Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1230-1233

 ตอนที่ 1230 ประชุมฉุกเฉิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

บารอฟถูกคนใช้มาปลุกขึ้นจากความฝัน


ในช่วงที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาบนโลก เขาไม่เพียงแต่จะจัดเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ในสำนักบริหารตลอดทั้งคืน แต่ในคฤหาสน์ของเขาก็เช่นเดียวกัน เขาสั่งให้ลูกน้องมาแจ้งเขาทันทีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมา


ถึงแม้เอดิธส์จะถูกย้ายออกไปสำนักบริหาร แต่อิทธิพลที่เธอมีต่อฝ่าบาทนั้นไม่ได้ลดลงเลย ตอนนี้แม้แต่หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ยังต้องไปขอความเห็นจากกองเสนาธิการทหารใหญ่เวลาที่มีการวางแผนอะไร เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่นิดเดียว


แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนี้


ความจริงแล้วหัวหน้าสำนักบริหารนั้นชื่นชอบความรู้สึกทีได้ทำงานจนหัวหมุนแบบนี้ การทำงานก็หมายถึงอำนาจ นี่หมายความว่าการดำเนินงานต่างๆ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นไม่อาจขาดเขาได้ ขณะเดียวกันมันยังเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับฝ่าบาทด้วย ความสุขสองอย่างนี้ทำให้เขาทำงานจนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว


บารอฟพลิกตัวลงมาจากเตียง ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อพร้อมถามไปพลาง “ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


“นายท่าน นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทขอรับ พระองค์ทรงสั่งให้ท่านเรียกเสนาบดีทั้งหมดไปประชุมกันที่ห้องประชุมในปราสาทขอรับ”


“ตอนนี้เหรอ?” บารอฟมองไปนอกหน้าต่างอย่างแปลกใจ ในเวลานี้มันเป็นเวลากลางดึกอย่างไม่ต้องสงสัย


“ใช่ขอรับ คนที่โทรมาไม่ได้พูดอะไรมาก ท่านจะให้ส่งคนไปถามที่ปราสาทไหมขอรับ..”


“ไม่จำเป็น” หัวหน้าสำนักบริหารทำการตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว การที่โทรจากสำนักบริหารตรงมาที่คฤหาสน์ของตัวเองได้นั้นไม่น่าจะเป็นการโทรผิดแน่นอน เพราะว่าตอนนี้โทรศัพท์ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่คฤหาสน์ของเขาเท่านั้นที่มีการติดตั้งโทรศัพท์เอาไว้ เสนาบดีคนอื่นๆ จำเป็นต้องแจ้งปากเปล่า “ปลุกทุกคนขึ้นมา แล้วแยกย้ายกันไปแจ้งเสนาบดีคนอื่นๆ ห้ามตกหล่นแม้แต่คนเดียว ไม่งั้นข้าจะมาจัดการกับเจ้า!”


ถ้าหากเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่เมื่อก่อนนี้ เขาอาจจะลังเลอยู่บ้าง แต่ฝ่าบาทโรแลนด์ในตอนนี้ทรงเป็นราชาที่ไร้ที่ติ ถ้าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะเรียกประชุมตอนนี้ อย่างนั้นมันก็จะต้องมีเรื่องด่วนอย่างมากแน่นอน


“ขะ…ขอรับ นายท่าน” คนใช้รีบรับคำ “อย่างนั้นท่านจะไปปราสาทคนเดียวหรือขอรับ?”


“ไม่ ข้าจะไปพร้อมกับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ” บารอฟตอบ “เดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปแจ้งเอดิธส์ เคนท์เอง”


…..


“ฝ่าบาท คนมาเกือบครบแล้วเพคะ” ไนติงเกลหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้โรแลนด์ “หม่อมฉันชงชาให้ซักแก้วไหมเพคะ?”


“ขอโทษด้วยนะ” เขาพยักหน้า “เพิ่งจะนอนไปได้ไม่นานก็ปลุกเจ้าขึ้นมาใหม่…”


“เรื่องเล็กน้อยน่ะเพคะ” ไนติงเกลพูดยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรซักหน่อย ที่หาวไปก่อนหน้านี้ความจริงแล้วหม่อมฉันแกล้งทำเพคะ”


“เอ่อ…แกล้งเหรอ?”


“มะ ไม่ใช่เพคะ” เธอเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบพูดแก้ต่างว่า “หม่อมฉันหมายความว่าถึงแม้จะหาวไปหลายครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันรู้สึกตาพร่ามัวนิดหน่อย ไม่ได้หมายความว่าหม่อมฉันง่วงเพคะ เออใช่ แล้วพระองค์จะให้หม่อมฉันไปปลุกอันนาหรือเปล่าเพคะ?”


“ให้นางนอนไปเถอะ” โรแลนด์ส่ายหัว “ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้นางน่าจะเหนื่อยมากแล้วด้วย”


เพื่อที่จะทำให้ลูกบาศก์เวทมนตร์กลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานใหม่ที่น่าเชื่อถือโดยเร็ว อันนาขลุกอยู่ในห้องทดลองตรงเนินทิศเหนือตั้งแต่เช้ายันเย็น อีกทั้งเครื่องบินสองปีกก็จำเป็นต้องผลิตออกมาอย่างเร่งด่วน ภาระของเธอเรียกได้ว่าหนักหนาเป็นอย่างมาก


“พระองค์ก็เหมือนกันเพคะ” ไนติงเกลยื่นชามาให้เขา “ตอนที่เข้าไปในโลกแห่งความฝันมันก็ไม่ถือว่าได้พักผ่อนใช่ไหมล่ะเพคะ?”


“วางใจได้ เรื่องอดนอนนี่ข้าเก่งที่สุดแล้ว…” โรแลนด์ยิ้มๆ สำหรับตัวเขาในสมัยก่อนนั้น การพักผ่อนและการทำงานไม่เป็นเวลาถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก ความเหนื่อยล้าเพียงแต่นี้ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา ขอเพียงคอยพักผ่อนทันที่รู้ตัวว่าเหนื่อยก็พอ “อีกอย่างถ้าไม่มอบหมายงานออกไป ต่อให้นอนอยู่บนเตียงข้าก็นอนไม่หลับหรอก”


เขาจิบชาที่มีรสขมนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “พวกเราไปกันเถอะ”


…..


หลังจากที่ไลต์นิ่งเล่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำการสำรวจในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาออกมา ภายในห้องประชุมก็เงียบไปทันที ทุกคนไม่มีความง่วงหลงเหลืออยู่บนสีหน้า หากแต่เปลี่ยนเป็นความคร่ำเคร่งเข้ามาแทนที่


อกาธามองโรแลนด์ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฝ่าบาท พวกหม่อมฉัน…”


“นี่ไม่ใช่ความผิดของทาคิลา” โรแลนด์พูดปลอบ “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจระดับสูงที่มีจำนวนมากขึ้นหรือว่าปีศาจแมงมุมก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าศัตรูนั้นไม่เหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อนอีกแล้ว เห็นได้ว่าจะไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้นที่ก้าวหน้าขึ้น”


การไปกล่าวโทษข้อมูลของทางทาคิลานั้นไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่น้อย เพราะว่าอีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการทำนายอนาคต ในอีกแง่หนึ่ง พวกเธอก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามนี้มากไปกว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่าไร


“ถึงแม้ตอนนี้ทีมสำรวจจะยังไม่สามารถยืนยันเรื่อง ‘หมอกแดงที่ปรากฏขึ้นมา’ ได้ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าเกิดมันข้ามยอดเขาสิ้นวิถีมาได้จริงๆ ข้าคิดว่าไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ทางแนวหน้าจะต้องแจ้งข่าวกลับมาแน่นอน ปัญหาในตอนนี้ก็คือสมมติว่าศัตรูมันมีความสามารถในการกระตุ้นเสาโอเบลิสให้สามารถใช้งานได้ทันทีจริงๆ พวกเราควรจะรับมือยังไง? ก่อนที่จะคุยกันเรื่องนี้ ข้าอยากจะยืนยันให้แน่ใจก่อนหน้านี้เสาโอเบลิสที่พร้อมใช้งานนั้นสามารถปล่อยหมอกแดงออกไปได้ไกลแค่ไหน?”


อกาธาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “นับตั้งแต่ที่พบว่ามีปีศาจชนิดต่างๆ อยู่ด้านล่างของสายแร่ ทางสมาพันธ์ก็รู้ว่าความจริงแล้วเสาโอเบลิสอาจจะมีคุณสมบัติเป็นเหมือนหินเวทมนตร์ขนาดใหญ่ ถ้าหินเวทมนตร์ขนาดเล็กที่ฝังอยู่ในร่างกายของปีศาจนั้นถูกเปลี่ยนสภาพออกมาโดยอสูรเลอะเลือน อย่างนั้นเสาโอเบลิสก็สามารถมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเสาหินแร่ มันมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเติบโตได้ แต่ขีดจำกัดหลังจากที่เติบโตจนสมบูรณ์แล้วยังคงมีความเกี่ยวข้องกับขนาดของสายแร่อยู่ เพียงแต่ว่า…”


โรแลนด์มองเห็นถึงความลังเลของเธอ “ไม่เป็นไร มีข้อมูลมันย่อมต้องดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นสงครามมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าผลที่ออกมากับความเป็นจริงมันไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นเราค่อยมาปรับใหม่ก็ได้”


“พระองค์ตรัสถูกต้องเพคะ…” แม่มดน้ำแข็งพยักหน้า สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม “จากประสบการณ์ของสมาพันธ์ที่ผ่านมา และการวิเคราะห์สายแร่ที่ไลต์นิ่งค้นพบ เสาโอเบลิสที่แปรสภาพมาจากสายแร่ที่มีขนาดเท่ากับสายแร่ที่เมืองทาคิลาจะสามารถส่งหมอกแดงออกมาได้ไกลถึงที่นี่….”


ปลายนิ้วของเธอมีผลึกน้ำแข็งงอกออกมา ก่อนจะชี้ไปยังมุมหนึ่งบนแผนที่


“นี่มัน…เกาะอาชดยุค?” เอดิธส์พูดเหมือนคิดอะไรอยู่


“ถูกต้อง ถ้าย้ายตำแหน่งของรอยแตกขนาดใหญ่นี้มาที่ทาคิลา เส้นขอบเส้นนี้ก็จะประมาณเทือกเขาสิ้นวิถี” อกาธาอธิบายต่อ “แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในทันที การขยายตัวของหมอกแดงนั้นต้องใช้เวลา ยิ่งขยายออกไปไกลมันก็จะยิ่งช้า ถ้าจะให้มันปกคลุมไปได้ไกลร้อยกิโลเมตรก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน


ตอนนี้ดูแล้วเหมือนการบุกโจมตีทาคิลาก่อนจะเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ โรแลนด์แอบคิดในใจ เพราะไม่อย่างนั้นเทือกเขาสิ้นวิถีที่เป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติที่ถูกหมอกแดงคืบใกล้เข้ามาก็คงไม่อาจป้องกันสี่อาณาจักรใหญ่ได้อีก หรือต่อให้โจมตีช้ากว่านั้นอีกเพียงนิดเดียว อย่างเช่นตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะปูรางเหล็กเข้าไปถึงระยะสิบกิโลเมตรจากทาคิลา การโจมตีของกองทัพที่หนึ่งก็คงจะถูกหยุดเอาไว้ด้วยหมอกแดงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า โดยเฉพาะหมอกแดงนั้นสร้างอันตรายให้กับแม่มดถึงชีวิต หากทำสงครามต่อไปในสถานการณ์แบบนี้ กองทัพก็จะเหมือนถูกปิดตาปิดหูเอาไว้ ถึงแม้จะมีความได้เปรียบในเรื่องการยิงระยะไกล แต่ก็ยากที่จะแสดงมันออกมาได้


“ดูเหมือนพวกเราคงต้องชิงลงมือก่อนซะแล้วล่ะ” เขามองไปทางเอดิธส์ “กองเสนาธิการทหารใหญ่มีแผนอะไรหรือเปล่า?”


“มีแน่นอนเพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือถือได้ว่าเป็นคนที่ีสีหน้าเปล่งประกายที่สุดในห้องประชุม เพราะเธอเป็นคนที่เดาแผนการของปีศาจได้ก่อน “ถึงแม้การเคลื่อนไหวของศัตรูจะเร็วกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้ แต่ในทางกลศึกแล้ว การเอาเสาโอเบลิสไปตั้งอยู่บนสันหลังของทวีปนั้นเรียกได้ว่าพวกมันก็จนหนทางแล้วเหมือนกัน ถึงแม้มันจะเป็นสถานที่ในการหลบซ่อนที่ดี แต่มันกลับไม่เหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่บุกโจมตี นี่ทำให้พวกเรายังมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเพคะ อันดับแรกมีอยู่เรื่องนึงที่สมาชิกทุกคนในกองเสนาธิการทหารใหญ่เห็นพ้องต้องกัน นั่นก็คือถ้าหากศัตรูปรากฏตัวขึ้นที่อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์จริงๆ อย่างนั้นแนวป้องกันของพวกเราจะไม่ใช่เกรย์คาสเซิลเด็ดขาด หากแต่เป็นที่นี่”


เธอชี้ไปบนแผนที่


ภูเขาเคจเมาเธ่นของอาณาจักรดอว์น


…………………………………………………………………..


ตอนที่ 1231 ความหวัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เหตุผลนั้นง่ายมาก” เอดิธส์ชิงอธิบายต่อโดยไม่รอให้คนอื่นถาม “เคจเมาเธ่นนั้นเป็นเทือกเขาแนวยาวที่แยกตัวมาจากเทือกเขาสิ้นวิธี แล้วก็เป็นจุดที่สูงที่สุดของชายแดนอาณาจักรดอว์นด้วย แนวคิดนี้คล้ายๆ กับแนวคิดแนวป้องกันเขาสิ้นวิถีในตอนแรก ด้วยความในเปรียบของภูมิประเทศ กองพันปืนใหญ่ของกองทัพที่หนึ่งจะมีขอบเขตการยิงที่กว้างมาก ความสามารถในการเคลื่อนไหวของศัตรูจะถูกจำกัดเอาไว้ เพราะว่าจำนวนของอสูรสยองที่บินได้นั้นมีจำนวนที่น้อยกว่าปีศาจคลุ่มคลั่งมาก”


“อันดับต่อไปจากข้อมูลที่ทางทาคิลาแจ้งมา หมอกแดงนั้นจะตกไปรวมตัวกันอยู่ในที่ต่ำได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งอยู่ตรงชายขอบหมอกแดงก็จะยิ่งเบาบาง ด้วยเหตุนี้การสร้างแนวป้องกันเอาไว้บนที่สูงจึงเป็นประโยชน์ต่อแม่มด จากรายงานที่ได้รับมาจากแนวหน้า ตอนนี้พวกเขาได้เตรียมตัวพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว”


“สุดท้ายก็คือแผนการเรเดียชั่นของฝ่าบาท” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มองไปรอบๆ “พวกเราต่างรู้ดีว่าแผนการนี้ต้องพึ่งพาแร่ที่เอามาจากภูเขาเคจเมาเธ่น ในตอนที่ยังไม่สามารถหาแร่อื่นมาทดแทนมันได้ เคจเมาเธ่นจึงเป็นพื้นที่ที่พวกเราไม่อาจปล่อยทิ้งไปได้”


ภายในที่ประชุมไม่มีใครแสดงความสงสัยออกมา


เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนว่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายของแผนการเรเดียชั่นมันหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วก็ยากจะจินตนาการได้ด้วยว่าเจ้าลูกกลมๆ ที่เล็กจนมองไม่เห็นเหล่านั้นมันมีพลังมากมายแค่ไหนกันแน่ แต่แค่เพียงคำพูดประโยคเดียวของโรแลนด์ พวกเขาก็มองมันเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการศึกในอนาคตเสียแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ทำให้โรแลนด์รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก


นี่น่าจะเป็นความพึงพอใจสูงสุดในอาชีพวิศกรของเขาแล้วล่ะ


“แต่พวกเราก็ไม่อาจทิ้งอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทไปได้” เขามองไปทางเอดิธส์ “เพราะถ้าอยากจะเอาชนะสงคราม เกรย์คาสเซิลก็จำเป็นต้องมีประชากรจำนวนมาก”


“เพคะฝ่าบาท ดังนั้นในช่วงเวลาที่หมอกแดงปรากฏขึ้นมาจนกระทั่งกระจายตัวไปเรียบร้อย ภารกิจสำคัญของกองทัพที่หนึ่งก็คือการเคลื่อนย้ายประชากร แล้วก็พยายามทำให้ศัตรูบุกเข้ามาให้ช้าลง หม่อมฉันคิดว่าปีศาจน่าจะไม่นั่งดูหมอกแดงค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตาแน่ พวกมันน่าจะพยายามชิงสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นมาเหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อน”


ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือชะงักไปเล็กน้อย “ทูลตามตรงเพคะ การที่จู่ๆ พระจันทร์สีแดงก็ปรากฏขึ้นมานั้นเรียกได้ว่าเป็นการช่วยเหลือกองทัพที่หนึ่ง เมื่อไรที่ได้เห็นศัตรูต่างเผ่าพันธุ์ คนของอีเทอร์ทอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทก็จะรู้เองว่าควรจะอยู่ฝั่งไหน เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นฝ่ายพวกเขาเองที่ร้องขอจะอพยพมาที่เกรย์คาสเซิลเพคะ”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ มุมปากของเธอก็ยกขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงเอาไว้ด้วยความหมายอย่างอื่น


ต่อให้ต้องมีคนตายไปเป็นจำนวนมากก็ตาม


โรแลนด์แอบถอนใจ


ในเวลานี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอดิธส์ถึงมีความสุข มันก็คล้ายๆ กับข่าวที่เขาเคยเห็นในสมัยที่อยู่ในโลกก่อนที่บอกว่ามีชาวบ้านคัดค้านการสร้างเสาสัญญาณโทรศัพท์แม้จะต้องสูญเสียสัญญาณโทรศัพท์ไปก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งชะตาชีวิตนี้ เขากลับไม่อาจนั่งมองคนเหล่านั้นตายโดยไม่ทำอะไรได้


“ปีนี้ผลผลิตทองคำหมายเลขสองของแต่ละที่น่าจะอุดมสมบูรณ์อย่างมาก” โรแลนด์หันไปสั่งบารอฟ “เจ้าไปจัดทำแผนขึ้นมา จัดเสบียงอาหารส่วนหนึ่งส่งไปยังอาณาจักรดอว์นเพื่อให้แน่ใจว่าชาวบ้านที่หลบหนีเหล่านั้นจะมีข้าวกิน”


“ฝ่าบาท ถ้ากระหม่อมเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ทันทีที่รายงานได้รับการยืนยัน กองทัพที่หนึ่งก็จะเคลื่อนพลไปทางเคจเมาเธ่นทันที นี่จะทำให้การขนส่งหลังจากนี้ยากลำบากขึ้นมา” หัวหน้าสำนักบริหารทำหน้าลำบากใจ “กระหม่อมไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถส่งเสบียงให้กับกองทัพที่หนึ่งพร้อมส่งเสบียงให้ชาวบ้านที่อพยพได้ทันเวลาหรือเปล่า ต่อให้เช่าเรือของหอการค้าที่ฟยอร์ดมาทั้งหมดมันก็แน่ว่าจะพอพ่ะย่ะค่ะ”


นี่ีืเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เป็นเรือใบที่ใหญ่ที่สุดของฟยอร์ด ความสามารถในการขนส่งของมันก็ยังไม่มากพอสำหรับสภาวะสงครามเช่นนี้ ตอนนี้เพียงแค่การขนย้ายผู้อพยพก็เรียกได้ว่าเต็มความจุแล้ว


“นอกเสียจาก…พวกเราจะสามารถสร้างรางเหล็กตรงไปยังอาณาจักรเพื่อนบ้านได้อีก…” บอรอฟทำสีหน้าลังเลในขณะที่พูด เขารู้ดีว่างานวิศวกรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากแค่ไหน ทุกครั้งนี้จะเอาเงินในคลังออกมาใช้ เขาเหมือนกำลังรู้สึกเฉือนเนื้อตัวเองออกมาอย่างไรอย่างนั้น


“เวลาคงจะไม่ทัน” โรแลนด์ส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ใช้ทรัพยากรไปกับการสร้างรางเหล็กบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไปจำนวนมากแล้ว ถ้าอยากจะสร้างมันไปถึงอาณาจักรดอว์น มันจะต้องส่งผลกระทบต่อการผลิตอื่นๆ แน่”


รางเหล็กที่ทอดยาวจาป่าเร้นลับไปจนถึงซากเมืองทาคิลานี้ใช้เหล็กกล้าไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็ใช้เวลาในการสร้างถึงครึ่งปี แถมในช่วงแรกยังมีความช่วยเหลือจากลีฟ แล้วก็เป็นการสร้างไปบนที่ราบ แต่เส้นทางจากเนเวอร์วินเทอร์ไปจนถึงเคจเมาเธ่นนั้นไม่ได้สะดวกเหมือนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ เพียงแค่ระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างก็ยากที่จะประเมินได้แล้ว


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมก็คิดเช่นนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ…” บารอฟดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


“ทำแผนขึ้นมาจากทรัพยากรที่มีอยู่ในตอนนี้ออกมาก่อนแล้วกัน ต่อให้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งประหยัดแล้ว” โรแลนด์พูด “ส่วนเรื่องการขนส่ง เดี๋ยวข้าจะคิดหาวิธีดู”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


จากนั้นเขาก็มองไปทางเอดิธส์ “แนวคิดที่จะใช้ภูเขาเคจเมาเธ่นเป็นเส้นแบ่งเขตนั้นใช้ได้ กองเสนาธิการทหารใหญ่รีบทำแผนออกมา หลังจากนี้ค่อยมาคุยกันทีละประเด็น”


สำหรับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของอีกฝ่าย ต่อให้ตัวเองไม่พูดอะไรมาก อีกฝ่ายย่อมต้องรู้ถึงความเร่งด่วนของมันอย่างแน่นอน


“เพคะฝ่าบาท” เอดิธส์รับคำ


โรแลนด์ลุกขึ้นมากวาดสายตามองดูทุกคนในห้องประชุม “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดเอาไว้แล้วว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามจะเป็นสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ ตอนนี้มันได้มาถึงแล้ว ชัยชนะในศึกทาคิลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความพ่ายแพ้เมื่อ 400 ปีก่อนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ข้าอยากจะให้ทุกคนพยายามและแสดงศักยภาพของตัวเองในศึกครั้งนี้ออกมาอย่างเต็มที่ ประวัติศาสตร์จะต้องจดจำวันนี้เอาไว้!” เขาพูดเสียงดังขึ้น “ฟังให้ดี ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร ข้าก็มีคำขอเพียงหนึ่งเดียว สงครามครั้งนี้พวกเราต้องชนะ ห้ามแพ้เด็ดขาด!”


“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนตอบพร้อมกัน


คืนนี้ไม่มีใครหลับได้ลงอีก


ในขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายออกไปจากห้องประชุมของปราสาท โรแลนด์พลันเรียกทิลลีเอาไว้


“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย”


…..


เมื่อกลับมาถึงห้องทำงาน โรแลนด์ก็ให้ไนติงเกลออกไปจากห้องก่อน จากนั้นเขาจึงปิดประตูห้อง


ทิลลีเลิกคิ้ว “แม้แต่ไนติงเกลก็ฟังไม่ได้เหรอ? ดูเหมือนท่านจะไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อถามเรื่องความคืบหน้าของการฝึกอัศวินอากาศซะแล้ว”


เขาไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้กับเธอแล้วก็ตัวเอง รสชาติของมันไม่อาจถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด แต่มันก็ถือว่าใช้คลายอารมณ์ได้ดีทีเดียว


เมื่อเห็นโรแลนด์ไม่พูด ทิลลีก็ไม่ได้ไปไล่ถาม หากแต่ค่อยๆ จิบเครื่องดื่ม เหมือนกำลังรอให้เขาทำลายความเงียบขึ้นมา


โรแลนด์จ้องมองน้องสาว ‘ในนาม’ คนนี้ ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเทียบกับองค์หญิงลำดับที่ห้าคนก่อนนี้แล้ว ทิลลี วิมเบิลดันในตอนนี้เหมือนจะมีความสุขุมขึ้นมาก ไม่ว่าจะสีหน้าหรือท่าทางก็ล้วนแต่เหมือนผู้ปกครองคนหนึ่ง เพียงแต่ถ้าเทียบกับที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ เขากลับชื่นชอบสาวน้อยที่ขลุกอยู่กับอันนาในฤดูหนาว เที่ยวเล่นไปตามใจชอบ พลิกอ่านหนังสือกองใหญ่แล้วก็คอยคุยกับพี่น้องแม่มดว่าปัญหาข้อนี้ทำยังไงมากกว่า


ถ้าเป็นแค่แบบนี้ก็ว่าไปอย่าง เพราะอันที่จริงไม่มีใครที่จะคงลักษณะนิสัยแบบเดิมไปได้ตลอด แต่การเปลี่ยนแปลงของทิลลีนั้นเร็วเกินไป นับตั้งแต่วันที่แอชเชสเสียสละตัวเองจนถึงวันที่เธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา เธอก็สลัดคราบเด็กสาวที่สดใสคนนั้นทิ้งไปจนหมดในเวลาแค่เพียงไม่กี่วัน ไม่ใช่เท่านี้ ความแค้นที่เธอมีต่อปีศาจก็เพิ่มมากขึ้นจนแสดงออกมาทางสายตา ถึงแม้หลังจากนั้นเธอจะไม่ค่อยได้พูด แต่จาก ‘คำขอเพียงหนึ่งเดียว’ ของอีกฝ่าย โรแลนด์ก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจอย่างรุนแรง


นั่นคือการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด


สำหรับเธอแล้ว เหมือนว่าโลกนี้มันไม่มีสีสันอีกต่อไป


ตอนนี้เขาได้รับรู้มาจากมิสต์ว่าทุกอย่างมันอาจจะย้อนกลับคืนมาได้ เมื่อคิดถึงระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลของโลกแห่งจิตสำนึก วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือทำให้แอชเชสกลับมามีชีวิตใหม่ แล้วให้เธอเป็นคนบอกทิลลีเอง เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังอย่างรุนแรงซ้ำสอง แต่เขาก็รู้อีกเหมือนกันว่าด้วยสภาพจิตใจของทิลลีในตอนนี้ มันอาจจะทำให้เธอไม่สามารถก้าวผ่านสงครามแห่งโชคชะตาไปได้อย่างราบรื่น


ถ้าพูดมันออกมา บางทีมันอาจจะทำให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม


แต่ถ้าสุดท้ายมันไม่สำเร็จ เธอก็จะตกอยู่ในความสิ้นหวังที่ลึกมากขึ้นกว่าเดิม


แล้วก็เป็นเพราะความคิดทั้งสองนี้กำลังตีกันอยู่ในหัว จึงทำให้เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมา


แต่ว่าต่อให้ความเงียบยาวนานแค่ไหนมันก็มีจุดสิ้นสุด


โรแลนด์รู้ดีว่าความจริงตัวเองได้ทำการตัดสินใจตั้งแต่ที่เรียกทิลลีเข้ามาแล้ว


แต่ที่จะมานั่งเสียใจที่หลัง เขาเลือกที่จะเอาความหวังในอนาคตมาวางไว้ที่ปัจจุบันดีกว่า


“ท่านพี่?” น่าจะเป็นเพราะจ้องมองอยู่นาน ทิลลีจึงหลบสายตาเล็กน้อยพร้อมถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


โรแลนด์สูดหายใจ แล้วค่อยๆ พูดออกมา “คำพูดที่ข้าจะพูดต่อไปนี้บางทีมันอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกเจ้าว่า…”


“แอชเชสอาจจะยังมีชีวิตอยู่”


……………………………………………………


ตอนที่ 1232 พี่ชาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ร่างกายทิลลีสะดุ้งขึ้นมาทันที เธอค่อยๆ หันหน้ามาอย่างช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่สับสน เหมือนกับกำลังสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า “ท่านว่า…อะไรนะ?”


“ข้าบอกว่า แอชเชสอาจจะยังมีชีวิตอยู่” โรแลนด์พยายมพูดซ้ำอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้พอพูดออกไปแล้วก็จะไม่มีมันแก้ไขอะไรได้อีก


“ไม่…ท่านพี่” เธอพยายามฝืนยิ้มเอาไว้ “ต่อให้ท่านอยากจะปลอบข้า แต่ท่านก็ไม่ควร…”


“แต่ที่บอกว่ามีชีวิตอยู่นั้นอาจจะไม่มีกับที่เจ้าคิดเอาไว้เท่าไร” โรแลนด์พูดตัดบท “บอกตามตรง ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ข้าก็ตกใจไม่ต่างจากเจ้า แล้วก็รู้ด้วยว่าการที่เอาเรื่องนี้มาบอกเจ้าก่อนจะยืนยันให้แน่ใจนั้นดูจะไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับเจ้าเท่าไร แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็คิดว่ามันดีกว่าจะมานั่งเสียใจทีหลัง”


ทิลลีปิดปากลง


เธอจ้องมองโรแลนด์เหมือนว่ากำลังย่อยเนื้อหาที่เธอได้ฟังมาเมื่อครู่นี้อยู่ ในตอนนี้เธอเหมือนจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เธอคิดแน่นอน


ถ้าว่ากันเรื่องความสามารถในการรับรู้และระดับความเร็วในการครุ่นคิดแล้ว ทิลลีเรียกได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเหล่าแม่มดเลยก็ว่าได้


หลังผ่านไปประมาณ 15 นาทีเธอจึงถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า “ท่านไปฟังใครพูดมา?”


“มิสต์”


“ไม่เคยได้ยินมาก่อน…” ทิลลีครุ่นคิด “หรือว่า…จะเกี่ยวกับโลกแห่งความฝัน?”


สมแล้วที่เป็นคนที่คุยกับอันนาได้อย่างสนุกสนาน โรแลนด์ตอบอย่างคร่ำเคร่งว่า “อย่าใจร้อน เดี๋ยวข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”


….


กระทั่งเขาเล่าจบแล้ว ท้องฟ้านอกห้องจึงค่อยๆ สว่างขึ้น แสงแดดยาวเช้าอันอ่อนโยนโผล่ขึ้นมาจากด้านหลังภูเขา หลังคาบ้านเรือนที่อยู่ไกลออกไปสะท้อนแสงสีทองจางๆ ออกมา


ทิลลีเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นท้องฟ้าด้านนอก เธอบ่นพึมพำอย่างเหม่อลอย “ก็หมายความว่า…ขอเพียงควบคุมโลกแห่งจิตสำนึกได้ เราก็จะพาแอชเชสที่ยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่น้อยนิดกลับมาได้?”


“ตามหลักแล้วเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์พยักหน้า “จากที่มิสต์บอกมา หลังจากที่แม่มดกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ พวกเธอจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่โลกแห่งจิตสำนึก ในจุดนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่คาบราดาบีให้มา”


ในตอนที่สอบสวนปีศาจระดับสูงที่ถูกจับมาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายเคยบอกโซอี้ว่าวิญญาณของพวกมันจะถูกแหล่งกำเนิดเวทมนตร์รับเอาไว้ วันใดที่เผ่าพันธุ์ของมันขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด พวกมันก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้คำพูดนี้จะไม่ทราบแหล่งที่มาแน่ชัด แล้วก็แตกต่างจากคำอธิบายของมิสต์อย่างมาก แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน


นั่นก็คือโลกแห่งจิตสำนึกมีความสามารถในการรับเอาวิญญาณเอาไว้


“ไม่ใช่เท่านี้ ในบันทึกโบราณของอารยธรรมใต้ดินก็ยังเขียนเอาไว้ด้วยว่าการไล่ตามไปบนเส้นทางของเจตจำนงแห่งพระเจ้าก็คือการไต่ขึ้นไปบนบันไดแห่งพลังเวทมนตร์ ในวันหนึ่ง ผู้ชนะจะไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้า ถ้ามองว่าโลกแห่งจิตสำนึกเป็นปลายทางของพลังเวทมนตร์ อย่างนั้นมันก็สอดคล้องกับคำพูดของมิสต์” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แต่เมื่อคำนึงถึงว่าข้อมูลที่อารยธรรมเหล่านี้ได้รับมาอาจจะมาจากสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า ดังนั้นเราจึงไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดก็คือไปดูด้วยตาตัวเอง”


“ท่านพี่…”


“วางใจได้ ข้าจะรีบหาทางเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแล้วช่วยแอชเชสออกมา ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ น่ะนะ และก่อนที่จะถึงเวลานั้นข้าก็อยากจะให้เจ้ารักษาตัวเองให้ดี เพื่อที่นางจะได้ไม่มาหาเรื่องข้าภายหลัง เพราะเวลาที่สุดยอดอมนุษย์โมโหขึ้นมา ข้าคงจะรับมือไม่ไหวหรอกนะ…” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ เพื่อที่จะได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่เขากลับพบว่าปฏิกิริยาของทิลลีดูแปลกๆ


เธอก้มหน้า ไหล่ของเธอสั่นขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดอะไรเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา โรแลนด์ต้องกลั้นหายใจถึงจะได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย


“ดีจังเลย…ดีจังเลย…”


เขานิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อทันที


น้ำตาหยดลงไปบนฝ่ามือของทิลลี ก่อนจะแตกกระจายเป็นหยดน้ำเล็กๆ


เมื่อเห็นองค์หญิงลำดับที่สุดตัวสั่นขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายเขาจึงถอนใจออกมาพร้อมกับยื่นมืออกไปลูบหัวอีกฝ่าย


ทันใดนั้นเอง ทิลลีก็โผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่น การตอนแรกที่แค่สั่นเล็กน้อยก็เริ่มร้องไห้เสียงดังออกมา ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่โรแลนด์กลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


ครั้งนี้ทิลลีไม่ได้ร้องไห้เป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังหลั่งน้ำตาอยู่สิบกว่านาที อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆ สงบลง ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของโรแลนด์ เธอใช้มือดันหน้าของโรแลนด์ให้หันไปอีกด้าน


“ไม่…ห้ามมอง”


จากนั้นก็มีเสียงเช็ดน้ำมูกและน้ำตาดังตามขึ้นมา


ผ่านไปครู่หนึ่ง โรแลนด์ถึงได้รับอนุญาตให้หันหน้ากลับมาได้


“ขอโทษด้วย…ที่ทำให้ท่านเป็นห่วง” ทิลลีพูดเสียงเบาๆ


“รู้ก็ดีแล้ว” โรแลนด์เอาสองมือกอดอก “เรื่องที่เจ้าคุยกับข้าครั้งที่แล้ว เจ้าก็น่าจะลองคิดใหม่ดูให้ดีนะ…”


“ท่านหมายถึงเครื่องบินที่ใช้จัดการพวกปีศาจได้น่ะเหรอ?” ทิลลีกะพริบตา “เรื่องนั้นไม่ได้ ท่านพี่”


“เฮ้..”


“เพื่อที่จะไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์ให้เร็วที่สุด ท่านจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือจากข้า ตอนนี้ปีศาจอาจจะตั้งเสาโอเบลิสที่สมบูรณ์เรียบร้อยแล้วก็ได้ แล้วนั่นก็จะทำให้เรายากที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของอสูรสยองได้ด้วย ถ้าไม่ยึดน่านฟ้าเอาไว้ เกรงว่ากองทัพที่หนึ่งคงยากที่จะทำลายฐานที่มั่นของศัตรูได้” ทิลลียื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้วเพื่อหยุดโรแลนด์ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ข้ามีความคิดที่ว่าขอเพียงกำจัดปีศาจได้มากที่สุดก็พอ ตัวเองจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว”


“ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็น่าจะรู้ดีกว่าการไปงมหาอะไรด้วยตัวเองกับการมีคนคอยชี้นำมันแตกต่างกันอย่างมาก ในบรรดาอัศวินอากาศไม่มีใครรู้ว่าควรจะรบกับปีศาจอย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องรีบหาทางรับมือกับปีศาจให้ได้โดยเร็วที่สุด แล้วก็ถ่ายทอดวิธีพวกนั้นให้กับพวกเรา แต่คนที่จะทำแบบนั้นได้ก็มีแต่ข้าเท่านั้น” เธอตบหน้าอกตัวเอง “ข้าขอรับรองเลยว่าข้าจะต้องอยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันที่ท่านเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแน่นอน”


โรแลนด์พบว่าตัวเองไม่อาจพูดปฏิเสธได้ ในสายตาของทิลลีตอนนี้เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ ส่วนความสุขุมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ลดลงไปเท่าไร


“เอาล่ะ…แต่ก็จำที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ให้ดีล่ะ”


“แน่นนอน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็…ขอบคุณนะที่บอกข้าเรื่องนี้”


“เสียดายที่ข้าไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ววิธีนี้มันจะได้ผลหรือเปล่า….”


“แค่นี้ก็พอแล้ว อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว” ทิลลีเอาหน้าผากซบลงไปบนหน้าอกโรแลนด์อีกครั้ง “ดีจริงๆ ที่มีท่านเป็นพี่ชาย…”


….


หลังจากที่ทิลลีออกไป ไนติงเกลก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องทำงานอีกครั้ง “พระองค์ตรัสอะไรกับองค์หญิงทิลลีกันแน่เพคะ? ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระองค์เดินออกจากห้องไป เหมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย…”


“เรื่องความสัมพันธ์ของโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ ถ้าเจ้าอยากจะรู้ล่ะก็ เอาไว้ข้าเล่าให้เจ้าฟังก็ได้ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้” โรแลนด์จัดเรียงแปลนออกแบบที่อยู่ในมือ “เมื่อกี้ข้าได้รับแจ้งมาจากฮันนี่ หลังจากนี้สองวันกองเรือน่าจะมาถึงท่าเรือของแม่น้ำ น่าจะเป็นพวกชาวบ้านกลุ่มแรกที่ย้ายมาจากวูล์ฟฮาร์ทนั่นแหละ และก่อนที่จะถึงเวลานั้น ข้าอยากจะจัดการวาดแปลนในแผนการใหม่ให้เสร็จเรียบร้อย”


ไนติงเกลยักไหล่ “หม่อมฉันยังไงก็ได้เพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันก็เคยบอกพระองค์แล้วไม่ใช่เหรอเพคะ ถ้าพระองค์ไม่อยากพูด หม่อมฉันก็จะไม่ถามเด็ดขาด” เธอเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะก้มมองดูแปลนอย่างละเอียด “เจ้าสิ่งนี่…มันคล้ายๆ กับที่อันนาขับเล่นอยู่ในสวนวันก่อนเลยนี่เพคะ”


“มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ แต่แค่ขยายขึ้นหลายเท่าเท่านั้น” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “ในการประชุมก่อนหน้านี้บารอฟพูดถึงเรื่องปัญหาการขนส่งใช้ไหมล่ะ? เจ้านี่แหละคือทางออกของปัญหานั้น”


นอกจากรถไฟที่มีมูลค่าในการสร้างที่สูงลิ่วแล้ว มันยังมีเครื่องมืออีกอย่างที่มีราคาถูกที่ใช้ในการขนส่งทางภาคพื้นดินได้ นั่นก็คือรถบรรทุก พวกมันมีหลายชนิด ถึงแม้ความสามารถในการขนส่งจะสู้รถไฟไม่ได้ แต่มันกลับมีความคล่องแคล่วกว่า ความยากในการสร้างก็มีน้อยกว่ารถแทรกเตอร์ ขอเพียงมีถนนเรียบๆ พวกมันก็สามารถวิ่งไปได้อย่างอิสระ


อาณาจักรเกรย์คาสเซิลและอาณาจักรดอว์นนั้นมีระบบแม่น้ำอยู่ภายในอาณาจักร เพียงแต่พวกมันไม่ได้เชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งรถบรรทุกนั้นสามารถชดเชยในจุดอ่อนตรงนี้และทำให้ระบบการคมนาคมทางบกและทางน้ำของทั้งสองอาณาจักรกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน


………………………………………………………………


ตอนที่ 1233 ถูกขัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อย่างนี้นี่เอง” ไนติงเกลครุ่นคิดอยู่ครู่ “ถ้าเทียบกับรางเหล็กที่ต้องสร้างต่อเป็นแถวยาวแล้ว การทำถนนเฉพาะช่วงที่แม่น้ำสองเส้นไม่เชื่อมต่อกันนั้นประหยัดเวลาได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการสร้างรางเหล็กก็ต้องพึ่งพาอันนากับคนงานที่เชี่ยวชาญด้วย แต่ถนนธรรมดานั้นใครจะมาสร้างก็ได้ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่เพิ่งจะอพยพมาก็ยังทำได้ แบบนี้พวกเราก็จะประหยัดเวลาไปได้มาก!”


“ถูกต้อง ซึ่งนี่ก็คือข้อดีอีกข้อของมัน” โรแลนด์พูดชม “ขอเพียงวางแผนให้ดี อย่างมาก 1 – 2 เดือนก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งได้แล้ว สำหรับพวกเราที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาแล้วถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ดูเหมือนบางครั้งเจ้าก็รู้เหมือนกันนะเนี่ยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”


“ฮี่ๆ แน่นอน…ไม่สิ” มุมปากที่ยกขึ้นมาของไนติงเกลหุบลงไปอย่างรวดเร็ว “อะไรคือบางครั้งเพคะ! ขอเพียงหม่อมฉันตั้งใจคิด หม่อมฉันก็ทำได้เหมือนกันเพคะ ไม่ว่าจะช่วยพระองค์ทำงาน หรือว่าเรื่องสอบ…”


ถึงแม้เธอจะพูดขึงขัง แต่พอพูดถึงครึ่งหลังเสียงของเธอดูเบาลงอย่างชัดเจน


โรแลนด์อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้


บางทีสำหรับไนติงเกลแล้ว สิ่งที่สำคัญก่อนจะไปตั้งใจคิดได้ก็คืออย่าปล่อยให้ตัวเองหลับไปเสียก่อน


เขาเลื่อนสายตากลับมายังแปลนออกแบบที่วางอยู่บนโต๊ะ ถ้าอยากจะเชื่อมเส้นทางการคมนาคมทางน้ำของเกรย์คาสเซิลและดอว์นเข้าด้วยกัน วิธีที่เร็วที่สุดก็คือสร้างถนนที่ตรงไปยังเมืองอีเทอร์นอลไนท์ตรงจุดที่เลี้ยวไปยังดินแดนตะวันออกของแม่น้ำแดง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปทางเหนือ แล้วค่อยเชื่อมต่อกับแม่น้ำของอาณาจักรเพื่อนบ้านที่วินด์สวิปริดจ์


และจุดกำเนิดแม่น้ำเส้นนี้ก็มาจากที่ราบสูงเฮอร์มีส โดยแม่น้ำสายหลักได้แบ่งออกเป็นแม่น้ำสายย่อย 3 สายที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า แม่น้ำสองเส้นในนั้นไหลผ่านอาณาจักรดอว์นทั้งอาณาจักรจากเหนือลงใต้ สุดท้ายจึงไหลลงสู่ทะเล และเมื่อจะใช้ประโยชน์จากการขนส่งทางน้ำให้มากขึ้น ตระกูลโมยาจึงขุดลอกคลองจากทิศตะวันออกตรงไปยังทิศตะวันตกอีกสามเส้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางการค้าภายในอาณาจักรดอว์นอย่างมาก แล้วก็ยังเป็นทางลัดให้กับโรแลนด์ด้วย


โรแลนด์ต้องสร้างถนนข้ามจากแม่น้ำสปาร์คกิ้งไปยังแม่น้ำนอร์ธไซด์ แล้วค่อยสร้างถนนตรงไปยังภูเขาเคจเมาเธ่นอีกเส้น ทั้งสองที่ที่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตรก็จะมี ‘เส้นทางเฉพาะ’ ให้ใช้ ถ้าเทียบกับรางเหล็กที่มีต้นทุนที่สูงลิ่วแล้ว แผนการนี้ขอเพียงสร้างถนนขึ้นมาสองช่วง ระยะรวมกันแล้วไม่ถึง 200 กิโลเมตรกับท่าเรือสำหรับใช้ขนของอีก 3 แห่งเท่านั้น


เมื่อคิดถึงเรื่องที่น้ำหนักของรถบรรทุกอาจจะสร้างความเสียหายให้กับถนน ถ้าหากแค่ให้โลตัสปูถนนให้เรียบแล้วให้คนงานโปรยหินลงไป ใช้ไปไม่นานเท่าไรก็คงต้องส่งคนไปซ่อมแซมแน่นอน ถ้าเจอฝนตกหนักก็จะยิ่งพังเสียหายได้งาย ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงคิดจะสร้างเป็นถนนคอนกรีตเหมือนกับเนเวอร์วินเทอร์


ตอนนี้คอนกรีตไม่ได้ถือเป็นของที่หายากสำหรับเนเวอร์วินเทอร์อีกแล้ว แต่ว่าการจะขนมันไปที่อาณาจักรดอว์นก็เป็นเรื่องที่เปลืองแรงและเปลืองเวลาเหมือนกัน แทนที่จะเสียเวลาขนมันไป สู้ผลิตคอนกรีตขึ้นมาที่นั่นเลยจะสะดวกกว่า


หลังจัดการแปลนเสร็จเรียบร้อย โรแลนด์ก็ยกปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับฮอฟอร์ด ควินน์ผู้เป็นพ่อของแอนเดรียและราชาของอาณาจักรดอว์น


เขาตัดสินใจที่จะส่งช่างเทคนิคกลุ่มหนึ่งไปยังเมืองกลอรี แล้วก็ถ่ายทอดเทคนิคการทำคอนกรีตและการประกอบเรือจักรไอน้ำให้กับสามตระกูลใหญ่ เพื่อให้พวกเขาสร้างโรงงาน ซ่อมถนน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์


เขาเชื่อว่าขุนนางพวกนั้นจะต้องมองเห็นคุณค่าของคอนกรีตอย่างแน่นอน


เมื่อมีเทคโนโลยีทั้งสองอย่างนี้ อาณาจักรดอว์นก็จะสามารถแก้ไขปัญหาการขนส่งภายในอาณาจักรด้วยตัวเองได้


ส่วนตัวเครื่องจักรไอน้ำนั้น ทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยังคงเป็นคนจัดหาให้ ไม่ใช่ว่าเขาหวงไม่อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้ หากแต่เป็นเพราะนอกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว เมืองอื่นๆ ล้วนแต่ไม่มีพื้นฐานทางอุตสาหกรรม หากมีเทคโนโลยี แต่วัตถุดิบต่างๆ ยังต้องส่งไปจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์มันก็ไม่มีความหมาย อย่างนั้นสู้ส่งเครื่องจักรที่ประกอบสำเร็จแล้วไปดีกว่า


โรแลนด์ไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะแอบแข็งข้อไม่ยอมทำตามคำสั่ง เพราะถ้าหมอกแดงปรากฏขึ้นที่ยอดเขาสิ้นวิถีจริงๆ ฮอฟอร์ดก็น่าจะได้ข่าวอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตอนนั้น เขาย่อมต้องรู้เองว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด


….


หลังจากนั้นสองวัน โรแลนด์ก็ได้เห็นภาพผู้อพยพกลุ่มแรกมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์จากบนยอดตึกปาฏิหาริย์


กองเรือที่ยาวเหยียดจนแทบจะมองไม่เห็นท้ายแถว ควันสีขาวสลับกับสีดำก่อตัวเป็นเหมือนกำแพงสูง ชาวบ้านจำนวนมากที่ยืนเบียดเสียดอยู่บนสะพานค่อยๆ เดินลงมาที่ท่าเรือภายใต้คำแนะนำของตำรวจ พื้นที่ด้านข้างแม่น้ำแดงมีผู้คนยื่นแออัดอยู่เต็มไปหมดจนไม่มีพื้นที่ว่าง


“ทั้งหมด 50,000 คน…เหมือนกับพระองค์ทรงย้ายเมืองทั้งเมืองเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟอุทานออกมาด้วยความยินดีปนกังวล “กระหม่อมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นภาพคนของวูล์ฟฮาร์ทหรืออีเทอร์นอลวินเทอร์ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นหมื่นคนอย่างนี้ เห็นอย่างนี้แล้ว ตอนนี้กระหม่อมไม่กังวลเรื่องเรื่องเป้าหมายเพิ่มประชากร 2 แสนคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากแต่กังวลเรื่องเงินในคลังของพระองค์แทน”


“ยังมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการบริหารจัดการด้วย” คาร์เตอร์ที่เห็นหัวหน้าอัศวินพูดด้วยสีหน้ากังวล “คนต่างถิ่นเหล่านี้คงจะไม่รู้ถึงชื่อเสียงและบารมีของพระองค์เท่าไร เพื่อความปลอดภัยของพื้นที่ภายในเมืองแล้ว กระหม่อมแนะนนำว่าให้แยกพวกเขาออกไปในอยู่พื้นที่เฉพาะดีกว่า แบบนี้จะได้ดูแลได้ง่ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“ทำแบบนั้นพวกเขาก็จะไม่มีมันรวมเข้าไปเกรย์คาสเซิลได้สิ” โรแลนด์ส่ายหัว “ถ้ากองตำรวจขาดคนก็ไปให้บารอฟจัดการให้ คนที่ทำผิดกฎหมายลงโทษให้หนัก คนที่ทำงานดีก็มอบรางวัลให้ คนที่ไม่ยอมปรับปรุงตัวก็ส่งไปทำงานเหมือง สิ่งที่ข้าต้องการคือคนงาน ไม่ใช่ทาสที่ต้องมาคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเคลื่อนย้ายประชากรจำนวนมากเข้ามานั้นทำให้ความปลอดภัยของเมืองหลวงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากการที่ไม่ได้คัดกรองคนเข้ามา หากเขามีเวลามากพอ เขาก็ไม่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา ถึงแม้แผนการนี้จะมีปัญหาแอบแฝงอยู่ แต่เขาก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป


เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ประโยชน์ที่ได้จากการที่มีประชากรเพิ่มมากขึ้นนั้นมีมากกว่าผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่อาจเทียบได้


อย่างเช่นขอเพียงในประชากรห้าหมื่นคนนี้มีประชากรหมื่นคนที่สามารถเข้าไปทำงานในโรงงานได้ มันก็จะทำให้ปริมาณการผลิตอาวุธเพิ่มขึ้นเท่านึงจากที่มีอยู่ นี่หมายความว่าแนวหน้าจะมีอาวุธและกระสุน และอุปกรณ์ชนิดใหม่อื่นๆ ให้ใช้เพิ่ม


ในเวลานี้แรงงานและเทคโนโลยีต่างก็มีพร้อมแล้ว เขาสามารถเริ่มโปรเจคใหม่ที่ใช้ลูกบาศก์เวทมนตร์เป็นแหล่งใหม่อย่างเป็นทางการได้แล้ว


…..


ที่นี่…คือที่ไหน?


ตอนที่วัลคีรีย์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องสีขาวเหมือนหิมะ ไม่ว่าจะเป็นเพดานหรือว่ากำแพงก็ล้วนแต่สว่างจนแสบตา ด้านข้างร่างกายมีอุปกรณ์แปลกๆ ที่ส่งเสียงติ๊ดๆ อยู่ตลอดเวลา เหมือนเป็นเครื่องจับเวลาอะไรซักอย่าง บนหัวมีถุงของเหลวใสๆ ห้อยอยู่ถุงหนึ่ง แล้วก็มีหยดน้ำไหลออกมาผ่านท่อเป็นหยดๆ มันสังเกตเห็นว่าของเหลวเหล่านั้นเหมือนจะไหลเข้ามาในร่างกายของตัวเองอยู่ตลอดเวลา


ข้อมูลแปลกๆ หลั่งไหลเข้ามาในสมอง ทำให้มันยากที่จะตั้งตัวได้ทัน ทุกสิ่งรอบๆ ตัวล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือพูดอีกอย่างก็คือต่อให้มันเคยเห็นของเหล่านี้มา มันก็ยากที่จะเชื่อมโยงเข้ากับความทรงจำที่อยู่ในหัวได้


อย่างเช่นเสื้อแขนสั้นสีขาวที่อยู่บนตัวที่เดินด้ายละเอียดเหมือนกับเส้นผมนั้นไม่เหมือนกับเสื้อที่มันเคยเห็นมาก่อน


มันหลับตาลงแล้วเพ่งสมาธิเอาไว้ที่ตัวเอง ไม่ว่าจะแปลกแค่ไหน ทุกสิ่งก็ล้วนแต่เป็นสิ่งของนอกกาย ในเมื่อตอนนี้ตัวมันอยู่ในสถานที่แปลกๆ อย่างนั้นสิ่งเดียวที่มันจะพึ่งพาได้ก็คือความสามารถอันแข็งแกร่งของมัน


แต่หลังจากนั้นวัลคีรีย์ก็ต้องตกใจทันที


มันพบว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของมัน


ถึงแม้จะดูแล้วเหมือนกัน แต่หินเวทมนตร์ที่ฝังอยู่ในร่างกายกลับหายไป ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ อย่างนั้นมันก็น่าจะตายไปแล้วถึงจะถูก


แต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรเลย


พลังเวทมนตร์ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายของมัน แต่เป็นในรูปแบบที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน


ขณะเดียวกันมันก็สัมผัสถึงเสียงกระซิบของโลกแห่งจิตสำนึกไม่ได้


ไม่ว่าวัลคีรีย์จะรวบรวมสมาธิยังไง หรือว่ายอมเสียหน้าเรียกหาสกายลอร์ดอย่างไร มันก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา


นั่นหมายความว่ามันถูกขังอยู่ที่นี่แล้ว


…………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)