Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1199-1202

 ตอนที่ 1199 ความวุ่นวายในวูล์ฟฮาร์ท

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อากาศทำไมมันแย่อย่างนี้เนี่ย” บารอนจีน เบ็ตยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตามองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มพร้อมพูดว่า “ฝนจะตกอีกแล้วเนี่ย”


อ่าวดีพพูลที่อยู่ติดทะเลนั้นมีฝนตกอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงสองฤดูนี้ เหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังปลอดโปร่ง แต่ไม่ทันไรก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักนั้นมักจะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้เมืองจึงเมืองท่าแห่งนี้จึงมีการเตรียมพร้อมในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่พื้นถนนไปจนถึงระบบระบายน้ำ อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด ที่นี่ไม่เหมือนป้อมปราการโบรคเกนหรือเมืองเกรย์สโตนที่แค่ฝนตกก็ทำให้พื้นกลายเป็นแอ่งน้ำได้แล้ว ที่นี่ถึงฝนจะตกหนัก แต่อย่างมากก็แค่ทำให้การขนสินค้าช้าลงเท่านั้น แทบจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเมืองเลย


แทนที่จะบอกว่าอากาศไม่ดี ควรจะบอกว่าอารมณ์เขาไม่ดีมากกว่า


หลังฝนหยุดตก เมฆครึ้มยังหายไป แต่อารมณ์ของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น


“นายท่าน ท่านคิดหรือยังขอรับว่าจะตอบพวกเขาว่ายังไง?” ซุมที่เป็นเสมียนถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


“ตอบ?” บารอนหัวเราะหึหึขึ้นมา “โดนแขวนคอกับโดนเผา ถ้าให้เจ้าเลือก เจ้าจะตอบยังไง?”


“เอ่อ….” เสมียนเป็นใบ้ไปทันที


“ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? คอยดึงเวลาต่อไปแล้วกัน”


“แต่ว่า…” เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา


ความจริงถึงเขาจะไม่พูด แต่จีน เบ็ตก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยากที่จะประวิงเวลาต่อไปได้เรื่อยๆ ก็เหมือนเมฆที่ตั้งเค้าอยู่บนท้องฟ้า ไม่ว่าพ่อค้าจะไม่อยากเห็นพวกมันแค่ไหน แต่สุดท้ายพวกมันก็จะตกลงมาอยู่ดี


ต้นสายปลายเหตุทุกอย่างมาจากการทำสงครามกับศาสนจักรครั้งนั้น


หลังเมืองหลวงของวูล์ฟฮาร์ทถูกทำลาย ภายในคืนเดียวก็เหมือนจะมีลูกนอกสมรสของราชาแห่งวูล์ฟฮาร์ทปรากฏตัวขึ้นมาเยอะแยะเต็มไปหมด ผู้ปกครองแต่ละที่ต่างรวบรวมไพร่พลแล้วต่อสู้กัน ทุกคนต่างก็อ้างว่าตัวเองมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะปกครองอาณาจักร จากนั้นกองกำลังฝ่ายต่างๆ ก็ค่อยๆ แบ่งกลายเป็นสามกลุ่มใหญ่ ได้แก่ตระกูลโทคเคนที่ปกครองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตระกูลเรดสโตนเกทที่ปกครองดินแดนทางใต้ และตระกูลทัสก์ที่ปกครองพื้นที่ภูเขาทางตะวันออก


ตระกูลโทคเคนนั้นอยู่ค่อนข้างไกล พวกเขาจึงไม่ได้มาสร้างปัญหาให้กับอ่าวดีพพูล แต่อีกสองตระกูลหลังนั้นไม่เหมือนกัน ดยุคของทั้งสองตระกูลต่างก็อยากได้อ่าวดีพพูลมาเป็นพวกของตน เพื่อขยายฐานอำนาจของตน


ช่วงก่อนความขัดแย้งนี้ บารอนได้วางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาโดยตลอด ทำให้เมืองท่าแห่งนี้ฟื้นฟูสภาพกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำให้เขามีรายได้ไม่น้อยด้วย และเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงหรือเงินได้ทันเวลา บวกกับสถานการณ์ของทั้งสองฝั่งที่ัยังไม่แน่นอน ดยุคทั้งสองคนจึงไม่ได้บีบบังคับเขามากนัก


แต่เมื่อการกลืนกินและการขยายฐานอำนาจรอบใหม่เกินขึ้น ตระกูลทัสก์กับตระกูลเรดสโตนเกทจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น แล้วก็กลายเป็นตระกูลที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะปกครองวูล์ฟฮาร์ท บวกกับการที่จู่ๆ ตระกูลโทคเคนก็ปิดเส้นทางบนเขาเคจเมาเธ่น ทำให้ทั้งสองตระกูลนี้จึงพุ่งเป้ามาที่อ่าวดีลพูล


บารอนใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้สึกเลยว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร


ยึดอ่าวดีพพูล แล้วก็ตัดเส้นทางการค้าของฝ่ายศัตรู นี่จะต้องทำให้พวกเขาได้เปรียบอย่างมากในสงครามแย่งชิงอำนาจ ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงแต่จะส่งทูตมาเท่านั้น แต่พวกเขายังส่งอัศวินหลายสิบคนกับทหารรับจ้างอีกร้อยกว่าคนมาด้วย พวกเขาคิดจะทำอะไรไม่ต้องบอกก็คงจะรู้


ในอ่าวนั้นมีแค่หน่วยลาดตระเวนที่คอยรักษาระเบียบเอาไว้ แล้วก็องครักษ์ที่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับบารอน ถ้าจะรับมือกับพวกโจรสลัดที่ไม่มีเกราะหุ้มตัวนั้นก็ยังพอได้อยู่ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับอัศวินที่มีอาวุธและเกราะครบมือนั้นแทบจะไม่มีทางที่จะสู้ได้เลย จีน เบ็ตเองก็ไม่ได้คิดที่จะสู้ ถ้าหากทั้งสามตระกูลตัดสินแพ้ชนะได้และกำหนดตัวราชาออกมา เขาก็จะประกาศสวามิภักดิ์อย่างไม่ลังเลเลย ส่วนเรื่องที่ว่าราชาองค์ใหม่จะมีสายเลือดของราชาองค์เก่าหรือไม่นั้น เขาไม่ได้สนใจเลย


แต่เรดสโตนเกทกับทัสก์นั้นมีกำลังที่เท่าเทียมกัน


จะไปสวามิภักดิ์ฝั่งไหนก็ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น


ไม่ว่าเขาจะเลือกยืนอยู่ฝั่งไหน อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่มีทางที่จะนั่งมองดูตัวเองเสียเส้นทางการค้าไปเฉยๆ แน่ เพราะนั่นจะหมายความว่าทั้งเสบียงอาหารและอาวุธตัวเองต้องผลิตเองทั้งหมด แต่อีกฝ่ายกลับมีเสบียงและอาวุธมาคอยเติมอยู่เรื่อยๆ นี่เท่ากับเป็นการยื่นชัยชนะให้อีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย


ด้วยเหตุนี้ถ้าเขาไปสวามิภักดิ์กับฝ่ายหนึ่ง เขาก็จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งบุกโจมตี


อ่าวดีพพูลนั้นไม่ได้มีกำแพงที่แข็งแกร่ง แล้วก็ไม่ได้คูเมืองคอยล้อมรอบ ถ้าอยากจะสู้ ก็มีแต่ต้องพึ่งการสนับสนุนของฝ่ายที่ตัวเองไปสวามิภักดิ์


แต่ทั้งสองตระกูลจะยอมสนับสนุนเขาจริงๆ เหรอ?


บารอนไม่กล้าที่จะวัดดวง


ถ้าเขาเป็นดยุคของเรดสโตนเกทหรือไม่ก็ทัสก์ เขาก็ย่อมต้องคิดได้เหมือนกัน โดยเขาจะให้ชาวบ้านในอ่าวดีพพูลไปลดทอนกำลังของฝ่ายที่บุกโจมตีเข้ามาก่อน จากนั้นก็ฉวยโอกาสโจมตีกระหนาบ ทำให้อัศวินบาดเจ็บน้อยลง หรือพวกเขาอาจจะปล่อยให้ศัตรูเข้าไปในเมืองก่อน จากนั้นค่อยปิดทางหนีแล้วค่อยๆ จัดการก็ได้…เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการนั้นคืออ่าวดีพพูล หาใช่คนของที่นี่ไม้


พูดอีกอย่างก็คือถ้าไม่มีเขาจีน เบ็ต อ่าวดีพพูลอาจจะดีกว่านี้ก็ได้


ก็เหมือนกับที่เขาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ นี่คือการเลือกระหว่างแขวนคอหรือว่าถูกเผา


จีนจัดให้ทูตของทั้งสองฝ่ายอยู่ในค่ายเดียวกัน โดยหวังจะใช้ความเป็นศัตรูของพวกเขามาดึงเวลา ถ้าพวกเขาสู้กันขึ้นมาก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้เขายังได้จัดเหล้ายาปลาปิ้งกับผู้หญิงไปให้พวกเขาหลายครั้ง แถมยังจงใจให้พวกเขาเลือกพร้อมกัน แต่เสียดายที่ถึงแม้พวกเขาจะแย่งกันจะเป็นจะตาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีการชักดาบออกมาฟันกัน


“เปาะแปะ เปาะแปะ….”


ในที่สุดฝนก็ตกลงมา ภาพสวนดอกไม้ในคฤหาสน์ดูเลือนรางขึ้นมาเหมือนมีม่านบางๆ มากั้นเอาไว้อยู่


บารอนจ้องมองดอกไม้ที่สั่นไหวไปมาเบาๆ ท่ามกลางสายฝนโดยไม่พูดอะไร การรอคอยไปแบบนี้เรื่อยๆ นั้นไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหา แต่เขาคิดยังไงก็คิดหาทางรักษาความเป็นกลางแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ออก บรรพบุรุษเขาเคยพูดไว้บ่อยๆ ว่าขุนนางนั้นมักจะหวั่นไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์และอำนาจ ขอเพียงใช้ประโยชน์จากมัน เขาก็จะหาประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายได้ บางทีเขาอาจจะต้องใจเย็นลงและเลิกใช้ลูกไม้พวกนี้ แล้วก็หันมาคิดดีๆ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลุดจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้


ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่ดังเร่งรีบพลันดังแทรกความคิดของเขาขึ้นมา


“นะ นายท่าน แย่แล้วขอรับ!”


“จะลนลานอะไร มีอะไรก็ค่อยๆ พูด!” จีน เบ็ตถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หรือว่าอัศวินพวกนั้นจะสู้กันขึ้นมาแล้ว? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นมันเรียกว่าข่าวดีต่างหากล่ะ! เขาจ้องมองดูปากขององครักษ์ โดยหวังจะได้เห็นคำว่า ‘ค่าย’ หรือไม่ก็ ‘อัศวิน’ ออกมาจากปากอีกฝ่าย


“ทัพเรือ ทัพเรือของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลยึดน่านน้ำเอาไว้แล้วขอรับ!” แต่คำพูดขององครักษ์กลับเหนือไปจากที่เขาคิดไว้เอา ทำเอาเขาตกตะลคงไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่เท่านี้ พวกเขายังปิดพื้นที่ท่าเรือไม่ให้ใครเขาใกล้ด้วยขอรับ!”


“เจ้าว่าอะไรนะ? เกรย์…คาสเซิล?” บารานพูดทวนขึ้นมา “พวกเขาอยากจะมาซื้อขายอะไร? เดี๋ยวๆ ….เมื่อกี้เจ้าบอกว่าปิด?”


“ใช่ขอรับ!” องครักษ์พูดอย่างเร่งรีบ “พวกเขาไล่เรือที่จอดอยู่แต่แรกออกไปจากท่า แล้วก็อนุญาตให้แต่เรือของตัวเองเทียบท่าได้ แถมยังบอกอีกว่านี่เป็นการ ‘ยึดชั่วคราว’ อีกไม่นานทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ หน่วยลาดตระเวนอยากจะไปหยุดพวกเขา แต่ก็ถูกพวกเขาปลดอาวุธในพริบตา! จากที่ได้รับรายงานมา เรือของเกรย์คาสเซิลที่อยู่นอกอ่าวมีหลายร้อยลำเลยขอรับ!”


จีน เบ็ตรู้สึกเหลือเชื่อ “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นทัพเรือของราชาเกรย์คาสเซิล? ไม่ใช่สัญลักษณ์ของผู้ปกครองคนอื่นแน่นะ?”


“ขอรับ ข้าใช้กล้องส่องทางไกลดูแล้ว” องครักษ์ผงกหัวอย่างยากลำบาก “เป็นธงรูปหอคอยกับทวนของราชวงศ์เกรย์คาสเซิลจริงๆ ครับ”


พระเจ้า หรือว่าเกรย์คาสเซิลคิดจะบุกวูล์ฟฮาร์ท?


ทำไมวิมเบิลดันถึงไม่ไปบุกดินแดนอื่นที่ร่ำรวยกว่า แต่กลับอ้อมมาหาเขา?


ต่อให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลอยากจะขยายดินแดน เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มโจมตีจากทางทะเลนี่นา? ตระกูลโทคเคนป้องกันการโจมตีของกองทัพเกรย์คาสเซิลที่เอาชนะศาสนจักรได้เหรอ?


ไม่ มันไม่สมเหตุสมผลเลย…


บารอนรู้สึกภายในหัววุ่นวาย เขาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ


ซุมที่เป็นเสมียนเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค


บารอนตาสว่างขึ้นมาทันที!


ใช่แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่เขารอคอยมาตลอดก็ได้!


ความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลนั้นเป็นที่ประจักษ์ พวกเขาสามารถทำลายสถานการณ์แก่งแย่งชิงดีระหว่างสองตระกูลที่แข็งแกร่งนี่ได้ สมมติว่ากองทัพเรือนี้มาเพื่อขยายดินแดนให้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลจริงๆ แต่เมื่อมาถึงดินแดนแปลกหน้า ต่อให้แข็งแกร่งอย่างไรก็จำเป็นต้องมีความช่วยเหลือของขุนนางในพื้นที่ ขอเพียงเขาพูดชี้นำนิดหน่อย ไม่แน่อาจจะทำให้ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันเองก็ได้ เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าจะจงรักภักดีต่อใคร ถ้าหากเขาทำดีต่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิล บางทีตัวเองอาจจะได้อำนาจที่มากขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากเกรย์คาสเซิลก็ได้!


ต่อให้วิมเบิลดันแพ้ ตัวเองก็ไม่เสียอะไร


ในเวลานี้มีองครักษ์อีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “นายท่าน ทัพเรือของเกรย์คาสเซิลส่งทูตมาขอรับ เขาบอกว่ามีพระราชโองการจากฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน แล้วก็อยากจะคุยกับท่านขอรับ”


จีน เบ็ตกับเสมียนสบตากัน จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาเป็นแขกของเรา ไปบอกทูตว่าข้าพร้อมจะเจอพวกเขาทุกเมื่อ”


……………………………………………………………………….


ตอนที่ 1200 เจตจำนงของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ได้ทุกเมื่อ?” องครักษ์งุนงง “อย่างนั้นถ้าเกิดเป็นตอนนี้…”


“ได้แน่นอน”


นี่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบที่เหมาะเท่าไร ตามหลักแล้วเขาควรจะเชิญอีกฝ่ายให้พักผ่อนก่อนซัก 1 – 2 วัน จากนั้นค่อยจัดงานเลี้ยงหรูหราให้ ถ้าไม่พิธีรีตองอะไร อย่างน้อยก็นัดเวลาซักหน่อยก็ยังดี อย่างเช่นตอนกลางคืน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงตัวแทนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล


แต่บารอนนั้นไม่อยากจะรอแม้แต่นาทีเดดียว ถ้าไม่เป็นเพราะกลัวว่ามันจะดูเสียมารยาทเกินไป อีกทั้งด้านนอกฝนก็ยังตกอยู่ เขาก็อยากจะวิ่งไปหาอีกฝ่ายที่ท่าเรือเลย เพราะทัพเรือที่ใหญ่ขนาดนี้จะต้องทำให้ตระกูลทัสก์กับเรดสโตนเกตสังเกตเห็ฯได้ ถ้าเกิดพวกเขาไปติดต่อกับอีกฝ่ายก่อน เรื่องราวมันจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น


“เออใช่” เมื่อคิดถึงตรงนี้ จีน เบ็ตก็รีบบอกองครักษ์ว่า “เจ้าไปบอกเรื่องราวของสองตระกูลให้คนของเกรย์คาสเซิลรู้เรื่องหน่อยนะ บอกพวกเขาว่าที่อ่าวดีพพูลแห่งนี้มีข้าแค่คนเดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจได้”


“ขอรับ นายท่าน”


หลังองครักษ์ออกไปแล้ว จู่ๆ บารอนก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา


บางทีเขาไม่น่าไปบอกว่าเมื่อไรก็ได้เลย ถ้าเกิดอีกฝ่ายรออีก 1 – 2 วันค่อยมาหาเขาตามมารยาทจะทำอย่างไรล่ะ?


เขาควรจะพูดไปตรงๆ แต่แรกถึงจะถูก


ทำไมฝนถึงต้องมาตกตอนนี้ด้วย เหมือนว่าจงใจจะมาหาเรื่องเขาอย่างนั้นแหละ!


บารอนมองดูฝนนอกหน้าต่าง ก่อนจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง


แต่องครักษ์นั้นกลับมาเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ขณะเดียวกันยังนำข่าวที่ทำให้เขาดีใจกลับมาแจ้งด้วย


“นายท่าน พวกเขามาแล้วขอรับ”


จีน เบ็ตลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที “เร็ว พาพวกเขาเข้าไปในห้องรับแขกของข้า”


…..


ไม่นานบารอนก็มองเห็นแขกจากเกรย์คาสเซิลอยู่ในโถงรับแขกของคฤหาสน์


จำนวนคนที่เดินเข้ามานั้นมีไม่เยอะ มีทั้งหมดแค่ 10 คน ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นทหารยาม พวกเขาคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู คนที่เหลือสวมชุดค่อนข้างเป็นทางการ น่าจะเป็นพวกผู้ช่วยที่คอยจดบันทึก ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางน่าจะเป็นตัวแทนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล เขาสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง นั่นคือเสื้อคลุมที่อีกฝ่ายถอดแขวนไว้บนกำแพงเหมือนจะกันน้ำได้ ถึงแม้ข้างนอกจะมีฝนตกหนัก แต่ทุกคนกลับดูไม่เปียกเลย ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อคลุมตัวนั้นยังมีสีสันสดใส มันไม่ใช่ทั้งหนังแล้วก็ขนสัตว์ เห็นได้ชัดว่าเป็นวัสดุพิเศษ


ดูเหมือนข่าวลือที่บอกว่าในช่วงหลายปีมานี้ เกรย์คาสเซิลได้ผลิตของแปลกๆ ออกมาเป็นจำนวนมากจะไม่ใช่เรื่องโกหกซะแล้ว


แต่ว่าในตอนที่เขามองดูตัวแทนคนนั้นอย่างละเอียด เขากลับต้องแอบขมวดคิ้วขึ้นมา —- ชายคนนั้นคือชาวโมเกน ปกติคนป่าเถื่อนแบบนี้มักจะปรากฏตัวอยู่ในตลาดค้าทาส ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นขุนนางระดับสูงของเกรย์คาสเซิลได้?


เพียงแต่มารยาทที่บ่มเพาะมาเป็นเวลานานทำให้บารอนไม่ได้แสดงสีหน้าสงสัยออกมา เขาฉีกยิ้มอบอุ่นพร้อมกางสองมือออก “ข้าคือผู้ปกครองของอ่าวดีพพูล บารอนจีน เบ็ต ก็เหมือนอย่างที่พวกเจ้าได้เห็น เมืองแห่งนี้ทั้งเจริญรุ่งเรืองและสวยงาม เหมาะแก่การเป็นสถานที่พักผ่อนหลังจากเดินทางไกล ไม่ทราบว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”


ท่าทีเช่นนี้ถือว่ามีมารยาทมากพอแล้วล่ะมั้ง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นดยุคก็น่าจะยิ้มรับเอาไว้


แต่สีหน้าชาวโมเกนกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย “ข้าชื่อขวานเหล็ก เป็นแม่ทัพกองทัพที่หนึ่งของฝ่าบาท แล้วก็เป็นผู้รับชอบในการเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าขอพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน มีความเป็นไปได้สูงที่อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทนั้นจะกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความตาย ข้ารับพระราชโองการของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันผู้เป็นทั้งราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ชีคของชาวโมเกนและผู้ปกครองที่ราบลุ่มบริบูรณ์ให้มาช่วยเหลือประชาชนที่นี่”


อะไร…กันเนี่ย?


จีน เบ็ตนึกสงสัยหูของตัวเอง ชะ…ชีคงั้นเหรอ? นั่นมันฉายาอะไร? ที่ราบลุ่มบริบูรณ์อยู่ไหน? ถ้าโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป ที่บอกว่าอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทจะกลายเป็นสนามรบนั้นเป็นการขู่หรือเปล่า? ปัญหาก็คือมีใครที่ไหนพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปกติควรจะพูดหลังจากที่ตัวเองปฏิเสธไม่ใช่เหรอ? แต่เขาก็ไม่ได้ถามว่าตัวเองจะรับปากหรือไม่


“เอ่อ…”


กลายเป็นเสมียนที่ถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่า…กองทัพที่หนึ่งนั้นคือกองทัพที่เอาชนะศาสนจักรได้ใช่ไหมขอรับ?”


“ถูกต้อง” ชาวโมเกนพยักหน้า


“ท่านขวานเหล็ก พวกเราย่อมไม่อยากให้ไฟสงครามลามมาถึงที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อ่าวดีพพูลจะตัดสินใจเองได้ มันมักจะมีคนที่ละโมบอยากจะได้มากขึ้น หากท่านสามารถเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ วูล์ฟฮาร์ทก็จะไม่ต้องกลายเป็นสนามรบขอรับ”


ดีมาก! บารอนแอบพูดในใจ แบบนี้ก็เท่ากับดึงสองตระกูลนั่นลงมาได้แล้ว เขาแสดงทำเป็นพยักหน้าอย่างเสียใจ ก่อนจะมองไปทางขวานเหล็ก แต่เขากลับเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าอีกฝ่าย


“อาณาจักรนี้จะกลายเป็นสนามรบหรือไม่นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ในตอนที่ศัตรูมาถึง มนุษย์ทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันสู้กับมัน ความจริงสงครามมันได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่มันอยู่ในสถานที่ที่พวกเจ้าไม่รู้” ขวานเหล็กพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับศาสนจักร เกี่ยวกับเจตจำนงของพระเข้า แล้วก็เรื่องการโจมตีของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์มาบ้าง”


จีน เบ็ตตกตะลึง เขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของเมืองท่า เขาย่อมต้องเคยได้ยินข่าวลือประเภทนี้มาก่อน พวกพ่อค้านั้นเดินทางไปหลายๆ ที่ พวกเขามักจะได้รู้ได้เห็นเรื่องราวแปลกประหลาด แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เอาไว้พูดคุยกับบนโต๊ะอาหารเท่านั้น ถ้าเอามาเป็นหัวข้อพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไร แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับไม่ได้เหมือนว่าล้อเล่นอยู่เลย หรือว่า…


“ถูกต้อง เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องจริง” ขวานเหล็กพูดช้าๆ ชัดๆ


นอกหน้าต่างมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา


….


“ว้าว คนพวกนี้ทำขึ้นมาจากเหล็กเหรอเนี่ย?” เจ้าฉลาดเท้าแขนไปบนรั้วกั้นคอกม้า พร้อมกับมองดูที่ท่าเรือ


“ต่อให้เป็นเหล็กมันก็ขึ้นสนิมได้ ข้าว่าพวกเขาไม่ใช่คน” ไวท์เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนหลังม้าเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะจัดการกับเสื้อที่เปียกฝนของตัวเอง “มีคนธรรมดาที่ไหนจงใจไปยืนตากฝน? จะมีก็แต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละ”


ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ชั่วโมงกว่า คนหลายร้อยคนที่ลงมาจากบนเรือก็ควบคุมท่าเรือทั้งหมดเอาไว้อย่างรวดเร็ว พวกพ่อค้านั้นทยอยเก็บแผงไปตั้งแต่ก่อนที่ฝนจะตกนักแล้ว แต่พวกเขากลับกางเต็นท์ขึ้นมากลางลานโล่งๆ แต่พริบตาเต็นท์ที่เขียวดำนี้ก็กางจนเต็มพื้นที่เกือบครึ่งของท่าเรือ


นอกจากนี้คนของเกรย์คาสเซิลยังตั้งสิ่งกีดขวางขึ้นมาตรงปากทางเขาและพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง สิ่งที่ดูเหมือนท่อโลหะขนาดใหญ๋ถูกตั้งขึ้นมา พวกมันดูแล้วไม่เหมือนกับอาวุธเลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นไวท์ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นประกายเยือกเย็นที่สะท้อนออกมาผิวสีดำของมัน


ตรงหน้าสิ่งกีดขวางเหล่านี้จะมีคนคอยเฝ้าอยู่ ถึงแม้พวกเขาสวมชุดกันฝนเอาไว้ แต่การที่จะหลบฝนในสภาพอากาศแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ลมทะเลที่พัดเข้ามาจะพัดฝนจนกระจายเป็นละออง ก่อนจะเล็ดลอดเข้าไปตามช่องแขนเสื้อกับคอเสื้อ ไวท์พอจะนึกภาพเสื้อผ้าด้านในของพวกเขาที่เปียกฝนออก


ความรู้สึกแบบนั้นย่อมต้องไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่


อ่าวดีพพูลนั้นมีฝนตกอยู่เป็นประจำ ผู้ปกครองของเมืองแห่งนี้ก็มีการตั้งที่หลบฝนเอาไว้ที่บริเวณท่าเรืออยู่หลายที่ แต่คนพวกนี้เหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะไปหลบฝนเลย แม้แต่จะไปดูก็ยังไม่ไปดูด้วยซ้ำ บวกกับชุดกันฝนสีดำของพวกเขา ทำให้พวกเขาดูแล้วเหมือนก้อนหินที่กำลังตั้งอยู่กลางสายฝนอย่างไรอย่างนั้น


คนของเกรย์คาสเซิลบ้าไปแล้ว…ไวท์บ่นอยู่ในใจ


“เอ๋ มันแปลกๆ นะ” จู่ๆ เจ้าฉลาดก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา


“อะไรอีกล่ะ?” ไวท์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


“ท่านดูเรือที่พวกเขากำลังขนของลงมา แล้วก็ดูเรือที่จอดอยู่นอกท่าพวกนั้นสิ” เขาพูดพร้อมชี้ๆ “นั่นมันเรือใบสามเสาเหมือนกัน แต่ทำไมการกินน้ำของพวกมันถึงต่างกันมากขนาดนี้”


“กินน้ำ? คืออะไร”


“ท่านก็คิดซะว่ามันเป็นเกณฑ์เอาไว้วัดน้ำหนักที่บรรทุกแล้วกัน” เจ้าฉลาดโบกมือ “ถึงจะขนเอาของลงมาเยอะขนาดนั้นแล้ว แต่การกินน้ำของมันก็ยังเยอะกว่าเรือที่อยู่ข้างนอกนั่นตั้งเยอะ ไม่เข้าใจเลย…คนของเกรย์คาสเซิลทำแบบนี้ทำไม? หรือว่าพวกเขาแค่อยากจะสร้างสถานการณ์?”


“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?” ไวท์พูดอย่างหงุดหงิด


“ข้าหมายความว่า….เรือพวกนั้นอาจจะเป็นเรือเปล่า!” เจ้าฉลาดพูดเสียงเบาๆ


……


เมื่อขวานเหล็กหยุดอธิบาย จีน เบ็ตก็ได้สติกลับมา


เขาฟังเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยาวนานระหว่างคนกับปีศาจ ทุกๆ 400 ปีพวกมันจะวนกลับมาครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ปีศาจก็อาจจะบุกเข้ามาโจมตีจากทางเทือกเขาสิ้นวิถี!


“เจ้า…แน่ใจเหรอ?” ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ ด้านเหนือของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเต็มไปด้วยเทือกเขาที่เหมือนหน้าผางอกขึ้นมาจากพื้น แล้วจะบุกโจมตีมาจากทางนั้นเนี่ยนะ? ล้อเล่นหรือเปล่า!


“ไม่แน่ใจ ดังนั้นพวกเราจึงได้ส่องหน่วยสอดแนมออกไปแล้วเพื่อความไม่ประสาท” ขวานเหล็กยักไหล่ “แต่ไม่ว่าปีศาจจะบุกเข้ามาโจมตีมนุษย์จากทางไหนมันก็ไม่ได้ต่างกัน ถ้าไม่ร่วมมือกัน ชายขอบทวีปที่แคบๆ แห่งนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิง มนุษย์จะสูญพันธ์ทั้งหมด”


บารอนเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเบาหวิวขึ้นมา คล้ายว่าเขานั่งอยู่ให้ห้องรับแขก แต่กลับเหมือนว่าอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตัวเสมียนกับองครักษ์ก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกัน


“อะแฮ่มๆ เอาล่ะ ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงก่อนแล้วกัน” ผ่านไปครู่หนึ่ง จีน เบ็ตจึงกระแอมขึ้นมา “แล้วราชาแห่งเกรย์คาสเซิลส่งพวกเจ้ามาที่วูล์ฟฮาร์ททำไม? ถ้าจะสู้กับปีศาจจริงๆ พวกเจ้าก็ควรจะไปอีเทอร์นอลวินเทอร์ถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ?”


“อีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นย่อมต้องอยู่ในแผนอย่างแน่นอน ในจุดนี้เจ้าไม่ต้องกังวล จุดประสงค์ที่พวกข้ามาที่นี่นั้นง่ายมาก นั่นก็คือพยายามพาคนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสงครามออกไปให้ได้มากที่สุด ทั้งเสรีชน ทาส ผู้อพยพ คนเร่ร่อน” ขวานเหล็กชะงักไปเล็กน้อย “ยกเว้นก็แต่ขุนนาง พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่ความสมัครใจของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าให้ความร่วมมือกับกองทัพที่หนึ่งอย่างเต็มที่ ในตอนที่พวกเราถอนกำลังออกไปแล้ว ทั้งทรัพย์สมบัติ ที่ดิน ตำแหน่ง…ทั้งหมดจะเป็นของเจ้าทั้งหมด แต่ถ้าขัดขวาง….”


บารอนกลืนน้ำลาย


“เจ้าก็จะเป็นศัตรูของกองทัพที่หนึ่ง” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ


………………………………………………………………………


ตอนที่ 1201 พิสูจน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

จีน เบ็ตย่อมไม่อยากเป็นศัตรูของเกรย์คาสเซิลแน่นอน


ถึงแม้เขาจะไม่เคยได้ติดต่อกับคนของเกรย์คาสเซิลจริงๆ แต่เขาก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขามาไม่น้อย นักรบอาญาสิทธิ์ที่กวาดล้างวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์พ่ายแพ้ให้กับคนเกรย์คาสเซิล กองทัพพันธมิตรของขุนนางอาณาจักรดอว์นที่ปลุกระดมขึ้นมาก็ถูกทำลายลงในวันนี้ โรแลนด์ วิมเบิลดันที่ไร้ผู้ต่อกรภายในอาณาจักร ในเวลาแค่ครึ่งปีก็สามารถรวมอาณาจักรได้ รวมถึงข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเกาะอาชดยุคเมื่อไม่นานมานี้ก็มีความเกี่ยวกับเกรย์คาสเซิล


เดิมเขาคิดว่าข่าวลือพวกนี้มันก็น่าตกใจมากพออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา กองทัพที่หนึ่งจะไปสู้กับปีศาจอยู่ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ปกครองคนอื่นมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้เขาฟัง เขาจึงจะหัวเราะดูถูกออกมาแล้ว แต่ในตอนที่มันออกมาจากปากของแม่ทัพของกองทัพที่หนึ่ง บารอนกลับพบว่าตัวเองไม่กล้าที่จะสงสัยในคำพูดของอีกฝ่ายเลย


เพราะไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ อ่าวดีพพูลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิสูจน์ว่ามันจริงหรือเปล่า


ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าแผนการของราชาแห่งเกรย์คาสเวลนั้นยิ่งใหญ่อย่างมาก พูดอีกอย่างก็คือเป็นเรื่องเพ้อฝัน ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคือบัลลังก์ของวูล์ฟฮาร์ท เช่นนั้นจีน เบ็ตก็คงจะสวามิภักดิ์อย่างไม่ลังเล แต่นี่อีกฝ่ายกลับต้องการขนย้ายคนของทั้งสองอาณาจักรออกไปทั้งหมด! เมื่อได้ฟังที่แม่ทัพคนนี้พูดมาแล้ว พวกเขาเหมือนจะใช้ทุกทางในการเคลื่อนย้ายผู้คน ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือว่าทางทะเล โดยจะเริ่มจากชนบทก่อนแล้วค่อยเข้าไปในเมือง แถมยังดูเหมือนถ้าเคลื่อนย้ายไม่หมดก็ไม่ยอมเลิกราด้วย ความจริงขุนนางส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจหรอกว่าประชาชนจะเป็นหรือตาย ขอเพียงพวกเขาตายอย่างมีค่า หรือพูดอีกอย่างก็คือทำประโยชน์อะไรให้ แต่การที่ขนเอาคนออกไปจนหมดแบบนี้มันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะนั่นมันหมายความว่าในดินแดนจะร้างผู้คน ผลผลิตเก็บเกี่ยวไม่ทัน ภาษีลดต่ำ กิจการต่างๆ ไม่มีคนดูแล…ซึ่งพวกขุนนางไม่ยอมนั่งดูเรื่องนี้อยู่เฉยๆ แน่


ต่อให้กองทัพที่หนึ่งแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากที่จะเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งหมดพร้อมกันได้หรือเปล่า? เพราะว่าที่นี่ไม่ใช่เกรย์คาสเซิล ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากคนในท้องที่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนทัพหรือการขนส่งเสบียงก็จะเป็นไปอย่างยากลำบาก แถมพวกเขายังจะแบ่งกำลังแยกกันไปปฏิบัติการอีก เหมือนกับว่าพวกเขามองไม่เห็นขุนนางของทั้งสองอาณาจักรอยู่ในสายตาเลย


หลังนิ่งเงียบไปครู่ จีน เบ็ตจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมราชาแห่งเกรย์คาสเซิลถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย ถ้าเกิดปีศาจไม่ได้คิดที่จะบุกเข้ามาทางเทือกเขาสิ้นวิถี พวกเราที่อยู่ที่นี่ก็ยังสามารถช่วยสนับสนุนพระองค์ได้ แต่ถ้าเกิดขนคนออกไปหมดแล้ว ทั้งหมด ที่นา เหมืองก็จะว่างเปล่า นี่มันจะกลายเป็นความเสียหายที่ยากจะประเมินได้”


“ข้าไม่สามารถตอบคำถามของเจ้าในข้อนี้ได้ ในฐานะแม่ทัพของกองทัพที่หนึ่ง หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของข้าคือทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายมาให้สำเร็จ แต่ว่า…” ขวานเหล็กหยุดชะงักเล็กน้อย “ขอเพียงเจ้าได้ไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ดูเองซักครั้ง เจ้าก็จะรู้คำตอบเอง”


“เอาล่ะ อย่างนั้นข้าเหลือคำถามข้อสุดท้าย…” บารอนเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า ขุนนางจะไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ถ้าข้าตัดสินใจที่จะไปกับพวกเจ้าล่ะ?”


ขวานเหล็กพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านนี้คือเรมี เขาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการเคลื่อนย้ายคนของสำนักบริหารของเนเวอร์วินเทอร์ เขาจะอธิบายรายละเอียดให้เจ้าฟังเอง”


“สวัสดีขอรับท่านบารอน หากเป็นเช่นนั้นท่านก็จะกลายเป็นประชาชนคนหนึ่งของอาณาจักรเนเวอร์วินเทอร์” เจ้าหน้าที่รีบพลิกเอกสารที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว “สิ่งแรกที่ท่านสามารถมั่นใจได้ก็คือฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันทรงเป็นราชาที่มีเมตตา พระองค์ทรงไม่มีทางทอดทิ้งคนที่ทำความดีความชอบให้กับเกรย์คาสเซิล เนื่องจากเกรย์คาสเซิลได้ยกเลิกระบบศักดินาไปแล้ว ทั้งอาณาจักรอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ดังนั้นท่านจะสูญเสียสิทธิ์ในการรับสืบทอดที่ดินและศักดินา แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บริการที่มีประสบการณ์ ท่านจะสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักบริหารและกลายเป็นผู้ว่าการเขตได้ หรือไม่ก็เป็นตัวแทนของฝ่าบาทในการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ อย่างเช่นที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แต่แน่นอน…ถ้าปีศาจไม่ได้บุกเข้ามาในสี่อาณาจักรใหญ่ ท่านจะเลือกดูแลอ่าวดีพพูลต่อก็ได้ ถ้าโชคดี พื้นที่ที่ท่านรับผิดชอบอาจจะใหญ่กว่าตอนนี้หลายเท่า เพราะไม่ใช่ว่าขุนนางทุกคนจะตัดสินใจเช่นนี้….”


เนื้อหาในเอกสารนั้นยาวอย่างมาก อีกฝ่ายใช้เวลาอ่านอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะจบ ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อหาในแต่ละด้านยังผ่านการครุ่นคิดมาเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่จะเขียนขึ้นมาได้ในเวลาสั้นๆ จีน เบ็ตรู้ว่าคนที่เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจะต้องเป็นเสนาบดีที่มีความสามารถอย่างแน่นอน เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถเขียนเอกสารที่มีความครบถ้วนขนาดนี้ออกมาได้


พูดง่ายๆ ก็คือใช้ผลประโยชน์ระยะสั้นมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะยาว ขอเพียงแค่ทำผลงานได้ดี สิ่งที่เขาจะได้ก็จะมากกว่าการเป็นผู้ปกครองเมืองท่า ส่วนเมื่อเทียบกันแล้วมันจะคุ้มหรือไม่นั้น อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมอง


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอนาคตที่ยังไม่รู้ การด่วนตัดสินใจนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ในสถานการณ์ที่่ย่ำแย่ในตอนนี้ จะเลือกยังไงมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว


เมื่อเทียบกับการถูกแขวนคอหรือการถูกเผาแล้ว อย่างน้อยการรอคอยอนาคตก็ยังมีทางรอดมากกว่า


ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนย้ายประชากรขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ภายใน 1 – 2 ปี ในระหว่างนี้เขายังสามารถอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองของอ่าวดีพพูลได้ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกสองตระกูลจะมาทำอะไร


จีน เบ็ตสูดหายใจ “ข้ายินดีรับใช้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล”


“ตัดสินใจได้ฉลาดมาก” สีหน้าขวานเหล็กไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับคิดเอาไว้แล้วว่าผลต้องออกมาแบบนี้ “อย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็เริ่มเกณฑ์ชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบๆ ได้เลย พวกข้ามีหน่วยที่คอยรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ เดี๋ยวพวกเขาจะให้คำแนะนำแก่แจ้าเอง”


“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” บารอนงุนงง


“ถูกต้อง ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่นาน อย่างมาก 3 วัน กองทัพที่หนึ่งยังต้องเดินทางเข้าไปในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทต่อ”


“แต่ว่า..” จีน เบ็ตลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงกัดฟันพูดออกมาว่า “อัศวินของตระกูลทัสก์กับเรดสโตนเกทไม่มีทางปล่อยให้ข้าทำแบบนั้นแน่ บางทีพวกเขาอาจจะไม่แสดงตัวเองปรปักษ์กับเกรย์คาสเซิลอย่างเปิดเผย แต่อ่าวดีพพูลนั้นมีแต่หน่วยลาดตระเวน ถ้าพวกเขาอยากจะแทรกแซงคำสั่งของข้านั้นก็ทำได้ง่ายนิดเดียว”


คำพูดนี้มันดูแย่อย่างมาก เพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะพูดไปว่าคนที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวดีพพูลนั้นมีแต่เขาเพียงคนเดียว แต่บารอนก็รู้ดีว่าในเวลานี้เขาจำเป็นต้องพูดออกมา ไม่อย่างนั้นถ้าให้สองตระกูลนั้นรู้ว่าตัวเองไปสวามิภักดิ์ต่อเกรย์คาสเซิลล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงต้องก่อเรื่องขึ้นมาแน่ ขณะเดียวกันนี่ยังเป็นการหยั่งเชิงด้วยเหมือนกัน ถ้าหากอีกฝ่ายไม่สนใจใยดี อย่างนั้นคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ก็จะไม่น่าเชื่อถือ


แต่คำตอบของขวานเหล็กกลับเหนือไปจากที่เขาคิดเอาไว้


“อ่าวดีพพูลนั้นเป็นหัวใจสำคัญของแผนการเคลื่อนย้ายประชากรครั้งนี้ มันจึงไม่อาจมีอะไรผิดพลาดได้ ดังนั้นถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะออกไปจากที่นี่แล้ว แต่ข้าก็จะยิ่งคนคุ้มกันเอาไว้ร้อยกว่าคน” ชายชาวโมเกนพยักหน้าให้ผู้ติดตาม อีกฝ่ายรีบออกไปจากห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว “นอกจากนี้ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ข้าก็ได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ของวูล์ฟฮาร์ทมาบ้างแล้ว ก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นปรปักษ์อย่างเปิดเผยหรือไม่ก็ถือว่าเป็นการขัดขวางทั้งสิ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแผนการของฝ่าบาทแล้ว พวกข้าจึงมักจะใช้วิธีการอะไรบางอย่างที่ทำให้คนที่คิดจะขัดขวางล้มเลิกความคิดเหล่านี้ซะ”


“เจ้าหมายความว่า…”


“เทียบกับการพูดแล้ว เอาไว้เจ้าดูมันด้วยตาตัวเองดีกว่า” ขวานเหล็กลุกขึ้นยืน “วางใจได้ อีกไม่นานเรื่องที่เจ้ากังวลก็จะไม่มีอยู่แล้ว”


….


“ฝนนี่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย” เจ้าฉลาดยื่นมือออกไปรองน้ำฝนที่ตกลงมา


“แล้วยังไง” ไวท์ออกแรงทุบขาที่กำลังปวดของตัวเอง “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?”


“ข้าไม่อยากตัวเปียกนี่นา อีกฝ่ายเพิงนี้เป็นเพิ่งที่ท่านเจ้าเมืองสร้างเอาไว้ให้ทุกคนใช้ ข้าอยากจะอยู่นานเท่าไรก็ได้” เขาหันมาทำหน้าล้อเล่นไวท์


“เจ้า….” ชายแก่ถูกกวนจนพูดอะไรไม่ออก เจ้าเด็กบ้านี่ ดูเหมือนถ้าไม่สั่งสอนซักหน่อย เขาก็คงไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ในขณะที่ไวท์ยืดตัวขึ้นมาเตรียมจะสั่งสอนอีกฝ่าย เขาพลันสังเกตเห็นคนของเกรย์คาสเซิลเดินออกไปจากค่ายของพวกเขา


ถึงแม้ฝนจะกำลังตกอยู่ แต่คนเหล่านี้ก็ยังต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะย่ำเท้าเดินไปบนแผ่นหินที่ปูอยู่บนพื้น


สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดก็คือของที่พาดอยู่ด้านหลังของพวกเขา มันเป็นท่อเหล็กที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ประกายที่มันส่องออกมาดูเหมือนกับเจ้าท่อเหล็กสีดำที่ตั้งอยู่ตรงด่านเลย


ไวท์มองดูแผ่นหลังของชาวเกรย์คาสเซิลค่อยๆ หายไปในสายฝน แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนจะรู้ตัวขึ้นมาแล้วว่าความรู้สึกไม่สบายใจมันมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นท่อเหล็กสั้นหรือยาว แต่ท่อเหล็กเหล่านั้นก็ดูไม่เหมือนสิ่งที่ช่างเหล็กจะทำขึ้นมาได้เลย


คนอื่นๆ ที่หลบฝนอยู่ก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกัน ภายใต้เพิ่งมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา


แต่ไวท์กลับรู้สึกแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงพูดของเจ้าฉลาด


เขาหันหน้าไป ก่อนจะพบว่าข้างกายไม่มีใครอยู่แล้ว


………………………………………………………………………


ตอนที่ 1202 ศึกแห่งสายฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ค่ายของตระกูลเรดสโตนเกทกับตระกูลทัสด์นั้นตั้งอยู่ด้านข้างถนนหลักที่อยู่นอกเมือง ที่นี่เดิมทีเป็นสถานที่ที่เอาไว้ให้ทหารรับจ้างของคณะพ่อค้าได้ใช้พักแรม แต่ตอนนี้มันถูกเอามาให้คณะตัวแทนของทั้งสองตระกูลใช้พัก


เนื่องจากด้านหลังติดกับอ่าวดีพพูล จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอกับอันตรายอะไร ด้วยเหตุนี้รอบๆ ค่ายที่พักจึงมีแค่รั้วไม้เตี้ยๆ แม้แต่ประตูก็ไม่มี บวกกับสิ่งเดียวที่อาจจะเป็นภัยต่อคณะตัวแทนก็คือคณะตัวเองของอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝั่งจึงไม่มีความคิดที่จะไปเฝ้าดูประตูของอีกฝ่าย แถมยังมีการเอาหอกกับโล่มาตั้งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนด้วย


แต่หลายคนต่างก็รู้ดีว่าเส้นแบ่งเขตนี้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น ขอเพียงเจ้าเมืองของอ่าวดีพพูลยังไม่ตัดสินใจ คณะผู้แทนของทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีทางที่จะเปิดฉากสู้กัน ด้วยเหตุนี้การที่พวกเขาจัดคนเฝ้าประตูเอาไว้ก็เพียงเพื่อพอเป็นพิธีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ด้านนอกยังมีฝนตกหนักอีก


ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ทหารร้อยกว่าคนของกองทัพที่หนึ่งบีบเข้ามาถึงระยะ 200 เมตร คนของทั้งสองตระกูลก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย


จนกระทั่งเสียงตะโกนเตือนให้ยอมแพ้ดังฝ่าสายฝนขึ้นมา อัศวินของทั้งสองตระกูลถึงได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง


“นี่คือกองทัพที่หนึ่งของเกรย์คาสเซิล ตอนนี้พวกเราได้เข้าดูแลอ่าวดีพพูลแล้ว ตามกฎหมายของเนเวอร์วินเทอร์ ตอนนี้พวกเจ้าได้ทำผิดฐานบุกรุกและแทรกแซงด้วยอาวุธ พวกเจ้ามีเวลา 15 นาทีในการปลดอาวุธและยอมแพ้ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะใช้มาตรการบังคับ และพวกเจ้าต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบผลทุกอย่างหลังจากนี้!”


ถ้าจะใช้คำอะไรมานิยาม มันก็ควรจะเป็นคำว่าไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


หัวหน้าคณะตัวแทนของตระกูลทัสก์เลิกผ้าม่านออก ก่อนจะเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่นอกรั้วพร้อมถือกรวยรูปร่างแปลกๆ ส่งเสียงตะโกนออกมา อีกด้านหนึ่งไม่ไกลก็มีธงด้ามนึงปักเอาไว้ สัญลักษณ์ที่เป็นสีแปลกๆ บนนั้นดูเลือนราง แต่นั้นไม่ใช่ตราประจำตระกูลที่เห็นบ่อยๆ ของวูล์ฟฮาร์ทแน่นอน เพียงแต่เขาไม่สามารถเชื่อมโยงคนร้อยกว่าคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมากับเกรย์คาสเซิลเข้าไว้ด้วยกันได้ สำหรับเขาแล้ว นั่นเหมือนเป็นประเทศแปลกหน้าที่เดินทางมาจากแดนไกลที่ปกติมักจะปรากฏตัวขึ้นมาในข่าวลือต่างๆ เท่านั้น


นอกจากนี้คนพวกนั้นยังเอาผ้าใบมาคลุมไว้บนตัวแลวยืนตากฝน ดูแล้วน่าลำบากอย่างมาก พอมองดูไกลๆ ก็ทั้งรู้สึกสงสารแล้วก็น่าขัน บวกกับที่พวกเขาเอาแต่ตะโกนบอกให้คน 700 – 800 คนปลดอาวุธ นี่ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น


หัวหน้าคณะเดินลงมาชั้นล่าง ก่อนจะพบว่าทหารรับจ้างที่อยู่ชั้นหนึ่งต่างก็มายืนอออยู่ที่หน้าต่าง แล้วก็ใช้คำหยาบต่างๆ นาๆ ด่าทออีกฝ่าย อีกทั้งยังทำท่าทางต่ำๆ ด้วย ถ้าไม่เป็นเพราะข้างนอกมีฝนตกอยู่ เกรงว่าพวกเขาคงจะออกไปถุยน้ำลายพร้อมตะโกนด่าตรงหน้าแล้ว


สมแล้วที่เกิดมาเป็นคนชั้นต่ำ แต่ในฐานะที่เขาเป็นขุนนาง เขาจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้หน่อย


อย่างเช่นถ้าอีกฝ่ายเป็นคนของเกรย์คาสเซิลจริงๆ จะทำยังไง


หรือไม่ก็ควรจะดูปฏิกิริยาของเรดสโตนเกทก่อนว่าเป็นยังไง


เพราะว่าคนพวกนี้บอกให้ยอมแพ้ ซึ่งเขาไม่มีทางที่จะออกคำสั่งเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีเขาแค่คนเดียวส่งลูกน้องออกไปเจรจา เช่นนั้นจะยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นรองอีกตระกูล


ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันขนาดนี้ หัวหน้าคณะไม่รู้กังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะบุกโจมตีเข้ามาอย่างกะทันหันเลย เหล่าทหารรับจ้างหยิบอาวุธมาไว้ข้างกาย ในกลุ่ม ‘มนุษย์ผ้าใบ’ นั้นมองไม่เห็นม้าแม้แต่ตัวเดียว แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้ลูกน้องของเขารับมือแล้ว


ในขณะที่เขากำลังวางแผนต่างๆ อย่างชะล่าใจ เวลาก็ค่อยๆ เดินผ่านไปเรื่อยๆ เขามองข้ามคำเตือนของกองทัพที่หนึ่งไปโดยสิ้นเชิง พูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้รับรู้สึกความน่ากลัวในคำเตือนของอีกฝ่ายเลย


สำหรับขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทแล้ว การทำศึกเป็นเรื่องอะไรที่ต้องใช้เวลาและมีกระบวนการที่ชัดเจน ตั้งแต่การสังเกตการณ์ศัตรู วิเคราะห์วางแผน ออกคำสั่ง รวมพลเข้าโจมตีศัตรู ทุกอย่างล้วนแต่ค่อยเป็นค่อยไป ต่อให้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างศาสนจักรก็หนีไม่พ้นขั้นตอนเหล่านี้เหมือนกัน


เรียกได้ว่ากองทัพที่หนึ่งที่ผ่านการทำศึกกับปีศาจมาแล้ว เพียงแค่ในด้านความคิดก็แตกต่างกับขุนนางเหล่านี้โดยสิ้นเชิง


สงครามระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แทบจะไม่มีใครได้ทันตั้งตัว


ในตอนที่เวลาเดินครบ 15 นาที สิ่งที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงแรกคือเสียงปืนครก พวกมันเข้ามาแทนที่ปืนใหญ่สนามรุ่นก่อนหน้าที่ทั้งหนักและใช้งานไม่สะดวก ถึงแม้อานุภาพของมันจะไม่อาจเทียบกับปืนใหญ่ป้อมได้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะใช้จัดการพวกป้อมที่สร้างขึ้นมาจากไม้ เนื่องจากนั้นสามารถถอดประกอบแล้วแบกขึ้นหลังได้ เหล่าทหารจึงพึ่งพาอาวุธชนิดนี้อย่างมาก ในศึกรวมอาณาจักร พวกเขามักจะใช้มันเป็นสัญญาณในการเปิดฉากโจมตี


ค่ายพักที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตรกลายเป็นผุยผงในพริบตา เสียงตะโกนด่าของคณะตัวแทนเองก็ถูกเสียงระเบิดกลบไปจนหมด ที่พักที่สร้างขึ้นมาจากไม้ไม่สามารถต้านการการโจมตีของปืนครกได้ กระแสอากาศที่เกิดจากการระเบิดฉีกเสากำแพงและหน้าต่างเป็นชิ้นๆ หลังจากกระหน่ำยิ่งไปหลายรอบ ที่พักภายในค่ายก็ถล่มลงมา


หัวหน้าหน่วยของกองทัพที่หนึ่งออกคำสั่งให้บุกเข้าไป


ทหารยกปืนแล้วเข้าไปล้อมค่ายเอาไว้


ศัตรูส่วนใหญ่ยู่ด้านหลังค่าย เพียงแต่ทั้งสองตระกูลนั้นไม่สามารถทำการตอบโต้อะไรได้เลย ทหารรับจ้างที่ไม่กลัวตายวิ่งฝ่าหมอกควันออกมา แต่ก็ถูกเสียงปืนที่ดังขึ้นยิงล้มลงไปกับพื้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกศัตรูลอบยิงธนูใส่ กองทัพที่หนึ่งจึงเฝ้ารออยู่ด้านนอกค่ายจนกระทั่งกลุ่มควันถูกส่ายฝนชะจนหายไป พวกเขาถึงจะพังรั้วบุกเข้าไปด้านใน


ทหารทุกคนยิงปืนอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขามีเมตตาแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะพวกเขาต่างรู้ว่าในเหมืองของฝ่าบาทกำลังต้องการแรงงานจำนวนมาก


ขณะเดียวกัน เสียงเตือนให้ยอมแพ้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง


ครั้งนี้หลายๆ คนเลือกที่จะทำตาม


การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็จบลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึง 30 นาที ภัยคุกคามที่ทำให้บารอนลำบากใจก็ถูกกำจัดไปจนสิ้น


…..


หลังกลับมาถึงคฤหาสน์ จีน เบ็ตยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ต่อสู้ก่อนหน้านี้อยู่


ถึงแม้เขาจะพอรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลมาแล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ นี่ดูไม่เหมือนการต่อสู้ปกติที่เขาเคยเห็นมาเลย


ในที่สุดตอนนี้บารอนก็เข้าใจคำพูดของขวานเหล็กที่บอกว่า ‘ถ้าเทียบกับการพูดแล้ว เจ้าไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเองจะดีกว่า’ — ในฐานะที่ได้ไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาตัวเอง เขาไม่สามารถใช้คำพูดมาบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นได้จริงๆ ถ้าจะพูดให้ได้ มันก็เหมือนเป็นความสุขจากการได้เห็นอย่างหนึ่ง ทหารของเกรย์คาสเซิลเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายฝน ไม่มีคำพูดฟุ่มเฟือยหรือการสนทนา ความเงียบที่ไร้ซึ่งซุ่มเสียงกับเสียงระเบิดกัมปนาทมันช่างเป็นภาพที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่ามันสร้างความประทับใจได้มากกว่าอาวุธที่พวกเขาใช้เสียอีก


คนเหล่านี้ผ่านอะไรมากันแน่ถึงได้กลายเป็นแบบนี้?


“ตอนนี้เจ้าเชื่อแล้วใช่ไหมว่าพวกข้าสามารถปกป้องอ่าวดีพพูลได้?” เสียงพูดของขวานเหล็กดังแทรกความคิดเขา


จีน เบ็ตพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นอกจากพยักหน้า


“วางใจได้” อีกฝ่ายยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกองทัพที่หนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะรับใช้ฝ่าบาทแล้ว ศัตรูหน้าไหนก็ตามที่โจมตีอ่าวดีพพูลก็เท่ากับเป็นการก้าวล่วงอำนาจของฝ่าบาทด้วย นี่ไม่ใช่ปัญหาของเจ้าเพียงคนเดียวอีกต่อไป อย่าลืมสิ ตอนนี้เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเกรย์คาสเซิลแล้ว”


ส่วนหนึ่งของเกรย์คาสเซิล? ช่างเป็นคำพูดที่แปลกจริงๆ…บารอนคิดในใจ เขาอยู่วูล์ฟฮาร์ทมานานขนาดนี้ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ใดๆ กับอาณาจักรมาก่อน แต่ในน้ำเสียงของแม่ทัพกองทัพที่หนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้เหมือนจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรอย่างนั้น


เขาไม่ค่อยๆ เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่เขากลับพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกปฏิเสธคำพูดนี้


หลังนิ่งเงียบไปครู๋ จีน เบ็ตจึงถอนหายใจออกมา “เรื่องเกณฑ์ชาวบ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


……………………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)