Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1219-1225

 ตอนที่ 1219 สอบสวนความผิดปกติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกรย์คาสเซิล เมืองเนเวอร์วินเทอร์


ทุกคนที่อยู่สถานีตำรวจต่างวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด เสียงออกคำสั่งและเสียงรายงานดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาบนโลกกลายเป็นประเด็นพูดคุยที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงหลายวันมานี้ แล้วก็ทำให้หน่วยงานตำรวจทั้งหน่วยงานยุ่งอย่างมากด้วย


ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของเกรย์คาสเซิลและเป็นที่ประทับของฝ่าบาทโรแลนด์ ต่อให้ในเมืองเกิดเหตุอะไรนิดหน่อย กองตำรวจก็ต้องสืบหาสาเหตุให้ชัดเจนและจดบันทึกเอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับเหตุการณ์ไฟไหม้กับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นพร้อมกันล่ะ


ช่วงสองวันมานี้คาเตอร์ แลนนิสแทบจะไม่ได้นอนเลย หลังจากที่ปลอบภรรยาที่เสียขวัญตั้งแต่วันที่เกิดเหตุแล้ว เขาก็ทุ่มเทอยู่กับงาน — การคุ้มครองฝ่าบาทคือหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่งของหัวหน้าอัศวิน เขาจะไม่ยอมให้ใครมาก่อความวุ่นวายที่นี่เด็ดขาด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา การที่เกิดเรื่องในหลายๆ ที่พร้อมกันนั้นจะต้องคดีที่ทำกันเป็นขบวนการแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชิญทีมนักสืบของเนเวอร์วินเทอร์มาให้ความช่วยเหลือตำรวจในการสืบสวนทันที คาเตอร์เชื่อว่าขอเพียงสืบหาเบาะแสได้ ไม่นานเขาจะต้องเอาตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายได้แน่นอน


แต่ว่าหลังจากที่ส่งรายงานกองใหญ่ขึ้นไปแล้ว เบื้องบนกลับตั้งทีมสืบสวนร่วมขึ้นมา โดยในทีมประกอบไปด้วยสมาชิกจากสโมสรแม่มด กองสันติบาลและสำนักงานเมือง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่อุบัติเหตุหรือการทำผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น หากแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเวทมนตร์เป็นหลัก


“ท่านคาเตอร์ พยานมาแล้วขอรับ” อัศวินคนหนึ่งมากระซิบข้างหู “ท่านจะเริ่มการสอบสวนเลยไหมขอรับ?”


คาเตอร์โยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะดื่มชาร้อนๆ ที่อยู่ในแก้วไปจนหมดแล้วพยักหน้าว่า “เริ่มเลย ไปเชิญคนอื่นๆ เข้ามาด้วย”


“ขอรับ”


เนื่องจากนี่ไม่ใช่การสอบสวนคนร้าย ดังนั้นเพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป การสอบสวนจึงจัดขึ้นในห้องทำงานที่จัดขึ้นมาชั่วคราว เจ้าหน้าที่หลักๆ ในทีมสืบสวนรวมก็มีเขา เลดี้อกาธาและเวเดอร์ที่เป็นรองหัวหน้ากองสันติบาล


พยานคนแรกที่ถูกพาเข้ามาในห้องคือสาวใช้ในโรงแรมคนหนึ่ง อายุ 21 ปี ไม่ได้เป็นพลเมืองของเนเวอร์วินเทอร์ แล้วก็ไม่เคยมีบันทึกทำความผิด


เธอดูเหมือนจะค่อนข้างตื่นเต้น พอนั่งลงบนเก้าอี้ก็ถูมือตัวเองไม่หยุด


คาเตอร์กวาดตามองดูข้อมูลที่อยู่ในมือ ก่อนจะถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “มิสทิงเกิลใช่ไหม? ข้าอยากจะรู้ว่าตั๋วหนังเวทมนตร์ ‘ฝุ่นแห่งการทำลายล้าง’ ราคาสูงตั้ง 50 เหรียญทอง เจ้าไปเอาเงินมากมายจากที่ไหนมาซื้อ?”


“นายท่าน ข้าไม่ได้ไปขโมยหรือไม่แย่งมาจริงๆ นะเจ้าคะ!” อีกฝ่ายรีบแก้ต่าง “ท่านวิคเตอร์ที่เป็นแขกที่ข้าดูแลอยู่เป็นคนซื้อให้ข้าเจ้าค่ะ วันที่ซื้อตั๋วในสำนักบริหารก็มีหลายคนที่เห็น ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ!”


ความจริงแล้วช่วงนี้เขาได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว นี่เขาถามอีกรอบหนึ่งก็เพื่อเพิ่มความกดดันให้กับอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าโกหก เพราะตอนนี้ไนติงเกลไม่อยู่ที่นี่ “วิคเตอร์ใช่ไหม? เอาไว้เดี๋ยวข้าจะเชิญเขามาสอบถามเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เรามาคุยกันก่อนดีกว่า ตอนช่วงท้ายของหนังเวทมนตร์เจ้าเห็นอะไร”


“เจ้าค่ะ…” เสียงของสาวใช้สั่นเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่าภาพลวงตากลายเป็นเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ…”


หลังจากนั้น 15 นาทีเธอถึงจะหยุดบรรยาย “ยังดีที่สุดท้ายที่ทหารพวกนั้นถูกตำรวจไล่กลับไป ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่กล้าคิดถึงจุดจบของสองคนนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ”


คาเตอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเองก็เคยดู ‘หัวใจหมาป่า’มาเหมือนกัน เขาย่อมต้องรู้ว่าหนังเวทมนตร์มันน่าตกตะลึงแต่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดนี้


“เจ้าแน่ใจนะว่าอาวุธของทหารมันทำให้คนดูบาดเจ็บได้จริง?”


“ข้า…ไม่แน่ใจ แต่หน้าของท่านวิคเตอร์มีเลือดออกจริงๆ เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงร้องของคนที่บาดเจ็บคนอื่นก็ไม่เหมือนว่าแกล้งทำเลยเจ้าค่ะ…”


“เจ้าจำได้ไหมว่าเรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน?”


“น่าจะประมาณ 10 นาทีก่อนหนังจบเจ้าค่ะ…ขออภัยเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากลัวมาก ก็เลยซุกอยู่แต่ในอกของท่านวิคเตอร์เจ้าค่ะ”


“พวกเจ้ามีอะไรจะถามไหม?” คาเตอร์มองไปทางอีกสองคนที่เหลือ


อกาธานิ่งเงียบไปเล็กน้อย “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ เจ้าจะบอกว่าคนในหนังเวทมนตร์พูดคุยกับพวกเจ้าใช่ไหม?” เธอหยิบรูปๆ หนึ่งขึ้นมา “ใช่คนนี้ไหม?”


คนที่อยู่ในรูปคือนักแสดงชายของคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ที่แสดงเป็นทหารอารักขาแม่มด


“ใช่เจ้าค่ะ เขานั่นแหละเจ้าค่ะ ข้าจำได้แม่นเลย ตอนนั้นเขายังมาขอบคุณพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ!”


คาเตอร์ที่ได้ยินเช่นนี้พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาย่อมต้องรู้ว่าทันทีที่หนังเวทมนตร์ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย มันก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาข้างในได้ ส่วนเรื่องที่ออกมาพูดคุยกับคนที่อยู่ข้างนอกนั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย


เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก เขาจึงหันไปโบกมือเรียกลูกน้อง “เปลี่ยนเอาคนอื่นเข้ามา”


การเล่าเรื่องของพยานอีกหลายคนหลังจากนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก พูดง่ายๆ ก็คือหนังเวทมนตร์เหมือนมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้หลังจากเกิดเรื่องจะถูกบอกว่าเป็นความผิดพลาดเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงๆ จากหลักฐานและคำให้การของพยานหลายๆ คนทำให้เห็นว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดไปเอง


เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนคาเตอร์มัวแต่ไปสนใจเรื่องไฟไหม้กับระเบิด เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องรายงานความวุ่นวานที่เกิดขึ้นในโรงหนังมากนัก แต่ตอนนี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงสนใจเรื่องนี้มากกว่า


“พยานคนต่อมาคือตำรวจที่เคยรักษาความเป็นระเบียบอยู่ภายในลาน หัวหน้าหน่วยที่สอง”


“ให้เขาเข้ามา


หัวหน้าหน่วยคนนี้ดูมีความสุขุมมากกว่าคนอื่นๆ เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว “ข้าได้ยินร้องไห้กับเสียงขอความช่วยเหลือดังมากจาด้านนอกก่อน ในตอนที่ข้าคิดจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าถึงได้สังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้ามีพระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา บอกตามตรง ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าควรจะยืนเฝ้าอยู่ในตำแหน่งต่อดี หรือว่าออกไปช่วยคนที่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือดี แต่ในตอนนั้นเอง แม่มดคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากทางด้านหลังของห้องดูหนัง นางบอกให้ข้ารีบพาลูกน้องเข้าไปในห้องดูหนังเพื่อปกป้องผู้ชม”


“จากนั้นเขาก็ยิงปืนใส่ทหารที่ไล่ตามมาในหนังเวทมนตร์?”


“ถึงแม้จะฟังดูแล้วแปลกๆ แต่ความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นนักแสดงจริงๆ แต่ตอนนั้นเขาก็ทำให้คนดูตกใจจริงๆ บวกกับข้าคิดมาตลอดว่านั้นเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ข้าก็เลยไม้ได้ลังเลอะไร”


คนรองสุดท้ายที่ถูกเรียกตัวมาสอบสวนก็คือแม่มดที่ฉายหนังเวทมนตร์ ไนท์ฟอล


“ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ ข้าก็สิ้นหวังเหมือนกันนะ ปกติแม่มดคนไหนมีพลังเวทมนตร์เหลืออยู่เยอะก็จะไปรับผิดชอบเรื่องการกระตุ้นรูนแห่งเวลาเพื่อฉายหนังเวทมนตร์ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น?” ทันทีที่เข้ามาในห้องเธอก็บ่นไม่หยุด “ตอนแรกก็ฉายอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ รูนมันก็ผลักข้าออกมา ทำให้ข้ามองอะไรไม่เห็น ตามปกติแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติแบบนี้ข้าก็ควรจะรีบหยุดใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมหยุด ข้าอยากจะเขย่าตัวผู้ชมให้ตื่น แต่ข้าผลักยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา เหมือนว่าพวกเขาโดนเมล็ดพันธุ์แห่งการหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น ตอนนั้นข้าพยายามเต็มที่แล้ว คิดไปคิดมาข้าก็เลยได้แต่ต้องไปตามตำรวจให้เข้ามาช่วย”


มุมปากอกาธากระตุกขึ้นมา “รูน…ผลักเจ้าออกมาอย่างนั้นเหรอ?”


“น่าจะนะ ตอนนั้นข้ารู้สึกได้ถึงแรงผลักที่ส่งมาจากมันจริงๆ เหมือนกับว่าใส่พลังเวทมนตร์เยอะเกินไปจนมันเริ่มล้นออกมา แต่จากนั้นสายตาก็กลับมามองเห็นเหมือนปกติ”


“พอแล้ว คนต่อไป”


ในตอนที่คนสุดท้ายเดินเข้ามาในห้องทำงาน คาเตอร์ก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายคือเคแกน เฟส ผู้เขียนบทละครเรื่องนี้


ในขณะที่เพิ่งจะนั่งลง เขาพลันกำหมัดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น


“พระเจ้าเป็นพยาน นี่เป็นละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าเคยดูมาเลย!”


“ตอนนั้นเขาก็อยู่ในโรงหนังด้วยงั้นเหรอ?” คาเตอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา เนื่องจากอีกฝ่ายเคยมีปัญหากับภรรยาของตน เขาจึงไม่ค่อยถูกกับปรมาจารย์ด้านการแสดงคนนี้เท่าไร “ข้าตรวจดูรายชื่อของคนที่เข้าชมรอบแรกแล้ว ในรายชื่อไม่มีชื่อของเจ้านี่นา”


“ตอนนั้นเขานั่งอยู่ในที่นั่งพิเศษด้านหลังเวที ความจริงแล้ว นักแสดงของคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อซื้อตั๋วชมหนังเวทมนตร์ที่ตัวเองแสดง ภรรยาของเจ้าไม่เคยบอกเจ้าเหรอ?” แม่มดน้ำแข็งตอบแทนเคแกน “ความจริงแล้วเป็นเพราะรายงานของเขานั่นแหละถึงได้ทำให้ฝ่าบาททรงสนพระทัยเรื่องนี้ แล้วก็ส่งสโมสรแม่มดให้มาเข้าร่วมการสืบสวนด้วย”


“ขอโทษด้วย นี่คือความเคยชินของข้า” เคแกนพูดขอโทษพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก “ข้ามักจะแอบชอบไปดูละครที่ตัวเองเขียนโดยที่ไม่บอกคนอื่นว่าข้าเป็นใคร เพื่อที่จะได้สัมผัสปฏิกิริยาของผู้ชมได้โดยตรง เลดี้เมย์อาจจะรู้ในจุดนี้ก็เลยไม่ได้บอกเจ้าก่อน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาพลันฟังดูตื่นเต้นขึ้นมา “ข้าต้องขอบอกเลยว่า หนังเวทมนตร์เรื่องนี้เป็นปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์ละครเวที เพราะว่าผู้ชมเป็นคนเขียนตอนจบขึ้นมาเอง!”


“เจ้าว่าอะไรนะ?” คาเตอร์ตกใจ


“ท่านไม่ได้ฟังผิด ท่านอัศวิน บทละครของข้าไม่ได้เขียนเอาไว้แบบนี้!” เคแกน เฟสพูดพร้อมโบกไม้โบกมือ “ตามเรื่องที่ข้าเขียนเอาไว้ เดิมจุดจบของละครเรื่องนี้ควรจะเป็นโศกนาฎกรรมที่น่าเศร้า เพื่อที่ปกป้องคนที่ตัวเองรัก ทหารอารักขายอมใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อทหารที่ไล่ตามมา จนสุดท้ายตัวเองต้องตกลงไปในหน้าผา ทิ้งให้แม่มดต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนกลับได้รับความช่วยเหลือของผู้ชม ทำให้ทั้งคู่มีชีวิตรอดต่อไป ยังจะมีเรื่องไหนที่ยอดเยี่ยมกว่าเรื่องนี้อีกเหรอ?”


หัวหน้าอัศวินอ้าปากค้าง


“บทพูดเหล่านั้นข้าก็ไม่ได้เป็นคนเขียน หากแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาพูดขึ้นมาเอง ก็เหมือนกับที่นักแสดงว่าเอาไว้ ผู้ชมไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเขา แต่ยังเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาด้วย!” เคแกนพูดเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “นี่คือสุดยอดละครเวทีที่ข้าเฝ้าตามหามาโดยตลอด ถ้าพวกเจ้ารู้สาเหตุของมันแล้วก็ช่วยบอกข้าด้วยล่ะ!”


……………………………………………………….


ตอนที่ 1220 สาเหตุของอุบัติเหตุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์เรียกได้ว่าต้องเผชิญกับสัปดาห์ที่ยุ่งยากที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาปกครองเนเวอร์วินเทอร์มา


ถึงแม้ปรากฏการณ์ต่างๆ มันจะเผยให้เห็นว่าครั้งนี้พระจันทร์สีแดงจะปรากฏขึ้นเร็วกว่าครั้งก่อน เขาเองก็เตรียมตัวรับมือกับมันมาโดยตลอด แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็ยังมาอย่างกะทันหันเกินกว่าที่หลายๆ คนคาดการณ์เอาไว้ ไม่ใช่ 10 ปีอย่างที่ศาสนจักรบอกไว้ แล้วก็ไม่ใช่ 2 – 3 อย่างที่แม่มดทาคิลาคำนวณ หากแต่เป็นช่วงหลังจากเขาดำเนินแผนการเคลื่อนย้ายประชากรได้ไม่นาน มันก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของดินแดนตะวันตกโดยไม่มีลางบอกเหตุอะไรเลย


แต่จะพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว


ในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานด่วนจากที่ต่างๆ ล้วนแต่ถูกทยอยส่งมาอย่างต่อเรื่อง ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่พูดถึงปรากฏการณ์แปลกๆ นี้ ยิ่งไปกว่าทุกที่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นช่วงเวลาที่พระจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เลย เหมือนกับว่าเดิมมันก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถูกท้องฟ้าบดบังเอาไว้ และตอนนี้ท้องฟ้าที่บดบังอยู่นั้นก็แค่ถูกเปิดออกเท่านั้น


โรแลนด์พบว่าตัวเองเหมือนจะกลายเป็นโรค ‘พระจันทร์สีแดง’ นิดๆ อาการของมันก็คือไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ต้องคอยมองหาช่องหน้าต่างเพื่อมองออกไปบนท้องฟ้า แล้วเวลาที่มองดูพระจันทร์สีแดงก็จะตกอยู่ในอาการเหม่อลอย รัศมีสีแดงขนาดใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่แสบตาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนแต่มองเห็นโครงร่างของมันได้อย่างชัดเจน เมื่อมองนานๆ เขาเหมือนจะรู้สึกว่าพระจันทร์สีแดงเองก็กำลังจ้องมองเขาเหมือนกัน


จากคำบอกเล่าของสมาพันธ์ การที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นบนโลกนั้นหมายถึงการเริ่มต้นขึ้นของสงครามแห่งโชคชะตา หลายปีมานี้โรแลนด์เองก็เตรียมพร้อมสำหรับรับมือกับเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ในตอนที่มันมาถึงจริงๆ เขากลับเกิดความรู้สึกที่เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะที่ราบลุ่มบริบูรณ์ยังคงเงียบสงบ ทีมสอดแนมที่ส่งไปทางเหนือก็ยังไม่มีเสียงตอบรับกลับมา มีเพียงเนเวอร์วินเทอร์ที่เดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงในสำนักบริหารจะส่งรายงานมาให้เขาฉบับนึง แต่เนื้อหาส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับปีศาจเลย


“ฝ่าบาท” เสียงของไนติงเกลดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา “พระองค์ทรงเหม่ออีกแล้วนะเพคะ”


โรแลนด์กะพริบตา ก่อนจะได้สติกลับคืนมา “เอ่อ…ขอโทษ ข้าแค่รู้สึก…”


ไนติงเกลหายตัวเข้ามา ก่อนจะเอาปลาแห้งแผ่นหนึ่งใส่ปากเขา พร้อมกับพูดตัดบทเขาว่า “ไม่ต้องขอโทษเพคะ ความจริงการเหม่อก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี หลายวันมานี้พระองค์ไม่ได้พักผ่อนเลย ก็คิดซะว่าเป็นการพักผ่อนแล้วกันเพคะ ถ้าไงให้หม่อมฉันดูพระจันทร์เป็นเพื่อนพระองค์ดีไหมเพคะ? ในเมื่อพระจันทร์สีแดงมันมีความเกี่ยวข้องกับสงครามแห่งโชคชะตา ดูมันบ่อยๆ ก็เหมือนกับเป็นการศึกษามันอย่างหนึ่งนะเพคะ”


โรแลนด์หัวเราะออกมาทันที คนที่คิดเรื่องแบบนี้เกรงว่าคงมีแค่ไนติงเกลคนเดียวเท่านั้น เขาคาบปลาแห้งเอาไว้ในปากก่อนจะส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจออกมา “ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง คอยเฝ้าข้าต่อไป ห้ามจงใจปล่อยปละละเลย เข้าใจไหม?”


ไนติงเกลมุ่ยปาก ก่อนจะหายตัวกลับไปนอนบนโซฟา


โรแลนด์สูดหายใจ พร้อมกับดึงสมาธิกลับมาที่กองรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ


ปัญหาที่พระจันทร์สีแดงสร้างให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในหลายวันมานี้เผลอๆ จะมากกว่าปัญหาที่เกิดจากการลอบโจมตีของปีศาจเสียอีก จากข้อมูลที่ทางสำนักบริหารและกองสันติบาลรวบรวมมา ในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้น 4 ครั้ง มีการทำผิด 16 คดี เมื่อรวมกับอุบัติเหตุในโรงงานอีก 8 ครั้งที่ได้รับมาจาก ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 21 คน มีผู้บาดเจ็บ 500 กว่าคน การตายและการบาดเจ็บกว่า 90% เกิดขึ้นในเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดนับตั้งแต่ที่ก่อตั้งเมืองขึ้นมา


ตอนแรกโรแลนด์นึกว่าอุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะว่าหวาดกลัวลนลานของประชาชน แต่เมื่อรวบรวมเอาเหตุการณ์จากแต่ละที่มาวิเคราะห์ดูแล้ว เขาถึงได้พบว่าเรื่องราวมันไม่ได้เป็นอุบัติเหตุธรรมดาๆ เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจัดทีมสืบสวนร่วมขึ้นมาเพื่อสืบสวนเหตุการณ์ในครั้งนี้ และผลที่ออกมาก็ทำให้เขารู้สึกตกใจ — เขาพบว่าแท้ที่จริงแล้วความวุ่นวายเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคลื่นพลังเวทมนตร์ที่มาจากพระจันทร์สีแดงเป็นเหตุ


เอกสารการสืบสวนที่อกาธาส่งมานั้นได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเอาไว้อย่างละเอียด


ในช่วงเวลาประมาณ 17.35 น. จู่ๆ พระจันทร์สีแดงก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า อุปกรณ์พลังเวทมนตร์ที่กำลังทำงานอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ล้วนแต่ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น จุดจบของเรื่อง ‘ฝุ่นแห่งการทำลายล้าง’ ที่กำลังฉายอยู่ในโรงหนังจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ภาพลวงตาแทบจะกลายเป็นภาพเหตุการณ์จริงๆ หรือจะหลอดไฟในเขตโรงงานที่ได้รับพลังเวทมนตร์มากเกินไปจนหลอดไฟแตก เครื่องจักรที่ใช้พลังงานจากรุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งต่างเสียหายไปตามๆ กัน อุบัติเหตุที่รุนแรงที่สุดนั้นเกิดขึ้นที่โรงงานเครื่องจักรหมายเลขหนึ่ง หม้อต้มน้ำรุ่นเก่าตัวหนึ่งเกิดระเบิดขึ้นมา ไอน้ำแรงดันสูงที่กำลังเดือนพล่านระเบิดกระจายขึ้นมาจนคนงานที่อยู่รอบๆ ต่างล้มลงไปกองกับพื้น และการสอบสวนหลังเกิดเหตุก็แสดงให้เห็นว่าเนื่องจากหม้อต้มน้ำใบน้ำมีข้อจำกัดในเรื่องวิศวกรรมการผลิต ชิ้นส่วนสำคัญๆ อย่างเช่นวาล์วไอน้ำล้วนแต่ถูกแคนเดิลทำให้แข็งตัว ก่อนหน้านี้ตัวหม้อมีรอยแตกเล็กๆ อยู่ เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น


จากคำให้การที่รวบรวมมาจากที่ต่างๆ ได้แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์แปลกๆ เหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นเหตุการณ์จึงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความวุ่นวายขึ้นมา ในตอนนั้นหลายๆ คนถึงขนาดคิดว่าปีศาจกำลังโจมตีเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ถึงแม้ในโรงงานจะเคยซ้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินมาแล้ว แต่ในตอนที่ต้องปฏิบัติจริงๆ ก็ยังไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ ถ้าไม่เป็นเพราะระบบการรักษาพยาบาลของเนเวอร์วินเทอร์ดีเกินระดับในยุคสมัยนี้กับมีนาน่าให้การรักษาล่ะก็ จำนวนคนที่บาดเจ็บและเสียชีวิตคงจะมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าแน่


ตามหลักแล้วเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดแบบนี้ควรจะถูกสมาพันธ์บันทึกเอาไว้ แต่กลายเป็นว่าแม่มดทาคิลานั้นไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะคลื่นพลังเวทมนตร์จากพระจันทร์สีแดงในสงครามแห่งโชคชะตาเมื่อสองครั้งแรกน้อยเกินไป ก็อาจจะเป็นเพราะในตอนนี้อุปกรณ์พลังเวทมนตร์มีไม่ค่อยเยอะเท่าไร จึงทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้


ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุยังคงไม่จบสิ้น เนื่องจากไม่มีใครกล้ารับประกันว่าคลื่นพลังเวทมนตร์จะไม่ปรากฏขึ้นมาอีก ในโรงงานจึงทำการตรวจสอบเครื่องจักรในโรงงานใหม่ทั้งหมด แล้วก็จัดการโละเอาเครื่องจักรรุ่นเก่าออกไป นอกจากนี้ทางสำนักบริหารยังมีการจัดทำแผนการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินใหม่ โดยรวมไปถึงการทำให้ชาวบ้านตื่นตัวและไม่ลนลานในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติแบบนั้นขึ้นอีก อีกทั้งคำว่า ‘อุบัติเหตุทางเวทมนตร์’ ยังถูกจดบันทึกลงในเอกสารเป็นครั้งแรกด้วย


กลับกลายเป็นการฉายหนังเวทมนตร์ครั้งที่สองในอีกสามวันหลังจากนั้นที่ทำให้กลายเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นมาใหม่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ผู้คนที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการฉายรอบแรกต่างก็มาล้อมโรงหนังเอาไว้จนเต็มไปหมด ทุกคนต่างมาก็เพราะเรื่องที่บอกว่าสามารถเปลี่ยนแปลงตอนจบของหนังด้วยตัวเองได้ ถึงแม้ในเวลานี้หนังเวทมนตร์จะกลับเป็นปกติแล้ว แต่ความสนใจของผู้ชมก็ยังไม่ลดลงเลยไม่ได้นิดเดียว


นี่เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่น่าสนใจที่สุดในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเลย


แต่จะยังไงก็ตาม อุบัติเหตุลูกโซ่ครั้งนี้ก็ได้ทำให้โรแลนด์เกิดความกังวลเรื่องที่จะใช้ลูกบาศก์เวทมนตร์เป็นแหล่งให้กำเนิดพลังงาน ตอนนี้เขาอยากจะรู้ว่าคลื่นพลังเวทมนตร์แบบนี้จะเกิดขึ้นแค่ตอนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาหรือว่าจะเกิดขึ้นตลอดช่วงที่มีสงครามแห่งโชคชะตา


ถ้าหากเป็นอย่างแรก การที่มันเกิด 400 ปีครั้งหนึ่งเขาก็ยังพอยอมรับได้ เพราะการกำจัดปีศาจคือเป้าหมายที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งหรือว่าลูกบาศก์เวทมนตร์ก็ล้วนแต่มีข้อได้เปรียบมากกว่าอุปกรณ์ปกติธรรมด ซึ่งทำให้ขีดความสามารถของอุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยกระดับขึ้นอย่างมาก แต่ถ้าหากเป็นอย่างหลัง อย่างนั้นเขาก็คงต้องคิดถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการสูญเสียการควบคุมแล้วล่ะ


ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์จากสำนักบริหารก็ดังขึ้นมา


ปกติแล้ว คนที่สามารถต่อสายตรงเข้ามาได้นั้นมีแต่บารอฟเพียงคนเดียวเท่านั้น


โรแลนด์ถอนหายใจ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา “อย่าบอกนะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก?”


“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…” น้ำเสียงของบารอฟฟังดูลังเลเล็กน้อย “เมื่อครู่จู่ๆ ท่านโหราจารย์สแคทเทอร์สตาร์ก็วิ่งเข้ามาในห้องทำงานของกระหม่อม แล้วก็บอกว่าเขามีความคืบหน้าที่สำคัญอย่างมากเกี่ยวกับพระจันทร์สีแดงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาเลยหวังว่าพระองค์จะ…ไม่ เขาบอกว่าพระองค์จำเป็นต้องเสด็จไปที่หอดูดาวด้วยตัวพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ!”


………………………………………………………….


ตอนที่ 1221 พระจันทร์สีแดงที่ไม่มีอยู่จริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์รู้สึกประทับใจในตัวหัวหน้าโหราจารย์คนนี้อย่างมาก เขาไม่เพียงแต่รักษามารยาทต่างๆ ได้อย่างเคร่งครัด แต่เขายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยมีผลงานด้านการดูดาวสักท่าไร แต่เขากลับบริหารจัดการสถาบันคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะผลิตบุคลากรที่มีความสามารถขึ้นมาให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้หลายคน แต่เขายังมีส่วนร่วมในการคำนวณสถิติต่างๆ ของหน่วยงานต่างๆ ในสำนักบริหารด้วย เรียกได้ว่าสมาคมโหราศาสตร์ที่อยู่ภายใต้การนำของเขาค่อยๆ สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนทัดเทียมกับสมาคมเล่นแร่แปรธาตุ


วันแรกที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา สแคทเทอร์สตาร์ได้เดินทางมาขอรับโทษอยู่หลายครั้งเนื่องจากไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ แต่โรแลนด์นั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องต่างๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เขาจึงให้องครักษ์ไล่อีกฝ่ายกลับไป เพราะอันที่จริงก็ไม่มีใครที่จะคิดถึงว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะปรากฏขึ้นมาเร็วขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้หวังพึ่งให้สมาคมโหราศาสตร์ค้นพบพระจันทร์สีแดงแต่แรกด้วย ที่เขาพานักโหราศาสตร์เหล่านี้มาก็เพราะมองเห็นความสามารถในการคำนวณของพวกเขา


แต่คนที่รักษามารยาทขนาดนี้กลับใช้คำว่า ‘จำเป็นต้อง’ กับเขา เห็นได้ชัดว่าการค้นพบของเขาคงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว หลังวางโทรศัพท์ลง โรแลนด์ก็รีบเดินทางไปยังสถาบันคณิตศาสตร์ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์ทันที


ความจริงแล้วหอดูดาวที่ว่าก็เป็นห้องใต้หลังตาของสถาบันคณิตศาสตร์เท่านั้น ก่อนที่เหล่านักโหราศาสตร์จะย้ายเข้าไปยังตึกปาฏิหาริย์ ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับดูดาวชั่วคราวของพวกเขา เนื่องจากเวลาในการก่อสร้างตึกปาฏิหาริย์นั้นยาวนานกว่าที่คิดเอาไว้ โรแลนด์จึงได้สร้างกล้องดูดาวขนาดใหญ่ และเปลี่ยนห้องใต้หลังคาให้กลายเป็นสถานที่สำหรับดูดาวให้พวกเขา


หลังเข้ามาในสถาบัน สแคทเทอร์สตาร์ก็พาเหล่านักโหราศาสตร์มารอเข้าเฝ้าเขา เมื่อเห็นโรแลนด์เดินเข้ามา ทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”


“ลุกขึ้นเถอะ” โรแลนด์โบกมือ “เข้าเรื่องกันเลยเถอะ พวกเจ้าเจออะไร?”


“ฝ่าบาท เชิญเสด็จตามกระหม่อมมาเลยพ่ะย่ะค่ะ” ปราชญ์แก่เชิญเขาไปยังห้องใต้หลังคาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง


เมื่อผลักประตูเข้าไป โรแลนด์ก็เห็นบนพื้นมีแผ่นกระดาษที่เขียนสูตรการคำนวณและแผนที่ที่วาดด้วยมือวางอยู่เต็มพื้น ด้วยความรู้ทางดาราศาสตร์อันน้อยนิดของเขา นั่นน่าจะเป็นการคำนวณวิถีวงโคจรของกลุ่มดาวกลุ่มไหนซักกลุ่ม ความจริงความรู้เรื่องดาราศาสตร์ที่เขามีอยู่นั้นก็แค่พอจะใช้สอนเหล่านักโหราศาสตร์ในตอนแรกได้เท่านั้น แต่พอนักโหราศาสตร์เหล่านี้ได้เรียนฟิสิกส์พื้นฐานและคณิตศาสตร์มาเป็นเวลาสองปี ตอนนี้ความสามารถในการคำนวณวิถีดวงดาวของนักโหราศาสตร์เหล่านี้เรียกได้ว่าแซงหน้าเขาไปแล้ว


นอกจากสแคทเทอร์สตาร์แล้ว นักโหราศาสตร์คนอื่นๆ ต่างยืนเฝ้าอยู่นอกประตู วินาทีที่ประตูปิดลง โรแลนด์พลันสังเกตได้ถึงสีหน้าที่คร่ำเคร่งของชายแก่ผมขาวคนนี้ ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดหลังจากนี้นั้นเป็นคำสั่งเสียของเขาอย่างไรอย่างนั้น


“ฝ่าบาท…” ไนติงเกลดึงชายเสื้อเขาเบาๆ


โรแลนด์พยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน เมื่อมีไนติงเกลของปกป้องอยู่ข้างหลัง เขาไม่กังวลว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ภายในใจเขาเพียงแค่รู้สึกสงสัยว่าการค้นพบแบบไหนกันถึงได้ทำให้นักโหราศาสตร์เหล่านี้เคร่งเครียดได้ขนาดนี้


“ฝ่าบาท หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็เฝ้าสังเกตดูวิถีการโคจรของพระจันทร์สีแดงอยู่ตลอด อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากมันด้วย” หลังนิ่งเงียบไปครู่ ในที่สุดสแคทเทอร์สตาร์ก็เอ่ยปากขึ้นมา “ในเมื่อไม่สามารถทำนายการมาถึงของมันได้ พวกกระหม่อมจึงอยากจะทำอะไรเพื่อชดเชยในเรื่องนี้ อย่างเช่นคำนวณเขตดวงดาวและขนาดของมัน ไม่อย่างนั้นคำสั่งที่สมาคมโหราศาสตร์ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่แรกคงกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย แต่ผลลัพธ์จากการเฝ้าสังเกตในช่วงหลายวันนี้กลับทำให้พวกระหม่อมรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”


หวาดกลัว…อย่างมาก? โรแลนด์คิ้วขมวดขึ้นมา นี่มันดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกับคำว่าค้นพบเลย “หมายความว่ายังไง? อธิบายหน่อยสิ”


“พ่ะย่ะค่ะ” โหราจารย์พูดเสียงเบา “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าดวงดาวมรณะอาจจะเป็นเรื่องหลอกลวง พระจันทร์สีแดงมัน…ไม่มีอยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ”


เขาตกตะลึงไปทันที จากนั้นเขาจึงหันมองออกไปนอกหน้าต่าง วงกลมสีแดงยังคงลอยอยู่ที่เก่า ดูแล้วไม่ได้มีทีท่าว่าจะหายไปไหนเลย


“เจ้าบอกว่าเจ้าสิ่งนั้น…ไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ?”


“ตอนแรกที่ได้ข้อสรุปนี้ออกมา กระหม่อมเองก็รู้สึกว่ามันน่าขันอย่างมาก แต่เมื่อสังเกตไปเรื่อยๆ ภายในสมาคมโหราศาสตร์ก็ไม่มีใครที่จะหัวเราะออกมาได้อีกเลยพ่ะย่ะค่ะ” สแคทเทอร์สตาร์ถอนหายใจ เมื่อได้พูดออกมา เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก จากนั้นคำพูดก็ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง “ใช่พ่ะย่ะค่ะ มันไม่มีอยู่จริง จากข้อมูลการสังเกตที่เก็บสะสมมาเป็นเวลาร้อยปีและความรู้ที่พระองค์ทรงถ่ายทอดให้ ทำให้พวกกระหม่อมมั่นใจว่าดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อดาวดวงอื่นพ่ะย่ะค่ะ”


“แต่ทุกคนก็ยังเฝ้าติดตามและคำนวณแสงดาวที่อยู่ในเขตของดาวมรณะตามแผนที่ดวงดาวที่วาดขึ้นมาใหม่ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าไม่มีดวงดวงไหนที่เปลี่ยนตำแหน่งเพราะมันเลย นี่แสดงให้เห็นว่าดาวมรณะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดาวเหล่านั้น แล้วก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“ไม่ใช่เท่านี้ มันไม่ได้ส่งผลกระทบแม้กระทั่งตัวมันเอง ก่อนหน้านี้ดาวมรณะไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนไหวเลย สถานการณ์แบบนี้มักจะหมายความว่าความเร็วในการโคจรของมันกับพวกเราเท่ากัน แต่ตอนนี้มันก็ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิมอยู่ถึงแม้จะเข้ามาใกล้เราแล้ว มันดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลยพ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์เข้าใจความหมายของโหราจารย์ทันที “ถ้าเราเอามันออกไปจากท้องฟ้า…”


“แบบนั้นทุกอย่างก็จะอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ” สแคทเทอร์สตาร์พยักหน้า “มีแต่ตอนที่มันไม่อยู่ สรรพสิ่งถึงจะกลับมาเป็นปกติ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าพระจันทร์สีแดงจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ สำหรับโลกแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย”


โรแลนด์ตกอยู่ในความเงียบทันที


เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าโหราจารย์ถึงได้ลังเลขนาดนี้ ตำนานเรื่องพระจันทร์สีแดงกับสงครามแห่งโชคชะตานั้นมาจากแม่มดทาคิลา ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสถาบันคณิตศาสตร์ สแคทเทอร์สตาร์ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเธอมาบ้างในตอนที่สัมผัสกับร่างต้นแบบ ถ้าข้อมูลเหล่านี้ถูกยืนยันแล้วว่าเป็นคำพูดโกหกที่สมาพันธ์แต่งขึ้นมา มันก็อาจจะสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้


เพียงแต่โรแลนด์ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย หากเป็นผู้ปกครองคนอื่นบางทีอาจจะเกิดความระแวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้า แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้เห็นเซลีนทำวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์ หรือว่าพาแม่มดอาญาสิทธิ์ได้เดินเที่ยวก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างมาก ต่อให้พวกเธอจะโกหกจริงๆ แต่เขาก็ไม่รังเกียจที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้


ยิ่งไปกว่านั้นภัยจากปีศาจนั้นเป็นของจริง


“เจ้าแน่ใจนะว่าการวิเคราะห์อันนี้มันเชื่อถือได้?”


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเองก็คิดถึงข้อสรุปนี้มาโดยตลอดเหมือกัน จนกระทั่งวันนี้ตอนเช้ากระหม่อมได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าคนที่เมืองหลวงเก่า กระหม่อมถึงได้มั่นใจในเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” สแคทเทอร์สตาร์ล้วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมากางให้เขา บนจดหมายเหมือนจะเป็นการวาดตำแหน่งของพระจันทร์สีแดงเอาไว้ “เนื่องจากตำแหน่งในการสังเกตการณ์ไม่เหมือนกัน ตำแหน่งของดวงดาวจึงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ถึงแม้เพื่อนของกระหม่อมคนนี้จะเคยเป็นขุนนาง แต่เขากลับสนใจในเรื่องดาราศาสตร์อย่างมาก ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงไหว้วานเขาให้เทียบเคียงเขตดวงดาวที่พระจันทร์สีแดงตั้งอยู่จากอีกที่หนึ่ง ผลปรากฏว่าตำแหน่งที่เขาคำนวณได้นั้นแตกต่างจากของพวกเราอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่ใช่การคลาดเคลื่อนเพียงนิดเดียวเลย! พูดอีกอย่างก็คือถ้ามองมันเป็นจุดอ้างอิงล่ะก็ ก็หมายความว่าไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ใช่แค่ดินแดนที่เราอยู่เท่านั้น แต่สำหรับทุกคนแล้วมันก็หยุดนิ่งเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ!”


เมื่อฟังถึงตรงนี้โรแลนด์พลันใจเต้นขึ้นมาทันที


“ฝ่าบาท สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่มีซ้ายขวาสูงต่ำ สิ่งที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นมันไม่มีทางที่จะมีอยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ!”


ในหัวโรแลนด์พลันมีภาพจุดสีแดงที่เขาเห็นในโลกแห่งความฝันปรากฏขึ้นมา ถึงแม้รูปร่างมันจะผิดปกติอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะหมุนมองจากมุมไหนมันก็เป็นรูปร่างเดียวกัน


ในโลกแห่งความฝันมันมีอีกชื่อหนึ่งว่า


การกัดกิน


……………………………………………………………………


ตอนที่ 1222 การนัดหมายแห่งโชคชะตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…ฝ่าบาท?” เสียงของสแคทเทอร์สตาร์ดึงให้โรแลนด์ตื่นจากภวังค์


“เอ่อ….” เขานวดขมับที่ปวดเล็กน้อย “เรื่องนี้มีแค่นักโหราศาสตร์เท่านั้นใช่ไหมที่รู้?”


“คนที่ทำการสำรวจล้วนแต่เป็นนักโหราศาสตร์ที่มีชื่อดวงดาว เด็กฝึกหัดกับพวกนักเรียนที่อยู่ในสถาบันคณิตศาสตร์….ไม่รู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” โหราจารย์คุกเข่าลงไปอีกครั้ง


อย่างนี้นี่เอง โรแลนด์ครุ่นคิด มิน่าตอนก้าวเข้าประตูมา นักโหราศาสตร์ที่อยู่ด้านนอกจึงทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนจะสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น ถ้าพวกเขาสามารถคิดโยงไปถึงเรื่องที่อาจจะเกิดความแตกแยกกับแม่มดโบราณได้ พวกเขาก็ย่อมต้องคิดถึงเรื่องที่อาจจะถูกราชาฆ่าปิดปากเพราะพวกเขาไปรู้ในเรื่องที่ไม่ควรจะรู้ก็ได้ เพราะในอดีตนั้นมีแต่ผู้สืบทอดของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ล่วงลู้ความลับเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างหอดูดาวและดาวมรณะ


สมแล้วที่เป็นคนที่อยู่ในเมืองหลวงมานานและคุ้นเคยกับการเมืองในวังเป็นอย่างดี โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรจะโทษว่าพวกเขาถูกบีบบังคับจนคิดฟุ้งซ่านหรือชื่นชมพวกเขาว่าถึงแม้จะรู้ว่าผลเป็นอย่างนี้ก็ยังกล้าที่จะรายงานออกมาตามความเป็นจริง เขาส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “พวกเจ้าทำดีมาก ตอนนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ส่วนพวกเจ้าก็ทำงานของพวกเจ้าต่อไป ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องการดูดาวนะ ข้าหมายถึงสถาบันคณิตศาสตร์ แทนที่จะไปศึกษาสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริงแล้ว การแก้ไขปัญหาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นมีความสำคัญมากกว่า”


พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องใต้หลังคาไป ปล่อยให้โหราจารย์ยืนงงอยู่กับที่


“กลับปราสาท” โรแลนด์สั่งกำชับเสียงเข้ม


เมื่อเทียบกับตอนขามาแล้ว ตอนขากลับเขาเดินเร็วมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก


“พระองค์คิดว่าที่พวกนักโหราศาสตร์พูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอเพคะ?” ไนติงเกลที่เดินตามอยู่ข้างกายปรากฏตัวออกมา


“ข้าไม่รู้…นั่นเป็นแค่ความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา” โรแลนด์พูดเสียงเบา “มันไม่ใช่พระจันทร์สีแดงก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่จริง หรือบางทีมันอาจจะเป็นอะไรอย่างอื่น….”


“อะไร…อย่างอื่น?”


“อย่างเช่น รู”


ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ครุ่นคิดถึงเรื่องพระจันทร์สีแดงมากนัก ที่มันมีขนาดใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นเพราะมันอยู่ใกล้โลกเท่านั้น อย่างเช่นถ้าไปยืนอยู่บนดาวบริวารของดาวพฤหัส ดาวพฤหัสก็จะใหญ่จนกินพื้นที่ 2 ใน 3 ของท้องฟ้า แต่ตอนนี้มันมาคิดดูแล้ว ที่คนโบราณเรียกมันว่าพระจันทร์สีแดงคงจะเป็นเพราะว่ามันเป็นทรงกลม แล้วก็แสงไม่แสบตาล่ะมั้ง


หากเป็นการกัดกินจริงๆ มันก็สามารถเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือทรงหลายเหลี่ยมได้


น้ำเสียงของไนติงเกลเต็มไปด้วยความสงสัย “พระองค์ทรงหมายความว่า…ท้องฟ้าของพวกเราแตกออกงั้นเหรอเพคะ?”


“อาจจะแย่กว่านั้น แต่ข้าต้องไปยืนยันให้แน่ใจก่อน”


“ทำยังไงเพคะ?”


โรแลนด์เหลือบมองเธอ “ฝัน”


…..


ถึงแม้ท้องฟ้าจะยังเช้าอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการเข้ามาในโลกแห่งความฝัน ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขาไม่ได้แจ้งแม่มดอาญาสิทธิ์ด้วย เขาเพียงแค่บอกให้ไนติงเกลคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เท่านั้น


‘วันที่เจตจำนงของพระเจ้าปรากฏขึ้นบนโลก เจอกันตามเวลาที่นัดหมายไว้’


โรแลนด์เฝ้าค้นหามาตลอดว่าเจตจำนงของพระเจ้ามันหมายความว่าอย่างไร จนกระทั้งในตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้หมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความฝัน หากแต่หมายถึงเวลาที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง


สมมติว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ นั่นก็หมายความว่าคนที่ทิ้งกระดาษโน๊ตนี่ไว้ไม่เพียงแต่รู้ดีว่าโลกแห่งความฝันคืออะไร หากแต่ยังรู้ด้วยว่าภายนอกโลกแห่งความฝันยังมีโลกแห่งความจริงอยู่ แล้วก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมันด้วย ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ในตอนที่สแเคทเทอร์สตาร์พูดออกมาว่า ‘พระจันทร์สีแดงไม่มีอยู่จริง’ นั้น ความรู้สึกสับสนและสงสัยที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาก่อนหน้านี้ก็เหมือนมีลำแสงพุ่งทะลุออกมา ไม่ว่าจะเป็น ‘สงครามแห่งโชคชะตา’ ที่เขาได้ยินตอนอยู่ในเมืองปริซึม หรือว่าหนังสือของโลกแห่งความฝันที่ไม่มีชื่อคนเขียนก็ล้วนแต่ชักนำให้เขาเดินมาทางนี้


“คุณอา ข้าวเช้าจะกิน…” หลังเปิดประตูห้องนอนออกมา เขาก็เห็นซีโร่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ในปากคาบแปรงสีฟันพร้อมถามงึมงำๆ ฟังไม่ชัดเจน


“ไม่กิน เธอทำของตัวเองก็พอ!” โรแลนด์ตะโกนโดยไม่หันมามอง จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อนอกที่อยู่บนโซฟาขึ้นมาใส่ แม้แต่รองเท้าก็ใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกไปเลย


ในเวลานี้บนถนนมีคนเดินไปเดินมา แผงขายปาท่องโก๋กับซาลาเปานั้นเต็มไปด้วยนักเรียนและพนักงานออฟฟิศที่มารอซื้อ เสียงทอดและเสียงตะโกนดังสลับกันกลายเป็นที่ฟังดูวุ่นวายและก็แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของชุมชนถงจึ


สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือร้านกาแฟโรสคาเฟ่


ป้ายร้านและบานประตูของมันทำให้มันดูไม่เข้ากับแผงขายของที่อยู่รอบๆ เลย ในตอนที่โรแลนด์หยิบเอากุญแจขึ้นมาเปิดประตู เขาสังเกตเห็นเจ้าของร้านที่อยู่ตรงข้อมมองเขาเหมือนมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น


เขาสูดหายใจพร้อมผลักประตูเข้าไปด้านในแล้วตรงดิ่งไปยังห้อง 302 ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมทั้งร้านถึงมีห้องอยู่ห้องเดียว แล้วก็ทำไมเป็นห้อง 302 ทั้งๆ ที่อยู่ชั้นหนึ่งนั้นเขาไม่ได้สนใจเลย


เรื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกิดเรื่องขึ้นหลายเรื่องจนทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งสนใจโลกแห่งความฝัน ตอนนี้พอยื่นมือจับไปบนที่จับประตู เขาพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาในร้านยังไงนั้น เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย การที่สามารถใส่ตัวหนังสือลงไปในแก้วแชมเปญได้ คนๆ นั้นจะต้องมีพลังที่น่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน อย่าว่าแต่เข้ามาในร้านโดยไม่มีซุ่มเสียงเลย ต่อให้อีกฝ่ายโผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เลยมันก็ไม่มีอะไรให้น่าตกใจ


โรแลนด์สูดหายใจ ก่อนจะบิดลูกบิดประตู


ภายในห้องว่างเปล่า


นอกจากโต๊ะเตี้ยๆ กับเก้าอี้สี่ตัวแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นวางอยู่อีก พริบตาที่เปิดประตูเข้าไป เขาก็มองเห็นทุกซอกทุกมุมของห้องได้อย่างชัดเจน ไม่มีที่ไหนให้ซ่อนตัวได้


เขาแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะ


หรือว่า…ตัวเองจะเดาผิด?


มันก็จริง คนไม่ใช่วิญญาณ แล้วจะมาอยู่ตรงนี้ในพริบตาได้ยังไง รออีกหน่อยแล้วกัน


แต่หลังจากนั้นก็มีสิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้นตามมา


คนที่เขียนกระดาษโน้ตแผ่นนั้นจะรู้จักร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดไม่ถึงเดือนแห่งนี้แล้วมาหาเขาจริงๆ เหรอ? ถ้าอีกฝ่ายก็ไปรออยู่ในสถานที่ๆ นัดหมายจะทำยังไง?


หรือไม่ก็กระดาษโน้ตแผ่นนั้นเป็นแค่การแกล้งกัน ความจริงแล้วพระจันทร์สีแดงในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความฝันเลย


จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่ใช้ยืนยันได้เลย


เรื่องนี้ไม่มีทางจะได้รับคำตอบง่ายๆ เหมือนอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย


ในขณะที่โรแลนด์กำลังจะลุกออกจากห้อง เสียงกระดิ่งหน้าร้านพลันดังขึ้นมา


“ติ๊งๆ….”


“ยินดีต้อน….” เขาพูดออกไปได้ครึ่งเดียวก็ต้องหยุดลงทันที แม่มดอาญาสิทธิ์ไม่ได้ตามเขาเข้ามาในโลกแห่งความฝัน การ์เซียก็ไม่มีทางมาหาเขาที่ร้านถ้าไม่มีธุระ ตอนนี้น่าจะไม่มีใครที่อยากจะมาดื่มกาแฟราคาแพงหูฉี่แบบนี้นี่นา! โรแลนด์ที่ฉุกคิดขึ้นมาได้เปิดประตูออกไปมองในร้าน ก่อนจะเห็นภาพคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูร้าน


เขาเคยเจออีกฝ่ายมาสองครั้งแล้ว


ครั้งหนึ่งคือในงานต้อนรับสมาชิกใหม่ที่เมืองปริซึม


อีกครั้งคือในโบสถ์เงาสะท้อนที่เมืองเฮอร์มีสเก่า


การเจอหน้าเพียงแค่สองครั้ง แต่กลับทำให้โรแลนด์จดจำใบหน้าของอีกฝ่ายได้แม่นยำ


“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเปิดร้านโรสคาเฟ่ขึ้นเอง แถมยังเปิดตรงนี้ด้วย ข้าเกือบคิดว่าเจ้าจะไม่เห็นกระดาษโน้ตนั่นซะแล้ว”


มิสต์พูด


ตอนที่ 1223 มิสต์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นมิสต์ โรแลนด์ทั้งรู้สึกแปลกใจแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล “เจ้า…เป็นใครกันแน่?”


“คนที่ถูกจองจำที่ต้องการความช่วยเหลือ” มิสต์มองไปรอบๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมายอยากจะถามข้า พวกเรานั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะ เอาที่ตรงข้างหน้าต่างนี้แล้วกัน”


“ไม่ต้องไปห้อง 302 เหรอ?” เขามองดูอีกฝ่ายเลือกที่นั่งที่อยู่ใกล้ริมถนน


“ที่นัดสถานที่เอาไว้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคนอื่น แต่ที่นี่ไม่มีใคร ดังนั้นนั่งตรงไหนก็ได้” มิสต์พูด “เออใช่ ในเมื่อเป็นร้านกาแฟ งั้นข้าขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งสิ?”


“ข้านึกว่าการคุยกันอย่างลับๆ นั้นต้องเป็นความลับที่น่าตกใจ ทำให้รู้สึกเครียด ถ้าแพร่งพรายออกไปจะทำให้เกิดความโกลาหลยกใหญ่เสียอีก”


“คุณค่าของความลับมันขึ้นอยู่กับคนที่ฟังมัน ยิ่งไปกว่านั้นการที่อยู่ใต้ดินทั้งวัน แล้วยังต้องมาคอยป้องกันการกัดกินขยายตัว แค่นั้นมันก็เครียดมากพออยู่แล้ว ได้ออกมาข้างนอกทั้งทีก็ต้องมาผ่อนคลายหน่อย” มิสต์ตอบช้าๆ “กาแฟแก้วนึง ขอบคุณ”


โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “มีแต่กาแฟสำเร็จรูปนะ”


“ไม่เป็นไร”


บ้าเอ้ย นี่มันร้านของตัวเองชัดๆ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนใช้เลย….เขาเอากาแฟกับนมจากในตู้เย็นมาเทใส่แก้ว จากนั้นเติมน้ำแข็งลงไปอีกสองก้อน ก่อนจะยกไปให้อีกฝ่าย ตลอดทั้งขั้นตอนเขาไม่ได้ละสายตาจากอีกฝ่ายเลย


“วางใจได้ ข้าไม่หายตัวไปเฉยๆ หรอกน่า” มิสต์ยักไหล่


“มันก็ไม่แน่” โรแลนด์มองตาไม่กะพริบ “ข้าเคยวานให้การ์เซียติดต่อเจ้า แล้วก็เคยไปที่เมืองปริซึมสองครั้ง แต่ตอนนั้นเจ้าเหมือนกับหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อทิ้งกระดาษโน้ตนี่เอาไว้ ทำไมถึงไม่มาพูดกับข้าตรงๆ ล่ะ?”


ครั้งนี้มิสต์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “เพราะว่าตอนนั้นมันยังไม่ถึงเวลา เด็กน้อย”


ยังไม่ถึง…เวลา? โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าให้ข้าได้ไปเห็นเองว่าแท้ที่จริงแล้ว…พระจันทร์สีแดงคือการกัดกัน มันน่าเชื่อถือกว่าการที่เจ้าเป็นฝ่ายบอกข้าเองอย่างนั้นเหรอ?”


“หัวเร็วนี่ นี่ทำให้ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากขึ้นไปอีก”


“คาดหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าเหรอ?” โรแลนด์ส่งเสียงเหอะออก “สีหน้าของเจ้าดูไม่เหมือนคนต้องการความช่วยเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว”


“แล้วเจ้าคิดว่าต้องทำหน้าแบบไหนเจ้าถึงจะเชื่อ? ขอร้องอ้อนวอน? กอดขาเจ้าแล้วร้องไห้? หรือว่าสัญญาว่าจะให้อะไรตอบแทน?” มิสต์ส่ายหัว “ไม่ ต่อให้ข้าทำแบบนั้น เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อข้า แบบนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลายเข้าไปใหญ่”


ถ้าเจ้าไม่ทำแล้วจะรู้ได้ยังไง โรแลนด์เดิมอยากจะตอบแบบล้อเล่นออกมา แต่พอกำลังจะพูดออกมาเขาก็ต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปใหม่ อีกฝ่ายไม่ได้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับการ์เซีย เธอเป็นลูกศิษย์คนแรกของผู้คุมแห่งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เป็นอาจารย์ของการ์เซีย เป็นผู้อาวุโสของอาวุโสของคน ถ้าคำนวณจากรูนแห่งเวลาที่ได้เห็นได้โบสถ์สะท้อนกลับแล้ว อายุของเธอน่าจะ 700 – 800 ปีแล้ว เมื่อมองดูคนที่เหมือนเดินออกมาจากในประวัติศาสตร์แล้ว เขาจึงพบว่าตัวเองไม่กล้าที่จะล้อเล่นออกมา


“เอาล่ะ…” โรแลนด์นั่งลงตรงหน้ามิสต์ ก่อนจะเรียบเรียงคำถามจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในหัว “เจ้าเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์เหรอ?”


“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกของเจ้า” มิสต์ตอบ “ข้าเกิดที่นี่ แล้วก็ต้องตายที่นี่ ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานก็ตาม”


“แต่ข้าเห็นรูปเจ้าอยู่ในโบสถ์เงาสะท้อน…”


“หน้าตาคล้ายกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เธอพูดตัดบท “ยิ่งไปกว่านั้นบันทึกที่ทิ้งเอาไว้ในประวัติศาสตร์มันไม่มีอะไรให้เก็บมาคิดอะไรนัก”


“มันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้ว


“ถ้ายืดเส้นเวลาออกไปให้ยาวมากพอ เจ้าจะพบว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เทียบกับการไปนั่งครุ่นคิดเรื่องอดีตแล้ว สู้ทุ่มความสนใจเอาไว้ที่ปัจจุบันจะดีกว่า”


บางทีเธออาจจะไม่รู้ความจริง หรือไม่เธอก็อาจจะจงใจปิดบัง แต่โรแลนด์รู้ดีว่าถ้าไม่มีไนติงเกลอยู่ข้างๆ อาศัยแค่ระดับในการแยกแยะคำพูดและสีหน้าของเขานั้นยากที่จะแยกแยะคำพูดของอีกฝ่ายว่าจริงหรือโกหกได้ ในเมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนี้ เขาจะรบเร้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์ สู้ถามคำถามอื่นดีกว่า


“อย่างนั้น…พลังเวทมนตร์คืออะไร?”


มุมปากของมิสต์ยิ้มขึ้นมา “เจ้าน่าจะพอเดาได้แล้ว มันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ระบบทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายมันได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในมิติที่ต่ำกว่าไม่สามารถเข้าใจสิ่งมีชีวิตในมิติที่สูงกว่าได้ สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ก็คือพวกเราสามารถใช้มันได้ หรือเจ้าจะอธิบายมันด้วยคำพูดธรรมดาๆ ว่า ‘พลังที่ได้รับมาโดยบังเอิญ’ ก็ได้”


ใช่จริงๆ ด้วย…เหมือนกับพลังแห่งธรรมชาติเลย โรแลนด์คิดในใจ ไม่ ไม่สิ…พูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก ไม่ใช่ว่าพลังเวทมนตร์เหมือนกับพลังแห่งธรรมชาติ แต่พวกมันคือสิ่งเดียวกันต่างหาก เพื่อที่จะอธิบายให้ตัวเองรู้จากอีกมุมหนึ่งว่าพลังเวทมนตร์คืออะไร โลกแห่งความฝันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ “ในงานต้อนรับสมาชิกใหม่ที่เมืองปริซึม ที่เจ้าพูดอธิบาย…แล้วก็การคาดเดาที่อยู่บนหนังสือ ‘เหตุผลของการมีอยู่’ ต่างก็…เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ?”


เรื่องหนึ่งก็คือที่มาของการกัดกินกับแท้ที่จริงแล้วการกัดกินคืออะไร ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือสมมติฐานว่าสงครามแห่งโชคชะตานั้นจะวนกลับมาอยู่ตลอด ทั้งสองเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่เขาอยากจะรู้คำตอบมากที่สุด


“ไม่ถูกซะทีเดียว แต่เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้” คำตอบของมิสต์ดูสบายใจมากกว่าที่คิดเอาไว้


“ข้าอยากจะรู้ว่าแล้วที่ถูกต้องมันคืออะไร”


“นั่นมันเกินกว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าจะทำความเข้าใจได้ ถ้าใช้ระบบตัวหนังสือของเจ้าในการอธิบายมันก็ไม่สามารถบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจน” เธอจิบกาแฟเข้าไปคำหนึ่ง “นอกจากนี้ทุกๆ การเคลื่อนไหวของข้าล้วนแต่อยู่ภายใต้การจับตาดูของ ‘พระเจ้า’ ถ้าหากข้าแพร่งพรายข้อมูลที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายไปถึงมัน ทั้งสองโลกก็จะพังทลายลง ดังนั้นจำเอาไว้ มีแต่สิ่งที่เจ้าทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง”


มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา นี่เท่ากับจะบอกว่าต่อให้โกหกก็เพราะข้าหวังดีต่อเจ้าอย่างนั้นเหรอ


“มันทำลายทั้งสองโลกได้?”


“ข้าถึงได้เรียกมันว่าพระเจ้าไง เพราะว่านี่น่าจะเป็นคำพูดที่ใช้เรียกสิ่งที่มีพลังแบบนี้ในความคิดของเจ้า”


“เป้าหมายของพระเจ้าคืออะไร?”


“ทำให้สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ”


“แล้วเจ้าเกี่ยวข้องยังไงกับพระเจ้า?”


ครั้งนี้มิสต์ไม่ได้ตอบทันที หากแต่ลังเลเล็กน้อย “ข้าคือคนที่ทรยศมัน”


“ทร…ยศ?”


“ถูกต้อง การวนเวียนแบบนี้ไม่มีทางที่จะจบลง ข้าไม่อยากจะถูกขังอยู่ในสถานที่นี้ไปตลอด ยิ่งไปกว่านั้นการวนเวียนก็หมายถึงการสูญเสีย ต้องมีซักวันที่พระเจ้าพังทลายลง เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกไหน มันก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย


โรแลนด์มองดูเธออยู่ครู๋ “อย่างนั้นจุดประสงค์ที่เจ้ามาหาข้าคือ…”


“ข้าต้องการความช่วยเหลือของเจ้า เด็กน้อย” มิสต์หลบตาเขา “ข้าอยากจะให้เจ้าหยุดสงครามแห่งโชคชะตา ทำให้มันสิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด”


“เจ้าหมายถึงเอาชนะสงครามเหรอ?”


“ไม่ แบบนั้นมันก็เป็นแค่การเริ่มต้นสงครามครั้งใหม่เท่านั้น” มิสต์ส่ายหัว “ถ้าอยากจะหยุดทุกสิ่ง เจ้าต้องเข้าไปแทนที่พระเจ้า!”


โรแลนด์ตกตะลึง คำตอบนี้…ช่างน่าตกใจจริงๆ


เขาสูดหายใจ “ขอโทษด้วย แต่ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”


“ทำไม?” มิสต์ถามอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย


“สิ่งที่เจ้าพูดมานี้ ข้าไม่สามารถไปพิสูจน์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เจ้าเองก็ยอมรับว่าที่ต้องใช้คำตอบกำกวมก็เพื่อหลีกเลี่ยงการจับตาดูของพระเจ้า บางครั้งแค่คำพูดเพียงคำเดียวก็ทำให้เข้าใจผิดได้ นี่ก็หมายความว่าข้าอาจจะถูกเจ้าหลอกได้ ในเมื่อเจ้ายังหักหลังพระเจ้าได้ อย่างนั้นหักหลังข้าไม่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เหรอ?” โรแลนด์ผายมือออก “เรื่องที่ให้ไปเป็นหนังหน้าไฟนั้นข้าไม่ถนัดซักเท่าไร ดังนั้นเรื่องที่จะให้ข้าไปแทนที่พระเจ้าอะไรนั่น เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”


“ถ้าเจ้าทำได้ล่ะก็….”


“หยุดเลย” โรแลนด์พูดพร้อมยื่นมือออกไป “ไหนบอกจะไม่สัญญาว่าจะมีอะไรตอบแทนไง? เมื่อกี้เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากเข้าไปใหญ่”


ครั้งนี้มิสต์จ้องมองดูเขาอยู่ 10 นาที “ไม่…ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว”


“มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร” โรแลนด์ลุกขึ้นไปเทกาแฟให้ตัวเอง “สัญญาที่เลื่อนลอยมันก็เหมือนกับการแขวนแครอทเอาไว้หน้าลา ดูแล้วเหมือนจะดี แต่ถ้ากินไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์”


“อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะฟังข้าพูดให้จบก่อน”


“ข้าบอกแล้วไง…”


“เจ้าจะพาแอชเชสกลับมาได้”


“ฟึบ….เพล้งง!”


โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที แก้วที่อยู่ในมือหลุดตกลงไปที่พื้น ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


…………………………………………………………………


ตอนที่ 1224 แผนกอบกู้ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไมเจ้าถึง…รู้จักชื่อนี้?”


มิสต์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถึงแม้ข้าจะเกิดที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่รู้เรื่องโลกของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินคำว่า ‘โลกแห่งจิตสำนึก’ ….หรือที่ว่า ‘แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์’ หรือเปล่า?”


โรแลนด์นึกถึงข้อมูลที่คาบราดาบีเผยออกมาทันที เขาพุ่งเข้าไปหาหลานที่โต๊ะโดยไม่สนใจเก็บเศษแก้วที่แตก พร้อมถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “นางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกงั้นเหรอ?”


“ไม่ใช่แน่นอน หากแต่เป็นโลกแห่งจิตสำนึกที่จดจำนางไว้ ใครก็ตามที่ได้รับพลังที่มากพอจะมีการทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นั้น” มิสต์ชะงักไปเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดจะถามหาวิธี จากนั้นก็จะไปจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง หรือกระทั่งคิดจะหยุดสงครามแห่งโชคชะตา แต่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าไว้ก่อน เวลาเหลือไม่มากแล้ว”


“หมายความว่าไง?”


“โลกแห่งจิตสำนักไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะจะเข้าไปอยู่เป็นเวลานาน เวลายิ่งทอดออกไปนานขึ้น จิตสำนึกของนางก็จะยิ่งเบาบางลง กระทั่งหายไปในที่สุด ซึ่งกระบวนการตรงนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้ ดังนั้นต่อให้เจ้ารู้วิธี แต่ก็อาจจะทำให้มันเป็นจริงไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดด้วย”


“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร?”


“การมีอยู่ของโลกแห่งความฝันนั้นได้ไปขัดขวางความตั้งใจของพระเจ้าอย่างรุนแรง มันไม่มีทางปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปแน่นอน พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่พระเจ้าคิดว่าไม่มีวิธีไหนที่จะดึงให้สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ทั้งสองโลกก็จะพังทลายลงพร้อมๆ กัน ข้าเกรงว่าสถานการณ์ที่เร่งด่วนนี้มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมข้าถึงตัดสินใจมาพูดกล่อมเจ้า” มิสต์พูดช้าๆ ชัดๆ “เด็กน้อย ช่วยข้า มันก็เป็นการช่วยตัวเจ้าด้วย”


“ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์ไม่ได้ตกลงแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ “แต่เมื่อกี้เจ้าเป็นคนบอกเองว่ามีแต่สิ่งที่ข้าทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง นั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เจ้าบอกให้ข้าฟังมันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้…รวมไปถึงเรื่องที่ทำให้แอชเชสกลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วย”


มิสต์ถอนหายใจ ก่อนจะนั่งพิงไปบนเกากี้ “เจ้าคิดแบบนี้มันก็ไม่ผิด เพราะข้าไม่อยากให้สุดท้ายแล้วเจ้าถึงจะมาคิดว่าข้ากำลังโกหก — การพูดมันออกมาแต่แรกมันก็เป็นการพิสูจน์ความจริงใจของข้าเหมือนกัน”


โรแลนด์นิ่งเงียบ


นี่เป็นปัญหาที่ยากจะตัดสินใจได้ทั้งคู่


จากข้อมูลที่เขารู้มา เขาแทบจะหาช่องโหว่ในคำพูดของอีกฝ่านไม่ได้เลย — อย่างเช่นการคุกคามของโลกแห่งความฝันเขาก็เคยได้ยินมาจากปากของสัตว์ประหลาดเวทมนตร์มาแล้วหลายครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโลกแห่งความฝันไปทำให้มันโกรธได้อย่างไร แต่ท่าทีที่เป็นศัตรูของพวกมันนั้นเป็นของจริง ถ้ารวมสิ่งเหล่านั้นเข้ากับข้อมูลของมิสต์ นั่นก็หมายความว่าสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ก็คือ ‘ลูกน้อง’ ของพระเจ้า


แต่การจะอาศัยข้อมูลแค่นี้แล้วมองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเรื่องจริงมันก็ดูจะบุ่มบามเกินไปหน่อย เพราะนี่เป็นข้อมูลที่มิสต์พูดออกมาแต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าเขาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยข้อมูลที่ผิดพลาด อย่างนั้นข้อสรุปที่ได้ก็จะยิ่งผิดเข้าไปใหญ่อย่างแน่นอน วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือตัวเองค่อยๆ พิสูจน์มันด้วยตัวเอง


แต่ปัญหานั้นอยู่ที่เวลา


เมื่อไม่สามารถบอกได้ว่าที่อีกฝ่ายบอกว่า ‘เวลาเหลือไม่มากพอ’ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ การเลือกวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน


ขอเพียงหลับตาลง ภาพทิลลีที่ร่ำไห้ปานจะขาดใจในอ้อมอกของเขาก็จะปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเก็บความเสียใจนี้เอาไว้ในใจและไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้าแล้ว แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็ไม่ได้สดใสเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก เหมือนกับมีฝุ่นบางๆ มาเกาะอยู่บนอัญมณี มีคนบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเธอกำลังเติบโต มีแต่ต้องลิ้มรสการสูญเสียถึงจะเข้าใจการรู้คุณค่า แต่โรแลนด์เห็นค้านกับคำพูดปลุกใจประเภทนี้ การไม่สูญเสียต่างหากถึงจะเป็นการเลือกของคนที่เติบโตแล้ว ส่วนความเจ็บปวดใครอยากจะลิ้มรสก็ลิ้มรสไป


ตอนนี้เมื่อมีความเป็นไปได้แบบนี้ เขาก็ไม่อาจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อีก


โรแลนด์สะกดอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในใจตัวเอง ก่อนจะนั่งลงไปตรงหน้ามิสต์อีกครั้งโดยแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองได้พยายามที่จะรับฟังอย่างเต็มที่


“แต่ข้าก็ไม่สามารถรับปากเจ้าง่ายได้เหมือนกัน เจ้าลองบอกวิธีมาหน่อยแล้วกัน ข้าต้องทำยังไงถึงจะทำให้นางกลับมาในโลกนั้นได้?”


“เรื่องนี้ไม่ขัดกับเรื่องที่ข้าต้องการความช่วยเหลือ พูดอีกอย่างก็คือแท้ที่จริงแล้วทั้งสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน” มิสต์ค่อยๆ ตอบ “ก่อนอื่นเจ้าต้องหาโลกแห่งจิตสำนึกให้เจอก่อน จากนั้นก็เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก และขั้นตอนนี้ก็ทำเป็นต้องทำในสองโลกพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด”


โรแลนด์ถามอย่างตกใจ “สอง…โลก? เดี๋ยวๆ เจ้าจะบอกว่า แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์มันมีอยู่จริงๆ งั้นเหรอ?”


“ถูกต้อง มันไม่ใช่ภาพลวงตาที่ลอยไปลอยมา หากแต่เป็นสิ่งที่มองได้จริง จับต้องได้จริง ซึ่งแตกต่างจากรู้ที่เกิดขึ้นจากการกัดกิน” มิสต์พยักหน้า “ความจริงแล้วมันอยู่ติดกับทางเหนือของดินแดนแห่งรุ่นอรุณ พวกเราเรียกมันว่าบอทธ่อมเลสแลนด์”


โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย คำนี้…เหมือนจะเคยได้ยินที่ได้มาก่อน


“แต่ทางด้านเหนือถูกปีศาจยึดครองไปแล้ว เจ้ารู้จักปีศาจใช่ไหม? พวกมันคือศัตรูของสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้”


“เกี่ยวกับเรื่องในโลกนั้น ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ การเข้าไปแทรกแซงสงครามแห่งโชคชะตาคือข้อห้ามเด็ดขาดของพระเจ้า ในจุดนี้เจ้าต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง” มิสต์พูดต่อว่า “เอาชนะพวกมัน จากนั้นเข้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ทุกอย่างมันก็สูญเปล่า”


เธอถึงได้บอกว่าถึงแม้จะรู้วิธี มันก็ไม่แน่ว่าจะทันการอย่างนั้นเหรอ…..


โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่ “เอาล่ะ ต่อให้เจ้าไม่พูดอะไรข้าก็จะกำจัดปีศาจออกไปจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณอยู่ดี อย่างนั้นจากโลกแห่งความฝันจะไปถึงโลกแห่งจิตสำนึกได้ยังไง…ในเมื่อมันเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ มันก็คงจะไม่ต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ”


“ก่อนที่ข้าจะตอบเจ้า ข้าอยากจะถามเจ้าข้อนึง” มิสต์มองออกไปทางนอกหน้าต่าง “เจ้าคิดว่าว่าโลกนี้มันไมใช่ของจริงงั้นเหรอ?”


โรแลนด์ตกตะลึงก่อนจะมองตามสายตาของอีกฝ่ายออกไป คลื่นมนุษย์นักเรียนและพนักงานออฟฟิศได้ผ่านไปแล้ว คนที่เดินไปเดินมาบนถนนก็น้อยลงไปมาก ในที่สุดเหล่าพ่อค้าที่ขายของกินอยู่ข้างทางก็ได้หยุดพัก มีบางคนเริ่มนับเงินที่ได้ในเช้าวันนี้ด้วยสีหน้าดีใจ บางคนก็จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง


สิ่งที่เข้ามาแทนที่นักเรียนและพนักงานออฟฟิศก็คือเหล่าคุณตาคุณยายที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาถือตะกร้าใส่กับข้าวแล้วเดินทางถนนแคบๆ เส้นนี้ไป ในตอนที่เดินผ่านร้านโรสคาเฟ่ก็จะมีการส่งสายตาดูถูกออกมา หรือไม่ก็หันไปกระซิบคนที่อยู่ข้างๆ เหมือนกับว่ากำลังหัวเราะเยอะรสนิยมเจ้าของร้านอย่างไรอย่างนั้น


โรแลนด์รู้ว่าถ้าตัวเองออกไปทะเลาะกับพวกเขา สิ่งที่เขาจะได้รับกลับมานั้นไม่ใช่บทพูดที่ถูกเขียนเอาไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน หากแต่เป็นคำด่าที่แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทางภาษาชุดใหญ่ ส่วนพวกพ่อค้าที่เหลือก็ไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ  พวกเขาจะต้องเข้ามาล้อมวงเพื่อดูสงครามปะทะฝีปากที่แน่นอน


เมื่ออยู่ต่อหน้าโลกแบบนี้ จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมาได้


“เราจะกำหนดได้อย่างไรว่าอันไหนจริงไม่จริง?” มิสต์ถามเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ต้องมีร่างกายถึงจะนับว่าเป็นชีวิตที่มีอยู่ตรงงั้นเหรอ? ถ้าความคิดๆ หนึ่งมีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง แต่เพียงแค่มันลอยไปลอยมาไม่นิ่ง หรือไม่ก็คงอยู่ในรูปของร่างพลังงาน อย่างนั้นจะถือว่ามีชีวิตด้วยหรือเปล่า?”


“เอ่อ….ข้าคิดว่าน่าจะใช่นะ”


เธอหันหน้ากลับมามองโรแลนด์ “เช่นนั้นก็ต้องปกป้องที่นี่ เพราะทันทีที่มันถูกทำลาย ชีวิตนับล้านๆ ชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ก็จะดับสูญไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่าหนักหนากว่าโลกภายนอกเสียอีก เพราะถ้าเจ้าสูญเสียมันไป โลกแห่งจิตสำนึกก็จะตัดขาดจากเจ้าไปตลอดกาล”


“หรือว่า…ทางเข้าของโลกแห่งจิตสำนึกอยู่ในเมืองนี้?”


“พูดให้ถูกคือที่นี่คือโลกแห่งจิตสำนึก” มิสต์พูดแก้ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก”


ดวงตาโรแลนด์เบิดโพลงด้วยความตกใจ


พูดอีกอย่างก็คือร่างกายของเขายังคงนอนหลับอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่วิญญาณเขากลับข้ามมาอยู่ในบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ห่างออกไปนับพันๆ กิโลทางเหนือของทวีปงั้นเหรอ?


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 1225 แผนกอบกู้ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่ก็เป็นพลัง….ของเวทมนตร์งั้นเหรอ?”


“ถูกต้อง แค่เรื่องที่จะอธิบายรูปแบบของเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็อธิบายได้ไม่หมด ถ้าจะใช้คำพูดของพวกเจ้ามาอธิบายให้เข้าใจล่ะก็ มันก็คือสิ่งที่อยู่เหนือแรงพื้นฐานทั้งสี่ แล้วก็เป็นผลสุดท้ายของการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน” มิสต์ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบพูดอธิบายเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าและเข้าไปแทรกแซงสงครามแห่งโชคชะตาได้ตามใจชอบ เพราะว่าโลกนี้มันค่อนข้างเป็นอิสระ เหมือนกับมีฟิล์มหนาๆ มาคั่นแต่ละชั้นเอาไว้อยู่ และก็เป็นเพราะคุณสมบัติพิเศษตรงนี้ถึงทำให้ข้ามีโอกาสมานั่งอยู่กับเจ้าตรงนี้ได้”


ภายในหัวโรแลนด์มีภาพคนเป่าฟองอากาศปรากฏขึ้นมา ท่ามกลางฟองอากาศที่ค่อยๆ ลอยขึ้นไป เหมือนจะมีหนึ่งในฟองอากาศนั้นที่เป็นโลกแห่งความฝัน “อย่างนั้นต้องทำยังไงถึงจะผ่านชั้นที่กั้นอยู่เข้าไปได้?”


“วิธีเดียวกับที่พลังเวทมนตร์เข้ามาในโลกของเรา” มิสต์ชะงักไปเล็กน้อย “กัดกิน”


“เอ่อ…พูดให้มันละเอียดหน่อยได้ไหม?”


“เจ้าน่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าโลกนี้มันไม่เหมือนกับโลกนี้มันไม่เหมือนกับตอนแรกที่มันถือกำเนิดขึ้นมา” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของโรแลนด์เต้นเร็วขึ้น “จริงอยู่ที่ตอนแรกมันเป็นแค่การสะท้อนจิตสำนึกของเจ้าออกมา แต่ตอนนี้มันกลับมีอะไรหลายอย่างที่แม้แต่เจ้าก็ไม่เคยเห็นปรากฏออกมา และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เจ้าเก็บเอาพลังแห่งธรรมชาติมา”


“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?” โรแลนด์แปลกใจเล็กน้อย


“เพราะว่านับตั้งแต่ที่ข้าให้กำเนิดตัวเองขึ้นมา ข้าก็วนเวียนอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกมาโดยตลอด แล้วก็มีความรู้สึกที่ค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงพวกนี้” มิสต์พูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ฟังนะเด็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความฝันหรือว่าดินแดนของพระเจ้าก็ล้วนแต่อาศัยพลังเวทมนตร์ในการทำให้มันคงอยู่ สิ่งที่สะท้อนออกมาในความเป็นจริงก็คือพลังแห่งธรรมชาติพวกนั้น การเก็บรวบรวมพวกมันจะทำให้โลกนี้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปทับซ้อนกับดินแดนที่พระเจ้าอยู่และทำให้เกิดรอยแตกการกัดกินขึ้นมา”


ทฤษฎีนี้ฟังแล้วคล้ายกับตอนที่เธอพูดในงานต้อนรับสมาชิกใหม่ “จากที่ข้ารู้มา ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เก็บรวบรวมแกนพลังธรรมชาติที่แปรสภาพเอาไว้จำนวนมาก ถ้าอยากจะเก็บรวบรวมพวกมันให้เร็วที่สุด อย่างนั้นไปอยู่ฝั่งเดียวกับฟอลเลนอีวีลมันจะไม่ดีกว่าเหรอ?”


มิสต์ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านอะไรออกมา หากแต่ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เสียดายที่ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์ของผู้คุม เลยไม่สามารถพาเจ้าเข้าไปในคลังเก็บพลังแห่งธรรมชาติที่อยู่ใจกลางเมืองปริซึมได้”


“ถึงแม้ต้องกลายเป็นศัตรูกับสมาคมก็ไม่เป็นไรเหรอ?”


“ถ้าเจ้าสามารถหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาได้ โลกแห่งความฝันก็จะไม่ถูกกัดกินอีกต่อไป ในอีกแง่หนึ่งมันก็ตรงกับปณิธานของสมาคม เพียงแต่ว่า…เด็กคนนั้นคงจะรู้สึกเสียใจอย่างมากแน่ เพราะนางฝากความหวังเอาไว้ที่เจ้าสูงมาก”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าของมิสต์ก็เผยให้เห็นสีหน้าที่จนปัญญาและเศร้าใจ


เธอหมายถึง…การ์เซียเหรอ?


โรแลนด์แอบรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่รับใช้พระเจ้า อย่างนั้นเกรงว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่มาเป็นล้านปีแล้ว คนแบบนี้น่าจะเห็นทุกอย่างมาจนชินแล้วถึงจะถูก ทำไมเธอถึงได้มารู้สึกเห็นใจลูกศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งแบบนี้ได้?


เป็นเพราะอีกฝ่ายเคยชินกับการแสดงหรือว่าได้รับผลกระทบจากสถานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไปโดยไม่รู้ตัว?


“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าต้องทำแบบนั้นนี่นา” โรแลนด์คิดจะใช้กาแฟมาทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้ แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าแก้วกาแฟของตนตกแตกไปแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องหดมือที่ยื่นออกไปกลับมา “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็บอกเองนี่นาว่าต้องเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกจากทั้งสองโลกพร้อมกันมันถึงจะได้ผลใช่ไหมล่ะ? ไม่แน่พอถึงตอนนั้นแกนพลังที่รวบรวมมาได้คงจะมีมากพอแล้ว ปัญหาเดียวก็คือข้าจะรู้ได้ยังไงว่าโลกแห่งความฝันมันทับซ้อนกับดินแดนของพระเจ้าแล้ว? การกัดกินที่อยู่ในเมืองปริซึทเหล่านั้นคงจะไม่ใช่การกัดกินใช่ไหมล่ะ?”


“ถูกต้อง รูที่การกัดกินพวกนั้นสร้างขึ้นมาคือเขตแดนที่ว่างเปล่าในโลกแห่งจิตสำนึก มันมีกฎที่แตกต่างกับที่นี่โดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่สามารถใช้เป็นอุโมงค์ได้ด้วย” มิสต์พยักหน้า “ส่วนเรื่องที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่ามันทับซ้อนกันแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้เอง แต่ว่านั่นก็จะเป็นการเริ่มนับเวลาถอยหลังของการดับสูญของสรรพสิ่งด้วย เจ้าจำเป็นต้องเปิดทางไปสู่บอทธ่อมเลสแลนด์ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง”


“จากนั้นล่ะ?”


มิสต์ส่ายหัว


ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อมูลที่ถูกมองว่าเป็น ‘ภัยต่อพระเจ้า’ ล่ะมั้ง โรแลนด์ครุ่นคิด แต่เขาก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะจงใจปิดบังตนเหมือนกัน สรุปแล้วจากการพูดคุยครั้งนี้ทำให้เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องทำแล้ว ความจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำจัดปีศาจออกจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณหรือว่าปล้นฟอลเลนอีวิลเพื่อมาเป็นหาใช้จ่ายให้กับแม่มดโบราณก็ล้วนแต่เป็นแผนที่วางเอาไว้แต่แรกแล้ว จะมีหรือไม่มีข้อมูลตรงนี้มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ถ้าจะให้เดาล่ะเรื่องหลังจากนั้นก็คงต้องเป็นเรื่องการจัดการกับสงครามแห่โชคชะตาและสู้กับปีศาจและฟอลเลนอีวิลล่ะมั้ง


สิ่งที่ไม่แน่ใจก็คือเขาจะเจอกับอะไรที่บอทธ่อมเลสแลนด์ นี่คือส่วนที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเลย ถ้าจะมีกับดักล่ะก็ ก็คงเป็นเรื่องที่เธอบอกให้เขาไปแทนที่พระเจ้า


เขาไม่คิดว่า ‘พระเจ้า’ ที่ว่านั่นจะยอมแพ้เมื่อเขาเปิดทางเข้าไปสู่โลกแห่งจิตสำนึกได้ บวกกับทุกเรื่องที่มิสต์เล่ามามันอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้นอยู่อีก หลังจากนี้เขาควรจะเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นจะดีกว่า


นอกจากนี้โรแลนด์ยังมีคำถามอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือทำไมถึงต้องเป็นเขา?


เมื่อดูจากแผนการทั้งหมด เขาไม่ได้มีอะไรที่จะไปแทนที่พระเจ้าได้เลย ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของมิสต์จะเป็นมนุษย์ แต่โรแลนด์ไม่มีทางมองเธอเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน ตัวโรแลนด์กลับคิดว่าปีศาจเอาชนะสมาพันธ์ได้กับอาณาจักรซีสกายนั้นดูจะเหมาะสมกับเป้าหมายนี้มากกว่าอีก


จากที่อีกฝ่ายบอกมา บอทธ่อมเลสแลนด์นั้นอยู่ติดกับทางด้านเหนือของอาณาจักรรุ่งอรุณซึ่งตอนนี้ได้ถูกปีศาจยึดครองเอาไว้แล้ว อีกทั้งข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรซีสกายที่คาบราดาบีบอกมานั้นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของปีศาจก็ไม่ค่อยดีเท่าไรเหมือนกัน มันจะสามารถรักษาฐานที่มั่นของตัวเองได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่ไม่ว่ายังไง ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มีความได้เปรียบที่เหนือกว่ามนุษย์มาก เรียกได้ว่าทั้งสองบรรลุเป้าหมายของตนเองไปกว่าครึ่งทางแล้ว


ถึงแม้บอทธ่อมเลสแลนด์จะไม่สามารถเข้าไปจากด้านนอกได้ แต่โรแลนด์ก็ไม่ได้นึกได้ใจเรื่องที่ตัวเองไปทิ้งร่องรอยเอาไว้ในโลกแห่งจิตสำนึก


เพราะอย่างน้อยซีโร่ก็มีความสามารถนี้ เขาแอบรู้สึกว่าบางที ‘สงครามแห่งวิญญาณ’ ของซีโร่นั้นอาจจะเป็นการยืมพลังของโลกแห่งจิตสำนึกมาใช้


และโลกแห่งความฝันก็ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยหลักการเช่นนี้เหมือนกัน


เขาถามข้อสงสัยนี้ออกไป “ข้าคงจะไม่ใช่…คนแรกที่เจ้ามาขอความช่วยเหลือใช่ไหม?”


มิสต์ตอบอย่างไม่ลังเล “ถูกต้อง หลายพันปีมานี้มีอยู่หลายคนแล้ว”


ใช่จริงๆ ด้วย โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมา “รวมไปถึงปีศาจด้วย?”


“ข้าไม่รู้เรื่องของทางนั้น หลังออกจากดินแดนของพระเจ้าไปแล้ว ข้าก็สูญเสียความสามารถในการติดต่อกับผู้รับใช้อื่นๆ —- ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่าผู้ทรยศนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว


“คนก่อนหน้านี้คือใคร? ซีโร่เหรอ?”


“อัลฟีน่าผู้ส่งความฝัน นางมีชีวิตอยู่เมื่อ 869 ปีก่อน”


โรแลนด์คิดเล็กน้อย ก่อนจะพบว่านี่เป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน “คนพวกนั้นไม่มีใครทำสำเร็จ?”


มิสต์ถอนหายใจ “บางทีเจ้าอาจจะคิดว่าการมาพูดคุยอย่างนี้เป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วแม้แต่ก้าวแรกพวกนางก็ทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ พวกนางต้องทำการเปิดพื้นที่ที่มีความเสถียรในโลกแห่งความฝัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ความสามารถของพวกนางจะเชื่อมต่อกับที่นี่ได้ แต่ข้าก็ทำได้เพียงแค่พูดกับพวกนางเพียงคำสองคำเท่านั้น ทำให้ยากต่อการที่จะพูดคุยกันให้รู้เรื่องได้ นอกจากนี้ทั้งสถานะ คำพูดและการกระทำของข้าไม่สามารถแยกตัวจากจิตสำนึกของพวกนางออกมาอยู่ตามลำพังได้ พูดอีกอย่างก็คือจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตความเข้าใจของพวกนางถึงจะทำให้สามารถส่งสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าระดับความเข้าใจยิ่งสูง คำตอบก็จะยิ่งแม่นยำ นี่คือกฎเหล็กที่ไม่สามารถก้าวข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าหรือว่าปีศาจก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”


“ถ้าคุยเรื่องที่นอกเหนือจากความเข้าใจพวกนางก็จะไม่รู้เรื่อง?”


“ถูกต้อง ความจริงเจ้าเป็นคนแรกที่บรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมความรู้ความเข้าใจของเจ้าถึงได้ก้าวข้ามยุคสมัยไปไกลขนาดนี้ แต่สำหรับข้าแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องโชคดี”


“อย่างนั้น…” โรแลนด์ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจถามออกมา “ถ้าข้าล้มเหลวมันจะเป็นยังไง?”


มิสต์เงียบไปครู่ ก่อนจะตอบออกมาว่า “ข้าก็จะรอต่อไป รอให้คนที่เหมาะสมคนต่อไปปรากฏตัว จนสุดท้ายได้รับการปลดปล่อย…หรือไม่ก็ถูกพระเจ้าทำลาย”


………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)