Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1238-1247
ตอนที่ 1238 กองทัพของคนๆ เดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
การประชุมนั้นจัดขึ้นในห้องประชุมของสถานพักฟื้น
ขอเพียงเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ได้รับคำเชิญทั้งสิ้น
แต่โรแลนด์สังเกตเห็นว่าคนที่มาเข้าร่วมการประชุมตามเวลานั้นมีแค่ 300 กว่าคนเท่านั้น ตัวเลขนี้น้อยกว่าคนที่ลงทะเบียนในเมืองปริซึมมาก ถ้าตัดสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตายจากการกัดกินออกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีคนที่ถอนตัวออกไปหลังเกิดเหตุการณ์ลอบโจมตี
และคนเหล่านี้ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์สมัครเล่นที่เพิ่งจะเข้ามาในสมาคมไม่นาน
การ์เซียแสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อการกระทำของพวกเขาเหล่านั้น เธอคิดว่าพวกเขากำลังดูถูกพลังแห่งธรรมชาติที่อยู่ในร่างกาย เมื่อไรที่ฟอลเลนอีวิลเอาชนะมนุษย์ได้ จุดจบพวกเขาจะดีกว่ากันซักเท่าไรเชียว
โรแลนด์พูดปลอบเธอไปนิดหน่อย แต่ภายในใจเขารู้ดีว่าที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะระบบที่ค่อนข้างหละหลวมของสมาคม เพราะโลกแห่งความฝันนั้นสร้างอยู่บนพื้นฐานของโลกสมัยใหม่ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่สามารถบังคับให้ผู้ฝึกยุทธ์อยู่กับตัวเองได้
เนื้อหาในการประชุมนั้นคล้ายกับที่เขาคิดเอาไว้
ผู้คุมร็อคอธิบายถึงปัญหาที่ทางสมาคมกำลังประสบ นับตั้งแต่ที่เมืองปริซึมถูกบุกรุก ก็มีรายงานฟอลเลนอีวิลลอบโจมตีผู้ตื่นรู้เกิดขึ้นในี่ต่างๆ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ในการบุกรุกนั้นเหมือนจะสามารถสั่งการให้ยฟอลเลนอีวิลปฏิบัติตามคำสั่งของมันได้ นี่หมายความว่าการต่อสู้ระหว่างสมาคมกับฟอลเลนอีวิลจะถูกยกขึ้นไปอีกระดับ ผู้ฝึกยุทธ์จะบุกโจมตีฟอลเลนอีวิลแบบเป็นกลุ่ม ส่วนพวกมันเองก็เริ่มกำจัดผู้ฝึกยุทธ์อย่างมีแบบแผน ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ตัวคนเดียวจึงไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร
ด้วยเหตุนี้ผู้คุมร็อคจึงแนะนำว่าก่อนที่เมืองปริซึมจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ให้ใช้ศูนย์พักฟื้นแห่งนี้ฐานบัญชาการไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการหรือว่าคนที่เพิ่งตื่นรู้ขึ้นมาใหม่ก็สามารถย้ายเข้ามาอยู่ที่ี่นี่ได้ เพื่อที่จะไม่ถูกเป็นเป้าโจมตีของศัตรู นอกจากนี้เขายังหวังด้วยว่าบรรดาผู้ตื่นรู้ที่ยังไม่ตอบรับคำเชิญของสมาคมจะรู้ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ในตอนนี้โดยเร็ว ในสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ มีแต่ต้องร่วมมือกันถึงจะสามารถรับมือกับหายนะที่กำลังมาเยือนได้
ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่วิธีการที่พยายามรวมพลังเข้ามาเป็นกลุ่มก่อนแบบนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว โรแลนด์เชื่อว่าหลังข่าวการประชุมแพร่กระจายออกมา น่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังลังเลส่วนหนึ่งตัดสินใจกลับเข้าสมาคมอีกครั้ง
แต่จะทำให้ทุกคนกลับมาได้หรือเปล่านั้นก็ต้องดูผลการต่อสู้หลังจากนี้ ถ้าหากสมาคมไม่สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือฟอลเลนอีวิลได้ เช่นนั้นก็อาจจะทำให้สูญเสียคนออกไปมากขึ้น
ทันทีความเชื่อมั่นถูกทำลายจนแตกสลาย มันก็เป็นการยากที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้นร็อคก็ประกาศเรื่องแผนการโจมตีกลับให้ทุกคนฟัง
หนึ่งคือประธานสมาคมได้ส่งผู้ฝึกยุทธ์จากเมืองอื่นๆ ให้มาช่วยเหลือเมืองปริซึมแล้ว อีกไม่นานปัญหาเรื่องขาดแคลนคนก็จะได้รับการแก้ไข
สองคือการแข่งขันประลองยุทธ์จะยังคงจัดต่อไปตามปกติ แต่ว่ามันจะกลายเป็นเหมือนหลุมพรางล่อให้ฟอลเลนอีวิลเข้ามาโจมตี แผนการที่ได้รับการเห็บชอบจากสมาชิกระดับสูงของสมาคมและรัฐบาลแล้ว ขอเพียงศัตรูกล้าปรากฏตัว สิ่งที่รอพวกมันอยู่ก็คือไฟแค้นของผู้คุมและเหล่านักล่า
สามคือสมาคมจะจัดทำระบบลาดตระเวนขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ฟอลเลนอีวิลใช้วิธีโจมตีคนธรรมดาเพื่อดึงดูดความสนใจของสมาคม โดยทางสมาคมจะแบ่งผู้ฝึกยุทธ์ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ และมอบหมายพื้นที่ให้ไปดูแล แบบนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วทันทีที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พวกเขายังสามารถเข้าล้อมหรือว่าเข้าสกัดฟอลเลนอีวิลได้ทันที่ได้รับรายงานเรื่องสถานที่ซ่อนตัวของพวกมันด้วย
แผนการโจมตีกลับในขั้นแรกนั้นเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างเหมาะสม ในช่วงที่ยังไม่มีข้อมูลที่มากพอ ก็ควรจะเน้นการป้องกันเป็นหลัก
เนื่องจากการแบ่งกลุ่มนั้นมีความเป็นอิสระ ตัวหัวหน้าทีมสามารถเลือกสมาชิกในทีมได้ด้วยตัวเอง นี่ทำให้ภายในห้องประชุมคึกคักขึ้นมาทันที
โรแลนด์ย่อมไม่อยากจะเข้าไปอยู่กลุ่มไหน ในอีกแง่หนึ่ง เขาคนเดียวก็คือกองทัพ เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแทรกแซงในการแผนการชิงแกนพลังแห่งธรรมชาติ โชคดีที่คนที่รู้ชื่อเขามีอยู่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จึงไม่มีใครเข้ามาหาเขา
จนกระทั่งเฟยอวี่หานเดินเข้ามาหาและเชิญเขาไปเข้าทีม
ความจริงแล้วเฟยอวี่หานซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมนั้นเอ่ยปากชวนคนมาเข้าร่วมทีมเพียงแค่สองคนเท่านั้น
แต่โรแลนด์ปฏิเสธเธออย่างไม่ลังเล
นี่ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แม้แต่การ์เซียเองก็ยังรู้สึกไม่เข้าใจ อีกทั้งยังบอกให้เขาคิดดูใหม่อีกที เห็นได้ชัดเลยว่าแม้แต่การ์เซียที่เข้มงวดต่อตัวเองและคนอื่นก็ยังให้การยอมรับผู้หญิงอัจฉริยะคนนี้อย่างมาก
โรแลนด์เสียเวลาอธิบายอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตัวเองนั้นเหมาะกับการสู้คนเดียวมากกว่า ผลงานและใบอนุญาตไล่ล่านั้นคือหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกสนใจก็คืออีกหนึ่งคนที่เฟยอวี่หานเอ่ยปากชวนนั้นคือวัลคีรีย์ ผู้ฝึกยุทธ์ปีศาจที่เขาไปเยี่ยมเมื่อก่อนหน้านี้
…..
กว่าจะกลับมาถึงตึกถงจีก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
หลังกล่อมซีโร่จนหลับเรียบร้อย โรแลนด์ก็ขึ้นไปยังชั้นสองของโรสคาเฟ่ผ่านทางประตูข้าง
แม่มดทาคิลา 50 กว่าคนยืนตัวตรงพร้อมทำความเคารพเขา นี่เป็นครั้งแรกที่มีแม่มดมารวมตัวอยู่ในโลกแห่งความฝันเยอะขนาดนี้ ภายในห้องเล็กๆ ดูแคบขึ้นมาถนัดตา
ต่อให้เป็นยุคสมัยสามผู้นำ ทีมที่ประกอบไปด้วยแม่มดสายต่อสู้ล้วนๆ แบบนี้ก็เพียงพอที่จะทำศึกเล็กๆ ได้แล้ว
“เป็นยังไง ได้เบาะแสอะไรเพิ่มไหม?”
โรแลนด์มองไปทางฟาลดี้
“เพคะ แมลงที่ปล่อยออกไปจากรังสามารถจับปฏิกิริยาเวทมนตร์ที่หายไปได้สองสามจุด” ฟาลดี้สไลด์หน้าจอมือถือ ก่อนจะชี้ตำแหน่งบนหน้าจอให้เขาดู ถึงแม้จะยังดูเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเธอรู้วิธีใช้แผนที่แบบออนไลน์แล้ว “ปกติมีอยู่สองสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ หนึ่งคือหินอาญาสิทธิ์ สองคือเป้าหมายที่ไล่ตามมีความสามารถในการปกปิดพลังเวทมนตร์ ถ้าหากไม่ใช่สองข้อนี้ อย่างนั้นก็หมายความว่าเจ้าของพลังเวทมนตร์นั้นตายไปแล้วเพคะ”
“แต่ในโลกแห่งความฝันไม่มีหินอาญาสิทธิ์ พลังแห่งธรรมชาติไม่ได้มีมากมายหลากหลายเหมือนกับพลังของแม่มด” เขาพูดต่อ
“ถูกต้องเพคะ ดังนั้นน่าจะเป็นฟอลเลนอีวิลกับผู้ตื่นรู้ต่อสู้กัน แล้วหนึ่งในนั้นตายไปพร้อมกับถูกเอาแกนพลังไปเพคะ” ฟาลดี้พยักหน้า “เมื่อดูจากทิศทางการเดินทางของปฏิกิริยาเวทมนตร์ของฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันจะมาที่นี่เพคะ….”
ตำแหน่งที่เธอชี้คือท่าเรือแห่งหนึ่งตรงแม่น้ำ
ดูเหมือนจะเป็นที่รกร้างที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ตั้งแต่โบราณมาล้วนแต่เป็นสถานที่แรกที่จะเลือกใช้ในการทำเรื่องไม่ดี
“เนื่องจากแมลงของหม่อมฉันไม่สามารถบินไปไกลขนาดนั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นหม่อมฉันจึงติดต่อหลิงให้ทำการตรวจสอบให้ และก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงนางบอกหม่อมฉันว่าพบร่องรอยการเคลื่อนไหวของฟอลเลนอีวิลจริงๆ แถมยังมีจำนวนไม่น้อยด้วยเพคะ”
“ทำดีมาก” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือของสมาคม ตั้งแต่การสอดแถมไปจนถึงระบุตำแหน่งรังของศัตรู แม่มดทาคิลาสามารถจัดการได้ทั้งหมด “อย่างนั้นข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ฝ่าบาท ทรงสั่งการมาได้เลยเพคะ” ทุกคนตอบพร้อมกัน
สีหน้าพวกเธอดูฮึกเหิมและกระหายการต่อสู้อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าหลังเที่ยวเล่นหาความสุขมาทั้งวัน ตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกเธอกำลังพุ่งถึงขีดสุด
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับพวกเธอแล้ว การต่อสู้มันก็เป็นวิธีที่ทำให้พวกเธอเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตอย่างหนึ่ง
ถ้าตัดเรื่องการมีความสุขจากสัมผัสและรสชาติออกไปแล้ว การใช้เวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยความสนุกเหมือนกัน
“ทุกคน ออกเดินทางได้!” โรแลนด์สั่งการด้วยเสียงเด็ดขาด
“เพคะ ฝ่าบาท!”
………………………………………………………………
ตอนที่ 1239 สองทางเลือก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่าเรือขนสินค้าอยู่ห่างจากเขตชุมชนถงจึประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อที่จะไม่ทำให้เป็นที่ผิดสังเกต แม่มดทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปเรียกแท็กซี่ไปยังที่หมาย
ส่วนโรแลนด์นั้นออกเดินทางเป็นกลุ่มสุดท้าย เขายังคงขับรถตู้เก่าๆ คันนั้นไป โดยมีฟิลลิส ฟาลดี้นั่งไปด้วย
หลังจากที่เข้าร่วมปฏิบัติการกวาดล้างกับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ครั้งนั้น เขาก็ให้ความสนใจกับอุปกรณ์สำหรับทำการสู้รบส่วนตัว ถึงแม้จะไม่สามารถหาอุปกรณ์ได้ครบเครื่องเหมือนอย่างสมาคม แต่พวกอุปกรณ์ที่พวกประชาชนหาซื้อมาใช้ได้มันก็ถือว่าพอใช้ได้เหมือนกัน
อย่างเช่นวิทยุสื่อสารแบบพกพาที่เขาซื้อมาจากบนอินเทอร์เน็ตที่ไม่เพียงแต่จะมีหูฟังบลูทูธมาให้ แต่มันยังสามารถติดต่อกันได้ไกลถึง 5 กิโลเมตรด้วย ถึงแม้ในการทดสอบใช้จริงจะพบว่าหากบริเวณใกล้เคียงมีตึกสูงหรือว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นแม่เหล็กซับซ้อน ระยะทางนี้จะลดลงเหลือต่ำกว่า 2 กิโลเมตร แต่เมื่อคิดถึงราคาขายที่ไม่ถึง 200 หยวน อีกทั้งถ้าซื้อจำนวนเยอะยังได้ส่วนลดเพิ่มอีกมาก โรแลนด์จึงตัดสินใจซื้อมาให้แม่มดใช้คนละเครื่อง
อย่างนั้นเจ้าสิ่งนี้มันก็ใช้สะดวกกว่าโทรศัพท์มือถือ แถมยังมีความปลอดภัยมากกว่าด้วย
ปกติเขามักจะคิดว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์ที่ฝ่ายคนดีต้องพากันตายหมดเพราะโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญๆ นั้นมันดูจงใจมากเกินไป แต่ถ้าตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้บ้าง มันก็คงจะดูโง่เกินไปหน่อย
ส่วนฟาลดี้ที่มีความสามารถในการระบุตำแหน่งนั้นย่อมต้องกลายเป็นศูนย์จัดการข้อมูล
“ฝ่าบาท พี่เบ็ตตี้ไปถึงละแวกท่าเรือและไปรวมกับหลิงเรียบร้อยแล้วเพคะ”
“ให้พวกนางซ่อนตัวก่อน รอทุกคนไปถึงแล้วค่อยลงมือ” โรแลนด์ตอบโดยไม่หันหน้า
“เพคะ พี่ดาเนนเองอีกประมาณ 5 นาทีจะถึงที่หมาย แต่เงินบนตัวนางเหมือนจะไม่พอ”
“เอ่อ…ลองถามซิว่ามีใครพกเงินมาไหม เดี๋ยวพอนางถึงแล้วช่วยจ่ายให้นางหน่อย”
“เดี๋ยวเพคะ นางบอกว่าเมื่อครู่คนขับได้ยินที่นางพูด ก็เลยบอกว่าไม่คิดเงิน”
“อย่างนั้นก็ดี…” โรแลนด์ถึงกับกรอกตาขึ้นมา ทำไมเวลาเขาขึ้นแท็กซี่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้บ้าง?
โทรศัพท์มือถือของฟาลดี้วางลงไปไม่ถึง 5 วินาทีก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “ฝ่าบาท ทวิงเกิ้ลบอกว่ารถที่นางนั่งมาเหมือนจะขับอ้อม จุดหมายปลายทางเหมือนจะไม่ใช่ท่าเรือเพคะ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา “ตำแหน่งของนางคือ…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียง ‘ผัวะ’ ดังขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นเสียงตุบ! ป๊าบ! ปัง! ดังตามขึ้นมา
สุดท้ายทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
เขานวดขมับ “ให้พวกนางขึ้นรถคันใหม่แล้วกัน ตอนที่ออกมาระวังอย่าให้ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ล่ะ”
“ทราบแล้วเพคะ ฝ่าบาท” ฟาลดี้พูดพร้อมปิดปาก
กว่าทุกคนจะมาถึงท่าเรือกันครบก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ทีมที่มาถึงก่อนนั้นนั่งแทะเม็ดแตงโมรอจนเปลือกกระจายเต็มพื้น
โชคดีที่ศัตรูเหมือนจะเอาท่าเรือเป็นฐานชั่วคราวของตัวเอง พวกมันจึงไม่ได้สังเกตเห็นเหล่าแม่มดแม้แต่น้อย ถ้านี้เป็นศึกที่ต้องไล่โจมตีศัตรู เกรงว่าพวกมันคงจะหนีหายไปแล้ว โรแลนด์พลันรู้สึกว่าบางทีครั้งหน้าตัวเองควรจะซื้อรถตู้มาอีกซัก 3 – 4 คัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์น่าอายแบบนี้ขึ้นอีก
เขากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางหลิง “สถานการณ์ของศัตรูเป็นยังไงบ้าง?”
“ทูลฝ่าบาท พวกฟอลเลนอีวิลส่วนใหญ่อยู่ท่าเรือ จำนวนอย่างน้อยๆ มีมากกว่า 30 ตัวเพคะ บนกล่องเหล็กที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นมีพวกมันคอยเฝ้ายามอยู่ ด้วยพลังของดาเนน การจะหลบพวกมันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ท่าเรือด้านที่ใกล้แม่น้ำแสงไฟค่อนข้างสว่าง หม่อมฉันจึงได้แต่มองดูอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก ศัตรูส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในพื้นที่นั้น แต่บริเวณรอบๆ มีเส้นทางให้หลบหนีอยู่หลายเส้นทาง ถ้าหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา หม่อมฉันไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถสกัดพวกมันไว้ได้ทุกตัวเพคะ”
ความสามารถของหลิงคือตัวเองสามารถรวมตัวไปกับเงามืดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในตอนกลางคืนเธอจะมีความสามารถในการซ่อนตัวที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าไนติงเกลเลย เรียกได้ว่าเป็นนักสอดแนมที่สมบูรณ์แบบ
โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ล่อพวกมันออกมาแล้วค่อยจัดการแล้วกัน ขอเพียงออกมาให้ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำ พวกเราก็จะนั้นช่องทางหนีลงแม่น้ำของศัตรู แล้วก็ล้อมพวกมันเอาไว้ได้”
“ตามหลักแล้วทำได้ แต่ว่า…เราจะล่อพวกมันยังไงล่ะเพคะ?” ฟิลลิสถาม
โรแลนด์ยิ้มแล้วชี้มาที่ตัวเอง “ข้าได้ยินว่าพวกมันกำลังไล่โจมตีผู้ฝึกยุทธ์ไปทั่ว ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มาหาพวกมันตัวคนเดียวแบบนี้ พวกมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไปถูกไหมล่ะ”
….
หลังจากที่แม่มดต่างหายตัวไปในความมืด โรแลนด์ก็เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว แล้วค่อยๆ เดินเข้าในลานวางตู้คอนเทนเนอร์ ทำเหมือนว่าตัวเองแค่บังเอิญเดินเล่นผ่านมาทางนี้
ในเวลานี้ลานวางตู้คอนเทนเนอร์ตกอยู่ในความเงียบ นอกจากเสียงฝีเท้าของเขากับเสียงแมลงแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอย่างอื่นเลย แสงไฟสลัวที่ส่องมาจากทางท่าเรือทำให้เขาพอจะมองเห็นเค้าโครงของตู้คอนเทนเนอร์ได้ลางๆ กำแพงที่วางสูงๆ ต่ำๆ นี้ดูแล้วเหมือนเป็นเขาวงกต มองยังไงก็ไม่เหมือนว่าจะมีใครมาทำอะไรที่นี่เลย
แต่ในที่สุดวิทยุสื่อสารที่ซื้อแบบราคาเหมามาก็แสดงประโยชน์ของมันออกมา ดาเนนเตือนเขาว่าฟอลเลนอีวิลที่ซ่อนตัวอยู่ตรงท่าเรือมีความเคลื่อนไหว
เห็นได้ชัดว่าพวกที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกสังเกตเห็นคลื่นกระเพื่อมพลังแห่งธรรมชาติของเขา แล้วก็แจ้งให้พวกของมันรู้ สิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจก็คือศัตรูไม่ได้ลงมือในทันที หากแต่ปล่อยให้เขาเดินไปเดินมา
จนกระทั่งแสงไฟสปอร์ตไลท์ตรงลานวางตู้คอนเทนเนอร์ถูกเปิดขึ้นมา พื้นที่ตรงนั้นสว่างจนกลายเป็นเหมือนเวลากลางวัน!
ภายใต้แสงไฟที่แสบตา โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นเงาคนสิบกว่าคนค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา จนกระทั่งสายตาปรับตัวเข้ากับแสงสว่างที่จู่ๆ ก็สว่างขึ้นมาได้แล้ว เขาถึงได้พบว่าตัวเองนั้นถูกล้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มฟอลเลนอีวิลสวมหน้ากากลวดลายแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือว่าท่าทางก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากฟอลเลนอีวิลที่อยู่รอบๆ อย่างเห็นได้ชัด โรแลนด์สังเกตเห็นว่าลาดลายบนหน้ากากนั้นดูเผินๆ แล้วเหมือนกับประตูที่กำลังจะเปิดออก
นอกจากนี้ คนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เหมือนฟอลเลนอีวิลทั่วๆ ไป สายตาพวกมันไม่ได้เหม่อลอย บนร่างกายสวมใส่สุดของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
“สายัณสวัสดิ์ คนหลงทางผู้น่าสงสาร” คนที่เป็นหัวหน้าพูดจาอย่างมีมารยาทจนน่าแปลกใจ “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าลมอะไรพาเจ้ามาที่นี่ แต่เจ้าน่าจะรู้นะว่าตอนนี้ถ้าจะคิดหนีมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว แทนที่จะเอาเรี่ยวแรงไปทิ้งกับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ สู้อยู่เฉยๆ แล้วฟังข้าพูดให้จบจะดีกว่า”
โรแลนด์มองไปรอบๆ ด้านหน้าด้านหลังเขามีฟอลเลนอีวิลมาล้อมเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าเจ้า ในทางกลับกัน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับเจ้าก็ได้ ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกนี้ และกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า” ชายคนนั้นผายมือ “อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ ได้โปรดให้ข้าแนะนำตัวเองก่อน ข้าคือเทวทูตของพระเจ้า นามว่าอัลฟา มาจากสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘การกัดกิน’”
จากความคิดที่มีอยู่เดิม ในเวลานี้โรแลนด์ควรจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเพื่อทำให้ศัตรูตายใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เวลาที่เห็นท่าทางประดิษฐ์ประดอยดูมีมารยาทของอีกฝ่าย เขาพลันรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปซัดหน้าอีกฝ่ายซัก 2 – 3 หมัด
“เจ้าคือสัตว์ประหลาดที่บุกรุกเข้าไปในเมืองปริซึมเหรอ?”
“พูดว่าบุกรุกนั้นไม่ถูกนัก เพราะว่าเดิมสถานที่นี่นั้นเป็นของพระเจ้า” อัลฟาพูดอย่างไม่เร่งร้อน “ตอนนี้มันแค่ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปเป็นของพระเจ้าเท่านั้น ฟังให้ดีนะผู้หลงทาง ผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเจ้าต้องพ่ายแพ้และคืนกลับสู่ความว่างเปล่าแน่นอน เช่นนั้นสู้มารับใช้พระเจ้าไม่ดีกว่าเหรอ”
“ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เอาไว้ต่อไปข้าจะเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เจ้าฟังอย่างละเอียด โยนคำสัญญาล่องลอยเหล่านั้นทิ้งไปซะ ตอนนี้ข้าจะแสดงสิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้าได้ นั่นคือพลัง” เขายื่นนิ้วมือออกมานิ้วหนึ่ง จากนั้นปลายนิ้วก็มีแสงสีแดงสว่างขึ้นมา พลังเวทมนตร์อันรุนแรงไหลทะลักออกมา “ข้าสามารถเอามันใส่ไปในร่างกายของเจ้า ทำให้เจ้าแข็งแกร่งอย่างที่ตอนนี้ไม่อาจเทียบได้”
“ท่านเทวทูตไม่ได้หลอกเจ้า” อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างชายคนนั้นพูดสำทับขึ้นมา “ข้าเพิ่งจะตื่นรู้ได้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าร่างกายมีพลังที่ใช้ไม่มีวันหมดไหลเวียนอยู่!”
“ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ทำให้เจ้าเสียสติแล้วกลายเป็นเหมือนฟอลเลนอีวิลที่บ้าคลั่งพวกนั้นด้วย”
“แล้วถ้าข้าไม่รับปากล่ะ?”
“อย่างนั้นข้าก็คงต้องเปลี่ยนเจ้าให้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดพวกนั้น ถึงแม้พวกมันจะอ่อนแอไปหน่อย แต่มันกลับเชื่อฟังเป็นอย่างมาก” อัลฟ่ายักไหล่ “ด้านหนึ่งคือความจริงของโลกนี้และพลังที่แข็งแกร่ง อีกด้านหนึ่งคือจิตสำนึกดับสูญและกลายเป็นหุ่นเชิดที่หิวกระจายของพลังแห่งธรรมชาติ ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้นะว่าควรเลือกยังไง”
“ฝ่าบาท ทุกคนเข้าประจำที่แล้วเพคะ” ในหูฟังมีเสียงกระซิบของดาเนนดังขึ้นมา
โรแลนด์แสยะยิ้ม “ถ้ายังไงให้ข้าเป็นคนบอกพวกเจ้าดีกว่าไหมว่าความจริงของโลกนี้มันเป็นยังไง ข้าเป็นคนสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และข้าก็ไม่อยากยกมันให้ใครด้วย ดังนั้นพวกเจ้าเองก็มีสองทางเลือกเช่นเดียวกัน หนึ่งคือมอบแกนพลังแห่งธรรมชาติทั้งหมดมา จากนั้นก็ตายอยู่ที่นี่ซะ สองคือถูกข้าฆ่า จากนั้นข้าก็เสียเวลาเก็บแกนพลังมาจากพวกเจ้านิดหน่อย ว่าไง เจ้าจะเลือกแบบไหน?”
“เจ้าโง่!” ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรยศตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “แค่เจ้าคนเดียวเนี่ยนะ?”
“ไม่ พวกเจ้าไม่ทันสังเกตสินะว่าพวกเจ้าถูกล้อมเอาไว้แล้ว?” โรแลนด์ยื่นมือออกมาแล้วดีดนิ้ว “จัดการพวกมันซะ”
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 1240 สงครามในความฝัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หา? ล้อม? อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย! คลื่นพลังแห่งธรรมชาติใดๆ ล้วนแต่ไม่สามารถหลบรอดสายตาท่านอัลฟ่า….” ผู้ฝึกยุทธ์พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ถูกตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่งลอยมากระแทกที่หน้า แรงปะทะอันมหาศาลทำให้มันกระเด็นปลิวออกไป ขณะเดียวกันคำพูดของมันก็ขาดหายไปด้วย
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรยศอีกคนหนึ่งมองดูเหล่าแม่มดกระโจนออกมาจากที่ซ่อนอย่างตกตะลึง พวกเธอบางส่วนโผล่มาจากใต้พื้น บางส่วนมาจากบนท้องฟ้า แต่พวกเธอส่วนใหญ่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเลย ราวกับว่าพวกเธอยืนรออยู่ตรงนั้นมานานแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย คนเยอะขนาดนี้แอบซ่อนอยู่ในระยะไม่ถึง 10 เมตร ต่อให้ไม่มีคลื่นพลังแห่งธรรมชาติ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้ยินเสียงหายใจหรือเสียงฝีเท้าของพวกเธอถึงจะถูก!
ฟอลเลนอีวิลที่ทำหน้าที่ตรวจตราเหล่านั้นทำไมถึงไม่แจ้งเตือน?
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมานั่งคิดแล้ว
พริบตานั้นเอง ทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกัน
ลานวางตู้คอนเทนเนอร์ที่เดิมเงียบสงบพลันเดือดพล่านขึ้นมา!
…..
หลิงนั้นคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเขตสปอร์ทไลต์ แสงสว่างกับเงานั้นเป็นของที่เกิดมาคู่กัน แสงจากไฟที่อยู่ด้านบนส่องลานวางตู้คอนเทนเนอร์จนสว่างจ้า แต่มันกลับทำให้ความมืดที่อยู่ด้านหลังกล่องเหล็กกลับยิ่งมืดขึ้น
เธอเลือกเป้าหมายของตัวเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นคือฟอลเลนอีวิลที่ยืนอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ เงาที่ทอดยาวอยู่ด้านหลังของพวกมันเชื่อมต่อกับเงามืดที่อยู่ด้านหลังของตู้คอนเทนเนอร์ เรียกได้ว่าทำให้เกิดเป็นช่องโหว่ให้เธอได้เข้าไปใกล้พวกมันได้ ถ้ามีคนมองไปทางด้านหลังฟอลเลนอีวิลตอนที่หลิงกำลังเข้าใกล้มันก็ได้เห็นภาพที่น่าตกใจ ร่างกายของเธอจมหายไปในเงามืด เหลือเพียงแค่หัวครึ่งหนึ่งที่โผล่ออกมา ด้านล่างจมูกมีฟองอากาศผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น
ความรู้สึกที่ได้แช่อยู่ในเงามืดนั้นทั้งอบอุ่นและสบาย ต่อให้บ่อน้ำร้อนของโลกนี้ก็ยังไม่อาจะเทียบได้ หลังจากที่เปลี่ยนร่างกลายเป็นร่างทหารอาญาสิทธิ์แล้ว เธอก็นึกว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้แล้วเสียอีก จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อนที่ฟิลลิสเอาข่าวที่น่าเหลือเชื่อกลับมาบอกเธอ
นั่นคือโลกแปลกประหลาดที่ทำให้พวกเธอกลับไปยังอดีตได้
แวบแรกที่หลิงได้เห็นโลกใหม่ใบนี้ เธอก็ชื่นชอบที่นี่ทันที
ฝ่าบาทโรแลนด์เองก็ทรงเปลี่ยนจากกษัตริย์ธรรมดาๆ กลายเป็นผู้ถูกเลือก ถึงแม้พระองค์จะไม่สามารถเปิดใช้งานทัณฑ์สวรรค์ได้ก็ตาม ปกติเธอมักจะหาวิธีมารบเร้าพวกพาซาร์เพื่อหาโอกาสเข้ามาในโลกแห่งความฝันบ่อยๆ การที่เธอถูกเลือกให้มาเป็นผู้ปกป้องพี่น้องแม่มดที่เข้าเรียนก็เป็นความพยายามของเธอเช่นเดียวกัน
การต่อสู้กับปีศาจนั้นย่อมต้องเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อภารกิจนี้ การพาตัวเองมาพักผ่อนบ้างมันก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่มาสร้างปัญหาให้กับฝ่าบาทหรือว่าจะมาทำลายโลกแห่งความฝันก็ล้วนแต่ต้องเป็นศัตรูกับแม่มดทาคิลา
เมื่อสัญญาณลงมือดังขึ้น หลิงก็โผล่ขึ้นมาจากเงามืดราวกับวิญญาณ ก่อนใช้มีดสั้นแทงเข้าไปในหน้าอกของฟอลเลนอีวิล
ศัตรูเหล่านี้ไม่มีทางบาดเจ็บจนถึงได้เพราะอาวุธธรรมดา ด้วยเหตุนี้เธอจึงใส่พลังเวทมนตร์เพิ่มเติมเข้าไปด้วย ภายใต้ผลกระทบจากพลังเวทมนตร์ที่หลั่งไหลออกมา เธอสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าการหมุนของแกนพลังเริ่มมีความผิดปกติ เหมือนกับว่าพลังทั้งสองมันกำลังรบกวนซึ่งกันและกัน ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการยืนยันความคิดของฝ่าบาทที่ทรงบอกว่า ‘คุณสมบัติของพลังแห่งธรรมชาติกับพลังเวทมนตร์นั้นไม่แตกต่างกัน พวกมันล้วนแต่มาจาก ‘การกัดกิน’
หลังจากนั้นเธอก็แค่เอื้อมมือไปดึงเอาแกนพลังที่ถูกแปรสภาพออกมา ศัตรูก็จะล้มลงไปกองกับพื้น
และในพริบตาที่ฟอลเลนอีวิลล้มลงไปกองกับพื้น เธอก็จะข้ามไปยังตู้คอนเทนเนอร์ตู้อื่นที่อยู่ห่างออกไปหลายตู้ แล้วไปปรากฏอยู่ด้านหลังฟอลเลนอีวิลตัวต่อไป
ด้านล่างเองก็มีเสียงต่อสู้อย่างดุเดือดระเบิดขึ้นมา
ไม่นาน ศัตรูที่ทำหน้าที่เฝ้ายามทั้งหมดก็ถูกเธอกำลังจนสิ้น
หลิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของลานวางตู้คอนเทนเนอร์แล้วมองลงดูข้างล่าง การใช้พลังความสามารถของเหล่าพี่น้องยังคงอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อ 400 ปีก่อน เผลอๆ อาจจะเป็นเพราะการฝึกฝนของนักรบอาญาสิทธิ์จึงทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเธอคล่องแคล่วมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ในเรื่องของพลังเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือจิตใจที่ฮึกเหิมของทุกคน
การซ้อนทับพลังของเบ็ตตี้ทำให้เธอกลายเป็นเหมือนสุดยอดอมนุษย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอยกตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้า แล้วโยนมันใส่ฟอลเลนอีวิลที่ดาหน้าเข้ามา
ทวิงเกิลกับฟิลลิสยังคงเป็นคู่หูที่รู้ใจกัน ทุกครั้งที่ทวิงเกิลใช้แสงเจิดจ้าทำให้ศัตรูสูญเสียการมองเห็น เบลดคลอว์ของฟิลลิสก็จะพุ่งเข้าไปสังหารศัตรูในพริบตา
แล้วยังมีดาเนน โรเทอร์…ทุกคนต่างเป็นเช่นนี้เหมือนกัน การต่อสู้ที่ทำให้เลือดลมพุ่งพล่านเช่นนี้ทำให้หลิงเหมือนได้กลับไปยังยุกสมัยทาคิลาอีกครั้ง เธออดเหลือบมองไปทางโรแลนด์ไม่ได้ บางทีแม้แต่ตัวเองก็คงจะไม่รู้ถึงความสำคัญของโลกแห่งความฝันที่มีต่อแม่มดทาคิลา ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่ที่ทำให้พวกเธอได้รับประสาทสัมผัสกลับมาอีกครั้งหรือแค่เที่ยวเล่นหาความสุข แต่มันยังเป็นสถานที่ที่ทำให้จิตใจที่ตึงเครียดมาเป็นเวลานานของพวกเธอได้ผ่อนคลายลงด้วย
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่สามเมืองศักดิ์สิทธิ์พังพินาศ สมาพันธ์แตกสลาย เรียกได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตแม่มดผู้รอดชีวิต ถึงแม้ทุกคนจะพยายามปลุกใจตัวเองและพยายามปรับตัวเข้ากับร่างใหม่ แต่สัมผัสที่ค่อยๆ หายไปกลับทำให้พวกเธอสูญเสียความสุขในชีวิต บวกกับแผนการผู้ถูกเลือกที่ไม่มีความคืบหน้า ทำให้ทุกคนต่างแบกรับภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ ถึงแม้การเปลี่ยนร่างกายใหม่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่สภาพจิตใจของทุกคนกลับท้อแท้ลงทุกวัน ตอนนั้นหลิงสงสัยว่าบางทีอาจจะไม่ต้องรอให้ปีศาจลงมือ พวกเธอก็คงจะถูกความกดดันทับจนตายไปเอง
แต่ตอนนี้ภายในเมืองชายแดนที่สามกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทุกคนมานั่งคุยกันว่าร้านอาหารร้านไหนอร่อยที่สุด สัมผัสที่ถูกลืมเลือนค่อยๆ กลับมาที่ละน้อย ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปในโลกแห่งความฝัน เธอก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะ เรียกได้ว่าแตกต่างกับเมื่อร้อยปีก่อนอย่างสิ้นเชิง
หลิงรู้ว่าเหล่าพี่น้องก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงสู้กันอย่างเต็มที่ขนาดนี้
พวกเธอไม่อาจปล่อยให้ศัตรูแห่งการกัดกินเหล่านี้อยู่ในโลกแห่งความฝันได้
เธอกระโดดเข้าไปหาฟอลเลนอีวิลตัวหนึ่งจากทางด้านหลัง แล้วเข้าไปผสมโรงกับการต่อสู้ที่อยู่ด้านล่าง
….
ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เบ็ตตี้จะขว้างตู้คอนเทนเนอร์ออกไป โรแลนด์ก็ได้พุ่งออกไปหาผู้ชายที่เป็นหัวหน้าของศัตรูตัวนั้นแล้ว
ประสบการณ์ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเวทมนตร์มาหลายครั้งทำให้เขารู้ว่าสัตว์ประหลาดที่รับมือได้ยากเหล่านี้คือปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แปลกๆ ที่ผสมกันระหว่างสีแดงกับสีดำ หรือว่าหนวดสีดำที่บิดเบี้ยวเหล่านั้นก็ล้วนแต่รับมือได้ยากลำบาก ถึงแม้จะเป็นจะเป็นแม่มดก็อยากจะดิ้นหลุดได้ถ้าหากถูกมันรัดเข้า
แต่ว่าความสามารถของสัตว์ประหลาดเวทมนตร์กลับใช้ไม่ได้ผลกับเขา ขอเพียงเขาหยุดตัวหัวหน้าเอาไว้ได้ พวกแม่มดก็จะจัดการกับศัตรูที่เหลือเอง
และสถานการณ์ก็เป็นไปเหมือนอย่างที่โรแลนด์คิดเอาไว้ อัลฟ่าพบว่าตัวเองไม่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือของเขาได้ น้ำเสียงที่ยโสโอหังในตอนแรกพลันเปลี่ยนไปทันที
“เจ้า…”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นผู้สร้างที่นี่” โรแลนด์ไม่คิดที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูดอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็มีแต่ประโยคเดิมๆ เขาฟังมาแล้วตั้งหลายครั้ง “เทวทูตแล้วยังไง เทวทูตมันสุดยอดมากงั้นเหรอ?” เขากดมันลงไปกับพื้นแล้วก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของอีกฝ่าย จนกระทั่งหน้ากากแปลกๆ อันนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนเผยให้เห็นวงแหวนดวงดาวที่หมุนวนอย่างภายใต้หน้าหาก
ใบหน้าของมันคือแกนพลังธรรมชาติขนาดใหญ่
โรแลนด์คว้าจับวงแหวนดวงดาวอย่างไม่ลังเล ก่อนจะออกแรงดึงมันออกมาจนหมด
พริบตานั้นเอง พลังที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างกายพลันไหลทะลักออกมา ก่อนจะห้อมล้อมวงแหวนดวงดาวที่อยู่ในมือเขาแล้วกลายเป็นเสาลำแสงที่เจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แกนพลังเวทมนตร์ที่ถูกฉีกออกมาจากฟอลเลนอีวิลเหมือนกำลังตอบรับการเรียกของเสาลำแสงนั้น พวกมันแตกตัวเป็นดวงดาวเล็กๆ ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวกัน ท้องฟ้าที่มืดมิดถูกส่องสว่างขึ้นมาทันที
ความรู้สึกที่เหมือนโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงพลันปรากฏขึ้นมาในใจอีกครั้ง
แต่มันยังไม่จบเท่านี้…เสาลำแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วไม่ได้มีทีท่าว่าจะจางลงเลย จนกระทั่งมันกลบเขาเอาไว้จนมิด! โรแลนด์รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างกำลังไหลทะลักเข้าไปในหัวสมองอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาเกือบหมดสติ
ภาพที่อยู่ตรงหน้าพลันดูเลือนราง จุดขาวๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา ดูแล้วเหมือนโทรทัศน์สีขาวดำในยุค 70
“ฟู่…ฟู่….”
ท่ามกลางภาพที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน เขามองเห็นหลุมขนาดใหญ่มหึมา
………………………………………………………………
ตอนที่ 1241 ดวงตาของพระเจ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
นี่มัน…อะไรกัน?
โรแลนด์ลองพยายามส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวร่างกาย แต่มันกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมาๆ ภาพสีขาวดำตรงหน้าวิ่งผ่านหน้าเขาไปเหมือนสไลด์ภาพฉาย
จุดดำๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปหาอยู่ตรงข้างหลุมยักษ์ ดูแล้วเหมือนมดที่กำลังทำรังอยู่ แท่นหินแท่นหนึ่งงอกขึ้นมา แต่เมื่อเทียบกับหลุมยักษ์ขนาดมหึมาแล้ว แท่นหินที่สูงใหญ่นั้นเป็นเหมือนกับเนินดินเล็กๆ ที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
เขาแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองเคยเห็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาจากก้อนหินแบบนี้มาก่อน
จากภาพวาดบนผนังในวิหารต้องสาป
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ภาพที่เต็มไปด้วยจุดขาวๆ ที่อยู่ท่ามกลางเสียง “ฟู่ๆ” ก็ซูมเข้าไปใกล้ๆ….จุดดำๆ เหล่านั้นกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังขยับเขยื้อน ลักษณะภายนอกของมันเหมือนกับเผ่ากัมมันตรังสีที่อยู่บนภาพวาด
ไม่นาน ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนจะซ้อนทับกับภาพวาดที่อยู่บนผนัง
เผ่ากัมมันตรังสีจำนวนสิบกว่าตัวยกมรดกของพระเจ้าขึ้นไปบนแท่นหินแล้วก็ยืนล้อมรอบมันเอาไว้ ร่างกายของพวกมันเดี๋ยวก็ยืดเดี๋ยวก็หด เหมือนว่ากำลังทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างอยู่
ส่วนทางด้านล่างแท่นหิน เผ่าไม้ขีดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนถูกคุมตัวมายืนอยู่รอบๆ หลุมยักษ์ จากนั้นจึงถูกผลักลงไปในหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นท่ามกลางการเริงระบำอย่างบ้าคลั่งของเผ่ากัมมันตรังสี….
ภายใต้บรรยากาศอันบ้าคลั่ง มรดกชิ้นสุดท้ายถูกประกอบเข้าไป ผลึกใสๆ กลายเป็นรูปทรงปริซึมที่สมบูรณ์แบบ มันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งตกลงไปยังหลุมลึกแล้วหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
โรแลนด์รู้ได้ทันที บางทีนี่อาจจะเป็น ‘บอทธ่อมเลสแลนด์’ ที่มิสต์พูดถึง
แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นทำให้โรแลนด์ยิ่งรู้สึกตกตะลึง
เขามองเห็นภายในหลุมยักษ์มีลำแสงสีส้มพุ่งขึ้นไปบนชั้นเมฆ ภาพเหตุการณ์แปลกๆ นี้เหมือนกับที่แม่มดโบราณเห็นตอนที่เขาเข้ามาในโลกแห่งความฝัน แต่ว่ามันกลับดูยิ่งใหญ่มากกว่า ส่วนตรงตำแหน่งที่บนท้องฟ้าที่ลำแสงพุ่งขึ้นไปก็ตรงกับ ‘พระจันทร์สีแดง’ พอดี ท้องฟ้าและพื้นดินเหมือนเชื่อมต่อถึงกัน ส่วนบอทธ่อมเลสแลนด์กับปากทางเข้าของการกัดินนั้นเป็นแค่เพียงปลายสองด้านของลำแสงเท่านั้น
เผ่ากัมมันตรังสีแห่กันเข้าไปที่หลุมยักษ์เหมือนกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
แต่พวกไม่ได้ตกลงไปยังหุบเหวข้างล่าง หากแต่ลอยค้างอยู่กลางอากาศเหมือนถูกอะไรค้ำเอาไว้ ก่อนจะลอยขึ้นไปยังปลายอีกด้านที่อยู่บนท้องฟ้า
แค่พริบตา ในลำแสงก็มีจุดสีดำๆ จำนวนนับไปถ้วนปรากฏขึ้นมา
นี่คือ…การยกระดับของอารยธรรมอย่างนั้นเหรอ…
โรแลนด์ที่มองดูจุดสีดำกับสำแสงที่นุ่งนวลนั้นหายเข้าไปหมู่เมฆอดคิดขึ้นมาไม่ได้ ปลดเปลื้องพันธนาการจากพื้นดิน ก้าวเข้าไปสู่โลกใบใหม่….ภาพที่สวยงามเช่นนี้ ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว
แต่ท่ามกลางภาพเหตุการณ์นี้ เขากลับได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นมา เสียงนั้นเหมือนดังสะท้อนอยู่ในหัวของเขา มันฟังดูชัดเจนจนไม่มีทางที่เขาจะคิดไม่เองแน่นอน
หลังจากเสียงถอนหายใจนั้น เวลาก็เดินเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จุดสีขาวๆ ที่เหมือนเกล็ดหิมะยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาพที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้พื้นดินเหมือนเกิดวิบัติขึ้น
ข้างหลุมยักษ์มีภาพเมืองตั้งกระจัดกระจายปรากฏขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่ใช่เผ่ากัมมันตรังสีทุกตัวที่จะเลือกกระโดดเข้าไปในลำแสง หากแต่มีพวกมันบางส่วนที่ยังเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เป็นเพราะความรักที่มีต่อโลกนี้หรือเป็นเพราะหวาดกลัวท้องฟ้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก? โรแลนด์ไม่รู้เหมือนกัน เขาเห็นว่าบางครั้งบางคราวก็จะมีจุดดำๆ วิ่งเข้าไปในลำแสงที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นดินกับท้องฟ้า เหมือนกับว่ากำลังไล่ตามเส้นทางของบรรพบุรุษตามตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา
ส่วนแสงของเสาลำแสงนั้นก็ดูจางลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่ง เสาลำแสงกระพริบอยู่สองสามทีก่อนจะหายไป
จุดขาวๆ ที่กระจัดกระจายปกคลุมจนเต็มเบื้องหน้าของเขา คล้ายกลับเป็นสัญญาณว่าเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้ว — หากจะให้คาดเดาจากสถานการณ์ในตอนนี้ โลกกำลังจะฟื้นฟูสู่ความสงบ ตำนานของเส้นทางที่ขึ้นไปบนท้องฟ้าจะคงอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่ากัมมันตรังสีเพื่อเล่าสืบต่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ บางทีอาจจะมีคนรุ่นหลังที่พยายามจะลงไปในหลุมยักษ์เพื่อหาหนทางแห่งการยกระดับ แต่นั่นเป็นล้วนแต่เป็นเรื่องของอนาคต
ในตอนที่โรแลนด์นึกว่าภาพเหตุการณ์จะจบลงไปแบบนี้ จู่ๆ พลันมี ‘กำแพงสูงใหญ่’ ปรากฏขึ้นมาที่ปลายสุดอีกด้านของแผ่นดิน
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองตาฝาด เพราะว่าจุดขาวๆ ที่ปกคลุมอยู่เบื้องหน้ามีเยอะจนทำให้เกิดภาพลวงตาได้ แต่ในตอนที่กำแพงค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้หลุม ในที่สุดเขาถึงได้รู้ว่ามันคืออะไร
คลื่นยักษ์ที่สูงกว่าเทือกเขาสิ้นวิถีกำลังถาโถมเข้ามา แค่พริบตามันก็กลืนกินเมืองที่เหมือนกับตัวต่อเลโก้เหล่านั้นไป ความสูงของยอดคลื่นเรียกได้ว่าสูงทัดเทียมกับหมู่เมฆบนฟ้า ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา มันเหมือนเป็นเส้นขอบฟ้าเส้นใหม่
โรแลนด์พอจะนึกออกมาเผ่ากัมมันตรังสีที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้จะรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน
แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของหายนะ
คลื่นยักษ์เพิ่งผ่านไป แผ่นดินที่อยู่ไกลออกไปพลันมีภูเขางอกขึ้นมา การระเบิดอย่างรุนแรงทำให้พระอาทิตย์ดูหมองไปทันที ฝุ่นควันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็มีฝนเทลงมาและตามมาด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ เหมือนกับว่าแผ่นเปลือกโลกได้เข้าสู่ช่วงที่มีชีวิตชีวามากที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนวันสิ้นโลกนี้ ใบหน้าของโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ฟู่…ฟู่…”
ภาพค่อยๆ บิดเบี้ยว ในเวลานี้จุดสีขาวแทบจะบดบังทัศนวิสัยของเขาจนมิด
ก่อนที่ภาพต่างๆ จะหายไป สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือธารน้ำแข็งที่ละลาย พืชที่ดื้อรั้นแตกยอดอ่อนออกมาจากพื้นดิน
“ฝ่าบาท…”
“ฝ่าบาท…พระองค์ทรงไม่เป็นไรนะเพคะ?”
โรแลนด์รู้สึกว่ากำลังมีคนเขย่าตัวเขาเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
เขาลืมตาขึ้นมาทันที จุดขาวๆ ค่อยๆ หายไป ภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับมาเป็นภาพท่าเรือเหมือนเดิม
“จบแล้ว…เหรอ?” โรแลนด์มองดูมือพร้อมกับพูดงึมงำขึ้นมา
แต่ฟิลลิสนึกว่าเขากำลังถามเธอ “ใช่เพคะ ศัตรูถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่มีใครหนีรอดออกไปได้ แกนพลังเวทมนตร์เหล่านั้นก็หายไปพร้อมกัน ทั้งหมดใช้เวลาอยู่หลายนาที มีแต่พระองค์ที่ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ เหมือนว่าพระองค์…กำลังหลับอยู่ ฝ่าบาท พระองค์ทรงไม่เป็นไรแน่นะเพคะ?”
โรแลนด์เองก็ไม่รู้ว่าตัวเขาถือว่าเป็นหรือไม่เป็นอะไร ภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง ตอนนี้เขาค่อยๆ นึกย้อนดู ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดพลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับว่าในหัวเขาจู่ๆ ก็มีความทรงจำที่ไม่รู้ที่มาเพิ่มขึ้นมา ถ้าเพียงแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการเดินอย่างเชื่องช้าของเวลา ราวกับว่าในเวลานี้ไม่กี่นาทีนั้น ตัวเขาได้เดินทางผ่านเวลามาหลายพันปี
เขาเหมือนจะเข้าใจถึงเสียงถอนหายใจนั้นแล้ว
จู่ๆ ภายในหัวโรแลนด์ก็มีคำพูดของมิสต์ลอยขึ้นมา
‘เทียบกับการที่ข้าเป็นคนบอกเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง’
นี่คือ…จุดจบของสงครามแห่งโชคชะตาอย่างนั้นเหรอ?
“ข้าไม่เป็นไร” เขาสูดหายใจ “แค่เห็นภาพอะไรแปลกๆ น่ะ”
“ภาพแปลกๆ เหรอเพคะ?” ฟิลลิสกะพริบตา ก่อนจะมองข้ามประโยคนี้ไป “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งพูดเรื่องนี้แล้วเพคะฝ่าบาท ลำแสงเมื่อครู่นี้สว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า น่าจะมีหลายคนที่สังเกตเห็นมัน ถ้าไม่รีบหนี สมาคมอาจจะรู้เรื่องของเราได้นะเพคะ”
“ข้ารู้แล้ว อย่างนั้นแยกกันกลับเหมือนตอนที่มาแล้วกัน” เขาพยักหน้า
นั่นมันคือความทรงจำของเทวทูตหรือว่าเป็นสิ่งอื่นกันแน่ ตอนนี้โรแลนด์ยังไม่สามารถแยกแยะได้ แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาต้องได้คำตอบนี้แน่
และวันที่ว่าก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
……………………………………………………….
ตอนที่ 1242 ถอยจากท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์
“อย่าเบียดกัน! เข้าแถว!”
“สัมภาระโยนทิ้งไป ห้ามเอาสัมภาระขึ้นเรื่อ! ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลทรงเตรียมอาหารและเสื้อผ้าเอาไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็โยนพวกมันทิ้งลงไปในน้ำซะ!”
“เดินเร็วๆ หน่อย! เด็กกับผู้หญิงก่อน!”
พื้นที่ตรงท่าเรือเต็มไปด้วยผู้คน ชาวบ้านที่อพยพต่างแห่กันไปขึ้นเรือเดินทะเลที่กำลังชักใบเรือขึ้น ถ้าไม่เป็นเพราะกองทัพที่หนึ่งกับกองทหารของเจ้าเมืองคอยใช้ดาบในการรักษาระเบียบเอาไว้แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกชาวบ้านคงได้เหยียบกันตายแน่
“หัวหน้า เรือ..เหมือนจะมีไม่พอนะ” ทหารที่รับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยหันหน้ามาพูดอย่างเป็นกังวล ในเวลานี้เรือที่ขนผู้อพยพค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง
“กล้ามาถึงท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ในเวลานี้ก็ถือว่ากล้าหาญมากแล้ว” สายตาลุงแซงจ้องอยู่ที่ด้านหน้าปากกระบอกปืนตลอดเวลา ในระยะเวลาแค่ 3 – 4 วัน หมอกแดงได้ลอยข้ามยอดเขาสิ้นวิถีมาแล้ว หมอกที่เป็นเหมือนเลือดสดๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งขอบฟ้า ดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“หัวหน้า…เขาจะเหลือที่เอาไว้ให้เราใช่ไหม?” ทหารคนนั้นพูดงึมงำขึ้นมา
“ถ้าเป็นเนลล่ะก็” ลุงแซงยิ้มขึ้นมา “ต่อให้เขาไม่ขึ้นเรือ เขาก็ต้องเหลือที่เอาไว้ให้พวกเราแน่”
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเราได้รับคำสั่งให้เดินทางออกจากที่ราบสูงเฮอร์มีส แล้วมุ่งหน้าไปยังเหมืองที่อยู่เหนือสุดของอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่อรับผิดชอบภารกิจเคลื่อนย้ายประชากร เมื่อเทียบกับการรักษาเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว เนลเหมือนจะสบายใจขึ้นทันทีที่ได้รับคำสั่งใหม่ ตลอดทั้งทางเขาพูดเยอะขึ้นกว่าเดิม ทันทีที่มาถึงท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ก็เริ่มทำงานทันที
หน่วยของเขาซึ่งมีจำนวนอยู่ร้อยกว่าคนนั้นไม่ใช่คนเกรย์คาสเซิลกลุ่มแรกที่มาถึงอีเทอร์นอลวินเทอร์ พวกเพื่อนทหารส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นกระจายตัวเข้าไปยังเมืองต่างๆ ของอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่ออพยพอยู่ก่อนแล้ว การอพยพในตอนแรกนั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร จนกระทั่งพระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา สถานการณ์ต่างๆ ถึงได้ดีขึ้น — นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่มีข่าวลือตามเมืองต่างๆ ว่าพระจันทร์สีแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของวันสิ้นโลก ด้วยเหตุนี้ในวันที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจริงๆ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยจึงตกใจกลัวและวิ่งมาหากองทัพที่หนึ่งเพื่อขออพยพเอง
เสียดายที่ไม่นานสถานการณ์ก็แย่ลง
หลังผ่านไปแค่ 4 – 5 แนวหน้าก็ส่งข่าวมาว่าพบเห็นหมอกแดง
จากนั้นในวันเดียวกัน กองทัพที่หนึ่งก็ปะทะเข้ากับปีศาจ
ใครแพ้ใครชนะไม่อาจรู้ได้ แต่ว่าสุดท้ายทุกหน่วยต่างก็เริ่มถอนกำลังถอยลงมาทางทิศใต้ หน่วยของเนลเองก็ได้รับคำสั่งให้ถอยมายังท่าเรือแห่งต่อไป
แต่ในช่วงหลายวันมานี้ จำนวนประชากรที่ต้องการอพยพกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทุกคนจะมีประชากรจำนวนหลายหมื่นคนเดินทางมาที่ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์และขอร้องให้เรือพาพวกเขาไปด้วย เนลย่อมไม่อาจมองดูอยู่เฉยๆ ด้านหนังเขาก็สร้างแนวป้องกันอย่างง่ายๆ ขึ้นมา อีกด่านก็ให้นกส่งจดหมายไปขอเรือมาเพื่อ นี่ทำให้แผนการถอยร่นไปทางใต้ต้องเลื่อนออกไปหลายวัน
แต่ลุงแซงรู้ว่าทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป เรือที่กล้ามาทางทิศเหนือจะต้องมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอน พ่อค้าชาวฟยอร์ดที่รับเงินค่าจ้างฝ่าบาทมาพวกนี้ไม่มีทางที่จะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงแน่ บางทีพวกเขาอาจจะยอมออกมาจากท่า แต่ไม่มีทางที่จะมาถึงที่นี่แน่….เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่านี้คงจะเป็นเรือกลุ่มสุดท้ายแล้ว
โชคดีที่เนลเองก็น่าจะรู้ถึงจุดนี้ดี เนลจึงสั่งให้พวกเขาฝั่งระเบิดเอาไว้ใต้ดินตั้งแต่เช้า หนึ่งเพื่อใช้ป้องกันศัตรูในเวลาจำเป็น สองก็เพื่อทำลายอาวุธที่ไม่สามารถพกติดตัวไปด้วยได้ เพื่อที่อาวุธเหล่านั้นจะได้ไม่ตกไปอยู่ในมือปีศาจ
“หัวหน้า ข้างหน้ามีควันลอยขึ้นมา!” มีคนตะโกน
“มาอีกแล้วเหรอ…” ลุงแซงกลืนน้ำลาย “ทุกคนประจำตำแหน่ง!”
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีคนไม่เพียงพอและไม่มีแม่มดช่วยสอดแนม วิธีส่งข่าวแบบโบราณจึงถูกนำมาใช้อีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปีศาจมาเยี่ยมเยียนท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ ตอนนี้ในป่านอกเมืองยังมีซากศพของปีศาจนอนกองอยู่ เมื่อดูจากคู่มือที่เขาได้รับแจกมาแล้ว พวกมันน่าจะเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง ถึงแม้ศัตรูจะมาแบบกะปริบกะปรอย ระดับชั้นของของปีศาจก็ไม่ได้สูง แต่นี่ก็หมายความว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นในดินแดนของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วจริงๆ แถมยังค่อยๆ คืบใกล้เข้ามาตามหมอกแดงที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
หลังจบศึกที่สันเขาโคลด์วินด์พวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้รักษาการณ์อยู่ที่เมืองศักดิสิทธิ์เฮอร์มีสมาโดยตลอด ทีมของเนลไม่ได้เข้าไปร่วมรบในศึกทาคิลา ถึงแม้ลุงแซงจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับปีศาจมาจำนวนไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สู้กับปีศาจจริงๆ และข้อสรุปที่ได้มาจากสู้กับพวกมันในหลายวันนี้ทำให้เขารู้ว่าขอเพียงไม่ปล่อยให้ปีศาจเข้ามาถึงระยะน้อยกว่า 200 เมตร พวกมันก็ถือว่าจัดการได้ง่ายกว่าทหารอาญาสิทธิ์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกกังวลเมื่อเห็นสัญญาณควันไฟลอยขึ้นมา ในทางกลับกัน เขากลับสนใจแผนการหลังจากนี้ของเนลมากกว่า เห็นได้ชัดว่าด้วยเรือที่เหลืออีกสองลำนั้นไม่มีทางที่จะพาผู้อพยพทั้งหมดไปจากที่นี่ได้แน่ แล้วคนที่เหลือเหล่านั้น หัวหน้าจะจัดการอย่างไร? จะปล่อยพวกเขาไปตามยถากรรม หรือว่าพาพวกเขาลัดเลาะชายฝั่งหนีไปทางใต้?
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกรั้วลวดหนามที่อยู่ตรงเขตถนน
ลุงแซงขมวดคิ้วขึ้นมา
ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์นั้นไม่มีกำแพงเมืองเหมือนกับเมืองท่าส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งแนวป้องกันเอาไว้บนถนนสายหลังของท่าเรือ นอกจากผู้อพยพแล้ว ชาวบ้านที่เหลือล้วนแต่ถูกกวาดต้อนออกมาจนหมด การที่ปีศาจจะถูกดึงดูดมาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือทหารที่รับผิดชอบในการเฝ้าสังเกตการณ์ยังคงไม่กลับมา ตามหลักแล้ว พวกเขาต้องถอยกลับมาหลังจากจุดไฟสัญญาณ พวกเขาควรจะกลับมาถึงแนวป้องกันก่อนศัตรูถึงจะถูก
ไม่นาน ปีศาจคุ้มคลั่งอีกหลายตัวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุมถนน และตรงมาที่ท่าเรือ
“ยิงได้!”
หน่วยปืนกลสองหน่วยสาดกระสุนไปที่ปลายสุดของถนนพร้อมๆ กัน แต่ศัตรูก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พวกมันใช้อาคารบ้านเรือนที่อยู่รอบๆ เป็นเกราะกำบัง หลังฝุ่นควันสลายตัวไป บนรั้วลวดหนามก็มีศพของปีศาจห้อยอยู่สองตัว
ไม่นาน บนหลังคาก็มีเสียงปืนดังขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าศัตรูที่คิดจะอ้อมมาจากทางด้านบนเจอเข้ากับหน่วยซุ่มยิงที่เฝ้ารออยู่เป็นเวลานานแล้ว
นี่คือวิธีการแบ่งทีมเพื่อปกป้องท่าเรือ เมื่อคำนึงถึงว่าทัศนวิสัยในการทำศึกในเมืองนั้นไม่ดีเหมือนกับการทำศึกในที่โล่ง ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่เขาทำเยอะที่สุดก็คือจัดวางสิ่งกีดขวาง ไม่ว่าจะเป็นการเอาขยะมากองก็ดี หรือรื้อบ้านเรือนลงมาก็ดี ซอยที่มุ่งตรงมาที่ท่าเรือจำนวน 10 ซอยถูกปิดตายเอาไว้ 9 ซอย สิ่งกีดขวางเหล่านี้ไม่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างเด็ดขาด แต่มันกลับช่วยยื้อเวลาได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากเสียเวลาอยู่กับการรื้อถอนสิ่งกีดขวาง อย่างนั้นพวกมันก็ต้องลุยฝ่าห่ากระสุนเข้ามา
จำนวนของศัตรูดูแล้วเหมือนไม่เยอะ เมื่อวิเคราะห์ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ โอกาสที่พวกมันจะบุกเข้ามาถึงด้านหน้าแนวป้องกันแล้วปาหอกนั้นมีไม่สูงเท่าไร ในเวลาแบบนี้พวกมันควรเลือกที่จะถอยถึงจะถูก แต่ปีศาจยังคงพยายามหาที่หลบซ่อน เหมือนพวกมันอยากจะผลาญกระสุนของกองทัพที่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ในด้านความดื้อดึงที่จะต่อสู้ ศัตรูกลุ่มนี้เรียกได้ว่ามีความทรหดกว่ามาก…เหมือนว่าพวกมันเคยเห็นห่ากระสุนแบบนี้มาแล้ว
ลุงแซงหัวเราะหึหึออกมา ถ้าหากทหารอาญาสิทธิ์ทำแบบพวกปีศาจเป็น อย่างนั้นพวกเขาคงจะปวดหัวไม่น้อย เสียดายที่อาวุธที่กองทัพที่หนึ่งมีอยู่ในตอนนี้นั้นครบครันกว่าเมื่อก่อนนี้มาก แค่หน่วยเล็กๆ ของพวกเขาก็มีปืนกลถึง 4 กระบอกแล้ว กระสุนที่มีก็พอจะยิงไปได้ทั้งวันอย่างสบายๆ ถ้ายังสู้กันแบบนี้ต่อไป สุดท้ายศัตรูก็ต้องตายอยู่ที่นี่
แต่ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ขึ้น!
เขาได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นมา บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของท่าเรือฝุ่นควันลอยฟุ้งขึ้นมา สัตวประหลาดขนาดยักษ์ที่หุ้มเกราะทั้งตัวชนกำแพงหินจนแตก ก่อนจะปีนขึ้นไปบนซากปรักหักพัง
“ปีศาจแมงมุม?” ทหารนายหนึ่งอุทานตกใจออกมา
“รีบเตรียมกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจ!”
หัวใจลุงแซงหล่นวูบทันที จริงอยู่ที่ในคู่มือมีการพูดถึงปีศาจที่คล้ายๆ แมงมุมอย่างนี้อยู่ แต่เมื่อดูจากภายนอกแล้ว ปีศาจที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ดูแล้วไม่เหมือนกับปีศาจแมงมุมที่ผ่านๆ มา
หินสีดำที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ ขาของพวกมันดูเหมือนจะหนาขึ้นกว่าเดิมมาก แทบจะปกคลุมร่างกายกว่าครึ่งของมัน
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1243 การยิงช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทหารสองคนรีบเข้าไปใกล้ศัตรูที่ปรากฏขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหนี่ยวไกยิงกระสุน RPG ที่ใช้ต่อต้านปีศาจออกไป
ควันสีขาวสองเส้นพุ่งออกไปจากที่กำบัง ก่อนจะตรงไปหาปีศาจแมงมุมตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เป้าหมายที่ใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาแทบจะไม่มีทางยิงพลาดเลย ลุงแซงที่มองดูวิถีกระสุนรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา เขามักจะรู้สึกว่าเกราะหนาๆ ที่อยู่บนขาของอีกฝ่ายมันไม่ใช่เกราะธรรมดาๆ
และแล้วลางสังหรณ์ที่ว่าก็กลายเป็นจริง
เนื่องจากกระสุนนัดแรกที่ยิงออกไปเบี้ยวนิดหน่อย ทำให้มันกระดอนออกไปทันทีที่ชนถูกเป้าหมาย ก่อนจะปักลงไปในพื้นใกล้ๆ
ส่วนกระสุนอีกลูกหนึ่งนั้นชนถูกขาหน้าของมันเต็มๆ เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับควันที่ขโมง แต่การเคลื่อนไหวของปีศาจกลับไม่ได้หยุดลง มันเพียงแต่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเดินฝ่ากลุ่มควันเข้ามา
“เจ้าโง่ ยิงไปที่ตัวสิ!” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“ให้ข้าลองหน่อย!” ทหารอีกคนหนึ่งแบกลังกระสุนปีนขึ้นมาจากหลุมเพลาะ
ลุงแซงไม่ได้ห้าม แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าปีศาจตัวนี้มันจะจัดการได้ง่ายๆ เหมือนกับคนอื่นๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกแปลกๆ ในตอนที่ได้เห็นปีศาจแมงมุมแบบใหม่มันอยู่ตรงไหน ถ้าเทียบกับสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ที่อยู่ในคู่มือพวกนั้นแล้ว ทุกส่วนของปีศาจแมงมุมตัวนี้ดูมีสมบูรณ์กว่าปีศาจแมงมุมตัวก่อนๆ มาก เกราะที่อยู่บนขาทั้งสี่ข้างของมันไม่ได้ประกอบขึ้นมาจากก้อนหินอย่างหยาบๆ หากแต่เป็นหินทรงหลายหน้าที่ประกอบขึ้นมาอย่างเรียบร้อย ถ้ามันหดขาเข้าด้วยกัน เกราะที่อยู่บนขาของมันก็เหมือนจะประกอบเข้ากับหินที่อยู่บนหลังของมันกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูได้
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่มันย่างก้าว มุมการเคลื่อนไหวของขาทั้งสี่ข้างก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทำให้พวกทหารยากที่จะยิงถูกตัวมันหรือส่วนท้องของมันได้ การยิงพลาดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ การยิงอีกสองสามนัดหลังจากนั้นไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของปีศาจแมงมุมเอาไว้ได้ เวลาที่มีเปลวไฟพ่นออกมาจากปากกระบอกปืน มันก็หดขาของมันทันที คล้ายว่าเป็นพฤติกรรมตอบสนองที่มีเงื่อนไขอย่างไรอย่างนั้น
ในขณะเดียวกัน ในรอยแตกที่เกิดขึ้นจากการชนของปีศาจแมงมุมก็จะมีปีศาจคลุ่มคลั่งปรากฏตัวขึ้นมา
“บ้าเอ้ย เจ้าพวกนี้ยิงให้แม่นหน่อยไม่ได้เหรอไง?” พลปืนกลตะโกนบ่นขึ้นมาพร้อมกับปรับองศาปากกระบอกปืน
“พอแล้ว!” ลุงแซงตะโกนสั่ง “ถอยไปที่หลุมเพลาะเส้นที่สอง ปล่อยตรงนี้ให้พวกมันไป! เตรียมระเบิดให้พร้อม”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” เขาตะโกน “ถ้าถูกศัตรูกระหนาบข้างเข้ามาเมื่อไร ถึงตอนนั้นอยากจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว!”
เสียงสัญญาณดังไปทั่วทั้งแนวรบ หน่วยของเนลเปลี่ยนที่กำบังถอนไปยังท่าเรือตรงปากอ่าวตามที่ฝึกซ้อมมา ส่วนพวกชาวบ้านก็ได้แต่มองดูสัตว์ประหลาดที่คืบใกล้เข้ามาตาปริบๆ แถวที่ตอนแรกตั้งอย่างเป็นระเบียบพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที
นายทหารที่รับผิดชอบเรื่องจุดระเบิดรีบเอาชนวนต่อเข้ากับที่จุดระเบิดอย่างรวดเร็ว “หัวหน้า พร้อมจุดระเบิดทุกเมื่อ!”
“ดีมาก ให้พวกมันลองลิ้มรสชาติระเบิดดู” ลุงแซงจ้องมองดูสัตว์ประหลาดที่พุ่งตรงเข้ามา ก่อนจะยื่นมือสงสัญญาณ “รอก่อน…ตอนนี้แหละ…”
นายทหารกดแท่งจุดระเบิดทันที เสียงระเบิดสิบกว่าเสียงดังสนั่นขึ้นมาทันที! พริบตานั้นเอง พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าเหมือนจะสั่นสะเทือนขึ้นมา เสาควันพวยพุ่งขึ้นมาจนปกคลุมพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้ทั้งหมด
ระเบิดกองหนึ่งในนั้นถูกฝังเอาไว้ด้านล่างของปีศาจแมงมุม แรงปะทะอันรุนแรงทำให้ร่างกายของมันครึ่งหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ เกราะหินบนขาทั้งสองข้างกลายเป็นเหมือนที่ถ่วงน้ำหนักอันหนักอึ้ง ข้อต่อของมันถูกน้ำหนักที่ว่าบิดจนหักทันที ในตอนที่ร่วงตกลงมา มันก็ได้แต่นอนตะแคงอยู่บนพื้นและสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไป
ในสนามรบมีเสียงผิวปากดังขึ้นมา
แต่ยังไม่ทันทีที่ทุกคนจะได้พักหายใจ ทางด้านตะวันออกของท่าเรือพลันมีเสียงปะทะเหมือนกันดังขึ้นมา
ปีศาจแมงมุมอีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนสนามรบ
ลุงแซงที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้รู้สึกโชคดีที่ตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้อง
เขาแอบสังหรณ์อยู่ในใจว่าการโจมตีของปีศาจครั้งนี้นั้นไม่เหมือนกับการโจมตีครั้งก่อนหน้า สถานการณ์ในตอนนี้แสดงให้เห็นว่าพวกมันคิดจะล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วกำจัดให้สิ้นซากในทีเดียว ที่ทหารยามไม่สามารถกลับมาได้ตรงเวลา อาจจะเป็นเพราะถูกศัตรูตัดเส้นทางหนี เมื่อกี้หากเขาลังเลอีกนิดเดียว เกรงว่าหน่วยปืนกลคงยากที่จะถอยออกมาได้ ถึงแม้ในเวลานี้กองทัพที่หนึ่งจะเลิกยิงสกัดภายในซอยถนน แต่ปืนกลแม็กซิมทั้งสี่กระบอกยังอยู่ครบ พวกมันยังคงสกัดการบุกเข้ามาของปีศาจคุ้มคลั่งเอาไว้ได้อยู่
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าอันตรายได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าศัตรูเตรียมปีศาจแมงมุมเอาไว้กี่ตัวกันแน่ ถ้ามันมาอีก 2 ตัว…ไม่สิ ถ้ามันมาอีกแค่ตัวเดียว พวกเขาอาจจะยื้อเอาไว้ได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ ที่แย่กว่านั้นก็คือตรงท่าเรือยังมีชาวบ้านที่รออพยพอยู่อีกจำนวนมาก ทันทีที่ทุกคนตื่นกลัวและเสียระเบียบ อย่าว่าแต่ช่วยคนเลย แม้แต่จะกลับไปขึ้นเรือพวกเขาก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังควันกระจายหายไป ปีศาจก็ฉวยโอกาสนี้แห่เข้าไปในพื้นที่ที่ถูกระเบิดเมื่อครู่นี้
เสียงปืนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ตู้ม….!”
ในขณะที่ลุงแซงไม่รู้จะทำยังไง ด้านหลังเขาพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังสนั่นขึ้นมา ต่อให้กลับตาเขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่านั่นมันเป็นเสียงของอะไร สำหรับกองทัพที่หนึ่งแล้ว ท่วงทำนองของปืนใหญ่ป้อมขนาด 152 มม. เวลาที่มันพ่นกระสุนออกมานั้นคุ้นเคยสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งแนวยิงปืนใหญ่เอาไว้นี่นา!
เขาหันหน้ากลับไปอย่างตกใจ ก่อนจะเห็นเรือเหล็กลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามายังท่าเรือ ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหัวเรือหันปากกระบอกปืนตรงมาทางแนวป้องกัน
“นั่นมัน…เรือรบโรแลนด์!” เหล่าทหารจำเรือลำนั้นได้อย่างรวดเร็ว
“พวกเขาถอยกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“สนใจทำไมล่ะ พวกเรามีทัพหนุนมาช่วยแล้ว!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ กำจัดปีศาจพวกนี้ซะ!”
เสียงหวีดของกระสุนปืนใหญ่ลอยข้ามหัวเหล่าทหารไป ก่อนจะทยอยตกลงบนพื้น เสาควันที่ลอยขึ้นมาบางเสานั้นห่างจากหลุมเพลาะออกไปเพียงแค่ 10 กว่าเมตร เศษสะเก็ดระเบิดที่กระเด็นออกมาปักลงไปบนถุงทรายที่ตั้งเอาไว้ข้างหน้าหลุมเพลาะ เศษดินปลิวว่อนค่อยจะตกลงมาเหมือนสายฝนลงบนหัวเหล่าทหาร หากเป็นเวลาปกติ พวกเขาคงจะตะโกนด่ากองพันปืนใหญ่แล้วว่าตาบอดหรือเปล่า แต่ตอนนี้ภายในหลุมเพลาะกลับมีแต่เสียงชมเชย เสียงคำรามของปืนใหญ่ป้อมกลายเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในยามนี้
หรือว่า…ที่เนลไม่ยอมทิ้งผู้อพยพที่เหลือเหล่านั้น ก็เพราะว่าเขารอเวลานี้มาโดยตลอด?
ลุงแซงสังเกตเห็นผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายทยอยไปขึ้นเรือรบโรแลนด์ภายใต้การนำทางของเหล่าทหาร ดูแบบนี้แล้ว บนคนท่าเรือน่าจะขึ้นเรือได้หมด
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเนลไปขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนได้อย่างไร แต่ในเวลานี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสในการถอยที่ดีที่สุด
“ทุกคนฟัง ตอนนี้พวกเราจะไปที่ท่าเรือ” เขาตะโกนเสียงดัง “เดินตามกันไปทีละคน อย่าให้ตกหล่น! พอทุกคนออกไปแล้ว มือระเบิดรีบจุดระเบิดที่เหลือทันที!”
คำสั่งถูกท่ายทอดผ่านปากต่อปากจนกระจายครบทุกคน
การถอยครั้งสุดท้ายเริ่มต้นขึ้น
ปืนกลแม็กซิมกับกระสุนที่เหลือถูกทิ้งเอาไว้ที่เดิม ถึงแม้จะปวดใจ แต่ว่านี่คือคำสั่งของฝ่าบาท ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ความปลอดภัยของคนก็ล้วนแต่สำคัญกว่าอาวุธ ขอเพียงทหารยังอยู่ อาวุธก็สามารถสร้างออกมาใหม่ได้
หลังทุกคนเข้าไปยังท่าเรือ ปีศาจเองก็ยึดครองหลุมเพราะที่สองได้โดยมีปืนใหญ่คอยกระหน่ำยิงอยู่
แต่สิ่งที่รอคอยพวกมันอยู่เสียงระเบิดกัมปนาท
ระเบิดหนักหลายพันกิโลทำให้อาวุธที่ถูกทิ้งไว้และปีศาจคุ้มคลั่งสลายกลายเป็นผุยผง
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังคงหลงเหลือ เรือรบโรแลนด์เปิดหวูด ก่อนจะเร่งความเร็วออกไปจากท่าเรือของอาณาจักรทางเหนือที่กำลังพังพินาศแห่งนี้
…………………………………………………………………….
ตอนที่ 1244 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
โซอี้ยืนอยู่ตรงรั้วของสะพานเรือ สายตามองดูกลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงวุ่นวายอยู่บนดาดฟ้าเรือ เดิมเรือรบโรแลนด์นั้นมีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าอยากจะบรรทุกคนเกือบพันคนก็เรียกได้ว่าต้องยัดๆ เข้าไป ผลปรากฏว่าบนเรือไม่มีพื้นที่ว่างเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว แม้แต่พื้นที่ให้นั่งก็ไม่มี
บวกกับนี่เป็นการออกทะเลครั้งแรกของชาวบ้านหลายๆ คน น้ำทะเลที่กระเพื่อมขึ้นลงทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายตัว มีคนเวียนหัวและอาเจียนออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งพวกเขายืนเบียดเสียดกันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่เข้าไปใหญ่ ต่อให้เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง แต่พอถูกคนอาเจียนใส่หน้า เกรงว่าพวกเขาก็คงทนไม่ได้นานเท่าไร
เธอแอบรู้สึกโชคดีที่ร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์ไม่รับรู้กลิ่น
“คนธรรมดานี่อ่อนแอจริงๆ เลย…” ด้านหลังพลันมีเสียงแครอลดังขึ้นมา “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเรจะตัดสินใจทำแบบนี้”
“ใช่” โซอี้พยักหน้าเห็นด้วย
เธอย่อมต้องรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
หลังจากที่กัปตันเรือได้รับข้อความขอความช่วยเหลือ เขาก็มาแจ้งพวกเธอทันที เนื่องจากภารกิจของเรือรบโรแลนด์นั้นคือระบบตำแหน่งคร่าวๆ ของแหล่งแร่หินอาญาสิทธิ์ ดังนั้นปฏิบัติการทุกอย่างจึงให้โซอี้เป็นคนตัดสินใจ ตอนแรกบนเรือบรรทุกแกนเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินเอาไว้ด้วย แล้วพวกเธอก็ควรจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ยิ่งไปกว่านั้นตัวแกนเวทมนตร์ก็กินพื้นที่ด้านหลังของดาดฟ้าเรือไปจนหมด ต่อให้ไปแล้วก็บรรทุกคนมาไม่ได้เท่าไร เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เดิมเธอควรจะตอบปฏิเสธไป
หากเป็นยุคสมัยสมาพันธ์ แกนเวทมนตร์ที่ีมีจำนวนน้อยและไม่สามารถสร้างเลียนแบบขึ้นมาได้นั้นไม่อาจเอามาเปรียบกับคนธรรมดาได้เลย ต่อให้เลือกระหว่างเมืองหนึ่งเมืองกับแกนเวทมนตร์ เธอก็ไม่มีทางที่จะลังเลแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้เธอกกลับเกิดความลังเลขึ้นมา
หลังปรึกษากับเหล่าพี่น้องแล้ว สุดท้ายโซอี้จึงทำการตัดสินใจที่แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อออกมา
เธอเอาแกนเวทมนตร์ไปฝากไว้ที่เมืองท่าแห่งหนึ่งแล้วให้กองทัพที่หนึ่งคอยเฝ้าเอาไว้ ส่วนตัวเองกับเรือรบโรแลนด์จะกลับไปยังท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ เธอถึงขนาดกำชับกองทัพที่หนึ่งที่ประจำอยู่ที่เมืองนั้นไว้ว่าหากเรือลำนี้กลับมาไม่ตรงตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ก็ให้พวกเขารีบเอาแกนเวทมนตร์ส่งกลับไปยังเนเวอร์วินเทอร์
“แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา” แครอลยักไหล่ “บอกตามตรง พอคิดถึงว่าเจ้าอาจจะปฏิเสธ ข้ายังแอบรู้สึกกังวลใจเลย”
“หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงต้องผิดหวัง” โซอี้แสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
อะไรกันแน่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเพื่อนเธอไป? ภายในหัวเธอมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ลอยขึ้นมา กองทัพที่หนึ่งที่สู้กับปีศาจอย่างเอาเป็นเอาตายที่ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลา พยายามในหน่วยพยาบาลที่คอยดูแลเธอ คนธรรมดาในโลกแห่งความฝันที่ไม่ต่างอะไรจากแม่มดเหล่านั้น แล้วก็โรแลนด์ วิมเบิลดัน…
“นั่นสิ ขอให้มันคุ้มกับที่พวกเราเสี่ยงกลับมาถึงพื้นที่หมอกแดงนี่แล้วกัน” แครอลตบไหล่ของเธอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากสะพานเรือ “ไม่ว่ายังไง ภารกิจครั้งนี้ก็ถือว่าผ่านไปอย่างเรียบร้อย อยากจะกลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์เร็วๆ จัง พอคิดถึงหม้อไฟเสฉวน น้ำลายข้ามันก็ไหลออกมาทุกที…”
“อึก”
โซอี้แอบกลืนน้ำลาย ยังดีที่ตอนนี้แครอลปิดประตูไปแล้ว เธอยังไม่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเบาๆ นี้
เธอโยนความคิดฟุ้งซ่านไป ก่อนจะมองไปทางหมอกแดงที่พอจะเห็นได้ลางๆ ตรงเส้นขอบฟ้า
ในที่สุดสงครามแห่งโชคชะตาที่นำพาฝันร้ายมาให้สมาพันธ์เมื่อ 400 ปีก่อนก็กลับมาอีกครั้ง ถึงแม้มันจะเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก อีกทั้งความสามารถของปีศาจเองก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ใจของเธอกลับรู้สึกสงบกว่าที่คิดเอาไว้
เพราะครั้งนี้ พวกเธอไม่ได้สู้ตามลำพังอีกแล้ว
……
เฮคซอดลอยอยู่เหนือเมืองที่เพิ่งจะยึดมาได้
ไม่มีควันไฟ ไม่มีสงครามที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดูแล้วไม่เหมือนเมืองที่เพิ่งจะผ่านการโจมตีมาเลย
การป้องกันของมนุษย์ช่างอ่อนแอจริงๆ เรียกได้ว่าสู้เมื่อ 400 ปีก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่เป็นเพราะว่ามันเชื่อมั่นใจตัวอุรูค มันคงจะนึกว่าคนที่ยึดครองพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปนี้ไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นอาณาจักรซีสกาย
ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1 สัปดาห์ กองทัพของพวกมันก็ได้ขยายแนวรบออกไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร แถมยังสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นมาในพื้นที่ที่ละอองแห่งชีวิตยังปกคลุมไปไม่ถึงด้วย ที่ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ ลูกน้องของมันรายงานว่า พวกมันเพียงแค่ข่มขู่ผู้นำกับขุนนางเหล่านั้นเล็กน้อยเท่านั้น อย่างเช่นตัดหัวคนออกมาร้อยกว่าคน อีกฝ่ายก็หวาดกลัวจนประเคนทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ตามพวกมันต้องการ
และสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งไม่มีผิด
ดูเหมือนข่าวคราวที่มันบุกโจมตีปราสาทรีเฟลคสโนว์และเผาเมืองได้แพร่กระจายออกไปแล้ว อีกฝ่ายจึงรู้ดีว่าหากต่อต้านพวกตนมันจะกลายเป็นอย่างไร
หลังบุกยึดเมืองมาได้เมืองแล้วเมืองเล่า เฮคซอดก็ค่อยๆ ได้รับข้อมูลมาจากทางมนุษย์เยอะขึ้นเรื่อยๆ มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ที่ยังรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนในยุคสมัยสมาพันธ์ถึงได้แตกกระสายซ่านเซ็นในตอนนี้ เพียงแค่มุมๆ หนึ่งของทวีปกลับแบ่งออกเป็นถึงสี่อาณาจักร แถมชื่อที่เรียกก็ยังไม่เหมือนกันด้วย สมาพันธ์ที่เดิมเคยปกครองมนุษย์ก็สูญหายไปแล้ว
ในเวลา 400 กว่าปีมานี้ พวกเขาเอาเวลาไปทำอะไรอยู่?
จะบอกว่าไม่มีอาณาจักรที่แข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ มันก็เหมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่แม่ทัพอัจฉริยะที่มันเชื่อมั่นมากที่สุดก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือมนุษย์
หรือว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักพลังของการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน?
แต่ไม่ว่ายังไง ในที่สุดความกังวลภายในใจเฮคซอดก็หมดไปเสียที
ถึงแม้แผนการโจมตีทางตะวันตกจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นหลายอย่าง แต่สุดท้ายแผนการก็บรรลุได้ตรงตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ ตอนนี้หอคอยแห่งการให้กำเนิดได้ถูกกระตุ้นเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้ทำให้จักรพรรดิผิดหวัง
อย่างน้อยถ้าเทียบกับบลัดดีคองเคอเรอร์ที่ดีแต่เสียงดังกับเดอะแมสก์ที่เชื่อถือคำพูดไม่ค่อยได้ มันก็ยังรักษาสัญญาที่ว่าเอาไว้
เฮคซอดก้าวเข้าไปในประตูแห่งการบิดเบือน ก่อนจะกลับมาที่รอยแตกอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของแผนการกลืนกินอาณาจักรรุ่งอรุณ มันตัดสินใจที่จะตั้งชื่อเมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่แห่งนี้ว่า ‘สกาย’ เหมือนกับชื่อมัน และที่นี่จะต้องถูกเผ่าพันธุ์จารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง นายทหารคนสนิทก็ได้นำเอารายงานเข้ามาให้มัน
สกายลอร์ดพลิกดูรายงานผลการรบจากหน่วยต่างๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้มันรู้สึกสนใจ ทั่วทุกที่ในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นมีการอพยพขนาดใหญ่ ถ้าแค่แบบนี้ก็ยังไม่รู้สึกแปลกอะไร เพราะปกติต่อให้ไม่ไปทำอะไร พวกที่อพยพเหล่านั้นก็จะตายไประหว่างทางอยู่ดี
แต่การอพยพครั้งนี้เหมือนจะมีการจัดแจงวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า และทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็ล้วนแต่เป็นวูล์ฟฮาร์ทที่อยู่ทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการอพยพทั้งทางบกและทางน้ำ พวกมันพยายามจะเข้าไปสกัดพวกมนุษย์เหล่านั้น แต่พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ หากแต่ยังถูกอีกฝ่ายโจมตีกลับมาด้วย เรียกได้ว่าคล้ายๆ กับศัตรูที่อุรูคพูดถึงเลย
ถึงแม้หลายๆ หน่วยที่มีผู้ยกระดับเป็นผู้นำจะได้รับชัยชชนะ แต่ถ้าอยากจะสกัดพวกมนุษย์ให้ได้อย่างเด็ดขาด อาศัยเพียงกำลังพลที่มีอยู่ในตอนนี้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และนี่ก็เป็นขอเสียของการที่เลือกตั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดเอาไว้บนภูเขาสูง หากไม่มีความช่วยเหลือจากประตูแห่งการบิดเบือน ร่างระดับต้นและผู้ยกระดับระดับต้นก็จะไม่สามารถเข้าไปยังดินแดนของมนุษย์ด้วยพลังของตัวเองได้
มันขมวดคิ้วขึ้นมา “ไนท์แมร์ลอร์ดล่ะ?”
“ท่านลอร์ดยังแช่อยู่ในบ่อแห่งละอองชีวิตขอรับ ช่วงนี้ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย”
บ้าเอ้ย ที่มันสิบกว่าวันเข้าไปแล้ว เจ้านั่นคงไม่ใช่ว่าถูกโลกแห่งจิตสำนึกกลืนกินไปแล้วหรอกนะ?
เฮคซอร์ดเรียกประตูแห่งการบิดเบือนขึ้นมา ก่อนจะลงมายังชั้นล่างสุดของรอยแตก
มันเห็นวัลคีรีย์ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมเหมือนเมื่อตอนแรกสุด ข้าทั้งสองข้างนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ่อน้ำที่เปล่งประกายระยิบระยับ สีหน้าของมันยังคงดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีท่าทีของการดิ้นรนในตอนที่ถูกกลืนกินเลย นอกจากเวลาที่ยาวนานเกินไปแล้ว อย่างอื่นก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
นี่หมายความว่ามันยังคงมีสติและท่องไปในโลกแห่งจิตสำนึกอยู่
ถ้าอีกฝ่ายเป็นบลัดดี้คองเคอเรอร์ สกายลอร์ดคงจะจับอีกฝ่ายโยนออกไปจากบ่อแห่งละอองชีวิตแล้ว การฝืนบังคับให้ออกมาจากโลกแห่งความอาจจะทำให้ความทรงจำบางส่วนเสียหายไป แต่สำหรับบลัดดี้คองเคอเรอร์แล้วจะมีหรือไม่มีมันก็ไม่ต่างกัน แต่หากเป็นไนท์แมร์ มันกลับไม่กล้าทำเช่นนั้น
หลับตอนไหนไม่หลับ ทำไมต้องมาหลับตอนนี้ด้วย!
การอพยพของพวกมนุษย์ดูจงใจมากเกินไป ทำให้มันแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ปัญหาคือมันไม่สามารถไปพูดอธิบายให้จักรพรรดิฟังได้ เพราะตอนนี้ทางตะวันตกมีราชาประจำการอยู่ถึงสองตัวแล้ว จักรพรรดิไม่มีทางที่จะส่งราชามาอีกตัวเพื่อไล่ตามฆ่าแมลงพวกนั้นแน่ แค่มันเอาเรื่องนี้ไปพูดในหอเจ้าชีวิตก็คงจะถูกราชาตัวอื่นๆ หัวเราะเยาะเอาได้ แต่ความจริงแล้วมันได้พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะส่งกองกำลังออกไปบุกยึดเมืองของมนุษย์ ส่วนไนท์แมร์ก็เอาแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้โดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย นี่เท่ากับว่าทางตะวันตกนั้นไม่มีราชาให้ได้ใช้งานเลย นี่ทำให้ความสามารถในการไล่โจมตีระยะไกลของกองทัพปีศาจอ่อนแอลงไปมาก
ถ้าไนท์แมร์สามารถช่วยมันกำจัดมนุษย์ที่หลบหนีพวกนั้นได้ มันก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้
หลังจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ สุดท้ายเฮคซอร์ดจึงเดินออกไปจากบ่อแห่งละอองชีวิตอย่างจนปัญญา
ดูเหมือนทางตะวันตกคงได้แต่ต้องพึ่งมันอย่างเดียวแล้ว
…………………………………………………………..
ตอนที่ 1245 อพยพครั้งใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
อ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ไวท์ขับรถพาคนเข้ามาในเขตท่าเรือที่คึกคักเป็นพิเศษ
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ตอนนี้พวกเราได้มาถึงที่หมายแล้ว ไม่ว่าที่ผ่านมาพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนี้จะมีชีวิตใหม่รอพวกเจ้าอยู่ ข้าขออวยพรให้ทุกคนประสบแต่ความโชคดี แล้วก็อยากจะขอเสนอบริการพิเศษสุดท้ายให้กับพวกเจ้าทุกตน!” เขาดึงเชือกเพื่อให้ม้าผ่อนฝีเท้าลง อีกด้านหนึ่งก็พูดตะโกนขึ้นมา
ช่วงนี้ธุรกิจของเขากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี หลังจากที่เรือของเกรย์คาสเซิลเข้ามาเทียบท่า การค้าของอ่าวดีพพูลก็คึกคักขั้นมาทันที โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งในเส้นทางใกล้ๆ เขาแค่พาคนจากเมืองรอบๆ มาที่ท่าเรือก็สามารถหาเงินได้สิบกว่าเหรียญเงินแล้ว งานแบบนี้เขาสามารถทำได้อย่างน้อยก็วันละ 2 ครั้ง ถ้าไม่กลัวว่ารถม้าจะพัง ตอนกลางคืนก็สามารถพาคนมาอีกครั้งก็ได้ รายได้นั้นพอๆ กับตอนที่เคยทำงานให้กับศาสนจักรเลย
ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือเงินส่วนนี้ไม่ได้เรียกเก็บจากคนที่ขึ้นรถมา หากแต่ทางเกรย์คาสเซิลเป็นคนจ่ายให้ ขอเพียงประทับตราของทั้งสองที่ลงบนกระดาษ หลังจากผ่านด้านก็สามารถรับเงินค่าจ้างโดยนับจากจำนวนหัวได้เลย จ่ายสดทันที ไม่มีเบี้ยว
และก็เป็นเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ธุรกิจขนส่งคนขึ้นกลายเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ พวกลูกเรือจำนวนไม่น้อยต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจนี้ ต่อให้ขับรถม้าไม่เป็น แต่พวกเขาก็สามารถหาคนมาเป็นหุ้นส่วนได้ ทำให้คนที่ขับรถม้าไม่ต้องไปคอยหาคน พอไปถึงที่หมายก็รับคนขึ้นรถแล้วออกเดินทางได้เลย ประสิทธิภาพเรียกได้ว่าดีกว่าไม่มีคนช่วยอย่างมาก สิ่งเดียวที่ต้องคิดก่อนก็คือจะไปรับคนที่เมืองไหน เพราะค่าใช้จ่ายมันแปรผันตามระยะทาง
เกรย์คาสเซิลทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน ขอเพียงเต็มใจออกไปจากวูล์ฟฮาร์ท พวกเขาก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ราชาของเกรย์คาสเซิลนั้นเป็นตระกูลใหญ่และร่ำรวยอย่างมาก ไวท์จึงไม่อาจปล่อยโอกาสแบบนี้ไปง่ายๆ
เพราะไม่ว่าใครต่างก็รักเงินทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินข่าวลือว่าทางเหนือเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ชาวบ้านที่อพยพข้ามมายังวูล์ฟฮาร์ทเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวลือเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นข่าวลือเลื่อนลอยที่ไม่มีมูล นอกจากนี้เขายังได้ยินมาจากเจ้าฉลาดด้วยว่าบารอนจีน เบ็ตที่เป็นเจ้าเมืองของอ่าวดีพพูลได้สั่งให้คนใช้ทยอยคนข้าวของขึ้นเรือแล้ว ถ้าแม้แต่บารอนยังคิดจะหนี อย่างนั้นเขาก็ควรจะเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า
ตอนนี้หาเงินเยอะขึ้นหน่อย ต่อไปจะได้มีหนทางให้เลือกมากขึ้น
“บริการพิเศษแบบไหนเหรอ?” มีคนถามเขาขึ้นมา
“ประสบการณ์และคำเตือนบางอย่างที่มีประโยชน์” ไวท์ชี้ไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่แน่นขนัด “มองทางนั้นสิ ถึงแม้ทุกคนจะอยากไปเกรย์คาสเซิล แต่การเดินทางกลับไม่เหมือนกัน ข้าอยู่ที่อ่านดีพพูลแห่งนี้มาก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึงที่นี่ ทำให้ข้าได้ยินเรื่องบางเรื่องที่อาจจะเป็นประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ต่อการเดินทางหลังจากนี้พวกเจ้า”
“อย่างนั้น…เจ้าช่วยบอกพวกเราหน่อยสิ…”
“ได้แน่นอน แต่ก่อนอื่นพวกเจ้าต้องจ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ไม่เยอะ แค่หนึ่งเหรียญเงินเท่านั้น”
ไวท์รู้ดีว่าคนที่ไม่เหลืออะไรติดตัวนั้นไม่สนใจหรอกว่าเส้นทางข้างหน้าของตัวเองจะเป็นเช่นไร ขอเพียงมีข้าวให้กินก็พอ จะถามหรือไม่ถามก็ไม่ได้มีอะไรต่างกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเล็งเป้าหมายไปยังผู้อพยพที่พอจะมีเงินเก็บติดตัวอยู่บ้าง — พวกเขามักจะให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง อีกทั้งค่าใช้จ่ายไปสูง ขึ้นรถม้ามาก็ไม่ต้องจ่ายเลยแม้แต่เหรียญเดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหาถ้าจะจายเงินนิดหน่อยเพื่อซื้อข่าว
เพราะว่าในอดีตเขาก็เคยเป็นคนแบบนี้
“เหอะ ลูกไม้เก่าของพวกโจรใต้ดิน” ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวดูดีทำสีหน้าเสียดสีขึ้นมา “เสียดายที่ใจไม่กล้าเท่าพวกโจรใต้ดิน แค่ 1 เหรียญเงิน ให้เขาไป”
คนข้างๆ ชายคนนั้นควักเงินส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว
พาคนใช้มาด้วยเหรอเนี่ย ดูเหมือนจะเป็นขุนนางสินะ…ไวท์ยิ้มเอาอกเอาใจ แต่ภายในใจกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ถ้าตกต่ำถึงขนาดไม่มีรถม้า แล้วยังต้องมานั่งเบียดอยู่ในรถม้ากับชาวบ้านธรรมดา ต่อให้เป็นขุนนางมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
“…นี่คือส่วนของข้า” ชายหนุ่มอีกคนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะล้วงเอาเหรียญเงินออกมาจากในกระเป๋าหนึ่งเหรียญ
มีแค่สองคนเท่านั้นที่ยอมจ่ายเงิน ไวท์หยุดรถม้ารออยู่ครู่ เมื่อไม่เห็นใครพูดอะไรแล้วเขาจึงเตรียมจะเปิดประตูรถเพื่อให้ผู้โดยสารลง ยังไงซะมันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ก็คิดซะว่าเที่ยวนี้ขนคนมาเพิ่มสองคนแล้วกัน
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มคนนั้นกลับพูดกับคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าลงไปแล้วก็อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ เดี๋ยวข้าฟังข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปบอกพวกเจ้า ไม่คิดเงิน”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” ไวท์ทำหน้าเครียดทันที
“ข้าจ่ายเงินแล้ว” ชายหนุ่มพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าบอกข้ามันก็เรื่องหนึ่ง ข้าจะบอกคนอื่นหรือไม่มันก็อีกเรื่องหนึ่ง มีอะไรไม่ถูกเหรอ?”
“เจ้า…”
“บางทีเจ้าอาจจะนึกเสียใจ แต่เรื่องนี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้าเลย ต่อให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกให้คนที่ท่าเรือทุกคนรู้ มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนที่เจ้าจะพามาส่งหลังจากนี้ แต่ถ้าเจ้าไม่พูด เจ้าก็จะเสียเงินไป 1 เหรียญเงิน”
ฝีปากร้ายกาจ! ไวท์อ้าปาก แต่กลับพบว่าตัวเองไม่รู้ควรจะแย้งออกมาอย่างไร
“เจ้าโง่ เจ้าจะทำแบบนี้มันก็เรื่องของเจ้า แล้วเจ้าจะไปบอกเขาทำไม?” ขุนนางคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมต้องมาทำให้เสียเวลาด้วย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องผิดถูก ทำไมต้องปิดบังด้วย?” เด็กหนุ่มพูดตรงๆ “ข้าคิดว่าให้คนขับรู้ด้วย มันถึงจะยุติธรรม”
“ยุติธรรม?” ขุนนางมองเขาเหมือนมองดูคนโง่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับไวท์ “เฮ้ เจ้านี่มันจะทำอะไรข้าไม่สนใจ แต่เงินข้าจ่ายแล้ว เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?”
ไวท์ถลึงตามองดูชายหนุ่ม ก่อนจะต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายนั้นพูดถูก “เอาล่ะ คิดซะว่าข้าทำบุญซักครั้งแล้วกัน จริงๆ เลยเชียว…พวกเจ้าก็ไม่ต้องลงจากรถแล้ว นั่งฟังอยู่ที่นี่แหละ”
จากนั้นเขาก็บอกข้อมูลที่ตัวเองได้ยินมาให้ทุกคนได้ฟังอย่างคร่าวๆ อย่างเช่น เกรย์คาสเซิลให้ความสำคัญกับคนแบบไหน ตารางเวลาในการขึ้นเรือเพื่ออพยพ การต่อแถวและการลงทะเบียนต้องระวังเรื่องอะไร แล้วก็หลังจากไปถึงที่หมายแล้วต้องทำการตรวจสอบรอบที่สอง โดยเฉพาะเรื่องการเทียบข้อมูลที่ลงทะเบียนในตอนแรกกับข้อมูลที่ทำการตรวจสอบในรอบที่สองว่าตรงกันไหม ข้อมูลส่วนแรกนั้นขอเพียงเข้าไปในท่าเรือ คนพวกนี้ย่อมต้องได้ยินคำประกาศของกองทัพที่หนึ่งแน่นอน เขาเพียงแค่เอาส่วนสำคัญๆ มาพูดสรุปให้ฟังเท่านั้น แต่ข้อมูลส่วนหลังนั้นเป็นข้อมูลลับที่เขาได้มาตอนที่คุยเล่นกับพวกทหารของเกรย์คาสเซิล โดยคนเกรย์คาสเซิลบอกว่าการตรวจสอบรอบที่สองจะมีแม่มดเข้ามาร่วมการตรวจสอบด้วย ถ้าใครโกหกก็จะถูกลงโทษ หากข้อมูลที่ลงทะเบียนกับสถานะไม่ตรงกันก็จะถูกตีตราว่า ‘ไม่ซื่อสัตย์’ เอาไว้ ต่อไปถ้าอยากจะหางานทำก็จะเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้สถานะขุนนางไม่เพียงแต่จะไม่ได้ช่วยให้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่ถ้าไปพูดอยู่บ่อยๆ กลับจะยิ่งทำให้คนรู้สึกไม่ชอบได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือบอกไปเลยว่าอ่านออกเขียนได้ไหมหรือว่าถนัดทำอะไร เพราะขอเพียงอ่านออกเขียนได้หรือมีความถนัดในด้านใดซักอย่างก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องชีวิตหลังจากนี้
“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเตือน” ในตอนที่ลงจากรถ ชายหนุ่มเดินลงเป็นคนสุดท้าย “เจ้าช่วยให้ทุกคนเอาไว้ได้มากที่เดียว”
“เหอะ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ยังไงนั้นก็เป็นข้อมูลที่เจ้าใช้เงินซื้อไป” ไวท์จุดบุหรี่อย่างหงุดหงิด ก่อนจะสูบมันเข้าไป “คนพวกนั้นควรจะขอบคุณเจ้าถึงจะถูก เป็นไงล่ะ พอลงจากรถก็หายหัวไปเลย ข้าว่านะเจ้าหนุ่ม อย่าพยายามทำตัวเป็นคนดีนักเลย โดยเฉพาะข้างนอกนั่น…ไม่อย่างนั้นซักวันเจ้าจะเดือดร้อนเอาได้”
เพราะตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เขาไม่ได้รับอะไรกลับมาจากการเป็นคนดีเลย นอกจากขาปลอมเย็นๆ ข้างหนึ่ง
“ก็อาจจะใช่ แต่ว่านี่คือหน้าที่ที่อัศวินควรจะทำ”
“หา เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยเจออัศวินเหรอ? หรือเจ้าหมายถึงอัศวินอยู่บน ‘หนังสือโบราณ’ นั่น? พอเถอะ ครั้งล่าสุดที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ก็จากปากโจรใต้ดินในร้านเหล้าโน่น”
“การที่ทุกคนทำแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนี่นา”
“โอ้?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดเป็นจริงเป็นจัง ไวท์จึงเลิกคิ้วขึ้นมา “เจ้าเป็นอัศวินเหรอ?”
“เอ่อ..เปล่า ข้ายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง พ่อข้าเป็น แต่ว่าเขา…”
อย่างนี้นี่เอง เป็นพวกที่ได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ อีกคน แถมดูแล้วเหมือนจะตกต่ำกว่าเจ้าคนก่อนหน้าด้วย เขาโบกมือ “ข้าไม่สนใจเรื่องตระกูลของเจ้า เออใช่…เจ้าชื่ออะไร?”
อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้นมาทันที “แมนเฟล แคสตีน”
“เอาล่ะ คุณแคสตีน” ไวท์พ่นควันบุหรี่ออกมา ก่อนจะปีนกลับไปบนหลังม้า “ข้าจะบอกเจ้าอะไรให้เจ้ารู้อีกเรื่องแล้วล่ะ ตอนนี้เกรย์คาสเซิลไม่มีอัศวินแล้ว”
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1246 เรือที่ลงไปทางใต้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังรถม้าวิ่งออกไปแล้ว แมนเฟลพบว่าคนขับรถนั้นพูดถูก ไม่มีใครอยู่รอเขาแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างเดินจากไปจนหมด คนที่รอบๆ ล้วนแต่เป็นใบหน้าของคนแปลกหน้า
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอะไรนัก ที่เขาทำเรื่องพวกนั้นก็ไม่ได้เพราะต้องการคำขอบคุณ หากแต่เป็นเพราะเขาคิดว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
จากข้อมูลที่คนขับรถม้าให้มา แมนเฟลหาจุดลงทะเบียนของคนเกรย์คาสเซิลเจออย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วพื้นที่ตรงนั้นไม่เพียงแต่จะมีแผ่นป้ายปิดเอาไว้เต็มไปหมด แต่ยังมีคนมาคอยป่าวประกาศด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็น
ถึงแม้จะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ภายในพื้นที่กลับไม่มีความวุ่นวายเลย ราวเหล็กเป็นแท่งๆ แบ่งกลุ่มผู้อพยพออกเป็นแถวๆ ทับซ้อนกัน ทำให้ระยะทางจากปากทางเข้าไปจนถึงลงทะเบียนนั้นดูยาวขึ้นมาจากเดิมมาก แต่นี่ก็ให้ผู้อพยพได้แต่ต้องเดินหน้าไปตามทางที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น
พอถึงตาเขา ชาวเกรย์คาสเซิลที่แต่งตัวเหมือนทหารคนหนึ่งก็เริ่มซักถามเขา คนต่างแดนพวกนี้สวมชุดเครื่องแบบที่เหมือนกัน ทำให้แยกแยะได้ง่ายมาก
“ชื่ออะไร?”
“แมนเฟล แคสตีน”
“เป็นใครมาจากไหน มีประวัติความผิดอะไรไหม ถนัดอะไรบ้าง?”
คำถามของอีกฝ่ายนั้นเหมือนกับที่คนขับรถม้าบอกทุกอย่าง แมนเฟลตอบทุกอย่างไปตามความจริง จนกระทั่งถึงตอนที่เขากำลังจะอธิบายอย่างละเอียดว่าตัวเองถนัดอะไร พอเขาพูดออกไปว่า ‘อ่านออกเขียนได้’ ทหารคนนั้นก็รีบพูดตัดบทขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไปขึ้นเรือที่สะพานหมายเลข 6 นี่คือป้ายหมายเลขลงทะเบียนของเจ้า อย่าทำหายล่ะ คนต่อไป”
เขายังไม่ทันจะได้คิดอะไรก็ถูกดันออกไปจากแถว ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตท่าเรือ
เอ่อ…แค่นี้เหรอ?
หรือว่ามันจะเป็นเหมือนที่คนขับรถม้าบอกจริงๆ เพียงแค่รู้หนังสือก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเกรย์คาสเซิลได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตรงโต๊ะลงทะเบียน เหมือนไม่ว่าจะดึงชาวเกรย์คาสเซิลคนไหนมา ทุกคนก็อ่านออกเขียนได้กันหมดเลย? ตอนที่ต่อแถวแมนเฟลสังเกตเห็นว่าคนที่จดบันทึกนั้นทำการผลัดเปลี่ยนคนตั้งหลายรอบ บางครั้งทหารที่คอยดูแลแถวก็ยังมารับหน้าที่ลงทะเบียนให้ชั่วคราว ดูแล้วก็เหมือนไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
นี่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างงุนงง
ยิ่งไปกว่านั้นป้ายโลหะที่ชาวเกรย์คาสเซิลให้เขามานี้ก็เหมือนจะเอาไว้ทำอะไรซักอย่าง มันเป็นป้ายเหล็ก ปลายด้านหนึ่งเจาะรูแล้วมีเชือกห้อยเอาไว้อยู่ ดูแล้วเหมือนจะเอามาห้อยเป็นสร้อยคอได้ บนป้ายมีสัญลักษณ์แกะสลักเอาไว้ น่าจะมีความเกี่ยวของกับหมายเลขตอนที่เขาลงทะเบียน แผ่นป้ายโลหะเล็กๆ แบบนี้ ถ้าไปให้ช่างเหล็กทำก็เสียค่าใช้จ่ายแค่ไม่เท่าไร แต่ถ้าต้องทำมาแจกจ่ายให้กับผู้อพยพแบบนี้ นั่นมันเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
ในดินแดนของตระกูลแคสตีนนั้นมีร้านตีเหล็กอยู่ เขาย่อมต้องรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ป้ายเหล็กชิ้นหนึ่งแบบนี้สามารถใช้เศษเหล็กเหลือๆ มาทำได้ แต่ถ้าต้องทำร้อยชิ้นหรือพันชั้นนั้นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สัญลักษณ์ที่อยู่บนป้ายใช้เวลาทำครึ่งวันก็เสร็จแล้ว แต่ถ้าต้องทำมันซ้ำๆ เป็นร้อยรอบพันรอบ เวลาที่ต้องใช้ก็จะยาวนานอย่างมาก
แต่คนที่อยู่ตรงถ้าเรือมันไม่ได้มีแค่พันคนน่ะสิ
ถ้าที่ท่าเรือดีพพูลมีผู้อพยพจำนวนมากแบบนี้ทุกคน จะบอกว่ามีผู้อพยพเป็นหมื่นคนก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ! แล้วนี่ยังต้องมาเตรียมป้ายลงทะเบียนให้ผู้อพยพทุกคนอีก? วัตถุดิบและเวลาที่ต้องใช้ทำป้ายเหล็กเหล่านี้ขึ้นมานั้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ เกรงว่าต่อให้เกณฑ์เอาช่างเหล็กจากทั่วทั้งวูล์ฟฮาร์ทมาก็ไม่มีทางที่จะทำได้
เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารับรู้สึกความร่ำรวยและความมั่งคั่งของเกรย์คาสเซิลแล้ว
ทั้งที่จริงเมื่อก่อนนี้หากพูดถึงความร่ำรวย มันควรจะเป็นอาณาจักรดอว์นถึงจะถูก
แมนเฟลพกเอาความรู้สึกทอดถอนใจนี้เดินไปขึ้นเรือใบสามเสาลำหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความถนัดของเขาหรือเปล่า เขาจึงถูกให้มาพักอยู่ในห้องโดยสารที่นอนได้สิบคน เทียบกับตอนแรกที่คิดเอาไว้ต้องนอนในที่เก็บสินค้าแล้วถือว่าดีกว่ามาก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ภายในห้องโดยสารก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวจนทำให้เขายากที่จะยอมรับได้ ต่อให้ครอบครัวจะตกต่ำแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ยังมีห้องนอนสบายๆ ให้นอน
ด้วยเหตุนี้ยังอยู่ในห้องไปได้ครู่เดียว เขาจึงจำใจต้องเดินออกมา ในขณะที่กำลังคิดจะเดินขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือ แมนเฟลพลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือดังแว่วๆ ขึ้นมา
เหมือนว่ามันจะดังมาจากปลายสุดของทางเดิน
ในเวลานี้ไม่ค่อยมีคนอยู่บนเรือ ลูกเรือต่างกำลังทำงานอยู่ด้านบน ชั้นห้องโดยสารทั้งชั้นจึงเหมือนจะไม่มีใครอยู่เลย นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกนี้
แมนเฟลเดินตามเสียงไปอย่างไม่ลังเล
ปลายสุดของทางเดินเป็นห้องเก็บของที่ถูกปิดเอาไว้ นอกจากลูกเรือแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครที่จะเดินมาที่นี่ เขาเอาหูไปแนบที่ประตู ก่อนจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแปลกๆ จริงๆ เหมือนกับว่ามีคนกำลังดิ้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เขาตัดสินใจถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกระแทกประตูจนเปิดออก
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้แมนเฟลตกตะลึง
ผู้ชายที่ยืนอยู่ในห้องเก็บของนั้นคือขุุนนางวัยกลางคนบนรถม้าที่หัวเราะเยาะว่าเขาโง่คนนั้น ลูกน้องของเขาสองคนกำลังจับผู้หญิงสองคนกดลงไปที่พื้น แล้วก็พยายามที่จะมัดมือมัดเท้าของพวกเธอ ในปากของผู้หญิงมีผ้าอุดเอาไว้ พวกเธอจึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเธอถูกบังคับพามาที่นี่
“โอ้? เจ้าโง่ที่พยายามจะทำตัวเองคนดีนั้นเอง?” ขุนนางพูดอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเองก็น่าจะเป็นขุนนางใช่ไหมล่ะ? ข้าชื่อมิก คินลีย์ เจ้าล่ะ?”
“แมนเฟล แคสตีน” นี่เป็นรอบที่สามของวันนี้แล้วที่เขาต้องแจ้งชื่อของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสังเกตเห็นได้ด้วยในตอนที่เขาพูดสถานะของตัวเองออกไป สายตาที่เพิ่งจะมีความหวังเปล่งประกายขึ้นมาของหญิงสาวพลันมืดดับลง แม้แต่แรงต้านเองก็น้อยลงไปมาก
“แคสตีนเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” อีกฝ่ายยักไหล่ “แต่ก็ถือว่าเจ้าโชคดีล่ะนะ ในเมื่อมาเจอแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะให้เจ้าสนุกด้วย แต่ว่าต้องต่อจากข้านะ”
“ปล่อยพวกนางซะ” แมนเฟลพูดเสียงเข้ม
“หา?” มิก คินลีย์หรี่ตา “สมองเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า? หรือไหมว่าพวกนางเป็นใคร? เป็นทาส! แถมยังเป็นทาสที่ถูกหลายๆ คนเล่นสนุกมาแล้วด้วย ตอนแรกข้านึกว่าตัวเองดูผิดไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอนางสองตัวนี้บนเรือ จากที่ข้ารู้มา เจ้านายของพวกนางไม่มีทางปล่อยพวกนางมาแน่ อย่างนั้นเรื่องราวมันก็ง่ายมาก นั้นคือพวกนางแอบหนีออกมาเอง แบบนี้แล้ว เจ้ายังจะปกป้องพวกนางอยู่อีกเหรอ?”
ทาสหลบหนีถือเป็นทาสชั้นต่ำที่สุดในบรรดาทาส พวกเขาแทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานเลย ไม่ว่าพวกขุนนางจะทำอะไรกับพวกเขาก็ล้วนแต่ไม่มีความผิด
แต่มันก็เหมือนกับที่เขาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
‘การที่ทุกคนทำแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนี่นา’
“จุดหมายของเรือลำนี้คือเกรย์คาสเซิลใช่ไหม?”
“…เจ้าอยากจะพูดอะไร?” มิก คินลีย์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าคิดว่าเจ้าของได้ยินคำประกาศของเกรย์คาสเซิลแล้ว ราชวงศ์วิมเบิลดันได้ยกเลิกระบบทาสไปแล้ว ดังนั้นนับตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนี้ พวกนางก็ไม่ใช่ทาสอีกต่อไป” แมนเฟลพูดอย่างไม่ลังเล “ยิ่งไปกว่านั้นอย่าลืมซะล่ะว่าหลังลงไปจากเรือจะมีการตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งในนั้นรวมไปถึงประวัติการทำความผิดด้วย ถ้าข้าพูดออกไป เจ้าคิดว่าคนเกรย์คาสเซิลจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไหม?”
“แล้วถ้าข้าจะทำต่อล่ะ?” อีกฝ่ายกัดฟันถามออกมา
“อย่างนั้นเอาชนะข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยกว่ากัน” แมนเฟลถลกแขนเสื้อขึ้น “ข้าเป็นอัศ….”
เขายังไม่ทันพูดจบ มิก คินลีย์ก็ปรี่เข้ามาหาเขาแล้ว
…..
การต่อสู้รู้ผลแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว
คนใช้ของอีกฝ่ายนั้นเคยฝึกการต่อสู้มาก่อน ภายในห้องเก็บของที่คับแคบ แมนเฟลทนสู้ไม่ถึงสิบหมัดก็โดนเล่นงานจนตอบโต้ไม่ได้แล้ว ในตอนที่เขาล้มลงไปกองกับพื้น มิก คินลีย์ก็ไม่ลืมที่จะเตะเขาอีกสองที
“มีฝีมือแค่นี้แล้วยังจะกล้ามาอวดดี? ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งเหมือนปากเสียอีก” ขุนนางวัยกลางคนถ่มน้ำลายใส่เขา “แม่งเอ้ย ทำเอาข้าหมดสนุกเลย ในเมื่อเจ้าชอบปกป้องนังขยะสองตัวนี้มากนัก อย่างนั้นเจ้าก็เอาไปเลย แต่อย่าลืมซะล่ะ ทาสยังไงมันก็เป็นทาส ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกัน! ซวยจริงๆ เลยที่ต้องมาเจอไอโง่แบบนี้ พวกเราไป!”
ประตูห้องถูกปิดลง ภายในห้องเก็บของที่คับแคบเหลือเพียงแค่คนสามคนที่ขยับเขยื้อนไม่ได้
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1247 หัวใจของอัศวิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แมนเฟลใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะฟื้นขึ้นมาจากความมึนงง
ดวงตาของเขาพร่ามัว บนใบหน้าเจ็บปวด อยากจะลืมแต่ก็ยังทำได้ยากลำบาก
บ้าเอ้ย ไหนบอกว่าการต่อสู้ระหว่างขุนนางจะไม่ต่อยหน้าไง?
หลังพยายามอยู่นาน เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง แล้วค่อยๆ คลานเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังหวาดกลัวสองคนนั้นแล้วดึงเอาผ้าออกมาจากปากพวกเธอ “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวข้าพักแปบแล้วจะแก้มัดให้พวกเจ้า”
ทั้งสองคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกเธอได้แต่พยักหน้าเบาๆ
ครั้งนี้เขาพักอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะรวบรวมแรงไปแก้มัดเชือกให้ “เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว ระวังอย่าให้ถูกเจ้าคนนั้นมันจับได้อีกล่ะ…”
เจ้าคนนั้นมันคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ พอเรือขนคนเต็มแล้วออกจากฝั่ง ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็น่าจะมีแต่ผู้อพยพ เขาคงจะไม่มีความกล้าพอที่จะทำเรื่องพวกนี้ต่อหน้าทุกคน
หญิงสาวที่ถูกแก้มัดเดินอ้อมตัวเขาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องเก็บของไป เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบค่อยๆ ห่างออกไป สุดท้ายก็เหลือแต่เพียงความเงียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย แม้แต่คำว่าขอบคุณ
แมนเฟลนั่งพิงกำแพงพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ภายในหัวจู่ๆ ก็มีคำพูดของคนขับรถม้าดังขึ้นมา
‘ข้าว่านะเจ้าหนุ่ม อย่าพยายามทำตัวเป็นคนดีนักเลย โดยเฉพาะข้างนอกนั่น…ไม่อย่างนั้นซักวันเจ้าจะเดือดร้อนเอาได้’
เขาส่ายหัวโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป
เขาชินกับเรื่องแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เขาหวังแต่เพียงว่าตัวเองจะกลับไปยังห้องโดยสารได้ก่อนที่เรือจะออกจากท่า จะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งที่นอนไป
ทันใดนั้นเอง แมนเฟลพลันได้สินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ อีกครั้ง เสียง ‘เอี๊ยดๆ’ ของแผ่นไม้ค่อยๆ เข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
เวรล่ะ เจ้ามิก คินลีย์นั้นมันยังต่อยไม่พออีกเหรอ?
เสียงฝีเทาดังมาอยู่ที่หน้าประตูห้องเก็บของ จากนั้นประตูก็ถูกเปิดแง้มๆ ก่อนจะมีหัวคนโผล่เข้ามาหัวหนึ่ง
แมนเฟลงุนงง คนที่มาคือหนึ่งในหญิงสาวสองคนนั้น
หลังจากที่ประตูถูกเปิดออก เขาถึงได้พบว่าหญิงสาวทั้งสองคนต่างอยู่กันครบ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังหิ้วถังน้ำเดินเข้ามาอย่างยากลำบาก เหมือนกำลังเธอกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งถังน้ำถูกเอามาวางไว้หน้าเขา เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านในนั้นใส่น้ำสะอาดเอาไว้จนเต็มถัง
“พวกเจ้า…”
หญิงสาวคนหนึ่งหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา หลังจากจุ่มน้ำเสร็จก็เอามาเช็ดคราบเลือดบนหน้าเขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขอโทษขอโพยไม่หยุด “ขะ ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เจ้าต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ตอนนั้นพวกเรากลัวจริงๆ ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป…เพราะว่า เพราะว่า…เจ้าบอกว่าตัวเองก็เป็นขุนนางเหมือนกัน”
แมนเฟลหัวเราะออกมาเบาๆ
ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บไปทั้งตัว แต่เขาก็ไม่อยากจะควบคุมสีหน้าของตัวเอง
“เอ่อ เจ้าหัวเราะอะไร…”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาพูดตัดบทอีกฝ่าย “นับตั้งแต่ที่ขึ้นเรือลำนี้มา มันก็ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทาสกับขุนนางอีกเพราะว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลได้ยกเลิกสถานะทาสไปแล้ว แล้วก็ริบเอาอำนาจขุนนางทั้งหมดไปด้วย พูดอีกอย่างก็คือพวกเราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน”
ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าแมนเฟลจะไม่รู้เรื่องที่เกรย์คาสเซิลไม่มีอัศวินแล้ว พ่อค้าที่เดินทางไปมาในแต่ละที่ได้นำเอาข่าวนี้กลับมาป่าวประกาศถึงอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทตั้งนานแล้ว ในสายตาของขุนนางส่วนใหญ่ นี่เป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกสนใจตระกูลวิมเบิลดัน
หลังจากที่ครอบครัวตกต่ำ ภายในใจเขาก็มีคำถามหนึ่งวนเวียนอยู่ตลอด นั่นคืออัศวินคืออะไรกันแน่?
ตอนที่พ่อเขายังอยู่ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย เขาคิดมาตลอดว่าช้าเร็วสุดท้ายเขาก็ต้องรับสืบทอดตำแหน่งนี้จากพ่อของเขา แต่ในตอนที่ แต่ในตอนที่ดินแดนของเขาค่อยๆ สูญเสียอำนาจและถูกกลืนกินไป แมนเฟลพบว่าเรื่องราวมันไม่เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ ผู้นำของใหม่ไม่มองเขาอยู่ในสายตา แต่พวกที่ไม่มีคุณสมบัติดีพอกลับกลายเป็นใหญ่เป็นโต ตัวเขานอกจากชื่อสกุลแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ตามที่หนังสือโบราณเขียนเอาไว้ เหล่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกได้เลือกเอาคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดขึ้นมาเป็นราชา จากนั้นราชาค่อยมอบตำแหน่งให้กับผู้กล้าที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เพื่อมาปกป้องอาณาจักรและประชาชนด้วยกัน ซึ่งนี่คือที่มาของตำแหน่งของพวกขุนนาง ส่วนอัศวินที่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับคนระดับล่างมากที่สุด ก็ควรจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเมตตา ขณะเดียวกันก็มีความยุติธรรมและความซื่อสัตย์ถึงจะทำให้ดินแดนเจริญรุ่งเรืองได้
และก็เป็นเพราะว่าคนทั่วๆ ไปไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ พวกเขาถึงได้ยิ่งสูงส่ง
ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แมนเซลอยากจะเป็นมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีดินแดนแล้ว อัศวินจะต่างกับคนธรรมดาอย่างไร สิ่งที่แสดงถึงความสูงส่งของพวกเขานั้นคือจิตใจที่ไม่ธรรมดาของพวกเขาหรือว่าชื่อตำแหน่งนำหน้ากันแน่?
ในการต่อสู้กันระหว่างอำนาจกับผลประโยชน์ ดินแดนของเหล่าผู้ปกครองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ในบรรดาคนที่เขารู้จัก คนที่อ่อนแอปวกเปียกสามารถเป็นอัศวินได้ คนโง่สามารถเป็นอัศวินได้ แต่เขาซึ่งไม่มีที่ดินกลับเป็นไม่ได้ นี่ทำให้เขาเกิดความสงสัยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘อัศวิน’
ถึงแม้หลังตระกูลตกต่ำลงเขาจะถูกทรมานต่างๆ นาๆ แต่เป้าหมายของแมนเฟลก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เรียกได้ว่าเขามีความคิดที่จะไปยังเกรย์คาสเซิลตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ขาดอยู่ก็คือค่าเดินทาง ตอนนี้คนของเกรย์คาสเซิลเข้ามาถึงวูล์ฟฮาร์ทเพื่ออพยพชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ เขาจึงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป
เขาอยากจะรู้ว่าในดินแดนที่ไม่มีขุนนาง เขายังจะกลายเป็นอัศวินได้หรือเปล่า
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาที่ว่า ‘พวกเราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน’ สีหน้าของผู้หญิงสองคนนั้นก็ดูผ่อนคลายลง “เป็นแบบนั้น…จริงๆ เหรอ?”
“ตอนที่ข่าวนี้แพร่กระจายในหมู่ขุนนางเมื่อหลายเดือนก่อน พวกตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างเกลียดชังวิมเบิลดัน แล้วก็บอกว่าเขาเป็นปีศาจที่มาจากนรก” แมนเฟลพยายามออกแรงยิ้ม “แต่ตอนนี้ เกรงว่าพวกเขาคงต้องวิ่งไปหาปีศาจที่น่ากลัวคนนั้นแล้วล่ะ”
คนที่เช็ดตัวให้เขานิ่งเงียบไปครู่ “ทำไมเจ้าถึงช่วยพวกเรา? หรือเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกขุนนางคนนั้น…”
“เขาไม่กล้าฆ่าข้าหรอก เพราะว่าข้าเตือนเขาไปแล้ว” แมนเฟลส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าคนเกรย์คาสเซิลทำการตรวจสอบอย่างแต่ แต่ข้าได้ยินว่าจะมีแม่มดเข้ามาร่วมการตรวจสอบด้วย ไม่มีทางที่จะพูดโกหกได้ ต่อให้เขาไม่คิดว่าการรังแกพวกเจ้าเป็นสิ่งที่ผิด แต่การฆ่าขุนนางนั้นมันเป็นโทษที่ไม่อาจมองข้ามได้อย่างแน่นอน เขารู้เรื่องนี้ดี”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หอบหายใจขึ้นมาทีหนึ่ง “เออใช่ ข้าชื่อแมนเฟล แคนตีน พวกเจ้าล่ะ?”
น่าตลกจริงๆ นี่เป็นครั้งที่สี่ของวันนี้แล้วสินะที่เขาบอกชื่อของตัวเอง
“ข้าชื่อไทเลน” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาๆ “นางชื่อโมโม่” เธอชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังติดใจอะไรบางอย่างอยู่ “ขุนนางคนนั้นพูดถูก พวกเราเคยถูกขายให้….”
“ข้าบอกแล้วไง นั้นมันเป็นเรื่องก่อนที่ขึ้นเรือ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร” แมนเฟลโบกมือ “ก็เหมือนกับที่คนขับรถม้าที่ส่งข้ามาที่นี่พูดเอาไว้ ไม่ว่าเมื่อก่อนนี้จะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนี้จะมีชีวิตใหม่รอพวกเราอยู่ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีทางตัดสินใจออกมาจากวูล์ฟฮาร์ทเพื่อไปยังดินแดนแปลกหน้าที่อยู่ไกลแสนไกลใช่ไหมล่ะ?”
“อูววววว…….”
ในเวลานี้ เสียงหวูดยาวๆ ได้ดังขึ้นมา
ใกล้ได้เวลาออกเรือแล้ว
“กลับไปเถอะ ถ้าถูกคนอื่นแย่งที่จะยุ่งเอาได้” เขาฝืนยันตัวขึ้นมา ถึงแม้ร่างกายจะยังเจ็บปวดอยู่ แต่เขาก็ยังพอฝืนเดินกลับไปที่ห้องโดยได้สาร “ข้าก็เหมือนกัน ระยะทางไกลขนาดนี้ ข้าก็ไม่อยากจะมานอนอยู่ในห้องเก็บของหรอก”
ผู้หญิงทั้งสองคนสบตากัน หลังจากลังเลอยู่ครู่ ไทเลนจึงล้วงเอายาเม็ดสีขาวออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้เขา
“นี่คือ…”
“ยาที่ช่วยชะลออาการปวดได้” ไทเลนพูด “ถ้าท่านเจ็บมากจนทนไม่ไหวก็เอามันมาเลียๆ หรือไม่ก็หักมันออกมานิดนึงแล้วกินเข้าไป แต่จำเอาไว้ว่าอย่ากินเยอะ เพราะว่ามันแค่ชะลออาการเจ็บปวด แต่ไม่สามารถทำให้พวกมันหายไปได้”
แมนเฟลรับเอายามาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ชะลอแต่ไม่ใด้หยุดความเจ็บปวด บนโลกนี้มียาวิเศษแบบนี้ด้วยเหรอ?
ไทเลนกับโมโม่ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พวกเธอหิ้วถังน้ำออกไปจากห้องเก็บของ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองคนกลับหยุดเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ก่อนจะโค้งตัวให้เขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ ท่านแคสตีน”
แมนเฟลถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันซักหน่อย ใช่ไหมล่ะ?
แค่นี้ก็พอแล้ว
เขามองดูยาที่อยู่ในมืออยู่ครู่ ก่อนจะลองเอามันมาเลียดู
รสหวานเฝื่อนๆ แผ่กระจายผ่านปลายลิ้นเข้าไปในปาก
น่าจะเป็นยา…ที่ปั้นขึ้นมาจากแป้งข้าวสาลีล่ะมั้ง? หรือไม่ก็เติมน้ำผึ้งลงไปหน่อย
หรือไม่ก็เป็นของที่พวกเธอแอบขโมยมาจากขุนนางที่ซื้อพวกเธอมาเท่านั้น
แต่ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
แค่พริบตานั้นเอง ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายเขาพลันหายไป เหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกต่อยมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น