน่
“กระหม่อมๆๆ…” ฟินกิ้นยกมือ กระทั่งได้รับอนุญาตแล้ว เขาจึงเหลือบมองดูพวกนักเรียนจากกองทัพที่หนึ่งนั่นเล็กน้อย “องค์หญิง แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราชนะพ่ะย่ะค่ะ? ต่อให้กระหม่อมไล่กัดอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายโจมตีกลับไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้นักเรียนอัศวินอากาศจะยังไม่เคยสัมผัสกับการสู้บนอากาศ แต่พวกเขาก็เคยเรียนแนวคิดที่เป็นพื้นฐานจากในห้องเรียน หากอัศวินอากาศอยากจะเอาชนะศัตรู พวกเขาก็ต้องพยายามเอาหัวเครื่องบินเล็งไปที่ศัตรู ขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า ‘กัด’ ที่นั่งด้านหลังนั้นก็มีปืนกลติดอยู่ แต่มุมยิงมีจำกัด ส่วนใหญ่จะใช้ในการยิงสนับสนุนกับการยิงสกัดศัตรูเวลาศัตรูไล่ตาม
“ในจุดนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินเอง” ทิลลีจูงมือแม่มดสองคนที่อยู่ข้างเธอขึ้นมา “พวกนางคือแขกพิเศษที่ข้าเชิญมา ทุกๆ การเคลื่อนไหวของพวกเจ้าจะอยู่ในสายตาข้า อย่าคิดล่ะว่าจะหลุดรอดไปได้”
“….นั่นมันท่านซิลเวีย”
“อีกคนเหมือนจะเป็นผู้ดูแลของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง…” กู๊ดได้ยินเสียงพูดเบาๆ ของนักเรียนจากกองทัพที่หนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“ส่วนคนที่คอยดูอยู่ทางนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะนั่งดูอยู่เฉยๆ” องค์หญิงพูดต่อว่า “มองเห็นธงสองสีที่อยู่ในมือพวกเขาไหม? ถ้ามองลงมาจากบนท้องฟ้า แถมของพวกเขาจะเรียงเป็นตัวเลขหกตัว หลังจากพวกเจ้าขึ้นบินไปแล้ว ธงสีเขียวจะหมายถึงปกติ ธงสีแดงจะหมายถึงถูกยิงตก เมื่อไรที่เห็นหมายเลขของตัวเองเป็นสีแดงก็ให้ถอยออกมาจากพื้นที่รบกลับมาที่ลานบิน เข้าใจไหม?”
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดีมาก ข้าจะแบ่งทีมเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่น่าแปลกก็คือ ทีมไม่ได้แบ่งตามลำดับของนักเรียน หากแต่มีรายชื่อทื่ทำขึ้นมาเป็นเฉพาะแผ่นหนึ่ง สุดท้ายกู๊ดกับฟินกิ้นถูกแบ่งอยู่ในทีมเดียวกัน โดยพวกเขาอยู่ทีมหมายเลข 2
“นี่คือคนกลุ่มแรกที่จะได้ขึ้นเครื่องฝึกซ้อม ใครจะเป็นคนขับใครจะเป็นคนยิงพวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจ หลังจากนี้ 15 นาที ทีมที่ 1 – 3 บินขึ้นไปก่อน แล้วก็ห้ามไม่ให้บินวนอยู่เหนือลานบิน ส่วนอีกสามทีมที่เหลือค่อยบินตามขึ้นไปหลังจากนั้น 5 นาที หลังจากนั้นการฝึกซ้อมก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!” ทิลลีปรบมือ
กู๊ดกำมือแน่นขึ้นมาทันที
เขารู้สึกว่าหน้าอกตัวเองมีเสียงดังตุ๊บๆ ออกมา
“เจ้าสังเกตเห็นหรือเปล่า?” ฟินกิ้นยื่นหน้าเข้ามา
“อื้อ” กู๊ดตอบ กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสองนั้นไม่ใช่ว่าเลือกออกมาตามใจตอบ สามทีมแรกนั้นเป็นนักเรียนชาวบ้านธรรมดาทั้งหมด ส่วนสามทีมหลังนั้นเป็นนักเรียนที่มาจากกองทัพที่หนึ่ง
องค์หญิงคงอยากจะดูล่ะมั่งว่านักเรียนจากฝ่ายไหนกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่า!
“หึ อย่างที่ข้าต้องการพอดีเลย” ฟินกิ้นเอามือขยี้จมูก “ข้าทนพวกมันหัวเราะเยาะมานานแล้ว ทำผิดแล้วถูกลงโทษข้ายอมรับได้ แต่ในเมื่อเป็นอัศวินอากาศ สุดท้ายมันก็ต้องตัดสินกันบนท้องฟ้า!”
แต่กู๊ดกลับไม่ได้สนใจว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ เขาหวังเพียงว่าตัวเองจะได้อยู่บนท้องฟ้านานขึ้นอีกหน่อย เพื่อที่จะให้ความสุขของตัวเองคงอยู่ยาวนานขึ้น เขาก้มหน้ามองดูสองมือของตัวเอง มันกำลังสั่นเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังตอบรับเสียงเรียกร้องภายในใจ เมื่อคิดถึงว่าตัวเองจะได้จับคันบังคับ เขาก็รู้สึกได้ถึงเลือดลมที่พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย
“ข้าจะขับเครื่องบิน เจ้ายิงให้ดีล่ะ” ฟินกิ้นตบไหล่เขา
“เจ้าก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้” กู๊ดพูดอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่นาน สุดท้ายฟินกิ้นจึงพูดขึ้นมาอย่างจนปัญหา “ก็ได้ อย่างนั้นกฎเดิม”
วิธีตัดสินที่เรียบง่ายแต่ได้ผลที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนริเริ่มใช้มันขึ้นมา แต่มีคนบอกว่านี่เป็นวิธีที่สโมสรแม่มดนิยมใช้ แล้วก็มีคนบอกว่าฝ่าบาทเป็นคนริเริ่มใช้มันขึ้นมา แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ได้ผลจริงๆ นั้นแหละ
“ค้อน กรรไกร กระดาษ!”
“ข้าชนะ” กู๊ดเก็บมือที่กางเป็นกระดาษกลับมา
ฟินกิ้นจ้องมือดูมือที่กำเป็นกำปั้นของตัวเองอยู่ครู่ ก่อนจะพูดงึมงำขึ้นมา “ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยังไงซะการฝึกซ้อมแบบนี้ก็ยังมีอีกหลายครั้ง”
ทั้งสองคนเดินไปยังที่จอดเครื่องบินปีกสองชั้น ก่อนจะขึ้นเครื่องบินตามหมายเลขทีมของตัวเอง
“พวกเจ้า…สู้ๆ นะ!” ฮายด์ที่อยู่ด้านข้างรันเวย์ตะโกนพร้อมส่งสายตา เขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อของคนที่จะได้ขึ้นไปซ้อมสู้รอบแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมาเป็นกองเชียร์ ส่วนความหมายของสายตาที่เขาส่งมานั้นไม่บอกก็คงจะรู้ว่าหมายถึงอะไร
“เหอะ พวกข้าก็ไม่ได้ฝึกมาเสียของหรอกนะ” ฟินกิ้นดึงแว่นกันลมลงมา ก่อนจะยกหัวแม่มือขึ้นมาสังสัญญาณให้กับเจ้าหน้าที่
บันไดถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคันโยกถูกหมุนอย่างรวดเร็ว ใบพัดที่อยู่ตรงหัวเครื่องบินก็ส่งเสียงปังๆ พร้อมกับค่อยๆ หมุนขึ้นมา
ในตอนที่เครื่องยนต์ลูกสูบเริ่มทำงานและเชื่อมต่อเข้ากับคันเร่ง กู๊ดพลันรู้สึกว่าเครื่องบินที่อยู่ด้านล่างร่างกายเขาพลันมีชีวิตขึ้นมา
“รันเวย์โล่ง ขึ้นบินได้!” เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินตะโกนบอกพร้อมทำวันทยหัตถ์
เขายกแขนขึ้นมาพร้อมทำวันทยหัตถ์กลับไป “เครื่องหมายเลข 2 ออกตัว!”
เครื่องบินสองปีกสไลด์ตัวไปบนรันเวย์ภายใต้การบังคับของเขา จากนั้นจึงเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน
………………………………………………………………………
ตอนที่ 1259 ศึกบนท้องฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมา เครื่องบินสามลำแรกก็ทยอยบินออกจากลานบินไป
“พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?” ทิลลีถาม
“….เอ่อ ต้องพนันเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไหมเพคะ?” ซิลเวียถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ แค่เดาๆ ก็พอ”
อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก “อย่างนั้นหม่อมฉันเดากลุ่มที่เพคะ พวกเขาเป็นนักเรียนที่เลือกมาจากกองทัพที่หนึ่งใช่ไหมล่ะเพคะ?”
“ถูกต้อง” ทิลลีพยักหน้า “แล้วเจ้าล่ะ คามิล่า?”
“ฝั่งไหนก็ได้เพคะ องค์หญิง” คาลิม่า แดริลถอนหายใจออกมา “ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้มันจะน่าอัศจรรย์ แต่คนแค่ 30 กว่าคนมันก็เท่ากับอสูรสยองแค่ 10 กว่าตัวเท่านั้น ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรต่อการรบมากนัก หม่อมฉันว่ามันไม่คุ้มที่พระองค์จะมาเสียเวลาขนาดนี้นะเพคะ”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” ทิลลีพูดยิ้มๆ “ตอนที่ข้ามาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นครั้งแรก โรงงานที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำยังมีอยู่แค่ไม่กี่ที่เท่านั้น แต่เจ้าดูตอนนี้สิ โรงงานตั้งเรียงรายยาวไปถึงท่าเรือน้ำตื้นแล้ว อีกอย่างอสูรสยองในตอนนี้ก็เหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อน แต่เจ้าเครื่องบินพวกนี้เพิ่งจะสร้างออกมาได้ครึ่งปีกว่าก็ทำการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลายครั้ง ใครจะรู้บ้างล่ะว่าหลังจากนี้มันจะพัฒนาไปเป็นยังไงบ้าง”
“….” คามิล่านิ่งเงียบไปครู่ “หม่อมฉันเถียงสู้พระองค์ไม่ได้ แต่ว่าพวกเราก็ต้องไปคอยดูแลทางเกาะสลีปปิ้งบ้างนะเพคะ หม่อมฉันอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วเพคะ”
“ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง”
“ไม่เพคะ องค์หญิง…”
“ข้ารู้แหละ” ทิลลีตอบ “เดิมเจ้าควรจะออกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปตั้งแต่หลังจบศึกนอร์ธบาวด์แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเจ้าถึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ ขอบคุณเจ้ามากนะ คามิล่า ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
หัวหน้าแม่บ้านเกาะสลีปปิ้งจ้องตาเธออยู่หลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ แต่ว่าเกาะสลีปปิ้งจะให้หม่อมฉันดูแลอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ หากพระองค์มีเวลา พระองค์ควรจะเสด็จกลับไปที่นั่นบ้างนะเพคะ แม่มดที่อยู่บนเกาะต่างเฝ้ารอคอยให้พระองค์เสด็จกลับไป”
“….พวกนางไม่ยอมมาเนเวอร์วินเทอร์จริงๆ เหรอ?”
“ใช่เพคะ บางคน…ถูกทำร้ายมาสาหัสจริงๆ”
ถึงแม้จะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ แต่มันก็หมายถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดที่จางหายไปเสียที
หรือบางทีอาจจะไม่มีวันลบล้างได้ตลอดกาล
“เอาไว้ชนะสงครามแห่งโชคชะตาเมื่อไร ข้าจะกลับไป” ทิลลีตอบ
“แล้วถ้าไม่ชนะล่ะเพคะ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหวีดของเครื่องบินกลุ่มที่สองก็แล่นผ่านรันเวย์ไป
ทิลลีไม่ได้ตอบ หากแต่ยิ้มเล็กน้อย “การฝึกเริ่มขึ้นแล้ว…เราเริ่มกันเลยเถอะ”
……
“เฮ้ เจ้าว่าองค์หญิงจะมองเห็นเครื่องบินทั้ง 6 ลำพร้อมๆ กันจริงๆ เหรอ?”
ฟินกิ้นที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมา กระแสอากาศไหลผ่านตัวเครื่องบินจนส่งเสียงหวีดดังฟิ้วๆ ถ้าบินฝ่าลมทะเลไป เสียงหวีดก็ดังจนแทบจะกลบทั้งห้องโดยสาร ถ้าไม่ตะโกนก็ไม่มีทางได้ยินเสียงพูดแน่นอน
“นั่นมันเรื่องขององค์หญิง องค์หญิงเป็นคนตัดสินพระทัย!” กู๊ดเองก็ตะโกนออกมาเหมือนกัน ในเวลานี้เขาสังเกตเห็นว่า ‘ตัวเลข’ หกตัวที่อยู่บนลานบินนั้นมีสี่ตัวที่กลายเป็นสีเขียวแล้ว นี่แสดงว่ากลุ่มที่สองกำลังขึ้นบิน
เนื่องจากไม่สามารถบินวนอยู่เหนือโรงเรียนได้ เครื่องบินสามลำของกลุ่มที่หนึ่งจึงพากันบินออกไปทางทะเลโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนี้เขามองไม่เห็นเครื่องบินหมายเลข 4, 5, 6 แต่อีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นเส้นทางการบินของพวกเขาแน่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะบินตามมาทันทีแน่นอน เพราะการบินไต่ระดับและเร่งความเร็วต้องใช้เวลา การที่จู่ๆ ก็บินเข้ามาในพื้นที่ได้เปรียบของศัตรูนั้นเท่ากับเป็นการทำให้ตัวเองกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“พอคิดถึงว่าองค์หญิงกำลังจ้องมองดูข้าอยู่ ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา! ถ้าพระองค์ทรงตัดสินทิศทางของเป้ายิงได้จริงๆ อย่างนั้นสายตาของพระองค์ก็ต้องซ้อนทับกับของข้าน่ะสิ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าพระองค์ทรงอยู่ในหัว….”
จู่ๆ เครื่องบินก็ทิ้งดิ่งลงไปด้านล่าง
ฟินกิ้นที่ถูกขัดจังหวะตะโกนขึ้นมา “เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย! ขับให้มันนิ่งๆ หน่อยไม่ได้เหรอไง?”
“ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ เจ้าโง่! ถ้าองค์หญิงทรงมองเห็นเป้ายิงจริงๆ อย่างนั้นเจ้าว่าพระองค์จะมองไม่เห็นปากของเจ้าเหรอ? ถึงตอนนั้นได้ไปขุดเหมืองอยู่ในภูเขาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว!”
อีกฝ่ายปิดปากลงทันที
กู๊ดมองลอดช่องระหว่างปีบนกับตัวเครื่องออกไปรอบๆ เขามองเห็นตรงเส้นขอบฟ้าไกลๆ มีจุดดำจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนเครื่องบินอีกลำหนึ่งนั้นหายไปจากสายตาแล้ว เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างเลือกที่จะทำการรบตามแบบของตัวเอง
นอกจากทฤษฎีพื้นฐานแล้ว องค์หญิงก็ไม่เคยสอนว่าการรบบนอากาศต้องทำอย่างไร ทุกอย่างพวกเขาล้วนแต่ต้องพึ่งตัวเอง บางทีแม้แต่องค์หญิงเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะว่าตั้งแต่อดีตมาไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าอัศวินอากาศมาก่อน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาต้องมาเริ่มใหม่เองตั้งแต่ศูนย์
ในเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว อย่างนั้นการเลือกพื้นที่เปิดโล่ง จากนั้นรอให้ศัตรูปรากฏตัวแล้วค่อยรับมือไปตามสถานการณ์จึงเป็นวิธีที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
เขาคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเลี้ยวกลับไปทางอ่าวน้ำตื้น
“เฮ้ เจ้าจะไปไหน?”
“ทางตะวันตก อ้อมผ่านเขตโรงงานไป!”
“อ้อม? รอพวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”
“แต่นั่นมันก็แค่ทำให้มีโอกาสเท่ากันเท่านั้น!” กู๊ดเลี้ยวเครื่องบินพลางตะโกนออกมา “ลองคิดดูสิว่าพวกเขาจะบินยังไง!”
จริงอยู่ที่เขาไม่สนใจแพ้ชนะ แต่คนชนะนั้นจะได้บินนานกว่าคนแพ้
“จะบินยังไง ก็บินให้สูงขึ้นแล้วก็เร็วขึ้น จากนั้นก็ค่อยมาที่ทะเลหาพวกเราไง!”
ถูกต้อง เนื่องจากไม่รู้ว่ากลุ่มที่สองจะเตรียมตัวพร้อมเมื่อไร ด้วยเหตุนี้กลุ่มที่บินขึ้นก่อนจึงไม่รู้เวลาโจมตีที่แน่ชัด ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนฝ่ายที่ต้องตั้งรับ ก็เหมือนกับพวกอัศวินที่เลือกแนวรบเสร็จแล้ว จากนั้นก็รอให้ศัตรูพุ่งเข้ามา
แต่มันมีอีกวิธีที่ทำให้เขามีโอกาสลงมือก่อนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
นั่นก็คือตอนที่กลุ่มที่สองทุ่มสมาธิทั้งหมดไปอยู่บนทะเล
ปกติแล้วการเคลื่อนไหวบนพื้นที่เปิดโล่งนั้นยากที่จะหลบหลีกการสอดแนมจากอีกฝ่ายได้
แล้วยิ่งท้องฟ้านั้นไม่ใช่พื้นดิน มันไม่ได้มีแค่ซ้ายขวา หากแต่ยังมีบนล่างด้วย
“ถ้ามีแต่พวกเราที่มองเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นพวกเรา แบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบ!” กู๊ดตะโกนบอกความคิดของตัวเองออกมา “เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าพวกเขาฝึกซ้อมมาน้อยกว่าพวกเรา?”
“ฮ่าๆๆๆ….อย่างนี้นี่เอง!” ฟินกิ้นตบไหล่เขาแรงๆ “ข้านึกว่าข้าเจ้าเล่ห์แล้วนะเนี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลวบัดซบยิ่งกว่าข้าอีก! แต่ว่าข้าชอบ เอาตามนี้แหละ!”
เลวบัดซบ…นี่กำลังชมหรือว่าด่าข้ากันแน่? กู๊ดกรอกตา ก่อนจะกดหัวเครื่องบินลงไปหาทะเล ความสูงเปลี่ยนเป็นความเร็ว แล้วก็ทำให้ตัวเครื่องบินบินเลียดตามแนวชายฝั่งทะเลไป ในตอนเครื่องอยู่ในระดับต่ำที่สุด ล้อของเครื่องบินแทบจะเท่ากับยอดเสากระโดงเรือเดินทะเล และการบินที่ต่ำแบบนี้ก็ทำให้เหล่าลูกเรือพากันเหลียวมองดูตามๆ กัน
ในตอนที่บินผ่านอ่าวน้ำตื้น ตรงท่าเรือถึงกับมีเสียงเฮกับเสียงผิวปากดังขึ้นมา!
แต่การตอบสนองของเหล่าชาวบ้านที่อพยพนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาต่างตกตะลึงอ้าปากค้างมองไปบนท้องฟ้า สีหน้าดูหวาดกลัวอย่างมาก คนที่ยืนต่อแถวรอลงจากเรือต่างพากันแตกตื่น
“อย่าบินต่ำไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะถูกพวกตำรวจฟ้องเอาไว้ พวกเราต้องไปล้างห้องน้ำอีกเดือนนึงนะ!” ฟินกิ้นพูดเตือน
“ไม่ต้องห่วง ความสูงแค่นี้น่าจะพอแล้ว” กู๊ดค่อยๆ ดึงคันควบคุมไปด้านหลัง เครื่องบินค่อยๆ บินเป็นแนบระนาบ ก่อนจะบินเข้าไปในเขตโรงงาน ที่ตรงนี้คือด้านตะวันตกของสนามบิน แล้วก็มีควันลอยอยู่ตลอดทั้งปี โอกาสที่กลุ่มที่สองจะบินไต่ระดับขึ้นไปจากตรงนี้นั้นมีไม่สูงนัก
“หืม?” ทิลลีที่จ้องมองไปบนท้องฟ้าผ่านดวงตาแห่งเวทมนตร์นั้นส่งเสียงแปลกใจออกมาเล็กน้อย
“นั่นพวกเขา…จะหนีเหรอ?” ซิลเวียเองก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกัน
“น่าจะแค่นั่งไม่ติดล่ะมั้ง” ทิลลีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ภายใต้การสังเกตการณ์ของดวงตาแห่งเวทมนตร์ เรียกได้ว่าแค่เธอกวาดตามองก็มองเห็นได้ทั่วทั้งท้องฟ้าแล้ว ในเวลานี้เครื่องบินทั้งสามลำของกลุ่มที่สองบินขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้ทำเหมือนกับกลุ่มที่หนึ่ง หลังจากที่พวกเขาบินขึ้นไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ไปบินวนหาคู่ต่อสู้บนทะเลในทันที หากแต่บินวนอยู่ทางทิศเหนือ จนกระทั่งเครื่องบินทั้งสามลำมากันพร้อมแล้ว พวกเขาถึงจะตั้งแถวเป็นแนวยาวแล้วบินไปทางใต้
ถึงแม้การทำแบบนี้จะทำให้เสียเวลาในการรวมกลุ่ม แต่มันก็ทำให้เครื่องบินทั้งสามลำไม่แยกจากกันไปไกล
น่าสนใจนี่ ทิลลีคิดอยู่ในใจ เธอไม่เคยสอนวิธีการรบให้นักเรียน แล้วก็ไม่เคยจำลองรูปแบบและพื้นที่การรบบนอากาศ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการรบตัวคนเดียวหรือว่ารบกันแบบเป็นกลุ่มก็ล้วนแต่เป็นการตัดสินใจของพวกเขา
ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ แต่หลังจากวันนี้ในเนื้อหาเกี่ยวกับการรบบน ‘คู่มือการบิน’ จะไม่ใช่กระดาษว่างๆ อีกต่อไป
“อย่างที่คิดไว้เลย พวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้” หลังกู๊ดมั่นใจว่าไม่พบร่องรอยของอีกฝ่าย เขาจึงรีบเหยียบคันเร่งจนสุดทันที เครื่องบินส่งเสียงคำรามแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จนกระทั่งเสียงลมที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ หายไป เขาจึงเปลี่ยนมาบินในแนวระนาบตรงไปทางตะวันออก
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีอะไรมาให้เปรียบเทียบ ต่อให้ในเวลานี้กลุ่มที่สองมองมา พวกเขาก็คงจะคิดว่าจุดดำเล็กๆ เหมือนเม็ดงานี้เป็นแค่นกอินทรีตัวหนึ่ง
หลังเครื่องบินหมายเลข 2 บินวนรอบใหญ่ไปรอบหนึ่ง ก่อนจะบินกลับมายังโรงเรียนอัศวินอากาศจากทางด้านหลัง
ในเวลานี้เอง เครื่องบินสองปีกทั้งสามลำของกลุ่มที่สองก็ได้บินเข้าไปในทะเลน้ำวนเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังเร่งความเร็วเข้าไปหาเป้าหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด!
………………………………………………………..
ตอนที่ 1260 สิ่งที่ลุ่มหลง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทิลลีมองเห็นว่ากลุ่มแรกที่บินขึ้นไปนั้นสังเกตเห็นคู่ต่อสู้ที่ไล่บี้เข้าไปแล้ว เครื่องหมายเลข 1 กับหมายเลข 3 ต่างแยกตัวไปคนละทางทันที เหมือนว่าต้องการจะโจมตีกระหนาบกลุ่มที่สอง
รูปขบวนของกลุ่มที่สองไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนอย่างตอนแรกอีก หากแต่เป้าหมายของพวกเขายังคงเป็นเครื่องหมายเลข 1 ที่อยู่ใกล้ที่สุด
นี่ทำให้เครื่องหมายเลข 1 ตกอยู่ในสถานการณ์ 1 ต่อ 3 ทันที
ด้วยดวงตาแห่งเวทมนตร์ ทำให้ทิลลีสามารถมองเห็นสีหน้ากังวลของนักบินได้อย่างชัดเจน
ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะพุ่งเข้าหากัน ขอเพียงล็อกเป้าเอาไว้ที่ลำใดลำหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้แลกกันแบบลำต่อลำได้ แต่ความตื่นเต้นของนักบินนั้นส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขา หลังเล็งไปแค่ 3 วินาที เขาก็เลือกที่จะเหยียบแป้นเหยียบข้างซ้ายเพื่อหมุนตัวหนีไป ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกัน 500 กว่าเมตร นี่ทำให้กลุ่มที่สองไม่มีความกดดันในระหว่างที่ปรับเส้นทางการบิน พวกเขาเปลี่ยนจากที่เผชิญหน้ากันกลายเป็นไล่ตาม
เมื่อจะพยายามสลัดคู่ต่อสู้ให้หลุด เครื่องหมายเลข 1 จึงเริ่มบินด้วยท่าทางต่างๆ ออกมา ก็เหมือนกับที่ทิลลีพูดเอาไว้ในตอนแรก นักบินได้งัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เรียนมาออกมาใช้ การที่เขาสามารถขับทำท่าต่างๆ ที่ีเรียนมาในระยะเวลาหนึ่งเดือนได้อย่างเชี่ยวชาญนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาฝึกมาอย่างหนักทีเดียว
แต่นักเรียนที่มาจากกองทัพที่หนึ่งก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ถูกเครื่องบินหมายเลข 1 สลัดทิ้ง หากแต่คอยตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน บวกกับความได้เปรียบเรื่องจำนวน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเอาหัวเครื่องบินจ่อไปที่อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่เครื่องบินหมายเลข 1 นั้นจำเป็นต้องคอยจับตาดูความเครื่องไหวของเครื่องบินทั้ง 3 ลำพร้อมๆ กัน การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปทำให้ระดับความสูงและความเร็วของเครื่องหมายเลข 1 ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่สามารถสลัดหลุดได้ นักบินของเครื่องหมายเลข 1 จึงกัดฟันเลี้ยวเข้าไปหาเครื่องบินหมายเลข 3 ที่ยังคงไล่ตามเข้ามา
กลุ่มที่สองเองก็สบโอกาสในการลงมือที่ดีที่สุด เครื่องหมายเลข 6 ที่รักษาเพดานบินเอาไว้ค่อนข้างสูงได้พุ่งแนวแทยงไปที่หางของเครื่องหมายเลข 1 ทาง 7 นาฬิกา
ถึงแม้มือยิงจะสังเกตเห็นถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตัวนักบินเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เครื่องบินก็ยังไม่อาจสลัด ‘การกวาดยิง’ ครั้งนี้ได้
แค่พริบตาเวลาก็ผ่านไป 10 วินาที
ทิลลีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เครื่องหมายเลข 1 ยกธงแดง!”
ในเวลานี้เครื่องหมายเลข 3 เพิ่งจะมาถึง
สิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่เครื่องหมายเลข 6 ที่กำลังบินไต่ระดับขึ้นไปกับเครื่องหมายเลข 4, 5 ที่กำลังอยู่ในสภาพที่ดี
สถานการณ์ดูแล้วเหมือนจะเลวร้ายอย่างมาก
ถ้าหากไม่นับเครื่องหมายเลข 2 ที่บินอยู่ในระดับที่สูงมาโดยตลอดเข้าไปด้วยล่ะก็นะ
เธอมองไปยังทองฟ้าเหนือโรงเรียน
“ข้ามองเห็นพวกเขาแล้ว!” ฟินกิ้นชะโงกตัวออกไปมองนอกเครื่องบินแล้วตะโกนออกมาว่า “เดี๋ยวๆ เครื่องหมายเลข 1 เหมือนจะถูกยิงตกแล้ว!”
“เจ้าแน่ใจ?”
“ตัวเลขหมายเลข 1 บนสนามบินกลายเป็นสีแดงแล้ว แต่ว่าพวกเขายังไม่ออกมาจากสนามรบ”
“เพราะว่าพวกเขายังไม่รู้น่ะสิ” กู๊ดขมวดคิ้ว เพื่อนรวมทีมโดนกำจัดออกไปเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก “เครื่องหมายเลข 3 ล่ะ?”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นจุดดำๆ ที่กำลังบินเข้ามาจากที่ไกลๆ โน่น!” ฟินกิ้นตะโกนเสียง “เพื่อน ตอนนี้พวกเขาโดนเล่นงานจนแย่แล้ว ได้เวลาพวกเราเข้าไปแล้ว!”
“รออีกเดี๋ยว…ลองพวกด้านหลังเจ้าดูหน่อย มองเห็นพระอาทิตย์หรือเปล่า?”
เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะถูกแสงแดดแยงเข้าตาทันที “เฮ้ ไม่เสียทีที่เป็นนักบินที่ข้าเลือกมา ตอนนี้ด้านหลังเราคือพระอาทิตย์พอดี ข้าแทบจะลืมตาไม่ได้เลย!”
เจ้าเป่ายิงฉุบแพ้ต่างหากล่ะ กู๊ดส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะออกแรงดันคันบังคับ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”
“ยะ…..ฮู้ววววว!” ฟินกิ้นส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา
เครื่องยนต์ส่งเสียงคำรามจนกลบเสียงลม ท่ามกลางกระแสอากาศที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรง ตัวเครื่องบินเหมือนกำลังสั่นขึ้นมา ความรู้สึกที่ได้ร่อนฝ่าลมลงไปข้างล่างนั้นทำให้กู๊ดรู้สึกเลือดลมพุ่งพล่าน
เขาคืออัศวินที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า!
แต่เส้นทางที่เขากำลังควบไปข้างหน้ากก็คือท้องฟ้าแห่งนี้!
เครื่องหมายเลข 3 พุ่งความสนใจไปที่อยู่เครื่องบินกลุ่มที่ 2 ที่บินช้าที่สุด เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามอีกสองลำเริ่มไล่ตามเครื่องบินหมายเลข 3 จนกระทั่งพวกเขาบินฝ่าออกมาจากแสงแดดที่เจิดจ้าและพุ่งเข้าใส่ทีมที่สองราวกับสายฟ้า เสียงหวีดของลมจึงทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ กู๊ดรู้ว่าถ้าเครื่องบินสองลำนี้รีบยิงเครื่องหมายเลข 3 ทิ้งโดยไม่ไปมัวสนใจเพื่อนร่วมทีม ป่านนี้พวกเขาคงทำสำเร็จไปแล้ว และก็เป็นเพราะความลังเลของพวกเขาถึงได้เปิดช่องให้เขาได้มีโอกาสโจมตี
กว่าเครื่องบินอีกสองลำจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว หลังบินผ่านเครื่องบินหมายเลข 4 ไปอย่างรวดเร็ว กู๊ดก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังเครื่องบินที่มีตัวเลข 5 ติดอยู่บนเครื่องอย่างไม่ลังเล ความจริงกู๊ดล็อกเป้าเครื่องหมายเลข 4 ตั้งแต่ตอนที่เขาพุ่งลงมาแล้ว ถึงแม้มันจะดูเหมือนบังเอิญ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยิงเครื่องหมายเลข 4 ร่วงลงมาจากระยะนั้นจริงๆ แต่องค์หญิงทรงตั้งกฎขึ้นมาแบบนี้ เขาเชื่อว่าองค์หญิงต้องเห็นเหตุการณ์นี้แน่นอน
เพื่อนร่วมทีมอาจจะถูกไล่ต้อนจนต้องออกมาจากฝึกซ้อมได้ เขาจำเป็นต้องรีบทำเวลา
เครื่องบินสี่ลำกำลังพัวพันกัน สถานการณ์พลันดุเดือดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเครื่องหมายเลข 4 กู๊ดถึงขนาดมองเห็นสีหน้าที่ดุร้ายของมือยิงอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะเปิดเผยตัวเองออกมาแล้ว แต่เขายังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบในเรื่องความเร็วอยู่ หลังบินไล่อยู่สองสามรอบ สุดท้ายกู๊ดก็มีเวลาเล็งเป้าอีกฝ่ายมากพอ ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองเล็งเป้าครบ 10 วินาทีแล้ว ฟินกิ้นที่นั่งอยู่ด้านหลังพลันรายงานผลออกมา
“ธงของหมายเลข 5 กลายเป็นสีแดงแล้ว!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เครื่องหมายเลข 3 เองก็ต้องออกมาจากการต่อสู้เหมือนกัน
หมายเลขบนสนามบินที่ยังยกธงสีเขียวอยู่เหลือเพียงแค่หมายเลข 6 กับพวกเขา
น่าจะเป็นเพราะเครื่องบินทั้งสองลำของทีมที่สองสร้างความกดดันให้กับเพื่อนร่วมทีมมากเกินไป เครื่องหมายเลข 3 จึงไม่มีเวลาเล็งเป้ามากพอ หลังจากเครื่องหมายเลข 6 ได้พักหายใจเล็กน้อย ไม่นานอีกฝ่ายก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังทั้งสองคน
“เจ้าพวกนั้นมันทำอะไรเนี่ย ไม่ได้ยิงเลยซักลำ!” ฟินกิ้นหมุนปืนพร้อมส่งเสียงด่าออกมา “นี่ก็เท่ากับเราลำเดียวสู้กับอีกฝ่ายสามลำน่ะสิ!”
“ก็ใครใช้ให้พวกเราเอาพวกเขาเป็นเหยื่อล่อตั้งแต่แรกล่ะ” กู๊ดไม่สนใจ “ยังมีความเป็นได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือเครื่องหมายเลข 6 เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยยาก”
และไม่นานการคาดเดานี้ก็ได้รับการยืนยัน
ไม่ว่าเขาจะเลี้ยวไปทางไป เครื่องหมายเลข 6 ก็ตามหลังเขามาติดๆ ไม่มีโอกาสให้เขาได้สลัดหลุดแม้แต่น้อย เขาจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องเล็งเป้าตัวเองครบ 10 วินาทีแน่
“บ้าเอ้ย” เสียงของเพื่อนร่วมทีมฟังดูร้อนใจขึ้นมากกว่าเดิม “เจ้าขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอไง?”
“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว!”
“แบบนี้ช้าเร็วพวกเราต้องถูกจัดการแน่ รีบคิดหาทางเร็ว! ไปหลบตรงท่าเรือดีไหม? ที่นั่นมีเรือใบเป็นที่กำบัง!”
“ถ้าไปชนถูกเรือผู้อพยพ ไม่ว่าจะใช่พวกเราหรือเปล่า เจ้าคิดว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง?”
“เอ่อ น่าจะโดนยิงเป้ามั้ง” ฟินกิ้นดูซึมไปทันที “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ช่างมันแล้วกัน อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ได้ถูกยิงเป็นลำแรกสุด พวกเราคงไม่รอดแน่ นอกจากจะมีลมส่งพวกเขาขึ้นไปข้างบน”
“มีลม…” กู๊ดตกตะลึงไปเล็กน้อย ภายในหัวเขาเหมือนมีลำแสงแวบขึ้นมา “เจ้าพูดถูก ข้ามีแผนแล้ว!”
“หา?”
“เจ้ายังจำลมที่พัดขึ้นด้านบนตรงริมหน้าผาได้ไหม?”
ลมทะเลที่พัดจากทะเลน้ำวนเข้ามายังชายฝั่งนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะลมที่อยู่ใกล้กับชายฝั่ง เนื่องจากมีหน้าผากั้นอยู่ กระแสอากาศจึงมักจะแตกกระจายไหลไปตามหน้าผา ซึ่งจะมีลมส่วนหนึ่งที่จะพัดขึ้นไปด้านบนอย่างรุนแรง ขอเพียงยืนอยู่ริมหน้าผาก็จะสามารถได้ยินเสียงหวีดดังเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา
หลังรู้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร ฟินกิ้นก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เราไม่รุู้เลยว่าจะได้เจอลมนั่นหรือเปล่า แถมถ้าเราเข้าไปใกล้หน้าผาเกินไป เกิดมือเจ้าสั่นเพียงนิดเดียว พวกเราได้จบเห่กันแน่!”
ขอบเขตของลมที่พัดขึ้นด้านบนนั้นเล็กน้อย เมื่อพัดผ่านหน้าผาไปก็จะถูกลมทะเลพัดหายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้รับผลกระทบจากผิวหน้าผาที่ขรุขระด้วย ทิศทางของลมจึงค่อนข้างซับซ้อน เผลอๆ ความยากของมันยังยากกว่าการที่บินผ่านใบเรือของเรือใบเสียอีก
“ข้าไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงแบบนั้น แค่แตะๆ ก็พอ เหมือนกับลอยไปบนผิวน้ำ!” กู๊ดลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตรงไปยังโรงเรียนอัศวินอากาศ
เครื่องหมายเลข 6 ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเร่งความเร็วพุ่งลงไปเหมือนกัน
“เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าลมจะมาเมื่อไร?” ฟินกิ้นถามอย่างสงสัย
“เรือที่บรรทุกผู้อพยพพวกนั้นจะบอกข้าเอง!” เขาพาเครื่องบินร่อนลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยให้เครื่องบินหมายเลข 6 ไล่เข้ามาใกล้ หลังจากเขาตีวงเลี้ยว เส้นทางการบินของเขาทับซ้อนเส้นหน้าผาพอดี ระดับความสูงของเครื่องบินแทบจะเท่ากับพื้นดิน สำหรับนักเรียนคนอื่นแล้ว การบินแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการยอมแพ้ ถึงแม้เครื่องหมายเลข 6 จะยังบินด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูง แต่มันก็ไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว
หลังจากนั้นคู่ต่อสู้ก็ตามหลังเขามา แล้วกัดพวกเขาไว้แน่น
“นับเวลา!” กู๊ดตะโกนเสียงดัง
“ข้าว่าน่าจะยังเหลืออีก 8 วินาที! 6, 5, 4…” ฟินกิ้นกัดฟัน
ในระหว่างนี้เอง กู๊ดก็เพ่งสมาธิไปยังเรือเดินทะเลลำหนึ่งที่อยู่ในอ่าวน้ำตื้น แต่สิ่งที่เขาดูนั้นไม่ใช่ธงหรือใบเรือ หากแต่เป็นนกทะเลที่เกาะอยู่บนเสากระโดงเรือ ธงกับใบเรือนั้นโบกสะบัดอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่สามารถแยกแยะแรงลมได้ มีเพียงนกทะเลที่อยู่กับลมมานานถึงจะไล่ตามแรงลมได้ทัน
ราวกับว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นกทะเลฝูงหนึ่งกางปีกทั้งสองข้าง ก่อนจะถลาลงมาจากเสากระโดงเรือแล้วบินไปทางหน้าผา ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกับซีกัลตอนที่บินถลาออกไปอย่างมาก เขาเคยสังเกตมานานแล้ว พวกนกเหมือนจะชื่นชอบการถลาแบบนี้มาก จากเรือไปถึงหน้าผา ต่อให้ไม่ต้องกระพือปีก มันก็จะร่อนไปตามลมได้!
ในตอนที่ฝูงนกกำลังจะไปถึงขอบหน้าผา กู๊ดพลันดึงหัวเครื่องบินขึ้นไปด้านบน
ถ้าเป็นปกติ การบังคับเครื่องบินแบบนี้จะทำให้หัวเครื่องบินเชิดมากเกินไป แล้วก็จะทำให้สูญเสียความเร็วได้ง่าย แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฝูงหนึ่งก็บินสูงขึ้น เหมือนกับว่าด้านล่างมีมือที่มองไม่เห็นคอยประคองพวกมันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ลม….มาแล้ว
พริบตานั้นเอง กู๊ดพลันได้ยินเสียงหวีดที่เสียดหู
สายลมที่รุนแรงจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะปะทะเข้ากับปีกของเครื่องบิน หลังตัวเครื่องสั่นอย่างรุนแรง เครื่องหมายเลข 2 ก็เร่งความเร็วอีกครั้ง มันพุ่งตรงขึ้นไปข้างบนราวกับปาฏิหาริย์ ก่อนจะม้วนกลับไปด้านหลัง!
โลกทั้งใบพลันกลับหัวกลับหาง
มีอยู่ชั่วขณะที่เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลง เขามองเห็นเครื่องหมายเลข 6 ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวบินผ่านหัวเขาจากทางด้านล่างไป คนขับของอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าตกใจ
อีกฟากหนึ่ง นกทะเลก็กำลังบินเป็นเส้นตรง ปีกสีขาวของพวกมันกลายเป็นเหมือนบันได้ที่ทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาไม่ได้หลอกเจ้าหญิง
นับตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาในโรงเรียน เขาก็หลงรักการบินมากขึ้นทุกวัน ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองได้บินไปอย่างอิสระทำให้เขาจมอยู่ในความลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวได้
ในบรรดาทุกสิ่งที่กู๊ดได้เรียนรู้มา นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุด
สถานการณ์พลิกกลับแล้ว
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น