Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1203-1204
ตอนที่ 1203 ของขวัญสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ต้องยอมรับเลยว่าบารอนของอ่าวดีพพูลนั้นทำงานได้รวดเร็วอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะจัดแจงห้องครึ่งหนึ่งในคฤหาสน์ให้ผู้บังคับบัญชาของกองทัพได้ใช้ แต่เขายังจัดสาวใช้มากลุ่มหนึ่งเพื่อคอยปรนนิบัติแขกทุกคนด้วย เรียกได้ว่ามีความรอบคอบทีเดียว เพียงแต่ขวานเหล็กไม่อยากให้ความลับรั่วไหล เขาจึงให้สั่งคนใช้เหล่านั้นไปอยู่นอกห้อง
เมื่อเห็นหนุ่มๆ ในทีมที่ปรึกษาบางคนมีสีหน้าผิดหวัง ขวานเหล็กจึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทำงานได้แล้ว อย่าลืมซะล่ะว่าผลงานของพวกเจ้าจะถูกจดเอาไว้ในบันทึกแล้วส่งให้เอดิธส์ เคนท์ตรวจ ถ้ามีอะไรผิดพลาด พวกเจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง”
พอพูดชื่อไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือออกมา ทุกคนก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปทำงาน
“แผนที่ ข้าแขวนแผนที่ก่อน!”
“ตารางการเดินทางล่ะ? เดี๋ยวข้าตรวจดูอีกรอบหนึ่ง”
“ใครจะมานับเสบียงกับข้า?”
ในห้องวุ่นวายขึ้นมาทันที
“สมแล้วที่เป็นคนหนุ่ม มีชีวิตชีวากันจริงๆ…” เรมียิ้มๆ พร้อมส่ายหัว “สายตาของบารอนไม่เลวเลยทีเดียว คงจะมองเห็นอะไรในคนพวกนี้”
“ก็เป็นแค่วิธีที่พวกขุนนางชอบใช้บ่อยๆ เท่านั้นแหละ” ขวานเหล็กขมวดคิ้ว “จะดีกว่านี้ถ้าเขาเอาความพยายามไปใช้ในแผนการเคลื่อนย้ายให้มากกว่านี้”
“วางใจได้ เรื่องนี้ทางสำนักบริหารจะคอยจับตามองเขาเอง” เรมีตบหน้าอก “อย่างนี้แล้ว อุปสรรคแรกก็ถูกกำจัดไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างเรียกได้ว่าราบรื่นกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก ในอีกแง่หนึ่งตระกูลทุสก์กับตระกูลเรดสโตนเกทนั้นเหมือนกับช่วยเราเลยนะเนี่ย แต่ว่าหลังจากนี้คงจะไม่ง่ายแบบนี้แล้ว….”
“ไม่ ไม่มีอะไรแตกต่าง” ขวานเหล็กพูดตัดบท
“งะ…งั้นเหรอ?” อีกฝ่ายงุนงง
“เพราะว่าพวกเขานั้นล้าหลังอยู่ในยุคสมัยนี้” เขาพูดจบก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก หากแต่ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ในเวลานี้เมฆฝนได้กระจายตัวหายไปแล้ว ท้องฟ้าที่อึมครึมมีสีน้ำเงินปรากฏขึ้นมา
‘เพราะว่าพวกเขาล้าหลังอยู่ในยุคสมัยนี้แล้ว’ หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกเดินทาง เอดิธส์พูดกับเขาแบบนี้ แต่ว่ารอบนี้ไม่ได้เป็นการพูดส่วนตัว หากแต่เชิญเขาเข้ามาในห้องประชุมของหน่วยเสนาธิการทหารใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่คอยจดบันทึกด้วย และหัวข้อที่พวกเขาพูดคุยกันก็คือจะทำอย่างไรถึงจะทำให้แผนการเคลื่อนย้ายประชากรของฝ่าบาทบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ‘ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในมือ ไร้ซึ่งจินตนาการ หลงตัวเองคิดว่าเชี่ยวชาญในการคิดคำนวณผลประโยชน์ ขุนนางส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคิดจะไล่จัดการขุนนางไปทีละเมืองๆ ใช่ไหม?’
‘ถ้าพวกเขาขัดขวางแผนการของฝ่าบาทล่ะก็’
‘ช้าเกินไป’ เอดิธส์พูดออกมาตรงๆ ‘ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่เรารวมอาณาจักร เมื่ออยู่ในดินแดนแปลกหน้านั้นเราจำเป็นต้องส่งทหารไปประจำการ ถึงจะทำให้เส้นทางขนส่งปลอดภัย แต่ทหารที่จะเหลือให้เราใช้ก็จะลดน้อยลงไปด้วย ถึงแม้สุดท้ายชัยชนะจะเป็นของเรา แต่มันก็จะทำให้แผนการต้องใช้เวลานานมากขึ้น อีกอย่าง กำลังของเกรย์คาสเซิลอาจจะทำให้พวกเขาไม่กล้าปะทะแบบซึ่งๆ หน้า แต่มันอาจจะมีการวางแผนเล่นงานเราลับหลังอยู่ก็ได้ ถ้ามัวรอให้พวกเขาสร้างความเสียหายขึ้นมาแล้วท่านค่อยไปลงมือจัดการ เช่นนั้นมันอาจจะทำให้เสื่อมเสียมาถึงฝ่าบาทได้’
‘อย่างนั้นต้องทำยังไง?’
‘กำหนดเป้าหมายล่วงหน้า สร้างพันธมิตรแล้วก็กำจัดศัตรูไปด้วย’ เอดิธส์ส่งเอกสารที่เป็นตารางมาให้เขาชุดหนึ่ง
บนนั้นมีตัวเลือกอยู่เต็มไปหมด ส่วนด้านหลังก็มีคะแนน +1 +2 กำกับเอาไว้
‘นี่คืออะไร?’ ขวานเหล็กพึ่งจะเคยเห็นตารางแบบนี้เป็นครั้งแรก
‘แบบประเมินภัยคุกคาม? คู่มือจัดอันดับคนที่จะก่อกบฎ?….จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญ นี่คือสิ่งที่ข้าทำขึ้นมาโดยอิงจากลักษณะนิสัยของพวกขุนนาง โดยเงื่อนไขที่เอามาคิดคำนวณนั้นประกอบไปด้วยเพศ ผู้สืบทอด ขนาดของที่ดินที่ปกครอง สิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวัน ท่านแค่เอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเดิมลงไปในช่อง แล้วท่านก็จะได้ผลลัพท์คร่าวๆ ออกมา ยิ่งมีข้อมูลให้ใช้เยอะ มันก็จะยิ่งมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ เนื่องจากสถานการณ์ในวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นงานในส่วนนี้ทางกองเสนาธิการทหารใหญ่จึงไม่สามารถทำแทนท่านได้ ถ้าเจอตระกูลที่ไม่มีอยู่บนรายชื่อก็ให้คำนวณตามตารางนี้’
‘หลังจากคำนวณแล้วล่ะ?’ เขาพลิกดูพร้อมถาม
‘ถ้าต่ำกว่า 50 ก็ชักชวนให้มาเป็นพวกได้ ความสามารถของพวกเขาธรรมดา ความทะเยอทะยานเองก็มีไม่มาก แต่เรื่องที่ขุนนางเหล่านี้ทำได้กลับมีอยู่ไม่น้อย ทั้งแผนที่ในพื้นที่ การกระจายตัวของเมือง รายละเอียดประชากรก็ล้วนแต่สอบถามจากปากของพวกเขาได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมื่อมีการสนับสนุนจากผู้ปกครองท้องถิ่น มันก็จะทำให้งานเคลื่อนย้ายประชากรมีประสิทธิภาพสูงสุด’ เอดิธส์อธิบาย
‘ส่วนพวกที่สูงกว่า 50….’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘ก็ให้มองว่าไม่มีค่าพอให้ไปข้องเกี่ยว พูดอีกอย่างก็คือไม่มีค่าพอที่จะไปเสียเวลากับพวกเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทียินยอมหรือไม่ก็ให้โจมตีได้เลย ไม่ต้องปล่อยให้พวกมันได้คิดอะไร’
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้แต่ขวานเหล็กก็ยังอดรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่เคยลังเลที่จะกำจัดพวกขุนนางที่กล้าต่อต้านฝ่ายบาท แต่เมื่อดูจากวิธีและความคิดของอีกฝ่ายแล้ว มันเรียกได้ว่าแตกต่างจากเขาอย่างมาก — ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือใช้ตารางเพียงแผ่นเดียวในการกำหนดอนาคตของขุนนางเหล่านี้ ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเจออีกฝ่าย แล้วก็ไม่เคยคุยกับพวกเขาด้วยซ้ำ
เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา ‘แล้วผลลัพธ์…มันแม่นยำไหม?’
ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพที่หนึ่ง ขวานเหล็กย่อมต้องเข้าใจถึงความสำคัญของเวลาดี แล้วก็รู้ด้วยว่าตารางชุดนี้สามารถช่วยเขาประหยัดเวลาไปได้มาก เรือที่ใช้ขนคนส่วนใหญ่เป็นเรือที่ฝ่าบาทเช่ามาจากสมาคมหอการค้าของฟยอร์ด ถึงแม้ปีศาจจะไม่ได้คิดจะตั้งเสาโอเบลิสที่เทือกเขาสิ้นวิถี แต่แผนการเคลื่อนย้ายประชากรยิ่งเสร็จเร็วก็ยิ่งดี
‘ก็อาจจะมีผิดพลาดได้ แม้แต่การแบ่งเกณฑ์อยู่ที่ 50 ก็เป็นความคิดของข้าเพียงคนเดียว แต่เมื่อคิดถึงเวลาอันมีค่าแล้ว รายละเอียดจะจัดการอย่างไรมันก็ต้องแล้วแต่ท่านจะตัดสินใจ’ เอดิธส์ค่อยๆ จิบชา ‘เพราะว่าทีมที่ปรึกษานั้นมีหน้าที่แค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้น’
ขวานเหล็กพลิกไปดูหน้าสุดท้าย บนนั้นมีรายชื่อที่ทำการสรุปออกมาแล้ว ข้อมูลต่างๆ น่าจะได้มาจากอาณาจักรดอว์น โดยรายชื่ออันดับแรกในกลุ่มคนที่มีคะแนนต่ำกว่า 50 ก็คือผู้ปกครองของอ่าวดีพพูลซึ่งเป็นจุดเทียบท่าแห่งแรกของแผนการนี้
ก่อนจะออกมาจากห้องประชุม เขาถามคำถามสุดท้ายขึ้นมา
‘หจะไม่มีขุนนางที่ไม่ล้าหลังอยู่ในยุคสมัยบ้างเลยเหรอ?’
‘อาจจะมีอยู่’ เอดิธส์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ‘แต่ต่อให้ไม่มีตารางแผ่นนี้ ข้าก็เชื่อว่าท่านจะต้องมองออกได้อย่างรวดเร็ว…เพราะว่าคนๆ นั้นจะต้องคล้ายข้าอย่างแน่นอน’
เมื่อคิดถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั้น ขวานเหล็กก็ถอนหายใจออกมา เขาเก็บความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะหมุนตัวเดินไปยงค่ายของกองทัพที่หนึ่ง ก็เหมือนกับที่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือได้กล่าวได้ ขุนนางนั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าจะจัดการอย่างไรถึงจะทำให้เคลื่อนย้ายประชากรมีประสิทธิภาพสูงสุดมากกว่า
แต่เพียงแค่สองวันหลังจากนี้น ในพื้นที่ท่าเรือของอ่าวดีพพูลก็มีชาวบ้านมารวมตัวกันมากกว่าหมื่นคน! พวกเขายืนออกันอยู่ด้านนอกลานเพื่อรอขึ้นเรือ ตัวเลขนี้เหนือกว่าที่ขวานเหล็กและเรมี่คาดการณ์เอาไว้มาก แม้แต่ตัวจีน เบ็ตเองก็ยังรู้สึกตใจ
กองทัพที่หนึ่งจำเป็นต้องเลื่อนวันเดินทางออกไปก่อน เพื่อรักษาระเบียบเอาไว้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ขวานเหล็กถามเรมี่ “หรือว่าเจ้าไปขยายความคำสัญญาของฝ่าบาท?”
“ข้าจะไปกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง” เรมีส่ายหัว “ข้าทำตามที่ขั้นตอนที่สำนักบริหารสรุปออกมาทุกอย่าง ส่วนผลของมันก็ขึ้นอยู่กับบารมีของผู้ที่ดำเนินแผนการ ถ้าที่นี่เป็นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็คงไม่แปลก แต่บารอนคนนี้ไม่มีทางที่จะเทียบกับฝ่าบาทด้วย เหตุเหตุนี้ในแผนการจึงคาดการณ์จำนวนคนที่จะทำการเคลื่อนย้ายเอาไว้ที่ 300 – 500 คน”
“แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ยี่สิบกว่าเท่า” ขวานเหล็กพูดด้วยอารมณ์สับสน ประชากรที่อพยพยิ่งเยอะก็ยิ่งดี แต่การที่มันมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เขารู้ดีว่าการให้คนเหล่านี้ทิ้งที่ดินของตัวเองและเชื่อว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดไหน ถึงแม้ฝ่าบาทจำทรงให้สัญญาว่าจะชดเชยก็ตาม แต่สำหรับชาววูล์ฟฮาร์ทแล้ว เกรย์คาสเซิลนั้นเป็นดินแดนที่ห่างไกลอย่างมาก แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับมีผู้อพยพจำนวนมากขนาดนี้ นี่จึงทำให้เขาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเบื้องหลังมันมีอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า
“ถ้าจะพูดให้ได้ มันก็มีสถานการณ์บางอย่างที่อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้” เรมีนิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมา “นั่นก็คือผู้อพยพที่ลี้ภัย”
เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่มีอะไรเลย ขอเพียงมีความหวัง พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไปเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
“แต่คนพวกนี้เป็นเสรีชนที่อยู่ในหมู่บ้านรอบๆ อ่าวดีพพูลนะ”
“ตามหลักแล้วเป็นเช่นนั้น แต่ตอนที่คนของข้าออกไปประกาศ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจบางอย่างมาก อย่างเช่นตระกูลเรดสโตนเกตกับบารอนเบ็ตนั้นมีความแค้นต่อกัน พวกเขาคิดจะจับชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดเป็นทาสหลังจากที่บุกโจมตีแล้ว หรืออย่างเช่นบริเวณเนินเขาทางทิศเหนือมีสัตว์ประหลาดกินคนปรากฏออกมา มีบางเมืองถูกมันบุกเข้าไปกินคนจนเกลี้ยงภายในคืนเดียว ซากกระดูกกระจัดกระจายอยู่กลางถนน และตอนนี้สัตว์ประหลาดพวกนั้นก็กำลังบุกมาทางตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ข่าวลือประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละเรื่องฟังแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ทำเอาคนพื้นที่พากันหวาดกลัวไปตามๆ กัน ข้าคิดว่าความหวาดกลัวนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้อพยพเยอะขนาดนี้ ถ้าจู่ๆ พวกเขาอยากจะรีบทิ้งบ้านของตัวเอง แบบนี้มันก็เหมือนกับผู้อพยพไม่ใช่เหรอ?”
ขวานเหล็กงุนงง “ข่าวลือนี้มีตั้งแต่เมื่อไร?”
“อย่างน้อยก็ประมาณครึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะออกเดินทางจากเนเวอร์วินเทอร์ได้ไม่นาน” เรมี่ลูบคาง “ควรจะบอกว่าพวกเราโชคดีหรือเปล่า?”
ดีก็บ้าแล้ว ขวานเหล็กสีหน้าคร่ำเคร่ง นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนวางแผนจัดการเรื่องนี้ลับหลัง แถมยังรู้จุดหมายปลายทางของกองทัพที่หนึ่งเป็นอย่างดี
ใครเป็นคนแพร่ข่าวลือนี้กันแน่? อีกฝ่ายทำไมถึงช่วยเกรย์คาสเซิล? พวกเขาเป็นมิตรหรือว่าเป็นศัตรู? คำถามมากมายทยอยปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
จนกระทั่งมีทหารนายหนึ่งพูดแทรกความคิดเขาขึ้นมา
“ท่านผบ. มีคนให้ข้าเอาจดหมายนี้มามอบให้ท่านขอรับ”
“ใคร?” ขวานเหล็กสะกดความคิดฟุ้งซ่านเอาไว้พร้อมทั้งรับเอาจดหมายมา
“ไม่ได้บอกชื่อเอาไว้ เป็นแค่เด็กคนหนึ่งขอรับ” ทหารตอบ “แต่เขาบอกว่าตัวเองก็เป็นแค่คนส่งจดหมายเหมือนกัน คนที่เขียนจดหมายคงไม่อยากให้คนเห็นล่ะมั้งขอรับ ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ด้านในไม่มีอะไรนอกจากกระดาษแผ่นหนึ่งขอรับ”
ซองจดหมายเป็นแค่กระดาษธรรมดาๆ ที่วางอยู่ในตลาดทั่วๆ ไป เทียบกับหนังแกะหรือหนังวัวแล้วถือว่าถูกกว่ามาก ตรงปากซองจดหมายก็ไม่มีครั่งปิดผนึกเอาไว้ ดูแล้วเหมือนไม่ใช่จดหมายที่เป็นทางการอะไร ขวานเหล็กหยิบเอากระดาษที่อยู่ข้างในออกมา แต่เขากลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวกระดาษนั้นเป็นสีดำสนิท ความแข็งและความเงางามของมันไม่ใช่กระดาษที่คนธรรมดาจะมีปัญหาหาซื้อมาใช้ได้
เมื่อเปิดออกอ่าน บนกระดาษนั้นมีตัวหนังสือเล็กๆ สีทองอยู่แค่แถวเดียว
‘นี่คือของขวัญที่มอบให้กับความจงรักภักดีของท่าน หวังว่าท่านจะพึงพอใจ’
……………………………………………………………………
ตอนที่ 1204 สันหลังของทวีป
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในที่ตอนที่พระอาทิตย์ตกลงไป อุณหภูมิบนเทือกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ควรจะพาที่พักค้างแรมได้แล้ว ไลต์นิ่งคิดในใจ อุณหภูมิบนยอดของเทือกเขาสิ้นวิถีนั้นแตกต่างกันจนน่ากลัว แสงแดดตอนกลางวันนั้นร้อนจนรู้สึกเหมือนโดนเผา ถ้าไม่หาอะไรมากำบัง ผิวก็อาจจะถูกเผาจนไหม้ได้ แต่พอตกกลางคืน ลมหนาวที่พัดไปมาจะพัดเอาความร้อนทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไปนอนอยู่บนยอดไม้เหมือนตอนที่อยู่ในป่าเร้นลับ เกรงว่าตื่นเช้าขึ้นมาพวกเธอแข็งกลายเป็นน้ำแข็งแน่
ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำเป็นต้องหาที่หลบลมหนาวให้ได้ก่อนที่ฟ้าจะมืด
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน” ไลต์นิ่งหยิบเอารูนสดับออกมาพูด “ข้าจะไปหาที่พัก เจ้าไปเอาของกินมา”
เมซี่ที่แปลงร่างเป็นนกนั้นไม่สามารถพูดตอบได้ แต่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดไป
จากนั้นเธอก็ลดระดับความสูงเข้าสู่โหมดบินเลียดพื้น ก่อนออกเดินทางอกาธาเคยสั่งกำชับเอาไว้หลายครั้งว่าในตอนที่มองหาร่องรอยของปีศาจให้บินสูงๆ เอาไว้หรือไม่ก็บินเลียดพื้น แล้วก็อย่าเปลี่ยนเส้นทางตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเข้าไปในพื้นที่ของสายแร่หินอาญาสิทธิ์ล่ะก็ แบบนั้นคงไม่มีใครช่วยออกมาได้
ไลต์นิ่งปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด เพราะในเทือกเขาแห่งนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีใครที่จะมาช่วยเธอได้ เธอจำเป็นต้องดูแลตัวเองและเมซี่
เนื่องจากตอนที่ทำการสำรวจก่อนหน้านี้เธอได้สังเกตสถานที่ที่พอจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวเอาไว้บ้างแล้ว ดังนั้นเธอจึงหาโพรงถ้ำตรงเชิงเขาที่แห่งหนึ่งเจออย่างรวดเร็ว — สภาพภูมิประเทศที่นี่เป็นเหมือนกับป่าหิน มีภูเขาที่มีความสูงแทบจะเท่ากันขึ้นอยู่เต็มไปหมด ภูเขาเล็กๆ แต่ละลูกมีขนาดประมาณเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ถ้าภูเขาเหล่านี้ไปตั้งอยู่ที่อื่นคงจะไม่มีใครสนใจมันแน่ แต่เมื่อตั้งอยู่ที่นี่ มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ามหัศจรรย์ ราวกับว่ายอดเขาเหล่านี้ถูกมือขนาดใหญ่แกะสลักให้เป็นแบบนี้
ช่องว่างระหว่างยอดเขานั้นกลายเป็นทางน้ำตามธรรมชาติ เวลาที่ฝนตกหนักมักจะมีน้ำป่าไหลทะลักลงมา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือสภาพอากาศบนภูเขาสูงนั้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างมาก ด้านนี้ของภูเขาอาจจะท้องฟ้าปลอดโปร่ง แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีฟ้าร้องครืนๆ นักสำรวจที่ไม่มีประสบการณ์ถ้าเลือกที่พักแรมอยู่ตรงช่วงรอยต่อระหว่างภูเขาเพราะความสะดวกล่ะก็ กลางดึกอาจจะถูกน้ำป่าพัดหายไปได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีที่หลบลมหลบฝนอย่างที่ดีอย่างที่คิดเอาไว้หรือไม่ จุดพักแรมก็ควรจะอยู่ในที่สูง
นับตั้งแต่ที่เข้ามาในพื้นที่ภูเขาที่ถูกเรียกว่าสันหลังของทวีปแห่งนี้ ไลต์นิ่งก็เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
นอกจากนี้ ภูเขาของที่นี่ก็ไม่เหมือนกับภูเขาที่อื่น ยอดเขาและหน้าผาตามปกติแล้วมันควรจะตรงชั้นขึ้นไป แต่ภูเขาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นทรงกลม รูปร่างมันดูแล้วเหมือนจะอ่อนยวบยาบ ด้านบนก็มีหลุมยุบตัวอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับว่ามันไม่ใช่สิ่งก้อนหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นของเหลวอะไรบางอย่างที่จับตัวเป็นก้อน
โชคดีที่พวกมันยังคงมีความแข็งของก้อนหินอยู่
ถ้ำที่เธอพักค้างแรมในวันนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ พื้นที่ในถ้ำมีขนาดประมาณ 10 กว่าตารางเมตร ด้านในมีเศษหญ้าและเศษกิ่งไม้อยู่ น่าจะเป็นเศษหญ้าและกิ่งไม้ที่พวกนกใช้ทำรัง หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าข้างในไม่มีอันตราย ไลต์นิ่งก็แจ้งตำแหน่งของถ้ำให้เมซี่ทราบ แล้วก็เริ่มเก็บกวาดภายในถ้ำ
ในตอนที่แสงสุดท้ายของวันหายลับไปและความมืดเข้ามาแทนที่ เมซี่ที่แปลงร่างเป็นนกฮูกหิมะก็บินมาถึงถ้ำแห่งนี้ เธอสลักขนก่อนจะแปลงร่างกลับเป็นคน พร้อมกับยกกระเป๋าที่กอดเอาไว้ตรงหน้าอกขึ้นมา “ดูสิว่าข้าหาอะไรมาได้จิ๊บ!”
ไลต์นิ่งรับเอากระเป๋ามา ด้านในมีไก่ภูเขาอยู่ตัวหนึ่งกับไข่นกขนาดใหญ่อีก 4 ฟอง นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากบนยอดเขาสิ้นสิถี แม้แต่เมซี่ที่มีประสบการณ์ในการล่าอันโชกโชนก็ไม่ว่าจะหาเสบียงแบบนี้กลับมาได้ทุกวัน
“ทำได้ดีมาก!”
ไลต์นิ่งลูกหัวอีกฝ่าย ส่วนเมซี่ก็ยิ้มกลับมา “ฮี่ๆ”
กองไฟถูกก่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอใช้ดินโคลนที่เก็บมาจากด้านล่างภูเขามาก่อเป็นเตาเพื่อบังแสงไฟไม่ให้เล็ดลอดออกไป ก่อนจะเอาดินมาโปะบนตัวไก่ที่ถอนขนออกไปแล้วโยนมันลงไปบนกองไฟ สุดท้ายก็ค่อยวางไข่ทับลงไป
หลังจากนั้น 30 นาที อาหารเย็นก็เสร็จเรียบร้อย
วิธีการทำอาหารแบบนี้ ทั้งสองคนทำตอนอยู่ในป่าเร้นลับมาแล้วหลายครั้ง เรียกได้ว่าพวกเธอมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก
หลังแกะเปลือกดินออก กลิ่นหอมก็ลอยพุ่งมาเตะจมูกทั้งสองคน
น้ำมันที่ไหลออกมาจากใต้ผิวทำให้เนื้อไก่เปล่งประกายแวววาว เครื่องเทศที่ยัดเอาไว้เต็มต้องถูกความร้อนกระตุ้นจนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลออกมา หลังเอาผิวนุ่มๆ ออกมา สิ่งที่เหลืออยู่คือเนื้อไก่นุ่มๆ มันไม่เหมือนเนื้อไก่ที่ถูกเอาไว้ย่างไฟตรงๆ เพราะการย่างแบบนี้จะทำให้เนื้อไก่ไม่มีรอยไหม้แม้แต่นิดเดียว เมื่อฉีกเนื้อออกมาจะเห็นได้ถึงความชุ่มฉ่ำของเนื้อ
เมื่อกินคู่กับไข่นกที่ถูกนึ่งจนสุก ไม่นานทั้งสองคนก็กินจนปากเลอะเทอะไปหมด แม้แต่หัวไก่ก็ยังแทะจนเกลี้ยง
“เฮ้อ” เมซี่ถอนหายใจออกมา “อาหารที่ตัวเองจับมาเนี่ยแหละอร่อยที่สุดแล้วจิ๊บ”
เจ้านี่ ตอนที่เจอกันครั้งแรกยังทำเป็นพูดบ่นตัวเองว่า ‘นี่เจ้าคิดจะกินนกทั้งตัวเลยเหรอ’ อยู่เลย
ไลต์นิ่งส่ายหัวยิ้มๆ ออกมา “วันนี้เจออะไรไหม? นอกจากของกินแล้ว”
“เอ่อ ไม่มีจิ๊บ…สภาพของที่นี่แทบจะเหมือนๆ กัน ถ้ามีร่างรอยของปีศาจ ข้าจะต้องเห็นแน่จิ๊บ”
ใช่จริงๆ ด้วย ถ้าสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่ใต้ดินล่ะก็ อาศัยแค่การค้นหาทางอากาศนั้นยากที่จะทำให้เจอร่องรอยของมันได้ ไม่รู้ว่ากองหนุนจากทาคิลาจะมาถึงที่นี่เมื่อไร ถ้าพวกนางสามารถชี้เส้นทางคร่าวๆ ได้ ต่อให้ตำแหน่งจะดูเลือนรางแค่ไหน แต่มันก็ดีกว่าการสุ่มค้นหาไปเรื่อยๆ แบบนี้
ไลต์นิ่งสลัดความคิดฟุ้งซ้านแล้วชี้ไปยังด้านหนึ่งของถ้ำ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ไปเป็นเตียงให้ข้าซะ!”
“เอ่อ….เข้าใจแล้วจิ๊บ” เมซี่เดินลากผมยาวๆ สีขาวของเธอไปยังตำแหน่งที่ไลต์นิ่งชี้ ก่อนจะนอนขดตัวแล้วแปลงร่างเป็นอสูรสยอง
ไลต์นิ่งดับไฟ ก่อนจะนอนลงไปตรงซอกท้องของเมซี่ เมื่อเทียบกับการนอนเบียดกันอยู่ในถุงนอนแล้ว เห็นได้ชัดว่าการนอนอยู่บนท้องเมซี่ที่แปลงร่างเป็นอสูรสยองนั้นมีความสบายมากกว่า อย่างน้อยท้องของเธอก็เป็นเหมือนเครื่องให้ความร้อนขนาดใหญ่ แล้วก็เพียงพอจะทำให้เธอไม่โดนลมหนาวพัดจนแข็งตายในเวลากลางคืน
แต่การนอนเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน ผิวหนังของอสูรสยองนั้นค่อนข้างหยาบ เรียกได้ว่าสามารถหยาบจนเอามาใช้โกนหนวดได้เลย ไลต์นิ่งอดคิดถึงขนนุ่มๆ ของโลก้าขึ้นมาไม่ได้
“เจ้ายังไม่นอนเหรอ?” เมื่อเห็นเธอควักเอาหินเรืองแสงขึ้นมา เมซี่จึงเหลียวหน้ามาถาม
“อื้อ ข้าต้องจดบันทึกเส้นทางของวันนี้ก่อน ใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้านอนไปก่อนเลย”
“อื้อ” เมซี่พูดเสียงงัวเงีย ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เธอพลันพูดงึมงำขึ้นมา “เจ้าจะพาข้าออกไปสำรวจแบบนี้ตลอดไปใช่ไหม?”
ไลต์นิ่งงุนงง ก่อนจะตอบเสียงเบาๆ ออกมา “แน่นอน”
เมื่อแอชเชสไม่อยู่แล้ว ข้าจะรับผิดชอบคอยดูแลเจ้าเอง
หลังได้ยินคำตอบนี้แล้ว ในที่สุดเมซี่จึงหลับตาลง
ไลต์นิ่งเหม่ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบเอาสมุดบันทึกออกมา
วันนี้เป็นวันที่สิบที่พวกเธอเข้ามาในพื้นที่ภูเขาทางเหนือของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว ระยะทางที่พวกเธอทำการค้นหาประมาณ 120 กิโลเมตร ยิ่งเข้าไปถึงยอดของเทือกเขาสิ้นวิถี เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเล็กของตัวเอง ในสถานที่ที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามานี้ เธอมองเห็นทิวทัศน์ที่ยากจะบรรยายได้มากมาย อย่างเช่นป่าหินที่กว้างใหญ่เหมือนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ น้ำตกน้ำแข็งที่ตกลงไปในทะเลทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ชั้นเมฆที่ต่อกันขึ้นไปเหมือนบันได แล้วก็รอยแยกขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกึ่งกลางของสันหลังของทวีป…เมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว เทือกเขาสิ้นวิถีที่แบ่งสี่อาณาจักรใหญ่นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ยืดขยายออกไปจากที่นี่เท่านั้น และภาพทิวทัศน์เหล่านี้ก็แอบซ่อนอยู่ด้านบนของภูเขา และถ้าไม่ข้ามหน้าผาที่สูงชันมาก็ไม่มีทางที่จะได้เห็นมัน
ไลต์นิ่งเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเธอถึงได้หลงไหลการสำรวจ
โลกนี้กว้างใหญ่เกินไป ถ้าไม่ลืมตาดู คนก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มีแต่ต้องทำความเข้าใจเท่านั้นถึงจะเอาให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้
การตัดสินใจเป็นนักสำรวจคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเธอ
แต่แน่นอน การสำรวจโลกนั้นค่อยทำวันหลังก็ได้ ไลต์นิ่งไม่ลืมว่าตัวเองยังมีหน้าที่อยู่ ถ้าบินออกห่างจากอีเทอร์นอลวินเทอร์มากขึ้นไป ประสิทธิภาพในการค้นหาไม่เพียงแต่ลดต่ำลง แต่มันยังทำให้กองหนุนต้องมาคอยกังวลด้วย เมื่อคำนวณดูจากเวลาแล้ว เรือรบ ‘โรแลนด์’ น่าจะใกล้ถึงเท่าเรือของอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วล่ะ
เธอกวาดตามองแผนที่ ก่อนจะจ้องมองไปที่รอยแตกขนาดใหญ่
เมื่อดูจากระยะไกล มันเป็นเหมือนพื้นที่ยกสูงขึ้นมาเหมือนป่าหิน แต่ตรงกลางกลับเป็นช่องว่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะระบุได้ว่ามันลึกเท่าไร
เมื่อเทียบกับป่าหินที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างน้อยที่ันั่นก็สามารถมองเห็นภาพตัดที่อยู่ใต้ชั้นหินได้
ถ้าเธอยังไม่พบร่องรอยของสายแร่หินอาญาสิทธิ์หรือว่าปีศาจ เธอก็ควรจะคิดแล้วว่าจะกลับไปรวมกับกองหนุนที่อีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วค่อยวางแผนต่อไปดีหรือไม่
……………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น