Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1234-1237

 ตอนที่ 1234 โลกแปลกหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ใช่แล้ว ถูกขัง


วัลคีรีย์ค่อยๆ นึกขึ้นมาได้ ในตอนที่มันกำลังไล่ตามคลื่นกระเพื่อมที่เหมือนมีเหมือนไม่มีอยู่นั้น มันก็ดำดิ่งลงไปด้านล่างของโลกแห่งจิตสำนึก ยิ่งดำก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านเส้นแบ่งชั้นบนกับชั้นล่าง จิตสำนึกของมันก็จะยากที่ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่เพียงแต่จะต้องต้านทานความวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามา แต่ว่ามันยังต้องออกแรงต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เหมือนกับว่าตัวมันกำลังดิ้นรนอยู่ในโคลนตมอย่างไรอย่างนั้น


มันเพิ่งจะเคยเข้ามาในส่วนที่ลึกขนาดนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงระมัดระวังในทุกๆ การเคลื่อนไหว เพราะหากสูญเสียทิศทางไป มันคงจะต้องหลงทางและหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ ถ้าไม่เป็นเพราะสัมผัสที่มันรับรู้ได้ถึงคลื่นกระเพื่อมนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันก็อยากตัดการเชื่อมต่อแล้วออกไปจากโลกจิตสำนึกเหมือนกัน


เพราะว่าพิกัดของจุดกำเนิดคลื่นกระเพื่อมนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องหาปากทางเข้าเจอแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น


ทว่าสุดท้ายมันก็ตัดสินใจที่จะอดทนอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกต่ออีกหน่อย


เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะท่าทีที่เหมือนจะไม่พอใจของเฮคซอดที่เห็นมันนอนแช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตทั้งวัน โดยเฉพาะในตอนที่ปลูกหอคอยแห่งการให้กำเนิดสำเร็จแล้วโดยที่มนุษย์ยังไม่รู้ตัว


สองคือมันอยากจะรู้ให้ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการสืบทอดหรือไม่


วัลคีรีย์คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่มันกำลังเข้าใกล้จุดกำเนิดแรงกระเพื่อม จู่ๆ โลกแห่งจิตสำนึกก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าจู่ๆ โคลนตมก็เปลี่ยนเป็นน้ำตก หรือไม่ก็พื้นที่อยู่ใต้เท้าของมันจู่ๆ ก็มีรอยแตกขนาดใหญ่เกิดขึ้นจนทำให้มันร่วงตกลงไปยังชั้นล่างโดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรน พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่นี้แล้ว


ที่นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตัวผู้คนนั้นหรือไม่นั้น มันกลับไม่แน่ใจเหมือนกัน


เมื่อมองผ่านมุมหนึ่งของหน้าต่างออกไป วัลคีรีย์มองเห็นเมืองที่กว้างใหญ่อย่างมากแห่งหนึ่ง ทุกที่ล้วนแต่มีตึกสูงที่สูงกว่าหอคอยแห่งการให้กำเนิดอยู่เต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังไกลสุดลูกหูลูกตาด้วย แม้แต่ ‘หอเจ้าชีวิต’ ของจักรพรรดิก็ยังดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า


อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้มันสงสัยคือถ้าที่นี่เป็นดินแดนที่มนุษย์ตัวผู้คนนั้นสร้างขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายก็น่าจะสัมผัสได้ถึงตัวมันทันทีที่มันเข้ามาแล้ว เพราะผู้สร้างดินแดนคือผู้ที่มีพลังยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดน อีกทั้งมันยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมนุษย์ด้วย อีกฝ่ายไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่ พูดในอีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าจิตสำนึกของแม่มดคนหนึ่งหลุดเข้ามาในหอเจ้าชีวิตโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าจิตสำนึกของอีกฝ่ายคงต้องตายสถานเดียว


แต่ปัญหาอยู่ที่ถ้าที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตัวผู้คนนั้น อย่างนั้นมันคือที่ไหน?


ในตอนที่แรงสั่นสะเทือนส่งออกมา มันแน่ใจว่ามันอยู่เหนือจุดกำเนิดของคลื่นกระเพื่อมนั้น นอกเสียจากว่ามันจะมาผิดทางตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นมันก็คิดถึงความเป็นไปได้อื่นไม่ออก


วัลคีรีย์ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายมันจึงตัดใจเลิกคิดเรื่องนี้ ในเมื่อไม่มีคำตอบ อย่างนั้นคิดต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ในสภาพแวดล้อมแปลกหน้านี้ มันควรจะรีบทำความเคยชินกับร่างใหม่ให้เร็วที่สุดถึงจะมีโอกาสหลุดออกไปจากที่นี่ได้


มีจุดหนึ่งที่มันสามารถมั่นใจได้ นั่นคือร่างใหม่ของมันอ่อนแอกว่าร่างเก่าอย่างมาก บาดแผลที่ขาทั้งสองข้างยังไม่ฟื้นตัว พลังในการรักษาตัวเองลดต่ำลง บวกกับบาเรียเวทมนตร์ที่ไม่สามารถใช้ได้ มันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไม่มีเกราะปกป้องมาเป็นเวลานานแล้ว เหมือนว่ามันได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงแรกของพิธียกระดับ นั่นเป็นช่วงที่ไม่ว่าใครก็สามารถเล่นงานมันได้สบายๆ


แต่ที่โชคดีก็คือมันยังสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้อยู่ แล้วก็เป็นพลังที่ไม่ธรรมดาซะด้วย เรียกได้ว่าพอๆ กับแม่มดอมนุษย์เลย


ในขณะที่วัลคีรีย์กำลังตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเอง ด้านนอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา


จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก มนุษย์สองคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


มันแทบจะอยากบินออกไปฉีกร่างกายอีกฝ่ายให้ขาดออกเป็นสองท่อน แต่สุดท้ายมันก็สะกดความวู่วามนั้นไว้


นี่ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง!


มันเตือนตัวเอง ในตอนที่มันสลบไปตอนแรกก็เหมือนจะเป็นมนุษย์นี่แหละที่ช่วยเหลือมันเอาไว้


บางทีในจิตสำนึกของคนพวกนี้อาจจะไม่ได้มีคำว่า ‘ปีศาจ’ อยู่ก็ได้ ถ้าหากมันทำอะไรวู่วามไป มันอาจจะกลายเป็นการเปิดเผยตัวเองเสียเปล่าๆ


“สีหน้าดูดีมากเลยนะคะ คุณวัลคีรีย์” มนุษย์ตัวเมียเปิดผ้าห่มออกพร้อมกับตรวจดูขาทั้งสองข้างที่ถูกมัดเอาไว้แน่นของมัน “สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์…ถูกคานใหญ่ขนาดนั้นหล่นลงมาทับ กระดูกยังไม่เป็นอะไร ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน เกรงว่าขาทั้งสองข้างคงถูกทับจนเละแล้วค่ะ”


“มีใครที่ไหนเขาพูดแบบนี้ต่อหน้าคนไข้บ้างเนี่ย?” ตัวผู้ถลึงตาใส่ตัวเมีย จากนั้นจึงมองมาทางมัน “ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ เรียกผมหมอเกาก็ได้ครับ ดูจากผลเอกซเรย์แล้ว อาการบาดเจ็บของคุณไม่มีปัญหาอะไร วางใจได้ ขอเพียงรักษาตัวให้ดี คุณก็ยังลงแข่งประลองยุทธ์หลังจากนี้ได้ ถ้ามีตรงไหนรู้สึกไม่สบายก็บอกผมได้นะครับ”


วัลคีรีย์ส่ายหัว


มันฟังคำพูดกว่าครึ่งของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ วิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือพูดให้น้อยที่สุด


ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสังเกตเห็นว่าท่าทีของมนุษย์เหล่านี้ดูเป็นมิตรอย่างมาก ดูแล้วไม่เหมือนว่ากำลังดูสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์เลย นี่ทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ต่อให้ไม่มีความคิดที่เป็นศัตรู แต่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก จะเป็นไปได้ยังไงที่จะมาพูดคุยกันแบบนี้?


วัลคีรีย์สังเกตเห็นว่ามนุษย์ตัวเมียคนนั้นเหมือนจะสนใจมันอย่างมาก สายตาแทบจะไม่ละไปจากร่างกายของมันเลย


“ไม่มีอะไรก็ดี” มนุษย์ตัวผู้ที่เรียกตัวเองว่าหมอเกาพลิกแฟ้มที่อยู่ในมือ “เดี๋ยวตอนบ่ายทางสมาคมจะเข้ามาเยี่ยม ส่วนตอนเย็นผมได้ยินว่าเดี๋ยวจะมีประชุมอีก ซึ่งผมช่วยคุณปฏิเสธเรื่องประชุมไปแล้ว คนพวกนี้นี่จริงๆ เลย บาดเจ็บขนาดนี้ยังจะให้คุณนั่งรถเข็นไปประชุมอีก แต่ว่าเรื่องเยี่ยมผมไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้ทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนเปิดขึ้นมา การจะไปห้ามไม่ให้พวกเขาเข้ามานั้นเป็นไปไม่ได้”


“…ขอบคุณ” มันตอบออกไปโดยเลียนแบบน้ำเสียงของมนุษย์


“ไม่เป็นไรครับ” มนุษย์ตัวผู้ยิ้ม “เออใช่…นั่งอยู่ที่นี่เฉยๆ คงจะเบื่อใช่ไหมครับ เพราะตอนที่สมาคมส่งคุณมาที่นี่ พวกเขาไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือของคุณมาด้วย ถ้าไงดูโทรทัศน์แก้เบื่อดีไหมครับ?”


โทรศัพท์? โทรทัศน์? มันคืออะไร?


วัลคีรีย์เป็นใบ้ไปทันที มันไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง


น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายมองว่าการเงียบของมันเป็นการตอบตกลงอย่างนึง อีกฝ่ายจึงหยิบเอากล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กล่องหนึ่งมาจากบนตู้หัวเตียง ก่อนจะเล็งไปยังกระดานสีดำที่อยู่บนกำแพงแล้วกดไปสองสามที


ไม่นาน กระดานสีดำก็มีแสงออกมา!


“อย่างนั้นพักผ่อนเยอะๆ นะครับ” หมอเกาโบกมือ ก่อนจะพามนุษย์ตัวเมียออกจากห้องไป


วัลคีรีย์มองดูภาพบนจอโทรทัศน์อย่างตกตะลึงจนเกือบจะลืมรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้


นี่มัน…ทำได้ยังไง?


ภาพบนกระดานดำเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าสิ่งของก็ล้วนแต่ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ ถ้าสิ่งที่มันใช้คือพลังเวทมนตร์ อย่างนั้นมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่นี่เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ เพราะมันสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกระเพื่อมของพลังเวทมนตร์เลย


วัลคีรีย์ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงปรับตัวได้


มันพบว่าเนื้อหาที่แสดงอยู่บนจอโทรทัศน์มีความเกี่ยวข้องกับกล่องสีเหลี่ยมเล็กๆ อันนี้ ขอเพียงกดปุ่ม ‘ทิศทาง’ที่อยู่ด้านบน โทรทัศน์ก็จะแสดงสิ่งที่ไม่เหมือนกันออกมา


ถ้ามันเดาไม่ผิดล่ะก็ เนื้อหาเหล่านั้นคงจะมีความเกี่ยวข้องกับโลกนี้


นี่เป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจโลกแปลกหน้าใบนี้


ในขณะที่มันกำลังดูไปเรื่อยๆ มันก็ได้ยินคำพิเศษอยู่คำหนึ่ง ‘สมาคมผู้ฝึกยุทธ์’


เมื่อวิเคราะห์จากคำพูดของมนุษย์ตัวผู้ก่อนหน้านี้ มันก็เหมือนจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมเหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสมาชิกของสมาคม


สิ่งที่แสดงอยู่ในโทรทัศน์คือภาพของที่โล่งที่เต็มไปด้วยผู้คน มุมมองที่มองลงมาจากบนฟ้าน่าจะเกิดจากวัตถุเวทมนตร์ประเภทหินโบยบินพวกนั้น


“วันนี้เป็นวันที่สามที่เมืองปริซึมถูกลอบโจมตี การช่วยเหลือและการเก็บกวาดยังคงดำเนินต่อไป”


“จากข้อมูลที่ทางสมาคมแจ้งมา จำนวนของผู้โชคร้ายที่เสียชีวิตนั้นเตรียมสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ร่างของพวกเขาเหล่านั้นต้องใช้เวลาในการค้นหาอีกซักพัก”


“ในปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ผ่านมา ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากได้แสดงความกล้าหาญที่เหนือคนอื่นๆ ออกมาด้วยการเข้าไปในหลุมอพยพเพื่อค้นหาผู้ที่ยังติดอยู่ในนั้น”


“หนึ่งในนั้นมีคุณมิสต์ที่เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของผู้คุมร็อคที่สละชีวิตอยู่ในนั้นด้วย”


“โดยตอนที่เธอเข้าไปในหลุมหมายเลข 4 เธอถูกฟอลเลนอีวิลล้อมโจมตี เพื่อที่จะปกป้องพรรคพวกของตัวเอง…”


หลังจากนั้นวัลคีรีย์ก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่โทรทัศน์พูดออกมาเลย


สายตาของมันถูกภาพที่อยู่บน ‘กระดานสีดำ’ ดึงดูดเอาไว้


ทำไม? ภายในใจวัลคีรีย์รู้สึกเหมือนมีคลื่นกำลังซัดสาด ทำไมมันถึงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็เหมือนไม่รู้จักนี้ในโลกแห่งจิตสำนึก?


สำนักซีคลาวด์…มันควรจะถูกทำลายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ!


…………………………………………………


ตอนที่ 1235 สำนักซีคลาวด์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่สิ วัลคีรีย์ส่ายหัวพร้อมบอกให้ตัวเองใจเย็นลง สำนักซีคลาวด์นั้นไม่มีอยู่แล้วแน่นอน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ หลังจากที่ครอบครองพื้นที่ทางเหนือของดินแดนรุ่งอรุณ ทุกปีมันจะกลับไปยังยอดเขาแห่งนั้นครั้งหนึ่ง และใช้เวลา 1 – 2 วันอยู่ในซากสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างมานาน


นั่นเพราะว่ามันก็เคยเห็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักเหมือนกัน


บนยอดเขาแห่งนั้น มันไม่เพียงแต่จะเรียนรู้วิธีเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึก แต่มันยังเรียนรู้ความรู้ต่างๆ มากมายจากโลกของมนุษย์ด้วย คนที่สอนมันคือซิสทาลิสหรือ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ซึ่งเป็นปีศาจที่ยกระดับแล้วตนหนึ่ง


ความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้นไม่โดดเด่น เรียกได้ว่าสู้ร่างระดับต้นที่แข็งแกร่งตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องตลกในเผ่าพันธุ์ของมัน แต่วัลคีรีย์รู้ดีว่าถึงจะใช้หินเวทมนตร์ที่ไม่ได้มีความสามารถเกี่ยวข้องกับการต่อสู้มาหลอมรวมกับร่างกาย ความยากของพิธียกระดับก็ไม่ได้ลดลงเลย การหลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ทั้งสามครั้งของอีกฝ่ายนั้นเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เป็นผู้ยกระดับที่แท้จริง


ก็เหมือนกับชื่อฉายาของมัน ในตอนที่หลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ก้อนที่สอง ทรานฟอร์มเมอร์ก็ได้รับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงแทบจะไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองเลย เวลาส่วนใหญ่มันมักจะอยู่ในร่างของมนุษย์ บวกกับการพูดภาษามนุษย์ที่คล่องแคล่วของมัน ถ้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อน คงจะต้องคิดว่ามันเป็นมนุษย์แน่ๆ


และรูปร่างที่มันใช้บ่อยมากที่สุดก็คือ ‘มิสต์’ ที่อยู่ในโทรทัศน์


วัลคีรีย์จ้องมองใบหน้านั้น ภาพความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา ผ่านมาพันกว่าปีแล้ว…ถึงแม้ใบหน้าและรายละเอียดบนเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่มันก็ไม่มีทางลืมใบหน้านี้เด็ดขาด


ถ้าบอกว่านักปราชญ์ที่ก่อตั้งสำนักซีคลาวด์ขึ้นมาคือพวกประหลาดในหมู่มนุษย์ อย่างนั้น ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ก็คือพวกประหลาดในเผ่าพันธุ์ของพวกมัน เวลาที่มันเลือกหินเวทมนตร์ มันไม่เคยเลือกหินที่จะทำให้ความสามารถของมันแข็งแกร่งขึ้นเลย มันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อเรื่องที่มันไม่เคยลองมาก่อน แล้วก็เป็นปีศาจตัวแรกในเผ่าพันธุ์ที่เข้าไปติดต่อกับสำนักซีคลาวด์


และในตอนนั้น เผ่าพันธุ์ของมันก็พอจะรู้เรื่อง ‘สงครามแห่งโชคชะตา’ มาบ้าง แล้วก็มองมนุษย์ที่ครอบครองดินแดนแห่งรุ่งอรุณเป็นศัตรู


วัลคีรีย์รู้สึกขอบคุณปีศาจผู้ที่ช่วยถ่ายทอดความรู้หลายๆ อย่างให้มันมาโดยตลอด มันไม่เคยเกิดความรู้สึกดูถูกที่อีกฝ่ายไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้เลย มันรู้ดีว่าทรานฟอร์มเมอร์นั้นมีระดับความเข้าใจต่อโลกแห่งจิตสำนึกหรือก็คือแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์มากกว่าปีศาจตัวอื่นๆ ในเผ่า มันเขียนหนังสือขึ้นมาสิบกว่าเล่ม เกือบครึ่งหนึ่งในนั้นกลายเป็นบันไดให้เผ่าพันธุ์ได้นำไปใช้ในการยกระดับ ตามคำพูดของมนุษย์ มันเรียกได้ว่าเป็น ‘อาจารย์’ ของมนุษย์จำนวนมากด้วยซ้ำ


ความจริงแล้ว บางทีทรานฟอร์มเมอร์อาจจะเป็นปีศาจตัวแรกๆ ของเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการหลอมรวมหินเวทมนตร์ถึงสี่ครั้ง


ถ้าหากสำเร็จ มันจะกลายเป็น ‘ราชา’ ตัวแรกของเผ่าพันธุ์ เพราะในสมัยนั้นแม้กระทั่งร่างยกระดับระดับต้นก็ยังมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชาเลย


เสียดายที่ิสุดท้ายพิธียกระดับในครั้งนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนมันก็ถูกพลังเวทมนตร์กลืนกลินจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก


วัลคีรีย์จำภาพเหตุการณ์นั้นได้เป็นอย่างดี เพราะว่าตอนนั้นมันก็อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย มันเห็นร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ พังทลายลงไปทีละน้อย นี่ถึงทำให้มันรู้สึกว่า ‘มิสต์’ ดูแปลกหน้า เพราะหลังผ่านมาเป็นเวลาพันกว่าปี มันก็ไม่เคยให้เห็นใครที่มีหน้าตาคล้ายอีกฝ่ายอีก


วัลคีรีย์เคยถามทรานฟอร์มเมอร์ว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนเป็นรูปร่างแบบนี้ เพราะว่ามันไม่เหมือนกับหน้าตามนุษย์คนๆ อื่นที่มันลอกเลียนแบบออกมา วัลคีรีย์เชื่อว่าใบหน้านี้ไม่ได้เป็นของนักปราชญ์คนไหนเลย


ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้มันไม่เข้าใจ


ทรานฟอร์มเมอร์บอกว่านี่เป็นหน้าตาของเทวทูตตนหนึ่ง


ส่วนเรื่องที่ว่าเทวทูตเป็นใคร ทรานฟอร์มเมอร์บอกว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ในตอนที่มันใช้พลังเวทมนตร์เข้าไปในโลกแห่งความฝัน บางครั้งมันจะเจอกับจิตสำนึกหนึ่งที่แตกต่างออกไป อีกฝ่ายเหมือนกำลังส่งเสียงกระซิบอยู่ในหัวของมัน ถึงแม้มันจะไม่เคยเจอหน้ามาก่อน แต่พอออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกมันกลับนึกถึงหน้าตาของอีกฝ่ายขึ้นมาได้


ทรานฟอร์มเมอร์ยังบอกอีกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ความสามารถของมันยังไม่ดีพอ ถ้าสามารถสร้างดินแดนที่มีความเสถียรขึ้นมาได้ในโลกแห่งจิตสำนึกที่เป็นเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ไม่แน่มันอาจจะเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายได้ก็ได้


ตอนนั้นวัลคีรีย์ไม่เข้าใจคำพูดนี้เลย มันเพิ่งจะกลายเป็นร่างยกระดับได้ไม่นาน ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อโลกแห่งจิตสำนึกนั้นยังว่างเปล่า เรียกได้ว่าทรานฟอร์มเมอร์น้ำหน้าปีศาจตัวอื่นๆ ในเผ่าไปหลายร้อยปี จนกระทั่งก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น จักรพรรดิจึงสามารถสร้างดินแดนที่เป็นของตัวเองขึ้นในโลกแห่งจิตสำนึกได้สำเร็จ


มันเคยถามจักรพรรดิว่าเคยเจอเทวทูตหรือไม่ แต่จักรพรรดิกลับปฏิเสธกลับมา


เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะมีความเป็นไปได้สองอย่าง


หนึ่งคือดินแดนแห่งนี้เป็นของเทวทูต ‘มิสต์’ แต่จากเนื้อหาที่อยู่ในโทรทัศน์ มิสต์เหมือนจะตายไปแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ขอเพียงไม่ออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึก ผู้ที่สร้างดินแดนขึ้นมาก็น่าจะไม่มีวันตายถึงจะถูก


ความเป็นไปได้ที่สองคือก่อนที่ทรานฟอร์มเมอร์จะถูกพลังเวทมนตร์กลืนกิน มันได้เอาจิตสำนึกของตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกและสร้างดินแดนแห่งหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ ถึงแม้การคาดเดาอันนี้จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมมนุษย์เห็นมันแล้วถึงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่มันก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งของที่อยู่รอบๆ ที่มันไม่เคยเห็นมาก่อนเหล่านี้ได้


ตอนแรกวัลคีรีย์คิดเพียงแต่จะหาทางออกไปจากสถานที่แปลกๆ นี้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับมีความคิดอื่นเพิ่มขึ้นมา


คำพูดของทรานฟอร์มเมอร์ในตอนที่ยกระดับครั้งที่สี่ล้มเหลวทำให้มันรู้สึกกังวลมาโดยตลอด อีกฝ่ายบอกว่าต่อให้ชนะสงครามแห่งโชคชะตา แต่เผ่าพันธุ์ของมันก็ไม่มีทางที่จะไปถึงดินแดนของพระเจ้าได้ มันพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้อาจารย์ของมันพูดแบบนั้น


บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้มันได้หาคำตอบนั้น


…..


“หาวว….” โรแลนด์หาวออกมาพร้อมใช้มือข้างเดียวกุมพวงมาลัยขับรถตู้ไปบนถนนวงแหวนสายสอง


ถึงแม้เขาจะพยายามเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์เองก็ส่งเสียงคำรามออกมา แต่ด้านข้างยังคงมีรถที่แซงหน้าเขาขึ้นไปอยู่ตลอดเวลา


“ทำไม นอนไม่พอเหรอ?” คนที่นั่งอยู่ข้างคนขับคือการ์เซีย ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าตั้งแต่อีกฝ่ายนอนหลับไปในห้องของเขา น้ำเสียงของอีกฝ่ายเวลาที่พูดจาฟังดูนุ่มนวลขึ้นมาเดิมมาก


“วันนี้ร้านกาแฟหยุด ตอนแรกคิดจะนอนถึงบ่ายค่อยตื่นขึ้นมา สมาคมนี่ก็ช่างเลือกเวลาเสียจริงๆ” โรแลนด์บ่นออกมา หลังจัดการเรื่องประชาสัมพันธ์แผนการเคลื่อนย้ายประชากรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความง่วงอย่างรุนแรงก็เข้าเล่นงานเขาอีกครั้งจนทำให้เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เมื่อคิดถึงว่าความเร็วในการเดินของเวลาในโลกแห่งความฝันนั้นเท่ากับประมาณ 3 เท่าของโลกแห่งความเปนจริง เขาจึงตัดสินใจมานอนพักในโลกแห่งความฝันให้เต็มอิ่ม เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลา แล้วก็พาแม่มดทาคิลามาพักผ่อนด้วย


ตอนนี้พวกเธอสามารถหาความสุขได้ด้วยตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องไปตามดูแล้ว


อันที่จริงนอกจากจะมาหาความสุขแล้ว แม่มดอาญาสิทธิ์ยังมีภารกิจไล่ตามหาสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ตัวใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาจากการกัดกินพวกนั้นด้วย เขายังไม่ลืมคำพูดของมิสต์ที่บอกว่าโลกนี้ถูกประเจ้าจับตาดูอยู่ ถ้าอยากจะกำจัดการกัดกินและเข้าไปยังดินแดนของพระเจ้า วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็คือกำจัดฟอลเลนอีวิลพวกนั้น แล้วใช้พลังของพวกมันมาทำให้โลกแห่งความฝันขยายใหญ่ขึ้น


แต่ความเป็นจริงที่เกิดกลับต่างจากที่คิดเอาไว้….ในตอนที่นอนจนถึงเที่ยง การ์เซียโทรมาปลุกเขาแล้วบอกว่าทางสมาคมจะจัดให้มีการเข้าไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังและสมาชิกระดับสูงของสมาคมทุกคนต้องมาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่ถูกช่วยออกมาเหล่านั้น


ตอนนั้นเขานึกว่านี่เป็นคำเชิญจากการ์เซียเพียงฝ่ายเดียว เขาจึงคิดจะหาข้ออ้างปฏิเสธไป แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าที่สมาคมเรียกนั้นไม่ใช่เธอ หากแต่เป็นตัวเองที่มีใบอนุญาตไล่ล่า


“เมืองปริซึมเสียหายอย่างหนัก สภาพจิตใจผู้คนย่ำแย่ การให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าไปเยี่ยมนั้นก็เป็นวิธีการสร้างความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง” การ์เซียเลิกคิ้ว “ฉันว่าการประชุมที่จะจัดขึ้นตอนเย็นมากกว่าถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญที่แท้จริง”


โรแลนด์ครุ่นคิด จู่ๆ การกัดกินก็ขยายใหญ่ขึ้น อาศัยเพียงแค่การปลอบโยนนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน ยิ่งเกิดความวุ่นวายก็ยิ่งต้องแสดงพลัง ในสถานการณ์แบบนี้หากไม่โจมตีศัตรูกลับให้หนัก ต่อให้พูดเยอะแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้การประชุมที่ว่าจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่


นี่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเขาที่


…………………………………………………………..


ตอนที่ 1236 เหมือนจนน่าตกใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังขับมาได้ประมาณ 20 นาที จีพีเอสก็แจ้งว่าพวกเขามาถึงที่หมาย


โรแลนด์มองไปรอบๆ แต่เขากลับมองไม่เห็นสิ่งก่อสร้างที่จะดูเหมือนโรงพยาบาลเลย สิ่งที่เขามองเห็นกลับเป็นตึกขนาดใหญ่ที่ดูสวยงามหรูหรา เผลอๆ อาจจะดูหรูมากกว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะเสียอีก


“ที่ีนี่แหละ” การ์เซียพยักหน้า


“เธอแน่ใจเหรอ?” โรแลนด์ขับรถไปทางประตูอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นเขาจึงสังเกตเห็นตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนว่า ‘สถานพักฟื้นไรน์กรีนฟิลด์’ ติดอยู่บนกำแพง


“ใช่สิ เพราะทุกคนที่ฉันพามาก็ทำท่าแปลกใจเหมือนกับนายเนี่ยแหละ”


ด้านหลังประตูหน้ามีผู้ชายตัวใหญ่ใส่สูทกับแว่นดำสองสามคนเดินเข้ามาล้อมรถเอาไว้ หนึ่งในนั้นเคาะกระจกแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล ไม่มีบริการจอดรถ”


มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา เฮ้ๆ…ท่าทางแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย นี่พวกเขาจะบอกว่าตัวเองแค่มาจอดรถงั้นเหรอ ขับรถตู้มาเยี่ยมคนป่วยไม่ได้เหรอไง


ในขณะที่เขาคิดจะหยิบใบอนุญาตไล่ล่าออกมาให้อีกฝ่ายดู การ์เซียพลันหมุนกระจกลงแล้วยื่นการ์ดใบหนึ่งออกใบ “รถเพิ่งจะซื้อมาได้ไม่นาน ป้ายทะเบียนยังไม่ได้บันทึกเข้าไปในระบบ พวกนายลงบันทึกให้หน่อยแล้วกัน”


อีกฝ่ายตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังรับบัตรมาแล้วก็มองดูรอบอยู่อีกสักพัก จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องควบคุม ในตอนที่เขาเดินออกมาใหม่ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป “ขอโทษด้วยครับคุณการ์เซีย รถที่คุณลงทะเบียนเอาไว้ไม่ใช่คันนี้ พวกผมก็เลย…”


“เปลี่ยนรถมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ?” การ์เซียพูดตัดบทอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“อย่างนั้น….” คนๆ นั้นมองมาทางโรแลนด์ “ไม่ทราบท่านนี้คือ…”


“คนขับรถของฉัน


บรรยากาศตรงนั้นดูอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายหัวหน้าคนนั้นก็พูดตอบขึ้นมา “เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมจะไปลงทะเบียนให้คุณเดี๋ยวนี้แหละครับ”


ไม่นานประตูก็เลื่อนเปิดออก โรแลนด์ปล่อยคลัทช์ รถตู้ส่งเสียงบรื้นๆ ออกมา ก่อนจะขับผ่านประตูหน้าของสถานพักฟื้นเข้าไปอย่างช้าๆ


เมื่อมองผ่านกระจกมองหลัง เขาเหมือนจะเดาความรู้สึกของผู้ชายพวกนั้นออก


เปลี่ยนรถก็ยังเปลี่ยนเป็นรถตู้ แถมยังต้องมีคนขับรถให้ด้วย การ์เซียน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ตกอับที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมาแล้วล่ะ…”


“เอ่อ ฉันนึกว่าเธอจะไม่พูดโกหกซะอีก”


“นั่นเป็นเพราะว่านายไม่รู้จักฉัน” การ์เซียยักไหล่ “เวลาที่ไม่ใช่สถานการณ์สำคัญอะไร ฉันก็ไม่ได้เถรตรงเหมือนอย่างที่นายคิดหรอก ยิ่งไปกว่านั้นนายเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคม เพียงแค่ยังไม่ได้บัตรประจำตัวเท่านั้น”


“แล้วใบอนุญาตไล่ล่าใช้ไม่ได้เหรอ?”


“ข้อมูลรายละเอียดของผู้ที่ถือใบอนุญาตนั้นเป็นความลับของสมาคม มีคนแค่ไม่กี่คนที่รู้ได้ ในจุดนี้ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังที่เป็นดารา” การ์เซียตอบอย่างจริงจัง “ถึงแม้มันจะแสดงถึงการยอมรับของสมาคม แต่มันก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกไล่ล่าเหมือนกัน ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ที่ฟอลเลนอีวิลรุมฆ่าผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้วครั้ง ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ที่โดนฆ่าก็ล้วนแต่เป็นคนที่เปิดเผยสถานะของตัวเอง”


พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงตัวเองเปิดเผยสถานะออกไป ฟอลเลนอีวิลก็จะเอาแกนพลังแห่งธรรมชาติมาส่งให้ตัวเองถึงที่?


แต่เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของซีโร่และคนอื่นๆ ในเขตชุมชน สุดท้ายโรแลนด์จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป


หลังจากที่ได้คุยกับมิสต์ เขาก็ไม่สามารถมองคนที่อยู่ในโลกแห่งความฝันเป็นเหมือน NPC ที่อยู่ในเกมได้อีก


หลังเข้ามาในสถานพักฟื้น โรแลนด์ถึงได้พบว่าที่นี่สวยงามอย่างมาก พื้นที่ไม่เพียงแต่จะกว้างขวาง แต่มันยังมีทั้งสวนดอกไม้ น้ำตก แล้วก็สะพานเล็กๆ นอกจากนี้เขายังมองเห็นป้ายบอกทางไปสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นบ่อน้ำพุร้อน สระว่ายน้ำ สนามกอล์ฟ ดูแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานที่ท่องเที่ยวชั้นยอดบางแห่งเลย


ความยากจนได้จำกัดจินตนาการของเขาเอาไว้


ถึงแม้จะกลายเป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล เขาก็ไม่เคยคิดที่จะสร้างโรงพยาบาลให้กลายเป็นแบบนี้เลย


ตึกหอพักผู้ป่วยนั้นตั้งอยู่ใจกลางของสถานพักฟื้น เมื่อดูจากกำแพงกระจกที่ส่องแสงระยิบระยับแล้ว จะบอกว่ามันเป็นโรงแรมระดับห้าดาวก็คงไม่เกินไป


ทั้งสองคนเดินเข้าไปในล็อบบี้ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขาคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาอายุประมาณ 40 กว่า ผิวสีแทน กล้ามเนื้อบนร่างกายทำให้ชุดผู้ฝึกยุทธ์ขยายใหญ่ขึ้นมา คลื่นพลังแห่งธรรมชาติบนร่างกายเองก็ชัดเจนอย่างมาก ถึงจะอยู่ห่างกันสิบกว่าเมตรโรแลนด์ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน


“เขาคืออาจารย์ของอาจารย์” การ์เซียกระซิบเบาๆ จากนั้นจึงพยักหน้าให้ชายคนนั้นเล็กน้อย “ท่านผู้คุม…”


“เรื่องมิสต์ ฉันขอโทษด้วยนะ” ร็อคย่อตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับวางสองมือลงไปบนไหล่ของการ์เซีย “ฉันไม่ได้ปกป้องเธอให้ดี”


พอพูดถึงมิสต์ สีหน้าการ์เซียก็ดูเศร้าขึ้นมาทันที เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านค่ะ…ตอนที่อาจารย์ยังอยู่ อาจารย์มักจะพูดอยู่เสมอว่าต้องมีซักวันที่ผู้ฝึกยุทธ์ต้องสละตัวเองเพื่อต่อสู้กับการกัดกิน ถ้าหากกลัวล่ะก็ คนๆ นั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของสมาคม”


“เธอสอนลูกศิษย์ได้ดีจริงๆ” ร็อคถอนใจ “วางใจได้ ฉันจะต้องให้ไอพวกที่มันบุกโจมตีเข้ามาชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำแน่”


“ฉันเองก็ยินดีที่จะทุ่มเทเพื่อขับไล่การกัดกินค่ะ”


ร็อคพยักหน้าชื่นชม ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วมองไปทางโรแลนด์ “เธอน่าจะเป็นนักล่าฟอลเลนอีวิลฝีมือดีคนนั้น คุณโรแลนด์สินะ ยินดีที่ได้พบนะ ฉันคือร็อค หนึ่งในผู้คุมของเมืองปริซึม”


“สวัสดีครับ” โรแลนด์จับมือกับอีกฝ่าย


“โชคดีที่การเข้ามาของเธอทำให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายยุคเก่ากับยุคใหม่ผ่อนคลายลง ในจุดนี้ฉันต้องขอบคุณเธอด้วย” ร็อคพูดตรงๆ “หลังจากนี้ขอให้เธอช่วยปกป้องโลกใบนี้ด้วยนะ”


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ” โรแลนด์ตอบอย่างหนักแน่น


กล้ามาขุดกำแพงโลกแห่งความฝันของเขา แล้วเขาจะไม่จำกัดพวกมันให้สิ้นซากได้ยังไง?


คำพูดนี้ทำเอาการ์เซียรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เหมือนกับว่าในที่สุดคนที่เธอมาเข้ามาก็เดินมาถูกทางแล้ว


กระทั่งสามโมงตรง กิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ทั้งคณะมีประมาณ 20 กว่าคนโดยมีร็อคเป็นคนนำ เห็นได้ชัดว่าเมืองปริซึมไม่ได้ให้สมาชิกระดับสูงออกมาทั้งหมด หากแต่เลือกเอาบางคนที่สามารถเป็นตัวแทนของสมาคมได้ อย่างเช่นผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังเฟยอวี่หาน


ความจริงแล้วโรแลนด์รู้สึกกลัวเล็กน้อยตอนที่เห็นเธอ เพราะในปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลเมืองครั้งที่แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะให้หลิงไปทำให้สมาชิกทุกคนสลบ แต่เขายังไม่ระวังจนทำให้เฟยอวี่หานได้ยินคำพูดของเขากับหลิงด้วย เดิมเขาคิดเตรียมจะปฏิเสธลูกเดียวหากอีกฝ่ายถามอะไร แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ออกมาเลย แต่เขาไม่มีทางคิดว่าเธอจะลืมเรื่องนี้อย่างแน่นอน


ด้วยเหตุนี้ในการเดินเยี่ยมผู้ป่วย โรแลนด์จึงพยายามรักษาระยะห่างกับเฟยอวี่หานเอาไว้ให้มากที่สุด ถ้าไม่จำเป็นต้องพูดก็จะไม่พูด โชคดีที่เธอค่อนข้างเป็นที่นิยม ไม่ว่าจะเดินเข้าไปในห้องไหนก็กลายเป็นเป้าสายตา เธอจึงไม่มีเวลาจะมานั่งคุยกับเขา


การจับมือกับผู้บาดเจ็บและพูดให้กำลังใจคือขั้นตอนส่วนใหญ่ของกิจกรรมนี้ เนื่องจากการ์เซียไม่ได้เข้ามาด้วย แถมตัวเขาเองก็เป็นสมาชิกใหม่ของสมาคม ทำให้แทบไม่รู้จักสมาชิกระดับสูงของสมาคมเลย ดังนั้นแทนที่จะบอกนี่เป็นการเยี่ยมผู้ป่วย ควรจะบอกว่าเขามาเพื่อทำความคุ้นหน้ากับผู้คุมมากกว่า เกรงว่าที่อีกฝ่ายตามเขามาก็เพราะคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน


“ผู้ป่วยในห้องต่อไปชื่อวัลคีรีย์” หมอที่ตามมาด้วยมองดูรายชื่อในมือ “ก่อนหน้านี้เธอบาดเจ็บสาหัส เดิมผมว่าจะให้เธอได้พักผ่อน แต่ในเมื่อพวกคุณมาแล้ว อย่างนั้นก็แวะเข้าไปเยี่ยมเธอหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามรักษาความเงียบหน่อยนะครับ”


“แน่นอน สุขภาพของสมาชิกสมาคมคือสิ่งสำคัญที่สุด” ร็อกพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูห้องออก


ห้องพักภายในตึกเป็นห้องเดียว พื้นที่ใหญ่กว่าห้องพักในตึกถึงจึประมาณเท่านึง คน 20 กว่าคนสามารถเข้าไปอยู่ในห้องได้สบายๆ โรแลนด์เดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้ายของแถว แล้วก็รอให้ถึงตาเขาค่อยเข้าไปจับมือ


แต่ว่าในตอนที่ทีเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนและมองไปทางผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง เขาพลันรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างมาก


ใบหน้าของคนๆ นั้นคุ้นตาเขาเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นอีกฝ่ายจากที่ไหนมาก่อน ขนตาเล็กเรียว ดวงตาอันเยือกเย็น สันจมูกโก่ง แล้วก็ริมฝีปากที่ได้รูปอย่างพอดิบพอดี เรียกได้ว่าสวยงามอย่างมาก ถึงแม้ผิวของเธอจะเป็นสีเขียวเข้ม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลย พูดอีกอย่างก็คือมันยิ่งทำให้เธอดูพิเศษมากขึ้น


เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค้นเจอแหล่งที่มาที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยจนพบ


มันคือส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำที่เขาเห็นในตึกถงจึ


พิธียกระดับที่จัดขึ้นในเมืองของปีศาจ และคนที่จัดงานนั้นก็มีหน้าตาเหมือนวัลคีรีย์คนนี้!


โรแลนด์เกือบคิดว่าปีศาจระดับสูงตัวนั้นได้ทำลายชั้นป้องกันของโลกแห่งความฝันแล้วเข้ามาในนี้ผ่านทางโลกแห่งเศษเสี้ยวความทรงจำนั้น


แต่ในตอนที่เขาสงบสติอารมณ์และคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูแล้ว เขากลับพบว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้เหมือนกันไปซะทีเดียว


สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดก็คือบนหน้าผากของอีกฝ่ายนั้นเรียบเนียน ไม่ได้มีดวงตาที่สามเหมือนอย่างปีศาจตัวนั้น


…………………………………………………………


ตอนที่ 1237 สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์นึกย้อนอย่างเงียบๆ ก่อนจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ตอนนั้นปีศาจระดับสูงตัวนั้นยืนอยู่บนเวที แล้วนำปีศาจที่ยกระดับสองตัวให้มาสู้กันเอง ชุดสีขาวที่อยู่บนตัวมันดูตัดกับบ่อหมอกแดงที่อยู่ข้างล่างอย่างเห็นได้ชัด ส่วนดวงตาที่สามที่อยู่บนหน้าผากนั้นส่องประกายออกมาอย่างชัดเจน ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนภาพที่อยู่ในภาพวาด ขอเพียงหลับตาลง ภาพๆ นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาในหัว


แต่ถ้าตัดจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดนี้ออกไปแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกัน โรแลนด์เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ์ปีศาจที่ชื่อ ‘วัลคีรีย์’ คนนี้ขึ้นมาอย่างรุนแรง


เมื่อถึงตาเขาเข้าไปจับมือ เขาไม่ได้เดินจากไปทันทีที่จับเสร็จเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ หากแต่หยุดยืนอยู่ข้างเตียง


“คุณพักอยู่ในชุมชนตึกถงจึเหรอครับ?”


คนอื่นๆ ที่เดิมเตรียมตัวออกไปจากห้องพลันงุนงงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาถามประโยคนี้ขึ้นมา


วัลคีรีย์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยๆ เธอเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดี หลังจากนั้นเธอจึงส่ายหัวขึ้นมา


ก็จริง ปีศาจผู้หญิงที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำน่าจะมีอายุยาวนานกว่าคนที่ถูกซีโร่กลืนกิน มันน่าจะไม่ใช่คนที่ถูกจับมาอยู่ในสงครามแห่งวิญญาณ


“อย่างนั้นคุณมีพี่น้องหรือเปล่าครับ? ที่หน้าตาเหมือนกับคุณ?” โรแลนด์ชี้ไปที่หน้าผาก “อย่างเช่นตรงนี้มีตาอีกดวงหนึ่ง?”


ในกลุ่มคนมีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมา ตัวผู้คุมเองก็กระแอมขึ้นมาเบาๆ “คุณโรแลนด์”


“อีกแปบนึงครับ” โรแลนด์โบกมือ “ผมแค่รู้สึกว่าเธอคล้ายกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง”


อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มี”


“จะไปมีได้ยังไง ฉันไม่เคยเห็นคนที่มาจากคาบสมุทรคาร์กาดคนไหนที่มีตาสามดวงเลย” มีคนบ่นเสียงเบาๆ ขึ้นมา “แต่ถ้ามีนิ้วมือสามนิ้วมันก็มีอยู่ไม่น้อย”


“เอาล่ะ…” โรแลนด์มีความคิดที่อยากจะลองดูครั้งสุดท้าย จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ชาริตา!”


ดวงตาของอีกฝ่ายไม่กะพริบแม้แต่น้อย เหมือนว่ามีแต่เขาที่กำลังเป็นไอบื้ออยู่คนเดียว


ถ้าวัลคีรีย์เป็นปีศาจที่มาจากเศษเสี้ยวความทรงจำจริงๆ อย่างนั้นถ้าหากเธอได้ยินภาษาปีศาจประโยคนี้ เธอก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาบ้างถึงจะถูก


ดูเหมือนจะแค่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ ด้วย


โรแลนด์ยักไหล่พร้อมกับยื่นมือขวาออกไป “หวังว่าคุณจะหายในเร็ววัน แล้วกลับมาสู้กับการกัดพร้อมกับทุกคนใหม่นะครับ”


เธอดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกมา


พริบตาที่มือทั้งสองข้างประกบกัน โรแลนด์พลันส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมา


ผู้คุมถามเสียงเบา “ทำไมเหรอ?”


“มือของเธอเย็นจัง…แถมยังเปียกด้วยครับ”


มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ในขณะที่กำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ โรแลนด์พลันได้ยินเสียงพูดดูถูกขึ้นมาสองสามประโยค


“ไม่รู้จักกาลเทศะเลย”


“ทำไมฝ่ายยุคเก่าถึงเลือกคนแบบนี้มาได้?”


“เอาล่ะๆ คนป่วยต้องการพักผ่อน เชิญทุกท่านไปเยี่ยมผู้ป่วยห้องต่อไปเลยครับ” หมอส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “จริงๆ เลยเชียว…”


โรแลนด์ยักไหล่ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างโลกแห่งความฝัน เขานั้นไม่ได้สนใจความคิดของคนเหล่านี้เท่าไร เพียงแต่ในเมื่อถามแล้วไม่ได้ข้อมูลอะไร อย่างนั้นอยู่ที่นี่ต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาเหลือบมองวัลคีรีย์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป


….


หลังประตูห้องปิดลง วัลคีรีย์ยังไม่อาจสะกดอารมณ์ตกตะลึงอย่างรุนแรงภายในใจลงไปได้


ในเวลาสั้นๆ แค่ 15 นาทีนี้แทบจะเป็นช่วงเวลาที่มันรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิต มันคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่มันต้องระเบิดสมาธิทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อรักษาสีหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังใช้พลังส่วนใหญ่ไปจนเกือบหมดด้วย


ในตอนที่เห็นคนๆ นั้นเดินออกมาจากกลุ่มคน วัลคีรีย์รู้สึกเหมือนเลือดที่อยู่ในร่างกายพลันจับตัวแข็งขึ้นมาทันที มันไม่มีทางลืมใบหน้านั้นเด็ดขาด ในความทรงจำของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ ก็เป็นชายคนนี้นี่แหละที่ยืนอยู่อีกฝั่งของชิ้นส่วนสืบทอด และมองดูไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถูกหนนวดไล่โจมตีอย่างใจเย็น


นั่นไม่ใช่การดูความทรงจำแบบธรรมดา การอ่านความทรงจำของจักรพรรดิสามารถทำให้คนที่ดูความทรงจำอยู่นั้นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเจ้าของความทรงจำ ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกได้ถึงความตกใจและความหวาดกลัวของราชาไซเลนท์ และก็เป็นเพราะความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นคนเจอเหตุการณ์นั้นจึงทำให้มันสามารถเชื่อมโยงอีกฝ่ายเข้ากับภาพในความทรงจำได้ทันที


การคาดเดาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าผิดไปทั้งหมดเลย ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็จำต้องเอาความเป็นไปได้อย่างที่สามเข้ามาพิจารณาด้วยการสั่นสะเทือนของโลกแห่งจิตสำนึกไม่ได้ทำให้มันเดินออกนอกทิศทาง และมันก็ไม่ได้เดินผิดทางมาตั้งแต่แรก ที่ี่นี่คือดินแดนที่มนุษย์ตัวผู้คนนี้เป็นคนสร้างขึ้นมา อีกฝ่ายนั้นคือเจ้าของที่นี่


ถ้าหากมันไปเจอคนๆ นี้ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างมากมันก็คงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็คงใช้พลังทั้งหมดของมันฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ มันก็เป็นเหมือนกับผู้ยกระดับส่วนใหญ่ที่มีความสามารถในการปิดกั้นพลังเวทมนตร์ ไม่ว่าระดับพลังเวทมนตร์ของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้จริงๆ หรือไม่ ยังไงก็ต้องโดนมันฆ่าอยู่ดี


แต่กฎเกณฑ์นี้ไม่สามารถใช้ได้ในโลกแห่งจิตสำนึก อย่างน้อยจากที่จักรพรรดิบอกมา ไม่มีใครที่จะเอาชนะมันได้เมื่ออยู่ในหอเจ้าชีวิต….รอบรู้ทุกสิ่ง ไม่มีวันตาย แทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้าที่เล่าลือกัน บางทีจักรพรรดิอาจะกล่าวเกินจริง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังไม่กล้าที่จะลองดู


วัลคีรีย์รู้ดีว่าการที่ตัวเองตายอยู่ที่นี่นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด ถ้าหากอีกฝ่ายมีพลังในการดึงความทรงจำเหมือนกับจักรพรรดิ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้จะต้องสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงให้กับเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน


เมื่อต้องเจอกับศัตรูแบบนี้ มันจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากถึงจะถูก


ที่โชคดีก็คือความเป็นไปได้อย่างที่สามนั้นยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน อย่างเช่นเขาเหมือนกำลังสืบดูสถานะของตัวเอง ไม่ใช่การมองทะลุเข้าไปเหมือนกับจักรพรรดิ วัลคีรีย์แอบรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเคยเจอมันที่ไหนมาก่อน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดและการกระทำของเขาก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าเขาจำเธอได้


ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาเจอเธอในอีกโลกหนึ่ง


ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางที่ถามถึงตาที่สามขึ้นมาแน่ ดวงตาที่อยู่ตรงกลางหน้าผากของวัลคีรีย์นั้นคือหินวิญญาณที่มันได้รับมาในตอนที่ทำพิธียกระดับครั้งที่สาม


แล้วยังมีคำว่าชาริตาที่มีความหมายว่า ‘วีรบุรุษ’ ในภาษาโบราณของเผ่าพันธุ์ของมันอีก


มันยื่นมือข้างที่จับมือกับโรแลนด์ออกมาแล้วมองดูอย่างเงียบๆ ภายในหัวมีภาพตอนที่จับมือกับอีกฝ่ายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง


คำพูด ‘เอ๋’ ของอีกฝ่ายทำเอาลมหายใจของมันหยุดลง แต่โชคดีที่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วัลคีรีย์ยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่ตัวเองไล่ตามอีกครั้ง การเจอหน้าอย่างกะทันหันครั้งนี้เป็นทั้งความท้าทาย แล้วก็เป็นโอกาส ยังไม่ทันจะทำอะไร มันก็หาบุคคลสำคัญของฝ่ายมนุษย์เจอแล้ว เป็นแค่มนุษย์ตัวผู้แต่กลับมีโอกาสได้สัมผัสกับชิ้นส่วนสืบทอด แถมยังสามารถไล่ต้อนไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ได้ในการเผชิญหน้าในจิตสำนึก แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีข้อมูลจำนวนมากที่เผ่าพันธุ์ของมันไม่รู้อยู่อย่างแน่นอน มันไม่มีทางที่หลบหนีไปเพียงเพราะความเสี่ยงแค่นี้แน่


ก็เหมือนกับที่จักรพรรดิสร้างหอเจ้าชีวิตขึ้นมาเพื่อที่จะได้ควบคุมลูกน้องได้ง่ายขึ้น ถ้าหากที่นี่เป็นสถานที่ที่คนธรรมดาสร้างขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นมันก็ต้องสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างแน่ แค่ดูจากคำพูดต่างๆ เช่น ‘ฟอลเลนอีวิล’ ‘แนวรบ’ ‘ต่อสู้กับการกัดกิน’ มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแผนการร้าย มันต้องรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนอะไรอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกกันแน่


อย่างเช่นการประชุมที่หมอเกาคนนั้นพูดถึง บางทีอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลว


เมื่อคิดถึงตรงนี้ วัลคีรีย์พลันกำหมัดขึ้นมาแน่น


โรแลนด์…งั้นเหรอ?


ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!


……………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)