Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1250-1251
ตอนที่ 1250 ความคิดของอันนา
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอตึกกลางคืน โรแลนด์เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้อันนาฟังจนอีกฝ่ายหัวเราะอยู่นาน
“ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นฝีมือของเจ้า เกรงว่าพวกเขาคงจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่” เขาพูดอย่างสบายพร้อมกับเล่นปอยผมเธอไปพลาง “แบบนั้นพวกเขาจะได้เชื่อฟังเจ้ามากขึ้น”
“ในที่สุดกองอุตสาหกรรมก็จะมีคนเพิ่มแล้ว” อันนายิ้มเล็กน้อย “แต่ไม่รู้ว่าความสามารถของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง”
“การที่รู้คุณค่าของหนังสือเล่มนั้น อย่างนั้นพรสวรรค์ของพวกเขาก็คงไม่แย่เท่าไร” โรแลนด์ยักไหล่ เขาคิดถึงเมื่อก่อนนี้ี่ที่ตัวเองใช้สมการออกซิเดชั่นในการหลอกหัวหน้าสำนักเล่นแร่แปรธาตุมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ “ยิ่งไปกว่านั้นการที่พวกเขาแบกรับความกดดันแล้วพาครอบครัวมาที่นี่ ถือได้ว่าพวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว…เมื่อมีเงื่อนไขสองข้อนี้ ขอเพียงมอบโอกาสให้พวกเขาอย่างเหมาะสม ข้าคิดว่าซักวันพวกเขาต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “แต่แน่นอน ก่อนที่จะให้พวกเขามาช่วยเจ้าอย่างเป็นทางการ พวกเขาต้องไปเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานพวกนั้นก่อน ส่วนรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรนั้น เจ้าก็เป็นคนตัดสินใจแล้วกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและลูกน้องอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
อันนาเขยิบเข้ามาใกล้แล้วเอาหัวซุกลงไปที่หน้าอกของเขา “ทูลตามตรง หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะนำพวกเขาได้หรือเปล่าเพคะ…”
“เจ้าเป็นคนบอกเองนะว่าอยากจะเป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรม” โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา “ทำไม ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วเหรอไง?”
เธอยื่นนิ้วออกมา ไฟสีดำเส้นเล็กๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเธอ ก่อนจะเอานิ้ววนเป็นวงกลมอยู่ตรงหน้าโรแลนด์ “พระองค์อยากจะถูกไฟสีดำมัดเอาไว้อีกเหรอไงเพคะ?”
“เอ่อ ข้าหมายความว่าถ้าเจ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็ให้ไปถามทิลลีดู” โรแลนด์หลบสายตา “ได้ยินว่าอัศวินอากาศที่อยู่ในโรงเรียนพวกนั้นไม่มีใครที่จะไม่กลัวองค์หญิงเลย”
อันนาตาเป็นประกาย “นั่นสิเพคะ หม่อมฉันไปให้น้องสาวของพระองค์สอนก็ได้นี่นา! แต่ว่า….” เธอลังเลเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่ได้คุยกับนางมาเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าหลังจากศึกทาคิลาครั้งนั้น อารมณ์ของนางก็….”
“วางใจได้ ผ่านไปตั้งนานแล้ว นางทำใจได้แล้วล่ะ” โรแลนด์พูดปลอบ “ไม่ว่าถ้าเจ้าไปคุยกับนาง นางอาจจะดีใจมากก็ได้ — เพราะว่าเมื่อก่อนนี้พวกเจ้าเคยนั่งออกข้อสอบด้วยกันนี่นา”
เรื่องที่แอชเชสอาจจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้งนั้นเขาไม่ได้บอกใครเลยนอกจากทิลลี เหตุผลสำคัญก็เพราะกลัวว่าพวกนางจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังในระหว่างที่ทำศึก
“อื้อ” อันนาพยักหน้าเหมือนตัดสินใจได้แล้ว “อย่างนั้นก็เอาตามนี้เพคะ!”
เมื่อเห็นว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว โรแลนด์จึงเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ รถบรรทุกไอน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยลูกบาศก์เวทมนตร์เป็นยังไงบ้าง?”
“ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันรถตัวอย่างคันแรกถึงจะเสร็จเพคะ โครงสร้างส่วนใหญ่ของมันใกล้เคียงกับรถยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์คันก่อนหน้านี้ ระบบควบคุมและระบบขับเคลื่อนถูกปรับให้ง่ายขึ้น ถึงแม้ความคล่องตัวจะลดลงไปบ้าง แต่ความเสถียรของมันก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเพคะ” พอพูดถึงเรื่องงาน น้ำเสียงของอันนาก็จริงจังขึ้นมาทันที “นอกจากนี้หากจะใช้มันมาบรรทุกคนกับสิ่งของนั้นล้วนแต่ไม่มีปัญหาอะไรเพคะ สิ่งสำคัญคือพระองค์ต้องสร้างถนนให้เสร็จเสียก่อนเพคะ หากเป็นถนนดินกับทางบนภูเขาแบบธรรมดา มันไม่มีทางที่จะวิ่งได้เพคะ?”
“แล้วรถแทรกเตอร์ล่ะ?”
“อันนี้ยังอีกนานเลยเพคะ” อันนาส่ายหัว “แปลนที่พระองค์ให้หม่อมฉันมามันยังไม่ละเอียดพอ มีหลายจุดที่ต้องลองทดลองทำจริงๆ ก่อนถึงจะรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงล่างและระบบควบคุมก็ไม่เหมือนรถที่มีล้อ ถ้าอยากจะสร้างเครื่องต้นแบบที่ใช้ได้ซักคัน เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสำเร็จเพคะ”
แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา
ถ้าเอาแต่ป้องกันอย่างเดียว ปีศาจก็จะรับมือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยากจะทำศึกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแนวรบ หน่วยรบหุ้มเกราะนั้นคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แปลนของเครื่องจักรรุ่นเก่าแบบนี้กลับรวบรวมมาได้ยากลำบาก ไม่เหมือนกับหนังสือที่ทำสำเร็จออกมาเป็นเล่มๆ ต่อให้เป็นโลกแห่งความฝัน เขาก็ทำได้เพียงแค่หาแปลนของชิ้นส่วนบางส่วนมาเท่านั้น ซึ่งจะต่อเข้าด้วยกันได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ถ้าหากจะใช้ชิ้นส่วนของยุคสมัยนี้ ระดับฝีมือของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ยังไม่ถึงมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ หรือว่าจะเป็นรถหุ้มเกราะที่ปรับปรุงขึ้นมาโดยใช้พื้นฐานจากมันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองอย่างมาก เขาไม่อาจปล่อยให้อันนาไปสร้างมันด้วยตัวคนเดียวได้
สรุปแล้วก็คือเขามีคนให้ใช้น้อยเกินไป
ในตอนที่อุตสาหกรรมพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ตัวอย่างเพียงชนิดเดียวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบอีกเป็นร้อยๆ ชนิด อาศัยแรงงานเพียงคนสองคนนั้นยากที่จะแบกรับได้ และปัญหาแบบนี้ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นข้อเสนอแนะเรื่องการปรับปรุงและจุดอ่อนของเครื่องบินปีกสองชั้นที่ทิลลีให้มา เขาก็เริ่มที่จะจัดการได้ไม่ทันแล้ว
ถ้าหากสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามเลื่อนออกไปอีกซัก 50 ปี ปัญหานี้คงจะได้รับการแก้ไข
แต่เห็นได้ชัดว่าศัตรูไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสนี้แน่
“ข้าจะคิดหาวิธีดูแล้วกัน” โรแลนด์พูดอย่างนุ่มนวล
“โรแลนด์ หม่อมฉันจำที่พระองค์เคยบอกไว้ว่าโลกที่อยู่ในความฝันนั้นยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกวันใช่ไหมเพคะ?” อันนากะพริบตาสีน้ำเงินของเธอ เหมือนกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง
“อื้อ เหมือนว่ามันกำลังทำให้ตัวมันสมบูรณ์แบบด้วยตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าก็ไม่มีทางเอาข้อมูลความรู้พวกนั้นออกมาได้หรอก” จากที่มิสต์บอกมา นี่คือสัญญาณว่าโลกแห่งความฝันกำลังขยายตัว มันกำลังกัดกินพลังของพระเจ้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมพระองค์ถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากโลกแห่งความฝันโดยตรงเลยล่ะเพคะ?”
“เจ้าหมายความว่า….ให้เอาคนเข้าไปในโลกแห่งความฝันเยอะขึ้นเพื่อหาข้อมูลเหรอ?”
“ไม่ใช่เพคะ” อันนายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “วิธีที่หม่อมฉันคิดมันง่ายกว่านั้นเพคะ” เธอเข้ามาใกล้หูโรแลนด์ ก่อนจะกระซิบความคิดของตัวเองออกมา “ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่าเพคะ”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ แต่ยิ่งคิด็ยิ่งตื่นเต้น “บางที…มันอาจจะได้ผลก็ได้!”
“อีกเดี๋ยวพระองค์ลองดูก็ได้เพคะ” อันนาบิดขี้เกียจ “ถ้าได้ล่ะก็ พระองค์ก็จะเบาแรงไปได้เยอะเลยล่ะเพคะ แต่ว่าตอนนี้มานอนเป็นเพื่อนหม่อมฉันก่อนเพคะ…”
….
ในตอนที่โรแลนด์ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความฝัน แผนการทั้งหมดก็ลอยขึ้นมาในหัวเขา
ความจริงแล้วความคิดของอันนานั้นไม่ซับซ้อน ในเมื่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขาดแคลนคนที่มีความสามารถ อย่างนั้นก็ข้างคนจากที่นี่ซะก็สิ้นเรื่อง ส่วนโรแลนด์ซึ่งได้ไอเดียนี้มาก็คิดแผนการให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก เขาสามารถสร้างสถาบันออกแบบที่เป็นของตัวเองขึ้นมาในโลกแห่งความฝันได้ โดยทำเหมือนว่าเขาเอาเงินมาผลาญเล่น เพราะอย่างคนที่ชอบผลาญเงินไปกับของโบราณหรือโมเดลก็ยังมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่มีใครจะมาสนใจแน่นอน เช่นนี้แล้วเขาก็จะสามารถทำการวิจัยและทำแปลนอย่างละเอียดออกมาให้โลกแห่งความเป็นจริงได้
เผลอๆ แม้แต่การทดสอบและการปรับปรุงก็สามารถมาทำที่นี่ได้
เมื่อเทียบกับการไปนั่งหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว วิธีนี้ดูจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่การจะทำแบบนี้ได้เขาจำเป็นต้องมีทุนจำนวนมาก
มากจนถึงขนาดที่ว่าอาศัยเพียงแค่เงินที่ได้มาจากการปล้นฟอลเลนอีวิลนั้นไม่มีทางพอ
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหาผู้สนับสนุนที่มีเงินมากพอ
และตอนนี้ก็เหมือนจะมีอยู่แค่คนเดียว
นั่นก็คือการ์โดพ่อของการ์เซีย หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์
แต่แน่นอน ด้วยนิสัยของอีกฝ่าย การไปคุยกับอีกฝ่ายตรงๆ เลยมันอาจจะไม่ได้ผลเหมือนอย่างที่เขาคิด เพราะสำหรับการ์โดแล้ว ถึงแม้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะไม่ได้มาก แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องมาลงทุน
การ์เซียเองก็ไม่มีทางที่จะช่วยเขาในเรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องหาหมากตัวอื่นมาอีก
โรแลนด์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดหาเบอร์ผู้คุมเมืองปริซึม
…………………………………………………….
ตอนที่ 1251 พาร์ทเนอร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สวัสดี คุณโรแลนด์” ในโทรศัพท์มีเสียงทุ้มๆ ของร็อกดังขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าคุณจะโทรมาหาผมเช้าขนาดนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย โรแลนด์ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เพิ่งจะประมาณ 7 โมงเช้า เขาตอบอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “เอ่อ…ขอโทษครับ ผมโทรมาปลุกคุณหรือเปล่า? ผมเจอปัญหานิดหน่อย อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากสมาคม มันไม่เกี่ยวกับฟอลเลนอีวิล แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก”
“ไม่เป็นไร” ร็อกตอบ “การนอนนานๆ เป็นแค่ความเคยชินของร่างกายเท่านั้น สำหรับผู้ตื่นรู้อย่างผมที่อายุขนาดนี้แล้ว เกือบทั้งวันผมก็แทบจะตื่นอยู่ตลอดเวลา มีปัญหาอะไรคุณบอกผมมาได้เลย”
ช่วงนี้ในสายตาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มองว่าเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ไม่เพียงแต่จะกระตือรือร้นต่อการสู้กับฟอลเลนอีวิลอย่างมาก แต่ยังกำจัดฟอลเลนอีวิลได้เป็นจำนวนมากด้วย จะเป็นรองก็แค่เพียงกลุ่มที่มีผู้คุมสองคนเป็นผู้นำ กับกลุ่มดาราผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเฟยอวี่หานเป็นผู้นำ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นแล้ว เขาออกล่าฟอลเลนอีวิลด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด การล่าที่มีประสิทธิภาพสูงขนาดนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายยุคเก่ากลับมาฮึกเหิมอีก แล้วก็ทำให้เขามีอิทธิพลที่ไม่ได้เป็นรองเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วย
แต่แน่นอน นี่คือผลการต่อสู้ที่โรแลนด์พยายามจะปิดบังเอาไว้ ความจริงแล้วแกนพลังเวทมนตร์ที่ยึดมาจากฟอลเลนอีวิลจำนวนมากได้ถูกเขาทำให้มันสลายตัวและกลับคืนสู่โลกแห่งความฝันไปแล้ว เขาเองก็ไม่เคยออกไปล่าฟอลเลนวอีวิลด้วยตัวคนเดียว ทุกครั้งที่ออกไปล่าพวกมัน ข้างหลังเขาจะมีแม่มดทาคิลากลุ่มใหญ่ค่อยสนับสนุนอยู่ เมื่อต้องเจอกับพลังแปลกๆ ชนิดต่างๆ ฟอลเลนอีวิลก็แทบจะไม่มีโอกาสได้โต้กลับด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่ายังไง ผลงานต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้นก็ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปจึงเบื้องบนของสมาคมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะเข้าออกหน่วยงานต่างๆ ที่สมาคมบริหารอยู่ได้อย่างอิสระ แต่เขายังมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อกับผู้คุมโดยตรงได้ด้วย
“แต่ก่อนหน้านั้น ผมมีคำถามหนึ่งอยากจะถามคุณก่อนครับ ไม่ทราบว่าเมืองปริซึมกับกลุ่มทุนโคลฟเวอร์มีความสัมพันธ์กันอย่างไรเหรอครับ?” โรแลนด์จำที่การ์เซียเคยบอกได้ว่าพ่อของเธอเคยมีส่วนร่วมในการก่อสร้างของเมืองปริซึม
“พูดง่ายๆ คือการร่วมมือกันในระยะยาว” ร็อกตอบ “แน่นอน กับกลุ่มทุนอื่นๆ พวกเราก็มีความร่วมมือที่แน่นแฟ้นเหมือนกัน เพราะว่าการดำเนินงานของสมาคมจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล”
“ก็หมายความว่าพวกเราถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ของพวกเขาใช่ไหมครับ?”
“จะคิดแบบนั้นก็ได้”
“อย่างนั้นก็ดีครับ” โรแลนด์รีบพูดความต้องการของตัวเองออกมา
“….” ปลายสายตกอยู่ในความเงียบทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ อีกฝ่ายจึงตอบอย่างลังเลขึ้นมา “จะทำแบบนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ว่า…มันสำคัญสำหรับคุณขนาดนี้จริงๆ เหรอ?”
“สำหรับโลกนี้แล้ว มันก็สำคัญอย่างมากเช่นเดียวกันครับ” โรแลนด์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจมากที่สุด ต่อให้ไนติงเกลมาโลกแห่งความฝัน เธอก็ไม่มีทางที่จะแยกแยะได้ว่าประโยคนี้เป็นคำพูดโกหก เพราะว่าถ้ามนุษย์พ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตา เขาเองก็ยากที่จะหนีรอดได้เหมือนกัน หากสถานการณ์เป็นแบบนั้นจริงๆ เวลาในโลกแห่งความฝันก็จะหยุดนิ่ง แล้วก็ถูกแช่แข็งอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกไปตลอดกาล
“เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว” ร็อกไม่ถามอะไรเซ้าซี้อีก “ไม่ว่ายังไง สมาคมก็ต้องขอบคุณในความทุ่มเทของคุณ ถ้าไม่มีคุณออกหน้า เกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวที่ตัดสินใจอยู่ในสมาคมต่อคงจะไม่เยอะแบบนี้แน่ หากเป็นแบบนั้นสถานการณ์ของพวกเราก็จะยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่”
พอได้ยินคำตอบที่จริงใจของผู้คุม ภายในใจโรแลนด์พลันเกิดความรู้สึกตื้นตันใจอย่างน่าประหลาดขึ้นมา ถึงแม้เหตุผลที่เขาออกล่าฟอลเลนอีวิลจะแตกต่างจากจุดประสงค์ของสมาคมโดยสิ้นเชิง แต่คำขอบคุณของอีกฝ่ายนั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่ได้มีความเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนคำพูดที่มิสต์พูดกับเขาเอาไว้ โลกนี้คือสิ่งที่มีอยู่จริง
เดิมเขาคิดจะใช้คำพูดประมาณว่า ‘ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว’ มาตอบอีกฝ่าย แต่ในตอนที่คำพูดออกมาถึงริมฝีปาก มันกลับกลายเป็นอีกประโยคหนึ่ง
“….ผมจะปกป้องที่นี่ให้ดีที่สุดครับ”
หลังวางโทรศัพท์ โรแลนด์ก็ส่งซีโร่ไปโรงเรียน ถึงแม้เธอจะตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติขึ้นมาในวันที่การกัดกินปรากฏขึ้น แต่เธอก็ยังต้องไปโรงเรียนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเซนต์มิลาน โดโด้ หลิงต่างก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับซีโร่ เขาจึงไม่กังวลว่าฟอลเลนอีวิลจะมาเล่นงานเธอ
จากนั้นเขาก็ไปที่ร้านโรสคาเฟ่
นับตั้งแต่ที่ติดต่อกับมิสต์ครั้งที่แล้ว ร้านกาแฟก็ไม่เคยเปิดทำการอีกเลย ประตูหน้าถูกล็อกเอาไว้ มีแต่ประตูด้านข้างโกดังเท่านั้นถึงจะเปิดเข้าไปในร้านกาแฟได้
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ที่นี่ก็มักจะครึกครื้นอยู่เสมอ
อย่างเช่นในเวลานี้เหล่าแม่มดกำลังเตรียมอาหารเช้าให้เขาอยู่ ในขณะที่เพิ่งจะผลักประตูเข้าไป กลิ่นย่างหอมๆ พลันลอยมาเตะจมูกเขา
หลังกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยและปล่อยให้แม่มดไปทำกิจกรรมส่วนตัวแล้ว เขาก็ขับรถตู้ออกมาจากชุมชนถงจึ
สำนักงานใหญ่ของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์อยู่ใจกลางเมือง โรแลนด์มาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเขาได้แจ้งกับทางสมาคมไว้ก่อนแล้ว ครั้งนี้เขายังไม่ทันจะบอกว่าตัวเองเป็นใครก็มีคนมาพาเขาไปขึ้นตึก สุดท้ายลิฟท์มาจอดอยู่ที่ชั้น 100 เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานที่โอ่โถงที่รายล้อมไปด้วยกระจก โรแลนด์ก็ต้องรู้สึกทึ่งกับความร่ำรวยของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์
“พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ คุณโรแลนด์” การ์โดเป็นฝ่ายเดินมาจับมือเขา “คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ แค่นี้ คุณจะเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่กลายเป็นคนที่ผู้คุมของสมาคมให้ความสำคัญ นี่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งจริงๆ”
มีมารยาทขนาดนี้เลยเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาหยิบเอาใบอนุญาตไล่ล่าออกมา อีกฝ่ายยังไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองขนาดนี้เลย
เมื่อเทียบกับความสามารถส่วนตัวแล้ว นายทุนที่อยู่เบื้องหลังต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พวกนักธุรกิจให้ความสำคัญ
หลังทักทายกันสองสามประโยค โรแลนด์ก็พูดเข้าประเด็นทันที “ไม่ทราบว่าทางผู้คุมร็อกได้บอกยังครับว่าผมมาทำไม?”
การ์โดส่ายหัว “คุณร็อกบอกแค่ว่าคุณมีเรื่องให้กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ช่วย ให้พวกผมพยายามช่วยคุณอย่างเต็มที่ แต่คุณเองก็รู้ว่าด้วยขนาดของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ มีหลายๆ เรื่องที่ผมไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวได้”
อีกฝ่ายน่าจะคิดว่าเขามาขอให้ทางกลุ่มทุนล้มเลิกความคิดเรื่องที่จะเวนคืนตึกถงจึล่ะมั้ง ต่อให้ตัวเขารับปาก ทางคณะกรรมการบริษัทก็คงไม่มีทางตอบตกลง โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา ความจริงแล้วขอเพียงเขาไม่อนุญาตก็ไม่มีใครที่จะเข้าไปทำอะไรตึกถงจึที่มีแม่มดคอยปกป้องอยู่ได้
นอกจากนี้คำพูดของผู้คุมก็ให้อิสระกับเขาอย่างมาก การที่อีกฝ่ายเชื่อใจความขนาดนี้ทำให้เขารู้สึกดีกับสมาคมขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องอะไรซับซ้อนครับ” โรแลนด์ผายมือ “ผมอยากจะสร้างโรงงานผลิตขนาดเล็กๆ ขึ้นมาซักแห่ง จะบอกว่ามันเป็นโรงงานผลิตโมเดลก็ได้ หลักๆ แล้วจะเอาไว้ออกแบบและผลิตพวกเครื่องจักรที่ดูย้อนยุคหน่อย อย่างเช่นรถจักรไอน้ำ รถแทรกเตอร์รุ่นเก่า….ก็คือพอคนเห็นปุ๊บก็จะนึกถึง…สตีมพังก์อะไรทำนองนั้น คุณเข้าใจหรือเปล่าครับ?”
มุมปากการ์โดกระตุกขึ้นมา “เอามาถ่ายทำภาพยนต์เหรอครับ?”
“จะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่มันไม่เหมือนอุปกรณ์ประกอบฉากที่ตั้งอยู่เฉยๆ พวกนั้น ที่ผมต้องการคือพวกมันเคลื่อนไหวได้แถมยังมีความต้องการพิเศษบางอย่างด้วย”
“จากที่ผมรู้ว่า ตลอดของพวกนี้มันมีน้อยมาก…”
“ผมไมได้คิดจะเอามันไปขาย แค่สร้างออกมาเครื่องสองเครื่องก็พอแล้ว สายการผลิตอะไรก็ไม่ต้องเอา แบบนี้จะได้ช่วยประหยัดทุนไปได้ไม่น้อย
การ์โดนิ่งเงียบไปครู่ ในสายตาของเขาแล้ว เรื่องนี้มีแต่ขาดทุนกับขาดทุน
“ดูไม่ออกเลยว่าคุณโรแลนด์จะมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยปากขึ้นมา “พูดอีกอย่างก็คือคุณอยากให้กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ช่วยหาโรงงานแบบนี้ซักแห่ง แล้วก็ช่วยจัดหานักออกแบบกับคนงานใช่หรือเปล่าครับ?”
เอ่อ ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำมันขึ้นมาเลย ถ้าตัดเรื่องโรงงานออกไปไม่พูดถึงมัน พวกนักออกแบบอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์ถึงจะได้ ต่อให้เป็นกลุ่มทุน ถ้าอยากจะรวบรวมเงื่อนไขเหล่านี้มาให้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “ก็ประมาณนี้แหละครับ ใช้เวลานานหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวผมขอถามเลขาก่อน” การ์โดเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
หลังจากนั้น 15 นาที เลขาก็โทรกลับมา
การ์โดคุยโทรศัพท์เสร็จก็หันกลับมามองโรแลนด์ “เหมือนจะมีโรงงานหนึ่งที่ตรงกับความต้องการของคุณ”
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ?” โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“โชคดีเท่านั้นน่ะครับ” ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดถ่อมตัว แต่สีหน้ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความภาคภูมิใจที่มีต่อความสามารถของกลุ่มทุน “ถ้าคุณไม่ติดธุระอะไร เดี๋ยวผมพาคุณไปดูโรงงานเลยก็ได้ครับ”
…………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น