Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1215-1216
ตอนที่ 1215 ตำนานปรากฏ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟาร์รีนาพบว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิด
ถึงแม้เรื่องราวที่ฉายอยู่ในหนังเวทมนตร์จะคล้ายๆ กับ ‘ประวัติศาสตร์’ ที่แม่มดโบราณเล่ามา แต่มันก็ไม่ได้เล่าเรื่องให้ศาสนจักรเสียหายไปเสียทั้งหมด ในตอนที่เห็นคนที่อยู่ในละครต่อสู้กับศัตรูที่มาจากขุมนรกอย่างไม่คิดชีวิต เธอพลันพบว่าในร่างกายมีความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วพุ่งพล่านขึ้นมา
เมื่อละครฉายมาถึงตอนที่สาวกระดับสูงของศาสนจักรซึ่งเป็นคนธรรมดาก่อกบฏ เธอพลันกำหมัดแน่น ภายในใจนึกอยากจะวิ่งเข้าไปอัดพวกเขา
เป็นเพราะคนพวกนี้ ศาสนจักรถึงได้ลืมจุดมุ่งหมายที่ก่อตั้งขึ้นมา และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่กลืนกินมนุษย์ในที่สุด
ที่น่าแค้นใจกว่านั้นก็คือ พวกคนระดับสูงที่รู้เรื่องราวเหล่านี้กลับปิดปากเรื่องการมีอยู่ของปีศาจเอาไว้ แต่อีกด้านหนึ่งก็เอาแต่พร่ำสอนสาวกเรื่องการช่วยโลก ทำให้นักรบจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างท่านทัคเกอร์ต่างต้องตายไปด้วยความเชื่อของตน แต่พวกเขากลับไม่ได้รู้เลยว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็นแค่เครื่องมือให้คนเหล่านั้นได้ควบคุมอำนาจเท่านั้น
เธอไม่ควรมาจงรักภักดีศาสนจักรที่เป็นแบบนี้เลย
แต่ปัญหาก็คือทำไมราชาแห่งเกรย์คาสเซิลถึงเปิดเผยความลับเหล่านี้ออกมา….หรือว่าเขาไม่คิดจะฉวยโอกาสนี้ทำลายศาสนจักรจริงๆ?
หรือว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้แต่แรกแล้ว?
ในขณะที่ฟาร์รีนากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ทหารที่ทางเฮอร์มีสส่งมาก็ดึงดูดความสนใจของเธอเอาไว้
สำหรับคนที่ผิดหวังแล้ว ไม่ว่ารอบข้างเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ฟาร์รีนาก็ไม่มีทางสนใจ แต่ตอนนี้ภายในใจเธอกลับรู้สึกพลุ่งพล่าน เรี่ยวแรงในอดีตเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
ฟาร์รีน่านั้นคือสุดยอดนักรบในกองทัพพิพากษา การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่นี้เพียงพอที่จะทำให้เธอสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
พื้นสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย
นี่คือเสียงม้าของกองทัพพิพากษาเวลาห้อตะบึง
เธออยู่เฮอร์มีสมา 5 – 6 ปีแล้ว เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับความเคลื่อนไหวแบบนี้เป็นอย่างดี ต่อให้ไม่ต้องลืมตา เธอก็ยังแยกแยะจำนวนกับระยะทางของอีกฝ่ายได้
ทหาร 16 คน สองทีมเล็ก เธอเหมือนมองเห็นจำนวนของทหารที่ไล่ตามมาอย่างไรอย่างนั้น
ถ้าตอนที่เริ่มดูหนังแรกๆ มีความเคลื่อนไหวแบบนี้ บางทีเธออาจจะมองข้ามในจุดนี้ไป ทว่าหนังเวทมนตร์นั้นเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมา ต่อให้มันจะเหมือนจริงแต่ไหนแต่มันก็ไม่ใช่ของจริง อย่างเช่นร่างกายที่ก้มลงไปแล้วมองไม่เห็น แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ อยู่….และก็เป็นเพราะแบบนี้ การที่จู่ๆ มีการสั่นสะเทือนของม้าวิ่งดังขึ้นมาจึงทำให้เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน
เธอรู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่าง…กำลังเปลี่ยนไป!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฟาร์รีนาก็มองเห็นร่างกายของตัวเอง
นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้
ผู้ชมที่อยู่รอบๆ….ต่างไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอ
โจเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
“ฟาร์รีนา นี่พวกเรา…” เขาหันหน้ามาด้วยสีหน้าสับสน
ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีพลันผุดขึ้นมาในใจของเธอ ฟาร์รีนารีบคว้าจับที่ด้านหลังของตัวเอง แต่เธอกลับสัมผัสไม่ถูกอะไรเลย เก้าอี้ที่นั่งอยู่ในตอนแรกไม่อยู่แล้ว
“ช่วยพวกเราด้วย ได้โปรด!” ทหารอารักขากับแม่มดเหมือนจะมองเห็นพวกเธอ พวกเขาวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา
“คนทรยศอยู่นั่น ไปจับพวกมันมา!”
“ใครขัดขืน ฆ่าให้หมด!”
ลูกดอกบินมา คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าถูกยิงจนล้มลงไปกับพื้น
ผู้ชมส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นพ่อค้ากับขุนนางที่มีชาติตระกูล พวกเขาแทบจะไม่มีประสบการณ์ในการสู้รบเลย เมื่อต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ยืนตกตะลึงไปกับที่
“บ้าเอ้ย!” ฟาร์รีน่าด่าเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง แม่มดพวกนั้นทำอะไรกันแน่เนี่ย นี่ยังใช่ภาพลวงตาอยู่อีกหรือปล่า? ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ เธอคงจะตะโกนว่า ‘นี่เป็นกับดักชั่วร้ายที่แม่มดทำขึ้นมา ทุกคนตามข้ามา’ เพื่อทำให้ทุกคนสงบลงแล้ว หลังสะกดอารมณ์ตรงนั้นลงได้ เธอก็ผลักโจออกแล้ววิ่งไปอยู่ข้างหน้าทุกคน “หยุดก่อน! ข้าคือฟาร์รีนา หัวหน้ากองทหารอารักขาของกองทัพพิพากษา พวกเจ้าเป็นใคร!”
เสียงตะโกนนี้ทำให้เหล่าทหารที่ควบม้าไล่ตามมาต้องหยุดลง “กองทหารอารักขา? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย?”
“เฮ้ ผู้บังคับบัญชาของเจ้าคือใคร?”
“อัครมุขนายกแห่งหน่วยลับ ท่านเทรวอน” ฟาร์รีนาพูดเรื่อยเปื่อย ขณะเดียวกันเธอก็ยื่นมือไปด้านหลังพร้อมกับทำสัญญาณมือเพื่อขออาวุธจากทหารอารักขา
“อะไร…นะ?” เมื่อได้ยินคำตอบนี้ นักรบที่นำทหารมาพลันหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย องครักษ์ของหัวหน้าผู้ก่อกบฏนั้นเคยได้ยินชื่อหน่วยลับมาก่อน เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวกับหน่วยลับของศาสนจักรได้จะต้องมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่เธอเองก็รู้ดีว่าคำพูดนี้อย่างมากก็แค่ทำให้อีกฝ่ายลังเลเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความคิดได้ ตอนนี้การก่อกบฏได้สำเร็จไปแล้ว ต่อให้อัครมุขนายกจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบพระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้
เธอจำเป็นต้องฉวยจังหวะนี้ลงมือก่อน!
เสียดายที่ทหารอารักขาไม่เข้าใจสัญญาณมือของเธอ เขาเพียงแค่ยกดาบมายืนอยู่ข้างเธออย่างระมัดระวัง
“ทำไมเจ้าถึงไม่สวมเกราะของทหารพิพากษา?” น่าจะเป็นเพราะทำการตัดสินใจแล้ว หัวหน้าทหารที่ไล่ตามมาจึงลงจากหลังม้า พร้อมกับพาลูกน้องค่อยๆ เดินล้อมเข้ามา
“เพราะข้ากำลังทำภารกิจพิเศษอยู่” ฟาร์รีนาตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“ขอโทษด้วย กบฏพวกนี้มีความสำคัญอย่างมาก ข้าจำเป็นต้องพาพวกเขากลับไปเฮอร์มีส นี่คือคำสั่งของพระสันตะปาปา นอกจากนี้ คนของเจ้าก็ควรจะตามข้ากลับไปด้วย ท่านเทรวอนคนนั้นจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ของพระสันตะปาปาอย่างแน่นอน”
“ต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“ถูกต้อง” มือของอีกฝ่ายจับอยู่บนด้ามดาบ
“ได้ อย่างนั้นข้าจะไปกับพวกเจ้า” ฟาร์รีน่าถอนใจออกมา “ส่วนท่านเทรวอนเขา….”
“เขาทำไม?”
“เขาตายไปแล้ว “ ในขณะเดียวกับที่พูด เธอก็ดึงดาบสั้นออกมาจากเอวของทหารอารักขา พร้อมกับแทงมันเข้าไปในช่องว่างของหมวกของหัวหน้าทีมไล่ล่า “…หลังจากนี้อีก 300 กว่าปี”
เลือดสดๆ กระจายเต็มหน้าเธอทันที
“หะ หัวหน้า!”
“ฆ่าพวกมัน!”
ฟาร์รีนาชิงเอาอาวุธของทหารที่เป็นหัวหน้ามา ก่อนจะเข้าไปสู้กับพวกทหาร ในตอนที่ทหารอารักขาแม่มดเหมือนจะตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขากวัดแกว่งดาบเข้าไปช่วยเธอสู้ด้วย
“ผู้หญิงคนนี้…ขะ แข็งแกร่งมาก!”
“บ้าเอ้ย หน้าไม้ล่ะ? รีบยิงหน้าไม้เร็ว!”
“อย่าปล่อยให้แม่มดหนีไปได้!”
พื้นที่ตรงนั้นวุ่นวายขึ้นมาทันที มีคนล้มลงไปกับพื้นตลอดเวลา ส่วนผู้ชมที่เหลือต่างก็ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
สำหรับฟาร์รีนาแล้ว นี่คือศึกที่ไม่มีโอกาสชนะเลย ถึงแม้เธอจะทำให้อีกฝ่ายล้มลงไปได้ แต่ด้วยชุดเกราะที่อีกฝ่ายสวมอยู่ก็ทำให้เธอยากที่จะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้ บวกกับการที่ฝ่ายเธอมีจำนวนน้อยกว่า เธอจะถูกฟันล้มเมื่อไรมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
หลังปะทะกันไปไม่นาน บนร่างกายของเธอก็มีบาดแผลปรากฏขึ้นมาหลายแห่ง แต่ความรู้สึกเจ็บปวดกลับไม่ได้ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอช้าลงเลย ในทางกลับกัน มันกลับทำให้เธอยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิม
ฟาร์รีน่ารับรู้ได้ถึงความพึงพอใจที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
“เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับศาสนจักรเรอะ!” ทหารที่ไล่ตามมาตะโกนเสียงดัง
“ศาสนจักร? ไม่…พวกเจ้าไม่คู่ควรกับชื่อนี้!” เธอมองอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น “ที่จริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้ พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นคนทำลายมัน! พวกเจ้าทำลายความหวังของคนอีกจำนวนมาก!”
ถูกต้อง อีกไม่นานเธอจะต้องตายอยู่ที่นี่ แต่ฟาร์รีนากลับพบว่านี่เป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายเธอก็ได้กลายเป็นคนที่เธออยากจะเป็น
แต่ว่าความตายไม่ได้มาเยือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้
เสียงปืนที่ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้ทำลายเสียงปะทะกันของดาบ เธอหันหน้ากลับไป ก่อนจะพบว่าคนที่สวมชุดสีดำที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกสวนมาปรากฏตัวอยู่ในหนังเวทมนตร์โดยที่เธอไม่รู้ตัว การช่วยเหลือของพวกเขาทำให้สถานการณ์พลิกกลับ ศัตรูเหมือนจะถูกกองหนุนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทำให้หวาดกลัว พวกเขาพากันทิ้งศพเพื่อนของตัวเองแล้วรีบหนีเข้าไปในภูเขา
“ขอบคุณเจ้ามาก…” ทหารอารักขาที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาหาฟาร์รีนาโดยมีแม่มดช่วยพยุง “ข้านึกว่าศาสนจักรจะถูกท่านพ่อควบคุมเอาไว้หมดแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีนักรบผู้ซื่อสัตย์แบบเจ้าอยู่”
“เดิมข้านึกว่าจะไม่มีหวังเสียแล้ว แต่พระเจ้าเหมือนจะยังไม่ทอดทิ้งพวกเรา” บนใบหน้าของแม่มดยังคงมีหยดน้ำตาไหลออกมา แต่เธอกลับพูดยิ้มๆ ออกมาว่า “เจ้าไม่ได้ช่วยแต่พวกเราเท่านั้น มนุษย์ทุกคนเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
“ข้า…” ฟาร์รีนาอ้าปาก แต่เธอกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“หลังจากนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังเกรย์คาสเซิล แล้วก็บอกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เฮอร์มีสให้กับราชาของที่นั่น หวังว่าทุกอย่างคงจะยังไม่สายเกินไป” ทหารอารักขาพูดเสียงหนังแน่นว่า “พวกเจ้าเองก็รีบไปกันเถอะ อย่าได้กลับไปยังเมืองศักดิ์ิสิทธิ์อีกเลย ถ้าวันไหนที่ศาสนจักรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ข้าคิดว่าพวกเราคงจะได้เจอกันอีก รักษาตัวด้วย”
หลังทั้งสองคนค่อยๆ เดินจากไปแล้ว ภาพตรงหน้าก็มืดลง
กระทั่งแสงไฟกลับมาเป็นปกติ เธอถึงได้พบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในห้องดูหลัง ด้านหลังของเธอยังคงเป็นเก้าอี้อยู่
แม้แต่บาดแผลจากการต่อสู้ก็หายไปไม่มีเหลืออยู่อีก
อย่างนั้น….ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้มันคือภาพลวงตาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
“พระเจ้า…นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” ในที่สุดผู้ชมก็ได้สติกลับมา ภายในห้องดูหนังมีเสียงชื่นชมระเบิดออกมาดังสนั่น
“สามเทพเป็นพยาน ข้ารู้สึกเหมือนข้ากำลังเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์…”
“สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ด้านการแสดง ได้มาดูหนังเวทมนตร์แบบนี้ อย่าว่าแต่ 50 เหรียญทองเลย ต่อให้ 100 เหรียญทองมันก็คุ้ม!”
“ตอนเจ้าพุ่งออกไปข้ากลัวแทบตาย ยังดีที่เป็นแค่ภาพลวงตา” โจพูดพร้อมเอามือลูบอก “การที่จินตนาการภาพแบบนี้ออกมาได้ แล้วทำให้คนที่อยู่ในละครเหมือนมีชีวิตจริง นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อมากๆ….”
แต่ฟาร์รีนากลับไม่ได้พูดอะไร เธอสังเกตเห็นชายชุดดำถือปืนพร้อมมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น เหมือนว่านี่ไม่ได้สิ่งที่พวกเขาได้ซักซ้อมมาอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีพนักงานโรงหนังอีกสองคนที่วิ่งไปด้านหลังเวทีด้วยสีหน้าลนลานและตกใจ
นี่ไม่เหมือนท่าทีที่จะแสดงออกมาหลังจากที่การแสดงประสบความสำเร็จเลย
ในตอนที่เธอกลั้นใจรวบรวมสมาธิเพ่งดูรายละเอียดเหล่านั้นอีกครั้ง หูของเธอเหมือนจะได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมา มันเหมือนเป็นเสียงที่ดังมาจากที่ไกลๆ ขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ เสียงสาปแช่งชองผู้คนก็ค่อยๆ ดังขึ้นมา ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยของผู้ชมที่อยู่ในห้องเลย
นี่มันแปลกๆ
ฟาร์รีน่ารู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างกำลังมีปัญหา
เธอรีบยืนขึ้นทันทีโดยไม่สนใจสายตาตกใจของโจ เธอกระโดดข้ามหัวผู้ชมที่อยู่แถวสุดท้ายแล้ววิ่งออกไปนอกห้องดูหนัง
“หยุด! เจ้า…เดี๋ยว!” ชายชุดดำที่สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้คิดอยากจะหยุดเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาช้าไปก้าวหนึ่ง
ฟาร์รีนาวิ่งทะลุห้องโถงออกไปยังลานด้านนอก จากนั้นเธอก็ต้องตกตะลึง
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ตกอยู่ในความวุ่นวาย ทุกที่มีแต่ภาพผู้คนกำลังวิ่ง กรีดร้อง ในพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยหลายแห่งมีควันขโมงขึ้นมา เหมือนว่ามีไฟไหม้อย่างไรอย่างนั้น ส่วนตรงเขตอุตสาหกรรมก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งเมืองเหมือนสูญเสียการควบคุม
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าทั้งหมดนี้นั้นมาจากด้านบนหัวของเธอ
ในเวลานี้ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสพลันมืดครึ้มลง พระอาทิตย์หายไปจากสายตา สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือพระจันทร์สีแดงขนาดใหญ่ มันลอยสูงอยู่เหนือท้องฟ้าเหมือนดวงตาแห่งสวรรค์ที่เปิดกว้าง
…………………………………………………………………
ตอนที่ 1216 การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่เห็นภาพอันน่าตกตะลึงนี้ไม่ได้มีแต่ประชาชนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น
ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ มาร์จอรีกำลังยืนอยู่บนหัวเรือของเรือสโนวบรีซ สายตาเธอทอดมองออกไปยังปลายสุดของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ นี่เป็นวันที่ 66 หลังจากที่เธอข้ามเส้นทะเลมาแล้ว คลื่นทะเลยังคงซัดเข้ามาหาพวกเธออยู่ตลอดเวลา บ้างเล็กบ้างใหญ่ ความถี่ในการเปลี่ยนแปลงนั้นเหมือนกับทะเลชาโดว์ที่อยู่ห้างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรไม่มีผิด เหมือนกับว่าน้ำทะเลเหล่านี้ล้วนแต่มาจากที่เดียวกัน
ถ้าทะเลน้ำวนมีแหล่งกำเนิดจริงๆ อย่างนั้นนี่จะต้องเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้วาณิชหญิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ นอกจากคลื่นทะเลที่คอยบอกทิศทางแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรือสโนวบรีซลำนี้
ตัวเรือที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใบเรือทำให้มันสามารถล่องไปบนคลื่นทะเลอันบ้าคลั่งได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเรือจะคว่ำ ปริมาณน้ำหนักอันมหาศาลที่มันสามารถบรรทุกได้ทำให้มันสามารถเติมน้ำจืดและเสบียงให้กับเรืออื่นๆ ได้ การที่เดินทางออกมาไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรก แต่กลับไม่มีเรือลำไหนที่หลุดขบวน ทุกอย่างก็เป็นเพราะเรือเหล็กที่ใช้กำลังและเงินจำนวนมหาศาลในการสร้างขึ้นมาลำนี้
เธอมีเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้ของธันเดอร์จะต้องไม่กลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
“เห็นอะไรไหม?” ด้านหลังพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
มาร์จอรีหันหน้าไปพร้อมยิ้มขึ้นมา “ถ้ามีอะไรจริงๆ คนที่จะแจ้งท่านเป็นคนแรกก็คือคนสังเกตการณ์ที่อยู่บนเสากระโดงเรือ ดังนั้นท่านควรจะไปถามพวกเขาถึงจะถูก”
อีกฝ่ายก็คือผู้นำของคณะเดินทาง ธันเดอร์
“มันก็ไม่แน่” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “บางทีพวกเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างนานแล้ว แต่กลับกำลังตกตะลึงจนกลายเป็นใบ้ก็ได้”
“พรืด..” มาร์จอรีเอามือปิดปาก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ข้ามเส้นทะเลมา ในตอนที่ผิวน้ำทะเลที่พุ่งสูงขึ้นไปเหมือนกำแพงยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา แม้แต่ลูกเรือที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังตกตะลึงจนยืนนิ่งไปเพราะภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้ ในตอนที่เรือไต่ขึ้นไปบนกำแพงน้ำทะเล มีบางคนถึงกับแข้งขาอ่อนร่วงลงมาจากหอสังเกตการณ์
ปกติต่อให้อยู่ในคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง ลูกเรือเหล่านี้ก็ยังเกาะเชือกกับเสากระโดงเรือไว้แน่นเหมือนกับจิ้งจก แต่ครั้งนี้พวกเขากลับแข้งขาอ่อนทั้งๆ คลื่นลมปกติ นี่พอจะเห็นได้ว่าเส้นทะเลสร้างความตกตะลึงให้พวกเขาขนาดไหน
ธันเดอร์ยักไหล่ “จากที่ข้ารู้มา หลังจากนั้นหอการค้าสองสามแห่งได้เปลี่ยนตัวเอาคนสังเกตการณ์ที่มีสายตาที่ดีที่สุดออกไป แล้วเปลี่นรเป็นคนที่มีความกล้ามากที่สุดเข้ามาแทน เพราะว่าเรื่องนี้มันน่าขายหน้าอย่างมาก”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ..” มาร์จอรีส่ายหัวอย่างจนปัญญา “แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้วล่ะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ธันเดอร์ตบไหล่เธอ จู่ๆ เสียงของเขาพลันคร่ำเคร่งขึ้นมา “วางใจได้ โจนจะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
มาร์จอรีเองก็หุบยิ้มลง ก่อนจะพยักหน้าออกมา “อื้อ ทะเลคือดินแดนของนาง ข้าคิดสุดท้ายแล้วนางจะต้องกลับมาเจอพวกเราในที่ไหนซักแห่งแน่นอน”
การล่องเรือไปบนทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล สภาพจิตใจที่มองโลกในแง่ดีนั้นคือสิ่งสำคัญ เมื่อเทียบกับความกังวลที่ไร้ประโยชน์แล้ว การกระตุ้นจิตใจให้มุ่งไปหาเป้าหมายข้างหน้าต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะทำ มาร์จอรีย่อมต้องรู้ในจุดนี้ดี
“เออใช่ ข้ามาหาเจ้าเพราะว่าการประชุมการเดินเรือกำลังจะเริ่มแล้ว” หลังทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ธันเดอร์ก็หันหน้ามาส่งสัญญาณบอกให้เธอตามเขาไป “กัปตันเรือลำอื่นๆ มากันครบแล้ว พวกเรากลับไปเข้าไปในตัวเรือกันเถอะ”
“อื้อ ข้ารู้แล้ว”
การประชุมการเดินเรือก็คือการที่กัปตันเรือทุกคนจะมารวมตัวกันที่เรือสโนวบรีซเพื่อรายงานและพูดคุยกันเรื่องส้นทางเดินเรือหลังจากนี้ สภาพของเรือและทรัพยากรที่เหลืออยู่ ปกติแล้วการประชุมจะจัดขึ้นทุกๆ 3 – 4 วัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ขบวนในขณะที่ทั้งสองคนเพิ่งหมุนตัวเดินกลับเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว ผิวน้ำทะเลสีน้ำเงินพลันมีเงาสีแดงแปลกๆ สะท้อนขึ้นมา
ลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าเรือต่างพากันตกตะลึง สายตาทุกคนมองไปทางเดียวกัน เหมือนว่าพวกเขามองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าตกตะลึง
และตรงที่ๆ ไกลออกไป ก็มีลูกเรือหลายคนบนเรือใบสามเสาตกลงมาจากเสากระโดงเรือ เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนกับตอนที่ข้ามเส้นทะเลไม่มีผิด นี่ทำให้มาร์จอรีรู้สึกตกใจอย่างมาก
ไหนบอกว่า…เปลี่ยนเอาคนที่กล้าที่สุดมาแล้วไง?
วาณิชหญิงคอยๆ หันหน้ากลับไปช้าๆ แต่เธอก็ต้องรู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายจับตัวแข็งขึ้นมาทันที
เธอเห็นบนทองฟ้าสีน้ำเงินที่ปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆมีวัตถุขนาดใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นมา โครงร่างของมันเป็นวงกลม ทุกส่วนของมันเป็นสีแดงสด เทียบกับพระอาทิตย์แล้วมันมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า และก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ ที่ตรงนั้นมันยังไม่มีอะไรเลย!
“พระเจ้า…คุ้มครองลูกด้วย” เธอบ่นพึมพำขึ้นมา “นี่คือพระจันทร์สีแดง…ที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?”
แต่มาร์จอรีไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา ภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงและน่ากลัวนี้ แม้แต่ธันเดอร์เองก็ยังพูดไม่ออก
“อูวววว……อูวววววว……”
ทันใดนั้นเอง เรือสโนว์บรีสพลันเปิดหวูดขึ้นมา
เสียงหวูดที่เล็กแหลมทำลายความเงียบลง ทำให้ทุกคนพลันได้สติกลับคืนมา
เสียงหวูดยาวๆ หมายความว่ามีศัตรูเข้ามาใกล้!
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะวิ่งไปทางสะพานเรือพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น!” ธันเดอร์ตะโกนเสียงดังทันทีที่เข้ามาในห้องบัญชาการ
“มะ…มี….เรือ” ผู้ช่วยกัปตันพูดติดๆ ขัดๆ “ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้…กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเรา…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ธันเดอร์คว้าเอากล้องส่องทางไกลที่อยู่ในมือเขามา ก่อนจะมองไปทางทิศทางที่เขาบอก
มาร์จอรีเองก็ตกใจอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาออกมาจากทะเลชาโดว์เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลแล้ว อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่นกก็แทบจะไม่เคยเจอ แล้วจะไปมีเรือได้ยังไง?
เพราะว่าที่นี่เป็นทะเลแห่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาก่อน!
เธอขอกล้องส่องทางไกลมาจากผู้ช่วยกัปตันอีกคนหนึ่ง ก่อนจะมองตามสายตาธันเดอร์ออกไป
“พระเจ้า…”
วาณิชหญิงสูดปากด้วยความตกใจ เธอเห็นบนผิวน้ำทะเลมีเงาสองกลุ่มกำลังลอยอยู่เหนือน้ำทะเล พวกมันไม่มีใบเรือเหมือนกัน แต่กลับล่องไปบนคลื่นทะเลได้ แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจที่สุด น้ำทะเลรอบๆ เรือนั้นคล้ายว่ากำลังเดือดพล่านอยู่ เหมือนว่ามีฝูงปลาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังว่ายตามพวกมันเข้ามา
แต่ไม่นานเธอก็พบว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ฝูงปลาอย่างที่เธอคิด หากแต่เป็นสิ่งที่นักสำรวจกับเหล่าพ่อค้าที่เดินเรือไม่อยากจะเจอมากที่สุด
ปีศาจทะเล
ครีบปลาที่อยู่ด้านหลังของพวกมันจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นบางครั้งบางครั้ง เมื่ออยู่ภายใต้พระจันทร์สีแดง น้ำทะเลที่สาดกระเซ็นขึ้นมาสะท้อนแสงแปลกๆ นี่ทำให้มาร์จอรีนึกถึงภาพปลาฉลามที่กำลังแย่งอาหารกัน
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้เรือทุกลำปรับหางเสือเต็มกำลัง!” ธันเดอร์คำราม “กางใบเรือ เร่งความเร็วเต็มที่! คนที่เหลือเตรียมสู้!”
“ขอรับ!”
“พวกเรามีปัญหาแล้ว…” กัปตันเรือทูน่ากลืนน้ำลาย
“ขอพระเจ้าได้โปรดคุ้มครองเราด้วย” กัปตันเรือคนอื่นๆ พากันสวดภาวนาขึ้นมา
ชาวฟยอร์ดทุกคนต่างรู้กันดีกว่า นอกจากเรือที่มีขนาดเบาหรือเรือที่แล่นไปด้วยความเร็วลมเต็มกำลังแล้ว เรือเดินทะเลปกติทั่วไปไม่ได้มีทางแล่นไปได้เร็วกว่าปีศาจทะเลเลย นี่หมายความว่าช้าเร็วศัตรูก็จะต้องตามพวกเขามาทันอย่างแน่นอน
แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงไปมากกว่านั้น
เมื่อระยะห่างร่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดมาร์จอรีก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกลุ่มเงาสองก้อนนั้น ครึ่งล่างพวกมันเป็นเหมือนเรือ ส่วนครึ่งบนนั้นเป็นเหมือนก้อนเนื้อกองหนึ่ง เหมือนว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่ปลอกเอาเปลือกออกแล้วเหลือแค่เครื่องในกับโครงกระดูกเท่านั้น ปกติมีแต่ตอนที่อยู่ในฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดเท่านั้นถึงจะเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ ในตอนที่โครงกระดูกที่ห่อหุ้มตัวเรือครึ่งบนกางออก พวกมันก็เริ่มยิงวัตถุสีเขียวอมดำบางอย่างมากทางกองเรือ ทั้งๆ ที่ทั้งสองยังอยู่ห่างกันตั้งหลายกิโลเมตร!
วัตถุสีดำเขียวตกลงไปในน้ำทะล เสาน้ำขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจนทุกคนตกใจกลัว ถึงแม้จะยังไม่มีเรือลำไหนถูกยิง แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะลองดูแน่ว่ามันคืออะไร
ธันเดอร์สีหน้าคร่ำเคร่ง เขาสั่งการออกไปอีกครั้ง “ทิ้งอาหารและของที่ใช้ในการสำรวจ เหลือน้ำจืดไว้แค่ครึ่งหนึ่ง…ไม่ แค่ 30% ก็พอ! แล้วรีบเร่งความเร็วเต็มกำลัง!”
มาร์จอรีตกตะลึง “แบบนี้พวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปยังน่านน้ำที่ไกลกว่านี้ได้น่ะสิ”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังเหลือน้ำจืดแค่นี้ เกรงว่าแค่ล่องเรือกลับเพียงอย่างเดียวก็ยัง…” รองกัปตันทำสีหน้ายากลำบากขึ้นมา
“อาหารยังตกเอาปลาจากในทะเลมากินได้ น้ำก็ยังรอฝนตกลงมาได้” ธันเดอร์สูดปาก “แต่ถ้าเราหนีเจ้าปีศาจทะเลพวกนั้นไม่พ้น แม้แต่โอกาสที่จะวัดดวงก็คงจะไม่เหลือ….การสำรวจจบลงแล้ว ตอนนี้เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือ…เราต้องรอดกลับไป!”
…………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น