Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1210-1212
ตอนที่ 1210 รถลูกบาศก์เวทมนตร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ห้องทดลองใต้ดินของเมืองชายแดนที่สาม
หลังอ่านรายงานเสร็จ โรแลนด์ก็รีบพาอันนาเดินทางมาที่นี่ทันที เมื่อมองผ่านกระจกนิรภัยหนาๆ เขามองเห็นตรงกลางห้องทดลองที่ถูกบุด้วยแผ่นตะกั่วมีลูกบาศก์เวทมนตร์สองลูกกำลังอยู่ในสภาพเปิดใช้งานอยู่ หนึ่งลูกในนั้นดูแล้วปกติทุกอย่าง แต่แสงสีแดงที่ปล่อยออกมาจากลูกบาศก์อีกลูกกลับสั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกบาศก์เวทมนตร์ที่ปล่อยแสงสีแดงสั้นๆ ออกมา…คือลูกบาศก์ที่สร้างออกมาใหม่ล่าสุดเหรอ?” อันนาถาม
‘ถูกต้องเพคะ ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดล้วนๆ เลยเพคะ’ เซลีนตอบอย่างตื่นเต้น ‘ปกติแล้วลวดลายที่อยู่ข้างในลูกบาศเวทมนตร์จะถูกแกะสลักขึ้นมาโดยสลิมริสก์ ถ้าวัตถุดิบที่ใช้สร้างมีความเสียดาย มันก็จะทำให้เกิดความเสียหายในตอนที่แกะสลักได้ง่าย ปกติแล้ว ‘ก้อนหิน’ ที่ผิดปกติเหล่านี้มักจะถูกโยนทิ้งไป แต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนตอนที่สลิมริสก์กำลังแกะสลักชิ้นส่วนหมายเลข 236 อยู่ นางแกะไปจนจะเสร็จแล้วถึงได้มีปัญหาเกิดขึ้นมา ตรงกลางของชิ้นหินมีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ทำให้ชิ้นส่วนนี้มีตำหนิ’
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำลูกบาศก์เวทมนตร์ล้วนแต่มาจากดินแดนทางใต้สุด เมื่อวิเคราะห์ดูจากภาพวาดบนผนังแล้ว ซากโบราณวัตถุเหล่านี้อย่างน้อยก็หลับใหลอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว เมื่อถูกลมถูกฝนกัดกร่อยมานานขนาดนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีความเสียหาย โรแลนด์เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ “แต่เจ้าก็ไม่ได้โยนชิ้นส่วนหมายเลข 236 ทิ้ง?”
เซลีนพยักหนวดหลัก ‘ตอนนั้นหม่อมฉันรู้สึกเสียดายแปลกๆ เพราะว่าโดยรวมแล้วมันถือว่าสมบูรณ์ดี ไม่แน่มันอาจจะยังใช้ได้ก็ได้ หม่อมฉันก็เลยเอาชิ้นส่วนหมายเลข 236 ไปเปลี่ยนกับชิ้นส่วนตำแหน่งเดียวบนบนลูกบาศก์ที่ทำเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อดูว่ามันจะยังใช้งานได้ปกติหรือไม่’
เฮ้ๆ นี่มันอาวุธนิวเคลียร์เลยนะ โรแลนด์แอบรู้สึกเหงื่อตก
‘วางพระทัยได้เพคะฝ่าบาท’ เซลีนเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา เธอยกส่วนหัวที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อขึ้นมา ‘หม่อมฉันไปทำการทดสอบที่ลานทดสอบอาวุธในเทือกเขาสิ้นวิถีเพคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็จะไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ นี่คือกฎที่สมาชิกของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต่างต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้หม่อมฉันจะโชคร้ายไม่รอดชีวิตกลับมา พระองค์ก็ทรงไม่ต้องเสียพระทัยไปเพคะ เพื่อค้นหาความจริงแล้ว หม่อมฉันได้เตรียมตัว….’
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดยืดยาวไม่หยุด ความรู้สึกกังวลใจที่เกิดขึ้นภายในใจโรแลนด์ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว “เข้าเรื่องเลยเถอะ!”
‘แค่กๆ…ขออภัยที่เสียมารยาทเพคะ’ เซลีนกระแอมเล็กน้อย ‘สรุปแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรอยู่นี่แหละเพคะ ลูกบาศก์เวทมนตร์ยังคงถูกกระตุ้นได้ตามปกติ แต่ลำแสงสีแดงที่ปล่อยออกมากลับหดสั้นลงไม่ถึงหนึ่งในสิบของของเดิม แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการให้พลังงานความร้อนของเมจิกคิวบ์พาวเวอร์สามสูบเลยเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำการทดสอบให้ความร้อนดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าลำแสงสีแดงที่หดสั้นลงจะทำให้ประสิทธิภาพในการให้ความร้อนเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การทดสอบอันนี้กินเวลาอยู่ 2 – 3 วัน จนกระทั่งในตอนที่หม่อมฉันตรวจสอบดูแผ่นยูเรเนียม หม่อมฉันถึงได้พบว่ามันแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แม้แต่การใช้พลังเวทมนตร์ก็ลดลงไปไม่น้อยเพคะ’
อันนานิ่งเงียบไปครู่ “หรือว่า…ลูกบาศก์เวทมนตร์ใช้ยูเรเนียมส่วนใหญ่ไปกับการคงสภาพลำแสงสีแดง?”
‘สมแล้วที่เป็นผู้ตื่นรู้ระดับสูงที่อายุน้อยกว่าอกาธา’ เซลีนชื่นชม ‘หลังจากคิดอยู่นาน หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าบอกว่าลำแสงนั้นเกิดจากลูกกลมเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกันขึ้นมา อย่างนั้นถ้าอยากจะทำให้พวกมันพุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกันนั้นต้องไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังแสดงให้เห็นด้วยว่าขอเพียงไม่ไปกระทบถูกแสงสีแดง การให้ความร้อนทั้งด้านหน้าและด้านข้างของมันก็จะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อดูแบบนี้แล้ว การอดสั้นลงของลำแสงนั้นเหมือนเป็นการช่วยลูกบาศก์เวทมนตร์ทำงานน้อยลงเพคะ’
“เดี๋ยวๆ” จู่ๆ โรแลนด์ก็พูดขึ้นมา “นี่ก็หมายความว่าชิ้นส่วนหมายเลข 236 ที่มีตำหนิเป็นตัวกำหนดระยะทางในการปล่อยรังสีของลูกบาศก์เวทมนตร์งั้นเหรอ?”
นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างมากที่เดียว เผลอๆ อาจจะมีความสำคัญมากกว่าการแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการใช้งานของแผ่นยูเรเนียมเสียอีก! ลูกบาศก์เวทมนตร์หนึ่งลูกมีชิ้นส่วนทั้งหมด 300 กว่าชิ้น ก้อนหินที่มีรูปร่างและลวดลายที่แตกต่างกันเหล่านี้ประกอบเข้าในด้วยเหมือนอย่างตัวต่อเด็กเล่น ไม่มีใครรู้ว่าลูกบาศก์เวทมนตร์นี้มันทำงานได้อย่างไร แต่ตอนนี้ ปัญหานี้เหมือนจะมีทางแก้ไขแล้ว
‘จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้เพคะ’ น้ำเสียงเซลีนแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ‘ไม่แน่ลวดลายบนชิ้นส่วนแต่ละชิ้นอาจจะมีประโยชน์ที่ต่างกันก็ได้เพคะ ถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าลวดลายพวกนั้นมันหมายความว่าอย่างไร บางทีพวกเราอาจจะเข้าใจหลักการทำงานของลูกบาศก์เวทมนตร์ก็ได้ว่ามันทำงานยังไงเพคะ’
“ชิ้นส่วนหนึ่งชิ้นรับผิดชอบความสามารถหนึ่งความสามารถ แค่ด้านนี้ด้านเดียวก็จะเห็นได้วิธีคิดของเผ่ากัมมันตรังสีนั้นคล้ายกับพวกเราอย่างมากทีเดียว” อันนี้ยิ้มออกมา “นี่ถือเป็นโชคดีของมนุษย์หรือเปล่าเพคะ?”
“แน่นอน” โรแลนด์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล เขาย่อมต้องรู้ว่าอันนาหมายความว่าอย่างไร อารยธรรมที่แตกต่างกันนั้นมีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก ไม่ใช่แค่รูปร่าง ภาษาเท่านั้น เพียงแค่ความคิดก็เรียกได้ว่าต่างกันอย่างมาก ถ้าอยากจะหาอะไรซักอย่างที่เข้าใจตรงกันได้ ความเป็นไปได้นั้นก็เรียกได้ว่าน้อยอย่างมาก อารยธรรมใต้ดินนั้นคือตัวอย่างที่ดี ถึงแม้แกนเวทมนตร์ของพวกมันจะเป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมพลังเวทมนตร์เหมือนกับลูกบาศก์ แต่ก็กลายเป็นร่างต้นแบบเสียก่อนถึงจะใช้งานมันได้ เซลีนวิจัยมันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจเข้าใจหลักการทำงานของมัน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเห็นได้ถึงระดับความยากของมันแล้ว
ในอีกแง่หนึ่ง อารยธรรมนั้นคือความโดดเดี่ยว
ถึงแม้ตอนที่เขาปลอบใจทุกคนก่อนหน้านี้เขาจะพูดเอาไว้ว่าต่อให้ไม่พึ่งพาการสืบทอดของมรดกของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถเรียนรู้ความรู้ของอารยธรรมที่หายสาบสูญเหล่านั้นได้เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ง่ายๆ เลย โดยเฉพาะในตอนที่ไม่มีใครคอยชี้นำ ในตอนทีวิธีการคิดไม่เหมือนกัน แล้วจะไปเรียนรู้ผลงานของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ถ้าสมมติฐานของเซลีนถูกต้อง อย่างนั้นมันอาจจะทำให้พวกเขามีหนทางใหม่ในการวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์ก็เป็นได้
“เออใช่” จู่ๆ อันนาก็หันหน้ายิ้มให้โรแลนด์ “ในเมื่อตอนนี้ลูกบาศก์เวทมนตร์ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แล้วเราก็แก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการใช้งานได้แล้ว อย่างนี้ก็ถึงเวลาที่พระองค์จะมอบรางวัลให้หม่อมฉันตามที่สัญญาเอาไว้แล้วสินะเพคะ”
โรแลนด์มองดูดวงตาสีน้ำเงินที่ใสเหมือนทะเลสาบคู่นั้น ก่อนจะพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดปฏิเสธได้เลย
“ได้ๆๆ…ราชินีของข้า” ข้าหัวเราะขึ้นมา “เดี๋ยวกลับไปข้าจะทำให้เจ้า”
…..
“แถ่ดๆๆ…บรึม….”
เสียงที่ดังมาจากนอกหน้าต่างปลุกโซโรยาให้ตื่นขึ้นมา เธอลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง
“หาวว…” เธอหาวอย่างงัวเงีย ก่อนจะเอื้อมมือไปคลำหาเสื้อของตัวเองที่ปลายเตียง เธอคุ้นเคยกับเสียงๆ นี้มาก มันเป็นเสียงร้องของเครื่องจักรไอน้ำในตอนที่เริ่มทำงาน ในตอนที่มันดังขึ้นมา นั่นก็หมายความงานของวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
แต่ว่านี่มันเช้าจังเลย เธอมองไปยังเอคโค่ที่ยังนอนหลับอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง เดินจะค่อยๆ เดินไปหยิบเอาเสื้อคลุมมาคลุม มีคนทำงานเช้ากว่าตนอีกเหรอเนี่ย แถมยังทำใน….
เดี๋ยวก่อน โซโรย่าตกตะลึง ที่นี่ไม่ใช่เขตโรงงาน แล้วทำไมถึงมีเสียงเครื่องจักรไอน้ำได้? เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว วันนี้น่าจะเป็นวันหยุดพักผ่อนนี่นา แม่มดส่วนใหญ่ก็มักจะกลับจนถึงเที่ยง จะไม่ถึงเวลาอาหาร ในปราสาทก็มักจะเงียบจนเหมือนไม่มีใครอยู่ หรือว่าเมื่อกี้ตัวเองจะฝันไป?
“แถ่ดๆๆๆ…บรึมๆๆๆ…” แต่ด้านนอกหน้าต่างก็มีเสียงเครื่องจักรไอน้ำดังขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะคิดคักดังขึ้นมาด้วย
“เจ้านี่มันสนุกจริงๆ เลย!”
“ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันลองมั่งสิเพคะ!”
“หม่อมฉันด้วยๆ!”
“เอ่อ…มีอะไรกันเหรอ?” เอคโค่ก็นั่งขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
“ไม่รู้สิ พวกลูน่าคงจะเล่นอะไรอีกแล้วล่ะมั้ง…” โซโรยาบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างออก แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องทันทีจนทั้งห้องนอนสว่างขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลอยขึ้นไปสูงแล้ว
กระทั่งดวงตาปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ได้แล้ว เธอก็มองลงไปด้านล่างก่อนจะตกตะลึงไปทันที
เธอเห็นตรงประตูทางเข้าปราสาทมีพี่น้องของสโมสรแม่มดยืนออกันอยู่เต็มไปหมด สายตาทุกคนจับจ้องไปตรงกลางสวน บนใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
เมื่อมองตามสายตาของพวกเธอไป โซโรยาก็เห็นอันนากำลังนั่งอยู่บนรถสี่ล้อรูปทรงแปลกๆ คันหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีม้าคอยลาก แต่มันก็ยังวิ่งไปรอบสวนได้อย่างรวดเร็ว ส่วนรอยยิ้มของอันนาที่อยู่บนรถนั้นก็สดใสอย่างมาก เผลอๆ จะสดใสยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก
ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเธอเอาไว้ทันที
………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1211 รถหุ้มเกราะทางการเกษตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทอันนาทรงขับอยู่…มันคืออะไรหรือเพคะ?”
โรแลนด์หันหน้ากลับมา ก่อนจะมองเห็นเอ็คโคกับโซโรยาวิ่งออกมาจากปราสาท
“นั่นคือรถยนต์! รถยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์!” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ลูน่าพลันแย่งตอบออกมา “ถ้าอยากจะลองขับก็ต้องต่อหลังข้า ห้ามแซงแถวล่ะ!”
“รถ…ยนต์เหรอ?” โซโรยาพูดทวนคำศัพท์ใหม่นี้ออกมาอีกรอบ “รถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำเหรอ?”
“อื้อ แต่ว่าส่วนที่เป็นเตาหลอมถูกแทนที่ด้วยวัตถุโบราณจากเผ่ากัมมันตรังสี มันถึงได้เล็กได้ขนาดนี้” ลูน่าบอกเล่าข้อมูลที่ตัวเองไปถามมา “แต่ข้าเทียบกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วล่ะก็ พวกมันยังถือว่าใหญ่ไปหน่อย ถ้าใช้รุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งมาขับเคลื่อนล่ะก็ รถยนต์คงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้…ไม่ใช่สิ ถึงตอนนั้นต้องเรียกว่ารถแม่เหล็กแล้ว!”
“ปกติใครนะที่แค่ใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในแม่เหล็กไม่กี่สิบเส้นก็บ่นว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว?” ลิลลี่เบะปากพูด “แล้วตอนนี้อยากจะมาทำรถยนต์ด้วยงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…” ลูน่าพูดเสียงเบา “ข้า ข้าเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะไม่นาน ตอนนี้พลังเวทมนตร์ยังไม่พอไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะเป็นแบบนี้นี่นา ไม่แน่ตอนตื่นรู้ครั้งหน้าข้าอาจจะทำรุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งกองใหญ่ได้สบายๆ ก็ได้”
“แทนที่จะฝากความหวังเอาไว้การวิวัฒนาการของเจ้า สู้ฝากความหวังไว้ที่การเสกของดอร์ริสดีกว่าอีก” ลิลลี่พูดยักไหล่
“ถ้าเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะแอบกินเครื่องดื่มยุ่งเหยิงของเจ้า!”
“เจ้ากล้าเหรอ…”
“ฮ่าๆๆ…” ฟิลลิสเอามือปิดปากพร้อมหัวเราะเบาๆ “ความจริงไม่ว่าจะขับเคลื่อนด้วยไอน้ำหรือว่าไฟฟ้ามันก็เรียกว่ารถยนต์เหมือนกันนั่นแหละ”
“เอ๋? จริงเหรอ?” สายตาของทุกคนมองมาที่นาง
“อื้อ ในโลกแห่งความฝันเรียกมันแบบนี้” คำพูดของฟิลลิสมีความรู้สึกภูมิใจที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ “เมื่อเทียบกับรถที่ฝ่าบาททรงขับอยู่คันนี้ รถยนต์ในนั้นสมบูรณ์แบบกว่ามาก มันกันลมกันฝนได้ หน้าหนาวก็มีเครื่องทำความร้อน หน้าร้อนก็มีเครื่องทำความเย็น เรียกได้ว่าเป็นบ้านเคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ อีกทั้งมันยังเร็วอย่างมากด้วย ต่อให้เป็นม้าที่ดีที่สุดก็ไม่อาจเทียบได้”
“เจ้า…เคยขับเหรอ?” ดวงตาอิจฉาของลูน่าเบิ่งโตขึ้นมา
“แน่นอน” ฟิลลิสพูดอย่างลุ่มหลง “ข้าเคยขับรถของฝ่าบาทไปบนถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ในตอนที่ความเร็วแตะจุดสูงสุด เสียงคำรามของลมก็แทบจะกลบทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวรถสั่นขึ้นมา เหมือนเจ้ากำลังฝ่าคลื่นลมอยู่อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกแบบนั้นมันช่างสุดยอดจริงๆ!”
ความจริงแล้วนั่นเป็นเพราะความสามารถในการกันเสียงของรถมันแย่อย่างมาก บวกกับที่ด้านหลังมีการต่อรถลากเอาไว้ด้วย พอขับด้วยความเร็วสูงก็เลยรู้สึกเหมือนว่ามันจะหลุดออกจากกัน โรแลนด์ถึงกับกุมขมับขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่านั่นเป็นเพียงรถตู้เก่าๆ แต่เธอกลับพูดซะเหมือนกำลังขับรถหรูอย่างไรอย่างนั้น
แต่จะว่าไป ต่อให้เป็นรถเล็กๆ ที่ถูกแค่ไหนมันก็ยังดีกว่ารถลูกบาศก์เวทมนตร์นี่มาก
นับตั้งแต่การประกอบจนกระทั่งออกมาเป็นรูปเป็นร่าง รถคันนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น มันวางเครื่องจักรไอน้ำไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็วางกล่องต้มน้ำเอาไว้ ระบบขับเคลื่อนถูกวางเอาไว้บนรถคันนี้อย่างง่ายๆ ส่วนตรงกลางก็มีโซฟาอยู่ตัวหนึ่ง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย มันไม่มีกล่องเกียร์เหมือนรถทั่วๆ ไป แม้แต่คันเร่งก็ไม่มี นอกจากพวงมาลัย คลัทช์กับเบรกแล้ว อุปกรณ์ควบคุมความเร็วของมันนั้นมีแค่วาล์วที่อยู่ข้างๆ คนขับเท่านั้น
ในตอนที่ลูกบาศก์เวทมนตร์ทำให้อุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้นสูงจนพอที่จะขับเคลื่อนเครื่องจักรไอน้ำแล้ว รถยนต์ก็จะเคลื่อนที่ออกไปได้ และเมื่อความดันไอน้ำภายในท่อค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในเวลานี้ต้องเลือกระดับในการเปิดปิดวาล์ว ไอน้ำส่วนหนึ่งก็จะถูกระบายออกไปทางท่อด้านหลัง ทำให้เครื่องจักรไอน้ำไม่หมุนเร็วจนเกินไป ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการควบคุมความเร็วของรถ
พูดอีกอย่างก็คือถ้าอยากจะลดความเร็วก็ต้องเหยียบเบรกกับคลัทช์ แต่ถ้าอยากจะเพิ่มความเร็วก็มีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือปล่อยเบรกเพื่อให้มันค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นมา ขณะเดียวกันเมื่อมีแรงดันอากาศสูง ฟันเฟืองที่หมุนด้วยความเร็วอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นทันทีที่รถหยุดวิ่งก็จำเป็นต้องเปิดวาล์วเพื่อลดแรงดัน แล้วให้ค่อยเร่งความเร็วขึ้นมาจากความเร็วต่ำๆ
ด้วยระบบการขับเคลื่อนที่เชื่องช้าขนาดนี้ บวกกับโครงรถที่ไม่มีตัวซัพแรกกระแทกกับพวกมาลัยที่ต้องอาศัยมือเพียงอย่างเดียวในการหมุน ความรู้สึกใจการขับรถคันนี้เป็นอย่างไรก็คงจะรู้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อันนาก็ยังขับมันอย่างมีความสุข เหมือนกับเด็กที่ได้ของขวัญที่ถูกใจ เธอขับรถวนรอบสวนรอบแล้วรอบแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
ไม่ใช่แค่อันนาเท่านั้น แม่มดคนอื่นๆ ที่ได้ข่าวต่างก็รู้สึกสนใจรถคันนี้อย่างมาก เสียงอุทานตกใจและเสียงพูดคุยดังขึ้นไม่หยุด เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานกลับมาอยู่บนใบหน้าทุกคนอีกครั้งหลังจากจบศึกที่ทาคิลา
สิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกเสียใจก็คือทิลลีไม่ได้อยู่ตรงนี้
ได้ยินไนติงเกลบอกว่าช่วงนี้เธอทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการฝึกซ้อมอัศวินอากาศ จำนวนครั้งที่เธอมายังปราสาทก็น้อยลงไปมาก สำหรับเธอแล้ว ถ้ายังกำจัดปีศาจให้หมดสิ้นไปไม่ได้ เธอก็คงไม่มีหลุดพ้นจากความทุกข์ตรงนี้
ในตอนที่อันนาหยุดรถแล้วถามว่า ‘ใครอยากจะลองบ้าง’ เหล่าแม่มดก็แห่ไปล้อมเธอเอาไว้ทันที
สุดท้ายซิลเวียที่สังเกตเห็นรถยนต์ลูกบาศก์ไฟฟ้าก่อนก็ได้ลองขับเป็นคนแรก และกลายเป็นคนที่สองที่ได้ขับมันต่อจากอันนา
“เป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์หันไปถามอันนาที่อยู่ข้างกาย
“สนุกกว่าที่หม่อมฉันคิดเอาไว้เสียอีกเพคะ” เธอยิ้มๆ “ขอบพระทัยพระองค์มากนะเพคะที่สอนหม่อมฉันขับมัน”
คำตอบที่จริงจังแบบนี้กับรอยยิ้มที่เปล่งประกายทำเอาโรแลนด์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเขินๆ มันเหมือนกับว่าเขาได้กลับไปตอนที่ได้รู้จักเธอใหม่ๆ อย่างไรอย่างนั้น “อืม…เจ้ามีความสุขก็ดี”
“ใช่แล้วเพคะ” อันนากะพริบตา “ถ้าเซลีนสามารถหาวิธีที่สร้างลูกบาศก์เวทมนตร์ที่มีความเสถียรได้ มันน่าจะเอาไปใช้ในสงครามแห่งโชคชะตาได้ใช่ไหมเพคะ?”
“ตามหลักแล้วเป็นแบบนั้น” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะดึงเอาความคิดกลับมา “เมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ แล้ว ขอเพียงคอยดูแลเรื่องน้ำเอาไว้ เครื่องจักรที่ขับเครื่องด้วยเครื่องจักรไอน้ำลูกบาศก์เวทมนตร์ก็จะสามารถทำงานไปได้ตลอด สงครามยิ่งยืดเยื้อ ขอได้เปรียบของมันก็จะยิ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน”
“อย่างเช่นอาวุธสงครามที่มีเกราะทั้งตัว แล้วบนหัวก็มีปืนใหญ่ป้อมนั่นน่ะเหรอเพคะ?” ฟิลลิสพูดแทรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ถ้าพระองค์สามารถสร้างมันออกมาได้ ต่อให้เจอกับปีศาจแมงมุมในระยะใกล้ๆ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรมันแล้วเพคะ”
ถูกต้อง ขอเพียงมีแรงขับเคลื่อนเพียงพอ กองทัพยานเกราะของเขาก็จะกลายเป็นจริง โดยเฉพาะรถถังที่สามารถป้องกันและโจมตี อีกทั้งยังมีพลังโจมตีที่รุนแรงอย่างมากจะยิ่งกลายเป็นพระเอกของสงครามครั้งนี้ ต่อให้เป็นรถถังเวอร์ชั่นแรกที่เพิ่งถือกำเนิดออกมาก็แข็งแกร่งพอที่จะบุกตะลุยโจมตีอสูรยักษ์แมงมุมที่ยิงเข็มหินออกมาได้ จากนั้นก็เปิดทางให้ทหารที่อยู่ด้านหลังได้บุกตะลุยขึ้นมา
แต่ขณะเดียวกัน การจะสร้างอาวุธชนิดนี้ออกมาจำเป็นต้องมีการศึกษา ไม่ใช่แค่เพียงทางเทคนิคกับทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ตัวคนงานเองก็จำเป็นต้องมีความรู้เช่นเดียวกัน อันนาไม่มีทางที่จะแบ่งร่างมาดูเรื่องการผลิตเครื่องบินกับรถถังพร้อมกันได้ ทำให้เป็นไปได้ยากที่จะสร้างรถถังขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ สรุปแล้วก็คือด้วยระดับทรัพยากรและเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างจำกัด งานในส่วนนี้จึงจำเป็นต้องให้คนงานของเนเวอร์วินเทอร์ค่อยๆ เรียนรู้มันไป
ด้วยเหตุนี้โปรเจคแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของโรแลนด์จึงไม่ใช่รถถังหรือว่ายานเกราะ หากแต่เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ให้ประชาชนได้ใช้
มันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกของเกษตรกร แล้วก็ทำให้อาณาจักรประหยัดแรงงานไปได้มาก นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มันใช้ก็เหมือนกับรถหุ้มเกราะ ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตคนที่มีความสามารถทางด้านนี้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในเวลาที่จำเป็น สายการผลิตอื่นๆ ก็สามารถเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในสายการผลิตอาวุธหุ้มเกราะได้ทันที
สิ่งนั้นก็คือ รถแทรกเตอร์
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1212 ‘เรนโบว์สโตน’
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อ๊าาาาาา! ช่วยด้วย ข้าเลี้ยวไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยข้าลงไปที!”
ในขณะที่โรแลนด์กำลังครุ่นคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากพลังของลูกบาศก์เวทมนตร์อย่างไรดี ภายในสวนพลันมีเสียงกรีดร้องขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นรถลูกบาศก์เวทมนตร์ไม่ได้วิ่งอ้อมสวนเหมือนอย่างทุกที หากแต่พุ่งตรงเข้าไปในสวนดอกไม้ คนที่นั่งอยู่บนรถก็คือลูน่าที่ขึ้นรถต่อจากซิลเวีย
“เจ้า เจ้าโง่!” ลิลลีกัดฟัน “รีบเหยียบเบรกสิ!”
“ข้าเหยียบแล้ว…แต่มันเหยียบไม่ลงอาาาาา!” ลูน่าส่งเสียงร้องอย่างลนลาน
รถจักรไอน้ำที่สูญเสียการควบคุมวิ่งส่ายไปส่ายมาอยู่ในสวนดอกไม้ ก่อนจะพุ่งทะลุสวนดอกไม้ตรงมายังประตูทางเข้าปราสาท
“ฝ่าบาท ระวังเพคะ!” เวนดี้หน้าเปลี่ยนสี
แม่มดแตกตื่นขึ้นมาทันที
เวรแล้ว โรแลนด์มองดูลูน่าที่หลับตานั่งกอดพวงมาลัยอย่างตกใจ รถที่ไม่มีคันเร่งขับแบบนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย?
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือแม่มดที่อยู่รอบๆ ไม่มีใครวิ่งหนีไปแม้แต่คนเดียว หากแต่มายืนรวมตัวกันอยู่หน้าเขา พริบตาความสามารถต่างๆ ก็ถูกใช้ออกมา ทั้งกำแพงไฟสีดำของอันนา ทั้งร่องดินของโลตัสก็กลายเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างเขากับสวนดอกไม้ กรงเวทมนตร์ของอีฟลีนกับธนูแห่งแสงของแอนเดรียต่างก็เล็งไปที่ล้อ ส่วนไนติงเกลก็คว้าจับข้อมือเขาไว้เพื่อเตรียมจะหนีเข้าไปในหมอกมายาได้ทุกเมื่อ
แต่คนที่หยุดอุบัติเหตุครั้งนี้ก็คือฟิลลิสกับโลก้าที่อาศัยพละกำลังล้วนๆ
พวกเธอไปยืนขวางอยู่ข้างหน้าทุกคนทันที ก่อนจะคว้าจับแท่งกันชนของรถเอาไว้แล้วยกรถให้ลอยจากพื้น
อันนาใช้ไฟสีดำปิดการทำงานของลูกบาศก์เวทมนตร์
เครื่องจักรไอน้ำที่สูญเสียแรงดันหยุดทำงานทันที
“อ๊าาาาาา ทุกคนวิ่งเร็ว!” ลูน่ายังคงเกาะพวกมาลัยเอาไว้แน่นและส่งเสียงตะโกนออกมาดังลั่น
“เจ้านี่มัน…ซื้อบื้อ…จริงๆ เลย!” ลิลลี่กระโดดข้ามร่องดินแล้วปีนขึ้นไปตีหัวลูน่าอย่างแรง ลูน่ากลืนเสียงร้องลงไปทันที
ลูน่าลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเอามือกุมหัวและทำหน้าไร้เดียงสา
“ลูน่า!”
เมื่อเห็นเวนดี้กับบุ๊กเดินเข้ามาด้วยท่าทางโมโห ลูน่าถึงจะรู้ตัว “ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว…” แต่มาขอโทษตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว หัวหน้าทีมนักสืบยังไม่ทันจะได้แก้ตัว เธอก็ถูกทั้งสองคนลากตัวเข้าไปในปราสาท
“เจ้านี่ก่อเรื่องทุกครั้งเลย!”
“วันหยุดของสัปดาห์นี้ ยกเลิก!”
“คัดกฏของสโมสรแม่มดร้อยรอบ!”
“แล้วก็ทำแบบฝึกหัด 5 ชุด ทำเสร็จถึงจะกินข้าวได้!”
กระทั่งเสียงร้องของลูน่าหายไปในปราสาทแล้ว เหล่าแม่มดจึงรู้สึกหวาดกลัวแทนลูน่า — ยกเว้นก็แต่ราชินี
“หม่อมฉันลองตรวจดูรถแล้ว พวงมาลัยกับระบบเบรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร” อันนาทำการตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะกลับมาหาโรแลนด์ “ที่ลูน่าหลุดออกนอกเส้นทาง น่าจะเป็นเพราะว่า…”
“เพราะอะไร?”
“นางไม่มีแรงเพคะ” อันนาพูดอย่างเหนื่อยใจ
โรแลนด์หัวเราะออกมา เพราะไม่มีแรงหมุนพวงมาลัยจนทำให้วิ่งออกนอกทางงั้นเหรอ…ดูเหมือนก่อนที่จะติดตั้งระบบช่วยเลี้ยวกับระบบช่วยเบรกแล้ว คงต้องห้ามแม่มดแรงน้อยๆ อย่างลูน่าลองขับรถซะแล้ว
สวนที่เละเทะกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยความช่วยเหลือของอันนากับโลตัส เมื่อเห็นเหล่าแม่มดที่มองมาทางเขาอย่างกังวล โรแลนด์จึงส่ายหัวยิ้มๆ ออกมา “ถ้าพวกเจ้ายังอยากลองล่ะก็ ก็ไปขออันนาแล้วกัน ถ้านางอนุญาต ข้าก็ไม่ว่าอะไร แค่ระวังอย่าทำปราสาทเสียหายแล้วกัน อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง อย่าลืมกลับมากินข้าวกลางวันล่ะ”
“เพคะ ฝ่าบาท!”
“ให้ข้าลองก่อน!”
“เอ๋ ข้ามาก่อนนะ!”
ภายในสวนมีเสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นมาอีกครั้ง
….
“นายท่าน ถึงแล้วขอรับ”
รถม้าค่อยๆ จอดที่หน้าโรงแรม วิคเตอร์ โลธาเดินลงมาจากรถ ก่อนจะโยนเงินให้คนขับรถสองเหรียญเงินแล้วเดินเข้าโรงแรมไป
“ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านวิคเตอร์!” สาวน้อยสวมชุดสีขาวแนบเนื้อคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยเขาถือกระเป๋าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เถ้าแก่เตรียมห้องรอท่านเอาไว้ตลอดเลยเจ้าค่ะ เชิญตามข้ามาเลยเจ้าค่ะ”
ยังคงเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่บนชั้นบน ทุกอย่างในห้องยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่เขาจากไป ทั้งเครื่องหอม เหล้าองุ่นและสาวใช้ส่วนตัวของเขา ทิงเกิล
วิคเตอร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นี่แหละคือพลังของเงิน ถึงแม้จะไม่สามารถห้ามการเกิดหรือการตายได้ แต่มันกลับทำให้เวลาหยุดเดินได้
“ครั้งนี้ท่านไปนานจังเลย” ทิงเกิลเลิกผ้าม่านพร้อมกับเปิดหน้าต่างขึ้น ก่อนจะมารินชาร้อนให้เขา “เถ้าแก่คิดว่าท่านอาจจะโดนปล้นหรือไม่ก็ประสบอุบัติเหตุในทะเล แล้วก็ไม่กลับมาแล้ว ทุกวันเขาจะไปนั่งนับเงินดูว่าเงินที่ท่านทิ้งเอาไว้ให้เหลือพอจ่ายค่าห้องอีกนานเท่าไร ด้านหนึ่งเขาก็คิดอยากจะปล่อยห้องให้คนอื่นเช่าต่อ อีกด้านหนึ่งก็ไม่กล้าทำผิดกฏหมายของเนเวอร์วินเทอร์ ท่าทางที่ไม่รู้จะทำยังไงของเขาตลกมากเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้เห็นสาวใช้ที่พูดจาเจื้อยแจ้วมีชีวิตชีวา อาการเหนื่อยล้าของวิคเตอร์ก็หายไปไม่น้อย “เจ้าไม่กลัวเขาได้ยินที่เจ้าพูดหรือไง?”
ทิงเกิลแลบลิ้นออกมา “ไม่เจ้าค่ะ นอกเสียจากท่านจะแอบไปบอกเขา เออใช่แล้ว ครั้งนี่ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ ไปค้าขายมาเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ” วิคเตอร์จิบชา “ช่วงครึ่งปีมานี้ ส่วนใหญ่ข้าอยู่ที่ดินแดนทางใต้”
“เอ๋ ดินแดนทางใต้เหรอ?” ทิงเกลเอียงหัวถาม “ที่นั่นไม่ได้ผลิตอัญมณีไม่ใช่เหรอเจ้าคะ?”
“ที่ไหนๆ มันก็มีอัญมณีทั้งนั้นแหละ ขอเพียงเจ้ารู้ว่าจะไปเอามันมาอย่างไรก็พอ” เขายักไหล่ “อย่างเช่นที่ทางใต้ อัญมณีมันงอกออกมาจากบนกิ่งไม้”
“ท่านวิคเตอร์ ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้มุ่ยปาก
วิคเตอร์หัวเราะออกมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อตนแน่ ความจริงแม้แต่เขาถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่านาฝ้ายมันจะสวยกว่าอัญมณีเสียอีก เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเลี้ยงดูจากคุณหนูลีฟนั้นเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก เมื่อมันเติบโต ดอกฝ้ายที่บานออกมาทั้งใหญ่แล้วก็อ่อนนุ่ม สีของมันขาวเหมือนหิมะ เมื่อเทียบกับฝ้ายแห้งๆ ในความทรงจำของเขาแล้ว เรียกได้ว่าช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และในช่วงเวลาที่กำลังเพาะปลูกเขาก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ หากแต่กลับไปรวบรวมช่างตัดเสื้อมาจากบ้านเก่า จ้างคนมาสร้างโรงงานที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ และติดต่อคนที่รู้จักเพื่อเตรียมช่องทางการค้า กระทั่งนาฝ้ายเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เขาก็ยุ่งทันที เรื่องราวหลังจากนั้นราบรื่นกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ด้วยคุณภาพที่สูงและราคาที่ต่ำของฝ้ายชนิดใหม่นี้ทำให้มันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ตั้งแต่ผ้าห่มไปจนถึงเสื้อผ้า ยอดขายในแต่ละเมืองเรียกได้ว่าสูงลิ่ว
แน่นอนว่าวิคเตอร์ยังไม่ลืมเรื่องการแข่งขันที่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ หลังจากที่พ่อค้าคนอื่นๆ พากันซื้อเมล็ดพันธุ์ฝ้ายของลีฟจากทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์เหมือนกัน ตลาดส่วนนี้จะต้องมีการแข่งขันสูงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้นอกจากจะผลิตสินค้าคุณภาพธรรมดาแล้ว เขายังเตรียมที่จะผลิตสินค้าคุณภาพสูงเอาไว้ด้วย โดยจะเน้นไปที่เสื้อคลุมเป็นหลัก ตั้งแต่การออกแบบ เลือกใช้วัสดุไปจนถึงตัดเย็บล้วนแต่มีความพิถีพิถันประณีต อีกทั้งยังมีการปักลายสัญลักษณ์อัญมณี 5 สีเอาไว้ตรงปลายแขนเสื้อและปกเสื้อทุกตัวด้วย เพื่อที่จะทำให้สินค้าตัวเองไม่ซ้ำกับคนอื่น
เสื้อผ้าที่มีสไตล์ผู้ดีแบบนี้ได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วก็ค่อยๆ ได้รับฉายาว่า ‘เรนโบว์สโตน’
นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้ทิ้งสินค้าราคาต่ำพวกนั้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มหรือว่ากระโปรงยาวก็ล้วนแต่มีสัญลักษณ์เหมือนกัน สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือด้ายที่ใช้เย็บนั้นเป็นสีเดียว
วิคเตอร์แอบรู้สึกว่าถึงแม้ราคาของพ่อค้าคนอื่นจะต่ำกว่าเขา แต่ก็ยังคงมีคนบางกลุ่มที่เลือกซื้อเสื้อผ้าธรรมดาที่มีสัญลักษณ์เรนโบว์สโตน ก็เหมือนกับตอนที่เขาขายอัญมณีเมื่อก่อนนี้ ที่เหล่าขุนนางเลือกสินค้าที่มีการแกะสลักโดยช่างที่มีชื่อเสียง
“ครั้งนี้ท่านจะกลับมาอยู่กี่วันเจ้าคะ?” ทิลเกิลเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อ เธอยังเปลี่ยนประเด็น
“น่าจะ 3 – 4 วันมั้ง ดินแดนทางใต้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าต้องกลับไปจัดการ” วิคเตอร์ตอบ
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอเจ้าคะ?” เสียงสาวใช้เบาลง
เขาเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทันที ถ้าครั้งนี้เขาไม่เช่าห้องต่อ เธอก็ต้องไปคอยดูแลแขกคนอื่น เมื่อเทียบกับการที่คอยทำความสะอาดห้องแล้วก็ได้รับเงินเดือนแล้ว การไปให้บริการแขกคนอื่นนั้นย่อมต้องยุ่งยากกว่ามาก ความจริงแล้ววิคเตอร์ไม่ค่อยแคร์เรื่องที่เธอต้องไปดูแลแขกคนอื่นซักเท่าไร แต่ถ้าเทียบกับการต้องเปลี่ยนคนใช้แล้ว เขากลับคิดว่าการให้ทิงเกิลเป็นคนดูแลเขาต่อก็ไม่เลวเหมือนกัน
เพราะเขายังไม่เบื่อเธอ
“วางใจได้ ข้าจะทิ้งเงินเอาไว้ให้ล่วงหน้าก่อนจะที่ข้าจะกลับมายังเนเวอร์วินเทอร์อีกครั้งหนึ่ง”
“จริงหรือเจ้าคะ?” ทิงเกิลตาเป็นประกายขึ้นมา
“มันก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น” วิคเตอร์ยืนขึ้นมา ก่อนจะดีดเงิน 1 เหรียญทองให้เธอ “นี่คือค่าใช้จ่ายสำหรับการอยู่เป็นเพื่อนข้าในช่วงนี้ ตอนนี้ข้าว่าจะไปสำนักบริหารซักหน่อย เจ้านำทางข้าไปหน่อยสิ”
…………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น