Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1205-1209
ตอนที่ 1205 สัญญาณอันตราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันที่สอง ไลต์นิ่งบอกแผนการของตัวเองให้เมซี่ฟัง หลังทั้งสองคนพูดคุยตกลงกันอย่างง่ายๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไม่สำรวจพื้นที่ป่าหินอีก หากแต่จะบินตรงไปยังรอยแตกเลย
ไม่ว่าจะพบอะไรหรือไม่ หลังวาดแผนที่พื้นที่ตรงนี้เสร็จ พวกเธอก็จะกลับไปยังเทือกเขาสโนว์เพื่อรวมตัวกับแม่มดทาคิลา
ในเวลานี้พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า บริเวณเทือกเขาเต็มไปด้วยหมอกบางๆ บนทางน้ำที่ตัดกันไปมาจะเป็นเกล็ดหิมะเกาะกันเป็นแถวอยู่ นั้นคือร่องรอยของน้ำที่หลากลงมาเมื่อคืน และเมื่อบินไต่ระดับสูงขึ้นไป ภาพหิมะสีขาวก็ยิ่งเยอะเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งภาพที่อยู่ตรงหน้าคือหิมะขาวโพลน ส่วนรอยแตกที่อยู่อีกฝาายหนึ่งก็ถูกหิมะกลบเอาไว้จนมิด มองไกลๆ แล้วเหมือนเป็นชามกระเบื้องดินเผาสีขาวที่คว่ำเอาไว้อยู่
จากการประเมินดูคร่าวๆ แล้ว มันน่าจะห่างจากอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ประมาณ 300 กิโลเมตร พื้นที่ของมันพอๆ กับดินแดนทางใต้สุดทั้งดินแดน ในแผนที่ที่ทางดินแดนรุ่งอรุณในสมัยสมาพันธ์วาดเอาไว้มีการวาดรอยแตกที่เอาไว้อยู่ พวกเขาคิดว่ามันเกิดขึ้นจากการที่ภูเขาไฟระเบิด แต่ว่าในตอนนี้ภูเขาไฟนั้นได้ดับลงสนิทแล้ว
ไลต์นิ่งเองก็เคยเห็นปากภูเขาไฟบนเกาะเซียร์ราเฟลมที่พ่นควันและลาวาออกมาทั้งวัน แต่ว่าเมื่อเทียบกับเทือกเขานี้แล้ว ภูเขาไฟเหล่านั้นมีขนาดที่เล็กกว่ามาก
หลังจากนั้นสองชั่วโมง คณะสำรวจก็บินมาถึงพื้นที่รอยแตก
ในที่สุดภูมิประเทศแปลกๆ นี้ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคน
“ยะ…ใหญ่มาก” เมซี่กระพือปีกพร้อมอุทานตกใจ “รู้สึกเหมือนหลุมนี้สามารถในอาณาจักรทั้งอาณาจักรลงไปได้เลย”
ไลต์นิ่งพยักหน้า รอยแตกที่เธอคิดเอาไว้แต่เดิมนั้นความจริงแล้วไม่ได้เป็นรอยแตกที่เกิดจากการแยกตัวของพื้นดิน ลักษณะที่เหมือนยกตัวขึ้นมาก็ไม่ใช่ยอดเขาที่โผล่ขึ้นมา หากแต่เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งทะลุออกมาจากใต้พื้นดิน ชั้นหินที่ยกตัวสูงขึ้นมากลายเป็นเหมือนหน้าผารูปร่างแปลกๆ เมื่อมองดูจากบนฟ้าคล้ายกับเป็นรอยแผลที่อยู่บนพื้นดิน
ถ้านี่เป็นรอยแตกที่เกิดจากการพ่นอะไรออกมาจริงๆ อย่างนั้นเหตุการณ์ในตอนนั้นมันจะน่าตกตะลึงขนาดไหน?
ทั้งสองคนลดระดับความสูงลงไปใกล้รอยแตกประมาณ 2 – 3 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัยแล้ว ปกติคนที่จะลงไปสำรวจก่อนจึงมักจะเป็นเมซี่ เพราะเธอสามารถแฝงตัวไปอยู่ในสภาวะแวดล้อมของพื้นที่นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงแม้จะถูกศัตรูพบ แต่ก็ไม่ว่าจะมองออกว่าเธอเป็นแม่มด
“ฟังนะ” ไลต์นิ่งสั่งกำชับ “ห้ามเข้าไปในถ้ำ แค่บินวนอยู่รอบๆ รอยแตกก็พอ ถ้าพบอะไรผิดปกติก็ห้ามเข้าไปดูคนเดียวเด็ดขาด…”
“จะต้องมารายงานให้หัวหน้าทีมทราบก่อน แล้วก็ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” เมซี่พูดตัดบท “ข้ารู้แล้วข้ารู้แล้วจิ๊บ เจ้าเคยพูดมาตั้งหลายรอบแล้ว…เหมือนกับฝ่าบาทโรแลนด์เลยจิ๊บ!”
“เอ่อ จริงเหรอ?” ไลต์นิ่งเกาหัวอย่างเขินๆ เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่โรแลนด์สั่งกำชับแบบนี้ เธอจะแอบมาบ่นกับสมาชิกในทีมลับหลังว่านักสำรวจที่เป็นอัจฉริยะนั้นจะต้องรู้อยู่แล้วว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ไม่เห็นต้องมาสั่งซ้ำไปซ้ำมาเลย แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ตัวเธอในตอนนั้นช่างเด็กจริงๆ “อะแฮ่มๆ เอาเป็นว่าเรื่องสำคัญพูดหลายๆ ครั้งมันก็ไม่มีอะไรเสียหาย! ข้าจะอยู่ที่นี่ แล้วก็สำรวจดูพื้นที่แถบนี้ อย่างมากไม่เกิน 1 กิโลเมตร จำตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วก็กลับมาเจอกันภายใน 30 นาที เข้าใจไหม?”
“ไม่มีปัญหาจิ๊บ!”
“ดีมาก ไปเถอะ” ไลต์นิ่งตบไหล่เธอ
“เมซี่ ออกเดินทาง!” อีกฝ่ายกระพือปีกตรงไปยังรอยแตก
กระทั่งเมซี่หายลับไปจากสายตาแล้ว ไลต์นิ่งจึงเริ่มสำรวจบริเวณรอบๆ อย่างระมัดระวัง
นกเค้าแมวหิมะเป็นนกที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในบริเวณนี้ มันถือได้ว่าเป็นนกเค้าชนิดหนึ่ง สามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งกลางวันกลางคืน สายตาดีเยี่ยม ขอเพียงไม่ทำอะไรประมาทก็ยากที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่กลับเป็นตัวเธอนั่นแหละที่เปิดเผยร่องรอยได้ง่าย พื้นที่นี้เต็มไปด้วยธารน้ำแข็ง แทบจะไม่มีร่องรอยของสัตว์ป่าเลย ถ้าจู่ๆ มีปีศาจปรากฏตัวขึ้นมา เธอจะกลายเป็นเป้าที่สะดุดตาที่สุด
ด้วยเหตุนี้แทนที่จะไปค้นหาร่องรอยของศัตรู สิ่งแรกที่ไลต์นิ่งมองหาก็คือที่ๆ สามารถหลบซ่อนตัวได้ เธอไม่อาจโยนปัญหาให้คนอื่นเก็บกวาดเหมือนก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 5 นาที บนหัวเธอมีเสียงบินอย่างเร่งรีบดังขึ้นมา
ไลต์นิ่งงุนงง ในขณะที่เพิ่งจะเหลียวหน้าไปมอง เธอพลันเป็นเมซี่พุ่งเข้ามาหาซุกในหน้าอกเธออย่างลนลาน
“มีปะ ปีศาจจิ๊บ!” สาวน้อยพูดจาติดๆ ขัดๆ
เธอใจสั่นขึ้นมาทันที หรือว่าที่นี่จะมีสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่จริงๆ “เจ้าเห็นอะไร?”
“ปีศาจดวงตาตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนหน้าผาใต้รอยแตกจิ๊บ!” เมซี่พูดพร้อมวาดมือไปมา “ตอนที่ข้าบินผ่านรอยแตก ข้าไปสบตาเข้ากับมัน!”
ก็หมายความว่าปีศาจก็มองเห็นเธอ
ไลต์นิ่งแอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่เธอไม่ได้เป็นคนนำหน้าเหมือนอย่างทุกที การเป็นแม่มดกับเห็นนกบินผ่านนั้นเป็นคนละเรื่องกัน นกเค้าแมวหิมะน่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดสังเกตอะไร
“จากนั้นล่ะ เจ้าไม่ได้ร้องตกใจออกมาใช่ไหม?” เมื่อป้องกันความผิดพลาด เธอก็ถามซ้ำอีกที
“แน่นอน ข้าเป็นนก….ไม่ใช่สิ เป็นนักสำรวจที่มีประสบการณ์นะจิ๊บ!” เมซี่ยืดอกตัวเองขึ้นมา “อย่าว่าแต่ร้องตกใจเลย ตอนนั้นแม้แต่ตาข้าก็ไม่ได้กะพริบด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังทำเป็นมองดูทิวทัศน์รอบๆ ก่อนจะค่อยๆ หลบสายตาออกมาจิ๊บ! ข้ากล้าพนันเลยว่าตอนนี้มันลืมข้าไปแล้วล่ะ!”
ภายในหัวไลต์นิ่งมีภาพๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที
นกเค้าแมวหิมะตัวหนึ่งลืมตาโตสบตากับปีศาจดวงตาที่อยู่บนหน้าผา ก่อนจะเบือนหน้าหนีแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น…
“ยะ…แย่แล้ว!” เธอคว้าตัวเมซี่ก่อนจะบินไปยังที่ซ่อนตัวที่เธอเจอก่อนหน้านี้ทันที!
“จิ๊บ?” อีกฝ่ายงุนงง
มันเป็นถ้ำน้ำแข็งเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร น่าจะเป็นเพราะบริเวณรอบๆ มีก้อนหินบังเอาไว้อยู่ รอยแตกที่หิมะไม่ได้ถมลงมาจนเต็มพอที่จะให้คนๆ หนึ่งแอบเข้าไป ไลต์นิ่งมุดเข้าไปแอบในถ้ำแล้วย่อตัวลง ก่อนจะโผล่หัวออกมามองไปทางด้านบนรอยแตก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ‘ประตู’ ที่ส่องประกายแปลกๆ บานหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้า
จากนั้นมีปีศาจตัวหนึ่งเดินออกมาจากในประตูแล้วลอยตัวอยู่ด้านบนลอยแตก ไลต์นิ่งรู้สึกว่าแม้แต่ลมหายใจของตัวเองก็ช้าลง เธอรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอุรูคจากบนตัวอีกฝ่าย
ปีศาจตัวนั้นมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่ จากนั้นจู่ๆ ก็พุ่งลงไปด้านล่างภูเขา! มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่ไลต์นิ่งรู้สึกว่าเลือดในร่างกายเธอจับตัวแข็ง ร่างกายแทบอยากจะหมุนตัวแล้วบินหนีไป ถ้าไม่เป็นเพราะทิศทางที่อีกมุ่งหน้าไปไม่ใช่ทางเดียวกับที่ซ่อนตัวของเธอ เกรงว่าเธอก็ทำตามสัญชาตญาณนี้แล้ว
ปีศาจพุ่งตัวลงไปใต้หิมะ เกล็ดหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมาจนเป็นเหมือนหมอก ในตอนที่มันยืนขึ้นมาอีกครั้ง ในมือของมันมีนกเค้าแมวหิมะอยู่ตัวหนึ่ง
ไลต์นิ่งกลืนน้ำลายพร้อมกับคลำๆ ตรงหน้าอกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ยังดี เมซี่ยังอยู่
ปีศาจยกนกเค้าแมวที่ตกใจกลัวขึ้นมาดูอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวออกมาเหมือนผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นจึงปล่อยมันไป นกเค้าแมวส่งเสียงร้องแล้วบินหนีขึ้นไปบนฟ้าทันที
ปีศาจก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นนานนัก มันชูสองมือขึ้นมากำ ด้านหน้ามันมีประตูแสงแปลกๆ แยกออก จากนั้นมันจึงก้าวเข้าไปข้างในแล้วหายไปต่อหน้าทั้งสองคน
ในที่สุดไลต์นิ่งก็ถอนหายใจออกมา
ในที่สุดร่องรอยของทีมสำรวจก็ไม่ถูกเปิดเผย
“จิ๊บ…ต่อไปเราทำยังไงดี?” ในที่สุดตอนนี้เมซี่ก็รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองแล้ว เธอก้มหน้าถามด้วยเสียงเศร้า
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ไลต์นิ่งคงเลือกที่จะพยายามแอบเข้าไปที่อื่น รอยแตกกว้างขนาดนี้ ต่อให้เป็นปีศาจดวงตาก็คงตรวจไม่ได้ทุกซอกทุกมุม สำหรับนักสำรวจแล้ว ถึงแม้คนที่ค้นพบเป็นคนแรกกับคนที่สองจะห่างกันอยู่แค่คนเดียว แต่ความหมายของมันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากจะให้ตัวเองเป็นคนแรกเสมอไป
แต่ในเวลานี้เธอไม่ใช่นักสำรวจเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นหัวหน้าทีมนักสำรวจของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แล้วก็เป็นทหารที่เคยเปิดมุมมองให้กับกองทัพที่หนึ่ง
ไม่ว่าด้านล่างรอยแตกจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ การปรากฏตัวของปีศาจดวงตากับปีศาจระดับสูงก็เป็นสัญญาณที่อันตรายอย่างมาก!
เธอต้องรีบเอาข่าวนี้กลับไปแจ้งให้ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันทรงทราบ
“พวกเราไปรวมตัวกับแม่มดทาคิลาที่สันเขาสโนว์” ไลต์นิ่งพูดกัดฟัน “พื้นที่ภูเขาตรงนี้ไม่ใช่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาอีกต่อไปแล้ว”
………………………………………………………………..
ตอนที่ 1206 ใกล้แค่เอื้อม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านพบอะไรไหมขอรับ?”
หลังเฮคซอดเดินออกมาจากประตูที่บิดเบี้ยว นายทหารคนสนิทที่เป็นผู้ยกระดับตัวหนึ่งก็ถามขึ้นมา
“ไม่…” มันพูดพร้อมจ้องมองดูฝ่ามือของตัวเอง “อายการ์ดน่าจะมองผิดไปล่ะมั้ง”
“เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ท่านไปพักผ่อนในบ่อละอองก่อนสิขอรับ เดี๋ยวข้าจะเฝ้ายามแทนท่านเอง” นายทหารคนสนิทชะงักไปเล็กน้อย “ท่าน…วัลคีรีย์ก็มักจะไปแช่ในบ่อบ่อยๆ เหมือนกัน ข้าคิดว่า…ท่านไปผ่อนคลายบ้างมันก็ไม่เลวนะขอรับ”
เป็นคำแนะนำที่ไม่เลว มันก็อยากจะไปแช่อยู่ในบ่อ พร้อมหลับตาซึมซับความมหัศจรรย์และความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกจิตสำนึก แต่ปัญหาก็คือถ้าแผนการตะวันตกมีปัญหา จักรพรรด์ไม่มีทางที่จะไปโทษอะไรไนท์แมร์ หากแต่เอาความโกรธทั้งหมดมาลงไว้ที่จน
สกายลอร์ดนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “สำหรับเจ้าแล้ว การเชื่อมต่ออายการ์ดพร้อมกันสี่ตัวมันเหนื่อยเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้แผนการก็ดำเนินมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดแล้ว ดังนั้นให้ข้าเป็นคนควบคุมเองจะดีกว่า ที่นี่คือที่ปักหลักที่สุดท้ายของทางตะวันตก พวกมันจะทำให้จักรพรรดิผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด”
ทันทีที่พูดถึงจักรพรรดิ สีหน้าของนายทหารคนสนิทก็คร่ำเคร่งขึ้นมาทันที “ท่านพูดถูก! เป็นข้าที่ประมาทเอง!”
ไม่ คนที่ประมาทนั้นมีแค่คนที่แช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตทั้งวันนั่นแหละ
เฮคซอดแอบคิดด้วยสีหน้าราบเรียบ
นับตั้งแต่ที่อุรูคถูกมนุษย์ขัดขวางแผนการที่ทาคิลาและที่นี่กลายเป็นหัวใจสำคัญของแผนการตะวันตก มันก็พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มกำลัง แม้แต่อายการ์ดที่เรียกได้ว่าเป็นทรัพยากรที่ล้ำค้า มันก็ยังเอามาจากแนวหน้าตั้ง 4 ตัว เมื่อรับประกันว่าไม่ว่าศัตรูจะบุกมาจากทางไหน มันก็จะสามารถรับรู้ได้ในทันที
อายการ์ดนั้นเป็นผู้ตรวจตราที่มีการรับรู้ที่เฉียบคมมากที่สุด มันไม่มีข้อจำกัดในเรื่องขนาด ระยะห่างกับแสงสว่าง ขอเพียงมีคนมองเห็นมัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะซ่อนตัว หรือว่ามีบาเรียหนาๆ มากั้นเอาไว้ จิตสำนึกของอายการ์ดก็จะรับรู้ได้ทันที ส่วนผู้ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันก็จะสามารถรับรู้ได้ทันทีเช่นกัน
เนื่องจากขั้นตอนนี้สิ้นเปลืองพลังเป็นอย่างมาก ปกติจะมีแต่ผู้ที่ยกระดับแล้วถึงจะมีสิทธิ์เชื่อมต่อกับอายการ์ด แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ โลกที่อายการ์ดมองเห็นก็ยังมีความซับซ้อนอย่างมาก ถ้าจะรับเอาทุกสิ่งที่อาบการ์ดมองเห็นเข้ามาทั้งหมด อย่างนั้นคนที่เชื่อมต่อก็คงไม่ต้องไปทำอะไรอย่างอื่นเลย ด้วยเหตุนี้อายการ์ดจึงมักจะมีการวิเคราะห์สิ่งมีชีวิตที่มันมองเห็นก่อน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเป้าหมายมีภัยอันตรายหรือไม่ก็มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ มันถึงจะส่งข้อมูลต่อให้กับผู้เชื่อมต่อ
และสิ่งที่เฮคซอร์ดรับรู้ได้ก็คือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
ก็เหมือนกับที่นายทหารคนสนิทว่าไว้ การที่อายการ์ดแจ้งเตือนผิดพลาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร เพราะเดิมพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตก็แตกต่างกันไปร้อยแปดพันเก้าแล้วก็ยากที่จะเข้าใจได้ ก็เหมือนกับที่ในเผ่าพันธุ์มันมีจักรพรรดิซึ่งเป็นคนที่ไม่สามารถอ่านใจได้ หรือไม่ก็พวกแปลกประหลาดอย่างเดอะแมสก์ ซึ่งการที่อายการ์ดที่ขาดความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบจะไม่สามารถแยกแยะได้จึงเป็นเรื่องที่ปกติ — พวกมันต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่างเพื่อที่จะรองรับดวงตาที่กระจายอยู่เต็มหัวเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ถึงแม้มันจะมีพลังเวทมนตร์ที่พิเศษ แต่ในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมากลับมีอายการ์ดเพียงตัวเดียวที่ได้ยกระดับกลายเป็นราชา
พวกมันถือเป็นปีศาจประเภทหนึ่งที่มีจำนวนน้อยอย่างมากในเผ่าพันธุ์ปีศาจ อัตราการเกิดของมันมากกว่าแฮทเชอร์และมาเธอร์ออฟโซลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สกายลอร์ดปล่อยวางเรื่องนี้พร้อมทั้งถามเปลี่ยนประเด็นขึ้นมา “งานฟื้นฟูหอคอยแห่งการให้กำเนิดเป็นยังไงบ้าง?”
“การก่อสร้างใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ”
“ดีมาก ไปตรวจดูเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
“ขอรับ ท่านสกายลอร์ด!”
ด้วยอิทธิพลของหินอาญาสิทธิ์ ทำให้มันไม่สามารถบินตรงลงไปยังใต้หุบเขาได้ มันจึงได้แต่ต้องเดินลงบันไดไปที่ละขั้นๆ
เมื่อความสูงลดต่ำลง ภาพทิวทัศน์ที่อยู่รอบข้างก็เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงขึ้นมา นั่นเป็นเพราะว่าในบรรยากาศมีละอองชีวิตล่องลอยอยู่เต็มไปหมด หน้าผาที่สูงชั้นกลายเป็นเหมือนภาชนะตามธรรมชาติ ขอเพียงพวกมันใส่ละอองชีวิตเข้ามาเรื่อยๆ ที่นี่ก็จะมีละอองชีวิตมากพอให้ปีศาจนับหมื่นๆ ตัวได้ใช้
แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเฮคซอร์ด
ขอเพียงตั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดขึ้นมาบนสายแร่หินอาญาสิทธิ์ได้ เผ่าพันธุ์ของมันก็จะมีหมอกแดงให้ใช้อย่างต่อเนื่องและปักหลักอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขนส่งหมอกแดงอีก
ในตอนที่มันเดินลงมาถึงด้านล่างสุด แสงเยือกเย็นสีม่วงน้ำเงินก็เข้ามาแทนที่พระอาทิตย์ ภายใต้แสงที่สะท้อนออกมาจากเสาหินอาญาสิทธิ์ หอคอยหินอันใหญ่โตแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน
แม้แต่เฮคซอร์ดก็ยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นมัน
“ไม่ว่าจะเห็นมันกี่ครั้ง ข้าก็ยังรู้สึกมันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ” นายทหารคนสนิทอุทานออกมาเบาๆ “เดิมมีแต่ตอนที่แหล่งกำเนิดเวทมนตร์ปรากฏขึ้นบนโลก เผ่าพันธุ์เราถึงจะได้เห็นการถือกำเนิดของมัน”
“ก็จริง แต่ตอนนี้ไม่ใช่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองแล้ว” เฮคซอร์ดพูดพร้อมพยักหน้า
ถูกต้อง นี่คือหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่เดิมไม่มีทางที่จะปรากฏขึ้นที่นี่ได้ — มันไม่ได้งอกขึ้นมาจากสายแร่หินอาญาสิทธิ์ หากแต่เป็นหอคอยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เอาไว้ก่อนแล้ว ถึงแม้ตอนนี้มันต้องอาศัยฐานขนาดใหญ่ถึงจะตั้งตรงได้ อีกทั้งลวดลายสีเทาน้ำตาลบนตัวหอคอยก็ทำให้มันดูเหมือนหอคอยที่ตายแล้ว แต่เฮคซอดรู้ดีว่านี่เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไรที่ถึงเวลา มันก็สามารถใช้มาเธอร์ออฟโซลในการเชื่อมต่อเข้ากับสายแร่ได้อีกครั้ง
นี่คือการวิวัฒนาการที่พวกมันได้รับมาจากชิ้นส่วนสืบทอด ในช่วงเวลา 400 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์หรือว่าการใช้งานหินเวทมนตร์ เผ่าพันธุ์มันก็ล้วนแต่ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือพวกมันพยายามที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ของมันไม่ต้องพึ่งพาละอองชีวิต
แต่มันยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือมนุษย์ก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อเดินเข้าไปในฐานของหอคอย สกายลอร์ดก็มองเห็นมาเธอร์ออฟโซลที่กำลังอยู่ในสภาพหลับลึก
มันคือจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เป็นร่างที่สำคัญที่สุดของเผ่าพันธุ์ มีแต่ตอนที่เจตจำนงของพระเจ้าปรากฏขึ้นมาบนโลก แล้วก็ช่วงเวลาที่พลังเวทมนตร์บนโลกมีความเข้มข้นที่สุดเท่านั้น มันถึงจะเข้าสู่สภาพที่สมบูรณ์และหลอมรวมเข้ากับสายแร่หินอาญาสิทธิ์ จากนั้นมันก็จะเปลี่ยนสายแร่ที่เป็นแท่งหินให้กลายเป็นหอคอยสูงใหญ่ แล้วก็ใช้พลังเวทมนตร์ในการให้กำเนิดละอองชีวิตปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน
แต่หลังจากที่ได้เทคโนโลยีใหม่มา พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้นอีก เมื่อมีหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วก็หมายความว่าเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมการรบของพวกมันก็จะลดน้อยลงอย่างมาก ขอเพียงมีทรัพยากรที่มากพอ พวกมันก็สามารถเปลี่ยนละอองแห่งชีวิตให้กลายเป็นอาวุธได้ แล้วก็เปลี่ยนดินแดนของศัตรูให้กลายเป็นดินแดนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
รอบๆ ตัวมาเธอร์ออฟโซลมีร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์เกือบร้อยตัวกำลังทำงานอยู่ พวกมันกำลังคอยดูแลร่างมาเธอร์ออฟโซลอย่างระมัดระวัง ทั้งในเรื่องการทำความสะอาดและการเลี้ยงดู และด้านล่างรอยแตกขนาดใหญ่นี้ก็มีร่างชั้นต่ำแบบนี้อยู่อีกนับพันนับหมื่นตัว เฮคซอดมองดูภาพการทำงานอย่างขมักเขม่นผ่านทางหน้าต่างของฐานหอคอย ร่างระดับต้นและทูมสโตนกำลังขุดอุโมงค์และเคลื่อนย้ายทรัพยากร ส่วนผู้ยกระดับก็ขี่อสูรสยองบินไปบินมาพร้อมออกคำสั่ง ส่วนตรงกึ่งกลางของรอยแตกก็มีร่างซิมไบออนท์ใหม่ล่าสุดที่เดอะแมสก์เลี้ยงดูขึ้นมาตั้งเรียงเป็นแถว ขอเพียงออกคำสั่ง เครื่องจักรสงครามที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็จะแห่กันออกไปโจมตีศัตรูทันที มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่มันคิดไปว่านี่ต่างหากที่เป็นแนวหน้าในสนามรบ
แต่ถึงจะพูดเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าผิด เฮคซอดคิดในใจ ถ้าแนวป้องกันบนพื้นทวีปถูกทำลาย อนาคตของพวกมันก็จะริบหรี่ตามไปด้วย ข้าไม่สามารถเอาชนะและกลืนกินมนุษย์ที่นี่ได้ หนทางข้างหน้าของเผ่าพันธุ์มันก็ไม่มีทางสว่างไสวเช่นเดียวกัน
มันจำเป็นต้องชนะในศึกนี้เพื่อจักรพรรดิ!
……………………………………………………………..
ตอนที่ 1207 ไอเดียใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
เนื่องจากปืนใหญ่ป้อมไม่สะดวกต่อการขนย้าย ในตอนที่กองพันปืนต้องเดินทางไปยังวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่อดำเนินแผนการเคลื่อนย้ายประชากรตามคำสั่งของฝ่าบาท กองพันปืนใหญ่จึงมีเวลาว่างอย่างที่ยากจะหาได้ นอกจากฝึกซ้อมและการช่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตในเวลากลางวันแล้ว ทหารที่วางงานจึงได้กลับไปใช้เวลาอันมีค่ากับครอบครัว
แวนนาก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน ตัวเขาที่ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้ากองพันนั้นยากจะที่ขอลาหยุดได้ เมื่อมีโอกาสเช่นนี้เขาต้องใช้มันให้คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและไปเยี่ยมเพื่อนบ้านแล้ว การนัดเจอเพื่อนเก่าก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าในกองทัพนั้นไม่อนุญาตให้ดื่มเหล่า ถ้าอยากจะดื่มให้หนำใจซักแก้วก็มีแต่ต้องรอให้ถึงเวลาหยุดพักก่อนถึงจะทำได้
หลังผ่านการพัฒนามาหลายปี ระดับความรุ่งเรืองของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็แซงหน้าเมืองหลวงเก่าไปนานแล้ว บ้านริมถนนที่ถูกสร้างให้กลายเป็นร้านค้าสองชั้น จากตอนแรกที่ไม่มีใครสนใจก็กลายเป็นที่ต้องการของใครหลายๆ คน พ่อค้าต่างถิ่นทยอยกันเข้ามาอยู่อาศัย พ่อค้าบางคนก็ขายสินค้าพิเศษที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ในอาณาจักร บางคนก็เปลี่ยนบ้านพักริมถนนเหล่านี้ให้กลายเป็นโรงแรม ร้านอาหารกับร้านเหล่า ถ้าบอกว่าตลาดนัดนั้นเป็นสถานที่ที่จัดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต อย่างนั้นร้านค้าเหล่านี้ก็เป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิต
เมื่อเดินอยู่บนถนนที่มีคนเดินไปเดินมา แวนนาก็อดรู้สึกทึ่งในการมองการไกลของฝ่าบาทไม่ได้ ถึงแม้รอบกายเขาจะมีเสียงคนร้องขายของดังสลับกันไปมาอยู่ตลอดเวลา แต่ถนนในเขตเมืองก็ไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย พวกพ่อค้าตั้งแผงไว้บนพื้นที่ที่จัดให้ ทุกคนต่างเดินไปเดินมาบนถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน ส่วนรถม้าก็วิ่งอยู่บนถนนสีดำ ทุกอย่างดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาจำได้ว่าตอนแรกที่คนงานมาปูถนน หลายๆ คนต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างถนนให้ใหญ่ขนาดนี้ โดยเฉพาะการแยกทางสัญจรของคนกับรถม้าที่หลายๆ คนมองว่าไม่จำเป็น แต่ตอนนี้การวางระเบียบแบบนี้กลับลงตัวทุกอย่าง ราวกับว่าฝ่าบาทรงเห็นภาพแบบนี้ล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
หลังเดินผ่านถนนเส้นหลักมาสองเส้น ร้านเหล้า ‘ลัคกี้เชล’ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแวนนา และนี่ก็เป็นจุดหมายปลายทางของเขา
เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ตรงบาร์ก็มีคนเดินโขยกเขยกออกมาหาเขาท่านที “ท่านแวนนา ท่านมาแล้วเหรอ!”
“ท่านเทิ่นอะไรกัน นั่นมันคำเรียกที่ใช้ในกองทัพ ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ในกองทัพแล้ว เรียกข้าแวนนาก็พอ” เขายิ้มพร้อมกอดคนที่เดินเข้ามา ก่อนจะตบไปบนหลังอีกฝ่าย “ช่วงนี้ร้านเป็นยังไงบ้าง น่าจะพอได้ใช่ไหม?”
เมื่อเทียบกับชื่อของอีกฝ่ายแล้ว ฉายาไอรอนคลัทช์ของอีกฝ่ายนั้นทำให้แวนนาจำได้ขึ้นใจมากกว่า ในศึกลอบโจมตีสถานีหมายเลขหนึ่งเมื่อครึ่งปีก่อน ไอรอนคลัทช์ที่ประจำการอยู่ในกองพันปืนใหญ่ได้พาทีมบุกเข้าไปปะทะกับศัตรูเพื่อชิงเอาแนวยิงปืนใหญ่กลับมา ผลปรากฏว่าเขาถูกหอกกระดูกแทงจากช่วงท้องทะลุไปจนถึงขา พร้อมกับหมดสติไปตรงนั้น ถึงแม้หลังจากนั้นเขาจะถูกนาน่าช่วยชีวิตเอาไว้ แต่เนื่องจากอวัยวะเขาเสียหายมากขึ้นไป สุดท้ายจึงไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม ขาขวาทั้งขาของเขาจึงต้องเอาแท่งเหล็กมาใช้แทนขา ฉายาไอรอนคลัทช์จึงได้มาด้วยเหตุนี้
ไอรอนคลัทช์ใช้เงินบำนาญมาก้อนหนึ่งหลังเกษียณออกจากกองทัพ บวกกับเงินเดือนที่เขาเก็บหอมรอมริบเอาไว้มาเปิดเป็นร้านเหล้า ‘ลัคกี้เชล’ ที่ทางด้านตะวันออกของเมือง แล้วก็ถือว่าเป็นที่พักผ่อนที่กองทัพที่หนึ่งมาใช้บริการกันเป็นประจำด้วย
“ในช่วงที่บาดเจ็บได้ลดค่าเช่า ก็พอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ขอรับ” ไอรอนคลัทช์ถูมือ “แต่ถ้าท่านมาใช้บริการบ่อยๆ มันก็จะยิ่งดีขอรับ”
ภายในใจแวนนารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม “อย่างนั้นก็ต้องรอให้ข้าเลิกเป็นทหารหรือไม่ก็กลายเป็นแบบเจ้าซะก่อน เออใช่ คนอื่นๆ มากันหรือยัง?”
“อยู่ข้างบนหมดแล้ว เดี๋ยวข้าพาท่านไปเอง”
“ไม่ๆๆ ไม่ต้อง เจ้าทำงานของเจ้าไปเถอะ รอคนน้อยแล้วค่อยขึ้นมาดื่มกับเพื่อนๆ ซักแก้วสองแก้วแล้วกัน”
“ได้ อย่างนั้นก็เอาตามนี้ขอรับ” ไอรอนคลัทช์ตอบเสียงดังฟังชัด
แวนนาเดินขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะมองเป็นเพื่อนๆ นั่งล้อมวงอยู่ตรงโต๊ะวงกลมทันที ทั้งโพเมโล่ แคทคลอว์ ร็อดนีย์ เนลสัน…ในตอนที่กองพันปืนใหญ่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาใหม่ๆ พวกเขาที่อยู่ในหน่วยเดียวกันยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่ประสีประสา ในตอนที่เห็นอัศวินพุ่งเข้ามาต่างพากันรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่กลายเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของกองพันปืนใหญ่ ต่างคนต่างมีลูกน้องของตัวเอง ถ้าไม่เป็นเพราะมีวันหยุดพิเศษแบบนี้ เกรงว่าพวกเขาคงยากที่จะรวมตัวเมื่ออย่างเมื่อก่อนได้
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ทุกคนยกแก้วขึ้นดื่มและพูดคุยกันในทุกๆ เรื่องราว แต่ประเด็นที่พูดคุยกันมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องในกองทัพกับสงครามแห่งโชคชะตาที่กำลังจะมาถึง
เพราะเมื่อฟังจากที่ฝ่าบาทตรัสมาแล้ว สงครามครั้งนี้จะเป็นมหาสงครามอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทั่วทั้วทวีปจะถูกดึงมาพัวพันกับสงครามครั้งนี้ หลังสงครามจบลงไม่รู้ว่าจะเหลือคนที่คนที่มานั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกันได้
“ความจริงพวกเราก็ถือว่าโชคดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปสู้กับพวกสัตว์ประหลาดนั่นตรงๆ” ร็อดนีย์ดื่มเหล้ารวดเดียวจนหมดแก้วก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา “ถ้าสูญเสียแนวยิงปืนใหญ่ไปเมื่อไรก็เรียกได้ว่าแนวรบก็พังทลายลงเมื่อนั้นล่ะ”
“ปัญหาอยู่ที่ไม่มีใครรู้ว่าปีศาจมันยังมีลูกไม้อะไรอยู่อีก….ตอนอยู่ที่สถานีหมายเลขหนึ่งเราก็ถูกเล่นงานจนทำอะไรไม่ถูกไม่ใช่เหรอ?” แคทคลอว์ยักไหล่ “ข้าแค่หวังว่าถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ อย่างน้อยเหล่าทหารที่เป็นลูกน้องของข้าจะยังมีความสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งรอให้กองพันปืนกับหน่วยจู่โจมพิเศษมาช่วย”
ทุกคนพากันเห็นด้วยกับคำพูดนี้ “ถูกต้อง ถ้าพวกเรามีปืนใหญ่ที่ยิงได้ต่อเนื่องบ้างก็คงจะดี ปืนยาวลูกโม่ใช้รับมือกับพวกอัศวินนั้นยังพอได้อยู่ แต่ถ้าอยากจัดการกับปีศาจมันยังไม่พอจริงๆ”
“แต่ข้าได้ยินมาว่ากองทัพมีแผนจะเปลี่ยนไปใช้ปืนยาวลูกเลื่อนหมดแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่ได้เห็นปืนยาวลูกโม่แล้วล่ะ”
“ใช่เหรอ…หัวหน้า นี่เรื่องจริงเหรอ?”
ทุกคนมองมาที่ตน แวนนาพยักหน้าพูดว่า “ความจริงหน่วยที่หนึ่งกับหน่วยที่หกได้เปลี่ยนเป็นอาวุธใหม่แล้ว เพียงแต่เป็นเพราะปัญหาเรื่องปริมาณการผลิต หน่วยอื่นๆ จึงต้องรอไปก่อน”
โพลเมโลขมวดคิ้ว “ปืนใหม่ข้าเคยลองใช้มาแล้ว ความแม่นยำกับอานุภาพของมันใช้ได้ทีเดียว แต่พอต้องมายิงนัดนึงดึงลูกเลื่อนทีนึง ความเร็วในการยิงของมันไม่เหมาะที่จะใช้เป็นอาวุธในการสู้ระยะใกล้จริงๆ เราให้กองพันปืนใช้อาวุธเดิมไม่ได้เหรอ?”
“เกรงว่าคงจะไม่ได้ นี่เป็นการตัดสินใจจากเบื้องบน” แวนนาชี้ไปบนหัว “ปืนยาวลูกโม่ใช้ดินปืนดำแบบเก่า หน้าตากระสุนก็คล้ายกับกระสุนใหม่ ถ้าให้คนงานไปผลิตแต่กระสุนใหม่อย่างเดียวกันก็ย่อมต้องคุ้มค่ามากกว่า”
“อย่างนั้น…ให้ท่านขวานเหล็กไปกราบทูลฝ่าบาทให้ออกแบบอาวุธใหม่ให้พวกเราดีไหม?”
“อย่าแม้แต่จะคิดเลย” เนลสันส่งเสียงเหอะออกมาทางจมูก “ถ้ามีของดีๆ แบบนั้นจริงๆ คิดหรือว่าพวกเนลสันจะไม่เข้ามายุ่ง?”
“ใช่ กองพันปืนใหญ่มีปืนใหญ่ก็พอแล้ว” แคทคลอว์เลียนแบบน้ำเสียงของไบรอัน “พวกเจ้าพูดอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอว่าลำกล้องปืนยิ่งใหญ่ยิ่งดี? ลำกล้องเล็กๆ เป็นท่อน้ำแบบนี้ให้กองพันปืนใช้จะดีกว่า — เอ้า ทุกคน ดื่มต่อ!”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะพร้อมยกแก้วขึ้นมา แต่พวกเขากลับพบว่าแวนนาไม่ขยับ อีกฝ่ายนั่งมองแก้วเหล้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“หัวหน้า?”
แวนนาลูบคาง ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาว่า “แล้วถ้าพวกเราสร้างมันเองล่ะ?”
“สร้างอะไร? ปืนใหม่เหรอ?” แคทคลอว์เลิกคิ้ว “หัวหน้า ท่านเมาแล้วหรือเปล่า?”
“เงียบเลย! ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสังเกตเห็นบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองที่หน่วยจู่โจมพิเศษใช้ หรือว่าปืนกลหนักแม็กซิมที่กองพันปืนใช้ล้วนแต่ใช้ท่อแก๊สท่อหนึ่งมาช่วยในการยิงซ้ำ” แวนนาพูดพร้อมกับนึกย้อน “ข้าเคยเห็นอาวุธที่พังแล้วจำนวนไม่น้อยถูกถอดประกอบกลับไปซ่อมใหม่ ถึงแม้โครงสร้างจะไม่เหมือนกัน แต่หลักการการทำงานของพวกมันกลับคล้ายๆ กัน”
“เอ่อ…จริงเหรอ? ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย?”
“ตำแหน่งหัวหน้าถึงได้เป็นของเขาไง ไม่ใช่เจ้า” ร็อดนีย์พูดพร้อมเบะปาก “แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ต้องใช้คนงานและทรัพยากรเป็นจำนวนมาก อีกทั้งโรงงานผลิตอาวุธก็ไม่ได้อยู่ใรการดูแลของท่านขวานเหล็กด้วย”
“ไม่ ที่ข้าบอกว่าสร้าง หมายถึงการปรับปรุงอาวุธปืนที่เรามีอยู่ตอนนี้ต่างหาก” แวนนายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น “มันไม่จำเป็นต้องใช้โรงงานผลิตอาวุธ แล้วก็ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับสำนักบริหารด้วย ขอแค่นี้นายช่างที่ชำนาญซักคนก็พอ”
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองไปทางโพเมโลพร้อมกัน
อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นมาอย่างจนปัญญา “พี่ชายข้าทำงานอยู่ในเขตอุตสาหกรรม แต่เขารับผิดชอบเรื่องการประกอบและการทำงานของเครื่องจักรไอน้ำ พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาเขาแล้วกัน”
…………………………………………………………
ตอนที่ 1208 ปืนของแวนนา
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลางวันของวันถัดมา พวกแวนนาตามโพเมโล่มายังโรงงานเครื่องจักรหมายเลข 2 ในเขตอุตสาหกรรม
หลังอธิบายคร่าวๆ ถึงจุดประสงค์ของตัวเองแล้ว ราฟที่เป็นพี่ชายของโพเมโล่ก็แสดงความรู้สึกสนใจออกมาอย่างมาก เขารับเอาปืนยาวของแวนนาไปเล่นอยู่ในมืออยู่ครู่ใหญ่ “แบบนี้มันจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ เมื่อก่อนนี้ข้าเป็นแค่คนงานเหมือง ตอนนี้งานที่ทำอยู่ก็เป็นพวกตัดๆ เจาะๆ ชิ้นส่วน ถ้าไม่ระวังจนทำมันเสียเข้า…”
“พี่!” โพเมโล่กระแอมเล็กน้อย
“ถ้าแค่กระบอกสองกระบอกมันก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะเวลาฝึกซ้อมปกติก็มีปืนเสียอยู่แล้ว” แวนนาพูดตรงๆ “แต่ถ้ามากกว่านี้ มันก็หมายความว่าความคิดของข้ามันใช้ไม่ได้ ข้าไม่โทษว่าเป็นความผิดเจ้าหรอก”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ราฟพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง! แต่ว่าเครื่องจักรในโรงงานอาจจะไม่ว่าง เดี๋ยวข้าจะพยายามหาเวลาช่วยท่านดู”
“พี่ของเจ้าเหมือนจะชอบปืนมากเลยนะเนี่ย” แคทคลอว์ดึงโพเมโล่ไปพูดเสียงเบาๆ
“มันก็ไม่แปลกหรอก” ร็อดนีย์เข้ามาผสมโรง “มีใครไม่ชอบอาวุธมั่งล่ะ? เมื่อก่อนก็เป็นมีดดาบ ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนเป็นปืนเท่านั้น”
แวนนาเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก เขาเองหลังจากที่ได้เห็นปืนใหญ่สนามขนาด 12 ปอนด์ ความสนใจของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากไข่ต้มมาเป็นงานของตน เขาเปิดกระเป๋าหนังที่พกมาด้วย ก่อนจะหยิบเอาท่อเหล็กที่ถอดออกมาจากปืนกลหนักที่เสียแล้วพูดกับราฟว่า “อย่างนั้นก็เริ่มกันเลยเถอะ”
…..
ลำกล้องปืนยาวถูกถอดออกมา ก่อนจะถูกเอาไปยึดไว้บนเครื่องเจาะ
ราฟกดปุ่มเปิดเครื่อง ก่อนจะเลื่อนหัวสว่านเล็งไปตรงตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ จากนั้นจึงกดหัวสว่านลงไปบนลำกล้องปืนอย่างระมัดระวัง ในตอนที่หัวสว่านสัมผัสกับลำกล้องปืน โลหะที่เป็นเส้นฝอยๆ ปลิวกระเด็นออกมาทันที
สำหรับแวนนาแล้ว นี่คือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่อย่างมาก ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าทั้งเครื่องจักรไอน้ำและปืนใหญ่ป้อมต่างก็สร้างขึ้นมาจากเหล็กทั้งนั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเห็นมันในระยะใกล้ขนาดนี้ เหล็กที่แข็งแกร่งและยากที่จะทำลายได้ในความคิดเขา กลับค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างตัวเองไปทีละน้อยเมื่ออยู่ภายใต้หัวสว่าน เหมือนกับความแข็งบนตัวมันไม่มีอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ประสบการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ
จากที่ราฟบอกมา เครื่องจักรบางส่วนในโรงงานหมายเลข 2 ตอนนี้เป็นเครื่องจักรรุ่นที่สามที่ใช้ ‘รุ่งอรุณหมายเลขหนึ่ง’ ในการขับเคลื่อน การใช้งานของมันถือว่าดีกว่าเครื่องจักรรุ่นก่อนที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสั่นสะเทือนหรือเสียงรบกวนก็ล้วนแต่น้อยลงมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเปิดใช้งานได้ทุกเมื่อ ช่างบางคนที่มีฝีมือสามารถแกะสลักลงไปบนเหล็กชิ้นเล็กๆ เท่านิ้วมือได้
แต่แวนนาไม่ได้ต้องการทักษะที่สูงขนาดนั้น หลังผ่านการครุ่นคิดมาคืนหนึ่ง เขาก็จัดระเบียบความคิดตัวเองออกมา สรุปง่ายๆ ก็คือบรรลุเป้าหมายโดยใช้ขั้นตอนและทรัพยากรให้น้อยที่สุด เพราะว่าการปรับปรุงแบบนี้ทั้งเรียบง่ายและใช้งานได้ง่าย แล้วก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตตามปกติของโรงงานด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำเอาท่อส่งแก๊สที่อยู่บนปืนกลแม็กซิมมาด้วย เพื่อช่วยให้ราฟทำงานได้ง่ายขึ้นและประหยัดเวลา
เมื่อมีชิ้นส่วนสำคัญที่เป็นรูปเป็นร่าง การดึงเอาแก๊สที่เกิดจากดินปืนออกมาจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าจะทำให้ปืนยิ่งอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร
ความจริงแวนนารู้สึกสนใจการผลิตปืนกลหนักของกองพันปืนมานานแล้ว ในตอนที่ทำศึกที่นอร์ธบาวด์เขาก็ไปเคยไปจับๆ ปืนกลต่อต้านทางอากาศของกองพันปันปืนบ่อยๆ มีจุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้เพื่อที่จะรองรับกลไกในการบรรจุกระสุนซ้ำที่มีความซับซ้อนแล้ว ปืนกลแม็กซิมจึงมีขนาดที่ใหญ่กว่าปืนยาวมาก ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่วิธีการบรรจุสายกระสุนเข้าไปในรังเพลิงก็ไม่เหมือนกับคลิปกระสุน ถ้าอยากจะยกเอาทั้งหมดมาใส่ไว้ในปืนยาว เห็นทีคงยากที่จะเป็นไปได้
แต่ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ มันก็มายความว่าปืนกลหนักที่เดิมก็มีปริมาณการผลิตที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้วต้องมาแบ่งชิ้นส่วนบางอย่างให้ทหารของกองพันปืนใหญ่ได้ใช้ ต่อให้ไบรอันไม่เข้ามายุ่ง แต่ท่านขวานเหล็กจะต้องด่าเขาแน่นอน
วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ทำการแก้ไขใดๆ ที่ตัวปืน หากแต่พยายามเปลี่ยนนอกตัวปืน
“แบบนี้ก็น่าจะได้แล้ว…” ราฟทำความสะอาดรูเจาะเสร็จแล้วก็เอาลำกล้องปืนมาเทียบท่อนำแก๊ส “ถ้าตัดเอาส่วนที่เกินออกมาบนท่อนำแก๊สออกมา ท่อทั้งสองอันก็น่าจะเหมือนกันแล้วกัน”
“ยังไม่ต้องรับเอาพวกมันมาต่อเข้าด้วยกัน” แวนนาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะกางมันออกตรงหน้า “ต่อไปข้าอยากจะให้เจ้าทำชิ้นส่วนแบบนี้ขึ้นมาหน่อย”
บนกระดาษที่ภาพร่างแบบง่ายๆ อยู่ภาพหนึ่ง มันเป็นชิ้นส่วนทรงโค้ง ขนาดยาวประมาณ 1 นิ้วมือ กว้าง 2 นิ้วมือ ตรงกลางถูกแกะเป็นรูบุ๋มลงไป
“นี่มันคืออะไร?” ทุกคนเข้ามาดูอย่างสงสัย “ดูแล้วไม่เหมือนชิ้นส่วนที่อยู่บนปืนเลย”
ภายในใจแวนนาเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเหมือนกัน เพราะว่านี่เป็นแค่ความคิดของเขาเพียงคนเดียว เขายังไม่เคยทำการทดสอบใดๆ ดูเลย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้องของตัวเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถแสดงความกลัวออกมาได้ “อะแฮ่มๆ…ถ้าทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ เจ้าสิ่งนี้มันจะมาแทนสองมือของพวกเรา”
…..
หลังจากนั้น 5 วัน บนสนามฝึกซ้อมยิงปืนของกองทัพที่หนึ่งก็มีทหารของกองพันปืนใหญ่จำนวนไม่น้อยมารวมตัวกัน
พวกเขาได้ยินเรื่องที่จะมีการทดสอบอาวุธปืนที่สามารถยิงได้ต่อเนื่องที่ออกแบบมาเพื่อทหารของกองพันปืนใหญ่เป็นการเฉพาะ — มันไม่เหมือนปืนที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้ ปืนรุ่นนี้ไม่ใช่ปืนที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงสร้างขึ้นมา หากแต่เป็นความคิดที่ท่านแวนนาซึ่งเป็นหัวหน้ากองพันปืนใหญ่คิดขึ้นมา คำพูดนี้ย่อมต้องดึงดูดความสนใจจากทุกคนเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นวันหยุด แต่พวกเขาก็อยากจะมาดูว่าอาวุธใหม่มีหน้าตาเป็นอย่างไร
สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือถึงแม้อาวุธปืนที่วางอยู่บนแท่นซ้อมยิงจะมีอาการติดขัดบ้างหรือยิงไม่ออกบ้างในบางครั้ง แต่ตอนที่มันใช้งานได้ปกติ มันก็สามารถยิงออกอย่างต่อเนื่องได้จริงๆ ขอเพียงเหนี่ยวไกค้างเอาไว้ มันก็จะสามารถพ่นกระสุนออกมาทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ!
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับปืนยาวแบบลูกโม่ที่บรรจุกระสุนได้ 5 นัดแล้ว อาวุธรุ่นใหม่นี้สามารถบรรจุกระสุนได้ทีเดียว 20 กว่านัด ถ้าวางตั้งเอาไว้หลายๆ กระบอก มันก็เหมือนกับปืนกลหนักกระบอกหนึ่งเลยทีเดียว
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะทำมันออกมาได้” แคทคลอว์อุทานออกมา “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านขวานเหล็กถึงเลือกเจ้าเป็นหัวหน้ากองพัน”
“ความจริงนี่เป็นเพราะฝ่าบาทโรแลนด์ พระองค์ทรงตรัสอยู่บ่อยๆ ว่าต้องเอาความรู้ที่อยู่ในหนังสือมาประยุกต์ใช้กับควาามเป็นจริง ข้าแค่ลองทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น” แวนนาพูดอย่างภูมิใจ เขาคิดไม่ถึงว่าทุกอย่างมันจะราบรื่นขนาดนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่เพียง 5 วันก็สามารถสร้างอาวุธชนิดใหม่ออกมาใช้ได้แล้ว ส่วนเป้าหมายที่วางเอาไว้ในตอนแรกส่วนใหญ่ก็เป็นจริงทั้งหมด หลังจากนี้ขอเพียงทำการปรับอะไรนิดหน่อย กองพันปืนใหญ่ก็จะสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่ใช้ปกป้องตัวเองโดยใช้ทรัพยากรแค่เพียงนิดเดียว
“ไม่ทราบว่าท่านคือหัวหน้ากองพันแวนนาใช่ไหมขอรับ?” จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมา
“ถูกต้อง เจ้าคือง…” แวนนาหันหน้ามามอง
“ข้าคือแดนนี่ อยู่หน่วยแม่นปืนขอรับ” ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย “พอดีในตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่บังเอิญเห็นว่าตรงนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ ข้าก็เลยแวะเข้ามาดู…ไม่ทราบว่าข้าขอลองอาวุธใหม่ที่ท่านออกแบบหน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”
“หน่วยแม่นปืน?” โพเมโล่ตกตะลึง จากนั้นจึงหันไปส่งสายตาให้กับแวนนา “หัวหน้า…”
แวนนาย่อมต้องรู้ประวัติความเป็นมาของหน่วยนี้ดี นักแม่นปืนทุกคนล้วนแต่เป็นทหารฝีมือดีที่ไบรอันคัดเลือกออกมาจากกองพันปืน หลังก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน พวกเขาสร้างชื่อเสียงได้ในสู้ศึกกับศาสนจักรที่สันเขาโคลด์วิน แล้วก็ได้รับพระราชทานเหรียญรางวัลนักแม่นปืนจากฝ่าบาท เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดในสุดยอดอีกที ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากเสื้อผ้าของอีกฝ่ายแล้ว ตำแหน่งในหน่วยของเขาน่าจะไม่ใช้น้อยๆ ด้วย ถ้าทำให้คนแบบนี้รู้สึกอิจฉาปืนของกองพันปืนใหญ่ได้ แบบนั้นก็จะเท่ากับว่าพวกเขาอยู่เหนือกองพันปืนน่ะสิ?
เมื่อเห็นสีหน้ารอคอยของโพเมโล่ แคทคลอว์และคนอื่นๆ แวนนาจึงค่อยๆ ยิ้มมุมปากขึ้นมา “ได้สิ เชิญ”
……………………………………………………………………
ตอนที่ 1209 ผลิดอกออกผล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่แดนนี่ถือปืนขึ้นมา ความรู้สึกที่เขารับรู้ได้ก็คือจุดศูนย์ถ่วงของมันที่เปลี่ยนไป น้ำหนักของมันเองก็หนักขึ้นนิดหน่อย ถ้าไม่ไปดูท่อเหล็กที่ติออยู่ด้านข้างตัวปืน มันก็แทบจะเหมือนปืนยาวลูกเลื่อนธรรมดาๆ ทั่วไปเลย เมื่อดูจากการประกอบแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจสู้ปืนยาวที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษที่ตัวเองใช้อยู่เป็นประจำได้ และการเปลี่ยนแปลงที่ดูสะดุดตาที่สุดก็คือท่อเหล็กที่ติดอยู่ตรงด้านข้างที่เชื่อมต่อเข้ากับลูกเลื่อน
ดูแล้วมันน่าจะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ปืนกระบอกนี้ยิงต่อเนื่องได้ แดนนี่คิดในใจ
เขาย่อตัวลงแล้วเล็งเป้าอย่างชำนาญ จากนั้นก็เหนี่ยวไก แต่สายตาของเขากลับไม่ได้มองไปที่ปากกระบอกปืนเหมือนอย่างทุกที หากแต่จ้องมองไปยังท่อเหล็กที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อกระสุนพุ่งออกจากรังเพลิงไป ภาพอันน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นมา ถึงแม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที แต่แดนนี่ที่เป็นนักแม่นปืนก็ยังเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของลูกเลื่อนได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกับที่เสียงปืนดังขึ้น แท่งเหล็กที่ซ่อนอยู่ในท่อเหล็กก็เหมือนดูอะไรบางอย่างดันออกมา ก่อนจะดันเอาแผ่นเหล็กโค้งๆ ที่อยู่ตรงท้ายออกมาทางด้านหลังด้วย
และแผ่นเหล็กโค้งนี้ก็เชื่อมต่อกับลูกเลื่อนเอาไว้ ตามหลักแล้ว ลูกเลื่อนที่อยู่ในสภาพล็อกอยู่นั้นไม่สามารถถูกดึงออกมาได้ ถ้าฝืนดึงออกมา ผลที่ตามมาก็คือลูกเลื่อนอาจจะค้างหรือไม่ก็หักได้ แต่ลูกเลื่อนนี้กลับคลายล็อกกระเด้งขึ้นมาตามร่องที่แกะเอาไว้ตรงกลางของแผ่นเหล็ก ก่อนจะดีดเอาปลอกกระสุนออกมา
จากนั้นก็เป็นกระบวนที่เกิดขึ้นซ้ำเหมือนเดิม แท่งเหล็กหดกลับเข้าไปในท่อ ขณะเดียวกันก็ดันให้ลูกเลื่อนกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมและล็อกอยู่ในรังเพลิง
ช่างเป็น…การออกแบบที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
แดนนี่แอบอุทานอยู่ในใจ ชิ้นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมานี้เรียกได้ว่าแค่ดูก็เข้าใจได้ทันที แม้แต่เขาที่ไม่ใช่ช่างก็ยังเข้าใจหลักการทำงานของมัน พูดง่ายๆ ก็คือมันใช้ประโยชน์จากแท่งเหล็กยาวที่อยุู่ในท่อเหล็กท่อที่สองมาแทนที่การเคลื่อนไหวของมือ และสิ่งที่ยอดเยี่ยมนั้นก็อยู่ที่ว่าแท่งเหล็กเพียงแค่ดันเข้าดันออก แต่มันกลับทำการยก ดึง ดัน กด แทนมือได้ ทำให้มันสามารถยิงกระสุนนัดต่อไปได้โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไร
เขาซึ่งกำลังรู้สึกตื่นเต้นยิงกระสุนที่เหลือออกไปจนหมด พร้อมกับดมกลิ่นดินปืนที่น่าหลงใหล เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานดังขึ้นข้างหูเขาอีกครั้ง
“19 นัดพลาด 1 นี่ท่านยิงพลาดไปนัดนึงนะเนี่ย” มอลต์หัวเราะเบาๆ “ทำไม อาวุธใหม่ใช้ไม่คล่องมือเหรอ?”
“ยังไม่ชินน่ะ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวข้าจะยิงเข้าเป้าทั้งหมดให้เจ้าดู”
“เอ่อง..ไม่เชื่ออะไรเหรอ?” เสียงแปลกใจดังแทรกขึ้นมา
แดนนี่ได้สติกลับคืนมา ในเวลานี้เข้าไม่ได้อยู่บนสนามรบ หากแต่อยู่ในสนามซ้อมยิงที่มีคนยืนรายล้อมอยู่ เขาลุกขึ้นมามองหัวหน้ากองพันปืนใหญ่ที่ทำสีหน้าประหลาดใจ เขาแสร้งทำเป็นส่ายหัวเหมือนไม่มีอะไร “เปล่า…ข้าแค่พูดกับเท่าเองน่ะ”
“ยิง 20 นัดเข้าเป้า 19 นัดยังไม่พอใจ สมแล้วที่เป็นนักแม่นปืนของกองทัพที่หนึ่ง” แวนนาตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะถามต่อว่า “อย่างนั้น…เจ้าคิดว่าปืนกระบอกนี้เป็นยังไงบ้าง?”
แดนนี่เองก็พอจะรู้เรื่อง ‘การชิงดีชิงเด่น’ กันอย่างลับๆ ระหว่างกองพันปืนกับกองพันปืนใหญ่อยู่ว่า แต่ว่าทุกคนต่างก็รับใช้ฝ่าบาท เขาไม่อยากปิดบังความชื่นชมที่ตัวเองมีต่ออาวุธใหม่นี้เพียงพอเรื่องนี้ “นอกจากเรื่องความนิ่งกับน้ำหนักแล้ว มันแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากให้อาวุธของหน่วยแม่นปืนสามารถทำการปรับเปลี่ยนเช่นนี้เหมือนกัน”
ถ้าว่ากันในเรื่องความแม่นยำ อย่างน้อยเป้าในระยะ 50 – 100 เมตร ประสิทธิภาพของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าปืนยาวเท่าไร น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่สะดวกต่อการยืนยิงและการถือปืนลุยเข้าไปหาศัตรู แต่นั้นไม่ได้ปัญหาที่หน่วยแม่นปืนต้องกังวล สำหรับกองพันปืนใหญ่ก็ไม่ต้องกังวลถึงจุดนี้เช่นเดียวกัน
ส่วนการที่มันสามารถยิงต่อเนื่องได้นั้นถือว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของอาวุธใหม่นี้ เวลาที่ยิงไม่ถูก การดึงลูกเลื่อนจะทำให้ปากกระบอกปืนยกขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ทำให้ต้องใช้เวลาในการเล็งเป้าใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่บางครั้งจะพลาดเป้าหมายเดิมไป และนี่ก็ทำให้การยิงแต่ละครั้งของพวกเขาจึงใช้เวลานานกว่าทหารปกติ แต่อาวุธใหม่กระบอกนี้ได้แก้ไขปัญหาในจุดนี้ เขาแค่ปรับปากกระบอกปืนเล็กน้อยก็สามารถยิงกระสุนนัดที่สองตามออกไปได้ โดยเฉพาะในตอนที่ศัตรูแห่เข้ามา เขาแทบจะนึกภาพเป้าหมายถูกเขาปลิดชีพอย่างรวดเร็วออกเลย
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์เช่นนี้ แวนนาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์ดี ถ้าเจ้ายินดีช่วยพวกข้าปรับปรุงอาวุธนี้ เวลาที่ข้าขออนุญาตท่านขวานเหล็กมันก็จะง่ายขึ้น”
ความคิดของเขาง่ายมาก ถ้าหน่วยแม่นปืนใช้อาวุธใหม่ที่ออกแบบโดยกองพันปืนใหญ่จริงๆ อย่างนั้นเขาก็จะถือว่าเขาอยู่เหนือไบรอัน
แต่ความคิดของแดนนี่นั้นง่ายยิ่งกว่า เดิมเขาก็ชื่นชอบอาวุธที่สามารถสังหารปีศาจได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว อีกทั้งกลิ่นดินปืนที่คละคลุ้งในตอนที่ทดสอบยิงก็ทำให้มอลต์ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ได้ “ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ท่านหัวหน้ากองพัน”
ทั้งสองคนสบตายิ้มๆ
….
กว่าโรแลนด์จะทราบข่าวนี้ก็เป็นเวลาหลายวันหลังจากนั้น
ทหารจากกองพันปืนใหญ่ที่เข้าไปในโรงงานหมายเลข 2 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ที่รับผิดชอบโรงงานสังเกตเห็น เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงกองทัพ ผู้รับผิดชอบคนนั้นจึงไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด หากแต่เอาข่าวนี้แจ้งให้กับทางนสำนักบริหาร และสุดท้ายข่าวนี้ก็ไปถึงมือของอันนาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุตสาหกรรม
เมื่อมองดูปืนตัวอย่างที่อันนาทำซ้ำขึ้นมา โรแลนด์เมื่อได้เห็นก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลไกการยิงซ้ำที่เอามาไว้ข้างนอกนั้นทั้งหยาบแล้วก็เรียบง่าย ถึงแม้จะสามารถทำให้ยิงต่อเนื่องได้ แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมด้านนอกที่มีความซับซ้อน มันอาจจะทำให้ปืนเกิดปัญหาได้ง่าย ทำให้ต้องเสียเวลาไปนั่งซ่อมบำรุง
แบบนี้มันก็เหมือนจะเหมาะกับทหารของกองพันปืนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ยิงปืนเท่าไร
“พระองค์คิดว่ายังไงบ้างเพคะ?” อันนาถามยิ้มๆ
“อือ…ถึงแม้จะมีอะไรอีกหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่มันก็ถือเป็นสัญญาที่ดีทีเดียว” โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ “อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะคิดว่าแล้วอะไรคืออาวุธที่ตัวเองต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นจุดเด่นของเจ้าปืนนี้ก็เด่นชัดอย่างมาก นั่นก็คือมันสามารถทำการปรับปรุงบนปืนยาวที่มีอยู่แล้วได้ ต่อให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่ถือว่ากระทบอะไร”
แต่แน่นอน ขอแค่ไม่เปลี่ยนกันทั้งกองทัพก็พอ ไม่อย่างนั้นอัตราการใช้กระสุนคงจะเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมากแน่ นอกจากนี้ทหารที่อยู่แนวหน้าที่มีปืนกลหนักคอยยิงสนับสนุนก็ไม่ได้ต้องการปืนที่ยิงต่อเนื่องเหมือนอย่างกองพันปืนใหญ่
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นหม่อมฉันก็ช่วยพวกเขาหน่อยแล้วกัน” อันนาพยักหน้า
เมื่อมีความช่วยเหลือจากราชินี อาวุธชนิดใหม่ก็เป็นรูปเป็นร่างออกมา ลูกเลื่อนและลูกสูบที่เกี่ยวกันเหมือนเงื่อนกลายเป็นกลไกลสลักที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดมากกว่าเดิม แล้วก็มีการหุ้มเปลือกเอาไว้ตรงจุดเชื่อมต่อของทั้งสองด้วย นอกจากจะช่วยลดการสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายแล้ว มันยังช่วยลดอัตราการค้างของปืนลงอย่างมากด้วย หลังจากแยกเอาท่อนำแก๊สส่วนหนึ่งออกมาแล้ว ในที่สุดอาวุธใหม่ก็เปลี่ยนจากการทำขึ้นมาด้วยมืออย่างง่ายๆ กลายเป็นการปรับปรุงอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การชี้แนะของโรแลนด์ อาวุธปืนยิงต่อเนื่องรุ่นใหม่นี้ถูกตั้งชื่อว่าแวนนา
หลังข่าวนี้แพร่กระจายออกมา ทางกองอุตสาหกรรมก็ได้รับจดหมายขอทำการปรับปรุงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
สำหรับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ โรแลนด์ย่อมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นมัน
หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ในที่สุดการเผยแพร่การศึกษาขั้นพื้นฐานก็ผลิดอกออกผลให้เห็นแล้ว
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจมากกว่าการได้เห็นอาวุธใหม่นี้เสียอีก
แต่ว่าเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกยินดีไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
เซลีนได้ส่งรายงานมาว่างานวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์มีความคืบหน้าที่สำคัญแล้ว
ในการทดลองสร้างลูกบาศก์เวทมนตร์ล็อตที่หก เธอเจอวิธีที่จะลดการใช้แผ่นยูเรเนียมให้ลดน้อยลงได้แล้ว
……………………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น