Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1226-1229

 ตอนที่ 1226 ใจที่ถูกคุมขัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โลกหลังจากปลดปล่อยแล้วจะกลายสภาพเป็นยังไง?” โรแลนด์ถามหยั่งเชิง “พวกเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร? หลุดพ้นจากโลกแห่งความฝัน กลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เหรอ?”


“บอกตามตรง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” มิสต์หัวเราะขึ้นมา “แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ดีกว่าถูกขังอยู่ที่นี่และค่อยๆ เสื่อมสลายลงไปทุกวัน อย่างน้อย…อนาคตมันก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ใช่ไหมล่ะ”


โรแลนด์จ้องมองดูอยู่ครู่ สีหน้าอีกฝ่ายดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก เหมือนกับนี่เป็นการตัดสินใจธรรมดาๆ อย่างไรอย่างนั้น


ดูเหมือนจะไม่มีหวังที่จะหาช่องโหว่ของมิสต์จากการพูดคุยแล้วล่ะ โรแลนด์ครุ่นคิด นอกเสียจากตัวเองจะสามารถพาไนติงเกลเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ ส่วนการหยั่งเชิงหลังจากนั้นก็ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มไม่มากนัก เธอจะเงียบเมื่อถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า อีกทั้งเธอยังไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในสงครามแห่งโชคชะตาได้ด้วย


และด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎเกณฑ์ของโลกแห่งความฝัน เธอจึงได้แต่ต้องจัดการเรื่องต่างๆ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ซึ่งการแอบส่งข้อความอย่างลับๆ นั้นเป็นขีดจำกัดของเธอแล้ว จากที่มิสต์เล่ามา ในพื้นที่ที่แตกต่างกันของโลกแห่งจิตสำนึกก็จะมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป ในจุดนี้แม้แต่พระเจ้าก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นเพราะความพิเศษตรงนี้เธอถึงได้มีโอกาสแอบมาหาผู้กอบกู้ที่จะช่วยหยุดสงครามแห่งโชคชะตา


แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง เธอยังไม่อาจถือได้ว่ามีอิสระอย่างแท้จริง โซ่ที่คอยพันธนาการเธอยังคงมีอยู่ แถมยังอาจจะทำให้ความพยายามของเธอสูญเปล่าลงได้ทุกเมื่อ


ในตอนที่ส่งมิสต์ที่ประตู โรแลนด์พลันถามคำถามสุดท้ายขึ้นมา


“เออใช่ ตอนแรกเจ้าบอกคิดไม่ถึงว่าข้าจะเปิดร้านกาแฟของตัวเอง หรือว่าเมืองแห่งนี้มันมีร้านกาแฟโรสคาเฟ่อยู่จริงๆ?”


“มีสิ” มิสต์ยิ้มเล็กน้อย “อยู่ในเมืองปริซึม”


“แต่ข้าถามการ์เซียแล้ว…”


“ร้านกาแฟตั้งอยู่ส่วนกลางของเมือง มีแต่สมาชิกระดับสูงของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้นถึงจะเข้าไปที่นั่นได้ ตอนนั้นข้ารู้แล้วว่าทางสมาคมคิดจะมอบใบอนุญาตไล่ล่าให้กับเจ้า หลังจากได้มันแล้ว เจ้าก็จะสามารถเข้าไปยังพื้นที่ส่วนกลางได้ แต่สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือเจ้าไม่ได้สนใจสมาคมเลยแม้แต่นิดเดียว ขนาดได้รับใบอนุญาตไล่ล่ามาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เคยไปเมืองปริซึมเลย” มิสต์ชะงักเล็กน้อย “อีกอย่าง คลังที่ใช้เก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติของฟอลเลนอีวิลนั้นอยู่ที่ชั้นล่างสุดของเมือง ปกติจะมีแต่ผู้คุมและบุคคลระดับสูงเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้”


อย่างนี้นี่เอง…ในที่สุดโรแลนด์ก็รู้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงหาสถานที่นัดหมายไม่เจอเสียที ที่แท้โรสคาเฟ่นั้นเป็นสวัสดิการที่ให้สมาชิกภายในสมาคมได้ใช้กัน แถมยังต้องเป็นสมาชิกระดับสูงด้วย


“อย่างนั้นถ้าเจอกันครั้งหน้า ข้าหมายถึงถ้าจำเป็นต้องเจอ จะไปเจอกันที่ร้านไหน? เพราะตอนนี้มีโรสคาเฟ่สองร้านแล้ว”


“ที่เดิมดีกว่า” เธอมองดูตึกถงจึแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวลออกมาว่า “การ์เซียอาศัยอยู่ที่ตึกนี้ใช่ไหม? มาดูบ้างเป็นบางครั้งมันก็ไม่เลวเหมือนกัน บางที…ข้าอาจจะชอบที่นี่อย่างมากก็ได้”


บางที? ตัวเองไม่รู้ตัวหรือว่าชอบการ์เซียหรือเปล่า? โรแลนด์เลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


หลังบอกลากันแล้ว มิสต์ก็ค่อยๆ หายตัวไปในซอย


โรแลนด์ยืนพิงประตู ภายในหัวกำลังย่อยข้อมูลที่ได้คุยมาวันนี้


ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความฝันหรือว่าความเป็นจริงก็ดูชัดเจนขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังเวทมนตร์ เจตจำนงของพระเจ้า โลกแห่งจิตสำนึก ดินแดนรุ่งอรุณ บอทธ่อมเลสแลนด์…คำพูดพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดธรรมดาอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นสิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างจากข้อมูลที่ได้รับมาใหม่


ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ พลันมีแรงสั่นสะเทือนประหลาดกวาดผ่านตัวเขาไป!


โรแลนด์เงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นคลื่นบิดๆ เบี้ยวๆ ปรากฏขึ้นมา มันเหมือนกับกำแพงใสๆ ที่ยาวสุดลูกหูลูกตากำลังกวาดผ่านถนนทั้งเส้น จากนั้นจึงขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


เขามองดูคนอื่นๆ ที่อยู่ในเขตชุมชนอย่างแปลกใจ แต่เหล่าคุณตาคุณยายเหมือนจะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลย พวกเขายังคงพูดคุยหัวเราะกันอยู่


ถ้าไม่เป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว เขาคงจะนึกว่าตัวเองคิดไปเอง


ไม่ผิดแน่ โรแลนด์กำหมัด มีแค่เขาเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสัมผัสของมันก็ค่อนข้างคล้ายกับสัมผัสที่เกิดขึ้นตอนที่เขาเก็บเอาแกนพลังมาจากตัวสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ด้วย แต่ว่าสัมผัสที่เกิดขึ้นจากตอนที่เก็บแกนพลังมานั้นทำให้เขารู้สึกพึงพอใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทว่าสัมผัสที่เกิดขึ้นครั้งนี้กลับทำให้เขาแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี


หรือว่ามีอะไรบางอย่างกำลังปะทะกับโลกแห่งความฝันจนทำให้เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ แบบนี้?


เสียดายที่มิสต์จากไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้หยิบเอาโทรศัพท์ที่ใช้โทรติดต่อสมาคมมาจากเมืองปริซึมด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะถามข้อมูลอะไรจากอีกฝ่ายได้บ้าง


โรแลนด์สะกดความคิด ล็อกประตูหน้าร้านกาแฟแล้วรีบกลับไปยังตึกถงจึ


เดิมเขาคิดจะตัดขาดการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันแล้วกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง 0825 เข้าไป เขาพลันเห็นรองเท้านักเรียนของซีโร่ยังคงวางอยู่หน้าประตูทางเข้า


เขางุนงงขึ้นมา เขาคุยกับมิสต์มาอย่างน้อยๆ ก็เป็นเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ซึ่งมันเลยเวลาที่ซีโร่จะไปโรงเรียนแล้ว แต่ทำไมซีโร่ถึงยังไม่ออกจากบ้าน?


เมืองมองไปทางห้องรับแขก เขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที สาวน้อยกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ข้างกายของเธอมีแก้วสองใบแตกอยู่


“ล้อเล่นน่า…”


เขารีบเดินเข้าไปหา ก่อนจะย่อตัวลงไปกุมข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้


ชีพจรยังเต้นอยู่


เขามองดูใบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง ดวงตาของซีโร่ยังคงหลับอยู่ คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนเธอกำลังอดทนต่อความเจ็บปวด


โรแลนด์ลองเอามือลูบหน้าผากเธอ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านฝ่ามือขึ้นมา


เป็นไข้….งั้นเหรอ?


เมื่อดูจากท่าทางที่เธอล้มลงไปแล้ว เธอน่าจะสูญเสียสมดุลไปตอนที่กำลังเก็บโต๊ะชาโดยไม่ทันตั้งตัว


ตอนเช้าเธอยังดีๆ อยู่เลยนี่นา


แต่โรแลนด์ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยการที่ไม่สบายมันก็ดีกว่าการเจอฟอลเลนอีวิลโจมตี วินาทีที่เห็นสาวน้อยล้มลงไปนั้น เขาเกือบนึกว่าพระเจ้าส่งลูกน้องมาแก้แค้นเขาเสียแล้ว


โรแลนด์อุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเดินขโยกเขยกลงมาจากบนตึกแล้วตรงไปยังรถตู้


น่าจะเป็นเพราะแรงกระแทกที่ทำให้ซีโร่ได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เธอลืมตาขึ้น ก่อนจะพูดงึมงำๆ เสียงเบาๆ ว่า “หนูทำแก้วชา…ที่อยู่บนโต๊ะ…แตก”


“ฉันเห็นแล้ว


“ขอโทษ…เดี๋ยวหนูจะ…ใช้ให้คุณอา…อย่าไล่หนู…กลับบ้านนะ”


เจ้าเด็กนี่…ไข้ขึ้นจนละเมอเหรอ?


โรแลนด์วางเธอลงบนที่นั่งข้างคนขับ ก่อนจะช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัย “เงียบ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”


ในขณะที่เขากำลังเอี้ยวตัวไปสตาร์ทรถ ซีโร่พลันยื่นมือมาจับแขนเสื้อของเขาไว้ “คุณอา…อย่าไป”


สำหรับสาวน้อยที่มักจะทำหน้าบึ้งใส่เขาอยู่ตลอดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอเป็นแบบนี้ เมื่อมองดูสีหน้าที่เกือบจะเป็นการขอร้องอ้อนวอนของเธอ โรแลนด์พลันอดนึกถึงสิ่งที่เธอเขียนเอาไว้สมุดไดอารี่ไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะไข้ขึ้น ถึงทำให้เธอเผยด้านที่อ่อนแอที่สุดออกมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าครอบครัวของเธอนั้นดูแลเธอมายังไง เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาจึงถอนใจออกมา “วางใจได้ ห้องฉันยังไม่ได้เก็บกวาดเลย ฉันไม่ให้เธอไปไหนหรอก”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซีโร่จึงค่อยๆ หลับตา แต่มือข้างนั้นก็ยังไม่ปล่อย


เมื่อมาถึงโรงพบาบาล ซีโร่ก็ถูกพาเข้าไปลงทะเบียน ตรวจอาการ นอนโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ….กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาบ่าย ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร แต่อาการของสาวน้อยก็ดูจะคงที่แล้ว


กระทั่งตอนเย็น หมอเจ้าของไข้ก็เดินมาหาเขา


“คุณเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ เหรอ?”


“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ?” โรแลนด์ถาม


“ครั้งหน้าอย่ามาล้อพวกเราเล่นแบบนี้เลยครับ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นอะไร เธอแค่ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ — ถึงแม้อาการแบบนี้จะมีให้เห็นไม่บ่อยนัก แต่ในร้อยคนก็มักจะมีคนหรือสองคนที่เกิดอาการไม่สบายแบบนี้ หรือว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้กับคุณ?”


“อะไรนะครับ?”


“ตื่นรู้ไงครับ จริงๆ เลยเชียว นี่ถ้าไม่เป็นเพราะในโรงพยาบาลมีผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นสังเกตเห็นเหตุการณ์พอดี ผมคงนึกว่าเธอเป็นโรคหายากอะไรซะอีก” น้ำเสียงของหมอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “คุณไปทำเรื่องออกจากโรงพยาลแล้วพาเธอกลับบ้านได้แล้วครับ”


…..


โรแลนด์ที่เหนื่อยมาทั้งวันอุ้มซีโร่ที่ยังนอนหลับกลับมายังถึงถงจึ


เมื่อมองดูสาวน้อยผมขาวที่นอนขดอยู่ เขาพลันถอนใจออกมา…ตื่นรู้อย่างนั้นเหรอ? คิดไม่ถึงเลยว่าเธอซึ่งเป็นอดีตผู้บริสุทธิ์ ถึงแม้จะมาอยู่ในโลกนี้แล้วก็ยังหนีไม่พ้นพลังเวทมนตร์ นี่เรียกได้ว่าเป็นชะตาชีวิตล่ะมั้ง แต่ว่ายังดีที่ในโลกแห่งความฝันมีเขาเคยดูอยู่ เธอน่าจะไม่ทำผิดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้วล่ะ


ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ระเบียงทางเดินบนตึกเหลือเพียงแค่แสงไฟสีเหลืองสลัวจากหลอดไฟเก่าๆ บางครั้งจะมีแมลงที่บินเข้ามาเล่นไฟ ในตอนที่เขาเดินเข้าไปใกล้ห้อง 0825 เขากลับต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งกำลังนั่งพิงประตูห้องเขาอยู่ คนๆ นั้นคือการ์เซีย


วันนี้มันอะไรกันเนี่ย? มีเรื่องมาตลอดเลย บอกกับไนติงเกลว่าจะนอนแปบเดียว ตอนนี้ที่ฝั่งโน้นน่าจะใกล้กินข้าวเย็นแล้วมั้งเนี่ย


“เฮ้” โรแลนด์คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ “วันนี้มีอะไรถึงมารอฉันที่นี่ได้? หรือว่าทำกุญแจหาย อยากจะมาค้างบ้านฉัน?”


การ์เซียไม่ได้ยิ้มออกมา นี่ืทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ


ในตอนที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา โรแลนด์พลันพูดอะไรไม่ออก


เขาเห็นเธอร้องไห้น้ำตานองหน้า


“เมืองปริซึม…ถูกฟอลเลนอีวิลฝูงใหญ่โจมตี…ได้ยินคนที่หนีออกมาบอกว่า อาจารย์ของฉัน…อาจารย์ของฉันคอยสู้กับศัตรูและปกป้องให้ทุกคนออกมา ก็เลยถูกฟอลเลนอีวิลฆ่าตายแล้ว…”


……………………………………………………….


ตอนที่ 1227 หายนะของเมืองปริซึม

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์ตกตะลึงไปครู่ใหญ่


อาจารย์ของการ์เซีย…น่าจะชื่อมิสต์ใช่ไหม?


ก็หมายความว่าผู้หญิงคนที่มาเจอเขาที่ร้านโรสคาเฟ่เมื่อตอนเช้า…ตายแล้วงั้นเหรอ?


เป็นไปได้ยังไง?


ต่อให้มิสต์จะถูกจำกัดด้วยกฎของโลกแห่งความฝัน แต่เธอก็เป็นถึงลูกศิษย์ของผู้คุม เธอน่าจะรับมือกับฟอลเลนอีวิลแค่ไม่กี่ตัวได้สบายๆ นี่นา


ยิ่งไปกว่านั้นเมืองปริซึมยังเป็นสถานที่ที่ถูกดัดแปลงขึ้นมาจากเหมืองด้วย ตัวเมืองนั้นถูกฝังอยู่ใต้ดิน ปกติจะมีผู้ตื่นรู้คอยเฝ้าเอาไว้อยู่ แล้วจะไปถูกฟอลเลนอีวิลโจมตีได้ง่ายๆ ได้ยังไง?


เขาสะกดอารมณ์แล้วพยุงการ์เซียขึ้นมาอย่างใจเย็น “เข้าไปคุยในห้องกันเถอะ”


การ์เซียลุกขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงภายในร่างกายเธอหายไปจนหมดอย่างไรอย่างนั้น


โรแลนด์อุ้มซีโร่ที่ยังหลับสนิทเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะเทนมอุ่มๆ ให้การ์เซียแก้วหนึ่ง ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง อารมณ์ของการ์เซียค่อยๆ สงบลง ถึงแม้สองตาของเธอยังคงเหม่อลอย แต่น้ำตาก็ถือว่าหยุดไหลแล้ว


ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าบนโทรศัพท์มือถือที่เขาลืมพกไปด้วยนั้นมีสายที่ไม่ได้รับอยู่สิบกว่าสายแล้วก็ข้อความที่ไม่ได้อ่านอีกหกข้อความ เมื่อเปิดออกดูแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นโทรศัพท์จากการ์เซีย


“เอ่อ ขอโทษนะ…จู่ๆ ซีโร่ก็ไข้ขึ้น ฉันก็เลยรีบไปโรงพยาบาลจนลืมเอามือถือไปด้วย” โรแลนด์พูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ “ในเมืองปริซึมมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเธอถึงรู้สถานการณ์ของอาจารย์ของเธอได้?”


การ์เซียนิ่งเงียบไปนาน นานจนถึงตอนที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดออกมาแล้ว เธอจึงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ตอนช่วงใกล้เที่ยงๆ ฉันได้รับการแจ้งเตือนฉุกเฉินจาก CO2…เขาบอกว่าจู่ๆ ที่สำนักงานใหญ่ก็มีสถานการณ์ผิดปกติ ให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนเตรียมตัวเข้าไปช่วยเหลือ..”


ถ้าจำไม่ผิด CO2 น่าจะเป็นผู้ประสานงานในภารกิจกวาดล้างฟอลเลนอีวิลครั้งก่อน โรแลนด์ครุ่นคิด มิน่าเธอถึงได้โทรหาเขาเยอะขนาดนี้ “แต่ก็ไม่ได้มีคำสั่งให้เข้าไปช่วยเหลือใช่ไหม?”


ไม่อย่างนั้นการ์เซียคงจะเข้าไปในเมืองปริซึมแล้ว


“ใช่ เพราะว่าต้นเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติก็คือ…การกัดกินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงชั้นกลางที่จู่ๆ ก็ขยายตัวขึ้นมา” เธอพูดงึมงำ “ไม่มีใครเหตุว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง กล้องวงจรปิดก็จับภาพวินาทีที่มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันได้ยิน CO2 บอกว่าในตอนที่สมาคมรู้ตัว การกัดกินมันก็แทบจะตัดขาดเมืองปริซึมออกจากนั้นแล้ว ชั้นบนกับชั้นล่างเองก็สูญเสียการติดต่อไปด้วย”


การกัดกิน…ขยายตัว? โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมาทันที ถ้าจากคำพูดที่มิสต์บอกมาว่าความจริงแล้วพระจันทร์สีแดงคือ ‘รู’ ที่การกัดกินสร้างขึ้นมาล่ะก็ ตามหลักแล้วมันก็น่าจะปรากฏขึ้นที่ไหนก็ได้ นี่ย่อมต้องรวมไปถึงใต้ดินด้วย ถ้าการที่ ‘พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาบนโลก’ หมายถึงการเริ่มต้นของสงครามแห่งโชคชะตา อย่างนั้นการกัดกินที่จู่ๆ ก็ขยายตัวขึ้นมาจะหมายถึงพระจันทร์สีแดงที่ปรากฏขึ้นมาบนโลกด้วยหรือเปล่า?


“สำนักงานใหญ่ได้บอกเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไหม?”


เธอพยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะตอนเช้าประมาณ 9 โมง”


นี่มันเป็นตอนที่คลื่นกระเพื่อมกวาดผ่านท้องฟ้าของเมืองไป!


หรือว่าโลกแห่งความฝันกำลังเตือนเขาว่าพลังที่มาจากนอกโลกได้เริ่มกัดกินที่นี่แล้ว?


“อย่างนั้นพวกฟอลเลนอีวิลนี่มันยังไงกัน?”


“พวกมัน…ออกมาจากใต้ดิน…”


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง โรแลนด์ถึงพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด


หลังรับรู้ได้ว่าส่วนกลางของเมืองถูกการกัดกินกลืนกินไปแล้ว สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็รีบตั้งทีมช่วยเหลือขึ้นมาทันที เมืองปริซึมนั้นเป็นเหมือนเหล็กปลายแหลมที่แทงลงไปในส่วนลึกของใต้ดิน แต่โครงสร้างที่ให้มีความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน อย่างเช่นเรื่องระบบระบายอากาศที่ต้องหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาถึงจะทำให้คนที่อยู่ชั้นกลางและชั้นล่างสามารถหายใจได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกอย่างเช่นน้ำกับอาหารที่ต้องส่งจากข้างบนลงไปข้างล่าง ด้วยเหตุนี้เมื่อเมืองปริซึมถูกการกัดกินตัดขาด ชีวิตของคนงานที่ชั้นล่างสุดก็เรียกได้ว่าอันตรายอย่างมาก


ภารกิจเร่งด่วนของสมาคมก็คือตรวจสอบขอบเขตการกัดกินให้ชัดเจน แล้วก็พยายามหาช่องทางที่เหมาะสมและเชื่อมต่อชั้นบนเข้ากับชั้นล่างใหม่อีกครั้ง ในตอนที่สร้างเมืองปริซึมขึ้นมาตอนแรกก็มีการคิดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้รอบๆ เมืองจึงมีช่องทางสำหรับอพยพเตรียมเอาไว้หลายช่องทาง


เมื่อตัดประเด็นความเป็นไปได้ที่ถูกศัตรูลอบโจมตีทิ้งไป สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็เริ่มขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นผู้คุมและลูกศิษย์ต่างก็อยู่ตรงนั้น บวกกับสิ่งที่สำนักงานใหญ่ต้องการอย่างเร่งด่วนก็คือคนงานและทีมแพทย์ ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ช่วยอะไรมากไม่ได้จึงได้แต่ต้องรอฟังคำสั่งอยู่ด้านนอก


แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น


ในขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายเข้าไปสำรวจในช่องทางอพยพแต่ละช่อง ทีมของมิสต์ซึ่งเข้าไปในช่องทางอพยพหมายเลข 4 ก็ถูกฟอลเลนอีวิลลอบโจมตี


หลังจากนั้นก็มีหลายคนที่จำได้ว่าในบรรดาฟอลเลนอีวิลที่บุกเข้ามา มีฟอลเลนอีวิลจำนวนไม่น้อยที่เป็นเพื่อนสมาชิกในสมาคมที่ถูกขังอยู่ในชั้นล่าง


เรื่องนี้ฟังดูแล้วน่าตกตะลึงและน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ถูกตัดขาดการติดต่อไป ด้านล่างของเมืองนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนในตอนนี้คือสัตว์ประหลาดที่หลอมรวมเข้ากับแกนพลังที่แปรสภาพ ในนั้นมีทั้งคนงานธรรมดาแล้วก็ผู้ฝึกยุทธ์


คนที่สามารถเข้าไปยังชั้นล่างของเมืองปริซึมได้นั้นจะต้องเป็นสมาชิกที่ภักดีต่อสมาคมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อะไรกันที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาทรยศต่อสมาคมได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ในจุดนี้ยังคงไม่มีใครรู้คำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือวินาทีที่พวกเขาเอาแกนพลังที่แปรสภาพหลอมรวมเข้ากับร่างกายของตัวเอง พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แม้แต่โรแลนด์ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่นานเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทีมช่วยเหลือในตอนนั้นเลยว่าจะตกตะลึงแค่ไหน


และผลก็คือทีมของมิสต์ถูกเล่นงานจนมือไม้ปั่นป่วน


ด้วยความสามารถของมิสต์ถึงได้ทำให้สมาชิกภายในทีมบางส่วนสามารถหนีรอดกลับออกมาได้บ้าง แต่ว่ามิสต์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมกลับไม่สามารถหนีออกมาได้ ในตอนที่เธอปิดประตูบานหนึ่งลง เธอก็ถูกฟอลเลนอีวิลสามสี่ตัวรุมโจมตี


เมื่อพูดถึงตรงนี้ การ์เซียก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง


โรแลนด์เทนมให้เธออีกแก้วหนึ่ง หลังลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ถามคำถามที่ตัวเองสนใจมากที่สุด ถึงแม้มันจะฟังดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้


“ข่าวพวกนี้น่าจะเป็นข่าวที่คนที่รอดชีวิตเอามาแจ้งให้กับทางสำนักงานใหญ่ใช่ไหม?” เขาสูดหายใจ “มีคนเห็นกับตาไหมว่าอาจารย์ของเธอตายจริงๆ?”


ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาอาจจะโดนเธอเล่นงานไปแล้วที่ถามคำถามแบบนี้ แต่ตอนนี้ในใจของการ์เซียเต็มไปด้วยความสับสน เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นถึงเจตนาของโรแลนด์ “อาจารย์ของฉัน…อาจารย์ของฉันใช้ร่างกายบังที่เปิดประตูเอาไว้…จากนั้นก็ถูกฟอลเลนอีวิลฉีกออกเป็นชิ้นๆ…ตอนนั้นในทีมมีอยู่หลายคนที่เห็นเหตุการณ์นี้… “ เธอฟุบลงไปบนโต๊ะแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาอีก “ฮือ…”


“….น่าเศร้าจริงๆ” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา


เขาไม่รู้ว่าคนที่ตายอยู่ในโลกแห่งความฝันจะกลายเป็นอย่างไร จะกลับไปยังโลกแห่งจิตสำนึกใหม่หรือว่าหายไปเลย? แต่ถ้าพระเจ้าควบคุมโลกแห่งจิตสำนึกส่วนใหญ่อยู่จริงๆ ไม่ว่าจะสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีได้เลย ถ้าสูญเสียการปกป้องจากโลกแห่งความฝันไป ผู้ที่ทรยศจะต้องเจอกับจุดจบอย่างไร ไม่ต้องคิดก็คงจะรู้ๆ กัน


นี่ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดโยงไปถึงพระเจ้า ปรากฏการณ์แปลกๆ ครั้งนี้มันเหมือนกับถูกจัดขึ้นมาเพื่อเล่นงานมิสต์โดยเฉพาะอย่างไรอย่างไร


ขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ไม่ได้มีมิสต์เป็นเป้าหมายแค่เพียงคนเดียว


โลกแห่งความฝันต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะทำลายมากที่สุด


‘อย่างนั้นเจ้าก็ต้องปกป้องที่นี่…ถ้าเจ้าสูญเสียมันไป โลกแห่งจิตสำนึกก็จะตัดขาดจากเจ้าไปตลอดกาล’ โรแลนด์นึกถึงคำเตือนของมิสต์ขึ้นมา


ดูเหมือนเขาคงต้องทำสงครามแห่งโชคชะตาในโลกแห่งความฝันซะแล้ว


ศัตรูนั้นไม่ใช่ปีศาจแล้วก็ไม่ใช่อาณาจักรซีสกาย


หากแต่เป็นพระเจ้า


……


“อดทนไว้….”


เสียงวุ่นวายดังขึ้นที่ข้างหู เหมือนอยู่ไกล แล้วก็เหมือนอยู่ใกล้ๆ


เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


มันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่างกาย ขาทั้งสองข้างเหมือนจะหักอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ แม้แต่ในพิธียกระดับมันก็ยังไม่เคยตกอยู่ในสภาพแบบนี้เลย


มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง มันนึกถึงคำว่าตายขึ้นมา


อาา…ใช่แล้ว มันใกล้จะตาย พลังชีวิตที่อยู่ในร่างกายกำลังไหลออกไปทีละน้อย สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความหนาวเย็นที่เสียดกระดูก สติเหมือนกำลังจะหลุดลอย การจะรวบรวมสติเพื่อครุ่นคิดเป็นเรื่องที่ยากลำบาก


“อดทนไว้…”


เสียงใกล้เข้ามาอีกหน่อย


มีคนเหรอ?


แปลก…เสียงนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…


“ตรงนี้ยังมีคนรอดหนึ่งคน ใครก็ได้มาฉันยกก้อนหินบ้าๆ นี่หน่อย!”


“เธอดูแล้วบาดเจ็บหนักมากทีเดียว เร็วๆ หน่อย!”


“1 2 3!”


พริบตานั้นเอง มันพลันรู้สึกร่างกายว่าเบาลง ก่อนจะถูกคนยกขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่มๆ


“อดทนไว้ คุณไม่เป็นอะไรแล้ว” มีคนพูดกับมันอยู่ “สมาคมเตรียมหมอกับอุปกรณ์ที่ดีที่สุดเอาไว้แล้ว แค่คุณอดทนไปให้ถึงโรงพยาบาลก็พอ!”


โรงพยาบาล…มันคืออะไร? หรือว่า…คนพวกนี้กำลังช่วยมันอยู่?


“ใช่แล้ว คุณมาจากคาบสมุทรคาร์กาดใช่ไหม? คุณชื่ออะไร?”


“ชื่อ..ของข้า…เหรอ?”


“ใช่ คุณจำได้ไหม?”


มันใช้เรี่ยงแรงเฮือกสุดท้ายตอบออกมา


“…วัลคี…รีย์”


…………………………………………………………………………………


ตอนที่ 1228 ความเป็นปฏิปักษ์ของพระเจ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลานตรงปากทางเข้าเมืองปริซึม


ในเวลานี้เสียงเครื่องจักรต่างๆ กำลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟสปอร์ตไลท์ส่องจนพื้นที่ตรงนั้นสว่างเหมือนเวลากลางวัน ภารกิจช่วยเหลือดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 6 ชั่วโมง ผู้คุมร็อกรอฟังข่าวสุดท้ายอยู่ในในเต็นท์บัญชาการด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ


มีคนบอกว่าเขาใจแข็งเหมือนหิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนอารมณ์ของเขาก็ไม่เคยหวั่นไหวกับเรื่องภายนอก แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด การเสียสละของมิสต์ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ถึงขนาดที่เขาแอบคิดโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่เป็นคนนำทีมออกไปเอง แต่เขาก็รู้ดีในเรื่องของลำดับความสำคัญของหน้าที่ ก่อนที่จะสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านล่างเมืองได้อย่างชัดเจน เขาไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ


หลังอุโมงค์อพยพหมายเลข 4 ถูกลอบโจมตี อุโมงค์หมายเลข 1 กับหมายเลข 5 ก็เจอกับฟอลเลนอีวิลเช่นเดียวกัน โชคดีที่คนเหล่านี้ได้รับการแจ้งเตือนจากทีมของมิสต์ก่อนล่วงหน้าแล้ว พวกเขาสามารถกำจัดฟอลเลนอีวิวทั้งหมดได้โดยสูญเสียไปเพียงเล็กน้อย แต่ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดก็ยังทำให้ร็อกรู้สึกตกใจ ทุกอย่างนั้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในอุโมงค์อพยพหมายเลข 4 ศัตรูทุกคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสมาคมที่อยู่ในชั้นล่างสุดของเมือง ตอนนี้ศพที่แยกแยะออกมาได้ 320 ศพนั้นใกล้เคียงกับจำนวนของคนที่ทำงานอยู่ในวันนั้น


เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ชั้นล่างนั้นพอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้แล้ว


เขาไม่รู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงเลือกที่จะหลอมรวมเข้ากับแกนพลังที่แปรสภาพหลังเกิดเรื่องเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เมืองปริซึมนั้นมีระบบการช่วยเหลือฉุกเฉินที่เพียบพร้อม ถึงแม้จะถูกตัดขาดจากชั้นบน แต่ขอเพียงอดทนเอาไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าสมาคมจะต้องช่วยพวกเขากลับออกมาได้แน่


แต่ร็อกไม่มีเวลาจะไปนั่งคาดเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่ เขาเพียงอยากรู้ว่าตอนนี้สภานการณ์ในคลังเก็บแกนพลังแห่งธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ต่อให้คนที่ประจำหน้าที่ทั้งหมดในวันนั้นกลายเป็นฟอลเลนอีวิว แต่มันก็แค่สามร้อยกว่าคน แต่แกนพลังที่เก็บอยู่ในคลังนั้นมีอยู่ทั้งหมดสามพันกว่าอัน นี่เรียกได้ว่ามีความสำคัญกว่าชีวิตของเขาหลายเท่านัก ถ้าหากมันหลุดออกไปข้างนอก ผลลัพธ์คงจะต้องเลวร้ายอย่างมาก


“ท่านร็อก” ทันใดนั้นเอง ผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาในฐานบัญชาการ ก่อนจะกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค


“โชคร้ายแบบนี้เลยเหรอ?” ร็อกขมวดคิ้วขึ้นมา จากข่าวที่แจ้งกลับมาจากทีมช่วยเหลือ ในตอนที่การกัดกินจู่ๆ ก็ขยายตัวขึ้นมา ในเมืองปริซึมนั้นมีคณะทัวร์ผู้ฝึกยุทธ์จากคาบสมุทรคาร์กาดสองกลุ่ม โครงสร้างส่วนกลางของเมืองถูกการกัดกินกลืนกินจนได้รับความเสียหาย ทำให้ชั้นที่อยู่ใกล้ๆ การกลืนกินไหลเข้าไปในหลุมกลืนกินทั้งชั้น และคณะทัวร์สองคณะนั้นก็บังเอิญอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นพอดี


เมื่อดูจากสถานการณ์ช่วยเหลือในตอนนี้ ชะตาชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร


“ทำยังไงดีครับ?” ชายใส่สูทสีหน้าดูแย่ “ในนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังของคาร์กาดอยู่ด้วย ถ้าจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางการทูตได้นะครับ”


“พยายามคนหาให้เต็มที่ ช่วยได้เท่าไรเท่านั้น เรื่องอื่นเรายังจะทำยังไงได้อีก? นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะควบคุมได้”


“แต่ด้วยนิสัยของผู้คุมฝั่งโน้น เขาคงจะไม่ค่อยพอใจแน่…”


ร็อกนิ่งเงียบไปครู่ “ฉันรู้แล้ว เรื่องนี้ปิดเอาไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันติดต่อท่านประธานของสกายซิตี้ให้เข้ามาช่วยประนีประนอมแล้วกัน”


ในขณะที่ชายใส่สูทเพิ่งจะเดินออกไป เจ้าหน้าที่ประสานงานคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา


“มีข่าวแจ้งมาจากทางอุโมงค์หมายเลข 1 ครับ! พวกเขาเปิดทางอุโมงค์ที่ถูกปิดตายได้แล้ว ตอนนี้กำลังเข้าไปในเมืองครับ!”


“เชื่อมสัญญาณขึ้นจอภาพเลย” ร็อกสั่งเสียงเข้ม


“รับทราบ!”


หลังจากนั้นไม่นานภาพจากแนวหน้าก็ถูกเชื่อมขึ้นมาฉายบนหน้าจอ ภาพที่ส่ายไปส่ายมาน่าจะมาจากกล้องติดหมวกของหัวหน้าทีม ด้านล่างของเมืองยังมีแสงสว่างอยู่ ถ้าหลอดไฟยังมีแสงสว่างก็หมายความว่าเครื่องปั่นไฟฉุกเฉินยังคงทำงานอยู่ แบบนี้แล้วอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ อย่างเช่นลิฟท์ก็ต้องใช้งานได้ตามปกติแน่นอน นี่ทำให้ทีมช่วยเหลือประหยัดเวลาได้มาก


แต่ในศูนย์บัญชาการไม่มีเสียงเฮเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาทุกคนจับจ้องไปยัง ‘จุดแดง’ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ โครงร่างของมันไม่มีกฎเกณฑ์ แต่มันกลับฝังอยู่ในพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับเป็นผลงานศิลปะที่ถูกจงใจสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบนี้


แต่ร็อกรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งที่สัมผัสการกัดกินจะถูกกลืนกินไปจนหมด ต่อให้เป็นพลังแห่งธรรมชาติก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


และก็เป็นเพราะมันที่ทำให้เมืองปริซึมแยกออกเป็นสองส่วนแบบนี้


“ยังไม่ต้องไปสนใจความเสียหายของสำนักงานใหญ่” เขาออกคำสั่ง “รีบไปยังชั้นล่างดูซิว่าคลังเก็บแกนพลังเป็นยังไงบ้าง?”


ทีมช่วยเหลือที่ได้รับคำสั่งเดินลงไปยังชั้นล่าง ระหว่างทางนั้นไม่มีศัตรูปรากฏตัวออกมา แต่ว่าร็อกเองก็ไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้มากนัก บริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความเงียบ ข้าวของทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม เหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เกิดภัยพิบัติอะไร หากแต่ถูกคนจงใจทิ้งร้างอย่างไรอย่างนั้น


ในตอนที่ทีมช่วยเหลือมาถึงหน้าคลังเก็บแกนพลัง ในศูนย์บัญชาการชั่วคราวพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา


แม้แต่ร็อกเองก็ยังกัดฟันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


ศพของผู้คุมอีกคนที่ชื่อฟิวเรียสเฟลมขาดออกเป็นสองท่อน ซากศพครึ่งบนติดอยู่บนประตูเหล็กกล้าที่หนาหลายสิบเซนติเมตร เสื้อผ้าแทบจะถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน ส่วนตรงกลางประจูก็มีรูขนาดใหญ่อยู่รูหนึ่ง เมื่อดูจากขอบที่ไม่ราบเรียบแล้ว มันน่าจะถูกวัตถุที่มีความร้อนสูงบางอย่างเจาะทะลุเข้าไป


เกรงว่าฟิวเรียสเฟลมคงจะเอาตัวเองเป็นเกราะชั้นสุดท้ายในการป้องกันผู้บุกรุก แต่เสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถป้องกันศัตรูเอาไว้ได้


นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟอลเลนอีวิลจะทำได้


หลังจากใช้เวลานิดหน่อย ทีมช่วยเหลือก็เปิดประตูเหล็กออก พื้นที่เก็บแกนพลังเวทมนตร์ที่แปรสภาพอยู่ในสภาพว่างเปล่า


ภายในศูนย์บัญชาการตกอยู่ในความเงียบทันที ทุกคนมองดูหน้าจอด้วยสายตาที่เหม่อลอย


เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย….ร็อกกำหมัดแน่น เขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จู่ๆ คนเหล่านั้นจะรับเอาแกนพลังที่แปรสภาพแน่! “ไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมา ฉันจะดูหน่อยสิว่าไอพวกที่บุกเข้ามามันเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน!”


เสียงของเขาดังขึ้นมาในเต็นท์เหมือนสายฟ้าฟาดจนทุกคนต่างสะดุ้งไปตามๆ กัน การทำงานของเครื่องปั่นไฟฉุกเฉินทำให้ระบบกล้องวงจรปิดไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากกล้องตรวจจับบางตัวที่เสียแล้ว กล้องส่วนใหญ่ยังคงใช้งานได้อยู่ ทีมเทคนิคที่ตามเข้าไปที่หลังรีบทำการเชื่อมต่อกับกล่องบันทึกภาพอย่างรวดเร็ว ภาพที่ถูกบันทึกถูกส่งผ่านสายไฟเบอร์ไปยังจอภาพ เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ในฐานบัญชาการต่างได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อ


ในเสี้ยววินาทีที่การกัดกินขยายตัว ในรูสีแดงพลันมี ‘หยดเลือด’ เหนียวๆ ไหลออกมา ก่อนจะหยดลงไปที่พื้น จากนั้นของเหลวที่เป็นเหมือนหยดเลือดเหล่านี้ก็ค่อยๆ ขยับแล้วกลายสภาพเป็นรูปร่างคน หนึ่งในนั้นเหมือนจะมีความสามารถในการละลายสิ่งของ แค่พริบตามันก็เผาพื้นจนทะลุแล้วลงไปชั้นล่างของเมือง แต่ยังมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวกว่านั้นอยู่อีกหนึ่งตัว มันเหมือนจะสามารถควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ได้ทันทีที่มองหน้า ทำให้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่มีความคิด ดูแล้วเหมือนกับฟอลเลนอีวิลชั้นต่ำที่ถูกพลังแห่งธรรมชาติล่อลวงอย่างไรอย่างนั้น


ในเวลานี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชั้นล่างทั้งชั้นพังพินาศ คนที่ยังมีชีวิตต่างก็เอาแกนพลังแห่งธรรมชาติที่แปรสภาพรวมเข้ากับร่างตัวเองอย่างเหม่อลอยและกลายเป็นหุ่นเชิดของศัตรู ส่วนสัตว์ประหลาดตัวนั้นหลังจากที่มัน ‘กลืน’ แกนพลังที่เหลือลงไป มันก็เจาะรูขึ้นมารูหนึ่งในคลังเก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติ ก่อนจะหายตัวไปจากกล้องวงจรปิด


ร็อกเพิ่งจะเคยเห็นวิธีการใช้พลังแบบนี้เป็นครั้งแรก รวมไปถึงศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากการกัดกินด้วย


เขาอดนึกถึงปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลเมื่อครั้งที่แล้วไม่ได้ ที่ในรายงานของผู้รอดชีวิตมีการพูดถึงสัตว์ประหลาดปราตัวออกมาจาก ‘การกัดกินที่ถูกสร้างขึ้นมา’


ดูเหมือน….นิยามที่บอกว่าการกัดกินสามารถกลืนกินทุกอย่างคงต้องเปลี่ยนซักหน่อยแล้ว


ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็คือการกัดกินบางทีอาจจะไม่มีการแบ่งแยกความดีความชั่ว เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน สัตว์ประหลาดที่มาจากด้านในการกัดกินและดูไม่เหมือนจะเป็นพวกฟอลเลนอีวิลนี้ได้แสดงความเป็นศัตรูต่อมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน


แต่ร็อกก็รู้ดีว่าต่อให้ศัตรูจะรับมือได้ยากแค่ไหน แต่ขอเพียงผู้ฝึกยุทธ์ร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายความเขาก็จะหาวิธีรับมือมันได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปลุกขวัญและกำลังใจของทุกคนขึ้นมา ถ้าหากปล่อยทุกคนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจเพราะศัตรูนั้นแข็งแกร่งกว่า ทุกอย่างก็คือต้องจบสิ้นลง


“ทุกคน ก็เหมือนที่ทุกคนได้เห็น นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาๆ หากแต่เป็นบุกรุกที่เกิดจากการกัดกิน!” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหน้าหาทุกคนแล้วพูดเสียงดัง “นี่ฟังดูแล้วเหมือนมันจะไม่สมเหตุสมผล แต่ความจริงมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้เราเห็นแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ นี่คือสงคราม! เป้าหมายของพวกมันชัดเจน นั่นคือช่วงชิงโลกที่เป็นของเรา! ฉันจะติดต่อสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จากทุกที่ เพื่อรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีมาช่วยเหลือเมืองปริซึมกำจัดศัตรู!”


เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “ก็เหมือนกันมิสต์ที่เป็นลูกศิษย์ข้าได้พูดเอาไว้ ทุกคน สงครามแห่งโชคชะตาได้เริ่มขึ้นแล้ว”


………………………………………………………………………


ตอนที่ 1229 หมอกแดง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์อยู่เป็นเพื่อนการ์เซียถึงประมาณตีสี่ตีห้า ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หลับไป


คำพูดที่เธอพูดออกมาในช่วงเวลาครึ่งคืนนี้รวมๆ แล้วมากกว่าคำพูดที่เธอพูดกับเขาตั้งแต่ที่รู้จักเขามาเสียอีก….แต่แทนที่จะเรียกว่าพูดคุยกัน ควรจะบอกว่าการ์เซียพูดอยู่คนเดียวจะเหมาะกว่า เนื้อหาส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องหลังจากที่เธอออกมาจากตระกูลโคลฟเวอร์ แล้วก็ได้มาเจอกับมิสต์


สิ่งที่โรแลนด์ทำได้ก็คือคอยเทนมให้กับเธอ จากนั้นก็นั่งฟังเธอพูดอยู่เงียบๆ


แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าความยุติธรรมและการอุทิศตนส่วนใหญ่ของการ์เซียนั้นได้รับมาจากการสั่งสอนของมิสต์ รวมไปถึงความกระหายที่จะปกป้องโลกใบนี้ด้วย ถึงแม้การสั่งสอนของอีกฝ่ายจะเข้มงวดอย่างมาก แต่การ์เซียก็ยังมองเธอเป็นเป้าหมายและสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเธอไว้


อย่างน้อยเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว มิสต์ก็เหมือนจะมีความรู้สึกผูกพันอยู่กับโลกแห่งความฝัน


ไม่รู้ว่าวิธีที่เธอพูดมาพวกนั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่า


ห้อง 0825 นั้นมีห้องนอนแค่สองห้อง ห้องหนึ่งในนั้นเป็นของซีโร่ โรแลนด์กำลังชั่งน้ำหนักดูระหว่างการล้วงหยิบกุญแจออกมาจากตัวการ์เซียกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะพาเธอไปนอนที่ห้องนอนของเขา ส่วนตัวเองไปนอนอยู่ที่ห้องรับแขก แบบนี้อีกฝ่ายจะได้พักผ่อนเต็มที่ แล้วตัวเองก็จะได้ไม่โดนเข้าใจผิดด้วย


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นี่่น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว


แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะมานอนหลับอยู่ที่โซฟาจริงๆ เพราะตัวเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นนอนหลับมาเป็นเวลานานแล้ว


หลังพาการ์เซียเข้านอน โรแลนด์ก็มองดูภาพเมืองที่ถูกความมือเข้าปกคลุมผ่านทางหน้าต่างในห้องนอน นี่คือโลกแห่งความฝันในเวลาตีสี่ แสงไฟยังคงส่องสว่างอยู่ในเมือง ดูแล้วสะดุดตามากกว่าแสงดาวเสียอีก ถึงแม้มันจะดูแล้วเงียบสงบ แต่มันกลับเต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกับอีกโลกหนึ่ง พระจันทร์สีแดงที่เป็นตัวแทนของการกัดกินได้เผยใบหน้าที่โหดร้ายของมันออกมา สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ ดวงหนึ่งลอยอยู่บนฟ้า แต่อีกดวงหนึ่งกลับฝังอยู่ใต้ดิน


โรแลนด์ปิดหน้าต่างแล้วออกไปจากโลกแห่งความฝัน


หลังความมึนงงที่คุ้นเคยผ่านไปแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในดวงตานั้นไม่ใช่เพดาน หากแต่เป็นดวงตาที่ส่องประกายเหมือนดวงดาว


“….” หลังดวงตาทั้งสองคู่สบตากัน โรแลนด์พลันได้ยินเสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นมา จากนั้นเงาที่อยู่เหนือหัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น


“แค่กๆๆ…เมื่อกี้ หม่อมฉันเพียงแค่อยากจะดูว่าพระองค์ตื่นหรือยัง เพราะพระองค์บรรทมไปนานแล้ว หม่อมฉันก็เลยกังวลนิดหน่อยเพคะ…”  ไนติงเกลไปปรากฏตัวอยู่ตรงโต๊ะทำงาน “อีกอย่าง ทำไมพระองค์ถึงตื่นขึ้นมาปุบปับอย่างนี้ล่ะเพคะ หม่อมฉันตกใจแทบแย่!”


เอ่อ…โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที ตื่นขึ้นมาปุบปับมันหมายความว่ายังไง หรือว่าเขายังต้องส่งสัญญาณก่อนที่จะตื่นขึ้นมาด้วย?


“เอาเป็นว่าไม่มีอะไรก็ดีแล้วเพคะ หม่อมฉันจะกลับห้องไปนอนแล้วเพคะ” เธอจงใจทำเป็นหาวออกมา “ใช่แล้วเพคะ ตอนประมาณ 4 ทุ่ม อันนามาหาพระองค์ แต่พอเห็นพระองค์ยังไม่ตื่นขึ้นมา นางก็เลยกลับไปก่อน นางฝากหม่อมฉันให้ทูลพระองค์ด้วยว่าอย่าหักโหมมากเกินไปนะเพคะ”


“เดี๋ยวก่อน ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”


“เที่ยงคืนกว่าเพคะ” ไนติงเกลเดินไปที่ประตูห้องทำงาน “อย่างนั้น…ราตรีสวัสดิ์นะเพคะ”


เมื่อเห็นประตูปิดลง โรแลนด์พลันรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาในหัวใจอย่างรุนแรง ถึงแม้การเข้าไปในโลกแห่งความฝันจะเหมือนกำลังนอนหลับ แต่พลังงานที่ใช้ไปนั้นไม่ได้ลดลงเลย บวกกับความเร็วของเวลาของทั้งสองโลกนั้นไม่เท่ากัน พูดอีกอย่างก็คือมันเหมือนเขาไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้ว


เขาบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นอน ในขณะที่กำลังจะกลับไปนอนต่อ หางตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่าง


โรแลนด์มองออกไปทางด้านบนของหน้าต่าง ก่อนจะต้องตกใจจนเกือบตะโกนร้องออกมา!


เขาเห็นใบหน้าที่ขาวซีดสองใบหน้าห้อยแปะลงมาจากด้านบนหน้าต่างจนใบหน้าดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ดวงตาสี่ดวงกำลังจ้องมองเข้ามาในห้อง ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าน่ากลัวแค่ไหน!


ถ้าไม่เป็นเพราะดวงตาสองคู่นั้นดูคุ้นเคย เกรงว่าเขาคงจะเปิดประตูหนีออกจากห้องไปแล้ว


เดี๋ยวๆ คุ้นเคย?


โรแลนด์พยายามสะกดอารมณ์แล้วหรี่ตามองดูอยู่ครู่ ก่อนจะพบว่านั้นคือไลต์นิ่งกับเมซี่!


ทำไมจู่ๆ พวกเธอถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?


ยิ่งไปกว่านั้นยังในเวลากลางดึกแบบนี้ด้วย


ทั้งสองคนเหมือนจะรู้แล้วว่าร่องรอยของตัวเองถูกเปิดเผย พวกเธอจึงค่อยๆ บินลงมาจากบนหลังคา


“พวกเจ้ามาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เมื่อไร?” หลังพาทั้งสองคนเข้ามาในห้อง เขาก็ถามขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ทำไมถึงไม่รีบมารายงานข้าทันที?”


พอเข้าไปใกล้โรแลนด์ถึงได้สังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นไลต์นิ่งหรือว่าเมซี่ ผมเผ้าและเสื้อผ้าต่างก็สกปรกมอมแมม เหมือนกับว่าในช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกเธอไม่ได้อาบน้ำเลย นี่พอจะทำให้เห็นได้ว่าการสอดแนมครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย


“ทูลฝ่าบาท พวกเรามาถึงเมื่อประมาณหนึ่งชั่ว….จิ๊บ…” เมซี่พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ถูกไลต์นิ่งเอามืออุดปากไว้


“ไม่ใช่เพคะ พวกเราเพิ่งจะมาถึงไม่นาน ไม่เห็นอะไรเลยเพคะ!” พอพูดจบเธอก็หันไปถลึงตาใส่เมซี่ “ใช่ไหม?”


เมซี่รีบพยักหน้า “จิ๊บ….หม่อมฉันจำผิดไปเพคะ”


มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา การแสดงห่วยๆ ของพวกเจ้านี่ ต่อให้เป็นนาน่าก็ยังหลอกไม่ได้เลย แต่ว่าต่อให้กลับมาเร็วกว่านั้นมันจะเป็นอะไรไป เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่ในเรื่องคนอื่นจะมาดูตัวเองนอนหลับอยู่แล้ว “รีบเดินทางมาตลอดคืนเลยเหรอ? ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ใช่นกส่งจดหมาย? หรือว่า…”


ภายในใจเขาพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา


“ใช่เพคะ ฝ่าบาท” ไลต์นิ่งทำหน้าขึงขัง “เมื่อครึ่งเดือนก่อน พวกหม่อมฉันเจอร่องรอยความเคลื่อนไหวของปีศาจระดับสูงบนสันหลังของทวีปเพคะ!”


ความง่วงของโรแลนด์หายไปทันที “จากนั้นล่ะ? พวกเจ้าเป็นมันสิ่งก่อสร้างอะไรของมันบ้างไหม?”


“ตอนนี้ยังไม่มีเพคะ” ไลต์นิ่งส่ายหัว ก่อนจะล้วงเอาแผนที่ที่ยับยู่ยี่ออกมากางบนโต๊ะทำงาน “สภาพภูมิประเทศตรงนั้นไม่เหมาะที่จะให้สำรวจลึกเข้าไป พวกหม่อมฉันจึงได้แต่ต้องบินกลับมารวมกับพวกแม่มดทาคิลาที่เทือกเขาสโนว์ พวกนางใช้เวลาตั้งแกนเวทมนตร์ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ทำให้มั่นใจได้เรื่องหนึ่งเพคะ” เธอชี้ไปยังจุดที่เป็นเหมือนรอยแตกบนแผนที่ “ตรงนี้มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่จริงๆ เพคะ ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของมันน่าจะใหญ่พอๆ กับเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลาด้วยเพคะ!”


มีทั้งปีศาจระดับสูงและสายแร่หินอาญาสิทธิ์ ข้อสรุปที่ออกมาไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าเป็นยังไง


โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเดาถูกจริงๆ ด้วย ศัตรูเตรียมแผนเอาไว้สองแผนตั้งแต่แรกแล้ว ทาคิลานั้นเหมาะแก่การใช้บุกโจมตี แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นสถานที่ที่มนุษย์จะสู้เพื่อนมันด้วย ถึงแม้จะไม่ระวังจนถูกมนุษย์ยึดพื้นที่คืนไป พวกมันก็ยังบุกเข้ามายังสี่อาณาจักรใหญ่จากอีกทางหนึ่งได้ เพราะว่าถึงเทือกเขาสิ้นวิถีจะเดินทางได้ยากลำบากยังไง มันก็ยังดีกว่ารออยู่เฉยๆ ไปอีก 400 ปี


แต่ที่โชคดีก็คือมนุษย์มองเห็นเจตนาของปีศาจออกเสียก่อน จากข้อมูลที่อกาธาให้มา เสาหินโอเบลิสนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะทำให้มันเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านั้นหมอกแดงที่มันผลิตออกมาจะพอแค่ใช้ปกคลุมพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น


“แต่ว่าในตอนที่ออกมาจากเทือกเขาสโนว์ พวกหม่อมฉันได้ยินข้อมูลอีกอย่างหนึ่งเพคะ…” ไลต์นิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ลังเลไปเล็กน้อย “ตอนนั้นหม่อมฉันกับเมซี่ข้ามชายแดนของอีเทอร์นอลวินเทอร์มาแล้ว เสียงในรูนสดับฟังไม่ค่อยชัดเจน หม่อมฉันก็เลยไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่ได้ยินหรือเปล่าเพคะ”


“พวกเจ้าได้ยินอะไร?”


เมซี่เอายกสองมือขึ้นมาป้องที่หูเขาแล้วพูดว่า


“แม่มดที่รับผิดชอบเรื่องการติดต่อบอกว่าด้านบนยอดเขาทางเหนือมีหมอกแดงจิ๊บ!”


…………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)