Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1197-1198

 ตอนที่ 1197 ไฟแห่งอารยธรรม

โดย

Ink Stone_Fantasy

การทดสอบด้วยเครื่องบินจริงที่ดำเนินไปเกือบหนึ่งสัปดาห์เรียกได้ว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโรงเรียนอัศวินอากาศอย่างมาก ในที่สุดการฝึกสอนนักบินฝึกหัดก็ก้าวเข้าสู่การฝึกสอนอย่างเต็มรูปแบบ แต่ผลกระทบของมันไม่ได้ส่งผลแค่ในโรงเรียนเท่านั้น


ความจริงแล้วในวันที่ทำการทดสอบก็มีคนที่สังเกตเห็น ‘ว่าวยักษ์’ ที่บินวนไปมาบนฟ้าเหนือเมืองทางทิศใต้ ถึงแม้บางครั้งทิลลีจะขับยูนิคอร์นผ่านปราสาทราชาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่เธอจะไปทำการทดสอบการบินอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคน ทำให้คนส่วนใหญ่เพียงแต่เคยได้ยินว่ามีเครื่องบินอยู่ แต่ยังไม่เคยได้เห็นมันจริงๆ


แต่เมื่อมาอยู่ในโรงเรียนอัศวินแล้วก็ไม่ต้องมีความกังวลในเรื่องนี้เลย ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นต่างก็ทยอยเดินทางมายังพื้นที่ทางทิศใต้ของเมือง ก่อนจะมายืนล้อมอยู่สองฝั่งของรันเวย์เพื่อรอดูวินาทีที่เครื่องบินพุ่งผ่านกำแพงออกไป ตอนแรกคนที่มาดูก็เป็นเพียงชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ท่าเรือน้ำตื้นกับเขตโรงงาน แต่หลังจากข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว พอถึงวันที่สามก็มีชาวบ้านมามุงดูเต็มไปหมด ทุกครั้งที่มีเครื่องบินปรากฏขึ้นตรงหน้า ในกลุ่มชาวบ้านจะมีเสียงโห่ร้องและเสียงอุทานดังสนั่นขึ้นมา เหมือนกับว่าคนที่ขึ้นไปบนฟ้าคือตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


ฮันนี่นั้นฉวยโอกาสนี้ใช้หัวข้อ ‘ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง’ เป็นพาดหัวข่าว แล้วก็ใช้หน้าแรกรายงานการทดสอบที่จัดขึ้นในโรงเรียน อีกทั้งยังมีการลงภาพเครื่องบินปีกสองชั้นเอาไว้ชัดๆ ด้วย แค่พริบตา ‘เกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์’ ก็สร้างยอดขายสูงสุดขึ้นมาใหม่


ในช่วงจังหวะนี้มีพ่อค้าบางคนที่ได้กลิ่นโอกาสทำเงิน หลังจากที่หนังสือพิมพ์ขายหมดแล้ว มีพ่อค้าต่างถิ่นจำนวนไม่น้อยที่เริ่มซื้อหนังสือพิมพ์มาจากชาวบ้านด้วยราคาสูง คนที่มีเงินทุนไม่พอก็จ้างคนให้มาคัดลอก แม้แต่ภาพเครื่องบินก็ใช้มือวาดขึ้นมา แค่พริบตาก็ทำให้ราคากระดาษในตลาดสูงขึ้น


ภายใต้กระแสลมอันรุนแรงนี้ ชื่อเสียงของอัศวินอากาศก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์


โรแลนด์เองก็ได้รายงานสรุปจากทิลลีหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์


นักบินฝึกหัด 197 คน ผ่านการทดสอบ 150 คน พูดอีกอย่างก็คือในระหว่างการสอบมีอุบัติเหตุเครื่องบินตกจากการควบคุมผิดพลาดทั้งหมด 47 ครั้ง เครื่องบินล็อตแรกมีทั้งหมด 4 เครื่อง ก็เท่ากับว่าแต่ละลำเกิดอุบัติเหตุประมาณ 11 ครั้งกว่า


ฟังดูแล้วเหมือนจะค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ แต่โรแลนด์รู้ดีว่าโครงสร้างเครื่องบินเหล่านี้นั้นเรียบง่าย มีน้ำหนักเบา ขอเพียงเครื่องยนต์ไม่เสียหาย ไม่นานก็สามารถซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ บวกกับการตกหลายครั้งก็เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังร่อนลงจอด ถ้าความเร็วไม่ช้าเกินไปก็เร็วเกินไปจนทำให้ล้อลงจอดพังจนต้องอาศัยท้องของเครื่องบินในการช่วยหยุดเครื่องบิน ความเสียหายแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในยุคสมัยของเครื่องบินปีกสองชั้น แค่ลากกลับมาซ่อมๆ ก็ใช้บินใหม่ได้แล้ว


แต่เครื่องบินที่ผ่านการซ่อมแซมย่อมต้องใช้ไม่ดีเหมือนของใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงาน ทิลลีเองก็บอกว่าตอนนี้เครื่องบินอีกสองลำที่ยังบินได้มีประสิทธิภาพที่ลดลงอย่างมาก เพื่อจะทำให้การเรียนการสอนมีคุณภาพแล้ว ทางโรงเรียนจำเป็นต้องมีเครื่องบินสองปีกชุดใหม่อีกชุดหนึ่ง นอกจากนี้เนื่องจากเนื้อหาในการฝึกที่เพิ่มขึ้นและการเกณฑ์นักบินที่มากขึ้น ทำให้เครื่องบินแค่ 4 ลำนั้นไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เมื่อดูจากประสิทธิภาพการฝึกซ้อมโดยรวมแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเครื่องบิน 12 – 15 ลำ


โรแลนด์พบว่าไม่ว่าเขาจะพลิกรายงานดูยังไง ตัวหนังสือที่อยู่ในนั้นก็เหมือนจะพูดอยู่แค่ประโยคเดียว นั่นคือ ‘ข้า กองทัพอากาศ ต้องการเงิน’


หลังวางรายงาน เขาก็ส่ายหัวออกมาอย่างเหนื่อยใจ เรียกได้ว่าทิลลีนั้นมีพรสวรรค์ในด้านนี้จริงๆ เพิ่งจะเริ่มต้นก็สามารถเข้าใจเรื่องกองทัพอากาศอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ความจริงถ้าอยากจะตั้งหน่วยรบทางอากาศที่ดีขึ้นมาก็จำเป็นต้องมีทั้งคนที่มากพอให้คัดเลือก แล้วก็มีเครื่องบินมากพอให้ได้ใช้ ทั้งสองอย่างไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้


ตอนนี้อุตสาหกรรมแต่ละอย่างของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ล้วนแต่ต้องการแรงงานอย่างเร่งด่วน การจะสร้างฝูงบินจำนวนมากขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆ นั้นยากจะทำให้กลายเป็นจริงได้


ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากทิลลีแล้ว ทางกองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ก็ส่งรายงานการสังเกตการณ์มาให้ด้วยฉบับหนึ่ง คนที่เขียนรายงานมาก็คือเอดิธส์ เคนท์


รายงานนั้นสั้นกระชับ แต่เนื้อหากลับน่าสนใจอย่างมาก


ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ ขอเพียงใช้งานได้เหมาะสม อัศวินอากาศก็อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ หรืออาจจะกลายเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะเลยก็ได้ เธออยากจะคัดคนจากในกองบัญชาการเสนาธิการใหญ่มาตั้งหน่วยวิจัยเล็กๆ แล้วให้มาประจำการอยู่ในโรงเรียนเพื่อทำความเข้าใจความสามารถของอาวุธชนิดใหม่ แล้วก็จะได้ใช้ในแผนการหลังจากนั้น ขณะเดียวกันเธอยังคิดถึงแผนการรบบางอย่างที่มีแต่อัศวินอากาศเท่านั้นที่ทำได้ แล้วก็อยากจะคุยกับโรแลนด์เป็นการส่วนตัว อารมณ์ที่ทนรอไม่ไหวของเธอเรียกได้ว่าแทบจะกระโดดออกมาจากกระดาษ


เอดิธส์น่าจะเป็นคนธรรมดาในบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่ให้ความสนใจเครื่องบินมากที่สุดแล้วล่ะ ทันทีที่เห็นขีดความสามารถในการผลิตออกมาเป็นจำนวนมากแล้วสามารถคิดโยงไปถึงการทำสงครามได้ ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าแผนการของเธอจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่เพียงแค่ความคิดอันว่องไวตรงนี้ก็ทำให้คนต้องตกตะลึงได้แล้ว


ในขณะที่โรแลนด์กำลังจะเรียกเอดิธส์เข้ามาพูดคุยเรื่องอัศวินอากาศ นอกห้องทำงานพลันมีเสียงองครักษ์ดังขึ้นมา “ฝ่าบาท ท่านคาร์ล ฟอร์เบิร์ตอยากจะขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”


เขาดึงมือที่วางอยู่บนโทรศัพท์กลับมา “ให้เขาเข้ามา”


“พ่ะย่ะค่ะ”


“ฝ่าบาท” คาร์ลเดินเข้ามาห้องทำงานพร้อมถวายบังคม “‘ตึกปาฏิหาริย์’ ของพระองค์สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


……


เมื่ออยู่ด้านล่างตึกอันสูงใหญ่พร้อมเงยหน้ามองขึ้นไป โรแลนด์นั้นรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของคำว่ามหัศจรรย์


ต้องใช้เวลาในการสร้างเกือบ 2 ปี เงินอีกนับหลายหมื่นเหรียญทอง เหล็กที่พอที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแดงถึง 3 แห่ง แล้วก็คอนกรีตที่มองพอจะกองเป็นภูเขาเล็กๆ ถึงจะทำให้ตึกแห่งนี้สร้างจนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากแม่มดอย่างเล่นลีฟหรือฮัมมิ่งเบิร์ด แรงงานคนและทรัพยากรที่ต้องใช้เกรงว่าคงจะมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าแน่


โบราณมีคำกล่าวว่าความมหัศจรรย์นั้นทำลายประเทศ แต่หลังจากที่ตึกหลังนี้สร้างเสร็จ มันก็ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างที่ไม่อาจมีอะไรมาเทียบได้ จุดนี้สามารถเห็นได้จากการที่มีประชาชนแห่กันมาชมพิธีสร้างตึกเสร็จเรียบร้อย


เมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยที่สูง 2 – 3 ชั้นที่อยู่รอบๆ แล้ว ตึกปาฏิหาริย์ที่สูง 56 เมตรนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโดดเด่นอย่างมาก แม้แต่โรแลนด์ที่เห็นตึกสูงมาจนชินก็ยังรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อได้เห็นมัน


ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มันจึงไม่ได้เป็นเพียงงานวิศวกรรมอย่างง่ายๆ เพื่อเอาหน้าเท่านั้น หากแต่เป็นการรวบรวมเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่นปัญหาระบบน้ำประปา คาร์ลก็ได้ติดตั้งถ้ำน้ำเอาไว้หลายถังตามชั้นต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาสูบน้ำไม่ขึ้น


นอกจากนี้ทั้งสี่มุมของตึกหลักยังมีการติดตั้งลิฟท์เอาไว้ด้านนอกด้วย พวกมันใช้เครื่องจักรไอน้ำที่อยู่ในห้องใต้ดินในการขับเคลื่อน สามารถบรรทุกคนขึ้นไปชั้นบนครั้งหนึ่งได้หลายสิบคน ถึงแม้มันจะไม่ได้ฉลาดเหมือนลิฟท์สมัยนี้ เพราะจำเป็นต้องมีคนคอยควบคุม แล้วก็ไม่สามารถทำให้มันหยุดในทุกๆ ชั้นได้ แต่สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว มันก็ยังเป็นการออกแบบที่น่าตกตะลึงอยู่ โดยเฉพาะตัวลิฟท์ที่มีการใช้กระจกใสบานใหญ่ เวลาที่โดยสารลิฟท์ก็สามารถมองดูวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองได้ เรียกได้ว่าเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งเลยทีเดียว


“ฝ่าบาท ตรัสอะไรหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หลังขึ้นไปบนตึกแล้ว คาร์ลจึงพูดขึ้นมา “ประชาชนของพระองค์กำลังรอพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์พยักหน้า ก่อนจะเดินไปรั้วกั้นพร้อมกับโบกมือให้กับประชาชนที่อยู่ด้านล่าง


ชาวเมืองส่งเสียงเฮขึ้นมาทันที


“สวัสดียามบ่าย ชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทุกคน”


“วันนี้เป็นวันที่ตึกปาฏิหาริย์สร้างเสร็จเรียบร้อย มันได้สร้างสถิติของโลกนี้ขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน และประวัติศาสตร์ก็จะต้องจารึกวันนี้เอาไว้ แต่สิ่งที่ข้าจะพูดที่นี่นั้นไม่ใช้เรื่องที่ว่ามันมีความยิ่งใหญ่อย่างไร หากแต่เป็นปัญหาที่พวกเจ้าสนใจมากที่สุด นั่นก็คือใครจะมาอยู่ที่นี่? หรือพูดอย่างก็คือ…มันสร้างขึ้นมาเพื่อใคร?”


“ขุนนางงั้นเหรอ? ไม่ เกรย์คาสเซิลได้ยกเลิกอำนาจของขุนนางศักดินาไปแล้ว ราชวงศ์เหรอ? ย่อมไม่ใช่แน่นอน ข้าไม่ได้ต้องการที่อยู่ที่ใหญ่ขนาดนี้มาวางเตียงนอนของข้า ความจริงแล้วคำตอบนั้นง่ายมาก คนที่จะมาอยู่ที่นี่ก็คือประชาชนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ หรือก็คือพวกเจ้าทุกคน”


“พวกเจ้าเป็นคนสร้างตึกปาฏิหาริย์แห่งนี้ ดังนั้นพวกเจ้าย่อมต้องมีสิทธิ์ที่จะได้สัมผัสกับปาฏิหาริย์อันนี้!”


“ทุกห้องในอาคารแห่งนี้จะขายในราคาพิเศษ ไม่จำเป็นต้องมีสิทธิพิเศษ ไม่จำเป็นต้องมีชาติตระกูล มีแค่บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถมาทำเรื่องของซื้อและเข้ามาอยู่ในสิ่งก่อสร้างที่ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้!”


พอพูดจบก็มีเสียงตะโกนดังกระหึ่มขึ้นมาทันที


“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”


“เมืองเนเวอร์วินเทอร์จงเจริญ!”


กระทั่งเสียงตะโกนเบาลงแล้ว โรแลนด์จึงค่อยๆ พูดว่า “ตอนนี้ ข้าจะจุดคบเพลิงขึ้นที่ดาดฟ้าของตึก หลังจากนี้ทุกครั้งที่ความมืดมาเยือน มันก็จะลุกโชนขึ้นมาและกลายเป็นแสงดาวที่สุดสกาวที่สุดบนท้องฟ้าของเมืองเนเวอร์วินเทอร์!”


ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวเมือง เขาพาคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหารขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นดาดฟ้าของตึก


ตรงกลางชั้นดาดาฟ้ามีกระถางหินใบใหญ่เอาไว้ใบหนึ่ง ตรงกลางมีน้ำมันสีดำเติมเอาไว้จนเต็ม น้ำมันหนักที่ผ่านกรรมวิธีพิเศษนี้ไม่เพียงแต่จะลุกไหม้ได้เป็นเวลานาน แต่มันยังไม่มีกลิ่นเหม็นและควันด้วย ถือเป็นเชื้อเพลิงที่เหมาะที่สุดสำหรับการจุดคบเพลิงเป็นเวลานาน


“ฝ่าบาท” ไนติงเกลส่งคบเพลิงอันหนึ่งให้เขา


โรแลนด์พยักหน้า ก่อนจะรับเอาคบเพลิงมาแล้วเดินไปยังกระถางหิน


ภายในหัวเขาเหมือนมีท่วงทำนองอันอ่อนโยนและบทพูดอันคุ้นเคยดังขึ้นมา


‘นับจากที่ต้นอ่อนแห่งชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาที่ใต้น้ำ…ท่านได้ผ่านอะไรมามากมาย…’


เขายิ้มุมปากขึ้นมาพร้อมกับจ่อคบไฟลงไป


ถ้านี้เป็นเปลวไฟแห่งการขยายอารยธรรมของมนุษย์ อย่างนั้นก็หวังว่ามันจะลุกไหม้อยู่อย่างนี้ตลอด


…………………………………………………………..


ตอนที่ 1198 แขกต่างแดน

โดย

Ink Stone_Fantasy

อ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสองเมืองท่าของอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท เขตท่าเรือของที่นี่จึงมักจะครึกครื้นอยู่เสมอ ทุกวันจะมีคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากในอาณาจักรจำนวนมากเอาสินค้ามาส่งขึ้นเรือไปขายยังอาณาจักรอื่น หรือไม่ก็เอาสินค้ามาแลกเป็นของที่ตัวเองต้องการ ด้วยเหตุนี้เขตท่าเรือจึงเหมือนเป็นตลาดขนาดใหญ่ ตั้งแต่ขนสัตว์ไปจนถึงทาส อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด


ไวท์นั่งขี้เกียจอยู่บนรถม้าของตัวเอง ด้านหนึ่งก็ฟังเสียงบ่นของคนงานที่อยู่ข้างๆ รถ อีกด้านก็มองออกไปทางทะเล


หลังจากที่เฮอร์มีสทำศึกกับเกรย์คาสเซิล ภารกิจส่งเด็กกำพร้ากลับไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องหยุดลง เขาซึ่งขาดรายได้พิเศษไปใช้ชีวิตลำบากขึ้นมาทันที แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือระเบียบต่างๆ ของอาณาจักรที่ถูกศาสนจักรทำลายลงกลับไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาหลังจากที่สงครามจบลง ผู้ปกครองของแต่ละที่ยังคงทะเลาะกันไม่หยุด เขาซึ่งต้องอาศัยรถม้าในการเลี้ยงชีพแทบจะสูญเสียแหล่งรายได้ที่มั่นคงไป เขาจึงต้องมาหาโอกาสใหม่ที่อ่าวดีพพูล


ถึงแม้ความคึกคักของที่นี่จะได้รับผลกระทบจากการทะเลาะกันของพวกขุนนาง แต่โชคดีที่พวกขุนนางยังคงต้องการหาความสุขอยู่ บวกกับเส้นทางบนเขาเคจเมาเธ่นนั้นถูกตระกูลโทคเคนควบคุมเอาไว้ ของใช้หรูหราที่พวกผู้ปกครองต้องการจึงต้องขนมาทางเรือ ทำให้เมืองแห่งนี้ยังคงคึกคักเหมือนก่อนที่จะเกิดสงครามอยู่


แต่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะว่าบารอนของอ่าวดีพพูลนั้นรักษาความเป็นกลางเอาไว้อยู่


ที่ไวท์เลือกมาที่นี่ก็เพราะเรื่องความมั่นคงด้วย


เขาอายุมากแล้ว ไม่อยากจะวิ่งไปทั่วทุกที่อีก


เขาขนของอีกสักสามสี่ครั้งก็สามารถซื้อบ้านที่อยู่นอกเมืองได้ซักหลังแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยทำการค้าเล็กๆ เขาก็น่าจะใช้ชีวิตไปได้เรื่อยๆ


“ลุง วันนี้ไม่มีงานเหรอ?” จู่ๆ พลันมีคนงานหนุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นมาบนรถเขาพร้อมพูดยิ้มๆ


“ไปๆๆๆ ข้าจะมีงานหรือไม่มีมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ไวท์โบกมือไล่เหมือนไล่แมลงวัน “อย่าขึ้นมาเล่นบนรถข้าตามใจชอบ ถ้าล้อรถข้าพังเจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”


“อย่าพูดแบบนี้สิ เทียบกับสินค้าแล้ว ตัวข้าจะหนักเท่าไรกันเชียว ดูตรงนี้ก็รู้แล้ว” อีกฝ่ายตบท้องตัวเองก่อนจะนอนลงไปบนรถ จากนั้นหยิบเอาเศษฟางรองพื้นเส้นหนึ่งขึ้นมาคาบไว้ที่ปากแล้วมองไปรอบๆ “ครั้งที่แล้วท่านขนอะไร? ทำไมในนี้ถึงมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวๆ?”


“ถ้าเจ้ายังไม่ลงไป ข้าจะอัดเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” ไวท์พูดอย่างหงุดหงิด เจ้าเด็กหนุ่มนี่ไม่มีชื่อ คนงานคนอื่นๆ เรียกเขาว่าเจ้าฉลาด ไวท์เองก็ไม่รู้ว่าเขาฉลาดตรงไหน ทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เพียงแค่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือเดียวกันและเคยเห็นหน้ากันบ้างเท่านั้น


“ด้วยขาปลอมที่ปวดขึ้นมาเวลาฝนตกข้างนั้นน่ะเหรอ?” อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้เหมือนฝนจะตกอีกแล้วด้วยสิ ตอนนี้กระดูกท่านเริ่มจะปวดขึ้นมาแล้วใช่เปล่า?”


ไวท์เกือบสำลัก ไม่รู้เจ้าบ้านี่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร…


“เฮ้ๆ อย่ามองข้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อสิ ข้ามาช่วยท่านทำงานนะ” เจ้าฉลาดพูดพร้อมผายมือ “บนเรือมีของให้ขนตั้งเยอะตั้งแยะ ท่านอายุเยอะแล้ว ไปเบียดสู้เขาก็ไม่ไหว ของที่ขนได้ก็ย่อมน้อย”


“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”


“ง่ายมาก พวกพี่น้องข้าสามารถช่วยท่านแย่งที่ดีๆ ได้ ดีกว่าท่านไปแย่งที่คนเดียวตั้งเยอะ ว่าไง สนใจหรือเปล่า?”


“เหอะ พวกเจ้าไม่มีทางทำฟรีๆ แน่” ไวท์จุ๊ปากขึ้นมา


“10% ของค่าขนสินค้า ยุติธรรมดีใช่ไหมล่ะ” เจ้าฉลาดพูดยิ้มๆ


เขานิ่งเงียบไปทันที ในเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ่มแล้ว ลมทะเลพัดเข้ามาจนเสื้อผ้าสะบัดดังพึบพับๆ เห็นได้ชัดว่าฝนกำลังจะตกหนัก ถ้าในเวลานี้มีเรือมาเทียบท่า เกรงว่าเขาคงยากที่จะแย่งสินค้ากับคนอื่นๆ ได้ ขาปลอมข้างนั้นเป็นทั้งอุปสรรคของตัวเขาเอง แล้วก็เป็นเหตุผลให้นายจ้างไม่จ้างเขาด้วย


เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ เจ้าฉลาดจึงดีดนิ้วขึ้นมา “ในเมื่อไม่ปฏิเสธ อย่างนั้นก็ถือว่าท่านตกลง”


“เจ้าไม่ได้….ช่วยแค่ข้าคนเดียวใช่ไหม?” ผ่านไปครู่หนึ่ง ไวท์จึงถลึงตาใส่เขา


“แค่กๆ ก็ถ้าทุกคนต่อแถวกัน พวกเราก็ไม่ต้องยุ่งยากใช่ไหมล่ะ?” เจ้าฉลาดแสร้งทำเป็นตอบเลี่ยงๆ “ข้าว่านะลุง ท่านเปลี่ยนจากใช้ฟางมาใช้พรมดีกว่าไหม? สินค้าที่มีค่ามากที่สุดของอ่าวดีลพูลนอกจากเครื่องดื่มยุ่งเหยิงจากทางฟยอร์ดก็คือน้ำหอม ถึงแม้จะขายให้กับขุนนางที่ส่วนใหญ่จะเตรียมรถม้ามาเอง แต่บางครั้งมันก็มีเรื่องให้พวกเขาต้องการรถม้าเพิ่มเหมือนกัน แต่ในรถท่านเหม็นแบบนี้ ต่อให้ข้าช่วยท่านแย่งที่ได้ แต่นายจ้างก็อาจจะไม่เห็นด้วยนะ..”


ไวท์กวาดตามองดูเจ้าหนุ่มนี้พร้อมกับเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นถึงเรียกเขาว่าเจ้าฉลาด แต่เขาที่อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน “เออใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าใช่ไหมว่าข้าเอารถไปขนอะไรมา?”


“อื้อ?”


“ข้าไปขนขี้วัวมา ขี้วัวที่เอาไปใช้จุดไฟแบบนั้นน่ะ” เขาค่อยๆ พูด “ถึงแม้จะตากแห้งมาแล้ว แต่พอโดนความชื้นมันก็ยังมีกลิ่นเหลืออยู่นิดหน่อย”


เจ้าฉลาดหน้าเปลี่ยนสีทันที ก่อนจะเบือนหน้าไปบ้วนเศษฟางทิ้งแล้วลุกขึ้นมาไอ


เหอะ ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนนั่นแหละ ไวท์ส่งเสียงเหอะออกมาทางจมูก ก่อนจะมองออกไปทางทะเลอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที


เรือใบสามเสาจำนวน 3 ลำปรากฏขึ้นตรงปลายสุดของสายตา มันกำลังเคลื่อนที่เข้ามายังอ่าวดีพพูลอย่างช้าๆ แต่ละลำล้วนแต่เป็นเรือขนาดใหญ่ระดับเรือสำเภาของสมาคมหอการค้าของฟยอร์ด เสากระโดงของมันสูงเกือบ 30 เมตร ตรงปลายเสามีธงพื้นทองขอบดำ และนั่นก็ไม่ใช่ตราสัญลักษณ์สมาคมหอการค้าที่เขาคุ้นเคย


แต่จะไปสนใจทำไมล่ะ ขอแค่มีเรือก็มีการค้า จะขนของให้ใครมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเรือมาเทียบท่าทีละ 3 ลำ ต่อให้ไม่มีเจ้าเด็กพวกนี้คอยช่วย เขาก็น่าจะหาสินค้ามาขนได้


ในขณะที่ไวท์กำลังเตรียมจะขับรถม้าไปยังพื้นที่ขนสินค้า เจ้าฉลาดพลันดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้


“เฮ้ๆ …เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ นะ”


จะมีอะไรแปลกๆ อีก ไวท์หันหน้าไปอย่างหงุดหงิด แต่เขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที


ด้านหลังเรือใบสามลำนั้นยังมีเรือใบอีกจำนวนมากค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ใบเรือที่กางอยู่เชื่อมต่อกันเป็นแบบ กลายเป็นเหมือน ‘กำแพงสีขาว’ อยู่บนท้องทะเล


“พระเจ้า…”


ในตอนที่เรือสีเทาดำฝูงหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งน่านน้ำ ตอนแรกไวท์พยายามจะนับจำนวนเรือดูว่ามีอยู่เท่าไร แต่หลังจากนับไปได้ประมาณ 50 ลำ เขาก็พบว่าสายตาของตัวเองตามความเร็วในการปรากฏขึ้นมาของเรือไม่ทัน 100? 200…ไม่ เกรงว่ามันจะมีเยอะกว่านั้น!


ในนั้นมีเรือใบสามเสาอยู่หลายลำ แต่ที่มีเยอะกว่านั้นก็คือเรือกลไฟที่พ่นควันสีขาวออกมา สำหรับเรือรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใบเรือชนิดนี้ เขาเคยเห็นมาแล้วสองสามครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมันปรากฏขึ้นมาเยอะขนาดนี้ เรียกได้ว่าเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก เขาสาบานว่าต่อให้เป็นลูกเรือที่อาศัยอยู่ในท่าเรือแห่งนี้ก็ยังไม่เคยเห็นกองเรือที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน!


คนอื่นๆ ในท่าเรือเองก็สังเกตเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า กะลาสีหรือว่าแรงงานก็ล้วนแต่วางงานที่ตัวเองทำอยู่ พร้อมกับกลั้นหายใจมองดูกองเรือที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา


ท่าเรือที่เดิมเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายพลันเงียบลงทันที


เมื่อเรือใกล้เข้ามา ธงที่พัดไสวก็ยิงมองเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น บนพื้นหลังสีทอง ไวท์เหมือนจะมองเห็นสัญลักษณ์หอคอยสูงกับหอกยาว และเรือทุกลำก็แขวนธงแบบเดียวกันอยู่ ในตอนธงสัญลักษณ์หลายร้อยผืนโบกสะบัดไปตามลมและกลายเป็นเส้นขอบฟ้าเส้นใหม่ ไม่ว่าใครต่างก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของมัน


เจ้าฉลาดสูดปากด้วยความตกใจ


“หรือว่านั่นคือ…ธงของเกรย์คาสเซิล?”


ไวท์พูมงึมงำขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าหมายความว่า…ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล มาที่นี่เหรอ?”


เนื่องจากอ่าวดีพพูลไม่มีที่ให้จอดเรือใหญ่จำนวนมากขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้เรือจำนวนมากจึงได้แต่ต้องลดใบเรือและรออยู่ด้านนอกอ่าว ส่วนเรือจักรไอน้ำจำนวน 10 ลำนั้นตรงเข้ามายังท่าเรือ


ในขณะที่พวกมันจอดเทียบท่า ชายที่ใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันกลุ่มหนึ่งแห่กันออกมาจากเรือ ก่อนจะมายืนเรียงแถวอยู่บนสะพานอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินลงมาที่ท่าเรือ คนเหล่านี้สีหน้าไร้ความรู้สึก สายตาของพวกเขาทำให้คนรู้สึกเยือกเย็นไปถึงสันหลัง เหมือนนักรบที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่ได้มีท่าทียโสโอหังเลยแม้แต่น้อย


ไวท์กลืนน้ำลาย ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นกองทัพแบบนี้มาก่อน แต่ภายในใจเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ด้วยว่าไม่ใช่แค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ คนนอกเหล่านี้ยึดสะพานเทียบท่าทุกแห่งไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีกล้าต่อว่าเลยซักคน


ไวท์รู้ว่ากองเรือเหล่านี้ไม่ได้มาทำการค้าอย่างแน่นอน


บรรยากาศตรงหน้าเรือเหมือนจับตัวแข็งขึ้นมา


ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ


…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)