Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1217-1218

 ตอนที่ 1217 วันสิ้นโลก (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปราสาทรีเฟลคสโนว์ อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์


“ท่านเอิร์ล…ท่านเอิร์ล…กองทัพของเกรย์คาสเซิล ถอนกำลังออกไปแล้วขอรับ!” ในตอนที่องครักษ์คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องโถงของปราสาทแล้วแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ สายตาของขุนนางทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา


“เจ้าแน่ใจ?” เอิร์ลมาร์เวนเอามือตบที่วางแขนบนเก้าอี้พร้อมลุกขึ้นยืนทันที


“แน่ใจขอรับ ไม่ใช่แค่สายสืบเท่านั้นที่พูดแบบนี้” องครักษ์รีบพยักหน้า “มีชาวบ้านเห็นพวกเขาถอนค่ายออกไปทั้งหมดภายในคืนเดียว แถมยังทิ้งเสบียงเอาไว้ไม่น้อยด้วยขอรับ!”


“ในที่สุดเจ้าคนพวกนี้…ก็ไสหัวกลับไปแล้ว!” เอิร์ลหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แถมอารมณ์เขาก็ยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ จู่ๆ คนพวกนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองท่าต่างๆ ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ แถมยังกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ประนีประนอม ไม่ยอมรับการยอมแพ้และของบรรณาการ พวกเขากวาดชาวบ้านในพื้นที่ที่พวกเขาเดินทางไปจนเกือบจะหมด การกระทำที่ป่าเถื่อนเช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวกว่าศาสนจักรเสียอีก เพราะอย่างน้อยศาสนจักรก็ยังพูดคุยตกลงกันได้


ส่วนเหตุผลในการกวาดต้อนคนของทางเกรย์คาสเซิลก็ไร้สาระอย่างมาก พวกเขาบอกว่าพระจันทร์สีแดงจะนำพาภัยพิบัติมา จึงต้องรีบพาคนออกไปก่อนที่มันจะมาถึง ช่างน่าขันเสียจริงๆ! ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกที่บรรพบุรุษของบรรพบุรุษของเขาทิ้งไว้ให้ ไม่มีใครที่จะแย่งมันไปจากเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนจักรหรือเกรย์คาสเซิลก็ตาม


“ท่านเอิร์ลช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก” นักปราชย์แก่ๆ คนหนึ่งพูดชมขึ้นมา “พระจันทร์เต็มดวงพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์มืดพระจันทร์สว่างนั้นล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเมื่อถึงเวลา พวกเขาอยากจะเชื่อว่านี่เป็นลางที่ไม่ดีมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา ขอเพียงท่านเอิร์ลอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน พวกเขาก็ทำอะไรท่านไม่ได้”


“ถูกต้อง หน้าผารอบๆ ปราสาทรีเฟลคสโนว์ต่างหากก็แหล่งรายได้ที่สำคัญของท่าน”


“ถ้าคนของเกรย์คาสเซิลอยากจะพูดคุยตกลง พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมเจรจา”


“ตอนแรกศาสนจักรก็มีท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังแต่งตั้งท่านให้เป็นมุขนายกเลยไม่ใช่เหรอ?”


คนอื่นๆ พากันพูดสำทับขึ้นมา


เอิร์ลมาร์เวนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เขามองดูปรากฏการณ์ธรรมชาติแปลกๆ ที่อยู่บนท้องฟ้านอกหน้าต่าง ภายในใจเขาไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนในตอนแรกแล้ว เรียกได้ว่าเกิดความรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำ ถ้าไม่เป็นเพราะปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นมาเมื่อสามวันก่อนนี้ คนของเกรย์คาสเซิลคงจะบุกเข้าไปในพื้นที่ด้านในของอีเทอร์นอลวินเทอร์ แล้วปราสาทรีเฟลคสโนว์ก็คงจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน


ถึงแม้จะได้ยินมาว่าคนป่าเถื่อนพวกนั้นจะไม่ค่อยเปิดฉากโจมตีใส่เมืองของขุนนางก่อน ขอเพียงไม่ไปยุ่งกับงานของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สนใจอะไรพวกขุนนางเลย แต่การแย่งชิงคนไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้มันก็เท่ากับเป็นการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของขุนนางเหมือนกัน


ถ้าอีกฝ่ายกวาดเอาชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เมืองไปจนหมดจริงๆ อย่างนั้นพอถึงตอนเดือนแห่งปีศาจจะทำยังไง?


ที่นี่คือแหล่งรายได้หลักของเขาอย่างที่พวกขุนนางคนอื่นๆ ว่าไว้ มันตั้งอยู่ท่ามกลางหน้าผา รอบๆ เป็นหุบเหวลึกที่กั้นระหว่างมันกับหน้าผา ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเหมือนเกาะที่อยู่บนแผ่นดินตามธรรมชาติ รอยแตกที่กว้างที่สุดนั้นกว้างหลายกิโลเมตร ส่วนรอยแตกที่แคบที่สุดก็กว้างแค่สิบกว่าฟุต มีแต่ต้องใช้สะพานเชือกในการเดินข้ามเท่านั้น ส่วนพื้นที่กลางรอยแตกก็กว้างอย่างมาก กว้างพอที่จะใส่กำแพงเมืองเข้าไปได้หลายเมืองเลย


เป็นเพราะบรรพบุรุษเล็งเห็นว่าที่นี่ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี พวกเขาถึงได้เอาปราสาทผู้ปกครองมาตั้งไว้บน ‘เกาะ’ แห่งนี้ และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องนี้ นับตั้งแต่ที่ปราสาทรีเฟลคสโนว์ถูกสร้างขึ้นมามันก็ไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน ถึงแม้ศาสนจักรจะสามารถกวาดล้างอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ทั้งอาณาจักรได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่มีเพียงปราสาทรีเฟลคสโนว์แห่งนี้ที่พวกเขาบุกโจมตีไม่สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งทูตเข้ามาเจรจา โดยบอกว่าขอเพียงจงรักภักดีต่อศาสนจักร เขาก็จะได้ปกครองที่นี่ต่อ สำหรับเอิร์ลแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่คนปกติทำกัน


และเขาก็อาศัยข้อได้เปรียบในจุดนี้ในการรักษาท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดอะไร โดยหวังจะได้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อจากอีกฝ่าย


แต่เงื่อนไขที่วิมเบิลดันประกาศออกมานั้นทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้


เอิร์ลมาร์เวนไม่ได้กังวลว่าคนของเกรย์คาสเซิลกับปีศาจที่พวกเขาพูดถึงจะบุกโจมตีที่นี่ เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นแนวป้องกันไปได้ดีกว่าหน้าผาที่สูงหลายหมื่นฟุตแล้ว แต่เมืองนั้นจำเป็นต้องมีเสบียงอาหารที่ส่งมาจากหมู่บ้านรอบๆ เหมือนกัน ต่อให้ในคลังเสบียงใต้ดินของปราสาทรีเฟลคสโนว์จะมีเสบียงเก็บเอาไว้มากพอให้ใช้จนกว่าศัตรูจะยอมแพ้ไป แต่ทันทีที่ชาวบ้านถูกพาตัวไปแล้ว เสบียงที่ใช้ไปก็จะไม่สามารถเติมกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้อีก


แต่ที่โชคดีก็คือพวกเขาตกใจกลัวพระจันทร์สีแดง


“ท่านแซค หลังจากนี้ข้าควรจะทำยังไงดี?” มาร์เวนมองไปทางปราชย์แก่


“เหอๆๆ ก็ต้องบุกไปโจมตีน่ะสิ” อีกฝ่ายพูดพร้อมลูบเคราของตัวเอง


สีหน้าเอิร์ลเคร่งเครียดทันที ความยุ่งยากในการป้องกันปราสาทรีเฟลคสโนว์กับการบุกออกไปหาอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าไม่มีป้อมปราการธรรมชาติอันนี้ เขาคงไม่มีความกล้าพอที่จะสู้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแน่


“ไม่ต้องกลัว ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงคนของเกรย์คาสเซิล หากแต่เป็นพวกผู้ปกครองที่ถูกพวกเขาชิงเอาคนไป — ลองคิดดูสิ ในรายงานของสายก็มีบอกเอาไว้ว่าศัตรูกระจายกำลังกันออกไป กองทัพเล็กๆ กองหนึ่งก็มีคนแค่ประมาณร้อยคนเท่านั้น จำนวนคนแค่นี้จะขนของไปได้เท่าไร?”


มาร์เวนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ความหมายของเจ้าคือ…”


ปราชญ์แก่พยักหน้ายิ้มๆ “คนที่ถูกพาตัวไปจะต้องทิ้งอะไรไว้บ้างแน่ พวกเราแค่ตระเวนค้นตามเส้นทางที่คนของเกรย์คาสเซิลผ่าน เราน่าจะพอเก็บตกอะไรได้บ้าง”


อย่างเช่นเสบียงที่ไม่สะดวกต่อการขนย้าย…


มาร์เวนยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ในขณะที่เขาเรียกหัวหน้าอัศวินของตัวเองมาเพื่อเตรียมตัวออกคำสั่ง องครักษ์อีกคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาในห้องโถง “นะ นายท่าน…นอกเมือง มีปีศาจตัวหนึ่งขอรับ…”


“ปีศาจอะไร?” เอิร์ลถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “แม้แต่เจ้าก็เชื่อเรื่องปีศาจที่คนของเกรย์คาสเซิลมันพูดงั้นเหรอ?”


“ขะ ขออภัยขอรับ….นายท่าน แต่ว่ามัน…” เสียงขององครักษ์สั่นเครือขึ้นมา “แต่ว่ามันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ นะขอรับ!”


ไม่ใช่…มนุษย์?


ทุกคนสบตากัน


หัวใจของมาร์เวนเองก็เต้นแรงขึ้นมาเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เป็นผู้นำ เขาจำเป็นต้องแสดงความสุขุมเอาไว้


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็พาข้าไปดูมันหน่อยแล้วกัน” เอิร์ลสะกดอารมณ์แล้วทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ข้าอยากจะดูเหมือนกันว่าเจ้าพวกที่อาศัยอยู่ในนรกมันหน้าตาเป็นยังไง”


….


ปากถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในตอนที่เขาเดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง เขาก็ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะที่ดีที่สุดของตน อีกทั้งยังสวมใส่หินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย องครักษ์สิบกว่าคนห้อมล้อมเขาเอาไว้ โล่หนาๆ ตั้งกันไว้รอบตัวเขากลายเป็นเหมือนกำแพง


แต่ว่าในตอนที่มองเห็นอีกฝ่าย มาร์เวนพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ครั้งนี้ลูกน้องตัวเองไม่ได้มองผิดไปจริงๆ เจ้า ‘ปีศาจ’ ที่ว่านั้นมีตัวเดียว


ตำแหน่งที่มันยืนอยู่นั้นไม่ใช่รอยแตกที่แคบที่สุด แล้วก็ไม่ใช่จุดที่อ่อนแอที่สุดบนกำแพงเมือง หากแต่ยืนอยู่บนเสาหินแท่งหนึ่งที่ตั้งโด่ขึ้นมาต้นเดียว ความสูงของมันเหมือนจะสูงกว่ากำแพงนิดหน่อย หากขยับมาข้างหน้าอีกหน่อยก็จะเป็นหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น อัศวินที่ลาดตระเวนได้สั่งให้ลูกน้องตั้งเครื่องยิงหน้าไม้เล็งไปที่เป้าหมาย


หลังจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว มาร์เวนถึงได้พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ถึงแม้มันจะมีสองขาสองแขนเหมือนกัน แต่ร่างกายกลับใหญ่กว่ามนุษย์มาก ขณะเดียวกันผิวหนังก็ออกเป็นสีเขียว แถมยังมองเห็นเส้นเลือดกับเส้นเอ็นที่ปูดบวมออกมาด้วย แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือหนวดสั้นๆ ยาวๆ ที่งอกออกมาจากแก้ม คางและข้อศอกของมัน เจ้าสิ่งที่กำลังขยับไปหาเหมือนไส้เดือนนั้นทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้และขนลุก


แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือในเวลานี้ปีศาจกำลังหลับตาอยู่ เหมือนว่ามันกำลังนอนหลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น ดูไม่ได้เหมือนจะมีภัยคุกคามอะไรเลย


เจ้าสัตว์ประหลาดนี่มันถูกพระจันทร์สีแดงนำมาจริงๆ เหรอ? ไม่…นั่นเป็นแค่คำพูดที่คนของเกรย์คาสเซิลใช้ขู่พวกชาวบ้านให้กลัวเท่านั้น เอิร์ลคิดในใจ ไม่ว่ามันจะมาจากไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับวันสิ้นโลกอย่างที่ลือกัน ในทางกลับกัน ขอเพียงเขาออกคำสั่งยิง เจ้าปีศาจนั้นจะต้องถูกลูกดอกยิงใส่แน่นอน


เมื่อคิดถึงตรงนี้ มาร์เวนจึงสูดหายใจพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “ฟังให้ดีนะเจ้าสัตว์ประหลาดที่สกปรกและน่ารังเกียจ! ข้าคือลอร์ดแห่งปราสาทรีเฟลคสโนว์ มาร์เวน ไพค์! เจ้ากำลังบุกรุกดินแดนของข้า ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็จงคุกเข่ายอมสยบต่อข้าซะ ไม่อย่างนั้นหุบเหวที่อยู่ด้านล่างนี้จะเป็นหลุมฝังศพของเจ้า!”


เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฟังคำพูดของตัวเองรู้เรื่อง คำพูดนี้แทนที่จะบอกว่าเป็นการเตือนปีศาจ ควรจะบอกว่าเขาจงใจพูดออกไปเพื่อแสดงให้เหล่าลูกน้องของตัวเองที่อยู่บนกำแพงได้เห็นความกล้าของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของที่นี่


ในเมื่อคนของเกรย์คาสเซิลคิดว่านี่คือปีศาจร้ายจากขุมนรก ถ้าเขาสามารถขู่ให้มันหนีไปหรือฆ่ามันได้ นั่นจะต้องทำให้ชื่อเสียงและบารมีของตนเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน


“ข้าไม่มีความอดทนมากขนาดนั้นนะ ตอนนี้ข้าจะให้เวลาเจ้า 5 วินาทีในการตัดสินใจ….5, 4!”


มาร์เวนด้านหนึ่งก็นับไป อีกด้านหนึ่งส่งสัญญาณมือให้อัศวินเตรียมตัวยิง


“3…”


จู่ๆ ปีศาจก็ลืมตาขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดัง “พอได้แล้ว!”


เสียงของมันระเบิดดังขึ้นมาเหมือนสายฟ้า เกล็ดหิมะที่เกาะอยู่บนกำแพงร่วงกราวลงไปด้านล่าง ยอดของภูเขาทำให้เสียงของมันสะท้อนไปมา ทันใดนั้นเอง มาร์เวนรู้สึกเหมือนแผ่นดินสะเทือนขึ้นมา หูของเขามีเสียงดังวิ้งๆ ขาของเขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้น


……………………………………………………….


ตอนที่ 1218 วันสิ้นโลก (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจ้านี่…มันพูดภาษาคนได้หรอเนี่ย!


ในตอนที่เอิร์ลถูกองครักษ์พยุงขึ้นมา เขารู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว สีหน้าดูแย่อย่างมาก เดิมเขาคิดว่าจะสร้างความน่าเกรงขามต่อหน้าลูกน้อง ขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้กับขุนนางคนอื่นๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายแค่คำรามออกมาประโยคเดียว เขาก็ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คืออีกฝ่ายนั้นมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น


บ้าเอ้ย ข้าจะฆ่าเจ้าสวะนี่!


มาร์เวนกัดฟันยกมือขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งยิง ปราชย์แก่พลันเข้ามาห้ามเขาเอาไว้ แถมยังกะพริบตาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า ‘ใจเย็น’


เอิร์ลงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาทันที ถูกต้อง ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถพูดได้ อย่างนั้นก็มีโอกาสที่จะเจรจา ถ้าหากเจรจาได้ อย่างนั้นก็หมายถึงการแลกเปลี่ยนและการให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือ ตัวเองได้รับผลกระทบจากคนของเกรย์คาสเซิล แล้วก็เลยคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นศัตรูไปด้วย


เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นปีศาจหรือไม่ แต่การที่มันมาที่นี่ตัวคนเดียวนั้นอาจจะแสดงให้เห็นถึงท่าทีบางอย่าง อย่างเช่นเป็นทูตเหมือนกับของมนุษย์


ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงไม่ลงมือเสียอีก หากแต่จงใจที่จะยืนอยู่เฉยๆ นอกกำแพงแบบนั้น?


ถ้าอีกฝ่ายโหดเหี้ยมเหมือนอย่างที่เกรย์คาสเซิลว่าเอาไว้จริงๆ อย่างนั้นมันก็ควรจะลงไปไล่ฆ่าพวกมนุษย์แล้วถึงจะถูก เพราะหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้นไม่มีรอยแตกของหุบเหวและกำแพงเมืองคอยปกป้อง


มาร์เวนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ถ้าหากเขาไปสร้างความแค้นให้กับ ‘ปีศาจ’ ก่อนด้วยการไปฆ่าผู้ส่งสารของมัน อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าสมความตั้งใจของพวกเกรย์คาสเซิลหรอกเหรอ?


แต่ว่าเมื่อกี้ยังตะโกนบอกอีกฝ่ายให้คุกเข่ายอมแพ้อยู่เลย แล้วตอนนี้จะมาพูดเจรจากับอีกฝ่าย ความขายหน้าตรงนี้เอิร์ลรู้สึกตัวเองยากที่จะแบกรับได้


โชคดีที่ปราชญ์แก่มองความลังเลของเขาออก อีกฝ่ายถึงก้าวออกไปแล้วพูดว่า “ช่างไร้มารยาทจริงๆ! ในเมื่อพูดภาษาคนได้ อย่างนั้นเจ้าก็ควรจะแจ้งสถานะและบอกจุดประสงค์ของเจ้า! โชดีที่ท่านเอิร์ลมีเมตตา ท่านจึงยินดีที่จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”


ทำดีมาก มาร์เวนคิดชมอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นผู้ดูแลที่เขาไปเอามาจากเมืองหลวง เงินเดือน 10 เหรียญทองถือว่าคุ้มค่าจริงๆ


“ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้า ถ้าอยากจะถามพวกเจ้าเรื่องหนึ่งก่อน” เสียงของปีศาจกลับมาดังเป็นปกติ “พวกเข้าเป็นอะไรกับ…มนุษย์ที่อยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์?”


ที่ราบลุ่มบริบูรณ์? มันคือที่ไหน? ทุกคนต่างมองหน้ากันสีด้วยสีหน้าประหลาดใจ


แต่ว่าคำพูดนี้ทำให้มาร์เวนรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เจ้าปีศาจนี้เป็นคนส่งสารจริงๆ ด้วย


“ข้าไม่รู้ว่าที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่เจ้าพูดถึงมันอยู่ที่ไหน” ปราชญ์แก่พูดอีกครั้ง “มันก็เหมือนกับในดินแดนๆ หนึ่งมีที่มีทั้งเหนือแล้วก็ใต้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ากับข้ายังเป็นคนละเผ่าพันธุ์ เจ้าต้องเอาแผนที่มาดู ข้าถึงจะให้คำตอบเจ้าได้”


“ไม่ นั่นมันเป็นชื่อที่พวกเจ้าเป็นคนตั้งขึ้นมา ข้าแค่เอามาใช้เท่านั้น” อีกฝ่ายส่ายหัวเล็กน้อย “อย่างนี้นี่เอง…พวกเจ้ายังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน แบ่งออกเป็นเมืองๆ กระจัดกระจายออกไป การตอบสนองถึงได้ช้าขนาดนี้ ข้าอยากจะเห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกเจ้า ด้านหนึ่งตะโกนร่ำร้องว่าเป็นไปไม่ได้ อีกด้านหนึ่งกลับไม่สามารถทำอะไรกับ ‘ชะตาชีวิต’ ที่กำลังมาถึงได้”


นี่มันหมายความว่ายังไง? ใช้คำพูดอย่างกับละคร…เอิร์ลขมวดคิ้วขึ้นมา มีอยู่แวบหนึ่งที่เขาเหมือนจะเห็นความผิดหวังในสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย


“หรือว่า…เจ้าหมายถึงพวกเกรย์คาสเซิล?” จู่ๆ หัวหน้าอัศวินก็ถามขึ้นมา


“หืม?” ปีศาจมองมาทางเขา


“พวกเขาเอาแต่พูดอยู่ตลอดเวลาในตอนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้น ปีศาจจะปรากฏตัวขึ้นมาจากนรก ตอนนี้พวกมันกลัวจนหนีกลับไปนานแล้ว” อัศวินพูดดูถูกขึ้นมา “แต่แน่นอน ถ้าฝีเท้าเจ้าเร็วพอล่ะก็ ไปทางท่าเรือตะวันออกอาจจะได้เจอพวกมันก็ได้”


“งั้นเหรอ?” มันเหลือบมองไปทางตะวันออก ก่อนจะดึงสายตากลับมาอีกครั้ง “ข้าไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้เรื่องที่ราบลุ่มบริบูรณ์ อย่างนั้นข้าก็จะให้ฟังสั้นๆ แล้วกัน”


“ข้าคือสกายลอร์ด ผู้บัญชาการของกองทัพตะวันตก เมื่อพันปีก่อน เผ่าพันธุ์เจ้ากับข้าเคยเซ็นสัญญาคุ้มครองเอาไว้ พวกเราตกลงกันเอาไว้ว่าจะกำจัดแม่มดและลูกสมุนของพวกนาง พวกเจ้ายกเผ่าพันธุ์ข้าให้เป็นผู้นำและทำศึกภายใต้การบังคับบัญชาของข้า สิ่งตอบแทนที่พวกเจ้าจะได้รับคืออำนาจและทรัพย์สมบัติ สัญญานี้ไม่มีเวลาสิ้นสุดจนกว่าแม่มดจะตายไปจนหมด และพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้สืบทอดของมนุษย์ก็ควรจะทำงานให้กับเผ่าพันธุ์ข้าต่อ” เสียงของปีศาจดังกังวานขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าทั่วทั้งหมดต่างก็ได้ยินเสียงของมันอย่างไรอย่างนั้น “ตอนนี้ ข้าขอให้พวกเจ้าทำตามสัญญาด้วยการมอบเมืองนี้และรับใช้ข้าเดี๋ยวนี้!”


เจ้านี่มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย…เอิร์ลมาร์เวนพูดอะไรไม่ออก สัญญาพันกว่าปีอะไรกัน สัญญาแค่ปีสองปีก็ยังเบี้ยวกันเลย แล้วสัญญาเมื่อพันปีก่อนใครมันจะไปสนใจกันล่ะ แล้วยังเรื่องที่บอกว่าเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพตะวันตกนั่นอีก เป็นถึงผู้บังคับบัญชาแต่กลับไม่ส่งทูตมาเจรจาก่อน มายังดินแดนคนอื่นคนเดียวแบบนี้ จะพูดจะจาอะไรก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง!


“ถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ?” คำพูดนี้มันไร้มารยาทเกินไป เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ


“ความตายจะทำให้เจ้ายอมเอง” ปีศาจที่เรียกตัวเองว่าสกายลอร์ดเงยหน้าขึ้น “ดูนั่น นั่นคือชะตาชีวิต”


เอิร์ลเงยหน้าขึ้นไป  ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ขุนเขาที่อยู่ไกลออกไปมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ไม่บ่อยนักที่เทือกเขาสิ้นวิถีจะมีหมอก ทว่าหมอกที่ว่านี้กลับดูเหมือนเลือดสดๆ ที่แดงจนทำให้เขารู้สึกกลัว เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะแสงจากพระจันทร์สีแดงหรือว่าเป็นสีของตัวหมอกกันแน่


สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือหมอกที่ข้ามหน้าผามาไม่ได้ลอยอยู่กลางอากาศ หากแต่ค่อยๆ ไหลตกลงไประหว่างเทือกเขากลายเป็นเหมือนน้ำตก


หรือว่าที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคลื่อนไหวก็เพราะว่ารอโอกาสนี้อยู่?


มาร์เวนแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขามองดูลูกน้องที่แอบกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้ากังวล เขารู้แล้วว่าถ้าหากยังไม่ลงมา ลูกน้องของตัวเองคงจะเสียขวัญแน่


“ลำพังเจ้าเนี่ยนะ?” เอิร์ลกัดฟัน ก่อนจะยกมือขึ้นมาเหวี่ยงเพื่อส่งสัญญาณ “ข้าได้ให้โอกาสเจ้าไปแล้ว ยิงได้!”


อัศวินและเหล่าทหารงุนงงอยู่ไม่กี่อึดใจก่อนจะได้สติกลับคืนมา จากนั้นพวกเขาจึงพากันเหนี่ยวไกหน้าไม้ ลูกดอกขนาดต่างๆ พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ตรงเข้าไปหาปีศาจ


แต่ลูกดอกทั้งหมดกลับยิงถูกความว่างเปล่า


ทุกคนแทบจะไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ปีศาจตัวนั้นทะลุผ่านโพรงสีดำ ก่อนจะหายตัวไปจากบนเสาหิน


“บ้าเอ้ย นั่นมันผลจากเวทมนตร์” หัวหน้าอัศวินพูดเสียงคร่ำเคร่ง “พวกมันไม่ได้ต่างอะไรกับแม่มด!”


“ไม่ต้องกลัว พวกเราใส่หินอาญาสิทธิ์อยู่ พลังเวทมนตร์ทำอะไรเราไม่ได้!” มาร์เวนกำสร้อยจี้ที่อยู่ตรงหน้าอก “หามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ!”


“ปะ ปีศาจอยู่นั่น!” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา


ในเวลาแค่ชั่วพริบตา มันได้ข้ามหุบเหวกับกำแพงเมืองเข้ามา ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่บนถนนยาวด้านหลังกำแพงโดยไร้ซุ่มเสียง


ก้าวข้ามกำแพงมาได้ในก้าวเดียว เอิร์ลรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที สัตว์ประหลาดที่อันตรายขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นทูตหรือไม่ มันก็ต้องตายอยู่ที่นี่ เพราะอีกฝ่ายนั้นมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น “เตรียมลูกดอกหินอาญาสิทธิ์ จัดการมันเหมือนกับจัดการแม่มด! คนที่ฆ่ามันตายได้ ข้าจะมีรางวัลให้ 100 เหรียญทอง!”


ในขณะที่อัศวินและทหารแห่กันเข้าไปหามัน ปีศาจก็ค่อยๆ ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นมา


ทันใดนั้นเอง ด้านหลังของมันพลันมี ‘ฉากสีดำ’ ที่กว้างหลายสิบฟุตกางออกมา ถนนและบ้านเรือที่อยู่สองข้างทางถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่าจู่ๆ บนถนนก็มีกำแพงที่ไม่มีความลึกปรากฏขึ้นมา


มันคิดจะทำอะไรกันแน่? เอิร์ลรู้สึกสงสัยขึ้นมา ดูไม่เหมือนการโจมตีแล้วก็ไม่เหมือนการป้องกันเลย หรือว่ามันคิดจะใช้ความสามารถนี้ในการซ่อนตัวเอง?


แต่ไม่นานเขาก็ได้รับคำตอบกลับมา


หมอกแดงที่เข้มข้นไหลทะลักออกมาจากฉากสีดำเหมือนกับเขื่อนที่แตกออก! จากนั้นก็มีสัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงคำรามวิ่งออกมาจากหมอกสีดำแล้วพุ่งเข้าชนกับอัศวินที่ล้อมเข้ามา หินอาญาสิทธิ์ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ อัศวินพ่นเลือดสดๆ ออกมาจากปาก ละอองเลือดปลิวกระจาย หน้าอกของเหล่าอัศวินยุบตัวเป็นรูลึก ดูแล้วไม่น่าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้


แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น


ในฉากสีดำมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่าไม่มีวันหยุดลงอย่างไรอย่างนั้น พวกมันก้มหัวทำความเคารพสกายลอร์ดก่อน จากนั้นจึงค่อยไปเข้าร่วมการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือว่าพละกำลัง คนธรรมดาก็ไม่อาจเทียบกับสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้ได้เลย


ไม่ถึงสิบนาที ในเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องขอความช่วยเหลือ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่พวกเขาก็ไม่สามารถข้ามหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นไปได้


มาร์เวนรู้สึกเพียงแค่ขาตั้งสองข้างอ่อนแรงจนเขาต้องนั่งลงไปกับพื้น แต่ครั้งนี้ไม่มีใครมาช่วยพยุงเขา


องครักษ์ถูกปีศาจที่บุกเข้ามาถึงตรงหน้าฉีกออกเป็นสองท่อน


ปราสาทรีเฟลคสโนว์ที่เขาภาคภูมิใจ ที่ดินที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษพังทลายลงในพริบตา


หมอกแดงที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนนรกบนดิน


ยิ่งมองผ่านมองแดง พระจันทร์ที่อยู่บนฟ้าก็ยิ่งดูดุร้ายและน่ากลัว


วันสิ้นโลกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอิร์ลคิดในใจ


………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)